กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 07-09-2020 11:16

ปวารณาออกพรรษา

“...วันนี้เป็นวันปวารณาออกพรรษา..ว่างั้นนะ เข้าพรรษาครบไตรมาส ๓ เดือนก็มาครบวันนี้ แล้วออกวันนี้.. ครบ ๓ เดือน .. คำว่า “ปวารณา” พระจะไม่ทราบก็มีนะ เวลานี้มันจะเป็นเพียงพิธีกิริยาออกมาจากความไม่มีธรรมในใจ ไม่มีวินัยในใจแล้วนะ คำว่า สงฺฆมฺ ภนฺเต ปวาเรมิ คือปวารณาตน เปิดโอกาสตนแก่สงฆ์ทั้งหลายที่นั่งรวมกันอยู่นี้ คือเปิดเผยเปิดโอกาสให้กัน.. แนะนำตักเตือนสั่งสอนได้ ผิดพลาดประการใด ได้เห็นก็ดี.. กิริยาอาการที่ไม่ถูกต้องนั้น ได้ยินก็ดี.. กิริยาแห่งการแสดงหรือการพูดออกมา หรือได้สงสัยก็ดี เหล่านี้ให้ตักเตือนสั่งสอน เมื่อทราบแล้วจะได้ปฏิบัติแก้ไข ดัดแปลงต่อไป ... คำปวารณาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เปิดโอกาสไม่ให้มีทิฐิมานะต่อกัน ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ เป็นสังฆะหรือเป็นพระสงฆ์ศากยบุตรอันเดียวกัน เปิดโอกาสให้กัน

เพราะความรู้เราลำพังคนเดียว ไม่สามารถที่จะรู้รอบได้ในกิริยาความเคลื่อนไหวของตน จึงต้องได้อาศัยผู้อื่นคอยแนะนำตักเตือนสั่งสอน นับแต่ครูบาอาจารย์ลงมาถึงพระเพื่อนฝูงด้วยกัน คอยแนะนำตักเตือนสั่งสอนกัน เปิดโอกาสให้กันเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่ได้เพื่อทิฐิมานะ ฐานะสูงต่ำอะไรเลย สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ธรรม ความเป็นธรรมก็คือความเปิดโอกาส เพื่ออรรถเพื่อธรรมคือความถูกต้องดีงามแก่ตน เมื่อท่านผู้อื่นผู้ใดได้เห็นความไม่ดีไม่งามของเราที่แสดงออก ด้วยการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ด้วยรังเกียจ สงสัยก็ดีนั้น.. จะได้เตือนเรา ก็จะได้รับไว้ประพฤติปฏิบัติ

เรื่องทิฐิมานะนั้นเป็นเรื่องของกิเลส การเปิดโอกาสตักเตือนซึ่งกันและกันนั้นเป็นเรื่องของธรรม เพราะเราอยู่ด้วยกันหลายคน.. อาจมีความผิดพลาด จึงต้องเปิดโอกาสให้แนะนำหรือตักเตือนซึ่งกันและกันได้ ให้พากันเข้าใจตามนี้ นี่ละพระโอวาทของพระพุทธเจ้า...”

ลัก...ยิ้ม 07-09-2020 11:28

งานกฐิน

“...กฐินตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่ง เดือน ๑๑ ไปถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ หมดเขตกฐิน ... วันเพ็ญยังทอดได้อยู่ กฐินนี้เป็นสิ่งที่อนุโลมต่างหากนะ พระพุทธเจ้าทรงอนุโลมผ่อนผันให้ พระชาวเมืองปาฐาเดินทางมา จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ กรุงสาวัตถี.. เข้าไม่ได้ เข้าไม่ทันต้องหยุดจำพรรษาที่เมืองสาเกตก่อน พอออกพรรษา.. หนทางยังเจิ่งด้วยน้ำก็รีบเดินทางมา ผ้าเปียกหมดเลย มีผ้ามาเท่านั้นเปียกหมด ท่านเลยอนุโลมผ่อนผันให้เป็นผ้าพิเศษอีก.. มีกฐินเข้าไป ให้มีการทอดกฐินเป็นการอนุโลม เพราะฉะนั้น จึงมีกฐินมาเรื่อย

เดิมจริง ๆ ไม่มีกฐิน มีแต่ผ้าบังสุกุลเป็นพื้นมาเลย บังสุกุลคือผ้าที่คลุกเคล้าอยู่ตามฝุ่นตามอะไร สกปรกโสมมไม่เลือกละ บังสุกุลคือตกอยู่ขี้ฝุ่นขี้ฝอย หรือตามป่าช้า หรือตามสายทาง ผ้าเศษผ้าเดน ผ้าทิ้ง นี่ละพระท่านไปเก็บมาชักบังสุกุล ได้มาแล้วก็มาเย็บปะติดปะต่อกันเป็นสบงบ้าง จีวรบ้าง สังฆาฏิบ้าง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงผ่อนผันเอาอย่างมากทีเดียว คือสังฆาฏินี้ธรรมดาสองชั้น แม้จะปะร้อยชั้นก็ตาม.. พระองค์ก็ทรงอนุญาต ขาดตรงไหน ๆ ท่านปะท่านชุนเข้าไปถึงร้อยชั้น.. เราตถาคตก็อนุญาต นั่นท่านทรงผ่อนผันเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติของพระ แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น

ครั้นหลังมานี้ก็เห็นพระท่านมาจากเมืองอื่น เข้ามาเมืองที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ จีวรเปียกปอนมา.. มาประชุม มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็เลยมาไม่ได้ จีวรเปียกปอน จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลานั้นมาไม่ได้ เพราะจีวรเปียกหมด ท่านมีผ้าเพียงสามผืน พระองค์จึงทรงผ่อนผันให้มีกฐิน อนุโลมให้มีผ้า.. จะเป็นจีวรสองผืนก็ได้ บริขารใดก็ตามเป็นสิ่งที่เศษเหลือจากไตรจีวรสามผืนนั้นก็ได้ เรื่อยมาเป็นกฐิน ทีนี้กฐินก็เลยใหญ่กว่าบังสุกุลไป...”

ลัก...ยิ้ม 15-09-2020 20:09

ไม่ใส่รองเท้าเข้าบ้าน

“...สรุปแล้วก็คือว่า สิ่งที่เป็นอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คงจะเล็งไปตามกาลสมัย อย่างเช่น ท่านห้ามใส่รองเท้าเข้าไปในบ้านอย่างนี้น่ะ นอกจากเท้าเป็นแผล ห้ามใส่รองเท้าเข้าไปในหมู่บ้าน อันนี้เวลาเปลี่ยนแปลงมา เปลี่ยนแปลงมาจนทุกวันนี้ เศษแก้วเต็มไปหมดตามลาน ก็ทำความสะอาดลำบากเหมือนกัน นี่ก็ทำให้คิดอยู่

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับเราแล้วไม่เคยใส่รองเท้าเข้าไปหรอกแม้โง่จะตาย และเท้านี้จะเหวอะหวะเพราะแก้วตำก็ช่างมันเถอะ ขอให้เราได้บูชาตถาคตแล้วเป็นพอ นี่สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น แต่นี่เราพิจารณาเพื่อวงคณะทั้งหลายที่เห็นว่าเป็นความเหมาะสมอย่างไรบ้าง.. ที่ท่านห้ามใส่รองเท้าเข้าในบ้าน สำหรับในวงธรรมยุตเราไม่เคยมี นอกจากจะเป็นธรรมยุตจรวดก็เอาแน่ไม่ได้เหมือนกัน...”

ลัก...ยิ้ม 15-09-2020 20:17

เที่ยววิเวก

“...ออกพรรษานี่ใครอยากจะออกไปเที่ยวภาวนาหาที่สงบสงัดก็ไปนะ ผมไม่ได้ห้าม ก็ไม่ทราบจะห้ามเพื่ออะไร นอกจากที่ไหนเป็นที่เหมาะสมในการประกอบความพากเพียรเท่านั้น เอ้าไป.. ว่าอย่างนั้นเลย ผมพร้อมเสมอที่จะส่งเสริมหมู่เพื่อนในทางที่เป็นผลเป็นประโยชน์ เฉพาะอย่างยิ่งคือจิตภาวนา

พอออกพรรษาแล้วก็เข้าป่าเข้าเขาเลย แต่ก่อนเป็นมาอย่างนั้น อย่างสมัยที่เราอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเป็นอย่างนั้น ... ตามธรรมดาพอออกพรรษาแล้ว ท่านก็เตรียมออกเที่ยวละ พระกรรมฐานอยู่จำพรรษาในสถานที่อันจำกัด พอออกพรรษาแล้วนี้ท่านก็ออกเที่ยวละ เที่ยวเบื้องต้นนี่ก็อยู่ตามป่าเสียก่อน ยังไม่ขึ้นภูเขา พอตอนเดือนมีนา เมษา หน้าร้อนนี่ก็ขึ้นเขา ขึ้นอยู่บนถ้ำ เย็น ๆ สบาย ๆ .. ในถ้ำมันเย็นสบายดี

น้ำสำหรับ อาบ ดื่ม ใช้สอย มีความสำคัญอย่างยิ่ง จะขาดไปไม่ได้ อาหารยังพออดได้ ทนได้ทีละหลาย ๆ วัน แต่น้ำอดไม่ได้ และไม่ค่อยมีส่วนทับถมร่างกายให้เป็นข้าศึกต่อความเพียรทางใจเหมือนกับอาหาร จึงไม่จำเป็นต้องอดให้ลำบาก ทั้งน้ำมีความจำเป็นต่อร่างกายอยู่มาก ฉะนั้น..การแสวงหาที่บำเพ็ญต้องขึ้นอยู่กับน้ำเป็นสำคัญส่วนหนึ่ง แม้จะมีอยู่ในที่ห่างไกลบ้าง.. ประมาณกิโลเมตรก็ยังนับว่าดี ไม่ลำบากในการหิ้วขนนัก...”

ลัก...ยิ้ม 16-09-2020 20:35

ปะชุนผ้า ใช้ผ้าบังสุกุล

“...ธุดงค์ข้อถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรเป็นการตัดทอนกิเลส.. ตัวทะเยอทะยาน ชอบสวยชอบงามได้ดี กิเลสชนิดนี้เป็นที่น่าเบื่อหน่ายในวงนักปราชญ์ทั้งหลาย แต่เป็นที่กระหยิ่มลืมตัวของพาลชนทั้งหลาย พระธุดงค์ที่ต้องการความสวยงามภายใน.. เที่ยวเสาะแสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทอดทิ้งไว้ตามป่าช้า หรือที่กองขยะของเศษเดนทั้งหลาย มาซักฟอกแล้วเย็บปะติดปะต่อเป็น สบง จีวร สังฆาฏิ ใช้สอยพอปกปิดกาย และบำเพ็ญสมณธรรมไปตามสมณวิสัยอย่างหายกังวล ไม่คิดเป็นอารมณ์ห่วงใยผูกพันกับใครและสิ่งใด...

การนุ่มห่มใช้สอยบริขารต่าง ๆ ของพระธุดงค์ เฉพาะท่านอาจารย์มั่น รู้สึกว่าท่านพิถีพิถันและมัธยัสถ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมสุรุ่ยสุร่ายเป็นอันขาดตลอดมา ปัจจัยเครื่องอาศัยต่าง ๆ มีมากเพียงไรก็มิได้ใช้แบบฟุ่มเฟือยเห่อเหิมไป ... ผ้าสังฆาฏิ จีวร สบง ผ้าอาบน้ำ ขาด ๆ วิ่น ๆ มองเห็นแต่รอยปะติดปะต่อ ปะ ๆ ชุน ๆ เต็มไปทั้งผืน ... การปะการชุนหรือดัดแปลงซ่อมแซมไปตามกรณีนั้น ก็เพราะเห็นคุณค่าแห่งธรรมเหล่านี้มาประจำนิสัย .. ไม่ว่าผืนใดขาด ในบรรดาผ้า.. ผ้าครองหรือผ้าบริขารที่ท่านนุ่งห่มใช้สอย ผืนนั้นต้องถูกปะถูกชุนจนคนทั่วไปดูไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นใครทำกันในเมืองไทย ที่เป็นเมืองสมบูรณ์เหลือเฟือจนทำให้คนลืมตน มีนิสัยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแม้เป็นคนจน ๆ ท่านเองไม่เคยสนใจว่าใครจะตำหนิติชม...”

ลัก...ยิ้ม 16-09-2020 20:41

ไปเมืองนอก ... ประกาศหรือขายศาสนา

“...นี่พระเราหลั่งไหลไปเมืองนอก เราก็ได้เคยถามหมู่ถามพวกที่ไปเมืองนอกมา พระเณรเราน่ะ วิตกวิจารณ์ไปขายศาสนาน่ะซิ.. ไม่ใช่ไปประกาศศาสนา กลัวจะไปขายศาสนา อ้าว.. หลงได้ง่าย ๆ เรื่องกิเลสหลอกคนนี้หลงได้ง่ายนิดเดียว ไม่มีอะไรแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสหลอกสัตว์โลกเลย หลงได้ง่ายนิดเดียว ข้อสำคัญก็ สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ น่ะซิ ลาภสักการะมันฆ่าบุรุษผู้โง่เขลาให้ฉิบหาย แปลว่าอย่างนั้นในบาลี ลาภสักการะนี่เครื่องล่อของมาร ผู้ผ่านนี้ไปได้แล้วสบายไม่หลง มีเท่าไรก็ไม่หลง นั้นเป็นนั้น ๆ ๆ นี้เป็นนี้ ๆ อยู่นั้นละไม่คละเคล้ากัน ถ้าใจไม่มีหลักแล้วคละเคล้าทันที ซึบซาบทันที

อันนี้ละเราวิตกวิจารณ์ เขานิมนต์ไปฉันที่นั่นที่นี่ไม่ให้ไป ไปทำไม ไปก็ สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ มันฆ่าคน ใครได้มาก็นับห้านับสิบละซิ ได้มานับเท่านั้นนับเท่านี้ สุดท้ายนับแต่เงิน.. ไม่ได้นับธรรมละซิ ไม่ได้หาธรรม...”

ลัก...ยิ้ม 16-09-2020 20:47

การกัปปิยะ

กัปปิยะ หมายถึง สิ่งของเครื่องใช้ที่สมควรแก่สมณะ พระภิกษุ สามเณร บริโภคใช้สอยได้ไม่ผิดพระวินัย เรียกเต็มว่ากัปปิยภัณฑ์ ได้แก่ปัจจัย ๔ คือ ผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อาหารที่ถวายพระนั้นถ้ามีเนื้อสัตว์ ก่อนจะถวายต้องทำให้สุกด้วยไฟเสียก่อน เช่น ต้ม ทอด ย่าง สำหรับผักหรือผลไม้ที่นำมาถวาย พวกมีเมล็ดแก่ที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้ เช่น ส้ม แตงโม มะเขือเทศสุก พริก หรือมีส่วนอื่นที่นำไปปลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นราก ลำต้น หัว เช่น ผักบุ้ง ใบโหระพา หัวหอม ขิง ตะไคร้ เป็นต้น จะต้องทำวินัยกรรมที่มักเรียกว่า “กัปปิยะ” เสียก่อน พระจึงฉันได้ (พระวินัยห้ามภิกษุพรากของเขียว คือ ตัดต้นไม้ เด็ดใบไม้นั่นเอง ซึ่งรวมไปถึงผลไม้หรือลำต้นที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้)

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บริโภคผักผลไม้ ด้วยสมณกัปปะกรรมที่ควรแก่สมณะ ๕ คือ ผลจดด้วยไฟ ผลจดด้วยศัสตรา ผลจดด้วยเล็บ ผลไม้ไม่มีพืช และผลที่พืชจะพึงปล้อนเสียได้

เมื่อจะบริโภคพึงบังคับอนุปสัมบันว่า “กัปปิยัง กะโรหิ” ท่านจงทำกัปปิยะดังนี้เสีย แล้วจึงบริโภค เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อว่าให้พ้นจากพีชคาม ปิยการก (ผู้ทำกัปปิยะ) จะตอบท่านว่า “กัปปิยัง ภันเต”

ลัก...ยิ้ม 16-10-2020 13:26

เทศนาอบรมนักภาวนา

การเทศนาสอนโลกขององค์หลวงตานั้น มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นต้นมา ในเบื้องต้นท่านเทศนาอบรมพระอยู่ในป่าในเขา จากนั้นพระเข้ามาศึกษากับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ ประชาชนก็เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เมื่อมีความจำเป็นต้องสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะโยมมารดาของท่านเป็นเหตุแล้ว การเทศนาอบรมนักภาวนาไม่ว่าจะเป็นแม่ขาว แม่ชี หรือเป็นฆราวาสผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอย่างจริงจัง ก็เริ่มปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ดังเรื่องราวต่อไปนี้

โยมแม่ชมเชยการเทศน์

เนื่องจากโยมแม่ขององค์หลวงตามิได้ฝึกหัดอ่านเขียนหนังสือมา เพราะสมัยก่อนการศึกษายังไม่เจริญดังเช่นปัจจุบัน จึงต้องอาศัยลูกหลานหรือนักปฏิบัติธรรมสตรีที่มาพักภาวนาที่วัดป่าบ้านตาด ให้ช่วยอ่านหนังสือที่ท่านเป็นผู้เขียนให้ฟังทุกวัน ดังนี้

“.. เรื่องโยมแม่ .. คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) หนึ่ง คุณเพาพงา (วรรธนะกุล) หนึ่ง เวลามาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดแล้ว ตอนบ่าย ๔ โมงจะผลัดกันมาอ่าน “หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น” ให้โยมแม่ฟังทุกวัน อ่านวันละชั่วโมง หรือ ๔๐ กว่านาทีทุกวัน ๆ จนกระทั่งจบ

เราเข้าครัวออกครัวก็อย่างที่เราเข้าอยู่นี่ เข้าออกอยู่อย่างนั้น พอไปที่ศาลา วันนั้นไปธุระกับพระ ไม่ใช่ไปโดยลำพัง เราดูนั่นดูนี่ อันนั้นไปด้วยมีกิจธุระ พอเห็นเราเข้าไปโยมแม่ปุบปับมาเลย ตอนนั้นไม่มีใคร ศาลาหลังเล็ก ๆ แม่มาก็มานั่งพักล่างพื้นดิน พักบนคือฟากไม้ไผ่สับ เราก็ขึ้นไปนั่งนั้น พอเรานั่งปั๊บแม่ก็ว่า ‘ให้แม่ชมเชยสักหน่อยนะ’

‘ชมเชยอะไรกัน ? ทีตอนเป็นเด็กเป็นเล็กทั้งดุทั้งด่า ทั้งเฆี่ยนทั้งตี เวลาโตมาแล้ว มาชมเชยหาอะไร ?’ เราว่าอย่างนี้.. แหย่ แม่กับลูกแหย่กัน

ทางแม่ก็ตอบดีนะ ‘โอ๋ย ! เวลาเป็นเด็กก็เป็นอย่างหนึ่ง มันน่าเฆี่ยนน่าตีก็เฆี่ยนตีเอาบ้างแหละ ทีนี้เวลาโตมาแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แม่ชมเชยสักหน่อย เวลาแต่งหนังสือทำไมถึงได้เลิศเลอหยดย้อยเอานักหนา แต่งหนังสือประวัติท่านอาจารย์มั่นนี้.. อ่านจบแล้วแม่ซาบซึ้งมาก บางทีน้ำตาร่วงเลย อัศจรรย์ธรรม พระพุทธเจ้าก็อัศจรรย์ น้ำตาร่วงเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นด้วย ที่หลวงปู่มั่นท่านได้รู้ได้เห็น ท่านดำเนินยังไงก็อัศจรรย์ แล้วอัศจรรย์ผู้แต่งนี้ก็อัศจรรย์ สำนวนนี้ทำไมถึงแต่งดิบแต่งดี

เราบอกว่า ‘ก็หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระองค์เลิศเลอ ก็แต่งเลิศเลอตามเรื่องของท่านทุกกิทุกกี ผู้แต่งไม่ได้เลิศเลออะไรนะ’

โอ๋ย ! หลวงปู่มั่นเลิศเลอก็รู้ว่าเลิศเลอ ผู้แต่งนี่ก็แปลก ๆ อยู่นะ ไม่มีอะไร ๆ แต่งดีอย่างนี้ไม่ได้ แม่จึงขอชม’ ว่าอย่างนั้นนะ แล้วแม่ก็พูดว่า ‘จะให้ใครแต่งอย่างนี้.. แต่งไม่ได้นะ ทำไมถึงหยดถึงย้อยเหมือนไม่ได้เกิดในหัวอกของแม่เลยลูกคนนี้ ฟังตรงไหน.. ไพเราะเพราะพริ้งตามกันไป ธรรมท่านก็เลิศ ผู้เขียนนี่ก็เลิศ ไม่งั้นเขียนไม่ได้’

จากนั้นเราก็ถามแม่บ้างว่า ‘แล้วเป็นยังไงที่ขอเงินไปซื้อหนังสือมา เรียนมาแล้วมาแต่งหนังสือให้โยมแม่อ่าน แล้วเป็นยังไง ท มันคุ้มค่าไหม ?’

‘คุ้มมหาคุ้มลูกเอ๊ย...’ แม่ว่าอย่างนั้น เพราะตามธรรมดาพ่อกับแม่ไม่เคยชมลูก นิสัยพ่อแม่นี้กดตลอด การชมนี้ไม่เอา

เราพูดถึงเรื่องหนังสือ เรื่องเอาจริงเอาจัง เงินของโยมพ่อโยมแม่ส่งไป เราไม่ยอมที่จะไปซื้อนั่นซื้อนี่มาใช้พิเศษของเจ้าของ ไม่เอานะ ต้องเพื่อหนังสือเท่านั้น เราจริงจังมาก...”

ลัก...ยิ้ม 16-10-2020 13:34

เริ่มเทศน์เพื่อคนป่วย

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ สตรีซึ่งเป็นศิษย์องค์หลวงตาท่านหนึ่ง ชื่อคุณเพาพงา วรรธนะกุล ได้ป่วยไข้ไม่สบาย จึงไม่คิดทำงานทางโลกอีกต่อไป คุณเพาพงาได้เขียนจดหมายขอมาปฏิบัติจิตตภาวนา.. เตรียมรับกับมรณภัยที่วัดป่าบ้านตาด ซึ่งท่านก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ตามที่ขอและตั้งใจไปแสดงธรรมเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

“...คุณเพาเราเสีย (ชีวิต) ไปกี่ปีแล้ว ปี ๒๕๑๙ – ๒๕๒๐ ไม่รู้นะ เหตุที่ว่าอย่างนั้นก็คือว่า คุณเพานี้เป็นโรคมะเร็งในกระดูกข้าง ๆ นี้ หมอเขาบอกว่าอยู่อย่างนานได้ ๖ เดือน แกก็หมดหวังแล้ว เลยเขียนจดหมายไปหาเราที่อุดรฯ หมอว่าอย่างนั้นแล้ว เหมือนว่าหมดหวังละ เลยเขียนจดหมาย ‘อยากจะมาภาวนาก่อนตาย’

เราก็พูดเป็นสองพักเอาไว้ (ตอบจดหมาย) ‘ถ้าไปภาวนาธรรมดา ๆ นี้ อยากอยู่ที่ไหน ไปที่ใดไปก็ไปได้ ไม่ไปก็ไม่ว่า’ เราว่างั้นนะ ข้อสอง ‘ถ้าตั้งใจจะภาวนาจริง ๆ เพื่อเห็นโทษแห่งความตายของตัวเองแล้วก็เอา..! ไปได้’

เราว่าสองพัก พอแกได้รับจดหมายตอนเย็น วันนี้แกก็ออกเดินทางเลย ตอนเช้าไปถึงแล้ว ไปรถยนต์ ‘อ้าว.. จดหมายได้รับหรือยัง ?’

‘ได้รับเมื่อเย็นวานนี้ พอได้รับแล้วก็มาเลย’

‘เอ้า ถ้าอย่างนั้นให้เลือกเอา กุฏิที่อุไร ห้วยธารอยู่ กับกุฏิคุณหญิงก้อย สองหลังนี้ให้เลือกเอา เป็นที่สงัด จะพักหลังไหนก็ได้’

ก็ตอบว่า ‘พักหลังคุณหญิงก้อย’ แต่ก่อนมันเตี้ย ๆ เพิ่งยกขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้...

ตั้งแต่วันนั้นมาเราเข้าไปเทศน์ให้ฟังทุกวันนะ ดูเหมือนเป็นปี ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ เทศน์ให้ฟังทุกเย็น พอตกเย็นมาจวนมืดแล้วไปกับท่านปัญญา ท่านปัญญาเป็นผู้อัดเทป เราไปเทศน์ให้ฟังทุกเย็น ๆ เลย เว้นแต่วันไหนประชุมพระ หรือเรามีธุระจำเป็น เราก็บอกล่วงหน้าเอาไว้ว่า วันพรุ่งนี้จะไม่เข้ามา นอกจากนั้นเทศน์ทุกวัน ๆ ดูเหมือน ๙๐ กว่ากัณฑ์ ไปอยู่นั้นตั้ง ๓ เดือน นั่นละจึงได้หนังสือเล่มที่ว่า “ศาสนาอยู่ที่ไหน ?” หนึ่ง “ธรรมชุดเตรียมพร้อม” หนึ่ง สองเล่มนี่ที่เทศน์ติดกันไปเรื่อย ๆ เป็นหนังสือสองเล่มนี้ ก็อยู่ในย่านปี ๒๕๑๙ มั้ง แกเสียปีนั้น เราลืม ๆ เสีย...”

ลัก...ยิ้ม 18-10-2020 12:22

โยมแม่ได้หลักใจฟังเทศน์ลูก

ในช่วงที่ท่านเมตตาสงเคราะห์คนป่วยในคราวนี้เอง ทำให้โยมแม่ของท่านมีโอกาสฟังธรรมอย่างต่อเนื่องเกิดผลทางด้านจิตใจ ดังนี้

“...โยมแม่ก็ได้มาฟังเทศน์.. ไม่มากละ เทศน์ก็ดูเหมือนประมาณสัก ๓๐ นาทีละมั้ง แต่ละกัณฑ์ ๆ ละ ๓๐ หรืออย่างมากก็ ๔๐ นาที หากเทศน์ทุกวันเลย ... นี่ละที่เทศน์สอนคุณเพาพงา เทศน์ติดเทศน์ต่อ.. เทศน์ไม่หยุดไม่ถอย ตั้งแต่นั้นมาแล้วไม่เคยเทศน์อย่างนั้นอีกนะ.. มีหนเดียวเท่านั้นในชีวิตของเรา ที่เทศน์ติดต่อกันไปเลย ใน ๓ เดือนเทศน์ทุกคืน ๆ เว้นวันประชุมพระ ถ้าวันไหนประชุมอบรมพระไม่เข้า นอกจากนั้นเข้า หรือมีธุระจำเป็นที่จะไปไหนก็ไป

โยมแม่จึงได้กำลังใจที่ไปเทศน์สอนคุณเพา โยมแม่ได้กำลังใจตอนนั้น.. ถึงขนาดที่ว่าพอคุณเพากลับไปแล้วก็พูดเปิดอกกับเรา.. นิมนต์เราให้ไปเทศน์

‘วันไหนไม่มีแขกคนมา ถ้าอาจารย์ว่างก็ขอนิมนต์มาเทศน์สอนอบรมแม่บ้างนะ เวลาฟังเทศน์นี้ไม่ได้บังคับจิตใจ พอเริ่มเทศน์จิตจ่อปั๊บเท่านี้.. เทศน์นี้จะกล่อมลงแล้วแน่วเลย.. ไม่ต้องบังคับ จิตสงบได้ทุกครั้งเลยไม่มีพลาด ฟังกัณฑ์ไหนได้เหตุผลเลย.. ไม่ต้องบังคับ พอเสียงธรรมเริ่ม.. สติก็เริ่มจับ จิตเกี่ยวโยงกันโดยลำดับ ความรู้กล่อมลง ๆ ธรรมเทศนากล่อมใจแน่วลง สงบแน่ว ๆ ๆ ถ้าแม่ทำโดยลำพังตนเอง.. นั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง อยากนิมนต์อาจารย์มาเทศน์เป็นการช่วยทางด้านจิตตภาวนาได้ดี

นั่นละ ตั้งรากตั้งฐานได้แน่นอนก็ตรงนั้น แต่เราก็ไม่ได้ไป เพราะงานเราก็มีของเรา ก็ฟังเฉย ๆ ไม่ได้ไปตามนิมนต์ เพราะงานเรามาก นี่ละ..โยมแม่ตั้งหลักตั้งฐานจิตได้ตั้งแต่บัดนั้นมา พอฟังเทศน์จิตนี้ไม่ต้องบังคับ บอกเลย.. พอเริ่มเทศน์เท่านี้จิตจ่อ สติลงที่จิต จ่อปั๊บเทศน์นี่จะไหลเข้ามา นั่น..ฟังซิ เทศน์จะไหลเข้ามาเพราะสติอยู่กับใจ

มันก็เหมือนคนอยู่ในบ้าน แขกคนมาจากที่ไหน ๆ ก็รู้ว่าใครเป็นใครมา นอกจากไม่อยู่บ้านเสีย แขกมา ขโมยมา โจรมาก็ไม่รู้ เมื่ออยู่ในบ้านแล้วก็รู้

อันนี้สติอยู่กับใจ พอเทศน์นี้ธรรมะก็ไหลเข้าไปเลย.. ธรรมะสัมผัสใจ สัมผัสติดสัมผัสต่อ จิตจ่อฟังมันก็แน่วลง ไม่ได้บังคับยาก บอกอย่างนั้นเลยนะ โยมแม่พูด

‘เวลาฟังเทศน์นี้ไม่ได้บังคับเลย พอเริ่มเทศน์จิตเริ่มจ่อปั๊บแล้วก็หมุนเข้าลงแน่ว บอกว่าทุกกัณฑ์ไม่เคยพลาด แม่จึงอยากให้อาจารย์มาเทศน์ เป็นการช่วยการภาวนาของแม่ได้ดี ดีกว่าที่บำเพ็ญภาวนาโดยลำพังตนเอง มันเคยอยู่อย่างนี้แหละ.. พอฟังเทศน์นี้ลงปั๊บ ๆ แต่ถ้าเราภาวนาโดยลำพังเราเองจะให้ลงอย่างนี้.. นั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง มันต่างกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น การเทศน์นี้จึงเป็นเครื่องกล่อมใจได้เป็นอย่างดี’

ที่โยมแม่พูดก็ถูกต้อง คือเสียงเทศน์เสียงธรรมกับความรู้นี่ มันรับกันเกี่ยวเนื่องกันโดยลำดับ ทีนี้ความรู้มันก็ไม่ส่ายแส่ไปรับที่ไหนได้ มันรับแต่เสียงธรรมอย่างเดียว ๆ ติดต่อสืบเนื่อง ๆ แล้วลง

โยมแม่พูดเองเลยและมีข้อแม้ข้อหนึ่ง ‘แต่ต้องเป็นเทศน์ของอาจารย์ เทศน์องค์อื่นแม่ไม่อยากฟัง ถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์ จิตมันไม่ลงนะ.. จิตถ้าเป็นเทศน์อาจารย์แล้ว..จิตมันลงได้ง่าย’ ไปอย่างนั้นนะ ก็ตรงไปตรงมาเหมือนกัน

‘เวลานี้แม่หูสูงแล้วนะ’

ทางนี้ก็จ่อเข้าไป ‘ระวังนะ หูสูง.. เดี๋ยวมันจะเป็นหูหมานะ’

ทางนั้นก็แว้ดขึ้นมาทันทีว่า ‘มันจะเป็นหูหมาได้อย่างไร นี่มันหูคน’

‘อ้าว.. มันก็เป็นตรงที่สูง ๆ นั่นแหละ’ เลยเงียบเลย สู้ลูกไม่ได้

จากนั้นก็พูดถึงเรื่องการเทศนาว่าการ ‘แม่ก็เคยฟังมามากต่อมากแล้ว’ เพราะนิสัยโยมแม่เป็นคนชอบวัดแต่ไหนแต่ไรมา

‘ท่านเทศนาว่าการอยู่นั้น ก็ฟังไปธรรมดา ๆ ไม่ได้สะดุดใจ และไม่ค่อยเห็นผลในขณะที่ฟังเหมือนอาจารย์เทศน์ให้ฟัง เวลาอาจารย์เทศน์ไม่ได้ออกไปข้างนอกนะ ตามปริยัติท่านเทศน์เล่านิทานนี้ไป เราก็ฟังไปเลย.. จิตมันไม่เข้า แต่เวลาอาจารย์เทศน์ ไม่เทศน์อย่างนั้น.. เทศน์ตีเข้ามา ๆ’

เราก็ไม่เคยคิดว่าตีเข้ามายังไง แต่มันก็เป็นในหลักธรรมชาติของธรรม ที่ตีตะล่อมจิตที่มันดีดมันดิ้นเข้ามา ๆ จนเป็นความสงบ ๆ เทศน์ทีไรตีเข้ามาทั้งนั้น.. ไม่ได้ออกข้างนอกเหมือนปริยัติ ทีนี้ตีเข้ามาหลายครั้งหลายหน จิตมันก็ลงสงบได้ ๆ ต่อไปมันก็สงบแน่วเลย พอเริ่มเทศน์ปั๊บมันก็เริ่มลงเลย นี่ละ.. ที่ว่าแม่หูสูงแล้วนะ เทศน์องค์อื่นไม่อยากฟัง ถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์

นี่ละ..ที่ว่าแม่ลง.. ลงก็คือแม่ของเราเอง ลงจริง ๆ ลงโดยหลักธรรมชาติทั้ง ๆ ที่เราเป็นลูก การบวชเรียนมาตั้งแต่เริ่มบวช การปฏิบัติกรรมฐานในสถานที่ใด ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติในป่าในเขา ได้รับความทุกข์ความทรมานขนาดไหนไม่เคยเล่าให้โยมแม่ฟังนะ เพราะไม่เคยมีโอกาสที่จะไปพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูก ก็เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไปหมดเลย เพราะฉะนั้น เรื่องราวการบวชของเราโยมแม่จึงไม่ทราบ ดีไม่ดีคนอื่นทราบยิ่งกว่าโยมแม่ เพราะไปก็ไปธรรมดา

อย่างที่ว่าเข้าไปในครัว มีอะไรก็พูด จากนั้นไปเลย ที่จะไปพูดคุยกันระหว่างแม่กับลูกนี้ไม่เคยมี ออกปฏิบัติไปอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่เคยเล่า ไม่เคยพูด ศึกษาเล่าเรียนเป็นยังไง การปฏิบัติธรรมเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ๆ ไม่เคยเล่านะ มีแต่ไปก็เทศน์อย่างนี้เลยจนกระทั่งตายจากกัน

โยมแม่ไม่ทราบเรื่องราวของเราเรื่องการออกปฏิบัติ ทราบตั้งแต่เวลาเราไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แม่เล่าให้ฟัง

‘โห.. พอได้ทราบว่าอาจารย์ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น จากศึกษาเล่าเรียนแล้วก็ไปอยู่ ทราบข่าวมาว่าอาจารย์ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แหม ! แม่ดีใจจนขนลุกเลย พอทราบว่าไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เพราะเป็นพระที่เลิศเลออยู่แล้ว แม่เคารพนับถือมานานแล้ว ดีใจเอามาก

ส่วนเราที่บวชมาแล้วไปเล่าเรื่องราวของตัวเองที่บวชให้แม่ฟังไม่เคยมี ไม่ว่าทางด้านปริยัติ ทางด้านปฏิบัติ หนักเบามากน้อยไม่เคยเล่า ตลอดจนแม่จากไป ไม่เคยเป็นเหมือนทั่ว ๆ ไป เราไม่เคยเล่า และไม่เคยพูดในฐานะแม่กับลูกเลย เป็นธรรมดาไปเลย ... โยมแม่เรียกเราว่า “มหา” ครั้นต่อมาค่อยเลื่อนชั้นขึ้นจนกระทั่งวาระสุดท้ายเรียกว่า “อาจารย์” โยมแม่ลงเราจริง ๆ นะ ‘เราก็พอใจที่ได้บวชโยมแม่’...”

ลัก...ยิ้ม 02-06-2021 15:13

สอนโยมแม่ แม้วาระสุดท้าย

องค์หลวงตาเมตตาเล่าเหตุการณ์ในวาระสุดท้ายของโยมแม่ ดังนี้
"บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูง ๆ เอาจนเต็มเหนี่ยวตามสายทางแห่งธรรม บางทีมันก็เกี่ยวข้องกับตัวเอง ถึงกาลเวลาที่จะดับจะเป็นจะไป หรือจะเป็นจะตายอะไร มันก็ว่าของมันไปตามเรื่อง ด้วยหลักความเป็นจริงของธรรม


โยมแม่ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้เลยเชียวว่า "โอ๊ย ! แม่ไม่อยากได้ยินเลยอย่างนั้น คือมันเหมือนเป็นรูปเป็นภาพว่าลูกตาย"

เราก็พูดสวนทันทีว่า "ไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน มันจะเป็นจะตายด้วยกันทุกคน อย่าไปหวั่นไหวภายนอกซิ เรื่องความเป็นความตายเป็นหินลับปัญญา ให้พินิจพิจารณา ให้มันคล่องแคล่วในเรื่องความตายแล้วจะไม่กลัวตาย ที่พูดนี้ไม่ได้พูดด้วยความกล้าความกลัวตายอะไรเลย พูดตามหลักความจริง แม่จะมาเสียใจทำไม" เราก็พูดอย่างนั้น

โยมแม่ลงจริง ๆ บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูง ๆ เอาจนเต็มเหนี่ยว

โยมแม่มีนิสัยใจนักบุญอยู่แล้ว ไม่เคยลดละเรื่องวัดเรื่องวา ไปฟังเทศน์ทุกวันพระเป็นประจำ เอาถึงไหนถึงกันมาตลอดตั้งแต่เรายังไม่บวช เวลาเราบวชแล้วยิ่งหนาแน่นเข้ามา ๆ จนกระทั่งได้ออกบวช มีความแน่นหนามั่นคงมากในใจตลอดมา

ตอนวาระสุดท้ายของโยมแม่ เราไปยืนอยู่หน้ากุฏิ กุฏิหลังเล็ก ๆ มีแต่ลูกหลานเฝ้าอยู่เต็มไปหมด โยมแม่ร่างกายอ่อนลง ๆ เราตั้งใจไปถามจริง ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า "เป็นอย่างไรล่ะ โยมแม่ ดูอาการแม่นี้จะอยู่ได้ไม่นาน จิตใจแม่เป็นอย่างไร"

แม่พูดขึ้นทันทีเลยว่า "จิตใจแม่ดี จิตใจแม่สง่าผ่องใสตลอดเวลา ไม่วิตกวิจารณ์กับความเป็นความตายเลย"

หลังจากนั้นมาได้สองวันหรือสามวัน แต่ตื่นเช้าขึ้นมาบอกลูก ๆ ว่า "เออ ! แม่จะไม่พ้นวันนี้ แม่คงจะไปวันนี้แหละ"

ตอนเช้าวันนั้นพอเวลา ๘ โมง ๔๕ นาที โยมแม่ก็เสีย ไปอย่างสงบเงียบเลย

นี่แหละ จิตเมื่อได้รับการอบรม จิตจะมีหลักยึด คือธรรมเป็นหลักยึดแล้ว จะไม่ว้าวุ่นขุ่นมัวกับสิ่งของเงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ สิ่งใดก็ตามที่เคยพัวพันกันมาด้วยความดีอกดีใจว่าเจ้าของมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ เวลาธรรมเข้าสู่ใจ.. พลังของธรรมหรือคุณค่าของธรรมนี้จะครอบหมด สิ่งเหล่านั้นจะจางไป ๆ ๆ จิตเลยเข้ามาสู่ธรรม

เมื่อเข้ามาสู่ธรรมแล้วก็หนุนกันอยู่นี้.. เย็นสบาย อะไรจะขาดจะเหลืออะไรจะหมดไป สิ้นไปไม่สนใจ อันนี้ไม่หมด สง่างามอยู่ภายในใจนี้ละเรียกว่า ใจเป็นธรรม ใจมีธรรมเป็นที่เกาะ.. สบายอย่างนั้น

เราไม่วิตกวิจารณ์สำหรับโยมแม่เสียไป แล้วบอกโยมแม่ชัดเจนว่า "โยมแม่ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์การเป็นการตาย ป่าช้าเผาศพโยมแม่อยู่หน้าศาลานะ ลูกเป็นเจ้าภาพทั้งหมด เป็นเจ้าของศพโยมแม่ ลูกจะจัดการทั้งหมดเลย"

พอโยมแม่เสียแล้วเอาไปเผาที่หน้าศาลา อัฐิของโยมแม่ ลูกเขาจะแบ่งไปไหนก็ไม่ทราบ หากว่าเหลือบ้างไปฝังที่ต้นโพธิ์บริเวณกลางวัดป่าบ้านตาดนั่นเอง...

จึงเป็นที่เชื่อได้ว่า โยมมารดาของท่านได้ประสบสุคโต นับว่าสมเจตนารมณ์ของท่านอย่างยิ่ง ที่ได้ทดแทนพระคุณโยมมารดาอย่างเต็มที่สมดั่งที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญไว้ว่า
"ผู้ใดทำมารดาบิดาให้ตั้งอยู่ในคุณความดี มีศรัทธา ศีล ปัญญา เป็นต้น ผู้นั้นชื่อว่าได้สนองคุณท่านเต็มที่"


โยมมารดาได้จากโลกนี้ไปด้วยอาการอันสงบ เมื่อมีอายุย่างเข้า ๙๓ ปี ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ และด้วยเหตุนี้เองในทุก ๆ ปีของวันที่ ๓๐ พฤษภาคม (วันทำบุญโยมมารดา หรือวันทำบุญเปิดโลกธาตุ) องค์หลวงตาไม่เคยละเว้นและไม่ลืม.. ที่จะทำบุญระลึกถึงพระคุณโยมมารดา สิ่งนี้ย่อมแสดงถึงความซาบซึ้งในบุญในคุณของโยมมารดาแบบไม่สร่างซา

สำหรับโยมบิดาของท่านนั้น ในช่วงหลายปีก่อนจะเสียชีวิต ท่านได้พยายามเขียนจดหมายมาขอร้องโยมบิดาอยู่หลายครั้ง ให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จนในที่สุดโยมบิดาก็ยอมเชื่อและไม่ฆ่าสัตว์ใด ๆ อีกเลย ท่านกล่าวย้อนอดีตพร้อมน้ำตาร่วงด้วยระลึกถึงพระคุณของโยมบิดา ที่น้ำตาของบิดาเป็นเหตุพลิกชีวิตของท่านให้เข้าสู่ทางธรรม จนบรรลุถึงแดนบรมสุขในพระพุทธศาสนา แต่กลับไม่มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่านอย่างที่ตั้งใจไว้ว่า

"พ่อน้ำตาร่วงลงเลย เรามองเห็นสะดุดปึ๊งทันที มองไปทางแม่ แม่เห็นพ่อน้ำตาร่วง แม่ก็น้ำตาร่วง เราลุกปุ๊บหนีเลย.. สามวันไปคิดมัดตัวเองนะ ลงจุดน้ำตาร่วงอย่างเดียวหมดเลยเทียว..ไม่ไปไหน.. เราสลดสังเวช บุญคุณพ่อของเรายิ่งใหญ่ น้ำตาของพ่อทำให้เราเป็นมาขนาดนี้ ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่อย่างนั้นไม่มีหวังหละ ว่าอย่างนั้นเลย ... เราเสียดายที่พ่อเสีย ไม่ได้สอนพ่อเหมือนสอนแม่ สำหรับแม่นี้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย"

ลัก...ยิ้ม 03-06-2021 11:02

วันเปิดโลกธาตุ

วันเปิดโลกธาตุเป็นงานบุญประจำปีที่สำคัญอีกงานหนึ่งของวัดป่าบ้านตาด และเป็นที่รู้จักกันในบรรดาลูกศิษย์ขององค์หลวงตา ตรงกับวันที่ ๓๐ พฤษภาคมของทุกปี องค์หลวงตากล่าวถึงความเป็นมาของวันเปิดโลกธาตุ ดังนี้


"โยมแม่ตายวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕ .. จึงเรียกว่าวันครบรอบ จากนั้นก็ถือโอกาสนั้นเอาโยมแม่เป็นต้นเหตุอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาทั่วแดนโลกธาตุในวันที่ ๓๐ เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกว่าวันเปิดโลกธาตุ คือเราเป็นคนพูดเองโดยถือโยมแม่เป็นเหตุ แล้วบำเพ็ญกุศลแผ่เมตตาจิต อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุ ในวันที่ ๓๐ นี้"

ด้วยเหตุนี้ งานบุญเปิดโลกธาตุจึงเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทย จะได้มีโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว รวมทั้งเป็นการสร้างบุญกุศลเพื่อตนเองอีกด้วย และที่สำคัญยังเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ จะได้มีโอกาสมาร่วมอนุโมทนาบุญนี้โดยทั่วกัน สำหรับสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ไร้ญาติพี่น้อง หรือมีญาติพี่น้องแต่ไม่เคยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และอยู่ในวิสัยที่รับได้ก็จะมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลบุญจากผู้ร่วมบุญทั้งปวง ซึ่งมีองค์หลวงตาพระอรหันต์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่เป็นผู้นำในการแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลผลบุญไปทั่วทุกภพภูมิโดยไม่มีประมาณ ดังนี้


"นั่นเห็นไหมล่ะ กองบุญ กองมหากุศลกองพะเนิน คนละเล็กละน้อย ๆ รวมกันมาแล้ว บำเพ็ญมหากุศลเพื่อสัตว์โลก.. อุทิศส่วนกุศลแผ่กระจายไปในบรรดาพวกเปรต พวกผีไม่มีญาติมีวงศ์จะได้รับทั่วหน้ากัน เพราะอันนี้แผ่กระจายไปเลย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าเป็นญาติเป็นวงศ์อะไร เป็นญาติด้วยกันหมดแล้วกระจาย จึงเรียกว่าทำบุญแผ่โลกธาตุ ... นี่ละ กองไทยทานที่พี่น้องทั้งหลายบริจาค รวมรวมกันบริจาคมานี่จะไปส่งไปทางวัดป่าบ้านตาด ไปหากองบุญใหม่ทางนู้น

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ถือเอาวันโยมแม่เสียไป วันนั้นเป็นวันที่จะตั้งเมตตาจิต บริจาคอุทิศส่วนกุศลให้ถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่มีความจำเป็นทั่วหน้ากันและทั่วโลกดินแดนด้วยนะ ผู้มีญาติมีวงศ์ก็ได้อาศัยญาติวงศ์ผ่านไป ๆ เป็นยุคเป็นคราวไป แต่ผู้ไม่มีก็เสวยกรรมไปเรื่อย ๆ ไม่มีญาติก็ไม่มีใครช่วย ญาติเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ ดังที่ท่านแสดงไว้ในติโรกุฑกัณฑสูตร

ติโรกุฑกัณฑสูตร นี่เวลาเขาไปทำบุญทำกุศล พวกเปรต พวกผีหวังพึ่งญาติ ต่างตัวต่างไหลมา ๆ พวกที่มีญาติมีมิตรใจเป็นศีลเป็นทาน ใจกว้างใจขวาง ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ พวกนี้เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งหลั่งไหลไปสวรรค์.. จำนวนไม่น้อย พวกที่ไม่มีญาติมีวงศ์ ทั้ง ๆ ที่มาหวังพึ่งญาติวงศ์เหมือนกัน แต่ญาติวงศ์ไม่สนใจ ไม่อุทิศส่วนกุศลให้ พวกนี้เดือดร้อนกลับไปสถานที่เสวยกรรมของตน.. ด้วยความเป็นเปรตเป็นผี ท่านแสดงไว้ในติโรกุฑกัณฑสูตร

พวกที่เขาได้รับอนุโมทนาอุทิศส่วนกุศลจากญาติแล้ว เขาอนุโมทนาเหมือนกัน อนุโมทนาในติโรกุฑกัณฑสูตร "ขอให้ญาติของเราที่มีจิตใจเมตตาสงสารได้อุทิศส่วนกุศลให้พวกเราทั้งหลายนี้ ขอให้มีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป" นี่เป็นพวกเปรตพวกผีที่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติจนกระทั่งถึงสวรรค์ ก็อนุโมทนาให้บรรดาญาติทั้งหลายที่แผ่ส่วนกุศลให้

ส่วนพวกเปรตพวกผีที่ไม่ได้รับส่วนกุศลจากพี่น้องทั้งหลายนี้ก็ด่าแช่ง มันต่างกันนะ "เราก็มีญาติ ญาติของเรา.. ทำไมจึงเป็นคนใจดำน้ำขุ่น ญาติทั้งหลายเขามี เขาช่วยเหลือกัน เราก็มีญาติ.. ญาติของเรามันเป็นยังไง ไม่มีใครเหลียวแลเราเลย" ต่างคนต่างกลับไปเสวยทุกข์แล้วมีความเสียอกเสียใจ ด่าว่าพวกญาติของตนว่าใจดำน้ำขุ่น เราทั้งหลายก็ให้จำเอาไว้ สร้างบุญกุศลคราวนี้ ทุก ๆ ปีก็จะมี ไม่ว่ามีญาติ ไม่มีญาติที่ไหน.. ส่วนบุญกุศลที่อุทิศกระจายทั่วไปหมด เพราะฉะนั้นพวกเปรตทั้งหลายจึงมารับได้ทั่วหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นญาติของใคร ไม่มีญาติก็ตามมารับได้ทั้งนั้น เพราะอันนี้แผ่กุศลกระจายทั่วไปหมด.. เป็นสาธารณกุศล

นี่เราถึงได้ทำเพราะคิดเห็นอย่างที่ว่า พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้ยังไง.. ผิดที่ไหน เอาความจริงทั้งนั้นออกมา เรื่องความทุกข์ความสุขทั้งหลายที่อาศัยกันพึ่งกัน ญาติวงศ์ที่ใจดำน้ำขุ่น ก็ไปเสวยกรรมของตัวตามเดิม

ลัก...ยิ้ม 06-06-2021 09:17

เราจึงได้พยายามทำ แล้วยกโยมแม่เป็นตัวต้นเหตุเท่านั้นเอง ความมุ่งหมายเพื่อจะบำเพ็ญมหากุศลแผ่แก่สัตว์ทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ จะมีญาติไม่มีญาติก็ตามรับได้ทั้งนั้น มหากุศลของพวกเราที่บริจาครับได้ทั้งนั้น ไม่นิยมว่าใครมีญาติ ไม่มีญาติมารับ เป็นสาธารณกุศลรับได้ ..

ทำนี้ทำอย่างมีหลักมีเกณฑ์ มีเหตุมีผล ไม่ได้ทำอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านะ เราพาพี่น้องทั้งหลายทำอะไรก็ตาม เราไม่เคยมีแบบหลักลอย ๆ ว่าทำนะ เรามีหลักมีเกณฑ์ทุกอย่าง นำตรงไหนออกให้แน่ต่อความสัตย์ ความจริง ความถูกต้องดีงาม ไม่มีความกระทบกระเทือนด้วยความผิดของตน.. ไม่ให้มี

ส่วนใครจะพอใจ ไม่พอใจ อันนั้นเป็นหัวใจคน เราต้องเล็งถึงความถูกต้องเป็นศูนย์กลาง เมื่อดำเนินด้วยความถูกต้องแล้ว ใครจะเสียใจ ดีใจ มันก็เป็นเรื่องของเขาไป เรื่องนี้เป็นเรื่องถูกต้องดีงามแล้ว ไม่สูญหาย เป็นเครื่องยืนยันว่าถูกต้อง เป็นพื้นฐานแห่งธรรมทั้งหลายแล้ว เราพาทำ ทำอย่างนี้เอง วันที่ ๓๐ พฤษภาคมถึงจะทำมาทุกปี ๆ เราก็ไม่ค่อยสนใจนะ เราสนใจแต่สัตว์โลก ที่เป็นห่วงมากก็คือว่าหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เสวยชาติเป็นเปรตผี

เปรตผีนี่มีถึง ๑๓ จำพวกนะ ในหนังสือท่านบอกไว้ จำพวกที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จำพวกที่หนึ่ง เปรตที่มีบาปหนามากทีเดียว พอพ้นจากนรกมาก็มาเป็นเปรตประเภทที่หนึ่ง หลักจากนั้นประเภทที่สอง ที่สามถึง ๑๓ ประเภทของเปรต ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ เหล่านี้จะได้อาศัยบุญกรรมจากบรรดาญาติมิตรทั้งหลายอุทิศให้ และเราอุทิศส่วนกุศล สาธารณกุศล สาธารณกุศลได้โดยทั่วกัน...

ลัก...ยิ้ม 07-06-2021 18:52

สรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุ คือญาติร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย

องค์หลวงตาท่านแผ่เมตตาไม่มีประมาณให้แก่สรรพสัตว์ทั่วโลกธาตุเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว ท่านยังถือเอาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม มาเป็นเหตุสอนพุทธศาสนิกชนให้รู้จักมีเมตตาต่อญาติมิตร เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศลอย่างไม่มีประมาณอีกด้วย ดังนี้

"... ท่านทั้งหลายเวลาทำบุญกุศลนี้ ให้แผ่บุญกุศลทั่วแดนโลกธาตุ ไม่นิยมว่าญาติ ไม่ญาติ ญาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นแหละ หวังพึ่งซึ่งกันและกันด้วยกันไปเลย ต้องตัวใครตัวมัน แต่อยู่ในแดนมนุษย์นี้พอพึ่งกันได้ พวกเปรตพวกผีนี้พึ่งได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่จะได้อาศัยพี่น้องทั้งหลายบริจาคทานในคราวนี้ เพราะฉะนั้น หลวงตาจึงได้อุตส่าห์พยายามทำบุญกุศลโดยยกโยมแม่ขึ้นเป็นต้นเหตุ วันตายของโยมแม่วันนี้ วันที่ ๓๐ เอาอันนี้เป็นต้นเหตุ

ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่มีทั่วโลก.. มากยิ่งกว่าโยมแม่เป็นไหน ๆ นั่นละ เรายกเอาอันนี้ขึ้นมาด้วยเพียงอาศัยโยมแม่เป็นต้นเหตุเท่านั้น กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ วันนี้ได้พาพี่น้องทั้งหลายบำเพ็ญมาประจำปี ๆ เพราะเห็นความจำเป็นของสัตว์ลึกลับ ๆ นี้แหละ ตามทางของศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง จึงได้นำธรรมนั้นมาสั่งสอน และพาพี่น้องทั้งหลายดำเนินตาม เพื่อสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นที่หวังพึ่งผู้อื่นอยู่ เขาจะได้พึ่งตามกำลังความสามารถของเขาของเรา บุญเขาบุญเรา... รับกันมากน้อยเพียงไรรับกันไป เอากันไป..

วันนี้บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มาทำบุญงานเปิดโลกธาตุ นี่คืองานช่วยโลก บรรดาผู้ล้มหายตายจากไป มีญาติก็มี ไม่มีญาติก็มี ส่วนบุญกุศลที่เราทำเพื่อสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับญาติไม่ญาติ ใครมารับส่วนบุญนี้ได้เช่นกันทั้งนั้น ๆ ให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลถึงญาติถึงวงศ์ของตน สัตว์ทั้งหลายมีญาติด้วยกันทั้งนั้น ญาติเก่า ญาติใหม่ ให้พากันตั้งใจอุทิศส่วนกุศล

วันนี้วันอุทิศส่วนกุศลถวายสัตว์ทั่วแดนโลกธาตุ ให้ต่างคนต่างอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ท่านผู้ล้มหายตายจากไป ผู้มีบุญมีคุณตลอดสัตว์ทั่ว ๆ ไป วันนี้จะพาทำบุญให้สัตว์ทั้งหลายทั่วสามแดนโลกธาตุ ... สัพเพ สัตตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น แล้วพวกเราทั้งหลายก็ขอแผ่ส่วนบุญกุศลให้ท่านผู้ไม่ได้มา ไม่ได้รับ เพื่อท่านเหล่านั้นจะได้รับบุญของท่านอุทิศให้เป็นความยิ้มแย้มแจ่มใส

บางรายเลื่อนชั้นขึ้นไปหลายต่อหลายมากต่อมาก บางรายถึงนิพพานเลย เพราะบุญเราสร้างแล้วสร้างเล่าก็มาเข้าหัวใจของเรา บุญเข้าหัวใจแล้วไปละ.. ไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไปตั้งแต่มนุษย์นี้ขึ้นไปเรื่อย แล้วต่ำกว่ามนุษย์ก็มีอีกเยอะนะ เราอย่าประมาทว่าสัตว์ทั้งหลายมีน้อย คนเต็มศาลานี้ สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใต้ศาลานี้ยังมากกว่าเราอีก..."

ลัก...ยิ้ม 08-06-2021 15:37

เกี่ยวกับภพภูมิของสรรพสัตว์ต่าง ๆ ในวัฏสงสารนั้น องค์หลวงตากล่าวไว้ ดังนี้
... แดนนรกมี ๒๕ หลุม สวรรค์ก็มีหลายชั้น ตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น ... วิญญาณในสามแดนโลกธาตุนี้ จึงไม่ว่างความเกิดความตายของสัตว์โลกตามภพภูมิอันหยาบอันละเอียดเท่านั้น กามภพ รูปภพ อรูปภพ ฟังซิ..เว้นแต่อนาคามีถึงสุทธาวาส ๕ ชั้นนั่น เป็นยังไงสุทธาวาส ๕ ชั้น .. อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฎฐา ...


ในโลกนี้ภพภูมิของสัตว์นั้นน่ะ มีมาก เราอย่านับเพียงหมื่น ๆ แสน ๆ ภพภูมิเลย มีมากกว่านั้น มีจิตมีทางที่จะเป็นไปต่าง ๆ นานา เพราะสิ่งที่ไม่แน่นอนเหล่านี้แล และสิ่งที่ไม่ไว้ใจเหล่านี้แลซึ่งมีมาก พระพุทธเจ้าจึงสอนลงในจุดรวมว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่จะไปสู่ในภพชาติใด ๆ ต้องขึ้นอยู่กับจิตนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..จงสร้างจิต ฝึกฝนอบรมจิตให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าอบรมจิตนี้ด้วยดีคือโดยศีลโดยธรรมแล้ว จะมีสักกี่ร้อยล้านภพของสัตว์ก็ตาม จิตจะเกิดในภพภูมิที่ดีเท่านั้น เหมาะสมกับวาสนาบารมีของตน...

งานบุญเปิดโลกธาตุนี้ จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงความเมตตาขององค์หลวงตา ที่ไม่เพียงมีต่อเพื่อนมนุษย์สัตว์ร่วมโลกที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ โดยการบริจาคทานวัตถุสิ่งของเป็นการสงเคราะห์เท่านั้น ความเมตตาของท่านยังแผ่กระจายอย่างกว้างขวางทั่วโลกธาตุ ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ลึกลับในภพภูมิละเอียด ให้มีโอกาสได้รับหรืออนุโมทนาร่วมบุญในวันนี้อีกด้วย

ลัก...ยิ้ม 09-06-2021 10:19

โยมแม่โมโหแทนลูก

ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์มักนิมนต์ให้ท่านไปแสดงธรรมอยู่เนือง ๆ ถ้าเป็นงานสำคัญ ท่านเจ้าคุณจะมารับท่านไปเทศน์ด้วยตนเองเลย มีอยู่คราวหนึ่งได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์อีกเช่นเคย ครั้งนั้นท่านไปพักค้างคืนที่วัดโพธิสมภรณ์ พอเช้าออกบิณฑบาตก็พบกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ดังนี้
"... เราก็ไปพักวัดโพธิสมภรณ์ แล้วตอนเช้าก็ออกบิณฑบาต ห้าแยก.. เราก็เดินไปตามทางฟุตบาท แล้วก็มีโยมคนหนึ่งตัวเตี้ย ๆ หัวล้าน ๆ มันเดินสวนทางมาแล้วก็หยุดกึ๊ก มันก็มาจับสายสะพายบาตรของเราไว้ มันก็แหงนหน้าขึ้นดูเราแล้วพูดว่า "บักหัวโล้น มึงบิณฑบาตได้อีหยังบ่" (ไอ้หัวล้าน มึงบิณฑบาตได้อะไรบ้าง)


เราฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ แล้วก็ไป มันก็ยังหันหน้ามาอีก ซ้ำยังพูดว่า "เอ๊ะ ! บักหัวโล้นนี่ ด่าว่ามันยังซื่ออยู่" (เฉย ๆ อยู่)

เราก็เฉย ๆ อีก ตกลงมันก็ได้แต่ลมปากมันไป เราก็เฉยไม่ว่าอะไร เพราะเรื่องเหล่านี้เราเคยได้ยินมาแล้วในโลกสงสาร ถึงเขาไม่ว่าให้เรา เราว่าเราเองก็ยังได้นี่นา "หัวโล้น" ใช่ไหม อย่างมันหัวล้านถึงไม่ว่ามันล้าน มันก็ล้านอยู่แล้วใช่ไหม มันก็ล้านอยู่แล้ว (หัวเราะ) พอเล่าให้โยมแม่ฟังว่า "นี่เขาด่าว่าให้อย่างนี้"

"ว้าย ! แม่เลี้ยงมาจนป่านนี้ ตั้งแต่ลูกบวชมาแม่ยังไม่เคยได้ว่าลูกปานนี้เลย"

"โอ๊ย ! นี่มันแม่ เค้าไม่ใช่แม่นี่น่ะ" เราก็ว่า ก็แก้ใหม่เสีย

"โอ๊ย ! น่าโมโห"

แม่เพิ่นโมโห เพิ่นคันเขี้ยว เพิ่นอยากไล่กัดเขา เขาไปฮอตทวีปไหนบ่ฮู้จัก เพิ่นคันเขี้ยว เพิ่นอยากไล่กัดลมกัดแล้งเขา "โอ๊ย ! มันน่าโมโหแท้ ๆ โว้ย !" แม่บ่นว่าพึมพำ..."

ลัก...ยิ้ม 09-06-2021 10:57

ตัวอย่างภพภูมิต่าง ๆ จากประสบการณ์พระกรรมฐาน


องค์หลวงตาท่านเมตตาเล่าเรื่องเกี่ยวกับภพภูมิต่าง ๆ จากประสบการณ์ตรงของพระกรรมฐานผู้ชำนาญไว้ในวาระต่าง ๆ มีจำนวนไม่น้อย ขอยกตัวอย่างมาแสดงบ้าง ดังนี้

ไสยศาสตร์ การขี่เสือ

"... วิชาขี่เสือนี้เป็นวิชาไสยศาสตร์อันหนึ่ง เขาร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือก็มาจริง ๆ อย่างที่พวกเขาขี่เสือ มีนะ นี่ละ ไสยศาสตร์ขี่เสือได้นะ ขี่เสือป่านี่ขี่เสือได้

ที่บ้านหนองแวงนี่ก็มีคนหนึ่ง เราเกิดไม่ทัน.. ผู้เฒ่าตายเสียก่อน เขาเรียกพรานป้อ คนเตี้ย ๆ ขี่เสือมาเรื่อย ดงนี้แกขี่เสือทั้งนั้น เขาเห็นกันทั้งบ้าน ไปในป่า พอไปเหนื่อย ๆ แล้วขี่เสือออกมา เขามีวิชาจับเสือขี่ อันนี้ก็มีคนหนึ่งอยู่ทางบ้านมาย อ.บ้านมาย หรือ อ.บ้านม่วง มีเสือ..ดงใหญ่ คนนี้ก็ขี่เสือได้ ไปเรียนวิชามาจากฝั่งลาว ไปเรียนกับพวกโซ่พวกข่า เขาเรียนวิชาขี่เสือ

ว่าไปด้วยกัน ๕ คน ครูนำหน้าไป พอไปตั้งทัพลงตรงนี้ปั๊บ แล้วก็นั่งร่ายมนต์เรียกเสือมา เสือตัวไหนอยู่ใกล้มันก็มา มาก็มานอนอยู่ตามนี้ เสือ..เสือโคร่งนะ คนร่ายมนต์ ที่นี้เสือก็มา ลูกศิษย์นี้ต่างพากันกลัวจนตัวสั่นแหละ อาจารย์เป็นคนร่ายเสือมา

ทีนี้พอมันมาแล้วก็สั่งคนนั้นไปขี่เสือมานี่ คือมันมานอนอยู่ตามอย่างนี้ ให้ขี่เสือตัวนั้นเข้ามาหาครูนี่ ครูนั่งอยู่นี่ ทดลองในขั้นนี้ก่อนนะ ทดลองเป็นขั้น ๆ จนกระทั่งใจกล้าหาญเชื่อวิชาตัวแล้วทีนี้ก็ปล่อย อันนี้ก็สั่งคนนี้ให้ไปขี่เสือ ไม่ยอมไป กลัวเสือกินหัวมัน อาจารย์ไล่ไม่ยอมไป เสือก็นอนดารดาษอยู่ มันดงเสือนี่นะ ตัวไหนอยู่ใกล้ก็มาก่อน ตัวไหนอยู่ไกลก็มา บางทีจนคนจะเลิกแล้วค่อยมาถึงก็มี

ทีนี้พอถึงคนที่ห้านี้ตัดสินใจเลย ตายก็ตาย ถ้าครูไม่เก่งจริงจะเรียกเสือมาไม่ได้ เอากันตรงนั้นตัดสิน ถ้าครูไม่เก่งจริงแล้วเรียกเสือมาไม่ได้ ครูต้องเก่ง นี่ครูเป็นคนบอกเองให้เราไปขี่เสือมาหาครูนี้จะเป็นอะไรไป
"เอ้า ตายก็ยอมตาย"


ไป.. ก้าวขาจะไม่ออก มันแข็งไปหมดว่างั้น เอ้า ๆ ไป บังคับให้ไป ไปก็ไปขี่เสือมาหาครู พอขี่ตัวนี้มาแล้ว ไป ๆ ขี่เสือมาอีก ขี่ตัวนี้มานอนอยู่นี่ นอนอยู่หน้าคน นี่ละไสยศาสตร์เขาเก่งไหม ก็ขี่ตัวนั้นมาขี่ตัวนี้มา.. กล้าหาญล่ะ นี่เป็นครั้งหนึ่งแล้วนะทดลองพักแรก พักที่สอง ครูนั่งอยู่ที่นี่ ให้ลูกศิษย์ไปนั่งอยู่โน่น ห่าง ๆ จากครูไป ให้ลูกศิษย์เป็นคนร่ายมนต์เรียกเสือมา มาหาแล้วก็ขี่เสือมาหาครู เขาทำหลายพักนะ เขาทดลอง คือทีแรกเรียกมาหาครูเสียก่อน ให้ลูกศิษย์คนนี้ไปขี่เสือเข้ามาหาครู ไปขี่ตัวนั้นเข้ามา จากนั้นแล้วก็ให้ลูกศิษย์นี่ไปอยู่นอก ๆ โน้น ไกล ๆ แล้วก็ไปร่ายมนต์เรียกเสือมา แล้วขี่เสือมาหาครู ทีนี้พอชำนาญแล้วถามลูกศิษย์ว่า แน่ใจแล้ว ไม่กลัวแล้วก็ปล่อยละ

อีตาคนนี้แกขี่เสือ คนบ้านมาย นี่เขาเห็นกันหมดทั้งบ้าน..ปฏิเสธได้ยังไง ทีนี้จึงรู้ว่าเสือสติมันดี รู้กันตามนี้ว่างั้น แกขี่เสือไปนี้ ไปตามด่านในดง คนมาทางโน้นเสือมันดิ้นแล้วทางนี้ คนมาไม่ใช่คนธรรมดา คนธรรมดาก็เป็นอย่างหนึ่งพูดกันจอแจมา แต่นายพรานมานั่นซิ นายพรานเขาไม่ได้จอแจนี่ เขามาจ้อเลยหายิงเนื้อล่าเนื้อ นายพรานก็รู้ พอนายพรานมาข้างหน้าโน้น ทางนี้ดิ้นแล้ว จะออกจากทาง พอเห็นท่าไม่ดีก็ปล่อย ปล่อยก็วิ่งเลยเข้าป่าปั๊บ สักเดี๋ยวนายพรานก็มา

คือสติมันดีอย่างนั้นนะ..ว่างั้น รู้ได้เร็วมาก ไอ้ที่จะไปเจอกันจริง ๆ ไม่ได้เจอง่าย ๆ แหละ มันดุกดิก ๆ แล้ว พอจวนเท่าไรมันจะดิ้นไป พอปล่อยปั๊บนี้วิ่งเลยเข้าป่า สักเดี๋ยวนายพรานก็มา บางทีเวลานอนกลางคืนเหมือนกับว่าเอาเสือเป็นหมา เจ้าของนอนอยู่กลางคืนพอตื่นขึ้นมานี้เสือมานอนอยู่ด้วยแล้ว มานอนอยู่กับคน มันไม่กลัวคนเพราะเป็นครูเขานี่ ครูเสือ นี่ละเรียกไสยศาสตร์..

คนนี้ก็ขี่เสือเก่ง คนนี้ก็เหมือนกัน ขี่เสืออยู่บ้านแวง บ้านธรรมลี (หลวงปู่ลี กุสลธโร) อยู่นี่แหละ ผาแดง เขาเรียกพรานป้อ คนเตี้ย ๆ ขี่เสือมาเรื่อย คนเจอเรื่อย ครูเขามีนะ ถ้าผู้ขี่เสือไปไม่ให้เจอคน ถ้าเจอคน เสือมันจะตะปบเจ้าของ "โฮก" ทีเดียว ตะปบเจ้าของแล้ววิ่งหนีเลย..เจ็บ เสือมันตะปบเจ็บ เลยต้องไปลับ ๆ เงียบ ๆ

พอจะมีคนต้องปล่อยเสือไป เสือมันบอกก่อนแหละ เสือสติมันดี มันบอกก่อนเลย ที่จะไปเจอคนธรรมดานี้ไม่เคยมีแม้นายพรานก็ตาม เขาไปอย่างด้อม ๆ มอง ๆ นายพรานเขาไปนี้.. เขาไปด้อม ๆ มอง ๆ หายิงสัตว์ แม้อย่างนั้นเสือมันก็รู้จนได้ หากมันทำท่าดิ้นไปดิ้นมา แสดงว่านี่มีคนมาแล้วข้างหน้า พอปล่อยนี้มันจะวิ่งเข้าป่าปั๊บ สักเดี๋ยวก็เจอคนมา นี่เขาเรียกไสยศาสตร์

เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วโลกดินแดน ใครเสาะแสวงหายังไงก็เจออย่างนั้น เพราะของมีอยู่ด้วยกัน พวกผีพวกอะไร ๆ จิตวิญญาณอะไรมันเข้าสิง

วิชานี่มีวิญญาณอยู่ในนั้นในหลักวิชา อย่างพวกที่เขาทำคนก็เหมือนกันนั่นแหละ พวกนี้ทางเขมรมีมากนะ เขมรมีมาก..วิชาอย่างนี้ พวกโซ่พวกข่ามีมาก อยู่ฝั่งลาวไปทางโน้น

แต่ก่อนเขาใช้วิชาอันนี้ทำคนให้ตายก็ได้ ทำคนให้รักกันเขาเรียกทำเสน่ห์ อะไรอย่างนั้นก็ได้ ทำคนให้ตายเลยก็ได้ ทำได้ทุกแบบวิชาพวกนี้ นี่เขาเรียกไสยศาสตร์ ถ้ามีผู้เรียนผู้รักษาอยู่ สิ่งเหล่านี้ก็มีก็ปรากฏอยู่ ถ้าไม่มีผู้เรียนผู้รักษา มีก็เหมือนไม่มี เพราะใครก็ไม่ได้สัมผัสมัน ถ้ามีวิชา วิชานั่นแหละไปเกี่ยวโยงกันกับสิ่งเหล่านี้มาอยู่กับเจ้าของ..."

ลัก...ยิ้ม 10-06-2021 17:59

พระป่าผจญผีสาว

"...เขาถือเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าภาคไหนในเมืองไทยเรานี้ เมื่อคนตายแล้วต้องเกี่ยวข้องกับพระ พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึกถึงพระองค์ที่ว่ากล้าหาญเต็มที่ ขี้ขลาดเต็มตัวจนจะตาย ท่านไปภาวนาอยู่ในถ้ำ อดอาหาร เที่ยวไปนั่งอยู่ตามทางเสือ ทางอะไรนั่นแหละ น่าเสียดายนะ พระองค์นี้ถ้าหากว่าจิตใจได้เหนี่ยวรั้งครูอาจารย์ไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จริง ๆ ก็จะไม่เสีย นี้สึกไปแล้ว ทราบว่าสึกแต่ผมไม่เห็น ได้ทราบว่าสึก

แต่ก่อนแกเคยเป็นนักเลง จิตใจ อู๋ย..เด็ดมาก สมเป็นนักเลง ว่าไป..ไป ว่าอยู่..อยู่ จริงจังมากทีเดียว ตอนแกปฏิบัติตัวเอง แกก็จริงจัง กลัวผีนี้เป็นเบอร์หนึ่ง เวลาจะแก้ แก้จนกระทั่งกล้าหาญเบอร์หนึ่งเหมือนกันในตัวเอง ไม่มีสะทกสะท้านเลยเรื่องผี ไปที่ไหนอยู่ได้หมดเพราะการแก้ได้ ไม่ใช่มันหายไปเฉย ๆ หายด้วยอุบายวิธีแก้ด้วยธรรม มีความรู้แปลก ๆ เหมือนกันพระองค์นี้ เวลานั่งภาวนา กลางคืน เขาตายในบ้าน ท่านก็รู้แล้ว
"เอ้อ..วันพรุ่งนี้จะมายุ่งเราอีกแล้ว นี่คนตายแล้วในบ้าน"


นั่น..ท่านรู้นะ แล้วก็มีจริง ๆ แถวนั้นก็ไม่มีพระ สถานที่อยู่ ถ้ำกับป่าช้าห่างกันเท่าไร กี่กิโล ตั้งห้าหกกิโล ลงไป..ข้าวก็ไม่ได้กิน แทบล้มแทบตาย เมื่อยล้าก็ต้องได้ไป นี่แหละเรียกว่ามันแยกกันไม่ออกอย่างนี้ คนตายรายใดเป็นรู้ แปลกอยู่นะ..พระองค์นี้ ท่านบอกนะ มันรู้และแน่นอนด้วย ถ้าสมมติเป็นแบบโลก ๆ ก็ว่าพนันกันได้เลย บ้านนี้เขาตายแล้วคืนนี้เขาจะมานิมนต์เราแล้ว บางทีก็มีเทพ พวกเทพมานะ ท่านก็พูดถึงเรื่องเทพดีเหมือนกัน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ไม่ใช่เป็นรุกขเทวดา รักษาดิน..ว่างั้น อันนี้แกไม่มีเรียนมานะ มันเป็นขึ้นตามนิสัย

อย่างนี้แหละ จิตเมื่อมีความสงบเข้าไปแล้ว ไอ้เรื่องนิมิตต่าง ๆ ที่จะมาปรากฏตามจริตนิสัย หรือไม่ปรากฏนั้นก็เป็นตามจริตนิสัยด้วยกัน ไม่ต้องเรียน อันนี้เป็นขึ้นมาเอง เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วนั้นแหละ ต้องเรียนวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งนั้นให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นผิดได้ เพราะอันนี้ไม่ใช่ของดีโดยถ่ายเดียว ถ้าหากเราได้รู้วิธีปฏิบัติกันโดยถูกต้องแล้ว ก็เป็นเครื่องมือได้ดี อันนี้พวกนักปฏิบัติรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ

สมัยที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกันนี้ ก็เคยเล่าสู่กันฟังสนุกสนานดีเหมือนกัน ที่เราเขียนในหนังสือปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นหรืออะไรนั้น มีแต่ความจริงทั้งนั้นนะ เช่น บางองค์อย่างนี้ เขียนเรื่องราวขององค์ไหนออก หากแต่เราไม่ระบุเท่านั้นแหละ เอาเรื่องของท่านองค์นั้น ๆ ออกมาเลย เป็นความจริง เป็นบางรายก็ไปอยู่ ความรู้..รู้เหมือนกัน นี่ก็ค้านกันไม่ได้ เอ้า..องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น เอ้า..องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้นได้ ๓ คืนเผ่นมาแล้ว มาหากัน

"โอ๊ย..อยู่ไม่ได้ ไม่ทราบเป็นยังไง มันผีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ ผีกามมาลาก มันเอาศีรษะห้อยลงเพดานถ้ำนี่ มันหย่อนลงมานี้ ต้องขออภัยนะ มันเอานมมาใส่ตัวเรา เอาหัวหย่อนมานี้..แผ่กุศลธรรมอะไรมันก็ไม่ยอมรับ..ว่างั้น เจริญเมตตามันไม่รับ มันจะรับแต่กามกิเลส อยู่นี่ ๓ คืนไม่ได้หลับได้นอนเลย มันมาแสดงอยู่อย่างนั้นก็เลยลงไป ไปหาเพื่อนอีกก็เล่าเรื่องให้ฟัง"

"เอ้า..ถ้างั้นอยู่ถ้ำนี้ผมไปเองนะ"
พระองค์นั้นก็รู้เหมือนกัน มีความรู้ทางนี้เหมือนกัน ไปอยู่นั่นก็เหมือนกันได้ ๒ คืน เผ่นมาเลย
"โอ๊ย..จริง ๆ เอ๊..มันเทวดาอะไร ? พวกนี้มันผีอะไร ? ทำไมมันกรรมหนักกรรมหนาเอานักหนานะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มีแต่จะเอาท่าเดียว เรื่องกิเลสกับเรื่องกาม กามราคะ ทำอะไรก็ไม่ยอมรับ เรียกว่าพวกนี้พวกหนาแบบบอกบุญไม่รับ"


ไม่ค้านกันนะ รู้จริง ๆ ทำแบบเดียวกันแหละ..ว่างั้น ทีแรกองค์นี้เล่าให้ฟังก่อน

"เอ้า..ผมลองดูหน่อย มันเป็นยังไงว่ะ"
เป็นที่รู้กัน พอไปเข้าก็ โอ๊ย..ยอมรับ อย่างนั้นละ ถ้ามันเห็นเหมือนกันรู้เหมือนกัน ค้านกันได้ยังไง เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาอารมณ์ ปุ๊บปั๊บ..ท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้วนี่เข้าใจแล้ว..เข้าใจวิธีปฏิบัติ


สัญญาอารมณ์ไปหลอกเจ้าของก็มี เช่น บอกไปอย่างนั้น แล้วไปเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมาก็มี แต่นี่เป็นผู้มีพื้นเพทางนี้อยู่แล้วด้วยกัน เข้าใจด้วยกัน เคยพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องภูตผีปิศาจอะไรต่ออะไรให้กันฟังจนเคยชิน หรือเป็นที่แน่ใจต่อกันและกันแล้ว เหมือนอย่างว่า "มีอะไรอยู่นั้นนะ ผมถึงได้หนีมาที่นี่"

"เอาเถอะ ท่านไปดูซิ"

"โอ้..ใช่" แน่ะ..ตาเรามีเราก็มองเห็น "อ๋อ..ใช่" แน่ะ..เป็นอย่างนั้นจะว่าไง หูเรามีก็ได้ยิน ภายในมันก็เหมือนกัน..."

ลัก...ยิ้ม 12-07-2021 08:23

ผีกองกอย

".. แปลก ๆ อันหนึ่งก็คือ ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านไปพักอยู่ที่ทางภาคอีสาน เขาเรียกว่าผีกองกอย มันร้องกลางคืน เขาว่าถ้าผีชนิดนี้มาเยี่ยมบ่อย ๆ คนมักตายบ่อย ๆ มันกินคนอย่างลึกลับ เขาเรียกผีกองกอย ท่านก็ไปพักอยู่ที่นั่น คนที่มาพักเขาก็บอกว่า ที่แถวนี้มีผีกองกอย เขาเล่าให้ท่านฟัง

ตอนนั้นดูว่าท่านมีพระไปด้วย.. เป็นสององค์กับท่าน แล้วก็มีตาปะขาวคนหนึ่งรวมเป็นสามไปพักอยู่นั้น พอสามทุ่มล่วงไปแล้ว คืออยู่ในป่ามันเหมือนดึกนะ เขาบอกว่า "แถวนี้มีผีกองกอย ถ้าผีกองกอยเที่ยวไปแถวไหนแล้วคนมักจะเป็นไข้..ป่วย..แล้วตาย ผีพวกนี้มันกินตับคน"

เขาเล่ากันไปอย่างนั้นแหละ ท่านก็ฟังไป จึงได้เห็นผีนี้ชัดเจน นั่น..เห็นไหมล่ะ

พอมันร้อง ตาปะขาวอยู่ที่นั่น ตรงนั้นละ สามทุ่มกว่า ๆ ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ เสียง "กองกอย ๆ" มา ได้ยินชัดเจน เงียบ ๆ กลางคืน ที่เขาว่าเสียง "กองกอย ๆ" มันเสียงอย่างนั้นจริง ๆ เขาเรียกผีกองกอย พอมาถึงตาปะขาว ท่านก็วิตกถึงตาปะขาว กลัวมันจะมาทำอะไรตาปะขาว เพราะมันเป็นสัตว์ลึกลับ มองด้วยตาไม่เห็น

พอมันมาได้จังหวะแล้ว ท่านก็กำหนดจิตดู ท่านพูดเองนะ โอ๋ย.. มันตัวเหมือนลิงท่านว่า "มันเหมือนลิง" พอจิตท่านส่งไป โอ๋ย.. มันกลัวมากที่สุดเลย พอตามันรับกับใจของท่าน เหมือนว่าตามันรับกับตาเราว่างั้นเถอะ แต่ตาเราเป็นตาใจ พอมองเห็นปั๊บวิ่งปรู๊ดเลย กลัวมากที่สุด กลัวอย่างมากทีเดียว เราเห็นมัน..จ้องดูอยู่นี่ พอมันแพล็บเข้ามามองเห็นเรานี้.. ปรู๊ดวิ่งเลย ตั้งแต่วันนั้นเงียบเลย

"โอ๋.. ได้เห็นแล้ว มันเหมือนลิง สัตว์ตัวนี้เหมือนลิง คือมันไม่ได้เป็นรูปวัตถุนะ รูปเป็นนามธรรมแต่เหมือนลิง"

ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเล่าให้ฟัง ท่านรู้สึกพิสดารเกี่ยวกับพวกเปรต พวกผี พวกเทวบุตรเทวดา ท่านอาจารย์ฝั้นเด่นอยู่องค์หนึ่ง นั่นละ..เด่นไปคนละทาง ๆ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นนักภาวนาด้วยกัน มีนิสัยวาสนาเด่นทางไหน ก็เป็นไปในทางนั้น ๆ จะเป็นขึ้นมาเองรู้เอง

ครูบาอาจารย์ที่เป็นนักภาวนา ท่านรู้ของท่านธรรมดา ๆ แต่เรื่องของโลกมันกีดมันขวาง ท่านจึงไม่นำออกมาใช้ ไม่พูด พูดก็มีแต่การแนะนำสั่งสอนไปธรรมดาที่อยู่ในฐานะซึ่งควรจะสอนได้ แต่เรื่องภายในแล้วท่านไม่พูด.. เฉย นอกจากพวกเดียวกัน ถ้าพวกเดียวกันท่านพูดเสมอ ไปอยู่ที่นั่นมีอย่างนั้น ๆ เช่นอย่างในถ้ำ มีผี มีเทวดารักษา ท่านรู้ แต่ท่านพูดในวงของท่านเอง.. พวกนักภาวนากรรมฐานด้วยกัน คือใจนี้เป็นนักรู้ เมื่อเปิดออก ๆ นิสัยวาสนาของใครจะเด่นในทางไหน ๆ มันจะรู้ของมัน เห็นของมันไปตามนั้น จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนา ไปคนละทิศละทาง..."

เถรี 09-06-2023 01:14

พญานาคเคารพ...หลวงพ่อผาง

"..(หลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต) ท่านไปพักภาวนาอยู่ทางน้ำหนาวนี่ละ..ที่สำคัญนะ มีหลวงพ่อองค์หนึ่งอยู่ทางด้านโน้น เดินจงกรมอยู่กลางวันนะ ไม่ใช่กลางคืน หลวงพ่อผางเดินจงกรมอยู่ทางนี้ องค์นั้นเดินอยู่ทางนั้น งูใหญ่..ใหญ่เท่ากับต้นมะพร้าว มายกคอขึ้นอ้าปากใส่ หลวงตาองค์นี้ส่งเสียงร้องโว้ย ๆ ขึ้น..!

ตอนนั้นท่านก็เดินจงกรมอยู่ "เป็นอะไรวะ ?"
"งูใหญ่ไม่ทราบมาจากไหน กำลังจะงับผม อ้าปากใส่ผมอยู่นี่..!"

ท่านก็มาแล้วก็เห็นจริง ๆ กลางวันนะ..หายก็หายในขณะนั้นเลยต่อหน้าต่อตา เป็นยังไง..? พญานาคมีหรือไม่มี ฟังซิ..ผู้เห็นท่านเห็นอยู่อย่างนั้น ผู้หลับตามันก็หลับอยู่อย่างนั้น พอมาก็เห็น โอ๊ย..มันยกคอขึ้น ตัวเท่าต้นมะพร้าว ตัวยาว หลวงตานี้ก็เดินจงกรมตัวแข็ง มันอ้าปาก มันไม่เข้ามาใกล้แหละ ห่างประมาณสักวาเศษ ๆ มันอ้าปากอยู่อย่างนี้ ตัวใหญ่มาก

ทีนี้หลวงพ่อผางมา "ไหน..มันอยู่ไหน ?"

พอว่าท่านเดินเข้ามาเลยนะ หลวงพ่อผางไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน มันก็อ้าปาก ทางนี้ก็เดินเข้าไป "เอ้า..มึงจะกินกูหรือ เอาเลย..มึงชอบตรงไหนเอาเลย..!"

เดินบุกเข้าไปหาเลยเชียว มันกำลังอ้าปากอยู่ พรึบเดียวหายเงียบเลย ไม่ทราบหายไปไหน ตัวใหญ่ ๆ หายเดี๋ยวนั้นเลย ไปเงียบ บอกว่า "พญานาคมันมาแกล้งเฉย ๆ ภาวนาเมตตามันไม่ดี ภาวนามันไม่ค่อยแผ่เมตตา"

เห็นไหมล่ะ..? ตัวใหญ่จริง ๆ นี่หลวงพ่อผาง..ท่านบุกเข้าไปเลยนะ ที่มันอยู่นั้น ท่านเดินเข้าไปหาเลย ท่านไม่มีสะทกสะท้าน "เอาเลย..กินเลย" เดินไปหาตรงนั้น หายวูบไปเลย เงียบเลย..ไม่มี..หายหมดทั้งตัว มันหายไปไหนไม่รู้ เวลาออกมาพูดว่า

"มาแกล้งหลวงพ่อ หลวงพ่อใจดำ ไม่มีเมตตาจิต มันเลยมาแกล้งเอา"

อันนี้ก็เข้ากันได้ ก็เรียนหนังสือเหมือนกันไม่ใช่หรือ ที่พวกพาไปภาวนาไม่แผ่เมตตา พวกเทวดาทั้งหลายเกิดความเดือดร้อน มาแสดงอาการทั้งหลายให้เห็น เป็นกะโหลกหัวผีบ้างอะไรบ้าง และทำพระให้ทั้งจามทั้งไอ เป็นไข้เป็นหนาว วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า กราบทูลพระองค์ว่า เวลาไปที่นั่นไม่สบาย "ไม่สบายสิ พวกเธอใจดำ พวกเทพทั้งหลายเขาอยู่ที่นั่น เขาได้รับความลำบากลำบน เขาก็แกล้งเอาบ้าง ไม่มีเมตตาจิตไป ไปเจริญเมตตาจิต ไปอยู่ที่นั่น"

ไล่กลับมาที่เก่า ไปคราวนี้เจริญเมตตาจิตชุ่มเย็นหมดเลย อำนาจเมตตาธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นธรรมะชนะโลก สุดยอดอยู่กับเมตตาธรรม ให้พากันจำไว้นะ

เถรี 13-06-2023 16:07

พระกลัวพญานาค

องค์หลวงตากล่าวว่า ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านมีนิสัยกล้าหาญ ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ แต่คราวนี้ท่านไปพบเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งเข้าที่ภูทอก บ้านตากแดด อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขณะนั้นมีหลวงตาองค์หนึ่งเป็นพระปฏิบัติฝ่ายมหานิกาย ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองบอกท้าพวกที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงให้ไปลองพิสูจน์ดูบ้างที่นี่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นองค์หลวงตาเล่าไว้ ดังนี้

"..แล้วท่านสิงห์ทอง ยังอยากจะให้พวกนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ว่าไม่มีผีไม่มีอะไรให้ไปอยู่ภูเขาลูกนั้น ภูเขาลูกนั้นเราก็เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ มันเป็นตีนเขา ข้างบนมีถ้ำอยู่ ๒ ถ้ำ มีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่ทางนั้นถ้ำหนึ่ง แล้วเป็นซอกเขาลงมาน้ำไหลลงมาตรงนี้ แล้วมีอีกถ้ำหนึ่ง ครั้นเวลามีพระมาใหม่ มาเยี่ยมมาพักอยู่ถ้ำนี้ ผีนั้นก็ลงมาจากโน้นนะ จากภูเขาบนหลังเขานั้นมีแอ่งน้ำอยู่ ไหลอยู่ทั้งแล้งทั้งฝนหากไม่มากนะ หากไหลอยู่.."

ทั้งแล้งทั้งฝนเขาเขียนประกาศติดไว้ว่า ไม่ให้ผู้หญิงลงอาบน้ำนั้น ถ้าผู้หญิงลงอาบ น้ำนั้นจะเหม็นคลุ้งไปหมดเลย เขาห้ามเขาเขียนประกาศติดเอาไว้ ถ้าต้องการก็ให้ตักเอามาดื่มมากินมาอาบ ห้ามไม่ให้ลงไปอาบ นั่นละ..เป็นความจริงถึงขนาดนั้นนะ น้ำเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าผู้หญิงลงไปอาบน้ำนี้เหม็นคลุ้งไปหมดเลย

มีพญานาคอยู่ที่นั่น.. หลวงตาองค์นั้นท่านอยู่ที่นั้นเป็นประจำ ท่านชินกับสัตว์ตัวนี้พอแล้ว มันลงมาจากภูเขาเหมือนกับเราลากต้นตาลทั้งต้น ลากลงมาเสียงซ่า ๆ มันค่อยลงมานะ ซ่า ๆ ลงมาซอกเขานี้ หลวงตาองค์นั้นอยู่ทางด้านนั้น ท่านอยู่ถ้ำนั้นเป็นประจำ แล้วถ้ำนี้คนมาพักบ่อย ๆ พระน่ะ

ถ้าใครมาพัก พระมาใหม่ไม่ว่าพระองค์ไหน มาจากไหนก็ตามเถอะ ตัวนี้เขาจะลงมาถามข่าว ทีนี้หลวงตาก็เลยสั่งบอกไว้ กลัวว่าพระจะกลัว คือกลัวว่าท่านสิงห์ทองจะกลัว ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ นิสัยกล้าหาญ จึงไม่ได้หมอบราบกับผีนั้น พูดท้าทายเลยทีเดียวนะ ใครเก่งบอกว่าผีไม่มีแล้ว ให้มาตรงนี้ ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน ทีนี้พอมาถึง ผู้เฒ่าก็บอก

"คุณหลานเอ๊ย พี่น้องจะลงมาเยี่ยมนะ ตอนค่ำวันนี้ เพราะคุณหลานมาใหม่ เป็นพระอาคันตุกะ เป็นแขกมาเยี่ยม แล้วไอ้ตัวอยู่บนเขามันจะลงมาถามข่าวคราว ไม่ต้องกลัวนะ เขาจะลงมาธรรมดา ๆ

แต่เวลาเขาลงมาก็เหมือนลากต้นตาลมาทั้งต้น ลากลงมาซ่า ๆ เวลาเขาขึ้นก็ซ่า ๆ ลงไปตีนเขาแล้วหายเงียบนะ พอไปแค่นั้นเงียบ เวลาขึ้นมาก็ซ่า ๆ เวลาขึ้นมาไม่ทำก็มี แล้วแต่เขาจะทำ เขาจะทำแบบไหน เขาทำได้"

เถรี 13-06-2023 16:17

พอดีท่านสิงห์ทองมาเหนื่อย ๆ เดินทางมาไม่มีรถยนต์ พอมาถึงที่นั่นก็เข้าพัก ผู้เฒ่าก็สั่งเสียไว้เรียบร้อย ทางนี้เข้าใจแล้วก็นอน ประมาณ ๓ ทุ่ม

คนจะตาย..เดินทางมาทั้งวันเหนื่อยมาก เลยนอนเสียก่อน ถึงจะค่อยลุกขึ้นเดินจงกรม พอนอนหลับไปเสียงฮ่อ ๆ อยู่หัวเตียง งูเหมือนงูใหญ่ขนาดต้นเสานี่แหละ เสียงมันฮ่อ ๆ อยู่บนหัวเรานี่ ทางด้านสิงห์ทองก็เรียก

"หลวงพ่อ ๆ "
"แม่นหยัง"
"มันเสียงงูใหญ่มาอยู่นี่แล้ว"

"มันบ่แม่น เสียงที่บอกนั่นล่ะ..อย่าไปกลัว"
"บ่กลัวยังไง มันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้ มันจะกลืนผม"

"ไม่กลืน ไม่ต้องกลัว มันเคยอย่างนั้นละ จะเป็นไรไป เชื่อหลวงพ่อเถอะ เพราะหลวงพ่อเคยอยู่อย่างนั้นมานานแล้วนี่นะ"
"จะเชื่อได้อย่างไรมันจะกินคนนี่"

เลยเรียกให้พระมาด้วยองค์หนึ่ง นอนอยู่ทางโน้น ถ้ำมันยาว เรียกพระองค์นั้นให้จุดไฟใส่โคมมา แขวนมา แล้วเอาไม้ยาว ๆ มา หิ้วมานี่ เดี๋ยวจะเหยียบงู เอาไม้ยาว ๆ แล้วเอาโคมไฟห้อยมา ถือมายาว ๆ ควานไปเรื่อย ฉายไปเรื่อย พอควานมาถึงเตียง มันก็หาย เสียเงียบเลย ไม่ได้ยินอะไร หายเงียบ คนจึงกลับไป พอกลับไปสักเดี๋ยว มีเสียงขึ้นอีกแล้ว

"มาอีกแล้ว"

คนนั้นเลยจุดไฟมาหางูทั้งคืน จุดไฟมาแบบนั้นละ กลัวจะโดนงูเข้า เพราะเสียงใหญ่เสียงโตมากนี่นะ พอมาก็ไม่เห็นมีอะไร อยู่ได้คืนเดียวเท่านั้นละ

เถรี 13-06-2023 17:06

ท่านสิงห์ทอง "ทำไมล่ะ ?"
"กลัวละสิ"
"ยอมรับว่ากลัว กลัวจริง ๆ โห..เหมือนมันจะกลืนเราทั้งคนนี่นะ ตัวมันขนาดเท่าลำตาล"

งูตัวนี้ "พญานาค"

พอตื่นขึ้นมาไปลาหลวงตา "ว่าอย่างไรละลูก"
"โอ๊ย..กลัวงูอยู่ไม่ได้แล้ว"
"ไปกลัวทำไม หลวงพ่ออยู่นี่มานานแสนนาน รู้เรื่องของมันหมด ไม่มีอะไรแหละ อย่าไปกลัวเลย"

"โอ๊ย กลัว ๆ "

ใครเก่งบอกว่าผีไม่มี ให้มา เอาจริง ๆ พญานาคเสียงมันเป็นอย่างนั้นเวลามันแสดง เลยมาเล่าให้อาจารย์หมออวย (ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์) ฟัง โอ๊ย..ตั้งใจฟัง สนใจฟัง อยากจะไปด้วยนะ อยากจะไปดูสภาพเป็นอย่างไร อยากไปดูเป็นกำลัง แต่ไม่มีเวลาพอที่จะไปดูได้

แต่เสียงมัน..ทำได้แปลก ๆ นะ แบบงูก็ได้ แบบเสือก็ได้ แบบไหนได้หมด ไม่ใช่มีแบบเดียว ที่มันน่ากลัวคือมันมาหลายแบบนั่นเอง บางทีเหมือนเสือ เห่อ ๆ ใกล้ถ้ำ

อาจารย์หมออวยอยากไปเป็นกำลัง โฮ้..ซักท่านสิงห์ทองใหญ่เลยเทียวนะ ท่านสิงห์ทองเล่าให้ฟัง ทีนี้ท่านสิงห์ทองเป็นพระกล้าหาญด้วย ไม่ใช่พระออดแอด พระโกโรโกโสนะ ท่านพูดมันน่าฟัง เราเองก็เชื่อ เพราะเราเชื่ออยู่ก่อนแล้วเรื่องเหล่านี้

"โห..มันน่ากลัวจริง ๆ นะ" ท่านว่า
"ตัวมันขนาดเท่าลำตาล แล้วมันขู่ฟ่อ ๆ อยู่บนหัวเราใกล้ ๆ ฝ่ามือเดียวเท่านั้น มันเหมือนจะกลืนเอาเลย เสียงฮ่อ ๆ แต่มองหาตัวไม่เห็น ครั้นเวลาจุดไฟมาหาไม่เห็น ไปไหนก็ไม่รู้ พอไฟดับสักเดี๋ยวขึ้นอีกแล้ว"

เขาเรียกภูทอก เราเคยผ่านไปผ่านมา เราเที่ยวกรรมฐาน แต่ไม่เคยขึ้นพักถ้ำที่่ว่า...."

เถรี 19-06-2023 21:29

เทวดาคุ้มครองพระลูกชาย

"..เรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟัง พระผู้ท่านเชี่ยวชาญ ท่านชำนิชำนาญ ในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่ แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊า..ธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมาพูด

เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิว กลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่น..ท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกัน..เดินไปเดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยาแสดงอะไร เห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัด ๆ ในเวลาเงียบ ๆ นั้น

ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็น หลับตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัด ๆ เหมือนคนธรรมดา จึงพูดไปว่า 'โอ๊ย..อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ' เทวดาว่า 'โจมตีอย่างไร ?'

'ก็มองเห็นกันอยู่นี่ ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เทวดาก็เป็นผู้หญิง หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ไม่ใช่หรือ ?'

'โอ๊ย..ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น'

เอาอาหารทิพย์มาให้ พูดกันด้วยภาษาใจไม่ได้ พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่า 'กินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา'

บางทีก็นำอาหารทิพยมาเวลากลางคืน 'นี่เวลานี้กลางคืน..ไม่ฉัน' ก็อ้างไป แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหาร..พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบาก..กลัวพระตาย

'ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์มาแหละ มาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป'

'ไม่เอา..ถ้ากลัวตายก็ไม่ต้องอด' พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น

เถรี 19-06-2023 21:43

กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูง ๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้าเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้าง ไม่ว่าเสืออะไร เทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์พวกเปรตผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มี..ฟังเอา

แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ เบา..เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินธรรมดานี้ก็ได้..ได้ทุกแบบ แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้อย่างไร..ใช้ได้ทั้งนั้น

ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกล ๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาฯ ให้ ใครตายก็ตามในหมู่บ้าน เขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธัมมาฯ ทีนี้พอคนตาย ทางพระนี้รู้แล้วนี่

'โห..แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว'

ตอนนั้นท่านไม่ได้ฉันข้าวนะ เป็นช่วงเวลาที่พระท่านอดอาหารภาวนาอยู่ ก็เลยต้องเดินทางไปกุสลาฯ ให้เขาในหมู่บ้านโน่น 'เอาอีกแล้ว คนตายแล้ว ตายในบ้านโน้น'

'คนตายในบ้านอีกแล้ว'
บางทีก็รู้ขึ้นมาภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า 'คนตายแล้วนะ' อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี พอประมาณสัก ๑๐ โมงเช้า เขาขึ้นภูเขา 'มาแล้ว'

'มาทำอะไรล่ะ ?' คอยฟังคำตอบ 'มานิมนต์ไปโปรดสัตว์'

แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์..ไม่มีผิด ไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมา 'เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาฯ แล้ววันนี้' พอ ๙ โมงเช้าหรือ ๑๐ โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว

'อะไรล่ะโยม ?'
'นิมนต์ไปโปรดสัตว์'

พวกเรามันตาบอด..ไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดา เหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละ..สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมด ผิดที่ตรงไหน นี่ละ..เครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนา มีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกน ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรตพวกผีพวกอะไร ๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา..."

เถรี 02-08-2023 23:49

ตัวอย่างการเทศนาอบรมนักภาวนา

องค์หลวงตาเมตตาสอนและตอบปัญหาธรรมแก่นักภาวนาทั้งชายและหญิง ทั้งผู้มาพักปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดและในสถานที่ต่าง ๆ มีจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างมาแสดงแต่พอสังเขป ดังนี้

ถาม-ตอบปัญหาภาวนา

ถาม การพิจารณากายแรก ๆ สติไม่ค่อยต่อเนื่อง มักจะกระโดดไปสู่อดีตที่เจ็บช้ำบ่อย ๆ แต่เมื่อภาวนาพุทโธ ๆ มาก ๆ จนจิตสงบแล้ว ก็พิจารณาครั้งแรก เห็นกระดูกภายในกายเป็นเหมือนกระจก แตกเป็นเกล็ดเล็ก ๆ ในท่านั่งหนึ่งครั้งและท่านอนหนึ่งครั้ง ลูกจะดูอยู่เฉย ๆ จนหายไป ครั้งที่สามนั่งภาวนาเห็นศีรษะตัวเองหลุดกระเด็นออกมาจากตัว แต่ก็ไม่ตกใจ คิดว่าเป็นอนิจจัง ครั้งที่สี่ เดินจงกรมตอนดึกประมาณตีสอง เห็นหน้าตัวเองเป็นกระดูกผุ ๆ ไม่มีเนื้อ

หลังจากนั้นไม่กี่วันตอนเช้ามืดเดินจงกรม ได้เห็นกระดูกตัวเองแตกเป็นเม็ด ๆ เหมือนกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ไหลพรูหลุดจากร่างกายไปรวมกันอยู่บนพื้นดินอย่างรวดเร็ว จิตคิดว่าตัวเรานี้ในที่สุดก็ต้องกลายเป็นดิน

หลังจากนั้นนานนับเป็นเดือน เดินจงกรมจนเหนื่อยและดึกมาก จึงนอนพักในท่านอนตะแคง ภาวนาพุทโธ ๆ ขณะนั้นลมภายนอกบ้านพัดแรงมาก ลูกภาวนาไม่รู้ว่ามีน้ำไหลบ่ามากับพายุด้วย น้ำไหลพัดเข้ามาในบริเวณที่ลูกนอนอยู่น่ากลัวมาก ตอนแรกตกใจมาก รีบตั้งสติว่า ตายเป็นตาย เห็นเนื้อตัวเองหลุดเป็นชิ้น ๆ ถูกน้ำพัดอย่างเร็วและแรง ลูกกำหนดจิตพุทโธ ๆ ในที่สุดก็ดับไป

การปฏิบัติของลูกรู้สึกว่ากระท่อนกระแท่นอยู่มาก เพราะเวลาไม่ต่อเนื่อง และยังไม่เข้าใจรักษาสติ ลูกขอถามว่า ลูกปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ? และต้องทำอย่างไรต่อไป ?

หลวงตา ถูกต้อง แต่ต้องเพิ่มสติให้ติดต่อกันมากขึ้น

ถาม ขณะนี้ลูกกำลังรักษาสติให้มั่นคงหนักแน่น ด้วยการภาวนาพุทโธทุกขณะ เมื่อมีเรื่องมากระทบ ถ้าเป็นทุกข์จะสาวหาต้นเหตุและหาอุบายดับได้ทุกครั้ง ถ้าเป็นเรื่องที่สนุกสนานเพลิดเพลินใจหรือถูกใจอะไร ก็จะเตือนใจว่ามันไม่เที่ยง พยายามตั้งจิตให้เป็นกลางอยู่เสมอ กราบขอความเมตตาหลวงตาแนะนำสั่งสอนลูกด้วย ?

หลวงตา ที่ปฏิบัติมานี้ถูกต้องแล้ว พยายามให้ความเพียรสืบต่อ เฉพาะอย่างยิ่งสติเป็นสำคัญ ให้ตั้งเสมอ ถูกต้อง เรื่องจิตเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ถูกมูตรถูกคูถ คือ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ครอบมันไว้ จิตที่มีความเลิศเลออยู่ภายในนั้นแสดงตัวออกมาไม่ได้ ถูกมูตรคูถครอบไว้เสมอตลอดมา โลกทั้งหลายจึงไม่มีค่ามีราคาในตัวเอง ทั้งๆ ที่สัตว์โลกนี้ชอบยกยอ กิเลสชอบยอ กดไม่ชอบ ตามความจริงไม่ชอบ ชอบแต่ยอ

ลืมแล้ว พูดไม่สืบต่อกันแล้ว ความหลงลืม เรื่องสติเป็นสำคัญ เอาตรงนี้เลยนะ กิเลสมันจะดันขนาดไหนก็เถอะ สติเป็นสำคัญ สติห้ามอยู่ อยู่หมัด ไม่ให้ออก เราทำมาแล้วนะ ฟาดเสียจนกระทั่งอกจะแตก สังขารมันดันออกมาจากอวิชชา นั่นละ..รังใหญ่ของกิเลส มันดันออกมาเพื่อให้หาช่องทางหากินของมัน มันกินเรานั่นแหละ ไม่ใช่กินใคร ให้เราได้รับทุกข์ความทรมาน

ทีนี้บังคับไม่ให้ออก เมื่อไม่ให้ออก มันดันนี้จนกระทั่งคับหัวอกเลยนะ แต่ไม่ยอมกัน ยังไงก็ไม่ให้เผลอ มันจะออกท่าไหนไม่ให้เผลอ มันดันตลอด มันจะออก คือสังขารคิดปรุงปั๊บออกไปนี้เป็นกิเลสแล้ว มันกว้านเอาฟืนเอาไฟความกังวลวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดจากความคิดปรุงนี้เข้ามาเผาเรา เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติครอบเอาไว้ ๆ ทีนี้จิตเมื่อมีสติรักษาอยู่ กิเลสเหล่านี้ก็กวนไม่ได้ อย่างมากมันก็ดันอยู่ในภายในหัวอก แต่สติบังคับไม่ให้มันออก มันก็ไม่แตกกระจายเป็นฟืนเป็นไฟอะไรไป เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย วันนี้เป็นอย่างนี้..ไม่ให้เผลอ

เถรี 02-08-2023 23:52

พูดเรื่องนิสัย อันนี้รู้สึกจะผิดแปลกกับคนทั้งหลายอยู่พอสมควร ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น จริงมากทีเดียว บอกไม่ให้เผลอก็ไม่เผลอจริง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ขณะไหนเผลอไปไม่มี นั่นคือบังคับกันขนาดนั้นนะ เรียกว่านักมวยเข้าวงในกัน

สติกับสังขารที่มันดันออกมานี้ต่อสู้กันไม่ให้เผลอ ถึงเผลอมันก็ออกไม่ได้ เมื่อออกไม่ได้ จิตได้รับการบำรุงรักษาด้วยสตินี้แล้ว ค่อยสงบเย็นเข้ามา ๆ ทีนี้ที่มันดันออกมาค่อย ๆ เบาลง ๆ สติติดแนบตลอด ตั้งตัวได้เลย นี่ได้ทำแล้ว

เรื่องสติเป็นสำคัญมาก มันจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามเถอะ กิเลสความโกรธก็ดี อะไรก็ดีเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว สติจับปุ๊บไม่ให้ไปยุ่งกับอารมณ์อะไรที่ว่า ไม่พอใจในคนนั้นคนนี้ อย่าออกไปหาคนนั้นคนนี้อันเป็นเรื่องสังขารปรุงออกไป ไม่ให้มันออกเรื่องก็ไม่มี ก็สงบลงด้วยสติบังคับนั่นละ สำคัญมากนะ

การภาวนาใครมีสติสืบต่อได้ดีเท่าไร ยิ่งจะก้าวหน้าเรื่อย ๆ นะ ตั้งฐานได้ไม่สงสัย เรื่องสตินี่ตั้งฐานได้เลย จิตไม่เคยสงบ สงบได้ ขอให้สติรักษาจิตอย่าให้สังขารปรุง

สังขารนี่ตัวสำคัญมากนะ มันคิดออกไปร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม ร้อยสันพันคม เข้ามาตีเรา ฟันเรา เผาเรานั่นแหละ เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติบังคับ จิตก็ค่อยสงบเย็น ๆ ตั้งฐานได้ จำให้ดีทุกคน การปฏิบัติ..จิตเป็นของสำคัญมาก เวลาถูกปิดบังหุ้มห่อนี้ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันแหละ แต่พอธรรมะได้เบิกกิเลสตัวหุ้มห่อไว้นี้ออกไป ๆ จิตจะค่อยสง่าขึ้นมา ๆ เวลามันสง่ามากขึ้น ๆ แล้วจนกระทั่งมาอัศจรรย์ตัวเอง

เถรี 03-08-2023 00:01

โยมคนที่ ๑ ขอกราบเรียนถามการพิจารณากาย ลูกใช้สัญญาความจำภาพอสุภะจากรูปถ่ายที่อื่น และความเข้าใจที่ออกมาจากจิตถึงความเป็นกาย มาพิจารณาร่างกายตัวเอง เหมือนที่หลวงตาได้สอนว่า พิจารณาภายนอกภายใน

ลูกเปิดภาพอสุภะในเว็บไซต์ของหลวงตา และให้ติดจิตคือให้สลดในอสุภะ ให้คลายออกจากความยึดในกาย จิตมันรู้สึกสลดเข้าทุกที และจากความจำภาพอสุภะที่ดูในรูปนั้น มันเริ่มเข้ามาในจิตใจ เป็นความรู้สึกให้สลดให้วางในกาย สัญญาความจำภาพนั้นเหมือนเป็นความเข้าใจในจิตด้วยอริยสัจและไตรลักษณ์ พอถึงอริยสัจในจิตมันแน่น ๆ อยู่กลางอกเจ้าค่ะ

สติลูกตอนนี้ตั้งไม่ให้เผลอจากอสุภะ พิจารณามากขึ้น ๆ บางทีไม่ได้ตั้งใจพิจารณา แต่เห็นบุคคลทั่ว ๆ ไป มันก็แว็บ ๆ เป็นอสุภะ เนื้อไส้ส่วนต่าง ๆ ภายในกาย จิตมันก็ยิ่งสลดเข้าไป อย่างที่ลูกพิจารณาและปฏิบัตินี้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ ?

หลวงตา ถูกต้องมาโดยลำดับนะ อันนี้ถูกต้องมาโดยลำดับแล้วไม่มีที่ต้องติ ให้เจริญให้มากเข้าไป ให้มีความคล่องแคล่วเข้าไป สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนี้มันจะเข้าในตัวของมันเอง ไปรู้ตัวเอง ปล่อยทั้งหมด

แต่จะบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ บอกไม่ได้ตอนนี้ เป็นเคล็ดลับ ให้ผู้นั้นตัดสินตัวเอง เรียกว่า สันทิฏฐิโก มอบให้ตัวเอง เป็นสันทิฏฐิโกของตัวเอง จากภาคปฏิบัติของตัวเอง ที่ครูบาอาจารย์สอนแล้วว่า ให้พิจารณาซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนคล่องตัว แล้วมันจะรวมตัวเข้าไปหาจิตทั้งหมดนั่นแหละ เรื่องความรู้ความเห็นต่าง ๆ แล้วจิตจะเป็นผู้ปล่อยเอง เอ้า..เอาแค่นี้ก่อน เอ้า..ว่าไป..ทีนี้ถูกต้องแล้ว

เถรี 03-08-2023 00:14

โยมคนที่ ๒ กราบนมัสการเรียนถามหลวงตาดังนี้ครับ ตอนนี้ผมมีสติแน่นเข้าเรื่อย ๆ ไม่ค่อยเผลอ บริกรรมพุทโธติดแนบกับสติตามที่หลวงตาสอน แล้วระยะนี้ผมสังเกตได้ถึงพัฒนาการของจิต คือมีความระลึกตัวดีขึ้น ทำอะไรมันคิดอ่านไตร่ตรองแบบเป็นธรรมดีขึ้น ไม่ทำอะไรแบบพรวดพราดทันทีเหมือนเมื่อก่อน วันหนึ่ง ๆ ตัวเองอยากอยู่กับความสงบเย็น พอทำงานเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้ไปไหน แต่ทุกอิริยาบถมีสติกับพุทโธตลอดนะครับ

หลวงตา เออ ถูกต้อง ๆ อันนี้ก็ถูกต้องเหมือนกัน เอ้า..ว่าไป

โยมคนที่ ๒ พยายามไม่ให้ขาด ทีนี้เวลามันมีเรื่องยุ่ง ๆ ใจมันก็ไม่ยุ่งไปด้วยครับ ใจมันก็สงบเย็น ๆ ของมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ร้อนวุ่นวายไปตามเรื่องร้อนนั้น ๆ ครับ พอมานั่งภาวนาหรือเดินจงกรมเดี๋ยวนี้เพียงครู่เดียวครับ ไม่นานจิตมันก็ดิ่งวูบลึกลงไป แน่วสงบไป แต่ความระลึกรู้ตัวมีเสมอครับ ผมจึงไม่รู้สึกตกใจ เหมือนมีสติสัมปชัญญะประคองไว้ แล้วถึงโอกาสก็เริ่มพิจารณากายไปตามขั้นครับ อย่างนี้เป็นอาการถูกต้องของการภาวนาจิตจากการมีสติอยู่เสมอถูกต้องหรือไม่ครับผม ?

หลวงตา ถูกต้อง อันนี้ก็ถูกไปอีกแบบหนึ่งของผู้นี้นะ ไม่ผิด ถูกด้วยกันทั้ง ๒ นะ ให้เจริญให้มากกว่านี้เข้าไป เพื่อจะได้ชำนิชำนาญ ความสงบจะได้สงบและละเอียดเข้าไป ๆ และคล่องตัวเข้าไปเรื่อย ๆ การพิจารณาก็จะคล่องตัวสติก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราใช้การฝึกด้วยความมีสติฝึกตนเองอยู่ตลอดเวลานี้ จะดีขึ้นทุกอย่างในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เรากำลังเจริญเวลานี้

เถรี 05-08-2023 09:04

สตรีนักภาวนาชาวกรุง

องค์หลวงตากล่าวถึงสตรีท่านหนึ่ง ปัจจุบันออกปฏิบัติธรรมเป็นอุบาสิกา เมื่ออดีตเคยทำงานอยู่สายงานวิศวกรรม การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพฯ การใช้ชีวิตในครั้งนั้นไม่แตกต่างอะไรจากคนทางโลกทั่วไป เพราะมีครอบครัวและบุตรธิดาถึง ๓ คน มีภาระหน้าที่การงานที่ต้องบริหารและรับผิดชอบ แต่ด้วยจิตใจรักและเห็นประโยชน์ใหญ่หลวงด้านจิตภาวนา สตรีท่านนี้จึงพยายามเจียดเวลาเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง ฝึกฝนสติปัญญาไปพร้อมกับการงาน โดยมิยอมให้เสียงานทางโลกแต่อย่างใด

อุบาสิกาท่านนี้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอมาหลายปี ด้วยความพากเพียรระหว่างทำงานอยู่ทางโลก โดยพยายามเสาะหาอุบายธรรมจากครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานหลายต่อหลายองค์ มีหลวงปู่หล้า เขมปัตโต เป็นต้น หลังจากปฏิบัติมานานนับสิบปี จึงได้มีโอกาสเข้ากราบสนทนาธรรมกับองค์หลวงตาที่สวนแสงธรรมในคราวท่านลงไปกรุงเทพฯ และได้เล่าผลอัศจรรย์อันเกิดจากจิตภาวนาถวายองค์หลวงตาเป็นที่รื่นเริงในธรรมทั้งอาจารย์และศิษย์ในขณะนั้น

เมื่อท่านกลับมาวัดป่าบ้านตาดแล้ว หลังจังหันวันหนึ่งปลายปี พ.ศ.๒๕๓๘ ท่านได้แสดงธรรมมีเนื้อหาไปสัมผัสกับเรื่องที่ได้สนทนากับอุบาสิกาท่านนี้ ดังนี้

"..พอพูดอย่างนี้ ก็ไปสัมผัสเรื่องหญิงคนหนึ่ง แกภาวนาอยู่ตามประสีประสาของแก สุดท้ายเอาจริงเอาจัง..เป็นเข้าจริง ๆ เวลาเป็นเข้าจริง ๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้ แหม..แกว่าอย่างนี้นะ

"ทำไมมันถึงร้ายแรงเอานักหนากิเลสนี่ รุนแรงมาก ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสขยำคน"

ฟังซิ..แกไม่ได้เรียนนะ แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางอรรถทางธรรม ออกจากภาคปฏิบัติล้วน ๆ

"มองไปที่ไหนดูมีแต่กิเลสขยี้ขยำหัวสัตว์โลกเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด มีแต่กิเลสขย้ำเอาโงหัวไม่ขึ้นเลย สลดสังเวช บาทีก็กระซิบบอกเพื่อนฝูงบ้าง บางคนพวกคลั่งกิเลสมันก็ไม่พอใจ สุดท้ายจะทำภาวนาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปทำอยู่ตามป่าตามอะไร เพราะทำงานอยู่ตลอดเวลา สติไม่ได้เผลอตลอดเวลา มันเป็นเองของมัน"

คำพูดอย่างนี้เป็นจริงเอามาพูดได้เหรอ ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง

"สตินี้ดี ดีจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร สติจ่อแล้วทำงานก็ทำไปตามเรื่อง ทำงานทางโลกก็ทำ ภายในก็ทำหมุนติ้ว"

นั่นเห็นไหม ได้ยินแต่หลวงตาบัวว่าหมุนติ้ว ๆ นี่..มีพยานแล้วนะ

เถรี 05-08-2023 09:08

เพื่อนฝูงเขาสงสาร พอทราบว่าเราไปเพราะแกอยากพบครูบาอาจารย์ อยากพบเรา พอดีแกก็มีดีจริง ๆ คนมาก ๆ ก็ใส่เปรี้ยงเลย นั่นละ..ขึ้นเวทีแชมเปี้ยนแล้ว ไม่ใช่เวทีธรรมดา ซัดกันใหญ่เลย แกก็ออกมาอย่างกระจ่างเลยนะ เปรี้ยง ๆ ๆ นั่นละ ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นจากจิตใจ ไม่สะทกสะท้านนะ แกก็ใส่มาเปรี้ยง ๆ ทางนี้ก็ใส่กันเลย

"ก็ทำกรรมดำกรรมขาวไปอย่างนั้นละ แต่จิตมันดูดดื่มอยากทำตลอดไป แต่ทีนี้ก็ไม่ทราบว่าผิดหรือถูกประการใด ?"

บอกแกว่า "ถูกแล้ว เอ้า..เอาเลยนะ รวมตัวแล้ว ทีนี้ฟาดลงไป ถลุงมันตรงนั้น ๆ ชี้แจงเป็นระยะ ๆ เข้าไป"

แกก็พอใจเอาอย่างมาก "ทีนี้เป็นที่ตายใจแล้ว"

เราว่า "ตายใจน่ะถูกต้องแล้ว ที่ปฏิบัติมานี่ถูกต้องแล้ว"

แกก็ภาวนาได้ถึง ๑๓ ชั่วโมงก็มี ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ๑๓ ชั่วโมงก็มี พิจารณาทุกขเวทนา ทุกขเวทนาเป็นของจริงทุกส่วน เป็นของจริงแล้วไม่มีกระทบกระเทือนกันเลย จะนั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้ อย่าว่าแต่เพียง ๑๒-๑๓ ชั่วโมงเลย ลุกออกมาเฉย ๆ นี่แหละ จะนั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้

"ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจได้เลย เมื่อต่างอันต่างจริงแล้ว ไม่คละเคล้ากัน"

นั่น..ฟังซิ..แกพูด พูดอาจหาญเสียด้วยนะ เราก็รื่นเริงเห็นผลของการปฏิบัติธรรมนี่ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าพอปรากฏขึ้นในใจ

"เห็นโทษของกิเลสเห็นจริง ๆ เห็นจนสลดสังเวช มองไปไหน ๆ พิจารณาไปไหน แหม..มีแต่กิเลสอย่างเดียว ครอบงำสัตว์โลกให้ดิ้นล้มดิ้นตายกันอยู่ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด แล้วโลกก็ไม่รู้ด้วยนะ น่าสงสารอันหนึ่ง" แกว่า

"โลกก็ไม่รู้ด้วยนะ มันขยี้ขยำจนจะตายก็ยังดิ้นเพลินกันอยู่" คนมากนะ วันนั้นวันที่แกมาหา เพราะไม่มีเวลาที่จะพูดโดยเฉพาะ

"ไม่ต้องเฉพาะ..ฟาดเลย"

เราว่าอย่างนี้แหละ แกเห็นโทษของกิเลสจริง ๆ เราไม่ตายให้กิเลสตาย มีสองอย่าง ขั้นนี้ขั้นเห็นโทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ ทั้งสองอย่างนี้บรรจุเข้าสู่ใจแล้วเอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่มีความสะทกสะท้าน เรื่องกับความตาย หมุนติ้ว ๆ

เถรี 05-08-2023 15:30

นี่ละ..คนหนึ่งจะไปได้ ไม่นานละ..แน่แล้ว เป็นผู้หญิงนะ มีลูก ๓ คน แกก็เคยส่งปัจจัยมาวัดนี้ประจำเดือน แกเล่าให้ฟัง คนฟังนี่ โห..อ้าปากไม่งับแหละ ลืมตาหลับไม่ลง เพราะขึ้นตามหลักธรรมชาตินี่ หมุนติ้ว ๆ แกพูดเปรี้ยง ๆ เอ้าเปิด ๆ ให้หมด เราว่าอย่างนั้นนะ เราก็หิวอยากฟังนี่นะ มันมีแต่พูดคนเดียวเป็นบ้าอยู่ พูดตลอดเวลา เพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย เหมือนบ้าพูดคนเดียว เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า พอดีได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นพยาน

"เอ้าพูด ๆ เลย เอาให้เต็มที่นะ"


เราอยากฟังเหลือเกินธรรมะประเภทนี้ พูดอย่างนี้แหละว่า "ไม่เคยได้ฟัง เพิ่งจะมาได้ฟังนี่แหละ เอ้า เปิดเลย" พอแกเปิดแล้วตรงไหนเป็นจุดที่ควรจะแนะ ก็แนะแก ๆ ไม่ใช่แนะธรรมดานะ ตีเปรี้ยง ๆ ลงไปเลย

"เอาจุดนี้ ๆ เอ้า ๆ"

นี่ละจวนจะไป ไม่อยู่แล้ว เป็นธรรมชาติแล้ว เป็นอัตโนมัติแล้ว หมุนเรื่อย จิตเข้าถึงขั้นนี้แล้วหมุนเรื่อย เห็นโทษของกิเลส เห็นจนจะสลบไสล กิเลสเป็นโทษแก่โลกขนาดไหน เวลาเข้าถึงตัวมันจริง ๆ แล้วจะสลบไสล โทษของมันทำให้เจ็บ ให้แสบ ให้เข็ด ให้หลาบ ให้กลัว จนไม่รู้จักเป็นจักตาย หลบกิเลสหนีกิเลส ตายก็ตาย ให้ได้พ้นจากกิเลสก็แล้วกัน ให้พ้น ๆ มันก็บืนละซิ

พระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร พวกเราไม่เห็นนั่นซี จึงได้ว่ากิเลสแหลมคมมากนา แกพูด แกก็เปิดเต็มที่เหมือนกัน แกพูดด้วยความตื่นเต้น และแกก็ไม่มีผู้ใดที่จะตอบรับแกอย่างนั้น เราก็ตอบรับเต็มภูมิเลย เพราะหิวกระหายอยากฟังมานาน

ธรรมะประเภทนี้มีแต่ประเภทความจำ จำได้ก็มาบ้าน้ำลายกันเหมือนนกขุนทอง..แก้ว..เจ้าขา ๆ เรียนจบพระไตรปิฎก กิเลสตัวเดียวหนังไม่ถลอกเลย เห็นแต่อย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง

นี่แกเอาจริงเอาจังแน่แล้ว คนนี้ไม่นานด้วยนะ เมื่อมีผู้แนะจุดสำคัญนี้แล้ว มันจะพุ่ง ไม่ลูบไม่คลำเมื่อมีผู้แนะ ความที่ดำเนินมาแล้วก็ว่าถูกต้องแล้วก็หายห่วง จุดไหนที่กำลังดำเนินก็ชี้บอก ทางนี้ก็พุ่ง ๆ เลย


เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ คนไม่เคยกับศาสนา เวลามาปฏิบัติมันเป็นขั้นนี่ละ ความรู้จากภาคปฏิบัติกระจายอย่างนี้เอง ความรู้ในหนังสือที่ท่านจดจารึกมาในตำรับตำราในพระไตรปิฎกพอประมาณเท่านั้นะ ไม่ได้ซอกแซกซิกแซ็กกระจายไปทุกแห่งทุกหนเหมือนภาคปฏิบัติ เรียกว่าทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรเลย.."

เถรี 05-08-2023 15:39

นับแต่เหตุการณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นต้นมา สตรีท่านนี้ยังไม่มีโอกาสเข้ากราบองค์หลวงตาอีกเลย จนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ณ สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพมหานคร จงได้เข้ากราบองค์หลวงตาและสนทนาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาสนทนาเล็กน้อย ดังนี้

หลวงตา เวลานี้พิจารณาอะไรอยู่ ?

สตรีนักภาวนา การปฏิบัติของลูกอาจจะไม่ได้ถูกร่องรอยที่หลวงตาสอนให้พิจารณานะเจ้าคะ เพราะว่าการปฏิบัติของลูกตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน มีสติสัมปชัญญะตามรักษาจิต ใช้วิธีนี้อย่างเดียวเจ้าค่ะ ตามรักษาจิตนี้ ลูกไม่ต้องกลับมาพิจารณาเลย ทุกขณะนี้พอลูกไล่ไปเรื่อย ๆ เอาให้อยู่กับปัจจุบัน ธรรมชัด ๆ เลย อยู่กับจิตว่าง อยู่กับปัจจุบันธรรม ก็จะเห็นความเกิดดับของสัญญา ความเกิดดับของสิ่งที่รู้ทั้งหมด รู้แล้วดับ ถ้ารู้แล้วไม่หลง รู้แล้วดับหมด

พอทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ชัดขึ้นมาว่า มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น มันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ เกิดดับเท่านั้นเอง เท่านั้น หลังจากช่วงนั้นแล้วก็เลิกถูกต้ม เลิกถูกจิตต้มอีกต่อไป

หลวงตา มันต้มยังไง ?

สตรีนักภาวนา ถ้าเมื่อก่อนนี้ การที่จะระมัดระวังเฝ้ารักษาจิตนี้ ต้องสติตามดูตามรู้กิเลสถึงจะเกิดนะเจ้าคะ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว รู้เท่าทันสัญญา สติตั้งมั่นไม่หลงอารมณ์ ทุกอย่างดับหมด ดับหมด เพราะอย่างนั้น ถ้าครั้งไหนเกิดเพลินเผลอไป แล้วหลงอารมณ์ ไปคว้าอารมณ์ก็ปล่อยได้เลย เพราะว่ารู้ว่ามันโง่ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น..ลูกกราบรายงานหลวงตาว่า การรักษาจิตของลูกนี้มิได้พิจารณาเลยเจ้าค่ะ แต่การรู้ที่เห็นเป็นขึ้นในขณะที่อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดเวลา แล้วทุก ๆ วันนี้สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ของลูกนี้ แม้แต่ฟังหลวงตา แม้จะอยู่ในหมู่ผู้คน ลูกเหมือนกับมีตาอีกตาหนึ่ง เห็นจิตตลอดเวลา เฝ้าดูจิตตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน

ฉะนั้น..การภาวนาของลูกนี้ ความเผลอเพลินในการทำงาน มีบ้างที่จิตส่งออก แต่นอกนั้นแล้วจิตจะอยู่รักษาข้างในหมด จะไม่ออกมาเพ่นพ่านเพราะรู้ดี รู้เช่นเห็นชาติหมดว่ามันออกไป มันเอามาแต่อะไร แล้วเข็ดหลาบเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้น..วันทั้งวันจะมีสติตามรักษาจิตโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย

เถรี 05-08-2023 15:42

หลวงตา เข้าใจ..เอาอยู่จุดนั้นละนะ เราจะไม่เร่งไม่บอกอะไรละ ให้เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักนะ เร่งก็เร่งอยู่ในปัจจุบัน ไม่เร่งก็อยู่ในปัจจุบัน ไม่นอกปัจจุบันแล้วไม่ผิด เข้าใจไหม ? ให้อยู่ในปัจจุบัน จิตในลักษณะในธรรมชาตินี้เป็นยังงั้น

คุณก็มีครอบครัวเหย้าเรือน มีงานมีการอยู่ จึงไม่ค่อยเร่งให้ ปล่อยให้เจ้าของเร่งเจ้าของเอง เข้าใจ ? ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติแล้วไล่ตีหลงทิศไปเลย มันเป็นขั้นเป็นตอน

สตรีนักภาวนา แต่จิตที่ดูเหมือนไม่เร่ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยนะคะ

หลวงตา เราเข้าใจ พูดอย่างนี้เข้าใจทันทีทันทีเลย ยังบอกให้ไปตามหลักธรรมชาติปัจจุบัน ๆ อย่างนั้นละ มันไม่มีอะไรละ มันอยู่กับปัจจุบันนั้นหมดเลย พอเรียนจบปัจจุบันแล้วละ ไม่ต้องถามแล้ว ปัญหาอะไรไม่มีละ ทีนี้เอาละ ดูปัจจุบันของเจ้าของเป็นยังไง เท่านั้นละ

สตรีนักภาวนา ถ้ามีคนถามว่า ลูกจะถามอะไรหลวงตา ลูกก็ไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่าลูกเฝ้าแต่ปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าอยู่กับปัจจุบันเมื่อไรเกิดดับก็มาตลอดสายเจ้าค่ะ

หลวงตา ก็ยังงั้นแล้ว นี่ก็ไม่ถามอะไร เพราะงั้นจึงว่าปัจจุบันนี้พิจารณายังไงเท่านั้นเอง แน่ะ..ก็เข้าปัจจุบันแล้วใช่ไหมล่ะ ? ถามตรงนั้นแหละ ตรงปัจจุบันสำคัญมาก นี้มันลงปัจจุบันแล้ว

สตรีนักภาวนา เมื่อก่อนลูกตื่นตี ๓ นะเจ้าคะ รู้สึกว่าเวลามันน้อยไป เดี๋ยวนี้ลูกขยับมาเป็นตี ๒ ครึ่งทุกวันเจ้าค่ะ ลูกเดินจงกรมทุกวัน ลูกจะอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ อยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น..มันไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความกลัวอะไรเลย เพราะรู้ว่าทุก ๆ ขณะจิตถ้าตายลงในขณะใดนี่ มันอยู่พรึ่บเลยเจ้าค่ะ มันไม่มีสิทธิ์เลยที่จะหลุดไปไหนเจ้าค่ะ

(การสนทนาธรรมจบลงเพียงเท่านี้)

เถรี 13-08-2023 21:29

สตรีนักภาวนาดูกาย

สตรีอีกท่านหนึ่งเป็นนักภาวนาคนสุดท้าย ที่เขียนจดหมายมาถามปัญหาธรรมหลายครั้ง และองค์หลวงตาเมตตาตอบจดหมายด้วยตนเองทุกครั้ง หรือแทบทุกครั้ง แม้จะเข้าวัยชราภาพมากแล้วก็ตาม (ช่วง ๑๐ ปีสุดท้ายก่อนมรณภาพ)

เนื่องจากเป็นนักภาวนาที่ชอบการพิจารณาอสุภะแบบโลดโผน มีการทดสอบลิ้มรสสัมผัสให้เห็นจริง ถึงความสกปรกน่าขยะแขยงน่ารังเกียจของร่างกาย จนเห็นผลของการปฏิบัติในระดับที่องค์หลวงตาแนะให้มาปฏิบัติเต็มตัว จากนั้นไม่นานสตรีท่านนี้จึงพักชีวิตทางโลก หันมาภาวนาเต็มตัวหลายต่อหลายปีที่วัดป่าบ้านตาด เพื่อจะปฏิบัติได้เต็มที่และสะดวกต่อการเข้าปรึกษาองค์หลวงตา

สตรีท่านนี้ได้เข้าถามปัญหาจิตภาวนากับองค์หลวงตาที่กุฏิของท่านหลายครั้ง ท่านก็ให้แนะอุบายวิธีเป็นลำดับ ต่อมาเมื่อเข้าวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ สตรีท่านนี้ได้ตั้งข้อปัญหาขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ศาลาใน คำถามครั้งนี้เป็นสาเหตุให้ท่านระลึกถึงอดีต ที่เคยเกิดปัญหาธรรมขั้นสูงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และหลงติดปัญหานี้กับตนเองนานถึง ๓ เดือนเพราะขาดครูอาจารย์แนะนำ ต่อมาเมื่อแก้ปัญหาตกลงไปได้ ก็เกิดความอัศจรรย์ในธรรมอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นน้ำตาร่วงขณะสำเร็จธรรม

ในการแสดงธรรมอัศจรรย์ที่ศาลาในครั้งนี้ก็เช่นกัน เนื้อหาธรรมถึงกับทำให้ท่านต้องน้ำตาร่วงออกมาอีก คลับคล้ายกับเมื่อครั้งอดีตที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จึงกราบเท้าขอน้อมนำพระธรรมเทศนาครั้งนี้มาแสดงโดยย่อ ดังนี้

ถาม หลวงตาเจ้าขา เมตตาสอนการพิจารณาให้ถึงฐานความตายด้วยเจ้าค่ะ ?

หลวงตา ฐานความตายก็อยู่ในนั้น ดูเอาตรงนั้นซิ ตายกับเกิดอยู่ในจิตดวงนั้น ตัวจิตไม่เกิดไม่ตาย สิ่งแทรกพาให้เกิดให้ตาย เข้าใจหรือเปล่า ? ดูตัวจิต ไม่เห็นพิษของจิตจะไม่เห็นพิษของสิ่งเหล่านี้ จิตเป็นภัยเวลานี้ เข้าใจหรือเปล่า ? อย่าว่าจิตเป็นคุณอย่างเดียวนะ ภัยอยู่กับจิตนั่น ฟาดตัวจิตเป็นตัวภัยแล้ว ตัวนั้นอยู่ด้วยกันมันก็พังลงไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ? ถ้ายังมายอจิตอยู่เมื่อไร จมนะ..อย่าว่าไม่บอก เท่านั้นแหละ ถึงกาลเวลาแล้วปัดหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือสงวนอะไรไว้ นั่นละ..คือกองมหาพิษมหาภัย

เราพูดอย่างนี้แล้วมันก็กระเทือนถึงที่ว่า หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้าก่อนจังหันอย่างนี้ จิตมันอัศจรรย์อย่างว่านั่นแหละ อัศจรรย์บ้าอะไรก็ไม่รู้ เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของน่ะซี

"โอ้โห..ทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา" รำพึง..เดินจงกรมยืนอยู่ มันจ้าไปหมดเลย ทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้ ? จิตดวงนี้ ๆ นั่นละตัวมหาภัย คือตัวที่ว่าอัศจรรย์ นั่นเห็นไหมล่ะ..นั่นละ..ธรรมท่านกลัวไปหลงน่ะซี ก็เราติดอยู่แล้วหลงอยู่แล้วว่าไง ไม่มีอะไร ๆ ก็มาเอาจุดสุดท้าย นั่นละวัฏจักร เรียกว่าอวิชชาตรงนั้นเอง นั่นละยอดอวิชชา ยอดวัฏจักรวัฏจิต คืออวิชชา มันไม่มีอะไรแล้วก็ไปชมเชยตรงนั้น

สักเดี๋ยวขึ้นละซี ธรรมท่านเตือนขึ้นมา เพราะว่าที่ว่าสว่างไสว มันมีจุดของมันอยู่นั้น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่นั้น ออกไปข้างนอกมันก็ออกจากไส้ตะเกียงที่สว่างจ้า นั่นละตัวสำคัญ

เถรี 13-08-2023 21:33

เราก็อัศจรรย์ตัวนั้นเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอ้โห..จิตของเราทำไมถึงสว่างไสวอัศจรรย์เอาเสีย เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสาร นั่นเห็นไหม ? อวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้าย..เห็นไหม ? เรารู้มันเมื่อไร ไม่รู้จะไปหลงอัศจรรย์มันหาอะไร สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวหลง ท่านก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆ เราลืมเมื่อไรถ้ามีจุด จุดไส้ตะเกียงนั่นเองสว่าง นี่จุดกับต่อมเป็นไวพจน์ของกันและกันใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ

นั่น..เห็นไหม..บอกตรงนี้ ตัวนี้ตัวภพ ถึงขนาดนั้นยังจับไม่ได้นะ งงไปเลย มีจุดมีต่อม คือตัวนี้เอง ถึงได้คิดพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านมรณภาพจากไปแล้วนั้น เราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่พอกราบเรียนอย่างนี้เท่านั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเข้าไปนั้น มันก็พังทันที พอรู้ปั๊บเห็นโทษของมัน คอยจะไปอยู่แล้วนี่นะ แต่เราประคองมันไว้นั่นซี

นั่นละมหาภัยแท้ ตรงนั้นทีเดียว จุดที่รวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์เต็มที่ของวัฏจักร ของแดนสมมติ อยู่จุดนั้นหมด เราไม่ลืม ตอนเดือนกุมภาฯ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นบนเขา ติดปัญหาอันนี้ งงไปเลยนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ธรรมที่ท่านเตือนขึ้นมา แทนที่จะให้เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในเวลานั้น กลับเป็นความหลงมหาศาลเหมือนกัน เอ๊ะ..จุดต่อมที่ไหนนา ๆ ก็จุดนั้นน่ะ นั่นละเดือนกุมภาฯ เดือน ๓ เผาศพท่านเสร็จแล้วขึ้นบนเขา ไปติดปัญหาอันนี้

ไม่คิดไม่คาดว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัย ยังว่าเป็นมหาคุณอยู่ เห็นไหม..? กิเลสหลอกขนาดว่าตัวมหาภัยมันเสกว่าเป็นมหาคุณ..เห็นไหม ? ก็แบกปัญหานี้ไป นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือน กลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตก ปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขาในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์

บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีละ..เรื่องกาลสถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะ มีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือมันไม่มีที่พิจารณาแล้ว อะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออันเดียวนี้เท่านั้น โลกธาตุนี้ว่างไปหมด ปล่อยไปหมด วางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะ ? จึงเรียกว่ามหาภัยอยู่จุดนี้


เถรี 13-08-2023 21:37

มันก็มาจับจุดนี้ มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้ว อะไรก็ปล่อยหมดแล้ว เหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้น มันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ ทำไมมันเป็นหลายอย่างนั้น จิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะ นี่..เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัดธรรมเกิดเปิดออก นั่น..เรียกว่าธรรมเกิด

กิเลสเกิดมันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆ เหมือนเราพูด ขึ้นมาเป็นคำ ๆ คำว่าเศร้าหมองก็ดี นั่น..เวลาจะขึ้นนะ คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่น..เวลาตัดกันจริง ๆ ลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้ จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น ขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมดความหมายว่างั้น

ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าเป็นอนัตตาจิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้ว ไม่มีที่ไปแล้ว อันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลย..วันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี หรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส ก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉย เฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉย ๆ แบบเซ่อ ๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ

นั่นละ..ถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอ แต่นี้มันไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉย ๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไร มันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลย ปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียว ผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย..!

นี่เวลามันลบนะ..มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ..กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิต กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุ..เข้าใจไหม ? พอคว่ำอันนี้ลงแล้ว ก็เหมือนกับว่าแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมด ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ..!

เถรี 13-08-2023 21:41

ทีนี้พอมันพรึ่บทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเอง เป็นเองขึ้นมา ฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลย เป็นลักษณะกลาง ๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย พรึ่บทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยทีนี้

"อู๋ย..อัศจรรย์จริง ๆ นี่..เห็นไหม ? ขันธ์ทำงาน พี่น้องทั้งหลายดูเอา ความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหม..ดูซิ..น้ำตานี่พังเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังพัง..เห็นไหม ? นี่ละขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นไม่มี..เข้าใจไหม ? นี่ละ..ผางเท่านี้ โถ..อัศจรรย์จริงๆ"

ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อยากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้..ว่างั้นนะ

"โอ๊ย..อัศจรรย์จริง ๆ แหม..น้ำตานี้พังพราก ๆ ๆ โถ ๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆ ? ย้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ? ไม่เคยคาดเคยคิดนะ..มันผางขึ้นมา อู๊ย..อัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิ..เดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสด ๆ ร้อน ๆ"

จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่ากายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึ่บลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ..พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ? ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้ว..จะว่าไง พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ? พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ? รวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่าธรรมอัศจรรย์เลิศเลอ หรือว่าธรรมธาตุแล้วเท่านั้น เหอ..พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ? แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มที่ จนกระทั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา

เถรี 26-09-2023 17:39

เทศนาอบรมฆราวาส

หากไม่นับการแสดงธรรมในช่วงชีวิตการเรียนและการออกธุดงคกรรมฐาน องค์หลวงตาเริ่มเกี่ยวข้องกับการเทศน์สั่งสอนประชาชนปรากฎชัดเจนตั้งแต่คราวไปจำพรรษาที่จังหวัดจันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ และกระจายกว้างขวางขึ้น เมื่อเริ่มตั้งวัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา

การแสดงธรรมอบรมฆราวาสขององค์หลวงตาแบ่งเป็น ๒ ประเภท ตามสถานที่แสดงธรรม คือ ๑. อบรมคณะที่มากราบเยี่ยมที่วัดป่าบ้านตาด ๒. เดินทางไปอบรมนอกสถานที่

ส่วนเนื้อหาธรรมที่แสดงนั้นท่านมีหลักเกณฑ์ว่า
"การเทศนาว่าการต้องไปตามกาล สถานที่ บุคคล จะให้เสมอกันหมดไม่ได้ หากเป็นอยู่ในตัวของมัน เครื่องรับเครื่องวัดกันมันมีอยู่ในนั้น ไม่ต้องไปถามใคร รู้พอดิบพอดีตลอดเวลา"

ในระยะที่ธาตุขันธ์ของท่านยังพอเป็นพอไป ท่านเมตตารับนิมนต์ไปแสดงธรรมตามหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่เขานิมนต์มา เช่น วัด หน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งจะรับหรือไม่ท่านพิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นเป็นสำคัญ

ต่อเมื่อชราภาพมากเข้า ท่านจึงงดเว้นการออกไปแสดงธรรมนอกสถานที่ หากมีอยู่บ้างโดยมากเป็นงานเนื่องด้วยมรณภาพของพระกรรมฐานครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชา หลวงปู่คำตัน หลวงปู่หล้า เป็นต้น

ต่อมาเมื่อเปิดโครงการช่วยชาติในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป องค์หลวงตาก็เมตตารับนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ในจังหวัดต่าง ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้ท่านต้องลำบากตรากตรำฝืนสังขาร เดินทางไปแสดงธรรมช่วยชาติเกือบทั่วประเทศไทยตลอดระยะเวลานับสิบปี ซึ่งธรรมเทศนาในระยะช่วยชาตินี้ จักได้แสดงในบทต่อ ๆ ไป เมื่อมีโครงการช่วยชาติ พระธรรมเทศนาขององค์หลวงตายิ่งกว้างขวาง กระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลกจนกระทั่งปัจจุบัน

เถรี 26-09-2023 17:47

ต้อนรับคณะผู้มาเยือน

องค์หลวงตามีเมตตาต่อคณะผู้มาเยือนกลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่จากทางใกล้ทางไกล ทั้งในและนอกประเทศที่มาขอเยี่ยมพบท่านตลอดมา แต่เมื่อกำลังอ่อนลง การต้อนรับย่อมมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้น คราวหนึ่งท่านเล่าแบบขบขันถึงคณะกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อจะขอเข้ากราบท่าน ดังนี้

"..ควรรับขนาดไหน..มันสมควรขนาดไหน เมื่อเพียบเต็มที่แล้วมันจะไปได้หรือ ? ก็ต้องหยุดพักเครื่องน่ะซี..มาตลอดทั้งวัน เรานั่งตลอดคนเดียว แล้วไม่ใช่วันหนึ่งวันเดียวด้วย นั่งมาตั้งเมื่อไร มันตายได้มนุษย์เรา ชีวิตหดสั้นย่นเข้ามาเรื่อย ๆ..เขาว่าไม่ต้อนรับ ไปกี่ครั้งกี่หนไม่ได้พบท่าน ว่าอย่างนั้น.."

ถ้าเราจะตอบก็ว่า "เฮาก็ไม่ได้พบเจ้าคือกันแล้ว ก็เว้าจั่งซั้นจะเป็นหยัง..แม่นบ่ จะมาเว้าแต่เจ้าบ่พบข้อย ข้อยก็บ่ได้พบเจ้าคือกันตั๊ว มันก็เท่ากันแล้ว" ยากอีหยัง..ตอบคน..มันสุดวิสัย

ก็เคยรับอยู่แล้ว..วันนั้นเรารับแขกทั้งวัน เราจะตายจนไม่มีลมจะพูดแล้ว กำลังจะมืด พระก็มาบอกว่า คณะญาติโยมมาจากโน้น ๆ เราก็เล็งดู จากโน้นจากนี้ก็ไกล ก็ทน "เอ้า..ให้เข้ามา" แน่นเอี้ยดกุฏิเรา เราก็เลยทำท่าละทีนี้ มันทำได้ทุกอย่าง พลิกสันก็ได้คมก็ได้

พอมาเราก็ทำท่าขึงขัง เราอดหัวเราะไม่ได้นะ แต่ทำท่าขึงขัง "แม่นหมู่เจ้า มาอีกหยังกะด้อกะเดี้ยแท้ เดี๋ยวนี้ว่ะ" .. ขู่นะ เขาตอบว่า "มาชมบารมีหลวงพ่อ"

"บารมีแม่นอีหยัง คนกำลังจะตายฮู้จักบ่..เอ้า..ไป..ลง.." ขู่แล้ว พอเท่านั้นละ หลั่งลงไปลิด ๆ จั่งซั่นแล้ว บัดจะเฮ็ด เฮ็ดจั่งซั่นแล้ว โกรธก็โกรธ เคียดก็เคียดก็ตาม ทำท่าคึกคักขึ้นโลด ของทำได้..แม่นบ่ ตั้งแต่เขาเล่นลิเกละครเขายังทำได้..ใช่ไหม ? ถึงบทหัว..หัว ถึงบทไห้..ไห้ บ้าทั้งนั้นละพวกนี้ จั่งซั่นแล้วก็เฮ็ดได้.."

"ระยะนี้มานี้เราเพียบเต็มที่ หนักมาก..มาเป็นประจำ ๆ เมื่อวานนี้เป็นวันสุดท้ายจนรับไม่ได้ ว่างั้นเถอะ หมดกำลัง ลุกเดินจะไม่ได้ ขาก็ขัดอะไรก็ขัดไปหมด ก้นก็จะแตกจะว่าไง โถ..นั่งทั้งวัน แขกไม่ใช่คณะหนึ่งคณะเดียว มาทั้งแผ่นดินนี่ คณะนั้นเข้าคณะนี้ออก อยู่อย่างนั้นแล้ว รับคนเดียว.."


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:33


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว