กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

เถรี 28-09-2023 21:39

บุญประทายข้าวเปลือก

องค์ท่านกล่าวถึงความเป็นมาของงานบุญประทายข้าวเปลือกที่วัดป่าบ้านตาดไว้ว่า

"..แต่ก่อนเราไม่ค่อยสนใจนะ เพราะบ้านนี้เขาทำบุญประทายข้าวเปลือกมาเป็นประจำ เราเกิดมาเห็นอย่างนั้น ไม่มากก็น้อย เขาทำของเขาทุกปี พอทำนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาทำบุญประทายข้าวเปลือก ถ้าสมมติว่าไม่มีพระอยู่ในวัด วัดบางทีมีร้างมีอะไร เขาก็ไปหานิมนต์พระที่อื่นมาทำบุญ เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ยกข้าวถวายท่านเลย อย่างนั้นประจำ.."

เรามาสร้างวัดนี้เขาก็ทำ ว่าอะไรเขาก็ว่า "เคยมาอย่างนี้เป็นประจำ มาเลย"

ที่เขาทำนี้ พอเราเกิดมาก็เห็นแล้วนะ ไม่ทราบเขาทำมานานเท่าไร เป็นประจำทุกปี ๆ ได้มากได้น้อยเขาก็ทำของเขาอย่างนั้น มีพระอยู่ในนั้นเขาก็ทำถวายพระในนั้น ถ้าไม่มีพระบางทีวัดร้างก็มี เขาก็ไปนิมนต์เอาวัดอื่นมา

พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกข้าวถวายวัดไปเลยเป็นประจำ รู้สึกจะฝังจริง ๆ ฝังนิสัยของเขาหมู่บ้านนี้ นอกนั้นเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่บ้านนี้รู้ชัด ๆ เพราะเราเกิดมาเห็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ทราบว่าใครเป็นคนพาทำแต่เริ่มแรก เขาทำของเขาอยู่อย่างนั้น เรียกว่าฝังเป็นนิสัย เป็นประเพณีของบ้านนะ

เราจำได้ตอนที่เรามาบวชแล้วมาอยู่ที่นี่ มีปีเดียวเท่านั้น ดูเหมือนปี ๒๕๐๗ เรายังจำได้นะ ที่เราบังคับเอาเลย บอกเขาว่า "ไม่ให้ทำ" ดุด้วยบังคับด้วย ห้ามเด็ดขาดเลย ยกเหตุผลให้ต่อหน้าต่อตา

ปีนั้นเกือบจะไม่ได้ทำนากัน แต่เขาก็จะทำบุญข้าวเปลือก เราจึง "ห้ามอย่างเด็ดขาดเลย" มีงดปีนั้นเท่านั้น นอกนั้น่เขาก็ทำของเขา ปีนั้นเอาเด็ดขาดเลยนะ เขาจึงหยุดนะ รู้สึกเขาจะเสียดายอยู่เหมือนกันนะ เพราะบางคนพูด แต่ไม่กล้ามาพูดต่อหน้าเราเขาพูดนอก ๆ ว่า

"โอ๊ย..เรื่องความมีความจน ก็มีก็จนเป็นธรรมดาแหละ แต่การทำบุญให้ทานก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาฝังลึก เขาอยากทำบุญให้ทานข้าวเปลือก"

อ้าว..ทีนี้เราก็แก้ไปใหม่นะ "ทำบุญข้าวเปลือกไม่ได้ก็ให้เอาข้าวสุก พระไปบิณฑบาตให้ใส่บาตรนั่นนะ"

เขาก็แก้อีก "อู๊ย..อันนี้ก็เป็นอันดับหนึ่ง อันนั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง ก็อยากทำบุญ"

แต่พอเราพูดด้วยเหตุด้วยผล "ข้าวก็จะไม่มี ผู้จนก็จนอยู่นี้ จะพักบ้างก็ได้นี่นา เพราะไม่ใช่เราเป็นคนใจจืดใจดำ มีลดหย่อนผ่อนผันไปตามกาลตามเวลา หรือหยุดตามเหตุการณ์"

นี่ก็เราเป็นคนสั่งเอง เราดูเอง พันธุ์ข้าวก็จะไม่ได้ ปีนั้นคือฟ้าฝนไม่มี เราจำได้ว่ามีปีนั้นแหละ..แทบจะไม่ได้พันธุ์ข้าวนะ ฟ้าฝนไม่มี ได้ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ลุ่ม ๆ ก็พอได้บ้าง ถ้าธรรมดาแทบจะไม่ได้ ถ้าเป็นนาดอนนาสูงไม่ได้เลย ไม่ได้ทำ เวลาเป็นปรกติเราก็ไม่ว่า ก็ให้ทำตามเรื่องของเขา.."


เถรี 28-09-2023 21:46

หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ กล่าวถึงงานบุญนี้ แรกเริ่มทีเดียวจัดที่โรงเรียนบ้านตาด ก่อนจะย้ายมาจัดที่วัด ดังนี้

"จะเริ่มปฏิบัติกันมาตั้งแต่เมื่อใดนั้นก็ไม่ทราบ แต่มีความเป็นมาจากบุญคูณลาน ซึ่งเดิมชาวบ้านตาดจัดงานที่โรงเรียนบ้านตาด โดยนำข้าวเปลือกมากองรวมกัน แล้วนิมนต์องค์หลวงตาพร้อมพระไปเจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหาร ต่อมาจึงมีการจัดที่วัดป่าบ้านตาด โดยชาวบ้านนำข้าวเปลือกมารวมกันที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งในเบื้องต้นมีเฉพาะชาวบ้านตาดกับชาวบ้านกกสะทอน ที่นำข้าวเปลือกมารวมกัน หลังจากนั้นได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา"

คำว่า ประทาย นอกจากจะใช้เรียกชื่อการทำบุญที่มีชาวบ้านหลาย ๆ คนนำข้าวเปลือกมากองรวมกันแล้ว ในแถบจังหวัดอุบลราชธานีมีการใช้คำนี้ในการทำบุญก่อเจดีย์ทรายด้วย โดยจะใช้คำว่า ตบประทาย ซึ่งหมายถึง การที่ชาวบ้านแต่ละคนนำทรายมากองรวมกัน แล้วก่อเป็นเจดีย์ทรายขึ้น จากนั้นมีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ และทำบุญอุทิศคล้ายกับทำบุญประทายข้าวเปลือก

ประทายข้าวเปลือก จึงหมายถึงกองข้าวเปลือก ที่เกิดจากบุคคลหลายคน นำข้าวเปลือกมากองรวมกันเพื่อการทำบุญ ซึ่งเป็นประเพณีความเชื่อที่มีมาแต่นมนานแล้ว ชาวบ้านเขาทำนาได้ข้าว เขาก็จะเอาข้าวเปลือกมาทำบุญ ส่วนการทำน้ำพระพุทธมนต์ เป็นสิ่งมงคลที่ชาวบ้านได้ไปแล้ว จะนำไปรดสรงทั้งคนในครอบครัว เรือกสวนไร่นา ตลอดจนสิ่งของอย่างอื่น เช่น บ้านเรือน ยุ้งข้าว เกวียน รถ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุข

ในระยะแรกข้าวเปลือกที่นำมาบริจาคในงานบุญประทายข้าวเปลือกเป็นของหมู่บ้านตาด ต่อมาหมู่บ้านแถบนั้นก็มาร่วมด้วย และเริ่มกระจายออกกว้างมากขึ้น ๆ จนไม่ถือเป็นงานบุญของหมู่บ้านหรือจังหวัดอุดรธานีอีกต่อไป องค์หลวงตาท่านจะนำข้าวเปลือกเหล่านี้ไปขาย เพื่อนำเงินมาสงเคราะห์ช่วยเหลือ กระจายออกเป็นประโยชน์ทั้งรายย่อยและสาธารณะตลอดมา ต่อมาเมื่อบ้านเมืองประสบวิกฤตเศรษฐกิจปลายปี พ.ศ.๒๕๔๐ องค์ท่านจึงเริ่มขอรับการบริจาคช่วยชาติ แต่ก็ยังไม่กว้างขวางนัก

จนกระทั่งวันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นวันทำบุญประทายข้าวเปลือก ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ในวันนั้นประชาชนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก ท่านจึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า จะนำเงินที่ได้จากการขายข้าวเปลือกในครั้งนี้ "บริจาคช่วยชาติ"

อันเป็นการริเริ่มเปิดตัวการรับบริจาคช่วยชาติ ให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนได้รับรู้อย่างกว้างขวาง แต่ไม่เป็นทางการเป็นครั้งแรก และถือปฏิบัติด้วยการบริจาคช่วยชาติเช่นนั้นตลอด ๗ ปีในโครงการผ้าป่าช่วยชาติฯ จากนั้นก็เป็นการบริจาคสงเคราะห์โลกตลอดมา องค์ท่านกล่าวในเรื่องนี้ไว้ดังนี้...

เถรี 28-09-2023 21:49

"..ระยะนี้ข้าวเปลือกก็เป็นจริงเป็นจัง เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ เพื่อชาติของเรา มาจริงจังหนักแน่นตอนที่เราช่วยชาติ แต่ก่อนเราไม่สนใจ เขาทำของเขาเอง ตอนนี้เลยเอาอันนี้เข้าเพิ่ม เพื่อช่วยชาติเราก็ส่งเสริมไปเลย เราไม่ได้มีอะไร เราไม่ได้เป็นเศรษฐี เรามีอะไรเราก็ทาน จะรอให้เป็นเศรษฐีแล้วค่อยทานมันตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เห็นใครเกิดมาเป็นเศรษฐี เอาเศรษฐีมาอ้างแล้วจึงทำบุญ มันตายกันหมดนั่นแหละ ไม่ได้ทำบุญ เรามีเท่าไรเราก็ทำของเรา อันนี้ก็เหมือนกัน เราไม่มีสมบัติเงินทองข้าวของอย่างอื่น เรามีข้าวก็เอา ก็ไปนั้นอีก จึงได้ทำ

เห็นไหมล่ะ..งานนี้ (วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) ดูคนซิ วัดป่าบ้านตาดเนื้อที่ตั้งเกือบ ๖๐๐ ไร่ คนมาแน่นวัด เพราะอะไรคนถึงมามากมายก่ายกอง ? เพราะวัดนี้ทำบุญช่วยโลก ช่วยทั่วประเทศไทยเรา เพราะฉะนั้น..คนจึงมามากมาย มาทั่วประเทศไทยเหมือนกัน งานทั้งหมดเรียกว่างานเพื่อโลก สงเคราะห์โลก

วันนี้ทำบุญข้าวเปลือกช่วยโลก ข้าวเปลือกมีมากขนาดไหนนำออกช่วยโลกทั้งหมด จึงเรียกว่างานเพื่อโลก งานสงเคราะห์โลก ทำเพื่อโลกทั้งนั้นแหละ งานบุญวัดป่าบ้านตาดเรานี้ก็เป็นงานบุญเพื่อช่วยโลกนะ เราทำทั่วประเทศไทยช่วยโลกทั้งนั้น...

ปัจจัยทั้งหลายที่มาเหล่านี้ออกช่วยโลกทั้งนั้นนะ สำหรับวัดนี้ไม่เอา มีเท่าไร ๆ ออกสร้างนั้นสร้างนี้ โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง โรงพยาบาลทุกภาคทั่วประเทศไทย ขัดข้องขาดเขินอะไรก็วิ่งเข้ามาหาเรา เราก็ช่วยเหลือตามที่เกิดที่มี หลวงตาพาพี่น้องทั้งหลายนำสมบัติเข้าส่วนรวมนะ หลวงตาไม่เคยแตะต้องสมบัติของส่วนรวม มีแต่ช่วยส่วนรวมตลอดมา...

บรรดาพี่น้องทั้งหลาย..ที่หลวงตาพาทำบุญข้าวเปลือกวันนี้ก็ทำบุญเพื่อโลกของเรา ผู้ขัดสนจนใจมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า ได้อันนี้ออกไปแล้วก็เฉลี่ยเผื่อแผ่ไปทั่วถึงกันหมด จึงว่าทำบุญสงเคราะห์โลก เราทำอย่างนั้นจริง ๆ นี่ดูซิ..ข้าวกองพะเนินนี่จะออกช่วยโลกทั้งนั้น ออกช่วยโลกทั้งหมด เราไปไหนก็ไปช่วยโลก อยู่ก็อยู่ช่วยโลก เราไม่เอาอะไร ไปนี้ก็ไปช่วยโลก ช่วยไปหมดทุกแห่งทุกหน กระจายออกไปสู่ที่ขาดแคลนกันดาร ที่ไหนเราก็ออกช่วยทั้งนั้น...

สำหรับเรา เราไม่เอา กรุณาทราบไว้ตามนี้ เราพอแล้ว สมควรที่ว่าเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายออกทางด้านวัตถุ และด้านนามธรรม แนะนำสั่งสอนโลกทั่ว ๆ ไป ทั้งวัตถุเข้าสู่ส่วนรวม.."

เถรี 11-10-2023 23:42

คุ้นเคยวัดบวรฯ วัดในกรุงเทพฯ

ในอดีตหากมีกิจธุระที่กรุงเทพมหานคร องค์หลวงตามักจะมาพำนักที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นประจำ เนื่องจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ สมัยทรงดำรงสมศักดิ์ที่พระสาสนโศภณกับองค์หลวงตา ต่างก็นับถือกันเป็นสหธรรมิก มีความสนิทสนมและห่วงใยซึ่งกันและกัน ด้วยความที่มีอายุและพรรษาใกล้เคียงกัน แม้เจ้าพระคุณเองก็ทรงไปพักภาวนาทีวัดป่าบ้านตาดหลายครั้ง ครั้งละเป็นอาทิตย์ทีเดียว

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ณ วัดเทวสังฆาราม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี องค์หลวงตายังได้ไปร่วมงานศพพระชนนีของเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระสาสนโศภณอีกด้วย องค์หลวงตากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในอดีตว่า

"เมืองกาญจน์นี้วัดอะไรอยู่ทางด้านทิศเหนือโน้น นี่ก็สงัดเหมือนกัน ตอนนั้นไปกับสมเด็จพระสังฆราช คือท่านพักอยู่วัดเหนือ เป็นวัดเดิมของท่าน ท่านนิมนต์เราไปในงานเผาศพโยมมารดาท่าน แล้วนิมนต์เราเป็นองค์แสดงธรรมด้วย เราถึงได้ไป ไปพักอยู่หลายคืนเหมือนกัน ท่านทรงเป็นเจ้าภาพมารดาของท่าน คนเคารพนับถือมาก งานจึงเป็นไปหลายวัน นั่นละ..ตอนเรามีโอกาสไปงานของท่าน งานของเราอยู่ในป่า จึงได้สนุกเที่ยวดูป่าแถวนั้น โฮ้..ภาวนาดี เราไม่ได้มาหาท่านแหละ ไปสักแต่ว่าไป ถึงเวลาแล้วก็ลงมาเท่านั้นแหละ มาเทศน์มาอะไร

มีสองครั้งสามครั้งที่เรามาเกี่ยวข้อง นอกนั้นเราไม่มา ก็เป็นภาระของท่านเอง ธุระของท่านเอง เราไม่ยุ่งท่าน ถึงได้สนุกภาวนา วัดนี้เป็นฐานหนึ่งของที่ภาวนา สะดวกสบาย เข้าไปในป่านี้สบายไปหมดเลยนะ นี่หมายถึงเมืองกาญจน์ เป็นป่าเป็นเขา ตัวเองจริง ๆ ห่างไกลกันอยู่ นั่นละ..ที่มันสงัดวิเวกดี ตอนที่เรามีโอกาสบ้างก็ตอนตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช

วัดบวรฯ จะเรียกว่าวัดเราก็ถูก กุฏิคอยท่าปราโมชเป็นกุฏิที่สมเด็จพระสังฆราชประทับอยู่ที่นั่นแต่ก่อน ระยะหลังก็คงจะอยู่ที่นั่นกระมัง เราไปพักวัดบวรฯ แรก ๆ ก็ไปพักกุฏิท่าน ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่าน ให้อยู่ชั้นบนเลย ท่านนิมนต์เราขึ้นชั้นบน เราไม่ขึ้น เราบอกท่านจะพักอยู่ข้างล่าง จากนั้นเลยขอท่านพักกับเจ้าคุณยนต์ (พระเทพสารเวที) นี่แหละ แต่ก่อนท่านให้พักกับท่านทั้งนั้นแหละ พักกุฏิท่าน พักกุฏิหลังนี้ ท่านให้เลือกเอาตามชอบใจสองหลังนี้ ครั้นต่อมาเราก็เลยไปพักอยู่กับกฏิเจ้าคุณยนต์ เวลาสำคัญ ๆ ท่านจะพูดกับเราโดยเฉพาะ ปรึกษาปรารภอะไรลึกลับซับซ้อน แปลก ๆ ต่าง ๆ ท่านจะปรึกษาโดยเฉพาะ ๆ"

เถรี 12-10-2023 00:24

โห..เวลาคุยธรรมะนี้ท่านเอาจริงเอาจังมาก เฉพาะกับเราคุยกันสองต่อสอง เรื่องจิตภาวนา ท่านสนพระทัยทางด้านอานาปานสติ ท่านก็ภาวนาเต็มที่ของท่าน เวลาคุยกันโดยเฉพาะ ก็คุยธรรมะจิตภาวนาล้วน ๆ ท่านก็ทราบเรื่องราวทราบได้ดี ทราบจนวิถีจิตวิถีธรรม การพิจารณาอะไร ๆ เพื่อจะเป็นแนวทางให้ท่านพิจารณาต่อไป ความหมายว่าแบบนั้น สอนสังฆราชต้องสอนอย่างนั้นซิ ต้องหาอุบายวิธีพูดสอนไปในตัว ท่านสนพระทัยมากกับการภาวนา เวลามีปัญหาสำคัญ ๆ ท่านจะปรึกษากับเรา ท่านไม่ให้ใครมายุ่ง ปรึกษาธรรมะธัมโมอะไรต่ออะไร ท่านทำอานาปานสติ คุยกันสนุกดีนะ สองต่อสอง

สมเด็จพระสังฆราชเรา ท่านไม่ค่อยชอบพูดแหละ ท่านเป็นนิสัยอย่างนั้น เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์ตามนิสัยของท่าน คือท่านเทศน์ช้ามากนะ พูดขึ้นประโยคหนึ่งแล้ว กว่าจะขึ้นอีกประโยคหนึ่งนาน เหมือนว่าคิดประโยคหน้าเสียก่อนแล้วค่อยพูด ประโยคจบเหมือนว่าคิดเสียก่อนแล้วค่อยพูด เป็นประโยค ๆ ช้ามาก เวลาท่านฟังเทศน์เรา ท่านก็คงจะคิดอันหนึ่งเหมือนกันนะ ท่านไปนั่งด้วยกัน เวลาให้เราเทศน์ บางวันที่ท่านว่างท่านก็ไปด้วย แต่ให้เราเทศน์ ทีนี้เวลาเราเทศน์กับท่านเทศน์มันต่างกัน ท่านเทศน์ช้ามากเชียว แต่เราพอเริ่มแล้วมันยำเลย ท่านก็ฟัง เราเทศน์ก็เป็นเรื่องของเรา ยำเลย ของท่านฟัดเสียโป้ก แล้วก็ไปหาผักหาหญ้ามาแล้วเอามาวาง ค่อยโป้ก..แล้วไปหาเนื้อหาปลามา แล้วก็โป้กอีกทีหนึ่ง เป็นอย่างนั้น เรานี้ยำเลย มันต่างกัน

ที่สำคัญก็คือ พอเวลาเราก้าวเข้าวัดบวรฯ นี้ ภาระท่านปลดเปลื้องมาเลยเทียว เหมือนว่าท่านไว้ใจเลย มอบให้เราหมด เทศน์อบรมประชาชน พวกอุบาสกอุบาสิกา ที่เขาไปฟังเทศน์วันพระวันอะไรต่ออะไรตอนเย็น วันพระท่านทิ้งให้เราเลย ไปเทศน์อบรมกรรมฐานตอนเช้า ท่านก็ทำตามพิธีของท่าน ท่านจะไปเทศน์แต่ตอนเช้าเท่านั้น ตอนเย็นเราจะเป็นผู้อบรมประชาชน ท่านเปลื้องภาระการเทศน์ได้เยอะ ถ้าไปทีไร ท่านมอบให้เลยนะ ท่านเทศน์มักจะเทศน์เรื่องกรรมฐาน พอดีเราไปนั้นเราเป็นกรรมฐานใหญ่ เข้าใจไหม ? ท่านก็โยนตูมให้

มีนิทาน คือผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า ไปจ๊ะเอ๋กันกับหมี คือธรรมดาหมีนี่มันไม่ค่อยวิ่งหนี ถ้าเจอใกล้ ๆ จะโดดเข้ามากัดคน ทำคนให้เสียท่าเสียก่อนมันค่อยไป พอหนุ่มคนนั้นเดินไปนั้นไปจ๊ะเอ๋กับหมี หมีก็โดดมา ทางนี้ก็เข้าต้นไม้มันก็ตะปบมา ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนอยู่ทางนั้นมันก็ตะปบสองขา แล้วคนนั้นก็จับได้ทั้งสองขาเลย จับหมีตัวนั้นได้ทั้งสองขา

ทีนี้พอจับหมีได้ หมีก็โดดจะออก หัวคนก็ชนต้นไม้ คนจะตาย คนจับขาหมีดึง หัวหมีก็ชนต้นไม้ ชนอยู่อย่างนั้น ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนเจ็บหัวซิ พอหมีโดด คนจับขามันอยู่ หัวคนชนต้นไม้ เขาก็จับขาหมีไว้ หัวหมีก็ชนต้นไม้นั่นละ เอากันอยู่ปึงปัง ๆ พอดีอีกคนหนึ่งมา "ทำอะไรนั่น ?" "นี่กำลังจับขาหมี" "มา..ช่วย" คนนั้นเห็นจับขาหมี หัวหมีกับหัวคนชนต้นไม้ต้นเดียวกัน ทางนี้ก็ตะโกนเรียก "โอ๊ย..ทำอะไรนั่น ?" ทางนี่ก็ "จับขาหมี..มาช่วยกัน" คนนั้นก็ปุ๊บปั๊บจับขาหมีได้ คนนี้ก็เปิดเลย คนนั้นก็เลยชนต้นเสาอยู่กับหมีตัวนั้นแทน

เถรี 12-10-2023 00:32

เราไปวัดบวรฯ ก็แบบเดียวกัน คือสมเด็จพระสังฆราชท่านจับขาหมีอยู่ ซัดกันปึ้ง ๆ ปั้ง ๆ พอเห็นเราไปท่านก็ว่ามาช่วยหน่อย พอเราจับขาหมีได้ท่านเปิดหนีเลย ปล่อยขาหมีให้เรา เรากับหมีเลยซัดกันปึ้ง ๆ ปั้ง ๆ ป่านนี้ยังคงไม่หยุดละมั้ง ? ไปทีไรเป็นอย่างนั้นละ นั่นละ..นิทานย่อ ๆ รับกัน เข้าท่าดี มันมีในนิทานเหมือนกัน คือหมีนี่เวลาไปเจอใกล้ ๆ มันไม่ได้วิ่งหนีนะ ส่วนมากมันจะวิ่งมาหาคน ตะปบหรือกัดคนเสียก่อน บางทีเจ็บมากด้วยมันถึงจะไป เรามาวัดบวรฯ มีแต่มาจับขาหมี ท่านเลยปล่อยให้เราเทศน์ ตั้งแต่มาพักที่นี่แล้วก็เลยไม่ได้ไป

ไปทีไรท่านก็โยนภาระให้เราละ สำคัญตรงนี้ ไปทีไรหนักนะ ถ้าไปวัดบวรฯ หนักมาก เทศน์อบรมประชาชน ตอนเย็นละไปเทศน์กรรมฐานที่ตึกมหามกุฏฯ หรือตึกอะไรที่รวมใหญ่นั่นละ เราไปที่นั่น เขาก็มาฟังที่นั่นฟังเทศน์ เทศน์อบรมเขาทางด้านภาวนา

ท่านภาระหนักมาก เราไปทีไรรู้สึกว่าท่านเบาลงมาก เราก็หนักมากเหมือนกัน ตั้งแต่เราสร้างวัดที่สวนแสงธรรมแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย จึงไม่ค่อยได้พบได้สนทนาปราศรัยกันกับท่าน แต่ก่อนรถราก็จอดได้สะดวกสบาย ทุกวันนี้แน่นหมด แม้แต่กลางวัดบวรฯ ที่เป็นสนามก็ดูว่าเป็นตึกเป็นอะไรขึ้นแล้ว ทุกวันนี้หาที่จอดรถไม่ได้เลย ก็พอดีเรามีสวนแสงธรรม สถานที่จอดรถกว้างขวางเหมาะกัน ตั้งแต่นั้นมาเราเลยไม่ได้เข้าวัดบวรฯ ไม่ได้เข้าอีกเลย ไปก็บึ่งไปนู้นเลย ไปสวนแสงธรรมพักที่นั่นเลย

วัดไหนก็ไม่ไปพักในกรุงเทพฯ ตั้งแต่สร้างสวนแสงธรรมแล้ว ไปสวนแสงธรรมทีเดียวเลย แต่ก่อนเราเป็นพระหลายวัด ถ้ามีธุระเกี่ยวข้องใกล้กับวัดใดก็ไปพักวัดนั้น ๆ ทำธุระวัดไหนก็พักหมดแหละ เพื่อนฝูงมีเยอะในกรุงเทพฯ วัดบวรฯ วัดเทพศิรินทร์ วัดนรนาถฯ วัดบรมนิวาส วัดสัมพันธวงศ์ วัดไหนไปหมดนั่นแหละ พักวัดไหนก็พักได้ เพื่อนฝูงมีเยอะ ตั้งแต่มาสร้างสวนแสงธรรมแล้วนี้จึงไม่ไปวัดไหนเลย ไปสวนแสงธรรม คนก็ไปรวมที่นั่น สะดวกสบาย เรื่องรถราจอดได้สะดวกหมด วัดบวรฯ ทุกวันนี้ไม่มีที่จอดรถนะ เพราะแน่นไปหมดเลย

เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักกับใครเลยวัดบวรฯ พระที่เฒ่าที่แก่ก็ล่วงไปหมดแล้วแหละ ดูมองไม่เห็นใครนะ ผู้ใหญ่ ๆ ที่เป็นเพื่อนฝูงกันแต่ก่อน ปรากฏว่าล่วงลับไปหมดแล้ว คงยังเหลือแต่พระหนุ่มน้อยที่ได้สมณศักดิ์สูงขึ้นไปเป็นขั้นเป็นภูมิไป ส่วนพระที่เคยเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันแต่ก่อนดูเหมือนหมดแล้วนะ วัดบวรฯ หมด พอดีเราก็เลยมาอยู่ที่นี่ สุดท้ายเรียกว่าหมดจริง ๆ ก็ไม่ผิด ยังเหลือแต่สมเด็จฯ กับเจ้าคุณยนต์ นอกนั้นมองไม่เห็นองค์ไหนนะ

ตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว (ปี พ.ศ. ๒๕๓๒) เรายังไม่มีโอกาสจะเข้ากราบนมัสการท่านเลยจนกระทั่งป่านนี้ ท่านยังเป็นฝ่ายมา เป็นผู้ใหญ่กว่าเรามาที่นี่ ประกอบกับสร้างวัดสวนแสงธรรมก็เป็นระยะเดียวกัน แต่ก่อนเราไปพักวัดบวรฯ เป็นประจำ พอไปพักที่สวนแสงธรรมก็เลยไม่ได้เข้ามาวัดบวรฯ อีก ทีนี้วัดบวรฯ ก็เลยไม่ได้ไปอีกทีนี้นะ ไปได้ที่นู่นแล้วก็ไม่ได้มากราบนมัสการท่านเลย

ถ้าหากว่าพูดตามทางโลกแล้วเรียกว่าเรานี้ถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง แต่ภายในใจของเราแล้วไม่มี เราเคารพท่านตลอดมา ที่ไม่ไปก็เพราะว่าปรกติท่านมีพระภาระมากมายอยู่แล้ว แม้เราเพียงตัวเท่าหนู งานของเราก็ไม่เคยว่าง ไหนอาจารย์มหาบัวจะมาเยี่ยมแล้วจะยุ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ ? เพราะไปหาท่าน ไม่ไปกราบเรียนท่าน ปุบปับเข้าไปเลยก็ไม่เหมาะ ก็เสียอีกทางหนึ่ง ถ้าจะกราบเรียนท่านแล้วค่อยเข้าไปก็เสียอีกทางหนึ่ง.."

เถรี 15-10-2023 17:54

เข้ากราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์)

ในช่วงที่องค์หลวงตามีธุระที่กรุงเทพฯ และไปพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร คราวหนึ่งท่านหาโอกาสเข้ากราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยนั้น โดยปกติจะไม่มีผู้ใดเข้ากราบสมเด็จฯ แบบเดี่ยว ๆ แต่ในครั้งนั้นท่านเข้าไปกราบสนทนาด้วยเพียงองค์เดียวเท่านั้น ยังความประหลาดใจแก่บรรดาพระเณรภายในวัดไม่น้อยทีเดียว ดังนี้

"ตอนขบขันมากก็คือ เราขึ้นไปเฝ้าสมเด็จสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จสังฆราชองค์นี้ คือธรรมดาใครจะขึ้นเฝ้าท่าน โหย..มีคนตามหน้าตามหลังรุมเลย เป็นอย่างนั้นเป็นประจำ ก็มีพระป่าองค์เดียวนี้แหละแหวกแนว เวลาจะไป ดูไม่มีคน..ปั๊บขึ้นเลยเชียว

โอ๊ย..ท่านเมตตามากอยู่นะกับเรา ท่านคงเห็นว่าพระองค์นี้มันมาจากไหน มันกล้าหาญเหลือเกิน คงว่างั้น ใส่ปุ๊บเลยคุยกัน ท่านซักนั้นซักนี้ เรากราบทูลท่านเรื่อย ๆ มาประมาณสัก ๑๐ นาทีเราก็ลง ท่านทรงยิ้มตลอดนะ เพราะท่านไม่เคยเห็นพระขี้ดื้ออย่างนี้ ท่านยิ้ม ๆ เพราะท่านไม่เคยเห็นที่ไหน ท่านมองดูเราแล้วยิ้ม ๆ อยู่ตลอด แต่เราเฉย คือพระองค์ไหนก็ตามที่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชนี้ ต้องมีผู้นำขึ้นไป ๆ ทุก ๆ องค์

พอตอนเช้ามา มาเล่าให้สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) ฟัง โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลย "ท่านอาจารย์ไปยังไง ?"

"อุ๊ย..จะยากอะไร กรรมฐานไป" เราว่างี้ เวลาเราตอบเราตอบอย่างนั้น กรรมฐานไม่ได้ยากนะ มันยากแต่ไม่ใช่กรรมฐาน แห่หน้าแห่หลัง ท่านมองดูหน้าเรา บทเวลาจะเอา เอาอย่างนั้นนะ ขึ้นหาท่านเลย ท่านทรงเมตตามากอยู่

เถรี 15-10-2023 18:02

เวลากลางคืนเงียบ ๆ เราก็สอบถามพระ "สมเด็จพระสังฆราชวชิรญาณวงศ์ ท่านรับแขกเวลาเท่าไร ?" ถามพระผู้ใกล้ชิดเวลาที่ท่านว่าง..ว่างั้น ท่านบอกเวลาเท่านั้น เราก็จับเวลาเอาไว้แล้วไปองค์เดียวนะ ไปแบบขโมย ด้อม ๆ ไปถามพระ ท่านนั่งอยู่เหมือนกับว่าอยู่บนธรรมาสน์สูงอยู่นะ

พอเห็นเราไป เราก็สังเกตพระด้วย สังเกตทุกอย่างเพราะเราไปแบบปลอม ๆ แปลก ๆ ไม่มีใครทำอย่างนั้นแต่เราทำ มีพระเฝ้าท่านอยู่ ๓ องค์ เราขึ้นไปองค์เดียว พอไปถึงพระก็รีบทูลท่าน "นี่อาจารย์มหาบัว"

ท่านยิ้มเลย เข้าใกล้ ๆ เลย ท่านนั่งอยู่โน้นเรานั่งอยู่นี้ ไม่นาน..ดูเหมือนไม่เลย ๑๐ นาที ท่านทรงยิ้มตลอดนะ อย่างหนึ่งก็คือว่าเห็นพระป่าพระเขาไป ไม่รู้จักขนบประเพณีธรรมเนียมอะไร ปุบปับขึ้น เหมือนพระป่าว่างั้นเถอะ ท่านยิ้มนะ ทรงยิ้มตลอด เราสังเกตดู เราเป็นพระบ้านนอก พระอยู่ในป่าในเขาขึ้นไปหาท่าน ท่านถาม "มหาบัวหรือ ? อยู่อุดรหรือ ? เอ้อ..อยู่อุดรรู้จักพระยาอุดรไหม ?"
"รู้จักบ้างครับกระผม" เราก็ว่าอย่างนั้น
"พระยาอุดรแต่ก่อนอยู่วัดบวรฯ มหาจิต จากนั้นมาแล้วก็มาอยู่เป็นผู้ว่าที่นี่ แล้วพระยาอุดรมีลูกกี่คน ?" ท่านทรงรับสั่งด้วยดี ยิ้ม ๆ ตลอด ท่านรับสั่งถาม
"ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าท่านมีลูกกี่คน"

แล้วก็ถามอะไรต่ออะไร เราก็ทูลท่านเฉพาะ ๆ จากนั้นไม่นานเราก็กลับ กราบท่านแล้วลง ทีนี้ตอนเช้าพอฉันจังหันเสร็จแล้ว ตอนนั้นท่านเป็นพระธรรมวราภรณ์ สมเด็จสังฆราชองค์ปัจจุบัน อยู่กุฏิถัดเราไป เวลาเราทำอย่างนั้นท่านก็งงเหมือนกันว่า
"เมื่อคืนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช"
ท่านว่า "เหอ ๆ แล้วไปเมื่อไร ?" "ตอนเท่านั้นทุ่มเท่านี้ทุ่ม"
โอ๊ย..จ้อเราเลยนะ "แล้วไปกี่องค์ ?" "ไปองค์เดียว"
ว่างั้น..ท่านยิ่งจ้อใหญ่เลย "แล้วท่านรับสั่งอะไรบ้าง ?"

เถรี 15-10-2023 18:44

เราก็กราบเรียนท่านว่ารับสั่งอย่างนั้น ๆ แล้วก็ลงมา ท่านดูเราด้วยนะ ดูด้วยความสนใจ ภาษาของเราก็ว่า "พระผีบ้า..ไปขึ้นได้ยังไง ?" ประเทศไทยไม่มีใครขึ้นอย่างนั้น ท่านขบขัน ดูเราแล้วยิ้มตลอดนะ เพราะไม่มีใครทำอย่างนั้น เราไปตามประสาของเรา ถ้าไปแบบทั้งหลายเขาไปมันก็ไม่ใช่พระป่า..เข้าใจไหม ? ต้องไปแบบพระป่า เซ่อ ๆ ซ่า ๆ แบบนั้น ขบขันดีนะ

โอ๊ย..ท่านรับสั่งยิ้ม ๆ สมเด็จสังฆราชวชิรญาณวงศ์ ท่านรับสั่งดีทุกอย่าง ยิ้มตลอด เราขึ้นไปนึกว่าท่านจะมีพระพักตร์ยังไง ๆ ไม่มีนะ มีแต่ยิ้มตลอดเลย เราก็ไม่ให้เสียเวลา ขึ้นไปเล็กน้อยแล้วเราก็ลงมา นั่นละ..ตอนเช้ามาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชองค์ปัจจุบัน ตอนนั้นท่านเป็นธรรมวราภรณ์ เป็นขั้นธรรม โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลยเทียวนะ

ตามธรรมดาท่านไม่ค่อยชอบพูดแหละ แต่เวลาเราเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราชขึ้นไปองค์เดียวปลอม ๆ นี่ โอ๋ย..ท่านซักใหญ่เลย จ้องตลอดนะ ทั้งยิ้มทั้งจ้องทั้งซัก เราก็ธรรมดา ท่านจ้องท่านซักเราทุกอย่าง ท่านรับสั่งอะไรบ้างยังไงบ้าง ท่านไม่เคยเห็นนิสัยอย่างนี้ เราก็ธรรมดา มันใช้ได้ทุกแบบนี่ว่าไง ก็โลกสมมติ เวลาจะออกใช้พลิกทางนี้ปั๊บ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ พูดให้มันชัดเจนเสียว่ามันไม่ได้ติดอะไรนี่ ถ้าติดเขาติดเรา อย่า..ถ้าลงติดเขาติดเราแล้วไปไม่รอด ถ้าไม่ติดเขาติดเราเสียอย่างเดียวเท่านั้นไปได้หมด ทะลุหมดเลย

ทีนี้เวลาจะนำมาใช้ก็ใช้ตามกาลเวลาที่เหมาะสม จะใช้แบบนี้ก็ปุ๊บ ใส่แบบนี้ปิ๊งเข้าไปเลย จะใช้แบบไหนใช้แบบนั้นเลย ใช้แล้วหายเงียบไปเลยไม่มีอะไร ใครจะเป็นบ้าอะไรก็ช่างใคร เราไม่เป็นกับใคร เฉยเลย.."

เถรี 02-02-2024 19:46

เทศน์อย่างนี้ก็เป็น ?

มีเรื่องขบขันระหว่างท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ กับองค์หลวงตาเกี่ยวกับการเทศน์กล่าว คือหากมีเหตุให้ท่านไปแสดงธรรมที่วัดโพธิสมภรณ์คราวใด พอขึ้นธรรมมาสน์แล้ว ก่อนการแสดงธรรมท่านเจ้าคุณมักจะเดินไปบริเวณรอบ ๆ และประกาศว่า

"ใครอย่าพูดนะ เราจะฟังเทศน์มหาบัวนะ เราจะฟังเทศน์มหาบัวนะ ใครอย่าพูดเป็นอันขาดนะ"

ในบริเวณนั้นจึงเงียบหมด จากนั้นท่านเจ้าคุณก็กลับมาประจำที่และตั้งใจฟังเทศน์แบบกรรมฐาน คือ หลับตาฟังด้วยความเคารพในธรรม โดยไม่ถือตัวว่าเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านมาก่อนแต่อย่างใดเลย มิหนำซ้ำถ้าอยู่กันสองต่อสอง ท่านเจ้าคุณจะซักถามแหลก บางครั้งก็นั่งมองดูหน้ากันเฉย ๆ ดูหน้า จ้อง แล้วก็ว่า

"ข้อยพูดตามจริงนะบัว เราฟังเทศน์มาทั่วประเทศไทย ฟังมาแล้วไม่มีใครเทศน์เหมือนเธอ เธอเทศน์ใส่ตรงไหนขาดสะบั้น..ขาดสะบั้น แหม..! มันถึงใจข้อยเหลือเกิน ว่าไม่อึ๊ไม่อ๊ะ..ไหลไปเลย

ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องเทศน์ ข้อยยกให้เจ้านะบัว แต่ถ้ามีปัญหาแล้ว การตอบปัญหาเจ้าเป็นที่หนึ่ง มันถึงใจข้อยเหลือเกินนะบัว..ตอบปัญหารรวดเร็วที่สุด..ปั๊บเลย ใส่ปั๊บ ๆ เลย แหม..! เรานี้อยากถามทั้งวัน แต่ไม่มีปัญหาจะมาถาม"


บางครั้งท่านเจ้าคุณยังถามอีกด้วยว่า "บัว ๆ เวลามีคนมาถามปัญหาเธอน่ะ เธอได้คิดไว้ไหม ?" และมีอยู่ครั้งหนึ่งในขณะที่อยู่กันสองต่อสองกับท่านเจ้าคุณ คราวนั้นท่านเจ้าคุณมองดูหน้าท่านด้วยแววตาที่ใสแจ๋วแล้วกล่าวว่า

"บางทีนะบัว ข้อยพูดตามความจริงนะบัว เจ้าเทศน์นี้ข้อยว่าหาตัวจับยากนะบัว ต่อไปนี้เจ้าจะเป็นเจ้าคุณอุบาลีน้อยนะบัว เจ้าเทศน์ แหม..! มันถึงใจข้อยเหลือเกิน"

ทราบกันว่าท่านเจ้าคุณเคยฟังเทศน์ของท่านแต่แบบกรรมฐานเท่านั้น ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าท่านจะเทศน์ธรรมะแบบขบขันได้ด้วย เช่นในคราวที่พระอุปัชฌาย์เอาตัวท่านไปเทศน์ที่จังหวัดนครพนม ทำให้ท่านต้องได้เทศน์หลายแบบตามลักษณะผู้ฟัง ดังนี้

"..ขึ้นเบื้องต้นด้วยขึ้นนครพนมก่อน อันนี้เทศน์ไปธรรมดาเรื่อย ๆ เขามาฟังก็มีเมียผู้ใหญ่ เมียอธิบดีศาลมาฟังเทศน์เรา พอเทศน์จบลงแล้ว ปุ๊บปั๊บคลานเข้ามาหาคุณวรรณดี ที่เป็นนายกพุทธสมาคม นิมนต์เราไปเทศน์งานฉลองตั้งรากตั้งฐานพุทธสมาคมที่นครพนม พอค่ำคนมามาก

พอเจ้าคุณไปคนก็มามาก เขานิมนต์เราขึ้นเทศน์ ก็ท่านเจ้าคุณนั่นแหละให้เทศน์ ไปไหนมีแต่ท่านแหละให้เราเทศน์ ท่านไม่เทศน์ ถ้าเราไปท่านไม่เทศน์เลย มีแต่เรานั่นแหละเทศน์ เขามานิมนต์เทศน์ พอเทศน์จบลงแล้ว ยังไม่ลืมนะ เทศน์ชั่วโมงกับหนึ่งนาที เทศน์นี้ไหลไปเลย ไม่เหมือนธาตุขันธ์ทุกวันนี้

พอเทศน์จบลงแล้ว คุณนายอธิบดีศาลคลานเข้ามาหานายกสมาคม มากระซิบถาม "เอ๊ะ ท่านองค์นี้มาจากไหน ๆ เทศน์ทำไมแปลกเหลือเกิน ฟังแล้วทำไมมันเพลิน ๆ ตลอด เราฟังเทศน์มหาเปรียญ ๘ ประโยค ๙ ประโยค เคยฟังมาก็ธรรมดา ๆ แต่อาจารย์องค์นี้มาจากไหน ทำไมเทศน์ถึงแปลกเอาเหลือเกิน จบแล้วก็ยังไม่อยากให้จบ นี่ท่านจบเสียก่อน วันพรุ่งนี้จะมานิมนต์ท่านเทศน์อีก"

เถรี 02-02-2024 19:52

ว่างั้นนะ แล้วถาม "เป็นใคร ?" "อาจารย์มหาบัว"

"อาจารย์มหาบัวอย่างนี้ แต่ก่อนได้ยินแต่ชื่อท่าน นี่ได้เห็นองค์แล้ว โอ๋..ท่านเทศน์อย่างนี้"

พอพรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จนิมนต์อีก ไปขอท่านเจ้าคุณนิมนต์ท่านอาจารย์มหาบัวเทศน์อีก เจ้าคุณก็ว่า "โอ๋ย..ไม่ได้ ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ที่(อำเภอ) ท่าอุเทน ไม่ได้ ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ท่าอุเทน"

ตกลงไม่ให้จริง ๆ นะวันนั้นไม่ให้เลย นี่ละทีนี้จะไปท่าอุเทน ท่านก็อยู่อำเภอท่าอุเทน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นี่ ท่านเป็นคนท่าอุเทน ตอนนั้นกำลังบ้าบัตรบ้าเบอร์กัน อู๊ย..ไปที่ไหนบ้าบัตรบ้าเบอร์เต็มแผ่นดิน ไปวันนั้นมีแต่นักบัตรนักเบอร์เต็ม

คุณวรรณดี ตั้งตรงจิต นี่แหละที่เป็นนายกพุทธสมาคม เป็นคนขับรถให้ ไปถึงแล้วพอถึงเวลาเทศน์ คุณวรรณดีเคยฟังธรรมะขั้นสูงของเรานี่นะ เคยฟังมาพอแล้ว วันนั้นแกจ้องคอยจะฟังธรรมะขั้นสูง ทางนั้นก็ไปอยู่ตามป่าไม้เรี่ยราดอยู่นี้ ไปเทศน์ให้คนหัวเราะเสียจนจะตาย ฟังเสียหัวเราะแตกลั่น ๆ อยู่ที่ศาลา เทศน์มีแบบตลกขบขันมีข้อเปรียบเทียบมีอะไร หัวเราะกันลั่น พวกนั้นเลยเพลินด้วยการหัวเราะ เทศน์ไปไหนก็ไม่ไป

อะไรก็ไม่ขบขันเหมือนเอาเราไปเทศน์ที่ท่าอุเทนนั่นแหละ...ตั้งแต่นั้นมาพอท่านเจอหน้าเราทีไร ท่านจะต้องเอาเรื่องนั้นขึ้นทักทายก่อน เพราะท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์อย่างนั้น เทศน์เริ่มตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีอะไร เทศน์ให้ขบให้ขัน พวกนี้หัวเราะกันลั่นตลอดกัณฑ์เลย ท่านเจ้าคุณฯ นี้หัวเราะจนแทบล้มแทบตายจริง ๆ นะ เราจบเทศน์แล้วเขาก็ขอร้อง

"โอ๊ย..อย่าด่วนจบ ๆ..!"

ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี้ก็หัวเราะเป็นบ้าอยู่ข้างหลังเรา ท่านนั่งข้างหลัง เราเทศน์ข้างหน้าทางโน้นก็หัวเราะ ท่านเจ้าคุณก็หัวเราะ หัวเราะจนจะเป็นจะตายจริง ๆ น้ำตาไหล..หัวเราะตลอดเลย เราไม่ลืมนะ ๔๕ นาที เราก็เริ่มจะลง เขาบอกว่าขอฟังเทศน์อีกอย่าด่วนลง..อย่าด่วนจบ กำลังสนุกดี เราก็เริ่มลงของเรา พอจบลงแล้วลงมาพวกนั้นยังหัวเราะกันลั่น ตั้งแต่ต้นเทศน์จนกระทั่งจบเทศน์มีแต่เรื่องตลกขบขันให้หัวเราะ คนหัวเราะกันลั่น

พอลงมาจากธรรมาสน์แล้ว ลงมาแล้วมากราบพระประธานเสร็จแล้ว มองดูท่านเจ้าคุณยังหลับตาหัวเราะคิกแค็ก ๆ อยู่นั้น ยังหัว..ดิ้นล้มดิ้นตายอยู่ซิ ยังไม่ลืมตา ยังหัวเราะลั่น พอจบแล้วก็มานั่ง

พอลืมตาก็
"เอ๊..มหาบัว เจ้าเทศน์อย่างนี้ก็เป็นหรือ ? มหาบัว ๆ ข้อยบ่เคยได้ยินเจ้าเทศน์อย่างนี้"

แล้วหัวเราะอยู่ตลอด มาในรถหัวเราะมาตามทางนะ
"มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น" ท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์แบบนั้น ก็เทศน์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ในสถานที่นั่นเป็นยังไง ๆ ท่านก็ไม่รู้เรื่องของเราอีก..ใช่ไหมล่ะ ? เวลาเทศน์มันก็ออกแบบนั้นหัวร่อแทบล้มแทบตาย ตั้งแต่นั้นมาเจอเราทีไร

"มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ๆ"

เถรี 02-02-2024 19:54

หัวเราะกิ๊ก ๆ พวกนี้มันชอบบัตรชอบเบอร์ เล่นบัตรเล่นเบอร์ เราก็เทศน์เรื่องบัตรเรื่องเบอร์ เทศน์มีตลกขบขันจนกระทั่งจากกัน เจอหน้าเป็นต้องว่าละซี "มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ๆ" อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งท่านจากไป นี่เราพูดถึงเรื่องเทศน์มันเอาแน่ไม่ได้นะ มันเป็นของมันนั่นแหละ เอาแน่ไม่ได้"

การที่ท่านเจ้าคุณฯ มอบความไว้วางใจให้ท่านเป็นผู้แสดงธรรมทางภาคปฏิบัติอยู่เนือง ๆ นั้น ท่านบอกเหตุผลไว้เช่นกันว่า

"ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นอุปัชฌาย์ของเรา พูดตรง ๆ พูดตามอรรถตามธรรม ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ท่านบอกว่าท่านลงเราสุดขีดเลย ในเรื่องทางกรรมฐานท่านเจ้าคุณท่านเก่งมากนะ ท่านฟังเราตอบปัญหามามากต่อมากแล้ว ท่านหาอุบายให้เขาถามปัญหา เวลาเขาถามมาปั๊บ

"เอ้า..บัวตอบ"

ท่านจะแอบฟัง ท่านว่าอย่างนั้น ท่านถามไม่ถอย คุยไม่ถอย เราจะตายหลังจากนั่งสนทนากับท่าน ด้วยความพอใจของท่าน ท่านเอาจริง สนใจภาคปฏิบัติ สนใจมากทีเดียว"

เถรี 07-04-2024 08:47

ไปภาคใต้ พบพ่อลูกที่นราธิวาส

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ องค์หลวงตารับนิมนต์กระทรวงมหาดไทยไปทางใต้ เพื่อร่วมงานบุญฉลองวัดเขากง จังหวัดนราธิวาส โดยพำนักอยู่วัดประชาภิรมย์ การไปงานนิมนต์ในครั้งนี้ ถึงกับทำให้ข้าราชการนายหนึ่งร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มปีติ ที่ไม่มีโอกาสได้ไปกราบ แต่กลายเป็นท่านบินฑบาตมาโปรดถึงที่อยู่ด้วยองค์ท่านเอง ดังนี้

"เราก็เดินไปคนเดียวไปบิณฑบาต เราได้รับคำยกยอคราวนั้นละ เราอยู่เมืองไทยมากี่ปีกี่เดือนไม่เคยได้รบคำยกยอ วันนั้นได้รับยกยอ พ่อกับลูกสาวยืนรอใส่บาตร พ่อเลยบอกลูกสาวว่า

"นี่ลูกดูซิ ดูพระองค์นี้ทำไมสง่างามมาก เดินอย่างสง่าผ่าเผยองค์เดียวมา ดูท่าทางการเดินการไปการมา ความสำรวมระวังเรียบไปเลย พ่อก็ไม่เคยเห็น ดูซิลูก..สวยงามมากนะ พระองค์นี้จะไม่ใช่พระอยู่แถวนี้นะลูก พระองค์นี้ต้องอยู่ในป่า อยู่แถวไหนค่อยทราบ"

พ่อกระซิบบอกลูกสาวอยู่อย่างนั้นให้ดู ดูซิลูก ๆ พระองค์นี้แปลกอยู่นะ กระซิบบอกลูกเรื่อย ดูซิลูก ๆ เรื่อย เราก็เดินเข้ามา ๆ เขาเป็นหัวหน้า ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง) เขาพูดกับลูกสาว ลูกสาวรอใส่บาตร วันนั้นพ่อมาใส่บาตรด้วย พ่ออยากใส่บาตรเป็นกำลัง พอเดินเข้ามาจนกระทั่งถึงที่รับบาตร

พอมาถึงก็นิมนต์เราเข้าไปรับบาตร พอเรารับบาตร ก็ขันเท ๆ หรืออะไร ใส่ขันหนึ่งแล้ว เราขยับออกปุ๊บปั๊บใส่อีก เราก็เลยรับอีก พอรับที่สองแล้วยังจะเอาอีก ใส่อีก ถึงสองแล้วเราบอก
"ให้รอให้องค์อื่นรับบ้าง พระท่านก็บิณฑบาตด้วยกัน มาแถวนี้แหละ ให้ท่านบ้าง"

"โอ๊ย..ผมมีเยอะอยูข้างบน" ว่าอย่างนั้นนะ

จัดบาตรอยู่ข้างบน ฟาดใส่นี่ เทหมดเลย เลยพาลูกใส่หมดเลย ที่ยกไปนั่นน่ะ เทใส่บาตรเราเต็มหมดเลย บอกเท่าไรไม่ฟังเลย ไม่สนใจมีแต่จะรุกเรื่อย พอใส่บาตรเสร็จแล้ว อ้าว..มันก็เต็มบาตรจะไปไหนนี่ ? ก็มันเต็มบาตรแล้วนี่ จะไปข้างหน้าไม่ได้แล้ว ก็มีบ้านหนึ่งอยู่ข้างหน้าเขารออยู่ ไปรับกันเสียก่อน เขาก็เตรียมปุ๊บปั๊บลงไป เขาไปเอากะละมังของเขาลงมารอเทบาตรเรา

พอใส่บาตรลงปั๊บ แกก็เอารถแก แกเป็นหัวหน้า ตม. แกมีรถ ปุ๊บปั๊บเอาบาตรเรามาเทเสร็จเรียบร้อยเต็มนะ เทหมดเราจะกลับ อ้าว..ทางนู้นก็รุมจะคอยรอใส่บาตรเรา ฟาดทีเดียวเต็มหมดเลยวันนั้นกลับมา นั่นละที่ว่า"ผมได้ยินชื่อเสียงท่านอาจารย์มานานแล้ว ผมจนหมดหวังแล้ว นี่ที่ผมดีใจมาก ทีแรกผมอยู่ ตม.หนองคาย ครั้นมาตอนนั้นถ้าหน้าฝนก็เลอะไปด้วยขี้ตมขี้โคลน..เข้าไม่ได้ ถ้าหน้าแล้งก็เต็มไปด้วยทราย รถเข้าไม่ได้ จากนั้นก็เลยย้ายไปทางอุบล จนกระทั่งย้ายมาทางนี้ หมดหวังว่าจะมากราบท่านอาจารย์ที่นี่ ไม่เคยมีวาสนา วันนี้ผมมีวาสนามาก"

เถรี 07-04-2024 08:51

พูดน้ำตาร่วงนะ ไม่ใช่ธรรมดา ผมหมดหวังแล้ว กลับมาเจอตอนที่หมดหวังแล้ว อยู่หนองคายจะมาหาท่านอาจารย์ก็มาไม่ได้ แล้วย้ายไปอยู่อุบลฯ ย้ายจากอุบลฯ ก็ไปนราธิวาส นั่นละ..มาเจอกันที่นั่น

ทีนี้พอมาใส่บาตรหมดแล้ว วันนั้นตามทั้งวันเลย ตม.คนนี้ งานการไม่สนใจ เอารถของแกนั่นแหละ พาเราไปเที่ยวนู้นเที่ยวนี้ เฝ้าเราทั้งวัน บริการทั้งวัน บอกให้ไปทำงาน "ไม่เป็นไร..ผมมีลูกน้อง ผมสั่งลูกน้องแล้ว" ว่าอย่างนั้นนะ บริการเราทั้งวันเลยในวันนั้น ชื่อพันตำรวจโทวีระ เราเลยจำได้ แกพอใจพูดขึ้นน้ำตาร่วง ๆ นะ ครั้งสุดท้ายละที่นี่

พอเสร็จงานแล้วแกก็มารออยู่ที่ห้องเราพัก ไม่ไปทำงานที่ไหนเลย เฝ้ากลางวันก็พาไปเที่ยวทางโน้นทางนี้ ซอกแซกซิกแซ็กไปหมด บอกให้ไปทำงานก็ไม่ยอมไป
"ผมพอใจแล้ว ผมมุ่งใส่ท่านอาจารย์มาตั้งแต่อยู่หนองคาย หมดหวัง ฟาดไปอุบลฯ ยิ่งหมดหวัง นี้ฟาดลงมาทางนี้แล้วหมดหวังใหญ่ ทำมาเจอเอาอย่างนี้"

แกดีใจ พูดน้ำตาร่วงเลย ทีนี้พอไปรับอะไรเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ในงานเขาถวายมากมายของกองพะเนินเทินทึก มาวัดประชาภิรมย์ละ เราถามเขา "พระในวัดนี้มีกี่คณะ ? ให้ไปถามดู..มีกี่คณะ ?"

ถามแล้วเราก็จัดเอาของทั้งหมดที่เขาถวายเรา เอาไปแจกพระตามคณะต่าง ๆ หมดเลย เราไม่เอาอะไรเลย "อ้าว..ท่านไม่เอาอะไรเลยเหรอ ?"

"เอาแล้ว..เอาบุญแล้ว" เราว่าอย่างนั้น

แกเห็นว่าอะไร ๆ ก็ตาม พอมาในงานนิมนต์ ๆ แทนที่จะเอาอะไรตามเขาถวาย ไม่เอาเลย ให้ไปแจกคณะนั้น ๆ กี่คณะเราให้เอาไปแจกหมดเลย เพราะของมากต่อมาก

ทีนี้บทเวลาเราจะจากแกมา ก้มหน้าน้ำตาร่วง ๆ "หมดหวังแล้วทีนี้ผม แต่ก็ยังมีหวังที่ได้พบท่านอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้พบท่านอาจารย์อีกแล้ว"

ว่าอย่างนั้นนะ ก้มหน้าน้ำตาร่วง ผู้ชายน้ำตาร่วง เราก็เลยขึ้นรถ จากแกมาก็นั่งรถยนต์มาขึ้นเครื่องบินที่ปัตตานีหรือนราธิวาสที่ไหนลืมแล้ว ขึ้นเครื่องบินกลับ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้พบกันอีกเลยจนป่านนี้แหละ แกคงเกษียณแล้วนานแล้วนะ

ขบขันดีอยู่นะ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ไปอีก นราธิวาสไม่ได้ไปอีกเลย นี้ไปในงานเขานิมนต์กระทรวงมหาดไทย ตอนนั้นใครเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวง นั่นละ..เขานิมนต์เราไป แล้วไม่ได้ไปอีกเลยจนกระทั่งป่านนี้ละ นราธิวาสไม่ได้ไปอีกเลย ปัตตานีเหล่านี้ไม่ได้ไป สงขลา หาดใหญ่ ไปบ่อย แต่เป็นที่ว่าผ่าน ๆ ไม่ได้ไปซอกแซกซิกแซ็กก็คือทางภาคใต้เรา ภาคอื่นภาคไหนไปหมดแหละ ไม่มีอะไรก็ไปละ.."

เถรี 03-05-2024 21:48

ลูกบุญธรรม..เฆี่ยนตีได้

องค์หลวงตาได้เกี่ยวข้องกับพระ เณร ประชาชน หลากหลายลักษณะ ซึ่งท่านก็มีวิธีปฏิบัติกับแต่ละบุคคลแต่ละคณะแตกต่างกันไป สำหรับความเกี่ยวข้องในลักษณะความเป็น "บุตรบุญธรรม" ขององค์หลวงตานั้น ส่วนหนึ่งของการแสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๓ และ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ กล่าวไว้ ดังนี้

"อาหารที่มาใส่บาตรทุกวันนี้ อาหารประชา (พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก) เรานี่นะ ประชานี่ลูกบุญธรรมหลวงตานะ ลูกโปรดคนหนึ่งนะ ตีได้ ฆ่าได้ เฆี่ยนได้ ลูกคนนี้ มอบภาระให้ผู้กำกับการตำรวจอุดรฯ มาถวายจังหันแทน ปิ่นโตนี้เท่าต้นเสานี่ของง่ายหรือ ?

"อ้าว มันใหญ่ก็บอกว่าใหญ่ซี ใหญ่ไปว่าเล็กมันขัดกัน"

ปิ่นโตนี้เป็นชั้น ๆ เมื่อเช้ามาก็เห็นตั้งอยู่ มาประจำหลายแล้วนะ เราก็ดูเห็นเขียนชื่อเจ้าของไว้บนปิ่นโต มาตั้งกึ๊กนี้ เราเป็นหัวหน้าก็ต้องเอาก่อนใครล่ะซี แล้วก็แจก..มาถวายตัวเป็นลูกบุญธรรม โอ๊ย นานแล้ว ตั้ง ๓๐ ปี

ฟ้าหญิงฯ ท่านมาเหมือนกัน ฟ้าหญิงฯ นิมนต์ เราไปเยี่ยม ไม่นานก็ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ พออันดับที่สองถวายตัวเป็นลูก ฟ้าหญิงเล็กนะ ถวายอยู่ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธละมั้ง ("ครับ ใช่ครับ")

นิมนต์เราไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ นี่ละอำนาจของธรรม ความคิดถึงครูบาอาจารย์นี้เป็นสำคัญมาก พวกเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรักษาท่านเวลาท่านป่วย อยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ชื่อโรงพยาบาลก็เป็นโรงพยาบาลกรุงเทพ อยู่ในกรุงเทพฯ นั่นแหละ พูดคำไหนออกมาก็คิดถึงท่านพ่อ คืออยู่ในโรงพยาบาล

"คิดถึงท่านพ่อ อยากไปเยี่ยมท่านพ่อ" อยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งพวกรักษาอยู่นี้น้อยใจ เสมือนหนึ่งว่าพวกหมอเหล่านี้ไม่มีความหมายเลย พูดคำไหนออกมาก็ท่านพ่อ"


สำหรับที่มาของคำว่า "ลูกบุญธรรม" ขององค์หลวงตานั้น องค์หลวงตาเล่าให้พระเณรฟังประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ถึงเหตุการณ์ในราวปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกที่ท่านเมตตารับคุณพรสวรรค์ คูสกุล มาเป็นลูกบุญธรรม พระวัดป่าบ้านตาดรูปหนึ่งได้ยินคำกล่าวขององค์ท่านในวันนั้นว่า

"
โยมพรสวรรค์ตอนเด็ก ๆ ป่วย พ่อแม่ก็เลยพามายกให้เป็นลูกองค์หลวงตา ท่านก็เลยรับไว้ ในสมัยนั้นทางพระเรายังไม่ได้เรียกลูกบุญธรรม องค์หลวงตายังกล่าวให้พระเณรฟังอีกด้วยว่า "เรารับใครก็รับจริงจัง ไม่ได้รับสักแต่ว่าเป็นพิธี"

เมื่อองค์หลวงตาเมตตารับเป็นลูก ไม่นานปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่กลับดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึง


เถรี 05-05-2024 22:05

สงเคราะห์หน่วยงานราชการ

องค์หลวงตาให้ความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือหน่วยราชการหลายหน่วยในด้านต่าง ๆ กัน เพราะท่านเห็นว่าเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการให้ความสะดวก ให้บริการช่วยเหลือแนะนำในการประกอบอาชีพ สารทุกข์สุกดิบบำบัดทุกข์บำรุงสุข รวมทั้งสวัสดิการต่าง ๆ แก่ประชาชนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

เมื่อหน่วยราชการต่าง ๆ มาขอความช่วยเหลือ หากเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและสมเหตุสมผล ท่านก็เมตตาอนุเคราะห์ให้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เครื่องอุปโภคบริโภค รถยนต์ รถตู้ รถบัส เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำงาน

สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในหน่วยราชการ ซื้อที่ดิน สร้างถนน ห้องอาบน้ำ สุขาหน่วยราชการ ทำฝนเทียม เงินว่าจ้างเจ้าหน้าที่ฯ เจาะบาดาล ติดตั้งไฟฟ้า สมทบสร้างอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

นอกจากนี้ยังมีในรูปของกองทุน เช่น ตั้งมูลนิธิพระราชญาณวิสุทธิโสภณฯ เพื่อสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๒๔ ด้วยทุนเริ่มต้น ๑๒ ล้านบาท เพื่อนำดอกผลไปช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำ ตลอดทั้งครอบครัวรวมถึงเป็นทุนการศึกษาแก่ลูกหลานอีกด้วย

หากไม่นับสถานพยาบาลและสถานศึกษา หน่วยราชการที่ท่านให้ความช่วยเหลืออื่นมีอยู่หลายจังหวัดในทุกภาคทั่วประเทศ ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลายจังหวัด หน่วยงานทหารหลายกรมกอง สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมราชทัณฑ์ กรมป่าไม้ โครงการในพระราชดำริ ที่ทำการจังหวัดหลายจังหวัด ฯลฯ

การสงเคราะห์ช่วยเหลือขององค์หลวงตานั้น ส่วนใหญ่ท่านจะดูแลด้วยองค์ท่านเอง แต่ถ้าเป็นสถานที่ไกลออกไป ท่านก็มอบหมายให้พระหรือฆราวาสที่ท่านไว้ใจ ให้รับผิดชอบดำเนินการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์แทนท่าน ขอยกตัวอย่างการแสดงธรรมเกี่ยวกับการสงเคราะห์ช่วยเหลือหน่วยราชการเพียงเล็กน้อย พอให้มองเห็นภาพรวมในเมตตาธรรมของท่านต่อหน่วยราชการ ดังนี้


เถรี 05-05-2024 22:08

"..จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ที่ราชการต่าง ๆ ทั่วไปหมด เวลานี้เรือนจำก็มีอยู่สองโรงหรือสามโรง ที่ช่วยอยู่เวลานี้ อุดรฯ เวลานี้กำลังปลูกสร้างหลังหนึ่ง แล้วสว่างแดนดินนั้นก็กำลังจ่ายเป็นงวด ๆ ลาดยาวนี้สองหลัง รวมแล้วอย่างน้อย ๓๐ ล้าน ขึ้นแล้วหลังหนึ่งถึงชั้นสามแล้ว หลังที่สองกำลังเทคาน ระยะนี้มีสาม หนองบัวลำภูผ่านมาแล้ว นี่ก็เรือนจำ

ทางด่านไปน้ำหนาวเราก็สร้างให้เขาเยอะเหมือนกันนะ พวกบ้านพักตำรวจ เจาะน้ำบาดาล เอาไฟฟ้าแรงสูงมา โอ๊ย..หลายอย่างนี่ก็ให้ท่านชิต ท่านชิตอยู่ที่น้ำหนาว น้ำหนาวกับอันนี้มันติดกัน สั่งท่านชิตไปเลย ให้ท่านชิตมาทำหน้าที่แทนเราเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านชิตบ้านท่านอยู่เพชรบุรี แต่ท่านเป็นพระวัดป่าบ้านตาด อยู่นี้ตั้งสิบกว่าปีนะ แล้วไปอยู่น้ำหนาว

นี่ละ..เวลาจำเป็นก็อย่างนี้ละ ต้องสั่งมอบให้ลูกศิษย์คนนั้น ๆ เพราะเจ้าของไปดูไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ตาม ใกล้ชิดกับลูกศิษย์คนไหน ๆ มอบให้ลูกศิษย์คนนั้นทำหน้าที่แทน อย่างที่ให้ท่านชิตทำแทนที่ด่านฯ แล้วให้ท่านคลาดทำแทนที่พังงา ที่อื่นก็เหมือนกัน แบบเดียวกันแหละ เพราะเราไปไม่ทั่วถึง มันไกล..ลำบาก ลูกศิษย์มากก็ดีอย่างหนึ่ง เวลาจำเป็นที่ไหนมอบให้คนนั้นทำแทน มอบทางโน้น มอบทางนี้เรื่อย ทุกแห่งนะ มอบไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

เพราะงานเรามันกว้างขวางมาก การช่วยชาติเรียกว่าทุกภาคเสมอกันหมดเลย ความจำเป็นมากน้อยเพียงไรนี้ถือเป็นสำคัญ ช่วยมาตลอดอย่างนี้ แล้วที่เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ ก็มอบให้ลูกศิษย์ทำแทน ถ้าสงสัยอะไรให้ถามมา นี่..เรียกว่าทางวงราชการ เราก็ช่วยอย่างนี้.."

เถรี 10-05-2024 22:42

ด้านธรรมะสำหรับชีวิตและการงาน

ท่านเมตตาให้ธรรมะเป็นข้อคิดเตือนใจแก่คณะผู้ใหญ่ผู้น้อยของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มากราบเยี่ยมท่านเสมอ ๆ ให้รู้จักนำศีลนำธรรรมมาเป็นหลักยึดเหนี่ยวในจิตใจ ไม่ให้เผลอเพลินลืมเนื้อลืมตัว

อย่าบ้า...ลาภยศสรรเสริญ

คราวหนึ่งท่านแสดงธรรมอย่างเป็นกันเองแบบลูกหลาน โปรดคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ร่วมกับนักธุรกิจจำนวนเกือบ ๕๐ คน ดังนี้

"นี่มาจากทางไหนกันบ้างนี่ ?"
"มาจาก...มาดูงานทางภาคอีสาน ก็เลยมากราบครับ"

"เหรอ..มาดูงานเหรอ ? เคยมาวัดป่านบ้านตาดคนเดียวยังล่ะ ? เหล่านี้เคยมาแล้วยัง ?"
"ครั้งแรก..ไม่เคยมาเลยครับ"

"ไม่เคยมา แต่โรงลิเกละคร ระบำรำโป๊ พวกบ้า ๆ นั่นไปทั้งนั้นใช่ไหม ? ..หือ ?"

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเลวที่สุดนะ มองไม่ทัน ถ้าเป็นหมา จับหางดึงไว้ หางขาดยังบืน (คืบคลาน) ไปได้นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเป็นเรื่องศีลเรื่องธรรม นี่ก็เอาไสเข้าไปเท่าไรก็ไม่ยอมไปนะ เวลานี้โลกกำลังสกปรกมาก สกปรกจริง ๆ สายตาของธรรมดูไม่ได้นะเวลานี้ แต่กิเลสมัน แหม..มันเพลิน มันไม่รู้จักเป็นจักตายนะ..

เรื่องมั่วสุมกับกิเลส ความโกรธ ราคะ ตัณหา นี่ตัวสำคัญ สกปรก รกรุงรัง ก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้โลกคือตัวเหล่านี้เอง แต่โลกชอบกันมาก สุดที่จะแยกออก ไปเพื่อศีลเพื่อธรรม มันไม่อยากแยกนะ มันดีดมันดิ้นอยู่นี่

พระพุทธเจ้ากี่พระองค์มาตรัสรู้ ลากไปเท่าไรมันไม่ยอมไป มันสู้ส้วมสู้ถานไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นนะ สวรรค์นิพพานไม่ได้เลิศเลอยิ่งกว่าส้วมกว่าถาน เวลานี้กิเลสมันดึงลงไปขนาดนั้นนะ ให้เพลินในส้วมในถานไป มันไม่ค่อยเห็นเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องคุณงามความดีที่เลิศเลอยิ่งกว่านี้ ขนาดไหนมันไม่ยอมให้เห็นนะ..กิเลส เราไม่ได้ตำหนิใครนะ กิเลสมันอยู่ในหัวใจคน เราก็ตำหนิเข้าไป มันก็ต้องโดนคนจนได้นั่นแหละ จะว่ายังไง ?"


เถรี 10-05-2024 22:42

"พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า นานขนาดไหน..? เพราะเกิดยากแสนยากที่สุด ท่านมาสั่งสอนสัตว์โลก เมื่อเวลาได้บรรลุธรรมถึงขั้นพระอรหัตภูมิเต็มตัวแล้ว เป็นศาสดาเต็มองค์แล้ว มองสัตว์โลก..ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาเพื่อสั่งสอนสัตว์โลก ตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสัตว์โลก

พอตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว มองดูสัตว์โลกแล้ว มืดแปดทิศแปดด้าน ทรงท้อพระทัย จะสั่งสอนไปได้ยังไง เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว ?

เห็นไหม..? ขนาดนั้นแหละ ท่านดูพวกเรา เรายังมัวเมาเกาหมัดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ลืมหูลืมตา รื่นเริงบันเทิงกับมูตรกับคูถตลอดเวลา มันน่าสลดสังเวชไหม ?

เวลานี้ยังโอ่อ่าฟู่ฟ่าอยู่นะ เป็นบ้ากับยศกับลาภ กับสรรเสริญเยินยอ ให้เขานับหน้าถือตา อวดมั่งอวดมีอวดดีอวดเด่น อ๊วดด..ไปอย่างไม่มี ลม ๆ แล้ง ๆ หาเหตุหาผล หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ คือ กิเลสหลอกคนให้เป็นบ้ากับอันนี้ มันไม่มองดูธรรมนะ ธรรมเป็นของจริง เลิศเลอขนาดนี้กี่เท่าพันทวี สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอย่างที่เราดูฝูงหนอนมันอยู่ในส้วมนั่นล่ะ เพียงเราดูลงไปเท่านั้น มันเป็นยังไง..วิสัยหนอนกับเรา ?

ทีนี้วิสัยแห่งธรรมกับวิสัยของกิเลส ที่สกปรกสุดยอด วิสัยแห่งธรรมที่สะอาดสุดยอด ดูกัน..เป็นยังไง ? ก็เห็นกันอย่างงั้นชัดเจน..นั่นล่ะ..

นี่..โลกมันถึงไม่อยากมองดูนั้น มันมัวดูแต่ส้วมแต่ถานตลอดเวลา ไม่ว่าเขาว่าเรานะ อย่าไปตำหนิใครนะ หมายถึงหัวใจแต่ละดวง ๆ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ถ้ากิริยาท่าทางออกมาแสดงประดับร้านว่าสวยว่างาม ว่าโอ่อ่าฟู่ฟ่า มีบ้านมีเรือน มีสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อย มีบริษัทบริวารมาก นี่..เอามาโอ่อ่าฟู่ฟ่าประดับร้าน แต่ภายในหัวใจเป็นไฟด้วยกันหมด..ฟังซิน่ะ..

เอาธรรมจับเข้าไปมันก็เห็นนะสิ ดูหัวใจดวงใดมันมีแต่ฟืนแต่ไฟ ด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความรีดความไถ ความเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา.."

เถรี 13-05-2024 00:37

ความเสียสละ

"การเสียสละนี้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นคุณแก่ตนเอง ให้ไปโน้น..ย้อนกลับมาหาเจ้าของ เหมือนเราเปิดประตู อากาศเข้ากับอากาศออกประสานกันทันที การให้ไปกับการได้มาประสานกันทันที นี่แหละการเสียสละ เปิดออก..เปิดประตูเสียสละ เปิดออกกว้างก็ออกได้กว้าง เข้าก็เข้าได้มาก เวลาเราเปิด เปิดแคบ ออกก็ออกได้น้อย เข้าก็เข้าได้น้อย

สมมติว่าอากาศก็ดี น้ำก็ดี ถ้าเปิดประตูน้ำเป็นส่วนน้อยก็เข้าน้อยออกน้อย เปิดมากก็เข้ามากออกมาก ปิดเลยไม่ให้มันออก ทีนี้มันเลยไม่เข้า..!

คนเป็นนักเสียสละ คนมีแก่ใจ ไปไหนเย็น มีเพื่อนมีฝูงก็มาก มีคนเคารพนับถือ ถ้าเป็นเด็กก็เป็นเด็กน่ารัก เป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพบูชา น่าคบค้าสมาคม ความใจกว้าง ไปที่ไหนเป็นอย่างนี้ ถ้าคับแคบปิดตัน ไปที่ไหนตีบตันอั้นตู้ไปหมด เวลาจะตายก็ไม่มีใครไปกุสลามาติกาในงานศพให้ เห็นแต่หมาเดินด็อก ๆ แด็ก ๆ ในงานศพ มันมาหากินเศษอาหาร ไม่ได้กินข้าว หมาจวนจะตายเพราะความตระหนี่ของคน ถ้าตระหนี่ถี่เหนียว ตายแล้วไม่มีใครไปเผาศพ หมาจะมากินเศษอาหารก็ไม่ได้กิน ทุกข์ทั้งหมาทุกข์ทั้งคน..!

คนใจคอกว้างขวางไปไหน เพื่อนฝูงก็มาก เวลาตายนี่คนเต็มไปหมดในงานศพ บอกอย่างชัดเจนว่าคนมีอัธยาศัยกว้างขวาง ใครก็มาด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยความเคารพนับถือ ด้วยความรักความสนิทสนมกัน ความเสียดาย ไม่เหมือนคนตระหนี่ถี่เหนียวตายนะ คนไม่มีในงานศพ หมาเลยหิว อย่าทำนะแบบหมาหิว เข้าใจไหม ?"


เถรี 16-05-2024 01:04

อย่ากินบ้าน กินเมือง

องค์หลวงตามีความเมตตาสงสารและห่วงใยชาติบ้านเมืองเป็นพื้นในจิตใจตลอดมา ดังนั้น..เมื่อมีโอกาสสั่งสอนตักเตือนกลุ่มข้าราชการงานเมือง ท่านก็มักจะแสดงธรรมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกับคราวนี้

"นี่ละ..วัดหนึ่ง ๆ ครอบครัวหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับหัวหน้าครอบครัว ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าฯ ขึ้นไปเป็นลำดับลำดา ให้มีศีลธรรมเป็นเครื่องกำกับตัวเองอยู่เสมอ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว

เวลานี้เราปล่อยให้กิเลสเข้าไปตีตลาด ตามโรงงานต่าง ๆ มีแต่กิเลสตีตลาดทั้งนั้น แหลกเหลวไปหมด ศีลธรรมเข้าใกล้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..บ้านเมืองถึงเหลวแหลก เหลวแหลกดังที่เห็นอยู่นี่แหละ ไม่ใช่เหลวแหลกแบบไม่มีคน คนตายฉิบหาย มันเหลวแหลกด้วยความประพฤติ เหลวแหลกด้วยความเป็นอยู่ด้วยกันอย่างนี้แหละ หาความไว้วางใจกันไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมเป็นที่ไว้วางใจ

ไปที่ไหนก็เหมือนกับลิง คอยกิน..กิน คอยคด..คด คอยโกง..โกง คอยจะได้โอกาสอันไหนนี้ รีดไถทุกแบบทุกฉบับ สุดท้ายข้าราชการเลยเป็นผีตัวหนึ่ง เป็นยักษ์ตัวหนึ่ง ชาติบ้านเมืองเขาก็เอือมระอาซิ..!

เงินทุกบาททุกสตางค์ได้มาจากประชาชนราษฎรทั้งนั้น เป็นภาษีอากรเข้ามาเพื่ออุดหนุนประเทศชาติบ้านเมืองให้มีความแน่นหนามั่นคง กลับเป็นเปรตเป็นผี ให้เปรตให้ผีไปกินเสียหมด มันใช้ไม่ได้..!

วงราชการแต่ละวงเลยกลายเป็นวงสังหารประชาชน วงสังหารประเทศชาติบ้านเมือง อย่างนี้ดูไม่ได้..ใช้ไม่ได้เลย..!

เพราะฉะนั้น..ขอให้พี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธปฏิบัติตามศีลธรรมนี้ ขอให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเข้าไปโดยลำดับ เพื่อความสงบเย็นและมั่นคงของบ้านเมืองเรา"

เถรี 16-05-2024 01:09

"การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าวงราชการจะเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมดทุกรายนะ เราพูดถึงรายที่ไม่ดีต่างหาก ซึ่งมีจำนวนมากต่อมาก อันนี้มีมากจริง ๆ อยู่ที่ไหน ๆ ไม่คณนาได้ เต็มไปหมดในวงราชการแผนกต่าง ๆ ยังเย่อหยิ่งจองหองเสียด้วยนะ วงราชการไม่ระลึกเลยว่าตัวเองกินเงินเดือนของประชาชนราษฎร เย่อหยิ่งจองหองจนน่าเกลียด เป็นเจ้าอำนาจกดขี่บังคับประชาชนหลายแบบหลายฉบับนะ

คนนี้แบบนี้ คนนั้นแบบนั้น ๆ ถ้าไม่ได้ใต้โต๊ะเหนือโต๊ะเสียก่อนเป็นขัดเป็นแย้ง เป็นหาอุบายเท่านั้นเท่านี้อยู่จนได้ นี่สิ..ที่มันน่าเกลียดเอาเหลือเกินนะ เอือมระอาเอามาก ประชาชนราษฎรไปแต่ละครั้ง ๆ เสียเวล่ำเวลามาบ้านมาเรือน ค่ารถค่าราอาหารการกิน หน้าที่การงานต้องเสียไปสักเท่าไรไม่ได้คำนึง คอยแต่จะเอาใต้โต๊ะเหนือโต๊ะ ถ้าไม่ได้จะต้องหาอุบายนั้นอุบายนี้

เวลานี้วงราชการเป็นอย่างนี้นะ เสียเอามากมาย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ทุกคน นี่คือความจริง เราไม่ได้หาเรื่องใส่คน เราสอนคนเพื่อความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน

มันเป็นอย่างนี้เวลานี้ เขาเบื่อจริง ๆ เบื่อวงราชการเวลานี้ ไม่ใช่ธรรมดานะ แต่ประชาชนถึงเขามีปาก เขาก็ไม่พูดง่าย ๆ ถ้าพูดก็เป็นภัยต่อปากเจ้าของอีกแหละ เพราะพวกนี้พวกเจ้าอานาจ อำนาจอันนี้มันอำนาจบ้า ๆ เถื่อน ๆ เสียด้วยนะ ไม่ใช่อำนาจธรรมดา ไม่อย่างนั้นมันก็ทำชั่วไม่ได้ ถ้าไม่ใช้อำนาจแบบนี้

ชีวิตมันเกี่ยวโยงกันไปหมดไม่ว่าภาคไหน ๆ ชีวิตอยู่กับจุดศูนย์กลางคือชาติ ต่างคนต่างระลึกถึงชาติเสมอ อย่าระลึกถึงตนยิ่งกว่าชาติ ถ้าลงชาติได้ล่มจมไปแล้ว ใครจะไปนั่งบนเก้าอี้เป็นเทวดาอยู่ได้คนเดียว ไม่เคยมี..ต้องเป็นกองทุกข์เหมือนกันหมด ให้เราเห็นใจประชาชนราษฎร

นี่..ความห่างเหินจากศีลจากธรรมเป็นอย่างนี้ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ ศีลธรรมคือเครื่องยึดเหนี่ยวของใจและความประพฤติหน้าที่การงานทั้งปวงให้เป็นไปเพื่อความดีงาม ถ้าปราศจากศีลธรรมเสีย อะไร ๆ ก็เหลวไปตาม ๆ กัน ฉะนั้น..ศีลธรรมจึงเป็นธรรมที่จำเป็นมาก"


เถรี 21-05-2024 00:16

อย่าเห็นแก่ตัว จงเห็นแก่ชาติ

ครั้งหนึ่งองค์หลวงตาเมตตาแสดงธรรมแก่หน่วยงานราชการกลุ่มใหญ่ ดังนี้

"การปกครองกัน ให้คำนึงถึงหลักและกฏเกณฑ์ระเบียบข้อบังคับ นำมาปกครองกัน อย่าเอาอารมณ์มาปกครองกัน อย่าเอาอำนาจวาสนาศักดานุภาพ ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ มีอำนาจมาก อยากทำอะไรก็ทำได้ มาปกครองกันโดยหาหลักเกณฑ์หาระเบียบกฎข้อบังคับไม่ได้ นั้นเป็นความผิด

ต่างคนต่างก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างปกครองในฐานะพ่อแม่กับลูก จะมีความร่วมเย็นเป็นสุข

สมบัติของกลาง เราอย่านำออกไปใช้ในกิจส่วนตัว หรือนำออกจำหน่ายขายกิน นั่นเป็นการขายชาติ เป็นการฆ่าชาติ เป็นการทำลายชาติ เพราะความเห็นแก่ตัว

ความเห็นแก่ตัวนั้นไปไม่รอด ถ้าชาติไปไม่ตลอดเราต้องจมไปด้วยชาติ เราอย่าเห็นแก่ตัว อย่าเอาตัวรอดเป็นยอดดี การคิดเอาตัวรอดแบบนั้นแลเป็นยอดที่เลวที่สุด เพราะคน ๆ หนึ่งอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกันหลายคน เช่นประเทศไทยเรานี้ ทั้งประเทศมีความเกี่ยวโยงกันอยู่ เหมือนกับตาแหตาข่าย ตาหนึ่งขาดก็เกี่ยวเนื่องไปถึงตาแหตาข่ายทั้งหลาย ปลาก็ลอดออกไปที่นั่นได้

ถ้าชาติได้ล่มจมไปเสีย เราจะเอาตัวรอดด้วยวิธีใด ? นอกจากเราต้องจมไปกับชาติเท่านั้น ชาติจมเราต้องจม ชาติอยู่ได้เราก็อยู่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราต้องรักษาเพื่อความอยู่รอดของคนทั้งชาติ การรักษาเพื่อความอยู่รอดเฉพาะเรานั้น เป็นความคิดผิดของบุคคลผู้เห็นแก่ตัวมาก คิดเพื่อความร่ำรวย แต่หารู้ไม่ว่าความคิดนั้นคือเพชฌฆาต สังหารตนและชาติให้ล่มจม..!

ท่านหนึ่งสอนว่า สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นความเกี่ยวโยงกันไปหมด คนในชาติรักคนในชาติ ไม่มีใครที่จะรักยิ่งกว่าคนไทยรักคนไทย ไม่มีใครที่จะรับผิดชอบยิ่งกว่าคนในชาติจะรับผิดชอบคนในชาติของตน และไม่มีใครจะรับผิดชอบยิ่งกว่าเราจะรับผิดชอบในขอบเขตของเรา.."


เถรี 23-05-2024 23:39

ตำรวจดี คนรัก

องค์หลวงตาเมตตาแสดงธรรมโปรดคณะนายตำรวจดังนี้

"เราเป็นตำรวจนี้ก็คือ เป็นผู้ที่รักษาหน้าที่การงานอันสำคัญในส่วนรวม อำนาจอะไรก็มอบให้ตำรวจเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง เพื่อความสงบสุขร่มเย็น ถ้าตำรวจไม่มี โจรมารผู้ร้ายเต็มไปหมด ที่ไหน ๆ ก็เป็นโจรได้ เป็นผู้ร้ายได้

ถ้าไม่มีสิ่งกลัวเสียอย่างเดียว คนเราจะทำชั่วได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อมีสิ่งที่บังคับบัญชา สิ่งที่น่ากลัวอยู่บ้าง ก็ต้องได้ระมัดระวังคนเรา

เพราะฉะนั้น..เมื่อมีตำรวจที่ดีรักษากฎหมายบ้านเมือง เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข มีมากน้อยในสถานที่ใด สถานที่นั้น บ้านเมืองนั้น ย่อมได้รับความสงบร่มเย็น ตำรวจก็เป็นผู้พึ่งเป็นพึ่งตายของชาวบ้าน ในขณะเดียวกันเราอย่าให้ตำรวจเป็นผีเป็นยักษ์ของชาวบ้าน รีดไถเขาก็แล้วกัน เราต้องแยกออกเป็นประเภท ๆ เพราะเรื่องความจริงมีอยู่อย่างนั้น

การประพฤติปฏิบัติตัวเรานั่นแหละ เป็นตัวอย่างอันดีแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย ก่อนหน้าเขาอย่าเอาใครมาเป็นตัวอย่าง ถ้าเอาหลักกฎหมายบ้านเมืองเข้ามาบวกในความเป็นตำรวจของเรา แล้วดำเนินหน้าที่การงานเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อความซื่อสัตย์สุจริต ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ต่อประชาชน ไปที่ไหนประชาชนเขาก็จะรัก

ถ้าผิดเราก็จับจริง ๆ ปรับโทษสินไหมจริง ๆ เพราะคนนี้ผิด เมื่อเราจับอย่างมีเหตุมีผล ปรับไหมใส่โทษด้วยความมีเหตุมีผลนี้ ชาวบ้านเขาก็เห็นใจ เขาก็รักเขาก็ชอบ เขาก็รู้ว่าเราทำถูก ถ้าเราทำตรงกันข้าม ไม่มีหลักมีเกณฑ์ อาศัยแต่อำนาจของความเป็นตำรวจ เอาอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง แล้วทำสุ่มสี่สุ่มห้า แอบหน้าแอบหลังอย่างนั้น เขาก็รู้ เพราะเหตุไร ? เพราะบ้านเมืองนั้นคือใคร ก็คือคน คนมีหัวใจ ตำรวจรู้ คนเขาก็รู้ จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ตรงแนวของตำรวจเรา ผู้มีหน้าที่รักษาชาติบ้านเมือง

ตำรวจไปที่ไหน บ้านเมืองเราจะมีความร่มเย็น คนรัก ไปไหนก็ดี มีเสน่ห์ในตัว เด็กก็รัก ไม่ว่าแต่ผู้ใหญ่รัก เด็กรัก ก็เย็นใจ ก็สบาย เหมือนเรามีคุณค่า ผู้ใหญ่รัก ก็เหมือนเรามีคุณค่า ประชาชนรัก ยิ่งเป็นผู้มีคุณค่ามาก

เพราะฉะนั้น..จงตั้งหน้าตั้งตา ทำตัวของตัวให้เป็นตัวอย่างของตัวเอง ให้มีความร่มเย็น ให้มีความพึงใจในตัวของเราเอง ก่อนที่จะไปปฏิบัติหน้าที่การงานให้เป็นที่พึงใจของประชาชนทั้งหลาย ให้พึงทำตัวเป็นหลักใจนั้นละ ทีนี้ไปที่ไหนประชาชนพลเมืองไม่ว่านักบวชหรือฆราวาสหญิงชาย รักหมด"

เถรี 27-05-2024 23:51

เป็นทหารแล้วอย่าบ้ายศ

"..วันนี้เราน่าตำหนิไอ้หมาหางกุดสองตัว เราตำหนิมันสักหน่อย ทุกวันมันปวดเยี่ยวมันวิ่งเข้าป่า ถ้ามันปวดเยี่ยววิ่งออกมา มันอยู่ห้องที่ (หน่อย) เขาถอดเทป มันมักจะไปนอนแอบอยู่นั้นน่ะ เป็นเสี่ยวกัน หมานี้จะไปติดอยู่นั้นนอนอยู่นั้นน่ะ ครั้นเวลาไปเที่ยวที่ไหนมามานั้น มันจะไปตะกุย ๆ ประตู ก๊อก ๆ ๆ ทางนั้นเปิดประตูรับเข้าปุ๊บเลย..นอนสบาย วันนี้มันปวดเยี่ยวออกมาพอดี เป็นจังหวะเราไปที่นั่น

พอเห็นเราไปข้างนอก เขามองเห็นเรา เขาเปิดประตูปั๊บ หมาสองตัวนั้นก็ออกมา ปุ๊บปั๊บออกมา ออกมาตัวนี้ก็ไปเยี่ยวที่เขาปูเสื่อเรียบร้อยแล้ว ไปเยี่ยวใส่ตรงนั้นเลย ตัวนี้ก็ปุ๊บปั๊บออกมาด้วยกัน ออกไปที่นั่นก็ไปเยี่ยวใส่เสื่อตรงนั้นอีก โธ่..ทำไมเป็นอย่างนี้ไอ้หมาสองตัวนี้

"ทุกวันมันเป็นอย่างนั้นเหรอ ?"
"ไม่เป็น"
"ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?"
"คือแต่ก่อน พอมันปวดเยี่ยวมันจะออกไปเที่ยว พอเปิดปั๊บวิ่งเข้าป่าไปเยี่ยวในป่า"

แล้ววันนี้ฟาดเยี่ยวบนเสื่อเลย เห็นต่อหน้าต่อตา มันเป็นยังไง ? มันขายหน้าเอานักหนา เจ้าของเป็นเสี่ยวกันมาทำไมไม่สอนกัน ? เยี่ยวราดไอ้หมาหางกุดสองตัวนั่น หมาน้อย..อันนี้น่าตำหนิก็ตำหนิ

แต่ที่น่าชมก็คือว่า คนเรานี้ปูพรมไว้อย่างเต็มเหนี่ยว ให้เป็นความสะดวกเพิ่มเกียรติยศชื่อเสียง ให้เป็นศักดิ์ศรีดีงามของมนุษย์เรา ปูเสื่อแล้ว ยังไม่แล้วเอาพรมมาปูอีก แล้วใส่รองเท้าอวด ๆ เดินเหยียบพรมเข้าไป เราเห็นแล้วเราสะดุดใจจนไม่ลืม

ไม่ใช่ผู้น้อยนะ ผู้ใหญ่เสียด้วย นี่ทำตัวที่เลวต่ำทรามที่สุด นี่มันยังไง ? ตั้งแต่หมาเขาก็ไม่เคยใส่รองเท้ามาเหยียบพรม อันนี้คนใส่รองเท้ามาเหยียบพรมที่มีราคาสูงส่ง มันยังไงเป็นอย่างนี้ ? อย่างนี้หรือจะเป็นผู้นำชาติบ้านเมือง มันคิดไปเลยทันที เพราะผู้นี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร มันลืมตัวอย่างนั้นคนเรา ใส่รองเท้าไปเหยียบพรมที่เขาปูไว้อย่างเรียบ

"ก็ถอดเสียซิ..ถอดรองเท้า แต่หมามันยังไม่ใส่รองเท้าไปเหยียบพรม เราเป็นคนทั้งคนและเป็นผู้ปกครองชาติบ้านเมือง ทำไมจึงทำตัวเลวอย่างนี้ ? ลืมตัวขนาดนี้เชียวหรือ ? ใครอย่าไปเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าควรถอดรองเท้าให้ถอด ถ้าไม่ถอดอย่าเข้า ดีกว่าที่จะไปขายตัวอย่างนั้นนะ เลว..เลวมากทีเดียว..!"

นั่น..มันอดคิดไม่ได้นะ ตั้งแต่นั้นมามันจับติดในหัวใจ กิเลสตัวพองตัวนี้ใส่รองเท้าอวด ๆ เข้าไป ว่าตัวนี่ยศใหญ่ ยศใหญ่อะไรมันต่ำกว่าหมาขนาดไหน ? ยศ..หมาเขาไม่ได้ใส่รองเท้าไปเหยียบพรม ไอ้นี้คนแท้ ๆ เป็นผู้ใหญ่ปกครองบ้านเมือง แล้วใส่รองเท้าอวด ๆ ไปเหยียบนพรมให้คนทั้งสังคมนั้นดูอยู่ต่อหน้าต่อตา..!

เราเห็นเองเราเกิดความสลดสังเวช เลยไม่ลืมเหตุการณ์อันนี้ที่เห็นประจักษ์ใจ เพราะฉะนั้น..พี่น้องอย่าทำกันนะ อย่าลืมเนื้อลืมตัวถึงขนาดนั้น.."


เถรี 28-05-2024 22:18

เรือนจำมนุษย์ เรือนจำนรก

"..อยู่ในเรือนจำนั้น เราอย่าเข้าใจว่านักโทษนั้นจะเป็นคนมีโทษทุกคนนะ คนบริสุทธิ์มาติดคุกติดตะรางมีเยอะนะ ก็เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเซ่อซ่า คนที่ฉลาดเขาก็เหยียบหัว เขาก็จับคนนี้ยัดใส่คุก หลักฐานพยานยืนยันก็ลงมายืนยันกับคนโง่หมด..! คนฉลาดมันก็เอาตัวรอด บางคนก็เป็นไปด้วยนิสัยสันดาน อันนั้นไม่ดีเลย

เราสร้างคุณงามความดีเพื่อขึ้นสู่สุคติโลกสวรรค์ถึงนิพพาน นี่คือการสร้างบุญสร้างกุศล ให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด ท่านผู้บริสุทธิ์ที่มาสอนโลกมีเพียงพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นมีแต่กิเลสสอนกิเลส สอนซึ่งกันและกัน ขนกันลงนรกหมกไหม้..!

นรกถ้าไม่ใช่เป็นกรรมของสัตว์แล้ว นรกนี้จะต้องได้ขยายหลุมนรก ๆ ให้กว้างขวาง ไม่อย่างนั้นไม่พอกับสัตว์ทั้งหลายที่ตกวันหนึ่ง ๆ เวลาหนึ่ง คือไม่มีประมาณ ไหลลงอยู่ตลอด เพราะสัตว์โลกทำบาปตลอดเวลา ผู้ทำบุญก็ไหลขึ้นตลอดเวลา ทั้งสองอย่างนี้ไม่ต้องขยับขยาย ไม่ต้องต่อตึกต่อร้านเหมือนอย่างบ้านเรือนของเรา

เรือนจำเขายังต้องขยาย เห็นไหมล่ะ..เมืองมนุษย์เรา ? เรือนจำคับแคบต้องสร้างเรือนจำที่นั่นที่นี่สำหรับคนชั่ว แต่นรกไม่ต้องสร้าง มันจะแน่นอัดขนาดไหนก็ตาม ก็เป็นกรรมของสัตว์ อัดอยู่ในนั้นละ นรกจึงไม่ต้องขยาย

ขุมนรกมีเท่าไร ? มีมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีใครตกแต่ง หากเป็นหลักธรรมชาติ สัตว์โลกทั้งหลายก็ไหลเข้าไปสู่ตามหลักธรรมชาติแห่งความต่ำทรามของตน ผู้ที่จะไปสวรรค์ก็เหมือนกัน สวรรค์เหล่านี้ก็ไม่ได้ตกแต่ง ไม่ได้ขยับขยายอีก ว่าคนไปสวรรค์มากสวรรค์ไม่มีที่พออยู่พอกัน ไม่มี พอดิบพอดี ๆ ถึงนิพพาน

นี่เป็นความพอดีสำหรับกรรมของสัตว์โลก ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วที่มีมากน้อย ให้เชื่อนะ..พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ สอนโลกด้วยความแม่นยำ ด้วยความถูกต้อง มีพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า.."

เถรี 29-05-2024 22:39

ผู้พิพากษาต้องให้ความเป็นธรรมตลอดไป

"..ผู้พิพากษานั้นเป็นหัวใจของโลก คือผู้ที่จะเรียนเป็นทางผู้พิพากษานี้ต้องเป็นธรรม อย่างนั้นจึงว่าหัวใจของโลกอยู่กับผู้พิพากษา สำคัญอย่างนี้

ถ้าผู้พิพากษาใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรมแล้ว ยิ่งแน่นหนามั่นคงเข้าไปในความตายใจของพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศเขตแดน..นี่สำคัญ เหมือนได้พ่อได้แม่ พ่อแม่กับลูก พ่อแม่จะไปทุจริตกับลูกไม่มี มีแต่ลูกมันลอกมันเลิกมันลากพ่อแม่เรื่อยนะ พ่อแม่ที่ไปเลิกไปลากลูกไม่ค่อยมีนะ

ผู้พิพากษาก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนพ่อเหมือนแม่คนภายในประเทศ..นี่ร่มเย็น เป็นผู้ให้ความเป็นธรรมเหมือนพ่อแม่กับลูก พ่อแม่ให้ความเป็นธรรมต่อลูกตลอดไป นอกจากลูกมันชอบลอกชอบเลิกชอบลากเข้าใจไหม..?"

เถรี 18-06-2024 18:29

ทหาร ตำรวจ ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชาติไทย

"ท่านทั้งหลายเป็นทหาร เป็นลูกของชาติไทยเรา ไม่มีใครที่จะรักชาติไทยเรายิ่งกว่าทหาร ตำรวจ นี่เป็นหัวใจของชาติไทยเรา เวลานี้ชาติไทยเราก็ดี ก่อนหน้ามาตั้งแต่บรรพพบุรุษก็ดี ถือปัจจุบันนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าศูนย์กลางก็ดี และจะเป็นไปข้างหน้าก็ดี ทหารทุก ๆ ท่านคือลูกแห่งชาติไทยของเรา ลูกกับพ่อกับแม่นี่จะแยกกันไม่ออก อะไรผ่านเข้ามาที่จะมาทำลายพ่อแม่นี่ ลูกต้องเอาคอขาดแทนเลย นี่เรียกว่าลูกรักพ่อรักแม่

ทหาร ตำรวจ ของเราก็เช่นเดียวกัน คือลูกแห่งชาติไทย อันใดที่จะมาแตะต้องทำลายส่วนรวมซึ่งเป็นหัวใจของชาติไทยเรา เป็นเหมือนกับพ่อกับแม่แห่งเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นตำรวจ ทหาร ตลอดพลเรือนทั่ว ๆ ไปนั้น เราต้องต่อสู้ ต้องรักษาสุดเหวี่ยง เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชาติไทยของเรา คือพ่อแม่ของเรานี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่าทหาร

คือคำว่าทหารนี่ต้องเป็นนักสู้เพื่อตัวเอง ชาติของตัวเอง สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง พร้อมกับคนไทยทั้งชาติ นี้เรียกว่าทหารคือลูกที่ดีของพ่อของแม่คือชาติไทยของเรา...

ท่านทั้งหลายไปเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง ก็เป็นธรรม สำหรับคนทั้งชาติอาศัยซึ่งกันและกัน ก็มีความรักษาและป้องกันเป็นธรรมดาแหละ ขอให้ไปเป็นสุข อยู่เป็นสุข มาเป็นสุข ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นสุข เขาอย่าเป็นศัตรูกับเรา เราไม่เป็นศัตรูกับเขา ต่างคนต่างไปเท่านั้นแหละ

รักษาชาติบ้านเมือง ถึงปืนจ่อกันอยู่ก็ตาม ต่างคนต่างไม่ทำลายกันแล้วปืนมันก็ไม่ดัง..เข้าใจไหมล่ะ ? แบกเต็มบ่ามันก็ไม่ดังละปืน ต่างคนต่างไม่ทำกัน แต่ก็ไปตามหน้าที่ ต่างคนต่างเห็นใจกัน เขาก็คน เราก็คน

ทางธรรมะไม่ทราบจะหนักไปทางไหน จะบอกว่าทางนี้ไป ไปอยู่ที่ไหน ๆ ฆ่ามันหมดทั้งเป็ดทั้งไก่ ชื่อว่าพวกข้าศึกอยู่ที่ไหน ให้ตามฆ่าให้หมด มันใช้ไม่ได้ ขัดกับธรรมอย่างมาก เราก็ไปตามหน้าที่ของเรา เขาก็อยู่ตามหน้าที่ของเขา เรากับเขาก็เป็นคนเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างไม่ทำลายกัน เขาก็ปลอดภัย เราก็ปลอดภัยกลับมา

เข้าใจให้ไปแบบนี้นะ คือปืนนี่ยกขึ้น เราไม่เหนี่ยวไก มันก็ไม่ลั่นละ มันอยู่เฉย ๆ แบกบนบ่าจนหนัก มันก็ไม่เป็นไร เขาเหมือนกัน เราเหมือนกัน ต่างคนต่างไม่เป็นภัยต่อกัน ต่างคนต่างแบกปืนมาหากัน ปืนมันก็อยู่เฉย ๆ มันไม่ดัง เข้าใจไหม ? อันนี้ให้เป็นแบบนั้นนะ ให้ต่างคนต่างอยู่เฉย ๆ ปืนไม่ดัง ทางนู้นก็ไม่ดัง ข้าศึกก็ไม่เกิด เราก็ไปเป็นสุข มาเป็นสุข เขาก็อยู่เป็นสุข ไปเป็นสุขเหมือนกัน

นี่ละภาษาธรรม ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ที่จะให้เป็นธรรมบอกว่า ไปนี่ให้ไปฆ่ามันหมดนะ หมู หมา เป็ด ไก่อย่าเอาไว้เลย ฆ่ามันหมด อย่างนี้ไม่ใช่ธรรม เข้าใจไหม ? เรื่องธรรมก็พูดอย่างที่ว่าละ ไปก็ให้เป็นสุข ตามจารีตประเพณีที่เราอยู่ร่วมกัน รักษาชาติบ้านเมือง ก็ไปเพื่อรักษาชาติบ้านเมือง ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะให้กระทบกระเทือนกัน ก็ไม่ควรให้กระทบกระเทือน"

เถรี 21-06-2024 21:43

สงเคราะห์โรงพยาบาล

การสงเคราะห์ด้านโรงพยาบาลนี้ องค์หลวงตาท่านให้ความสำคัญมากตลอดมา โดยเฉพาะในระยะ ๓๐ ปีสุดท้าย ท่านยิ่งสงเคราะห์มากเป็นกรณีพิเศษ นอกจากนี้ก่อนมรณภาพเพียง ๒-๓ ปี ท่านได้เริ่มโครงการผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี มีประชาชนจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมกันบริจาคเข้าโครงการ จนมียอดเงินบริจาค ๔๖๙.๕ ล้านบาท เหลืออีกเพียง ๓๐.๕ ล้านบาท

และหลังจากองค์ท่านมรณภาพไม่ถึง ๒ เดือนเท่านั้น ปรากฏว่ามีเงินบริจาคมากถึง ๕๐๙ ล้านบาท เกินงบประมาณที่ตั้งไว้อีกด้วย สำหรับเหตุผลที่ช่วยเหลือสงเคราะห์โรงพยาบาลนั้นท่านกล่าวไว้ ดังนี้

"สภาพของคนไข้ที่ต่างรอคอยความหวังจากหมอ เป็นสภาพที่น่าสงสารมาก คนไข้ก็คือคนจนตรอกจนมุม เมื่อวิ่งมาหาหมอ หากหมอไม่มีเครื่องมือที่ดีที่ทันสมัย ก็ก้าวไม่ออก รักษาให้ไม่ได้ และสภาพคนชนบทเป็นคนยากจนเสียส่วนมาก การบำบัดรักษาถ้าพอเป็นไปได้ ก็ควรให้รักษาใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากในการเดินทาง ตลอดสถานที่พักอาศัย การกินอยู่หลับนอน"

หากมีโอกาสฟังเทศน์ของท่านอยู่ประจำ จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า ท่านมีความห่วงใยสงสารคนเจ็บป่วยมาก ท่านพร่ำสอนเสมอว่า

"มนุษย์เราจะยากดีมีจน บุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรืออาภัพวาสนาอย่างไร ก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม และกรรมย่อมจำแนกแจกแจงสัตว์ ให้มีความประณีต เลวทรามต่างกัน แล้วเกิดไปตามวิบากแห่งกรรมของตน ๆ

ดังนั้น..ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน แต่ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน เพราะหากมนุษย์ไม่ช่วยสงเคราะห์มนุษย์ด้วยกัน แล้วใครจะช่วย ? เรื่องความเจ็บป่วยนั้น ถ้าใครโดนเข้า ใครก็ทุกข์ทั้งนั้น เจ็บไปแค่หนึ่ง แต่ครอบครัวพี่น้องพ่อแม่ก็ป่วยทางใจ ป่วยด้วยความห่วงใยอีกเท่าไร จึงควรเห็นใจกัน"


เถรี 21-06-2024 21:43

ในอดีตที่องค์หลวงตายังแข็งแรง ไปมาเองได้ ไม่มีผู้ใดติดตาม การสงเคราะห์ช่วยเหลือโรงพยาบาลของท่านในระยะนั้น ไม่มีการบันทึกไว้เลย เพราะท่านมุ่งประโยชน์ต่อคนเจ็บไข้เท่านั้น ไม่มุ่งประโยชน์อื่นจากการบันทึกข้อมูล

ดังนั้น..หากนับเฉพาะข้อมูลส่วนที่มีการบันทึกไว้ในระยะต่อมา ท่านสงเคราะห์ช่วยเหลือสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งสิ้น ๒๒๕ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นการบริจาคเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องเอกซเรย์ เครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ เตียง เครื่องช่วยชีวิตเด็ก เครื่องช่วยหายใจเด็กทารก เครื่องดูดของเหลว เครื่องช่วยคลอด กล้องจุลทรรศน์ เตียงทำฟันพร้อมอุปกรณ์ ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีรถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ ซื้อที่ดิน ตลอดจนการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น สร้างตึกผู้ป่วย สร้างตึกรวมเมตตามหาคุณ สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ห้องผ่าตัด สร้างกำแพง ฯลฯ

ความเมตตาของท่านไม่เพียงการซื้อวัสดุอุปกรณ์ รถพยาบาล และการก่อสร้างต่าง ๆ เท่านั้น ท่านยังเมตตาบริจาคเงินตั้งเป็นกองทุนเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น กองทุนตึกอุบัติเหตุ กองทุนศูนย์พิทักษ์ดวงตา กองทุนสงเคราะห์คนพิการและผู้ยากจนไร้ที่พึ่ง ฯลฯ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารคนไข้และเจ้าหน้าที่ ค่าจ้างพี่เลี้ยงเด็ก ฯลฯ หากประมาณประเภทของรายการทั้งหมดที่พอจะรวบรวมได้ ไม่น่าจะน้อยกว่า ๗๐๐ รายการ (รายการที่ซ้ำกันเกินกว่า ๑ ชิ้นหรือ ๑ ประเภท นับเป็น ๑ รายการเท่านั้น)

เถรี 25-06-2024 23:25

เปิดโรงทาน..ทุ่มใส่รถพยาบาล

องค์หลวงตาให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือคนเจ็บไข้รายย่อยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยค่ารักษาตา ค่าฟอกไต เป็นประจำทุกเดือน หรือการรับเป็นคนไข้ในอุปถัมภ์ ฯลฯ แม้ในช่วงอาพาธและชราภาพมากแล้ว ก่อนมรณภาพไม่นาน ท่านก็ยังอุตส่าห์หันไปมองความทุกข์ของผู้อื่นและให้การช่วยเหลือ อย่างเช่นกรณีท่านเจ้าคุณอุดรคณาจารย์ วัดโพธิสมภรณ์ ดังนี้

"เจ้าคุณอุดรท่านไม่สบาย เราก็ช่วยเกือบจะ ๒ ล้าน เรายังติดตามอีก ยังมีความจำเป็นอะไรอีก คือเราจะช่วยอีก ท่านเป็นโรคอะไร (เป็นมะเร็งที่โคนลิ้น ตอนนี้ฉันได้แล้ว) ฉันได้แล้วนะ เป็นมะเร็งมีทางหายไหมละ ? (มีโอกาสหายอยู่แล้วครับ)"

และหากมีรถพยาบาลเข้ามาที่วัดป่าบ้านตาดไม่ว่าจะมาจากทางใดก็ตาม พระที่เป็นเวรประจำศาลาจะจัดข้าวของใส่เต็มรถทุกคัน ไม่ว่าจะมาวันละกี่คัน พระศาลาจะปฏิบัติตามนี้โดยเคร่งครัด มิให้ขาดตกบกพร่องโดยเด็ดขาด และหากมาจากโรงพยาบาลที่ไกลมากก็จัดให้มากเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

"เมื่อวานนี้ก็ข้ามเขาภูพานลงไปทางนู้น ไปทางอำเภอเขาวง กุฉินารายณ์ เขามารับของเมื่อวานนี้ พอดีเราก็ไปห้วยผึ้ง ติดกันกับกุฉินารายณ์ กุฉินารายณ์ทางนั้นห้วยผึ้งอยู่นี้ ทางกุฉินารายณ์เข้ามารับของจากโกดัง เราก็เอาไปให้ห้วยผึ้งเมื่อวานนี้ เป็นอันว่าที่กาฬสินธุ์ได้สองโรงเมื่อวาน รวมแล้วเมื่อวานนี้ ๕ โรง


โรงทานของเรามีประจำไว้สำหรับโรงพยาบาล วันละ ๓ โรง ๔ โรง ๕ โรง เป็นประจำ ขาดไม่ได้เหมือนกัน อันนี้ก็ดี อันนี้ก็เด็ดเหมือนกันนะ เด็ดไปอีกประเภทหนึ่ง เด็ดเพื่อคนไข้

(อีกคราวหนึ่ง) "วันนี้โรงพยาบาลกระบี่มารับรถตู้ที่ได้รับความเมตตาจากหลวงตา"

"เออ..ให้รอไว้ก่อนนะ" คือออกจากเรานี้ เราจะไปดูรถเสียก่อน เร่งไหม ? ไม่รีบดอกน่า เพราะเรื่องที่เราจะไปดูนี้ มันกว้างขวางยืดยาวขนาดไหน เรื่องราวใหญ่โตมาก อยู่กับจุดที่เราจะดูนี่นะ รอไว้ก่อนนะ

เวลาไป พระท่านเคยแล้ว เอาของบรรจุใส่รถเต็มเลย ไม่ว่ารถโรงพยาบาลที่ไหน ๆ มา เราให้เดินตามที่กำหนดไว้ โรงพยาบาลทั่ว ๆ ไปให้เสมอกันหมด อย่างนี้ก็ให้เป็นพิเศษอีกเพราะมาจากกระบี่ เช่น อุบลฯ มีกี่โรงพยาบาล เราจะให้เป็นพิเศษทุกโรงเลย แล้วอุตรดิตถ์ให้เป็นพิเศษ ทุกโรงเหมือนกันในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ ส่วนชัยภูมิให้สองโรงที่ไกลมาก นอกนั้นให้เหมือนกันทั่ว ๆ ไป กับนาแห้ว

เราสั่งไว้อย่างไรพระจะจดเอาไว้ ๆ เวลาเห็นรถประเภทนั้นมาหรือจังหวัดนั้นมา ที่ควรจะได้รับพิเศษ พระจะจัดให้ตามที่เราเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว เราเองเป็นคนให้ สั่งรถชนิดนี้ลองดู ได้ยินมาเล่าให้ฟัง เราจะต้องไปดูเองก่อน รอให้เรียบร้อยก่อนนะ ให้พูดอะไร ๆ เสียก่อน เพราะงานเรามันมีหลายอย่างหลายด้าน"

เถรี 25-06-2024 23:29

"มีเรื่องจ่ายช่วยเหลือโลกทั้งนั้น ช่วยตลอดเลย นั่นโกดังใหญ่ โรงพยาบาลมาไม่ต่ำกว่าวันละสองโรงสามโรง สี่ห้าโรงในระยะนี้ วันหนึ่ง ๆ วันละสามโรงสี่โรงห้าโรง มาประจำ อันนี้ให้เต็มคันรถ กำหนดไว้ให้พอ เสมอกันหมดเลย คือเราไม่ได้ทำแบบชุ่ย ๆ นะ ทำอะไรแล้วติดตามตลอด เอาให้ถึงความจริง ๆ แล้วก็เอาความเบาใจกลับไป ไม่ให้ขัดข้อง เพราะฉะนั้น..เราจึงเตือน ถามอะไรให้ได้ความก่อน บอกอย่างนั้นเลย

โรงพยาบาลจัดไว้สองประเภทในโกดัง ตั้งแต่อุบลฯ โคราช อุตรดิตถ์ ออกไปไกลกว่านั้นอีก เราให้เป็นพิเศษ ของที่เป็นพิเศษมีอะไรอีกนั่น กำหนดให้เสมอกันหมดที่พิเศษ ที่ธรรมดาก็ให้เสมอกันหมด รถที่ไหนมาที่ว่าเป็นพิเศษ ก็ให้พิเศษเสมอกันหมด แต่น้ำมันรถนั้นทุกคัน พอมาถึงวัดแล้วก็เติมน้ำมันให้เต็มถัง ๆ ทุกคันเลย ไม่ว่าใกล้ว่าไกล

เดี๋ยวนี้มันจะเป็นเดือนจะล้านกว่าละมั้ง ?..น้ำมัน แต่ก่อนถามเขาว่าเท่าไร..แสน ไม่รู้มาตั้งสิบกว่าปีแล้วแหละ เห็นรถผ่านมานี้ถังน้ำมันเต็มมาเลย ถามเขามันถังอะไร ? เขาบอกว่าถังน้ำมัน น้ำมันเอาไปไหน ? เขาก็บอกเอาไปใส่ปั๊มน้ำมัน เติมให้พวกมาเอาสิ่งของ พวกโรงพยาบาล เติมน้ำมันให้ เดี๋ยวนี้น้ำมันขึ้นราคา คิดว่าเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าล้าน..อย่างน้อยนะ เพราะน้ำมันแพงทุกวันนี้

เราเมตตาเสมอไปหมดนะ ใครอย่ามาคิดว่าเรารักคนนั้นชังคนนี้ไม่ได้ ขัดกับธรรม เสมอหมดเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตรงเป๋ง ๆ เลย เรียกว่าภาษาธรรมไม่อ้อมแอ้ม ไม่มีเห็นแก่หน้าแก่ตา เมื่อปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติตามนั้น พูดตามนั้น ตรงเป๋ง ๆ ไปเลย

สำหรับสมบัติของวัดนี้ เรียกว่าออกช่วยโลกทั้งนั้น พูดได้อย่างชัดเจนเลย เราไม่เก็บ เงินทอง ข้าวของ วัตถุ ปัจจัยไทยทาน ได้มามากน้อยออกหมดเลย สมควรที่จะไปวัดใด ที่เกี่ยวกับวัดกับวาก็ไปทางวัดทางวา เกี่ยวกับประชาชนส่วนรวมหรือส่วนบุคคลก็มี ก็ให้ไปตามนั้น ๆ

สำหรับรถนี้ดูเหมือนจะร้อยกว่าคันแล้ว จนจำไม่ได้ บางโรง ๓ คันก็มี ๔ คันก็มี ส่วนมากโรงละ ๑ คันตามปรกติ ถ้าสองคันหรือสามคันก็แสดงว่าผิดปรกติ เราให้ด้วยเหตุผลกลไกอย่างนี้นะ ถึงสี่คันอย่างนี้ก็เหมือนกัน สี่คันก็โรงพยาบาลศูนย์ แน่ะ..สมควรไหมล่ะ ? กับรถ ๔ คัน คันนั้นใช้อย่างนั้น ๆ เราฟังเหตุฟังผลทุกอย่างค่อยให้ไป ไม่ใช่ให้ทีเดียวตูม ๔ คันนะ ให้เป็นลำดับลำดามา แต่จำได้ว่าโรงพยาบาลศูนย์นี้ได้ให้ ๔ คัน ค่ายประจักษ์ฯ ดูเหมือนคันเดียว

ที่ได้สองคันก็เหมือนกัน มีเหตุมีผลทุกอย่าง เราทำอะไรเราไม่ได้ทำเหลาะแหละนะ ทำจริงจังทุกอย่าง ตรงกับเหตุกับผล จะให้มากน้อยนี้เราเป็นคนสั่งเอง เรียบร้อยแล้วด้วยเหตุด้วยผล เราไม่ได้ให้สุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าไม่สมควรให้เราให้ไม่ได้ พูดตรง ๆ อย่างนี้ละ นี่ละภาษาธรรม.."

เถรี 02-07-2024 00:46

เยี่ยมโรงพยาบาล

องค์หลวงตาท่านมักจะออกเยี่ยมโรงพยาบาลต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ แม้ในปีสุดท้ายของท่าน ในการออกเยี่ยมโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ท่านจะนำข้าวสาร อาหารสด อาหารแห้ง ผ้าขาว ฯลฯ บรรทุกเต็มรถเท่าที่รถจะสามารถรับน้ำหนักได้ไหว เพื่อนำไปแจกโรงพยาบาลทุกครั้งไป พร้อมกันนี้ท่านจะถือโอกาสตรวจดูด้วยว่า ยังขาดตกบกพร่องในเครื่องไม้เครื่องมืออันใดบ้าง องค์ท่านจะได้ช่วยในจุดที่ยังขาด

ในการนำของไปแจกในที่ต่าง ๆ นั้นท่านให้เหตุผลไว้ ดังนี้


"ไปไหน ๆ แต่ละโรง ๆ นี้เป็นล้าน ๆ ระดับแสน ๆ นี่รู้สึกจะเริ่มมีน้อยแล้วเดี๋ยวนี้ มีแต่ล้าน ๆ ขึ้นไป ไปนี่ไม่ใช่ไปให้เครื่องมือแพทย์เท่านั้นนะ ยังไปดูหมออีก ดูพยาบาล กิริยามารยาทของหมอเป็นอย่างไร ? เวลาเกี่ยวข้องกับคนไข้ ดูอากัปกิริยาของเขาเป็นอย่างไร ดูไปหมด ไม่ใช่แต่ว่าใครจำเป็นอะไร ๆ แล้วเอามา อย่างนั้นไม่ได้ เราไม่ทำอย่างนั้น ให้ทั้งสิ่งของด้วย

ดูทั้งน้ำใจ ดูทั้งกิริยามารยาทความประพฤติดีงามของหมอและพยาบาลด้วย เป็นอย่างไร ? จะพอพยุงเครื่องมือของเรานี้ไปได้ไหม ? เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ได้จริงหรือไม่ ? หรือเสียเงินเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร..ต้องดูอีก แล้วเครื่องมือเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ? หมอเหล่านี้เป็นหมอพ่อค้า พยาบาลพ่อค้า หรือเป็นหมอเป็นพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ ? เพื่อเอาหัวใจคน เอาชีวิตจิตใจคนจริงจังหรือเป็นอย่างไรบ้าง ? ดูไปหมดไปทุกแห่งทุกหน ไปดูอย่างนั้นนะ..ที่เราไปโน้นไปนี้

วันนี้เปิดเสียให้ชัดเจน เราไม่เคยพูดแหละคำอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ไปปฏิบัติหน้าที่อย่างนี้แหละ แล้วก็ดูสภาพของโรงพยาบาล ดูสภาพของเครื่องมือ ถ้าตรงไหนมีความจำเป็นมาก ทุ่มให้เลยเทียว เอ้า..ขาดอะไร ๆ บอกมา ๆ บอกเท่าไรให้เท่านั้น ให้เลยเป็นล้าน ๆ นั่งครู่เดียวเอาไปสองล้านสามล้านก็มี นั่น..อย่างนั้นละ ถ้าถึงใจ เราเอาจริง ถ้าไม่ถึงใจ สตางค์หนึ่งก็ไม่ให้..!"

เถรี 05-07-2024 23:44

ไม่ทอดทิ้งถิ่นกันดาร

โรงพยาบาลบางแห่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เป็นที่ลำบากหลายสิ่งหลายประการ องค์ท่านก็ไม่ลืมที่จะไปเยี่ยมเยียนและอนุเคราะห์ดังนี้


"เวลาเราไป ก็ตามแต่เราจะเห็นสมควรไปโรงพยาบาลไหน กำหนดเวลาพอสมควร เพราะเราแยกไปโรงพยาบาลโน้น ไปโรงพยาบาลนี้ ไปให้สม่ำเสมอ เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่ในที่ลำบากลำบน ถ้าใกล้เคียงกับถนนหนทางตลาดลาดเล เราก็เห็นว่าพอถูไถกันไปได้ เราก็ไม่ค่อยหนักแน่นมากนัก ถ้าเป็นโรงพยาบาลอยู่ลึก ๆ อย่างนี้มักจะไปอยู่ตลอด

เช่น อย่างพวกภูหลวง (จ.เลย) นี้เข้าลึกในหุบเขา นี่เราก็ซอกแซกเข้าไป ภูเรือ (จ.เลย) อยู่ในกลางเขา เราก็ซอกแซกไปเป็นประจำเดือนนะ แล้วก็ให้ค่าอาหารครัวคนไข้อีกเดือนละ ๑ หมื่นเป็นประจำ นายูง (จ.อุดรธานี) ก็อยู่ในหุบเขาเหมือนกัน หุบเขากว้าง ๆ เข้าไปอยู่ลึก ๆ นู้น อันนี้เราก็ให้ค่าอาหารครัวคนไข้ ๒ หมื่นเป็นประจำ

ส่วนหนองวัวซอ (จ.อุดรธานี) ใกล้กับถนน อาจจะมีวาสนาอันหนึ่ง ทีแรกให้เดือนละ ๕ หมื่น เพราะเกี่ยวกับไฟฟ้าด้วย ๓ หมื่น ให้ค่าอาหาร ๒ หมื่น ทีนี้เห็นว่าค่าไฟฟ้าไม่มีความจำเป็นแล้ว ตัด ๓ หมื่นออก ยังเหลือให้เดือนละ ๒ หมื่น นี่ก็ใกล้ถนนเหมือนกันแต่ให้เดือนละ ๒ หมื่น รู้สึกจะเอารัดเอาเปรียบโรงพยาบาลอื่น ๆ มากไป อาจจะถูกตัดวันใดก็ได้

แล้วแต่เหตุผลของเราที่จะพิจารณา เพราะเราพิจารณาอยู่ตลอดแล้วนี่ หนักเบาแง่ไหน ๆ อันนี้ให้เป็นประจำ ที่ซอกแซกเรามักไปซอกแซก ๆ...

(อีกคราวหนึ่ง) วันนี้ก็จะไปโรงพยาบาลภูหลวง ไปดูอีกทุกห้อง ห้องไหนมีความจำเป็นอะไรก็จะช่วยเหลือกันไป เพราะเป็นโรงพยาบาลอยู่ที่คับแคบตีบตันอั้นตู้ ลำบากลำบน ไปก็เอาข้าวเอาของไปเต็มรถ ๆ เทปั๊วะ ๆ ไป คือ ถ้าตรงไหนที่อยู่ท่ามกลางของอู่ข้าวอู่น้ำ เราก็ไม่ค่อยสนใจนักนะ ถึงจะเป็นโรงพยาบาลเล็กก็ตาม แต่อยู่ท่ามกลางของอู่ข้าวอู่น้ำ ไม่ค่อยอดอยากขาดแคลนอะไรมากนัก เราก็ไม่ช่วยอย่างอื่น พวกข้าวพวกอาหารการกินไม่ค่อยช่วยมาก ช่วยแต่เครื่องมือแพทย์ไป"

เถรี 05-07-2024 23:47

"ถ้าที่ไหนขาดแคลน อย่างนั้นเราช่วยทุกด้านเลย เครื่องมือแพทย์ก็ช่วย อาหารการกินก็ช่วย เช่น อย่างภูหลวงนี้ไม่มีข้าว ภูเรือ (จ.เลย) ก็ยิ่งอยู่ในภูเขาด้วย ซ้ำไม่มีข้าว อ.นายูง (จ.อุดรธานี) ไม่มีข้าว ทางคำตากล้า (จ.สกลนคร) ก็ไม่มี คำตากล้าไม่ได้ทำนากัน..น้ำท่วม เหล่านี้เราไปทั้งนั้นแหละ นี่ก็ยังส่องดาว (จ.สกลนคร) นี้อีก นี่เริ่มแล้ว ทางส่องดาวนี้เริ่มแล้ว อยู่ในหุบเขา ไปหาที่หุบเขา ๆ ที่จำเป็น ๆ..."

แม้โรงพยาบาลที่อยู่ไกลออกไปมาก ๆ ท่านก็ไม่เคยลืมหรือทอดทิ้ง เมื่อโอกาสอำนวยให้เมื่อใด ท่านจะรีบไปเยี่ยมทันที

"วันนี้เราก็จะไปละ เอาของไปโรงพยาบาลคำชะอีและดอนตาล (จ.มุกดาหาร) ไกลนะวันนี้..สงสาร..มันอยู่ด้วยกัน ๒ โรง จึงเอาไปไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ว่าเต็มรถนะ..หากไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะแบ่ง ๒ โรงอยู่ใกล้กัน ถ้าไปโรงเดียวก็เต็มรถ เทปั๊วะเลย..ได้มาก เอาไป ๒ โรงก็ต้องแบ่งครึ่ง แต่รถนั้นเต็มรถ วันนี้จะเป็น ๒ โรง มันไกล ๓ ชั่วโมงกว่า..กว่าจะถึง ไปส่งแล้วกลับขนาดนั้นค่ำพอดี ๆ..."

และสำหรับโรงพยาบาลอื่น ๆ ที่อยู่ไกลมาก จนไม่อาจไปดูแลเยี่ยมเยียนด้วยองค์ท่านเองได้ ท่านก็จะมอบหมายให้ผู้ที่ไว้วางใจ ได้ดำเนินการแทน ดังนี้

"เคยรู้จักท่านคลาดไหม ?"
"เคยได้ยินชื่อค่ะ"
ท่านเป็นพระวัดนี้ เป็นคนที่พังงาแต่เป็นพระวัดนี้ ท่านไปอยู่นั้นหลายปี ไปตั้งสำนัก พอดีทางโรงพยาบาลเกาะยาว พังงา ขอตึกมา เราเลยมอบให้ท่านคลาดเป็นตัวแทนเรา ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ควรจะตัดจะเพิ่มจะเติมอะไร ๆ ยกให้ท่านทั้งหมดเลย ให้ท่านเป็นคนดูแลเองทุกสิ่งทุกอย่าง อำนาจให้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับเราไปสั่งเอง คือใครอยู่ที่ไหน ลูกศิษย์อยู่ที่ไหน ๆ เวลามีความจำเป็น เราจะมอบให้ลูกศิษย์ที่นั้น ๆ ทำแทนเรา"


ด้วยเหตุนี้การสงเคราะห์ของท่านจึงกระจายไปในสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ประชาชนที่เขตพื้นที่ซึ่งได้รับบริจาคจากทุกภาคทั่วประเทศ ตลอดถึงประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ ได้ใช้และได้รับอานิสงส์ของทานเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว นับเป็นเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง ที่องค์หลวงตามีต่อพี่น้องประชาชนลูกหลาน ที่ไม่อาจบรรยายได้หมดสิ้น...

เถรี 07-07-2024 23:58

ทุ่มบริจาคเครื่องมือ "ตา"

การสงเคราะห์เกี่ยวกับตาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่องค์หลวงตาเห็นความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ดูจากการช่วยเหลือโรงพยาบาลด้านตาโดยเฉพาะ มีมากถึง ๒๓ แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมมูลค่าทั้งสิ้น ๑๙๘,๗๐๐,๐๐๐ บาท องค์ท่านอธิบายถึงเหตุผลการช่วยเหลือไว้ ดังนี้

"เรื่องตานี้รู้สึกจะกว้างขวางไปมากเวลานี้ คือก่อนที่เราจะช่วยถ้าเป็นธรรมดาให้เราพิจารณานี้ เราจะช่วยจุดที่จำเป็นคือตาเป็นอันดับหนึ่ง อวัยวะอย่างอื่นอย่างใดก็เป็นของเราเหมือนกันหมด แต่อะไรมีความจำเป็นอันดับหนึ่ง เราก็มาเล็งเห็นแต่ตาเป็นอันดับหนึ่ง จึงต้องช่วยอันนี้ก่อน เครื่องมือตาเราช่วยอันนี้ก่อน เริ่มช่วยมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้...

เมื่อสองสามวันนี้ก็ทางเชียงใหม่มาขอเครื่องมือตา ๘ ล้าน ๒ แสน ที่เราได้ช่วยวันนั้น พอไปโรงพยาบาลบึงกาฬเขาก็ฟาดเสีย ๒ ล้านกว่าบาท ตึกสามหลัง หลังคาเสียหมดเลย ทีแรกเขาก็ขอแต่เราไม่ให้ เราให้รถคันหนึ่งก่อน ไปเที่ยวนี้ฟาดเอาเสียสามหลังเลย เชียงใหม่กับบึงกาฬฟาดเสีย ๑๐ ล้านกว่าเมื่อสองวันผ่านมานี้ แล้วให้เรื่อย ๆ

อย่างเมื่อวานนี้ก็เอาอีกทางเวียงจันทน์ เริ่มแล้วสั่งรถแล้ว รถไม่ทราบราคาเท่าไร ลงสั่งแล้วเราจ่าย ส่วนที่ให้ไปแล้วเมื่อวานนี้เขาขอที่จำเป็น ๑ แสน ๘ หมื่น เราให้สองแสนเลยกับรถคันหนึ่ง

กะว่าวันที่ ๘ เราจะไปเวียงจันทน์ เรากำหนดเอง เพราะได้พูดบ้างแล้วว่า หมอจะว่างวันที่ ๘ เราก็จะไปวันนั้น ได้ติดต่อแล้วเครื่องมือแพทย์ตาเป็นอันดับหนึ่ง ฟังว่าทางโน้นแทบไม่มีเลยเครื่องมือตา มีนิดหน่อย ๆ เพราะฉะนั้น..เราถึงทุ่มให้เลย ๑๖ ล้านทีแรกให้เลย ครั้งที่สอง ๑๔ ล้าน เป็น ๓๐ ล้านพอหายใจได้บ้างแหละ..."


ต้นเหตุที่ทำให้องค์ท่านเห็นความสำคัญเครื่องมือตาเป็นกรณีพิเศษนั้น มีความเป็นมาดังนี้

"ตานี้คือเริ่มแรกที่เป็นเหตุก็คือ เราไปผ่าตาที่โรงพยาบาลรัตนิน ซอยอโศก มันก็แปลกอยู่นะ เรากับ ดร.เชาวน์ นี่มันมีอะไรกันนะ มันแปลกอยู่ มาคุยกันสองต่อสอง คุยกันอยู่กุฏินั่นนะ เพราะ ดร.เชาวน์มาพักอยู่นี้เป็นอาทิตย์นะ พักภาวนาอยู่นี้ เวลาจะไปก็ไปคุยธรรมะกันแล้ว กราบเสร็จแล้วมาว่า

"ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปตรวจตาด้วย ดูตาท่านอาจารย์ผิดปกติมาก"

เราไม่เคยสนใจเพราะตาเราก็ดี ๆ อยู่ ไม่เห็นมีอะไร "ดูตาท่านอาจารย์ผิดปกติมาก" ว่างั้นนะ เราก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ แล้วอยู่ ๆ ไม่กี่วันนะ อย่างนานไม่เลย ๕ วัน มีเหตุธุระอะไรจำเป็นทางกรุงเทพฯ เลยปุ๊บปั๊บไปกรุงเทพฯ โดยด่วนเลย

พอไปกรุงเทพฯ ดร.เชาวน์ทราบก็นิมนต์ให้ไปตรวจตาเสียก่อน พอไปถึงนั่นเราก็ไปตรวจ พอเข้าไปห้องตานี้ "โอ๋ย" หมอร้องโก้กเลยนะ..!"

เถรี 08-07-2024 00:02

"โอ้โห..ทำไมถึงมาได้พอดิบพอดีเอานักหนา ถ้าเลย ๗ วันนี้ตาบอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย..!"

เขาว่างั้นนะ เขาเอาเข้าห้องตาตั้งแต่บัดนั้น ทางนี้ ๕ ชั่วโมง ทางหนึ่ง ๒ ชั่วโมง เป็นเวลา ๗ ชั่วโมง ไม่ได้ออกมาเลยแหละ แล้วจากนั้นเขาก็กำหนดดูตาแล้วให้มาผ่า กลับไปผ่าทีหลังนี้ออกมาสว่างจ้าหมดเลย นี่ละเป็นต้นเหตุนะ.."

ภายหลังการรักษาดวงตาในครั้งนั้น ทำให้องค์ท่านเห็นถึงความจำเป็นของเครื่องมือตา จากนั้นจึงบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาลต่าง ๆ อย่างจริงจังตลอดเวลา เฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลอุดรธานี ดังนี้

"อุดรฯ เชิญหมอตานี้เข้ามาประชุมกันทันทีเลย ตกลงประเดี๋ยวประด๋าว วันนั้นให้เสร็จเลย ต่างคนต่างรับรองกัน คือเราจะให้เครื่องมือทำตานี้ทั้งหมด

"แล้วเวลานี้หมอที่เกี่ยวข้องกับทางด้านตานี้เวลานี้มีครบไหม ?"

"ไม่ครบก็ครบได้ เพราะเวลานี้ที่ไม่มีก็เพราะไม่มีเครื่องมือมาก หมอจึงไม่มามาก"

"ถ้างั้นเอาเลยนะ ให้หมอกำหนดกันมาเลยให้ครบ ทางนี้จะเอาอะไรให้บอกมา เดี๋ยวนี้จะสั่งโดยด่วนเลย"

ทางนั้นเขาก็จัดการสั่งเครื่องมือตา เรียกว่าครบเลยนะ เอาโดยด่วนเลย ฟาดเลย ทางโน้นก็เอาหมอมาโดยด่วน ทางนี้ก็สั่งโดยด่วน ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ละ จึงได้เห็นคุณค่าของตามาก เฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสาน ไหลเข้ามาที่นี่หมดนะ แล้วก็ไปศรีนครินทร์ ๒ แห่งนี้ นี่ละตาที่เห็นนี่..ก็อย่างนั้นแหละ

จนกระทั่งป่านนี้เรียกว่าเปิดโอกาสหรือว่าปวารณาไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะตา อะไรบกพร่อง ควรที่จะสั่งหรือจะซ่อม ให้รีบสั่งหรือซ่อมทันที ไม่ต้องมาขออนุญาตจากเรา ให้สั่งเลย ตกมาเท่าไร ๆ เราจะเป็นคนจ่ายเงินให้ตลอดมานะ

ตานี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดมาจนกระทั่งป่านนี้ เราเห็นคุณค่าของตามาก มีมากคนเราจะเห็นได้ชัดเจน คือว่าวันไหนถ้าเราเข้าโรงพยาบาลนะ เข้าห้องตานี้อัดแน่นทุกวันนะ คนมาตรวจตาแน่นทุกวัน ๆ จนถึงกับเราสงสัยต้องถามหมอ

"แล้วคนมาจำนวนมาก ๆ นี้ตรวจเขาทันไหม ?" "ทัน"

เครื่องมือก็สั่งแล้วว่าให้เพียงพอ เพียงพออยู่แล้วนี่ ก็ทันอยู่แล้ว..เขาว่างั้น เราก็หมดปัญหาไป อย่างนี้ทุกวันนะ..ไปเมื่อไรเต็มอยู่ทุกที่ ห้องอื่นไม่ค่อยมีนะ ห้องตาเป็นที่หนึ่งตลอดมา.."

เถรี 09-07-2024 00:37

หมอพยาบาลหญิง ห้ามถูกตัวพระ

เทศนาในคราวหนึ่งท่านกล่าวถึงความสำคัญและจำเป็นในการรักษาพยาบาลพระภิกษุไข้ในโรงพยาบาล ควรมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดเพื่อรักษาและเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยของพระ ดังนี้

"แม้เราจะพยายามรักษาตัวเองด้วยหลบหลีกไปไหน แต่ความที่โรคสุกงอมเต็มที่จึงแสดงอาการขึ้นมา ปลายปี ๒๕๒๗ ปรากฏว่าโรคหัวใจผสมกับโรคหอบที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนได้กำเริบอย่างรุนแรง ทำให้เราต้องฝืนไปยอมนอนติดต่อกันถึง ๓ คืน เนื่องจากโรคหอบนี้มักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน

หากตกใจหรือกำเริบขึ้นขณะนอนหลับนั้นย่อมแก้ไขไม่ทัน หมอจีนที่ลูกศิษย์นำมารักษาได้ถวายยาถูกกับโรค โรคหอบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจึงสงบลงอย่างเด็ดขาดและไม่ปรากฏว่าได้แสดงอาการขึ้นอีกในภายหลัง

หมอเขารู้เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่ไหน เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็รู้วิชาของหมอ ปฏิบัติตามเรื่องของหมอล้วน ๆ ตามหลักวิชาเขาเรียน ทีนี้พระทั้งองค์ไปมอบตัวเป็นซุงให้เขาเลย แล้วแต่เขาจะถลุง แบบไหน ๆ เราไม่เป็นตัวของเราเลย

พอพูดอย่างนี้เราก็ย้อนไปถึงโรงพยาบาลอุดรฯ เราเอาพระไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลอุดรฯ พอผ่าตัดแล้วพวกหมอผู้อำนวยการสั่งให้หมอผู้หญิงเข้ามาพะรุงพะรังกับพระ เข้ามาฉีดยา เราพูดอย่างเด็ดเลย

"อย่ามายุ่งเลยนะ ไม่มีเลยหรือผู้ที่จะปฏิบัติให้ได้รับความสะดวกตามหลักกธรรมหลักวินัย จึงต้องเอาผู้หญิงเข้ามาฉีดยายุ่งเหยิง อย่าทำ..ไม่ให้ทำ" ว่าอย่างนี้เลย

"ก็ท่านอย่ามาเคร่งครัดในเวลาป่วยนี้ไม่ได้ ท่านอย่ามาเคร่งครัดในเวลานี้" ผู้อำนวยการเสียด้วยนะ พูดอย่างนี้

เราว่าอย่างนี้ "เราเคร่งครัดมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาลแล้ว เราไม่ได้มาสังหารธรรมวินัยนี้นะ เรามาเข้าโรงพยาบาล เรามาแก้โรคต่างหาก ถ้าไม่สมควรที่จะรักษาเราก็เอากลับได้ ที่ไหนก็มีป่าช้าทั้งนั้นแหละ..!"

เถรี 14-07-2024 00:20

เตือนหมอ...อย่าหยิ่ง อย่ารีดไถกิน

"หมอไม่รู้ศีลธรรมก็มีเยอะนี่นะ ใช่เล่นเมื่อไร หมอหยิ่งในความรู้ของเจ้าตัวว่าเป็นหมอ เหมือนกับว่าวิชาความรู้ของหมอนี้ เลิศเลอยิ่งกว่าความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พ้นจากกิเลสไปแล้ว มีมากต่อมาก เพราะฉะนั้น..หมอจึงหยิ่ง..ไม่ค่อยเข้าศาสนา เห็นว่าศาสนาเป็นของต่ำช้าเลวทรามไป ยิ่งกว่าความรู้ของเราที่เรียนมาเพื่อความเป็นหมอ..มีมาก..เราพูดตรง ๆ อย่างนี้ เราใส่เปรี้ยง ๆ หลายหนแล้วนี่ ไม่ได้มาพูดให้ฟังเฉย ๆ หมอจึงไม่ค่อยเข้าศาสนา เพราะหมอหยิ่งในความรู้ของตัวเอง..!

ความรู้นี้เป็นความรู้ของกิเลสที่ผลิตให้ต่างหาก ไม่ใช่ความรู้ของธรรมที่พระพุทธเจ้าผลิตให้นะ..ผิดกัน ความรู้อันหนึ่งเหนือโลก ความรู้พระพุทธเจ้าเหนือโลก ความรู้อันนี้อยู่ใต้อำนาจของกิเลสต่างหาก..จะวิเศษวิโสอะไร ก็เป็นวิชาแขนงหนึ่ง ๆ เหมือนกับวิชาทางโลกที่เขาใช้กันนั่นเอง ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกกัน จะเอาอะไรมาหยิ่ง หากหยิ่งก็ในหัวใจเจ้าของคนมีกิเลสนั่นละ..!

แต่เราพูดอย่างนี้เราไม่ได้ตำหนิหมอทั่วไปนะ..ผู้ที่ดีก็มี แต่หากผู้เป็นอย่างนี้มีจำนวนมาก หยิ่งในความรู้ของเจ้าของว่ามีเกียรติ ความรู้ทางหมอนี้โลกเขาให้เกียรติ ตั้งแต่เริ่มเรียนหมอเขาก็เริ่มให้เกียรติแล้ว ยิ่งมาเป็นหมอด้วยแล้วเลยกลายเป็นอะไร ๆ ไป เพราะทิฐิมานะสูงขึ้น ๆ จิตใจจึงต่ำลง

นี่ซอกแซกจะว่าไง หากไม่พูดเฉย ๆ ถึงวาระพูดถึงจะนำมาพูด ถ้าไม่ถึงวาระพูดก็เหมือนไม่รู้ ผ่านไป ๆ เข้าลิ้นชัก ๆ หมดเลย เหมือนไม่รู้ไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้น ทำตาบอดหูหนวกไปอย่างนั้นละ

นี่เราได้เตือนหมอบรรดาลูกศิษย์ลูกหา เฉพาะอย่างยิ่ง..ศิริราชเราเตือน หมอใหญ่ ๆ พวกศาสตราจารย์ เราเป็นหมอเป็นศาสตราจารย์ ขอให้นำศาสนาของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นของเลิศเลอนี้ นำเป็นตัวอย่างเคียงข้างกันไปกับหมอนะ เราว่าอย่างนี้ คนไข้ถึงเคารพนับถือและการปฏิบัติคนไข้ก็สนิทดี ถ้ามีธรรมแทรกนะ

ถ้ามีแต่ความรู้ธรรมดาก็เหมือนคนพูดทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ รีดกันกินไถกันกินได้สบายเหมือนกัน หมอเป็นพ่อค้ามีน้อยเมื่อไร ว่าอย่างนี้แล้ว ว่าตรง ๆ อย่างนี้ ถ้ามีธรรมแทรกแล้วมีเมตตาพร้อมกันไป นี่เราก็สอน..สอนหมอ..หมอใหญ่ ๆ พวกศาสตราจารย์นั่นแหละ ก็ลูกศิษย์เราทั้งนั้นนี่ โรงพยาบาลไหนไม่มีลูกศิษย์ไม่มี โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ นะ มีแต่ลูกศิษย์ทั้งนั้น พวกศาสตราจารย์ก็สอนได้ละซิ ลูกศิษย์กับอาจารย์สอนกันไม่ได้มีอย่างเหรอ ต้องสอนได้ ไม่ได้ก็เอา ก.ไก่ สอนเข้าไปซิ

วิชาเป็นอย่างนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าหมอหันหน้าเข้าวัดกันเยอะนะ วิชาพาให้ลืมตัวเป็นได้ เข้าใจว่าเป็นความรู้ที่วิเศษวิโสยิ่งกว่า ความรู้ของเราสูงกว่าศาสนาไป ความรู้ของกิเลส อันหนึ่งความรู้ของวิมุติธรรม ความหลุดพ้นจากโลก ต่างกันขนาดไหน จะมาเทียบเคียงกันไม่ได้แหละ เหมือนอึ่งกับค่างพูดง่าย ๆ เทียบกันไม่ได้.."

เถรี 18-07-2024 23:16

แพทย์ พยาบาล ต้องมีเมตตาธรรม

เมื่อมีโอกาสอันควร องค์ท่านจะแนะเตือนด้วยความเมตตา แก่บรรดาแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเสมอ ๆ ดังตัวอย่างหนึ่ง ท่านแสดงธรรมแก่คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข มีท่านรัฐมนตรีเป็นประธาน ดังนี้

"วันนี้ได้พูดถึงเรื่องโรงพยาบาล โรงพยาบาลกับหมอเป็นของสำคัญอยู่มาก หมอนั้นสำคัญอยู่ที่นอกจากเรียนหลักวิชาแห่งหมอมาแล้ว นั่นเป็นเพียงทางเดินกลาง ๆ แต่อัธยาศัยใจคอและจิตวิทยาของหมอที่จะปฏิบัติต่อคนไข้นั้น เป็นสิ่งลึกลับแต่จำต้องนำมาใช้

สำหรับหมอ เวลาคนไข้ได้ป่วยเจ็บหัวตัวร้อน วิ่งเข้ามาหาหมอ กิริยามารยาทที่นิ่มนวลอ่อนหวาน ที่เป็นพื้นมาจากความเมตตาของหมอนั้น ต้องออกแสดงก่อนอื่น ก่อนยาที่จะเข้าถึงตัวคนไข้ ความเอาอกเอาใจ ให้ความอบอุ่นแก่คนไข้นั้น เป็นยาขนานแรกซึ่งจะต้องเข้าถึงคนไข้ก่อนอื่น

จากนั้นก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ด้วยความเมตตาของหมอ เพราะคำว่าหมอนี้ โลกทั้งหลายเขายอมรับ ยอมรับให้ศักดิ์ศรีดีงาม ยอมรับนับถือให้ความเคารพทุกสิ่งทุกอย่าง ไว้วางใจกับหมอ

เพราะหมอนั้นถือกันว่าเป็นแบบพิมพ์ เป็นศักดิ์ศรีดีงามของชาติไทยหรือของโลก โลกเขาจึงยอมรับ เมื่อเราก้าวเข้ามาสู่ความเป็นหมอเริ่มตั้งแต่เรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ ก็เริ่มมีเกียรติแล้ว โลกยอมรับนับถือเรื่อยมา จนกระทั่งถึงจบเป็นหมอออกมา โลกยิ่งยอมรับมากขึ้น นับถือมากขึ้น

เพราะฉะนั้น..การต้อนรับโลกที่นับถือนั้น เราจึงต้อนรับด้วยความเมตตาซึ่งเป็นพื้นฐานของหมอ หมอต้องมีความเมตตาเป็นพื้นฐาน สมบัติเงินทองข้าวของสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งเป็นผลพลอยได้เท่านั้น เมตตาที่มีต่อคนไข้ทั้งหลายที่เขามาพึ่งพาอาศัย เขามาขอความอบอุ่นจากเรานั้น เป็นเรื่องที่หมอจะต้องปฏิบัติ และพยาบาลจะต้องปฏิบัติให้ถึงชาวบ้านทุก ๆ รายไป นี่เป็นหลักสำคัญ

โรงพยาบาลจึงเป็นโรงชุบชีวิตของสัตว์โลกทั้งสองอย่าง คือโรงพยาบาลหมอเกี่ยวกับโรคทางร่างกายหนึ่ง โรงพยาบาลหรือสถาบันอันใหญ่หลวงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้มีความจำเป็น อย่างน้อยเสมอกัน มากกว่านั้นทางด้านจิตใจคือธรรมเป็นของสำคัญมาก.."


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว