กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 02-08-2020 13:11

หลวงพ่อบัว สิริปุณโณ วัดหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
หลวงพ่อบัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง มีอายุพรรษาน้อยกว่าองค์หลวงตา สถานที่ของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ คือวัดป่าแก้วชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้พักจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ด้วย การสนทนาในครั้งนี้ทำให้ปัญหาธรรมของหลวงพ่อบัว.. ผ่านพ้นไปได้ด้วยอุบายคำแนะนำขององค์หลวงตา

เหตุที่ท่านทั้งสองจะได้พบกันนั้น มีเหตุมาจากฆราวาสท่านหนึ่งชื่อโยมกล่อม ซึ่งเป็นโยมพ่อของท่านพระอาจารย์ปรีดา ฉันทกโร (หลวงพ่อทุย)* ครั้งนั้นโยมกล่อมตั้งใจมานิมนต์องค์หลวงตาไปทำบุญอายุหลวงปู่ขาว อนาลโย องค์หลวงตาถามโยมกล่อมทันทีว่า
“ไปนิมนต์หลวงพ่อบัวหรือเปล่าล่ะ ?”


แกตอบว่า “นิมนต์ครับกระผม”

องค์หลวงตาท่านว่า “ถ้าหลวงพ่อบัวไป เราจะไป เรายังไม่มีอะไร ๆ ยิบ ๆ ยิบ ๆ อยู่กับหลวงพ่อบัว พูดอะไรมันมีอะไรอยู่.. ข้อง ๆ ใจ เอานิมนต์ให้ได้นะ บอกด้วยว่าเราก็จะไปนะ

จากนั้นโยมกล่อมก็ไปนิมนต์หลวงพ่อบัวถึงที่วัดของท่านเหมือนกัน ปรากฏว่าหลวงพ่อบัวก็ถามโยมกล่อมด้วยคำถามเดียวกันว่า “ได้นิมนต์อาจารย์มหาบัวหรือเปล่า ? ถ้าไม่นิมนต์อาจารย์มหาบัว อาตมาก็ไม่ไป ถ้าอาจารย์มหาบัวไม่ไป อาตมาก็ไม่ไป อาตมาจะไปเพราะอาจารย์องค์เดียวนี้เท่านั้น”

แกตอบว่า “ผมนิมนต์ท่านมานี้แล้ว ท่านก็ถามถึงเหมือนกันว่า หลวงพ่อบัวจะไปหรือเปล่า ?”

หลวงพ่อบัวกล่าวขึ้นทันทีว่า “โอ๋ย.. ถ้าท่านอาจารย์มหาไป เราไป ไป ไป ไป”

ว่าดังนั้นแล้ว ท่านก็ไปในงานนี้ทันที ในครั้งนั้นหลวงพ่อบัวท่านเป็นคนสั่งจัดกุฏิเองเลยทีเดียว โดยท่านพักอยู่หลังหนึ่ง และให้องค์หลวงตาพักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับรั้วและอยู่ใกล้ ๆ กัน เพราะศาลาอยู่ลึก ๆ ตรงกลางวัด กุฏิในวัดที่ติดเขตรั้วก็มีเพียงกุฏิ ๒ หลังนี้เท่านั้น


=============================

* วัดป่าดานวิเวก (ดงสีชมพู) อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ

ลัก...ยิ้ม 02-08-2020 13:28

เมื่อครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านเสร็จธุระส่วนตัวแล้ว องค์หลวงตาจึงเริ่มซักไซ้ไล่เลียง หาเหตุหาผล เพื่อแก้ปัญหาข้อขัดข้องภายในของหลวงพ่อบัว ดังนี้

องค์หลวงตาเริ่มพูดก่อนว่า “ผมมามุ่งหลวงพ่อนะนี่ ผมไม่ได้มางานใด ๆ นะ”

หลวงพ่อบัวตอบว่า “ผมก็มามุ่งครูอาจารย์เหมือนกันแล้ว” องค์หลวงตาว่า “เอ้า เล่ามา..เป็นยังไง ? เอ้า.. เล่ามาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติทีแรก ภาวนาตั้งแต่เป็นตาปะขาวมาบวชทีแรก เล่าจนกระทั่งปัจจุบันเป็นยังไง อย่าปิดบัง เล่ามาโดยลำดับ เอ้า.. ผมจะฟังให้ตลอดวันนี้ ผมไม่ได้สนิทใจนักกับหลวงพ่อนะ ผมพูดตรง ๆ นะ”

จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่ามาโดยลำดับ ๆ ๆ จนถึงจุดปัจจุบัน พอถึงจุดนี้ องค์หลวงตาบอกทันทีว่า
“เอ้า.. เล่าไปซี” ตอบว่า “พอ” องค์หลวงตาบอกอีก “เล่าไปซิ” ตอบว่า “หมดเท่านี้” องค์หลวงตาเลยถามว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไง ?” ตอบ “หมดเท่านี้”


ท่านถามอีกว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไงละ ? เอ้า.. ว่าซิ”

“เข้าใจว่าสิ้นแล้ว”

ท่านถามต่อว่า “แล้วเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว ?”

“เป็นมาได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว”

เมื่อทราบความตามนั้นแล้ว องค์หลวงตาท่านก็ยังไม่ได้ตอบไปในเวลานั้น ว่าหลวงพ่อบัวสิ้นหรือยังไม่สิ้น แต่ท่านแนะนำทางเดินโดยเริ่มอธิบายในจุดที่ละเอียดให้ฟัง
“เอ้า.. ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนั้น ๆ นั้นนะ..เอาเลย ต่อจากนั้นให้เลย จับให้ดีนะ.. อธิบายให้ฟังเต็มที่ แล้ววันนี้ไม่ต้องไปสวดมนต์ ไม่ต้องไปในงานนู้น ให้ภาวนา เอาให้มันได้วันนี้ รู้วันนี้ละ มันเข้าวงแคบแล้วนี่น่า”


พอพูดกันจบเรียบร้อยแล้ว ท่านกล่าวต่อว่า “ไป..ลงไป เริ่มภาวนาตั้งแต่บัดนี้ไปนะ ทำยังงั้นล่ะ”

การอธิบายกันในคราวนั้น ท่านว่าใช้เวลานานพอสมควร เมื่อจบการอธิบายแล้ว จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็กลับไปภาวนาที่กุฏิ ส่วนองค์หลวงตาไปสวดมนต์ที่ศาลา ครั้นถึงตอนเช้า ขณะที่องค์หลวงตากำลังนั่งภาวนาอยู่ ยังไม่ทันออกจากที่ภาวนาเลย ก็มีเสียงกุ๊บกั๊บ ๆ ดังขึ้นในเวลาใกล้สว่างของวันใหม่ องค์หลวงตาจึงถามขึ้นว่า “ใครนี่ ?”

หลวงพ่อบัวตอบ “ผมครับ” “หลวงพ่อบัวเหรอ ?”

ตอบ “ใช่ครับ” องค์หลวงตาบอก “เออ.. ขึ้นมา ๆ”

จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่าถึงการภาวนาในคืนนั้นให้องค์หลวงตาฟัง ดังนี้
“.. จับอุบายท่านอาจารย์ เข้าปุ๊บเลย.. เพราะแต่ก่อนมันไม่รู้นี่ ได้แต่เฝ้ากันอยู่นั้นเสีย แสดงว่าสำเร็จเสร็จสิ้นก็อยู่งั้นเสีย พอมาถึงที่นั้นแล้วก็เอาอุบายท่านอาจารย์เข้าใส่ปุ๊บ ๆ โห.. ไม่นานเลย ปรากฏเหมือนกับ.. คานกุฏิขาดยุบลงทันที เหมือนกับว่าก้นกระแทกดิน แต่ไม่เจ็บ เหมือนกับคานกุฏิขาดลง ตูมลงพื้นเลย


ฮึบ ทีเดียวเลย แต่จิตมันก็ไม่กังวลนะ เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรนี่ ในขณะนั้นพอพึบลงไปนั่น ทีเดียวเท่านั้น นิ่ง... พอมันหายจากขณะนั้นแล้ว จิตก็รู้ตัว ออกมาข้างนอก มาก็มารู้ว่า
‘ฮื้อ.. ว่าคานกุฏิถ้าขาดแล้วมันก็ลงกันทั้งพื้นนี้ ลงไปถึงดินนั่น ทำไมมันถึงดี ๆ อยู่นี่’ มันก็รู้กันทันทีนะว่า ‘โห..นี่มันคานอวิชาขาด’


โอ้โห.. เวลานั้นมัน มันพูดไม่ถูกเลย.. พอขณะนั้น ทำงานกันไปเสร็จสิ้นไปแล้ว ทีนี้มันเหมือนกับว่า เป็นคนละโลกเลยเชียว ผมเลยไม่นอนทั้งคืน เมื่อคืนนี้...”

หลวงพ่อบัวกล่าวกับองค์หลวงตาอย่างซาบซึ้งจับจิตจับใจว่า
“... ผมกราบท่านอาจารย์ทั้งคืนเลย มันไม่ทราบเป็นยังไง มันกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบท่านอาจารย์ตลอดคืนเลย ผมไม่นอนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เลย โฮ้.. มันอะไรเหมือนกับ ถ้าพูดภาษาพระพุทธเจ้าว่า เสวยวิมุตติสุข มันอะไรพูดไม่ถูก


อัศจรรย์ครูบาอาจารย์ พระธรรม เห็นคุณของท่านอาจารย์ ฮู้ย.. เห็นจริง ๆ เด่นจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ท่านเราจบไปแล้ว ไม่ไปถึงไหนแล้ว เดชะจริง ๆ กราบ ... กราบอยู่อย่างนั้น...”

องค์หลวงตาท่านปรารภถึงเรื่องนี้ว่า นับแต่นั้นมาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลวงพ่อบัว วัดหนองแซงอีกเลย จนกระทั่งหลวงพ่อบัวท่านมรณภาพไป องค์หลวงตาบอกว่า ถึงจุดนี้แล้วไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพิ่มเติมให้เป็นประโยชน์อีกแล้ว เพราะมันพออยู่ในตัวแล้ว หมดปัญหาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาพูดอีกแล้ว

ลัก...ยิ้ม 04-08-2020 21:39

พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พระอาจารย์สิงห์ทอง เป็นพระกรรมฐานอีกรูปหนึ่งที่อยู่ทันสมัยหลวงปู่มั่น และได้ติดตามองค์หลวงตาไปตลอดตั้งแต่อยู่บ้านห้วยทราย จันทบุรี กระทั่งก่อตั้งวัดป่าบ้านตาด จึงมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับองค์หลวงตามาก ครั้งหนึ่งท่านได้สนทนาธรรมในขั้นละเอียดสุด ดังนี้
“... ท่านสิงห์ทองมาถามเราเลยในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ เพราะเป็นลูกศิษย์เรามาดั้งเดิม พูดตรงไปตรงมา ท่านบอกว่า
‘เรื่องจิตของท่านเวลานี้ ในจิตมันไม่มีอะไรสงสัยแล้ว หายหมดไม่มีอะไร แต่ไม่บอกขณะ.. ไม่บอกขณะที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรเหลือในจิต ไม่มีเลย จิตไม่มีปรากฏกิเลสเลย หมด ๆ ๆ ไปเลย หายเงียบไป ในจิตนี้หายสงสัย แต่เรื่องขณะใดที่จะให้ทราบว่าสิ้นสุดขณะนั้นขณะนี้ไม่มี พิจารณาไป ๆ หมดไป ๆ หมดเอาเลย เลยไม่ทราบขณะว่าอย่างนั้น


นี่มันขัดข้องตรงนี้ แต่ไม่ได้ขัดข้องว่าเจ้าของมีกิเลสนะ มันขัดข้องครูบาอาจารย์และสาวกทั้งหลาย ท่านบรรลุธรรมอยู่ในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน อันนี้ท่านเหล่านั้นรู้หมด.. แต่ผมไม่รู้ แต่มันหายสงสัยแล้ว.. เรื่องกิเลสนี้ไม่มี หายเงียบไปเลย’

จากนั้นเราแย็บให้ฟังว่า ‘เออ.. ที่ท่านเล่าให้ฟังนั้นน่ะ ผมไม่มีที่ค้าน จะมีก็มีแต่เงาเฉย ๆ เงาเช่นว่าเป็นขณะนั้นขณะนี้ องค์ไหนท่านเป็นท่านก็เล่าออกมา องค์ไหนไม่เป็น จำเป็นอะไรจะต้องเล่า กิเลสหมดก็หมดเท่านั้นเอง นี่อรหันต์มี ๔ ประเภท ให้ท่านเทียบก็แล้วกันนะ สุกขวิปัสสโก ผู้รู้อย่างเรียบไปเลยก็มี อย่างท่านไม่รู้เลย แต่ว่ากิเลสมีในใจ ไม่มี.. หมด แต่ไม่ได้บอกขณะใด เรียกว่าเรียบไปเลย ท่านอาจจะอยู่ในสุกขวิปัสสโก

เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์มีหลายประเภท องค์หนึ่งแสดงฤทธิ์อย่างนั้น องค์หนึ่งแสดงฤทธิ์อย่างนี้ องค์หนึ่งเงียบไปเลย อย่างท่านสิงห์ทองท่านว่าเงียบไปเลย ความสงสัยว่าเจ้าของมีกิเลสก็ไม่สงสัย หายสงสัย แต่อันนี้ไม่บอกขณะ ส่วนเตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต มีขณะบอก ๆ ๆ

ที่พูดมาแล้วไม่สงสัยในความรู้ของท่านที่เป็นแล้ว ผลของความรู้นั้นออกมาไม่มีที่ค้าน อย่างไรมันก็รู้อยู่กับจิตซึ่งเป็นนักรู้นั่นละ มันสิ้นหรือไม่สิ้นก็รู้’...”

องค์ท่านกล่าวสรุปให้ฟังว่า เรื่องขณะมันเป็นเงาต่างหาก ความจริงมันอยู่กับจิตที่เป็นนักรู้ด้วยกัน มันต้องรู้ของจริงด้วยกันและแจ้งออกมาจากนั้นเลย ภายหลังเมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมรณภาพลงไปแล้ว อัฐิของท่านก็แปรสภาพเป็นพระธาตุในเวลาต่อมา

ลัก...ยิ้ม 05-08-2020 23:35

ภาคปฏิบัติสอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ จิตสอนจิตตรงแน่ว

“... ธรรมลี (หลวงปู่ลี กุสสธโร วัดภูผาแดง) ก็ตั้งแต่วันบวชแล้ว บวชวันถวายเพลิงหลวงปู่มั่น บวชวันนั้นที่วัดป่าสุทธาวาส ตั้งแต่บวชแล้วติดสอยห้อยตามเราตลอดเหมือนเด็กนะ ธรรมลีนี้เหมือนเด็ก ไม่มีธรรมวินัยอะไรเลย เอาพ่อแม่กับลูกเข้าเลย.. เป็นใหญ่กว่า เราจะไปไหนติดตาม คือไม่ต้องขออนุญาตนะ เห็นไหม.. ไปกรุงเทพฯ ด้วยต้องตาม ถ้าไปขออนุญาตท่านจะไม่ให้ไป ต้องขโมยไปแบบนี้แหละ เห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น ไปทีไร.. อยากไป ไปเลยนะ ปั๊บ.. ขโมยไปเลย เป็นอย่างนั้น นี่เป็นนิสัยอันหนึ่งเราก็ทราบ นี่ก็ตั้งแต่ต้นมาเราสอนตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยมา ...

ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่นที่ฝั่งธนฯ พอดีเราไปนวดเส้นก็ไปเจอท่านวันชัยที่นั่น ถามเหตุถามผล จะไปไหนมาไหนหลักเกณฑ์ไม่ค่อยมี ถามอาการเคลื่อนไหวของท่าน ลักษณะเป็นเร่ ๆ ร่อน ๆ ไม่มีหลัก เหมือนว่าหลักลอย ว่างั้นเถอะนะ จะไปไหนมาไหน พูดยาก ๆ ตอบยาก ๆ ลำบากการตอบ นี่แสดงให้เห็นว่าหลักลอย เราก็บอกว่า
‘ถ้าอย่างนั้นให้ไปอยู่วัดป่าบ้านตาดกับผมที่วัด’


เราก็ไม่เคยบอกใครให้เป็นอย่างนั้นนะ นี่ได้บอกเลย พอได้ความ พอเรากลับมาท่านก็ตามมา เราสอนตั้งหลักใหม่ก็ได้หลักจริง ๆ มาอยู่ที่นี่แล้วเข้า ๆ ออก ๆ จากนี้ก็ไปตั้งที่วัดนั้น เราก็ให้ไปอยู่ที่วัดภูสังโฆเรื่อยมา สักเท่าไรปีแล้ว มาอยู่กับเราตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ มันก็ ๒๓ ปีแล้วตั้งแต่เกี่ยวข้องกันมา ..

คือความตั้งใจมีแต่หาที่เกาะที่ยึดไม่ถูก มันก็ไม่มีประโยชน์นะ เพราะเราเห็นโทษของเรา เราจึงบอกเลย.. ท่านก็เลยมาที่นี่ มาได้หลักที่นี่นะ เดี๋ยวนี้ท่านได้หลักแล้ว ได้หลักมั่นคง คือท่านพูดเอง เราไม่ได้แนะไปก่อน ท่านพูดเอง แล้วตรงกับความจริง ๆ ตามขั้นของธรรม เราบอก เออ..ใช้ได้ ๆ เรื่อย ๆ ไป นี่ก็เป็นเพราะสำคัญละ เดี๋ยวนี้ท่านวันชัยดี ได้หลักเกณฑ์ดี ..

ท่านวันชัยก็มาพูดต่อปากต่อคำ เรื่องการภาวนาเป็นยังไง ๆ ขัดข้องตรงไหนเราเป็นผู้แก้ไขให้ทั้งนั้น ๆ จนกระทั่งทะลุ นี่อันหนึ่ง.. ภาคปฏิบัติเป็นของเล่นเมื่อไหร่ สอนกันสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ จิตสอนจิตนี้ตรงแน่ว ๆ ขั้นธรรมนี่ ... เช่น เสกตัวเป็นครูเป็นอาจารย์เขา เขาน้อยกว่าแต่ความรู้เขาสูงกว่าเราสอนไม่ได้นะ อาจารย์น่ะสอนลูกศิษย์ไม่ได้ ... ธรรมดาเราจะไม่บอกใครง่าย ๆ ให้มาอยู่วัดบ้านตาด .. นี่เราก็สอนมาตั้งแต่ต้นเหมือนกันกับท่านลี

ธรรมลีนี้เป็นเศรษฐีธรรมมานานแล้วนะ เรียกว่าเศรษฐีธรรม ถ้าธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยเรียกว่าเศรษฐีได้แล้ว เศรษฐีธรรม.. ธรรมภายในหัวอก ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่จม .. การภาวนานี้ขึ้นอยู่กับผู้แนะนำ ถ้าผู้แนะมีหลักใจ มีขั้นสูงกว่า ๆ ทางนั้นพูดขึ้นมาปั๊บทางนี้เข้าใจแล้ว ที่บกพร่องตรงไหนที่ควรแก้อย่างไร เข้าใจแล้วแก้ปุ๊บ ๆ มันก็เร็ว ทำสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยความตั้งใจจริงอยู่ แต่มันไม่ค่อยได้ผลมากเท่าที่ควร ถ้ามีผู้แนะ ให้มีภูมิธรรมสูง แนะนี่ปั๊บ ๆ ถูกต้อง ๆ เกาะติด ๆ เลย..เร็ว ...”

ลัก...ยิ้ม 07-08-2020 09:10

วัดโพธิสมภรณ์

วัดโพธิสมภรณ์ ตั้งอยู่ที่ถนนเพาะนิยม เลขที่ ๒๒ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี อยู่ทางทิศตะวันตกของหนองประจักษ์ มีเนื้อที่ ๔๐ ไร่

ความเป็นมา วัดโพธิสมภรณ์เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมหาอำมาตย์ตรี พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ เนติโพธิ) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร ได้ชักชวนราษฎรในหมู่บ้านหมากแข้งถากถางป่าจนพอควรแก่การปลูกกุฏิ ศาลาโรงธรรม สำหรับใช้เป็นที่บำเพ็ญบุญ และเป็นที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปีของหน่วยราชการ ใช้เวลาสร้างอยู่ประมาณ ๑ ปี ในระยะแรกชาวบ้านเรียกว่า วัดใหม่ เพราะแต่เดิมมีเพียงวัดมัชฌิมาวาส ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วัดเก่า จากนั้นจึงได้กราบอาราธนา พระครูธรรมวินยานุยุต (หนู) เจ้าคณะเมืองอุดรธานี จากวัดมัชฌิมาวาส มาเป็นเจ้าอาวาส และได้นำความขึ้นกราบทูลขอชื่อต่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ได้ประทานนามว่า วัดโพธิสมภรณ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพธิ เนติโพธิ) ผู้สร้างวัดนี้

ประมาณ ๓ ปีต่อมา พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตรกับท่านเจ้าอาวาสได้เริ่มสร้างโบสถ์ด้วยอิฐถือปูน โดยใช้ผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นแรงงาน พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร เป็นช่างผู้ควบคุมการก่อสร้างเอง แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็ได้ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕

ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ มหาเสวกโท พระยาราชนุกูลวิบูลยภักดี (อวบ เปาโรหิตย์) ขึ้นดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลภาคอีสาน และเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรธานีด้วย ได้มาเสริมสร้างวัดโพธิสมภรณ์ต่อ โดยขยายอาณาเขตให้กว้างออกไป และก่อสร้างเสนาสนะเพิ่มเติมอีกหลายหลัง พร้อมกับสร้างพระอุโบสถต่อจนแล้วเสร็จ และเห็นว่าภายในเขตเทศบาลจังหวัดอุดรธานี ยังไม่มีวัดธรรมยุตเลย สมควรจะตั้งวัดนี้ให้เป็นวัดของคณะธรรมยุตโดยแท้ จึงได้ปรึกษาหารือกับพระเทพเมธี (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี โดยมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรจัดพระเปรียญมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ เพื่อจะได้บริหารกิจการพระศาสนา ฝ่ายปริยัติธรรมและฝ่ายวิปัสสนาธุระให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จึงนำความคิดเห็นกราบเรียนต่อพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ จากนั้นจึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯ ขอพระเปรียญ ๑ รูป จากวัดเทพศิรินทราวาส ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์สืบไป สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงทรงมีรับสั่งให้เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส เลือกเฟ้นพระเปรียญ ก็ได้พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พันธุโล) ป.ธ. ๓ น.ธ.โท ฐานานุกรมของท่าน ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักวัดเทพศิรินทราวาส เป็นเวลานานถึง ๑๕ ปี ว่าเป็นผู้เหมาะสม ทั้งยังเป็นที่ชอบใจของเจ้าพระยามุขมนตรีฯ อีกด้วย เพราะท่านได้เคยเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงอยู่ก่อนแล้ว พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พันธุโล) ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมเจดีย์ จึงได้ย้ายจากวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ วัดโพธิสมภรณ์จึงเป็นวัดของคณะธรรมยุตตั้งแต่บัดนั้นมา ปัจจุบันวัดโพธิสมภรณ์เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ

วัดโพธิสมภรณ์ ในระยะนั้นยังมีสภาพเป็นป่าละเมาะอยู่ มีเสนาสนะชั่วคราวพอคุ้มฝน บริเวณโดยรอบก็ยังเป็นป่า ไม่ค่อยมีบ้านเรือน เงียบสงบ อาหารบิณฑบาตตามมีตามได้ น้ำใช้ก็ได้จากบ่อบาดาลในวัด ซึ่งพระเณรช่วยกันตักหาบมาใส่ตุ่มใส่โอ่ง พระเณรระยะแรกยังมีน้อย ทั้งอัตคัตกันดารในปัจจัยสี่ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะบริหารกิจการพระศาสนาให้เจริญก้าวหน้า พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พันธุโล) ได้ทุ่มเทพัฒนาวัดในทุก ๆ ด้าน ส่วนที่เป็นศาสนวัตถุนั้น ท่านได้บูรณะซ่อมแซมและสร้างเสริมเพิ่มเติมให้มั่นคงถาวร

ลำดับเจ้าอาวาสที่ครองวัดนี้ตั้งแต่เริ่มตั้งวัดจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้

รูปที่ ๑ พระครูธรรมวินยานุยุต (หนู) พ.ศ. ๒๔๕๐ – ๒๔๖๕

รูปที่ ๒ พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) พ.ศ. ๒๔๖๖ – ๒๕๐๕

รูปที่ ๓ พระอุดมญาณโมลี (จันทร์ศรี จันททีโป) พ.ศ. ๒๕๐๕ – ปัจจุบัน

วัดโพธิสมภรณ์นี้ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมีปูชนียวัตถุสำคัญ ดังนี้

๑. พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ มีอายุประมาณ ๖๐๐ ปี ปางมารวิชัย มีนามว่า “พระพุทธรัศมี” เป็นพระประธานในพระอุโบสถ

๒. พระพุทธรูปศิลาแลง ปางประทานพร สมัยลพบุรี มีอายุ ๑,๓๐๐ ปี ประดิษฐานไว้ที่ซุ้มฝาผนังพระอุโบสถด้านหลังเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙

๓. ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งได้หน่อมาจากรัฐบาลประเทศศรีลังกา ให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ นำมาปลูกไว้ด้านทิศเหนือพระอุโบสถ

๔. รอยพระพุทธบาทจำลอง สร้างด้วยศิลาแลง มีอายุ ๒๐๐ ปีเศษ ประดิษฐานไว้ในมณฑป ด้านทิศเหนือพระอุโบสถ

๕. พระบาทธาตุธรรมเจดีย์ เป็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์ ๓ ชั้น บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และรูปเหมือนพระบูรพาจารย์ ๑๐ องค์ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๘

ลัก...ยิ้ม 10-08-2020 23:15

หลวงปู่แหวนกับธนบัตร ๕๐๐ บาท

“... พูดถึงเรื่องเงินก็ระลึกถึงหลวงปู่แหวน อย่างนั้นละ..บทเวลาท่านจะทำ ท่านก็รู้ก็ปฏิบัติตามสมมุติอยู่ตลอดมา ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร ท่านเคารพนับถือฝ่ายสมมุติ ท่านก็เคารพว่าเงินว่าทองไม่ให้จับ ท่านก็ไม่จับเหมือนพระทั้งหลาย บทเวลาท่านจะพลิกล็อกนะ

อยู่ ๆ ก็ฟาด..ไปเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมามวนบุหรี่ มวนใหญ่ ๆ เข้าใจไหมล่ะ ท่านสูบบุหรี่มวนใหญ่ หลวงปู่แหวนนั่นละ บทเวลาท่านจะพลิกล็อก มาเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมวนบุหรี่สูบ.. ปุ๊บ ๆ ๆ พวกพระเณรก็ตกตะลึงกัน
‘อุ๊ย หลวงปู่ นี่มันธนบัตรใบละห้าร้อย เอามามวนบุหรี่สูบอะไร’


‘หือ’ ท่านว่างั้นนะ

ท่านทำ ท่าอย่างนั้นละ คือจิตของท่านผ่านไปหมด เรื่องสังฆาปาราชิกนี้ไม่มีในหัวใจ พูดตรง ๆ แต่กิริยาก็มีเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ท่านถึงเคารพกิริยา ต้องอาบัตินั้น อาบัตินี้ท่านเคารพ เวลาท่านพลิกปั๊บ อย่างที่หลวงปู่แหวนเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ ท่านมวนบุหรี่ตัวใหญ่ ๆ นะ มวนบุหรี่ใส่ปุ๊บ ๆ ๆ

‘โอ๊ย หลวงปู่ทำไมเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่สูบอย่างนี้ล่ะ’

ท่านก็ว่า ‘หือ’ ทำท่าเหมือนไม่รู้นะ บทเวลาตอบ ‘ประสากระดาษ’ เท่านั้นละ

‘ประสากระดาษ’
ท่านก็สูบเฉยจากนั้นก็ทิ้ง จากนั้นไม่เคยทำอีกนะ ทำทีเดียวพอให้โลกได้รู้บ้าง คือจิตท่านบริสุทธิ์แล้วหมดนะ นี่เราใช้ตามกิริยาของสมมุติ พระเหล่านี้เป็นสมมุติ โลกมีสมมุติ พระเราก็เป็นสมมุติ รักษาสิกขาบทวินัยตามสภาพของสมมุติ เพราะฉะนั้น ท่านจึงรักษาธรรมวินัยเช่นเดียวกันหมด แต่จิตใจท่านผ่านไปหมดแล้ว


คำว่าสังฆาปาราชิกอะไรนี้.. ไม่มีในจิต แต่มีในกิริยาที่จะต้องปฏิบัติให้เหมาะสมต่อสังคมที่อยู่ร่วมกัน นั่น..ท่านก็แยกอย่างนั้น แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นไม่เคยเห็นนะ เวลาท่านพูดท่านพูดเฉย ๆ ท่านไม่ทำ ท่านพูดไปเหมือนกัน พูดแถวนี้แหละ แต่ท่านจะไม่ทำ หากพูด พูดใกล้เคียงกันกับที่ว่าเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนสูบ มวนบุหรี่สูบเหมือนอย่างหลวงปู่แหวน เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ทำอย่างนั้น กิริยาท่านพูดน่ะมี มีอย่างนั้น

‘คือจิตที่พ้นไปหมดแล้ว มันหมดแล้วเรื่องสมมุติ ไม่มีอะไรเข้าถึงจิตดวงนั้น เพราะทั้งหลายไม่ว่าอาบัติอาจีอะไรนี้.. มันเป็นสมมุติทั้งหมด ส่วนจิตนั้นผ่านหมดแล้ว.. เข้าไม่ถึง แต่ทีนี้เมื่อมีสมมุติอยู่ โลกทั้งหลายเขามีสมมุติ ปฏิบัติต่อกันให้เป็นความเหมาะสม ท่านจึงปฏิบัติตามสมมุติอย่างนั้น’

อย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่น ท่านไม่เคยข้ามเกินพระธรรมวินัยข้อใด ทั้ง ๆ ที่เวลาพูด.. ท่านก็พูด ท่านพูดเกี่ยวกับใจเสีย ท่านแยกออกมา สมมุติท่านก็บอกเราต้องปฏิบัติอย่างโลกเขาปฏิบัติกัน เพราะสมมุติกับสมมุติขัดกันไม่เหมาะ แน่ะ.. ว่างั้นนะ สมมุติกับสมมุติก็เคารพกัน นั่นท่านว่างั้น อย่างหลวงปู่แหวนที่ท่านว่า ท่านพลิกล็อกนะนั่น .. พลิกล็อกเป็นจิตล้วน ๆ แล้วไม่มีอะไรเข้าถึง ท่านแสดงออกมาทางกิริยาแย็บเดียว จากนั้นท่านก็ไม่เคยทำอีก ท่านทำให้เป็นข้อคิดเฉย ๆ ไม่ใช่ท่านดื้อด้าน ท่านทำเป็นข้อคิด...”

ลัก...ยิ้ม 13-08-2020 12:54

พระสาวก ... ครั้งพุทธกาล

พระจิตคุปต์

“... อย่างพระจิตคุปต์นั้นน่ะ ไปเล่าถวายถามธรรมะท่าน เทวดาทั้งหลายมีความรักท่านมากที่สุด ท่านจะไปที่ไหนไม่ยอมให้ไปง่าย ๆ พวกเทวดาอยู่ในถ้ำนั้นน่ะ เขารักษาท่านอย่างเข้มงวดกวดขัน เวลาท่านอยู่นาน ๆ ใครนิมนต์ไปไหน ๆ ท่านก็ไม่ยอมไป แม้ที่สุดพระมหากษัตริย์นิมนต์ท่านให้ไปพระราชวัง ท่านก็ไม่ยอมไป ถึงขนาดพระมหากษัตริย์ทรงออกอุบายทีเดียว ต้องขออภัย.. ต้องเอาผ้าไปพันนมแม่ลูกอ่อน... ไม่ให้กินนมแล้ว

พระราชารับสั่งให้นำผ้าไปพันนม แล้วให้รีบไปนิมนต์พระจิตคุปต์มาพระราชวัง ไปนิมนต์ก็กราบเรียนท่านตามความจริง เวลานี้พระราชาท่านเอาผ้าพันนมแม่ลูกอ่อน
.. ไม่ให้ลูกอ่อนกินนม จนกว่าท่านอาจารย์นี่จะลงไปเยี่ยมพระราชาเมื่อไหร่ ท่านจึงประกาศเปิดผ้ากินนมแม่ลูกอ่อนให้.. ลูกถึงจะได้กินนม พอทำอย่างนั้น


พระจิตคุปต์ว่า ‘ตาย ! ถ้าอย่างนี้เด็กก็ตายหมดล่ะซิ’ คึกคักลงเดี๋ยวนั้นเลย

ทีนี้เขาร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ท่านเป็นพระอรหันต์ไป.. ก็ไปเรียนถามท่าน ไหนเวลานี้ประชาชนทั่วเขตแดนว่า ‘ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลานี้ท่านอาจารย์เป็นรึยัง’

‘โอ้ย ! ยังนะ’

‘ยัง เป็นยังไงเล่าให้ฟังซิ’ อาจารย์นี่ถึงจะสูงกว่าลูกศิษย์ก็สูงกว่าในฐานะเป็นอาจารย์ ลูกศิษย์ก็เป็นพระอรหันต์

พอว่างั้น ‘ท่านอาจารย์ติดข้องตรงไหน ว่ามา’

พอถวายธรรมะปึ๋งเข้าไปเท่านั้น ‘เอาล่ะ ที่นี้รู้ช่องทางแล้ว เออ ! เข้าใจแล้ว เอาล่ะ.. ที่นี้รู้ช่องทางแล้ว’

ท่านกำลังป่วยนะ เวลานั้นลูกศิษย์ไปเยี่ยม ทีนี้เวลาถามถึงภูมิธรรมท่าน... ตามที่คนเขาร่ำลือว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลาลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์ไปถาม ท่านบอกว่าท่านยัง ถ้ายังท่านขัดข้องว่ามา ท่านก็อธิบายออกมาให้ฟัง... ลูกศิษย์ก็ถวายธรรมปึ๋งเข้าไปให้พิจารณาอย่างงั้น ๆ

‘เออ ! เข้าใจแล้ว.. ทางเดินเข้าใจแล้ว ออกไปได้’ คือให้ลูกศิษย์ออกไปจากที่ท่านนอนเป็นไข้ พอลูกศิษย์ออกไปยังไม่ถึงไหน ยังไม่พ้น พอออกไป ‘เออ ! เข้าใจแล้ว’...”

ลัก...ยิ้ม 13-08-2020 13:01

พระสาวก ... ครั้งพุทธกาล

พระอานนท์ บรรลุธรรม

“... พระอานนท์ จะเป็นพระอรหันต์ในวันทำสังคายนาตามพระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้ จึงเว้นช่องไว้สำหรับพระอานนท์ช่องเดียว ๔๙๙ ที่ ๕๐๐ เอาไว้สำหรับพระอานนท์ พระอานนท์ไม่นอนทั้งคืน ภาวนามีแต่เร่งที่จะให้ตรัสรู้ ทีนี้ไม่อยู่ในปัจจุบันธรรมที่ควรจะตรัสรู้ละซี ก็เอาแต่เรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้แล้ว อีก ๓ เดือนเธอจะได้บรรลุธรรม ก็เลย ๓ เดือน ๆ อยู่ข้างนอกไม่ได้เข้ามา...

จนกระทั่งจวนจะสว่างแล้ว เห็นท่าไม่ได้การ.. มุ่งจะบรรลุเท่าไร ก็มีแต่มุ่งตามวันตามคืน ตามกาลเวลาที่พระองค์ทรงทำนายไว้เท่านั้น ไม่ได้มุ่งเข้ามาจุดในปัจจุบันที่จะตรัสรู้ธรรมก็ไม่ตรัสรู้ ก็เลยทอดอาลัยเสีย เราจะไม่ไหวแล้วนะนี่ วันพรุ่งนี้จะทำสังคายนา เราจะพักสักหน่อย พอว่าพักสักหน่อย ความยึดของจิตในอดีตวันทำสังคายนานี้ก็สงบไป จิตหดเข้ามาเป็นปัจจุบัน นั่น

พอเอนกายลงไปอย่างนี้ พระอานนท์จึงสำเร็จในอิริยาบถ ๔ จะว่านั่งก็ไม่ใช่ จะว่านอนก็ไม่ใช่ จะว่ายืนว่าเดินก็ไม่ใช่ .. ท่านเอนลงกำลังจะนอน เอนลงท่านี้ หัวยังไม่ถึงหมอนนะ.. ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเวลานั้นเลย นี่..จิตเป็นปัจจุบัน หดเข้ามาเป็นปัจจุบัน.. ไม่แส่ส่ายไปตามอดีต อนาคต ก็เลยตรัสรู้ผึงขึ้นมาก็ทราบเอง...”

ลัก...ยิ้ม 13-08-2020 13:22

องค์หลวงตากราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ


องค์หลวงตาได้ไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดโคกมน จังหวัดเลย ในโอกาสเดียวกันกับที่ได้เข้าสนทนาแก้ปัญหาธรรมกับหลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ดังนี้
“... พอเที่ยงเราก็ออกจาก (วัดป่าบ้านตาด) นี้ .. ออกจากนี้ไปแล้วก็ไปพักที่วัด ตื่นเช้าวันหลัง ฉันเสร็จแล้วก็จะไปหาท่านอาจารย์คำดี .. ทีนี้ไปบิณฑบาต .. เดินไปด้วยกันสององค์ พระไปก่อนแล้ว เรากับท่านเดินตาม ๆ ไปคุยกันไปเพราะมีโอกาส


เราไปค้างที่วัดโคกมนคืนหนึ่ง แต่ก่อนเป็นศาลาหลังเก่า ไปคราวนี้ไม่ได้ไปดู ยังอยู่หรือเปล่าไม่รู้..ศาลากรรมฐาน แต่ก่อนตอนไปบิณฑบาตท่านถือไม้เท้าไป ไม้เท้าก็พวกไม้เปาะ (ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง) นี่แหละ แป๊ก ๆ ไป เดินไปคุยกันไปแล้วหันหน้าปั๊บ
‘ฮ่วย ท่านมหาขอเงินสัก ๓ พันหน่อยน่ะ’


‘จะไปทำอันนั้น ๆ’ ‘เอ้อ ให้’ ว่างั้นเลย พอกลับมาเราก็จัดไปให้ท่านเลย นั่นเวลาจะพูดเป็นอย่างนั้น

หลวงปู่ชอบกับเราสนิทกันมากนะ สนิทกันมาเป็นเวลานานแต่สมัยหลวงปู่มั่น อยู่หนองผือท่านก็ไป หลวงปู่ขาวก็ไปพักที่นั่นด้วยกัน หลวงปู่ชอบก็ไป แต่นั้นมาสนิทกันมาเรื่อย โคกมนเราก็เคยไปเสมอ แต่ก่อนตอนสังขารร่างกายท่านปรกติ.. เราเคยไปพักกับท่านก็เคยไป โคกมน..

นิสัยท่านกับสัตว์ป่ามีเสือเป็นต้น รู้สึกว่าท่านสนิทกับเสือมาก เสือมาหาท่านบ่อย ๆ เราพูดอย่างนี้ใครเชื่อได้ เขาไม่เชื่อใช่ไหม ก็เขาไม่เป็นท่าน ครูอาจารย์แต่ละองค์ ๆ จะเด่นไปคนละทิศละทาง หลวงปู่ขาวนี่เกี่ยวกับช้าง ช้างป่า ช้างบ้าน คุ้นทั้งนั้น หลวงปู่ชอบนี่พวกเทวดาด้วย เสือนี่สำคัญ..มาหาบ่อย แปลกอยู่นะ พูดขึ้นว่าเสือเรายังไม่เจอก็ยังน่าหวาดเสียว ท่านไปพักประเทศพม่า ท่านอยู่บนเขาบนถ้ำ ไปพักอยู่ในถ้ำ มีแคร่เล็ก ๆ อยู่ ๆ ๕ โมงเย็นกว่า ๆ แล้ว เสือก็ขึ้นไปนั้น ทางจงกรมท่านอยู่นี้สุดนี้ แคร่ท่านอยู่นั่น

อยู่ ๆ เสือโคร่งก็โผล่ขึ้นมา ท่านมองไปเห็น ‘มาอะไร’ แน่ะ..ฟังซิ มันมองมาดูคน มองดูที่มันจะโดดขึ้น หัวจงกรม มันโดดขึ้นไปนอนอยู่นี้ มันเป็นหินเป็นลาน ๆ อยู่หน่อยหนึ่ง มันโผล่ขึ้นมาแล้วก็มองดูคน แล้วมองดูนี้สักเดี๋ยวก็็โดดปุ๊บขึ้นเลย นอนเลียแข้งเลียขาอยู่นั้นเฉย แน่ะ..เห็นไหมล่ะ ท่านก็อยู่ .. มันน่าเชื่อไหมล่ะ พวกตาบอดหูหนวกพวกเรามันไม่เชื่อง่าย ๆ แหละ ความจริงขนาดไหนมันก็ไม่ยอมเชื่อ

‘มึงขึ้นมาอะไร’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่ได้พูดอะไรกับมันแหละ ขึ้นมาก็มานอนเหมือนหมานอน เลียแข้ง เลียขา เลียเล็บมัน ดูคนนิดเดียว ๆ จนกระทั่งค่ำ ๆ เข้า ๆ ก็ยังอยู่ที่นั้น ทีนี้ท่านจะเดินจงกรมไปนั้นมันก็นอนอยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรมนี้.. มันรู้สึกเสียว ๆ ท่านว่า ‘มีขยาด ๆ นิด ๆ จะกลัวก็ไม่เห็นกลัว’ ท่านจะเดินจงกรมเข้าไปนั้นรู้สึกเสียว ๆ นิด ๆ เพราะมันนอนอยู่นี้

วันนั้นต้องสละ กลางคืนเลยไม่กล้าเดินจงกรม นั่งสวดมนต์ภาวนาแล้วก็นอนเลย ตื่นขึ้น จุดไฟขึ้นมามันยังนอนอยู่นั้น นอนเงียบนะ ท่านก็ไม่กล้าเดิน ท่านว่าอย่างนั้น จนกระทั่งเช้าขึ้นมา ทีนี้นอนไม่กระดุกกระดิกเลย เหมือนหมานอน ถึงเวลาจะลงไปบิณฑบาตมันยังอยู่จะทำยังไง ทางบิณฑบาตก็ไปทางหัวจงกรมนี้.. ตรงไปนี้ เสือก็นอนอยู่นี้ ทีนี้เลยไปที่นั่นละ ท่านเรียบร้อยแล้ว.. ครองผ้าแล้วไป

ลัก...ยิ้ม 13-08-2020 13:55

พอท่านเดินไปนั้นก็ว่า ‘นี่..เราจะไปบิณฑบาต พระหิวข้าวนะ’ พูดหยอกเล่นกันกับมัน มันเฉยแต่มองดูเราอยู่ ‘นี่..พระหิวข้าว’ พูดกับมัน ‘จะบิณฑบาตมาฉัน อยากไปที่ไหนก็ไป อยากอยู่ที่นี่ก็แล้วแต่ หรืออยากไปที่ไหนก็ไป’ เท่านั้น ท่านก็เดิน เขาก็นอนเฉย ๆ ท่านก็ลงไป แต่ท่านไม่กล้าพูดให้ใครฟัง กลัวเขาจะมาทำลายมัน ไม่พูดเลย..ท่านว่า กลัวเขาจะมาทำลายมัน

บิณฑบาตฉันในบ้านนะ มีแคร่ออกมาข้างนอกมาฉัน เพราะมันไกล ท่านว่าพวกญาติโยมเขาเคยปฏิบัติอยู่แล้วอย่างนั้น พอบิณฑบาตออกมาก็มีที่พัก..ฉันที่นั่น ฉันเสร็จแล้วล้างบาตรล้างอะไรเสร็จ ท่านก็สะพายบาตรขึ้นเขา มาสายเลยหายเงียบเลย เขาลงไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่เห็นขึ้นมาอีก แต่เสียงมันร้องอยู่ตามข้าง ๆ โอ๋ย.. มันร้องของมันประจำท่านว่า แต่ไม่เคยขึ้นมาอีก.. อย่างนั้นละ..บ่อยนะ ท่านว่ากับเสือ เสือมาหานี่บ่อย ไม่เห็นมีทำอะไร บางทีท่านไล่มันไป มันยังนั่งดูเราอยู่เฉย ท่านเลยเอาผ้าโบก.. ไปนะ โดดโก้ก..มันตื่น ลงไปนั้นก็ไปเฉย พอมันลงไปแล้วไปบิณฑบาต หรือมันจะเล่นไม่ซื่อกับเราน้า ท่านนึกในใจ ไปนี้ก็ต้องชำเลืองดู หรือมันจะไปหมอบอยู่ข้างทาง มันลงไปแล้ว..เสือโคร่ง ท่านก็ลงไปบิณฑบาต ตามข้างทางไม่มีเลย ไปไหนไม่รู้ บ่อยละ..กับเสือ ครูบาอาจารย์ชอบ.. เรื่องเสือนี้เด่นกว่าเพื่อน ได้คุยกันสนุกสนาน เรื่องอรรถเรื่องธรรมก็สับปนกันไปนั้น

ท่านไปอยู่ประเทศพม่าตั้ง ๕ ปี ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่อง คงจะไปอยู่กับพวกพม่าเลยหรือยังไงก็ไม่รู้ หรือพวกไทยใหญ่ เพราะประเทศพม่าก็มีหลายแห่ง เราก็ไม่ได้ถามท่าน มีแต่ว่าพม่าเท่านั้น เลยเข้าใจว่าประเทศพม่าเลย แต่ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่องนะ แสดงว่าไปอยู่กับพวกพม่าจริง ๆ มันเป็นเรื่องแปลก..เรื่องอัศจรรย์อย่างนั้นละ เวลาแสดงขึ้นมาใครจะไปคาดได้ยังไง คาดไม่ได้

ตอนนั้นสงครามอังกฤษมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น พวกอังกฤษ ท่านไปอยู่ที่นั่น เขาเลยมาเห็นท่านว่าเป็นพระไทย ยิ่งถือเป็นข้าศึกใหญ่โต บอกเขาชี้แจงให้ทราบ ‘ท่านมานี้ ท่านมานานแล้ว.. ก่อนสงคราม ท่านมาอยู่ที่นี่’

เขาฟังแต่เขานิ่ง ๆ นะ ท่านไม่มีอะไรกับใคร กับโลกกับบ้านเมืองอะไร.. ไม่มี ท่านมาภาวนาของท่านอยู่อย่างนี้ พูดแล้วเขาก็ไป แล้ววันหลังมาอีก มาก็มาไล่เบี้ยอีกแหละ ก็ชี้แจงให้ฟัง จนกระทั่งเขายืนยันรับรอง ‘ถ้าจะทำลายท่าน ให้ทำลายคนทั้งบ้านนี้เสีย’

เขาก็ว่าอย่างนั้น เขาเชื่อ.. เขารับรองเลยว่าไม่มีอะไร ดูลักษณะเขายังไม่ไว้ใจอยู่นะ เห็นท่าไม่ได้การ นั่นละ..เหตุที่จะได้กลับเมืองไทย เขาก็เลยมาพูดกับท่าน.. อย่างนี้ไม่ไว้ใจละ ดูท่ามันมาอยู่เรื่อย เขาก็เลยพาท่านไปส่งทาง ทางมันทางป่า พวกคนป่าเขาเที่ยวหากัน ส่วนมากก็พวกยาฝิ่นยาอะไร แล้วเขาก็บอกทาง ให้จับทางนี้ไว้ให้ดี.. ไปข้างหน้าจะมีทางพวกโขลงช้าง พวกอะไรผ่านไปผ่านมา ให้จับทางนี้ไว้ให้ดี อย่าปล่อยทางนี้ ทางนี้จะถึงเมืองไทยเลยเขาบอก ไม่มีบ้านผู้บ้านคน มาในป่าไม่ได้ฉันจังหัน มากลางคืนด้วย พักที่ไหนก็พัก โอ๊ย.. สัตว์เสือเต็มป่าเต็มดง แต่ไม่มีอะไรละ ท่านก็มาของท่าน

ลัก...ยิ้ม 14-08-2020 00:26

ทีนี้เป็นวันที่สองหรือที่สามไม่ทราบนะ เพราะท่านเดินทางอยู่เรื่อย ๆ ท่านเพลีย..เพลียเอามาก จะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว ‘เอ๊..ทำไงนี่ ยิ่งอ่อนยิ่งเพลียลงทุกวัน หิวข้าวก็หิว’ เพลียกับความหิวก็อันเดียวกันนั่นแหละ ท่านเลยนึกวิตกขึ้น อย่างนั้นนะ

‘ตั้งแต่เรายังดี ๆ อยู่ อยู่ที่ไหนเทวดาก็มาหาเราอยู่เสมอ เวลาเราจนตรอกจนมุมนี้เทวดาไปไหนหมด ไม่เห็นมีสักตนสองตน หรือจะปล่อยให้พระตาย มาหวังเอาผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นหรือ ไม่ได้คิดถึงอรรถถึงธรรมที่กว้างขวางครอบโลกเหรอ’

ท่านนึกเฉย ๆ นะ ท่านนั่งรำพึงเพราะเหนื่อยมาก จากนั้นท่านก็เดินทางต่อไป ไม่นานนะ ห่างจากนี้ไปก็ประมาณสัก ๓๐ นาทีท่านว่า พอไปมีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาแล้วมานั่งจบอาหาร กำลังนั่งจบอยู่ อ้าว.. ดงนี้ก็เป็นดงป่าแท้ ๆ ไม่มีผู้มีคน ผู้ชายคนนี้มาจากไหนน้า ผิดสังเกตเอาเหลือเกิน ท่านก็เดินไปตามด่านนั้นแหละ เขานั่งจบอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ว่า ‘นิมนต์พระคุณเจ้าพักฉันจังหันที่นี่เสียก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป เขาก็บอกเลยว่าจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ’

เขาพูดบอกเลยนะ นี่โยมมาจากไหน มาจากโน้น ชี้ขึ้นฟ้านู่น ไม่บอกว่ามาจากบ้านใดเมืองใด มาจากนู้น ท่านก็สังเกตดูลักษณะท่าที ก็เหมือนคนเรานี่แหละไม่ได้ผิดกันเลย อะไรก็เหมือนกันหมด การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกันหมด ทีนี้เวลาเขาเอาของมาใส่บาตร ท่านก็ปลดบาตร ปลดอะไร ของอยู่ในบาตรท่านก็ปลดออก แล้วก็รับบาตรเขา พอรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็ให้พรเขา

คนเดียวเท่านั้นละ.. ผู้ชาย พอให้พรเสร็จแล้ว ถ้าคนอื่นพูดก็เป็นอย่างหนึ่ง นี่ท่านพูดเอง เป็นเรื่องแปลกประหลาด เรื่องอัศจรรย์ ท่านว่า พอให้พรเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็บอกว่า ‘จะลาละครับ’

เขาก็เดินไป มันมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ข้างนั้น เขาก็เดินไปข้าง ๆ พอไปยังต้นไม้นั้นแล้วหายเงียบไปเลย ท่านคอยมองดูจะเดินไปที่ไหนอีกก็ไม่เห็น ก็ต้นไม้ใหญ่ ๆ มันโล่งข้างล่าง มองไปมันก็เห็นหมด ท่านว่าไปลับต้นไม้ต้นเดียวแล้วหายเงียบเลย เอ๊.. ไปยังไงน้า มองที่ไหนก็ไม่เห็น ท่านเลยเดินตามไปดู ไปก็เห็นแต่ต้นไม้เปล่า ๆ คนนั้นก็หายเงียบเลย ท่านเลยกลับมาฉันจังหัน

แต่อาหารนี่มันแปลก ท่านว่ากลิ่นมันไม่ได้กลิ่นเหมือนอาหารธรรมดาเรา พูดไม่ถูก ท่านว่างั้น ฉันก็พอดีเลย พอดีเราอิ่ม อันนั้นก็พอดีหมด ทำไมมันจึงช่างเหมาะกันเหลือเกิน ท่านฉันแล้วก็มีกำลัง พักสักหน่อยท่านก็เดินทางต่อไป ได้รำพึงถึงเทวดานั้นยิ่งกว่าที่เขามาหาเราตอนกลางค่ำกลางคืน เพราะท่านเคยติดต่อเทศนาว่าการสอนเขาเป็นประจำ เพราะฉะนั้นถึงว่าซิ เวลาพระจะเป็นจะตายเทวดาไม่เห็นมามอง มามากต่อมาก นี่มาก็มาคนเดียว แล้วท่านก็มาถึงเมืองไทยวันนั้นแหละ แปลกอย่างนั้นละ..ฟังซิ บ้านคนไม่มี แต่อาหารมันแปลก กลิ่นไม่เหมือนอาหารเรา

ทีนี้อาหารก็เป็นอาหารคนเราธรรมดานะ ไม่ใช่เช่นอย่างอาหารเจแจอะไร..ไม่มี ก็อาหารพวกเนื้อพวกปลาธรรมดา มันก็แปลกอยู่ ท่านว่า จึงได้คิด เอ๊อ.. ความคิดความคาดนี่มันคิดไม่ได้นะ คาดไม่ได้นะ อย่างนี้จะเป็นอะไร จะให้เป็นคนธรรมดาเป็นไปไม่ได้ ท่านว่างั้น เพราะไม่ใช่บ้านผู้บ้านคน อาหารก็เหมือนกัน.. กลิ่นอาหาร โอชารสรู้สึกว่าซึ้งทุกอย่าง ฉันลงไปก็พอดีหมด พอดีอิ่ม นี่อันหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟัง

มาหลัง ๆ นี้คนยุ่งท่านตลอด พระเณรก็โกโรโกโส ทำให้เสียไปหมดนั่นแหละ พระแบบเปรต แบบผี แทรกอรรถแทรกธรรมนั่นซิ..มันมีอยู่ อยู่ด้วยกันคุยสนุกแหละกับท่านอาจารย์ชอบ เพราะคุ้นกันมาก...”

ลัก...ยิ้ม 14-08-2020 13:40

พระอรหันต์ ๔ ประเภท

“... พระอรหันต์ ๔ ประเภทตามที่ท่านแสดงไว้ในตำรา .. สุกขวิปัสสโก ผู้รู้แจ้งเห็นจริงอย่างเรียบราบ สงบไปเลย..เงียบ ๆ สงบร่มเย็นไปเลย ไม่ผาดไม่โผน ไม่โจนทะยานในกิริยาที่กิเลสขาดจากใจ ท่านเรียบหมดไปเลย

เตวิชโช ได้วิชชา ๓ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ จุตูปปาตญาณ เล็งดูสัตว์โลกที่เกิดที่ตายเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้ได้ อาสวักขยญาณ ก็จ้าอยู่ในหัวใจแล้ว

ฉฬภิญโญ นี่ประเภทที่สาม ได้อภิญญา ๖ เหาะเหิน เดินฟ้า ดำดิน บินบน หูทิพย์ ตาทิพย์ เนรมิตได้หลายอย่างหลายประการ คนเดียวตั้งเป็นพันเป็นหมื่นคนก็ได้

ประเภทที่สี่ จตุปฏิสัมภิทา ๔ แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ คือ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา


อัตถปฏิสัมภิทานี้ พูดมาเพียงย่อแต่ตีความหมายออกได้กระจ่างแจ้งไปหมด อัตถะ คือครอบเอาไว้ บวกไว้ ถ้าเป็นมัดก็มัดไว้ เขาเรียกกระทู้ แก้กระทู้คือว่าแก้มัด เช่นมัดเป็นกองอย่างนี้ พอแก้นี้ออกกระจายออกไป

ธัมมปฏิสัมภิทา ธรรมะแต่ละแขนง ๆ แตกออกอีก ๆ ที่แตกกระจายออกไปจากอรรถนี้เป็นธรรม ธรรมแตกกระจายออกไป

นิรุตติปฏิสัมภิทา แตกฉานในคำพูด วาจาการโต้การตอบ เทศนาว่าการ ไม่มีอัดมีอั้น ล้ำยุคล้ำสมัยไปตลอดเลย กระจายไปหมด แตกฉาน

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ยังแตกฉานครอบ ๓ อัตถะ ธัมมะ นิรุตติ ครอบไปอีก

พระอรหันต์ประเภทที่สี่นี้ ครอบหมดในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นประเภทที่เด่นมาก เยี่ยมในวาสนาของท่าน กิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ นี้เป็นเครื่องประดับท่านสวยงามไปหมด ชุ่มเย็นไปหมด กระจายออกให้โลกได้รับความชุ่มเย็นไปกว้างขวางมากมาย ...

ส่วนความบริสุทธิ์นั้นเสมอกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้าย เสมอภาคกันหมดเป็นอันเดียวกัน ... นี่คือพื้นฐานแห่งธรรมธาตุ ... ที่ต่างกันตามอำนาจวาสนาของผู้บำเพ็ญบารมีมา กว้าง แคบ ลึก ตื้น หนา บาง ต่างกันในวาสนาอันนี้ ตามนิสัยวาสนาที่สร้างมา ทำความปรารถนาต่างกัน ปรารถนาเป็นอรหันต์แล้ว เมื่อถึงขั้นเป็นอรหันต์แล้ว.. ขอให้มีอำนาจวาสนาหนักในทางนั้น ๆ เด่นในทางนั้น ๆ เวลาสำเร็จมาแล้วก็เป็นอย่างนั้น ...”

ลัก...ยิ้ม 14-08-2020 13:52

๑๐. เทศนาธรรมสงเคราะห์โลก

นับแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นต้นมา ภายหลังหมดสิ้นความสงสัยในธรรมทั้งปวงแล้ว องค์หลวงตาได้เมตตาสงเคราะห์โลก ด้วยการแสดงพระธรรมเทศนาแก่หมู่เพื่อนพระเณร นักปฏิบัติด้านจิตภาวนา ตลอดถึงฆราวาสญาติโยมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ตลอดจนสงเคราะห์ด้านวัตถุสิ่งของแก่โลก อย่างไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเลขได้


@@@@@@@@@@@@@@@@


องค์ท่านสอนคณะศิษย์อยู่เนือง ๆ ให้ทราบหลักการฟังธรรมที่ถูกต้องและอานิสงส์แห่งการฟังธรรม ดังนี้
“... การฟังเทศน์อบรมจิตใจ ให้ตั้งไว้ที่จิตของเรานี้ เรียกว่า สติเฝ้าบ้าน จิตนั่นแหละเป็นบ้าน เวลาท่านเทศน์ไปจะเห็นผลประจักษ์ ดังท่านแสดงไว้ในธรรมว่า การฟังเทศน์มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่าง


ข้อ ๑. ผู้ฟังจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง

ข้อ ๒. สิ่งใดที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจชัด จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดขึ้น

ข้อ ๓. จะบรรเทาความสงสัยเสียได้

ข้อ ๔. จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้

ข้อ ๕. เป็นข้อสำคัญ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่เกิดขึ้นจากขณะฟังเทศน์ จิตเมื่อไม่ส่งออกข้างนอกย่อมสงบ เมื่อสงบย่อมผ่องใส

นี่เป็นคุณสมบัติประจำผู้ที่ฟังเทศน์ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ผลจะปรากฏอย่างนั้น จิตสงบผ่องใสนี่สำคัญ ถ้าสงบแล้วก็ผ่องใส...”

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 00:05

เทศนาอบรมพระ

การเทศนาสอนโลกขององค์หลวงตา ท่านจะแสดงธรรมอบรมพระแยกจากฆราวาส เพราะพระและฆราวาสมีชีวิตความเป็นอยู่และความมุ่งมั่นต่างกัน เนื้อธรรมที่แสดงจึงต่างกันออกไป หากแสดงธรรมรวม ๆ กันแล้วผลย่อมไม่เต็มที่ องค์ท่านเคยเปรียบเหมือนกับการปรุงแกงหม้อใหญ่ให้คนจำนวนมากได้รับประทาน จะให้ถูกปากทุก ๆ คนย่อมเป็นไปไม่ได้ จากนั้นถ้ามีเวลาเหลือพอ องค์ท่านจึงจะแสดงธรรมเพื่อชนกลุ่มน้อยด้วย เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงกัน


*****************


“ธัมโม หเว รักขติ
ธัมมาจาริง
พระธรรมย่อมรักษา
ผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว”


*****************

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 00:11

สอนตนจริง สอนผู้อื่นก็จริง

ในอดีตช่วงเรียนหนังสือและออกปฏิบัติ การเทศนาว่าการของท่าน มีแต่การเทศน์สอนตนเองตลอดมา หากมีเทศน์บ้างก็เพราะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ดังนี้
“... พอออกปฏิบัติแล้ว ทีนี้มันก็เป็นมหาแล้วล่ะ การเทศนาว่าการก็ไม่ได้เป็นอารมณ์ ... ไม่เคยสนใจกับการเทศน์ให้ใครฟัง นอกจากเทศน์สอนเจ้าของอย่างเดียว แต่ก็หากมีที่จำเป็นจนได้นั่นแหละ บางทีไปก็ไปพักอยู่บ้านใดบ้านหนึ่ง เขามีงานในบ้านของเขา เขาต้องมานิมนต์เราไปเทศน์ เราบอกว่า ‘เทศน์ไม่เป็น’


เขาไม่ยอมเชื่อเลย เขาว่า ‘เป็นมหาแล้ว โอ๊ย.. อย่าว่าเลยว่าเทศน์ไม่เป็น’ เขาว่านะเนี่ย มหาก็ฆ่าตัวเองได้เหมือนกันนะ เขาไม่ยอมเชื่อเลย ‘ลงเป็นมหาแล้ว เทศน์ไม่เป็นไม่มี’ เขาว่าเลย.. อันนั้นก็ไปเทศน์

เวลาจำเป็นจริง ๆ หากมีเป็นบางแห่ง ๆ เพราะเราเที่ยวไปหลายแห่ง ไปบางทีก็มีงานในหมู่บ้านของเขา เขาก็นิมนต์เรามาเทศน์ มันก็จำเป็นต้องได้มา นาน ๆ ที นอกนั้นไม่เอาไหนละ.. ไม่เทศน์นะ เทศน์สอนใครไม่เทศน์เลยละ

จากเรียนมาเข้าด้านปฏิบัติแล้วยิ่งไม่สนใจเลย นอกจากจำเป็นอย่างที่ว่านี้ เราก็เทศน์ให้ฟังเสียบ้างเท่านั้น นอกนั้นไม่เอาเลย ๆ จากนั้นมามันก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนกับฝูง กับประชาชน ญาติโยม ก็ต้องได้เทศน์ไปเรื่อยละ... เรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 00:27

เทศน์สอนเรานี่มันยากนะ เทศน์สอนเรานี่มันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง มัดกันทุกแง่ทุกมุมจึงเรียกว่าสอนละซิ เทศน์สอนประชาชนเขาจะเก็บได้หนักเบามากน้อย มันก็เป็นกำลังของเขา แต่เทศน์สอนตัวเองนี้มันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ว่ายังไงต้องอย่างงั้นนะ บังคับเลยนะ เรียกว่าสอนตัวเอง บีบกันตลอดเลย นี่ละมันยากกว่าสอนประชาชนนะ...”

ครั้นเมื่อองค์ท่านสอนตนเอง บังคับตนเองจนเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว ต่อมามีพระเณรเข้ามาเกี่ยวข้องขออยู่ศึกษาด้วย ท่านก็ให้ความใส่ใจที่จะแนะนำสั่งสอนอย่างจริงจัง ดังนี้
“... ผมสอนจริง ๆ สอนหมู่สอนเพื่อน ขอให้เห็นใจ รับไว้แต่ละองค์ ๆ นี้ผมรับไว้จริง ๆ ด้วยเหตุด้วยผล สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มภูมิความสามารถที่จะสั่งสอนได้ การดูหมู่เพื่อนภายในวัดนี้ซึ่งเป็นเสมือนอวัยวะของผม ผมดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน.. ทุกอย่างเต็มสติกำลังความสามารถของผม ที่อื่น ๆ ผมไม่ได้สนใจ


ผมเคยพูดเสมอ พอออกนอกวัดไปแล้ว ใส่แว่นตาดำไปเลย ไม่สนใจเพราะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบแล้ว เราไม่ใช่ผู้ที่จะให้โอวาทสั่งสอนใคร ๆ นี่ เป็นเรื่องของเขา สมบัติของใครของเรา.. แต่นี้หมู่เพื่อนน้อมกาย วาจา ใจ เข้ามาเพื่อให้เราเป็นภาระ อาจริโย เม ภันเต โหหิ, อายัสมโต นิสสาย วัจฉามิ นี่ก็รับด้วย โอปายิกัง, ปฏิรูปัง, ปาสาทิเกน สัมปาเทหิ...

ท่านถึงได้ว่า พึ่งตัวเองยังไม่ได้ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งไปก่อน ๕ พรรษานั้น ท่านพูดไว้พอประมาณ ถ้า ๕ พรรษาล่วงแล้วยังเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องอยู่เพื่อศึกษาอบรมกับท่านผู้ดีกว่าตนต่อไป คิดดูซิ.. พระ ๖๐ พรรษาที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ ก็ยังต้องมาของนิสัยจากผู้ ๑๐ พรรษา.. แต่มีหลักจิตหลักธรรมวินัย ท่านบอกไว้แล้วในพระวินัย เพราะมันไม่สำคัญอยู่กับพรรษา แต่สำคัญที่ความทรงตัวได้หรือไม่ได้ สำคัญตรงนี้ต่างหาก ...”

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 11:28

ด้วยความรับผิดชอบและปรารถนาดีต่อพระเณรที่มาศึกษา จึงกลายเป็นความเข้มงวดกวดขันในข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ อย่างจริงจัง ดังนี้
“เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ กับพระ กับเณรนี้เด็ดจริง ๆ เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้นำมาพูดคือจริงจังทุกอย่าง หลักธรรมหลักวินัยเคลื่อนไม่ได้ แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น นี่..ที่เขาร่ำลือว่าอาจารย์มหาบัวดุ ๆ คือเขาเห็นแต่เผิน ๆ คือเข้มงวดกวดขันข้อปฏิบัติ แต่ก่อนไม่ค่อยมีประชาชนญาติโยมเข้าไปเกี่ยวข้อง มีแต่พระเณรล้วน ๆ มันก็เข้มงวดกวดขันกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย..ใช่ไหมล่ะ ?


พวกญาติโยมมา ควรว่าบ้างก็ว่าบ้างเล็กน้อย ดุบ้างอะไรบ้างอย่างนี้ละ ใครก็ร่ำลือว่าอาจารย์มหาบัวดุ ๆ เดี๋ยวนี้เขาลบลายหมดแล้ว ไม่มีเหลือละคำว่าดุ ๆ แล้วดุเท่าไรยิ่งคลานเข้ามา พวกบ้าไม่รู้จักดุ”

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 11:41

หยุดเทศน์ยาวด้วยโรคหัวใจ

องค์ท่านกล่าวถึงวันที่เริ่มต้นเป็นโรคหัวใจ จนต้องยุติการแสดงธรรมนานหลายปี ดังนี้
“... ระยะ ๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ เทศน์กรรมฐานล้วน ๆ พวกพระจะได้ฟังเทศน์เรา กัณฑ์มีตั้งแต่นั้นละ ฟังไม่มีใครมายุ่ง มีแต่เทศน์สอนพระร้อยเปอร์เซ็นต์พุ่ง ๆ เทศน์แต่สมาธิ – ปัญญา อย่างเดียวมันคล่องตัว.. พุ่ง


จากนั้นมาปี ๒๕๐๖ ทรุดใหญ่ โรคหัวใจกำเริบ จากนั้นมาเรื่องก็ไม่เป็นท่า ตะเกียกตะกายเทศน์ หยุดมา ๓ หรือ ๔ ปี.. ไม่เทศน์เลย แม้แต่แขกก็รับไม่ได้นะ อย่าว่าแต่ไม่เทศน์เลย รับแขกก็รับไม่ได้

เริ่มเป็นวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๐๖ เป็นตอนกำลังเทศน์ในงานเผาศพท่านอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เจ้าอาวาสวัดดอยธรรมเจดีย์ วันนั้นคนเป็นหมื่น ๆ พระเป็นพัน ๆ

คือตามธรรมดา ๆ เทศน์ธรรมดา ๆ มันก็ไม่เร็วน่ะ เป็นธรรมดาไป ถ้าเทศน์ทั่ว ๆ ไปนี้มันก็เป็นธรรมดาทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยเร่งไม่ค่อยเร็วล่ะ...

เราก็เทศน์มุ่งไปทางพระเรามาก เพราะฉะนั้น มันถึงเผ็ดร้อน ธรรมะมันก็ผึง ๆ ๆ เลย... พอเทศน์ถึงขั้นสมาธิ .. เรื่องสมาธิเรื่องปัญญานี้เร็ว เริ่มต้นสมาธิก็เริ่มเร็วขึ้น แล้ว.. ขั้นของสมาธิกี่ขั้นกี่ภูมิไปตามความละเอียดของสมาธิ ก็เร็วไปเรื่อย ๆ และยิ่งเข้าขั้นปัญญาและปัญญาอัตโนมัติด้วยแล้วยิ่งไปใหญ่เลย.. หมุนติ้ว ๆ เวลามันเป็นอย่างนั้นมันหมุนสิ นี่เราไม่เคยเป็น.. มันอะไรพูดไม่ถูกนะ เหมือนกับเราจะสลบบนธรรมมาสน์ กึ๊กเดียวเลย กึ๊กเดียวเท่านั้น โห.. เราก็ไม่เคยเป็น หยุดกึ๊กเลยเชียว ‘ทำไมเป็นอย่างนี้’

แต่สติรู้ตลอดเวลาจนกระทั่งรู้สึก รู้สึกชัดเจนว่า
‘อ๋อ ! นี่แหละ ที่เขาเรียกว่าเป็นโรคหัวใจ เป็นอย่างนี้ อย่างนี้เอง’


คือมันตัวสั่นหมด.. มันจะสลบในเวลานั้น เลยหยุด ถ้าธรรมดาแล้ว..ดีไม่ดี..ตาย แต่นี้มันก็ไม่เป็นไร จิตใจไม่มีอะไร มันเป็นอะไรก็ดูตามธาตุขันธ์ พอมันค่อยคลี่คลายออกมา ๆ นี้ .. พอค่อยเบาเรื่องภายในนี่แล้วออกมาทางส่วนร่างกายนี้ ตัวมันสั่นหมด เอวังก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี พอลงจากธรรมมาสน์ได้ก็ลงจากธรรมมาสน์เลย กราบมับ ๆ หนีเลย คนก็มืดแปดทิศแปดด้านเลย ไม่ทราบว่าเราลงธรรมมาสน์เมื่อใด เราไม่ได้เกี่ยกับใครนี่ ลงธรรมมาสน์แล้วไปเลย คนจะตาย จะอยู่ได้ยังไง

ตั้งแต่บัดนั้นมาก็รู้ว่า ‘อ๋อ ! โรคหัวใจมันเป็นอย่างนี้ ๆ รู้มาโดยลำดับ ๆ’ ...

นั่นละ..เทศน์กำลังเร่งเต็มเหนี่ยว ๆ หยุดกึ๊กเลย โรคหัวใจมันกระตุกเอาอย่างแรง ขั้นจะสลบไสล ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้เทศน์เลย หยุดเลยต้อนรับแขกคน พูดอะไรกับใครไม่ได้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๑๒ มา เล่นกับแขกคนอะไรไม่ได้เลย...

จากนั้นปี ๒๕๑๔ – ๒๕๑๕ เริ่มพูดได้บ้างเล็กน้อย ทั้งพูดทั้งระวัง แล้วปี ๒๕๑๘ – ๒๕๑๙ เริ่มเทศน์สอนคุณเพาพงา (ป่วยเป็นมะเร็ง ขอมาปฏิบัติธรรมเตรียมตัวตาย ที่วัดป่าบ้านตาด) ... เทศน์ไม่ได้มากก็เริ่มเทศน์ เทศน์ได้พอธรรมดา ๆ เร่งไม่ได้ มันกระเทือน ต่อมามันก็กำเริบอีกในปี ๒๕๒๘ – ๒๕๒๙ ก็รุนแรงเหมือนกัน หมอเขาห้ามรับแขก จึงหลบหนีไปอยู่ทางพัทยา ... ในสวนลึก ๆ อันนั้นก็บังคับเลย เรียกว่าไม่รับแขกทั้งนั้น คนมาจังหันมากเรื่องมาก ทางกรุงเทพฯ ก็ไป ทางที่ไหนสามย่าน ตอนเช้าเต็มไปทุกวัน ๆ นั่นแหละ

แต่เรามีข้อบังคับเอาไว้ เราจะรับได้เฉพาะตอนเช้านี้ เพราะไม่ใช่เป็นเวลาพูดเทศนาว่าการ พอขบฉันเสร็จแล้วให้เลิกไปเลย ทำอย่างนั้นนานนะ ทีละอาทิตย์กว่า ๆ เกือบสองอาทิตย์ก็มี ไปพักสองหนสามหน .. จากนั้นค่อยเบามาเรื่อย ๆ แล้วค่อยเทศน์ มาทุกวันนี้เบาโรคหัวใจแทบไม่มี..ถ้าธรรมดานะ แต่ธาตุขันธ์นี้มันก็บวกกันเข้า มันก็อ่อนด้วยธาตุด้วยขันธ์
‘เทศน์ทุกวันนี้ก็เทศน์ไปอย่างนั้น ถ้าเทศน์รุนแรงก็ไม่ได้ มันไปกระเทือนตรงนั้น ให้หายมันไม่หาย เป็นแต่เพียงมันสงบเท่านั้นเอง’ ...”

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 11:55

ธาตุขันธ์... เครื่องมือธรรม

ความสะดวกในธาตุขันธ์เป็นสิ่งสำคัญต่อการเทศน์ ดังที่องค์ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
“... เทศน์ของเราเวลาหนุ่มนี้ .. ไหลเลย.. เวลาอัดเทปนี้... กำลังเร่ง ๆ พอดีลมหายใจหมด เนื้อธรรมยังไม่หมด เลยต้องรีบสูดลมหายใจดังฟิ้ว ฟิ้ว เลยนะ เสียงมันติดอยู่ในเทปนะ ถึงขนาดนั้นนะ เดี๋ยวนี้ โอ๊ย.. ตายเลย.. นี่ละมันต่างกันนะ ธาตุขันธ์มันเป็นยังงั้นจริง ๆ นี่..เทศน์แต่ก่อน มันไหลออกมา


ยิ่งเทศน์ธรรมะขั้นสูงเท่าไรยิ่งฟังจนแทบไม่ทัน มันเป็นจริง ๆ นะ มันพุ่ง..พุ่งเลย เพราะธรรมะออกจากนี้ล้วน ๆ..ล้วน ๆ ไม่ได้ไปคว้าคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ ออกจากนี้.. ธรรมะสูงเท่าไรมันยิ่งเด็ด ๆ ๆ ยิ่งเร็วมันยิ่งพุ่ง เทศน์นี้เร่งจนกระทั่งถึงว่าเป็นปืนกลไปเลย... นี่ละเวลายังหนุ่มน้อย

แต่มันก็เป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน พอจากนั้นมาแล้วเป็นโรคหัวใจ ตั้งแต่ ๒๕๐๖ มาเลย นั่นละ..ล้มไปเลย เทศน์นี้หยุดหมด จนกระทั่ง ๒๕๑๒ – ๑๓ พอพูดได้บ้างเล็กน้อย จาก ๒๕๐๖ ไปถึง ๒๕๑๑ – ๑๒ นี้ไม่ได้พูดเลย แม้แต่ต้อนรับแขกก็ไม่เอา หลบหลีกปลีกตัวไปหาอยู่ในป่าในรกไป ซุ่ม ๆ ซ่อน ๆ รับแขกไม่ได้

พอ ๒๕๑๓ –๑๔ ไปแล้ว ก็มีเทศน์บ้างเล็กน้อย จนกระทั่งถึง ๒๕๒๐ ... ที่ลงหนังสือเล่มธรรมชุดเตรียมพร้อมและหนังสือศาสนาอยู่ที่ไหน.. ที่ออกมาเนี่ย เทศน์สอน ... ตั้งเกือบร้อยกัณฑ์ เทศน์สอนทุกวัน .. นั่นละเริ่มเทศนาละ ถึงไม่เข้มข้นก็ตาม ก็เรียกว่าเริ่มเทศน์ละ จากนั้นมาก็ค่อยไปเรื่อย ๆ หากอยู่ในเกณฑ์ระวังโรคหัวใจนี้อยู่ตลอด มันจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่จะเทศน์เด็ด ๆ เผ็ด ๆ ร้อน ๆ เหมือนแต่ก่อน โอ๋.. ไม่ได้ ว่างั้นเลย จึงต้องลดลง นี่ก็เรียกว่าเป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน

หากว่าร่างกายนี้มันพร้อมมาตลอดแล้ว การเทศน์นี้รู้สึกว่าจะกว้างขวางมาก เพราะเทศน์ไม่มีหยุดนี่นะ ที่หยุดก็หยุดเพราะโรคต่างหาก โรคบีบบังคับ หยุดไปสักพักหนึ่ง ถึงมาเริ่มออก ... เทศน์แต่ก่อน จริง ๆ พูดได้จริง ๆ เพราะเราเทศน์อย่างนั้นจริง ๆ มันเป็นในนิสัยจิตใจของเราเองนี่ เทศน์ออกมานี้ ไม่ได้บีบไม่ได้บังคับ มันหากเป็นของมันเอง ยิ่งเทศน์ภาคปฏิบัติด้วยแล้ว มันยิ่งไหลเลยนะ คล่องที่สุดเลย พุ่ง..พุ่ง..พุ่งเลย...”

นอกจากโรคหัวใจจะเป็นเหตุให้ท่านหยุดเทศน์แล้ว ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ที่ไม่อาจเทศน์อบรมพระได้ เนื่องจากมีเสียงรบกวนจากเครื่องบินไอพ่น ที่บินขึ้นลงสนามบินทหารในจังหวัดอุดรธานีอยู่ตลอด

หากกล่าวถึงระดับความรุนแรงโรคภัยไข้เจ็บประจำองค์ท่าน ในช่วงอดีตที่ผ่านมา ความหนักหน่วงมิได้มีผลต่อการเทศนาว่าการเท่านั้น ยังกระทบอย่างรุนแรงต่อธาตุขันธ์ร่างกายขององค์ท่าน .. ชนิดคณะแพทย์ศิริราชต้องตื่นตระหนกอีกด้วย แต่เพราะ “ใจ” และ “ธรรมโอสถ” ของท่านสามารถผ่อนหนักเป็นเบาลงได้ ดังนี้
“... เรื่องใจสำคัญนะ เรายกตัวอย่างพวกหมอศิริราช เขาตั้งหน้าตั้งตามานิมนต์เราไปค้างที่ศิริราชสักคืนหนึ่ง ให้ไปค้างที่นั่นเลย แล้วเขาเอาเครื่องอะไรพะรุงพะรังมาให้เราแบก เอาเครื่องมาวัดไว้เพื่อจะได้ดูชัดเจน พอปลดออกมาเขาดู ทีนี้ตอนหลังมาเขาปลดอันนั้นออกมา เขาว่านี่ ‘โอ้โห’ หมอคนไหนก็ ‘โอ้โห ๆ’ ทั้งนั้น ‘แล้วเป็นยังไง ?’


เขาว่า ‘ถึงแค่นี้ตายไปแล้ว นี้มันเลยไปอีกนู้น.. ท่านยังเฉยอยู่ ลงขนาดนี้แล้วมันตายไปห้าทวีปแล้ว นี่ท่านอยู่ได้ยังไง เห็นท่านเฉยธรรมดา ท่านอยู่ได้ยังไง’

นี่ก็คงกำลังใจ..ใช่ไหมล่ะ กำลังธรรมกำลังใจ เราไม่มีอะไรกับใคร พวกหมอ โอ๊ย.. ตกใจ..ตกใจกันทั้งนั้น พอออกมาดูแล้ว ก็อย่านั้นละ..กำลังใจ ก็เราไม่มีอะไร เราพูดจริง ๆ เรื่องกำลังใจ กำลังธรรม เป็นอันเดียวกันแล้ว มันจึงไม่มีสะทกสะท้านหวั่นไหวกับอะไรในสามโลกธาตุ

เราพูดจริง ๆ ให้สมชื่อสมนามว่า เราสอนลูกศิษย์นี้สอนจริง ๆ หรือสอนหลอกลวงท่านทั้งหลาย เราเป็นอยู่นี่..คิดดูซิ.. หมอเขาเอามาตรวจกลางคืน ให้เราไปค้างคืนที่ศิริราช โถ.. เนี่ย ๆ เขาว่างั้นนะ พวกหมอเขานั้นแหละ เขาว่าเนี่ย..มันตายตั้งแต่ขั้นนี้แล้ว นี่ท่านยังไปอยู่โน้น เดี๋ยวนี้น่ะไปอยู่โน้น ท่านอยู่ได้ยังไงว่างั้น พวกบ้า..เราอยากว่างี้

‘ก็อยู่ได้ด้วยธรรมละซิ พวกไม่มีธรรม มันเป็นบ้า มันตื่นกัน อย่างนั้นละ’ จบแล้ว...”

ลัก...ยิ้ม 15-08-2020 23:33

สัญญา ... ไม่เที่ยง

นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นต้นมา องค์ท่านได้งดเทศน์อบรมพระเณรในวัด ส่วนการนิมนต์ไปเทศน์ข้างนอกนั้นท่านงดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ท่านเคยกล่าวไว้ ดังนี้
“... ไปเทศน์ที่นู่นก็เทศน์ลำบากมาก ไปก็ไม่ได้พักทั้งวัน .. เหนื่อย แล้วความจำ.. เทศน์ไปก็หลง อ้าว ไปถึงไหนแล้วล่ะ ว่าอย่างนี้แล้ว อยู่บนธรรมมาสน์นั่น ลืมแล้ว ไม่ทราบเทศน์เรื่องอะไรมา เอ้า.. ตั้งใหม่ ๆ อย่างงั้นนะ..เดี๋ยวนี้ความจำไม่เป็นท่า มันไม่เอาไหนแล้วความจำ


ขันธ์ ๕ เป็นทั้งเครื่องมือของกิเลสด้วย เป็นทั้งเครื่องมือของธรรมด้วย เวลากิเลสเป็นเจ้าของมันก็เอาเป็นเครื่องมือ สนุกฟัดเหวี่ยงกัน ทีนี้มาเป็นเครื่องมือของธรรม ธรรมก็นำมาใช้ซิ ก็ใช้ขันธ์อันเดียวกันนี้ เป็นแต่เพียงว่าธรรมท่านไม่ยึดเท่านั้นเอง กิเลสมันยึดเป็นของมัน ขันธ์ ๕ ทั้งหมดเป็นของกิเลสทั้งหมด

กิเลสยึดแต่ธรรมท่านไม่ยึด.. ใช้เป็นเครื่องมือเฉย ๆ ต่างกันเท่านั้นเอง แต่ต้องเอาขันธ์ ๕ เทศน์ มันชำรุดตรงไหนก็ไม่สะดวกตรงนั้นแหละ อย่างเช่นความจำนี้ เทศน์ไป ๆ มันหลงลืมไป.. แล้วจะเอาอะไรมาเทศน์ต่อกันไป

เมื่อเงื่อนต้นหลงลืมไปแล้วจะต่อไปหาเงื่อนปลายยังไงได้ จำไม่ได้ก็ตั้งใหม่ มันก็เป็นแบบใหม่ไปอีก .. เทศน์ที่ไหน ๆ เขานิมนต์ไปที่ไหนไม่เอาแล้ว เทศน์ลำบาก.. ..เหนื่อย ทั้งความจดจำก็ยิ่งเลวลงทุกวัน ๆ ...”

อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ แม้จะชราภาพเพียงใด องค์ท่านก็ต้องยอมฝืนสังขารอีกครั้ง เดินทางไปเทศน์นอกสถานที่เกือบทั่วประเทศ เพราะความรักชาติบ้านเมือง และความเมตตาสงสารพี่น้องชาวไทยนั่นเอง หลังจากนั้นไม่นาน เทศนาของท่านก็เผยแพร่กระจายออกไปทั่วโลกส่งผ่านด้วยระบบอินเทอร์เน็ต เริ่มจากถอดคำเทศน์เป็นตัวหนังสือ ต่อมาเป็นเสียงเทศน์และวีดีโอเทศน์ ลำดับสุดท้ายเป็นการถ่ายทอดสดทั้งในวัดป่าบ้านตาด และทุกสถานที่ที่องค์หลวงตาแสดงธรรม ดังนี้
“ไปเทศน์ที่ไหนออกทั่วโลก ๆ ตลอดเลย มันก็มีขบขันที่พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง เรานี่เทศน์สอนโลกตั้งแต่โน้นแหละ มาตั้งแต่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์มาแล้วนั้น ... เทศน์มาโดยตลอด เบื้องต้นก็เทศน์สอนพระอยู่ในป่าในเขา จากนั้นพระก็มากขึ้น ๆ ประชาชนก็เกี่ยวข้องมากขึ้น”


ช่วงปลายชีวิตขององค์หลวงตา ราวต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๒ องค์ท่านเมตตากล่าวว่า “เทศน์ก็ลดลง ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้ยังเหลือแต่สูหนี่ อย่างอื่นไม่มี เหลือแต่สูหนี่

ลัก...ยิ้ม 16-08-2020 00:02

นิทาน “สูหนี่”

“... หลวงตาจะเล่านิทานให้ฟัง พ่อเฒ่า เรียกว่าพ่อตา ลูกเขย ลูกสาว เข้าใจไหมล่ะ พ่อตา ตื่นแต่เช้าก็ไปเผาสวนเผาไร่ที่มันเศษมันเหลือ เผาส่วนใหญ่ยังไม่เสร็จ ตอนเช้าตื่นแต่เช้าก็ไปเผาไร่เผาสวน ที่มันยังเศษยังเหลือ ยังเผาไม่หมด ไปแต่เช้าเลย ก็คิดว่าลูกสาวเขาจะไปตามหลัง

เผาสวนตั้งแต่เช้าจนสาย มันก็หิวละซิ.. ไม่ได้กินข้าว จนกระทั่งสาย ๆ หิวข้าว หิวจัด หิวมากทีเดียว จนตะวันเที่ยง ลูกเขยกับลูกสาวจึงหาบกล่องข้าว ต้อนแต้น ๆ ไป..เข้าใจบ่

มันก็โมโหซิ คนกำลังหิวข้าวหลาย ๆ สิว่าจังได๋มันก็เกินไป.. จะว่าอะไรมันก็จะเกินไป พอเห็นลูกสาวกับลูกเขยหาบกล่องข้าวต้อนแต้น ๆ ไปนั่นละ ไปเห็นหน้าเขาก็ ‘สูหนี่’ (พวกเธอนี่หนา)

มีแต่ ‘สูหนี่’ ถ้าจะว่าอะไรมันก็จะเลยเถิด ก็มีแต่ ‘สูหนี่ ๆ’ เข้าใจไหม เลยพูดอะไรไม่ได้ มันจะเลยเถิดเพราะความโกรธ ความเคียดแค้นมันเต็มหัวใจ .. จะว่าอะไรมันจะเลยเถิด เลยบังคับเครื่องเอาไว้ออกได้แต่เพียงว่า ‘สูหนี่ ๆ’ ความหมาย.. ทำไมมาสายนัก กูหิวข้าวกำลังจะตาย..สูรู้ไหม ความหมายว่างั้นแหละ

แต่นี่พูดอะไรไม่ออก ก็พูดได้แต่เพียงว่า ‘สูหนี่ ๆ’ เข้าใจไหมล่ะ นี่เทศน์กัณฑ์หนึ่งแล้ว เทศน์ ‘สูหนี่ ๆ’ อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เรานั่งอยู่ในร่ม พวกนี้ตากแดด.. มันร้อนจะตาย แทนที่ทางนั้นจะว่าเรา ‘สูหนี่’ ไม่ว่า ‘สูหนี่ไม่ร้อนเหรอ สูหนี่ ม่ร้อนเหรอ’ เขาน่าจะโมโหว่าให้เรา เขานั่งตากแดดว่าสูหนี่.. เขาไม่กล้า ตกลงเราเลยต้องว่าเสียเอง ว่าพวกนี้นั่งตากแดดมันจะเป็นจะตาย เลย ‘สูหนี่ไม่ร้อนเหรอ’ เข้าใจเหรอ

พูดนิทานย่อ ๆ ให้ฟังเสียก่อน พูดกันอย่างนี้ละ นิทานเอาย่อมา ๆ เรื่อยมา...”

ลัก...ยิ้ม 17-08-2020 00:25

น้ำธรรมไหลพุ่ง

ด้วยการสอนที่จริงจัง บางครั้งทำให้ผู้มาใหม่เข้าใจว่าองค์ท่านดุด่า ในเรื่องนี้องค์ท่านเมตตากล่าวถึงสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่นไว้ ดังนี้
“... พอไปถึงหลวงปู่มั่น มันหาที่ค้านไม่ได้.. อยู่นานเข้า ๆ มันรู้ เวลาท่านดุด่าพระเณร ดุใครก็ตามนะ ดุมากดุน้อย ธรรมะจะออกล้วน ๆ ๆ มากน้อย เด็ดเท่าไร.. ธรรมะยิ่งพุ่ง ๆ ก็หาที่ต้องติว่าเป็นตัณหาประเภทใดไม่ได้ เด็ดเท่าใดธรรมะยิ่งออกพุ่ง ๆ แล้วเราก็ปรับตัวของเราตลอดเวลา ปรับตัวของเราอยู่เรื่อย ๆ จึงค่อยเข้ากันได้ เข้าใจเรื่องของท่าน


สุดท้ายถ้าท่านไม่อยู่มันเหมือนกับขาดอะไร ถ้าเป็นอาหารก็ขาดอะไรยังงั้นนะ มันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าได้ยินเสียงเปรี้ยง.. ดังเปรี้ยงปร้าง เอาละซิ ถ้าเป็นฝนก็ฟ้าร้องแล้วเตรียมหาอะไรมารองรับ

อันนี้เด็ดเท่าไร ธรรมยิ่งไหลออกมาเลย มันก็ยิ่งอบอุ่นนะ ท่านดุยังงี้มันไม่ใช่ดุ เลยย้อนหลังกลับมา มันมีแต่กำลังของธรรมล้วน ๆ ไม่ใช่ท่านดุนะ มันก็จับได้เลย

คือกิริยาท่านแสดงเอาขันธ์นี้ใช้ ขันธ์นี้เป็นเครื่องมือของกิเลสมาดั้งเดิม พอกิเลสมุดมอดไปหมดแล้ว ธรรมก็เอาขันธ์นี้เป็นเครื่องมือ กิริยาท่าทางขึงขังตึงตังจึงเป็นเหมือนกับกิเลส เพราะมันมีเครื่องมืออันเดียวกัน แต่อันนี้มันเป็นพลังของธรรม เด็ดเท่าไร.. ยิ่งมีแต่เรื่องของธรรมล้วน ๆ ออกมา กิริยาคล้ายคลึงกัน

เมื่อมันรู้แล้ว มันก็ยอมรับน่ะซิว่า.. อ๋อ เราก็เลยเทียบได้เลยว่า เหมือนกับถังน้ำ ๒ ถึงนี้ ถังนี้เต็มไปด้วยน้ำที่สกปรก.. น้ำเต็มแต่สกปรกทั้งถัง ถังนี้น้ำสะอาดเต็มที่ มาเปิดน้ำทั้ง ๒ ถังนี้ออกดูสิ ทีนี้เวลาเปิดแรงเท่าไร สมมุติเราเปิดถึงสกปรกก่อนนะ เราเปิดน้อยออกน้อย เปิดมากออกมาก เปิดเท่าไรมันก็พุ่ง ๆ ออกไปเท่าไร.. มันก็มีแต่น้ำสกปรก กว้างขวางขนาดไหนมีแต่สกปรก เลอะเทอะไปหมดเลย

ทีนี้เปิดถังน้ำที่สะอาด เปิดขนาดไหนเปิดเต็มที่มันก็ออกเต็มที่เหมือนกัน แต่เป็นน้ำที่สะอาดทั้งหมดนะ แน่ะ มันต่างกันต่างกันอย่างงั้นนะ...”

และด้วยความจริงจังดังกล่าว จึงเป็นที่ร่ำลือและกลัวเกรงแก่บรรดาพระเณร โดยเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาและประชาชน ดังนี้
“... อันนี้ก็นึกถึงท่านอาจารย์ฝั้น พวกหมู พวกชายปั๋ม (ม.ร.ว.ทองศิริ ทองแถมและคณะ) ไปโน้นละ (ไปกราบหลวงปู่ฝั้น) ไม่ค่อยมานี้ เราก็ไม่เคยสนใจกับใคร เข้าใจไหมล่ะ เรื่องนี้ไม่เคยสนใจกับใคร เข้มงวดกวดขันแต่พระเณรที่อยู่นี้ เคลื่อนไม่ได้นะ คนข้างนอกไม่ค่อยเข้ามาแหละ มีแต่พระปฏิบัติต่อกันล้วน ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกกระเบียดเลยไม่ได้คลาดเคลื่อน ข้อวัตรปฏิบัติ หลักธรรมวินัยแน่นปึ๋งตลอดเลยอยู่อย่างนั้น


องค์ไหนเคลื่อนคลาดยังไงไล่เบี้ยกันเลย ทีนี้ก็ร่ำลือไปข้างนอกว่าหลวงตาบัวนี้ดุมาก ใครเขาก็ไม่ค่อยมา เราก็ไม่เคยสนใจว่าจะให้ใครมาหาเรา เพราะปฏิบัตินิสัยเราก็เป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิม ตั้งแต่ออกปฏิบัติไม่มีใครมายุ่งกับเราได้เลย...

แต่ทุกวันนี้ (ระยะโครงการช่วยชาติปี ๒๕๔๑ เป็นต้นมา) เหมือนหูหนวกตาบอดนะ ถ้าเทียบกับแต่ก่อน โอ๊ย.. เข้ากันไม่ได้เลยภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้น เขาถึงได้ร่ำลือกันนักหนาว่า ‘อาจารย์มหาบัว โอ๋ย.. ท่านดุมาก’

แต่ก่อนยังหนุ่มเขาก็เรียกว่าอาจารย์มหาบัว ใครไม่อยากมาล่ะ...”

ลัก...ยิ้ม 17-08-2020 00:45

เตือน... ฟังธรรมอย่าคาดอย่าหมาย

องค์หลวงตากล่าวเตือนผู้ฟังธรรมให้ระวังการคาดการหมาย นึกน้อมเอาจิตของตนไปเป็นอย่างนั้นทั้งที่ไม่จริง ดังนี้
“... นี่พูดอย่างนี้ ก็ไม่อยากจะพูด คือเกี่ยวกับผู้มาอบรมศึกษา เวลาเข้าไปแล้ว.. พอถึงธรรมขั้นละเอียดแล้วมักจะหมายนะ คือมักจะหมายมักจะคาด ครูบาอาจารย์พูดอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วนึกน้อมเอาจิตของตัวเองไปเป็นอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่มันไม่จริง แล้วก็เป็นความผิดของผู้นั้นจึงต้องระวังเหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่อธิบายไว้บ้างพวกนี้ก็ไม่เข้าใจ เวลาไปถึงจุดใดจุดหนึ่งเข้าไปก็จะได้ยึดเอาอันนี้มาเป็นหลัก


‘อ๋อ ท่านว่าอย่างนั้นนะ มันก็มีทางที่จะพิจารณาไปอีกได้ ถ้าบอกอย่างนี้แล้ว ผู้ที่เป็นเถรตรงนั้น สติปัญญาไม่ค่อยรอบนัก ถึงว่าจะเป็นขั้นนั้นก็ตาม.. ก็ยังขึ้นอยู่กับนิสัยอีกเหมือนกัน มันจะคล่องแคล่วแกล้วกล้าต่างกัน อืดอาดต่างกัน ถึงมหาสติปัญญาเหมือนกันก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบเดียวกันหมด อาจจะไปน้อมนึกเอาอันนั้นมาเป็นของตัวเสียบ้าง เข้าใจว่าตัวเป็นอย่างนั้นเสียบ้างแล้วก็นอนใจ แน่ะ.. ลำบาก

ท่านอาจารย์มั่นรู้สึกว่าท่านฉลาดมาก พออธิบายถึงจุดนี้ท่านเว้นเสีย ปั๊บ.. ไปเอาข้างหน้าอธิบาย พอไปถึงจุดนั้นท่านเว้น ปั๊บ ๆ ท่านไม่เข้าจุดนั้นเลยคือกลัว ทำไมท่านถึงไม่เข้า ‘เราจึงมาทราบทีหลังว่า ที่ท่านไม่เข้าเพราะกลัวจะไปเกิดสัญญา.. ความสำคัญมั่นหมายขึ้นมาในวงปฏิบัติ’

อย่าไปคาดอดีต อนาคต ยิ่งกว่าปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัจธรรม.. ให้พิจารณาลงตรงนั้น

ท่านพูดอะไรก็ตามในวงปฏิบัติโดยเฉพาะแล้ว อย่าไปคาดเป็นอันขาด.. ผิด เอ้า.. รู้ขึ้นมาจากไหนก็ให้เป็นเรื่องของเราเป็นอย่างนี้ เรื่องของท่านเป็นอย่างนั้น เรื่องของเราเป็นอย่างนี้ ให้เป็นเครื่องยืนยันกันอย่างนี้ เราจะไปน้อมของเรา.. อยากให้เป็นเหมือนท่านอะไรอย่างนี้ไม่ได้.. ผิด เช่นว่าสมาธิ รวมอย่างสนิทเป็นอย่างนี้นะ แล้วก็น้อมจิตให้มันสนิททั้ง ๆ ที่มันไม่สนิทก็ผิด มันเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นตามหลักนิสัยของตัวเอง.. ให้รู้ด้วยตัวเอง เป็นสมบัติของตัวเอง สมบัติของเราเป็นอย่างนี้ สมบัติของเขาเป็นอย่างนั้น สมบัติของตัวเองเป็นอย่างนี้.. ให้รู้ชัด ๆ ว่านี้เป็นของตัว ๆ นั้นละถูกต้อง ให้ระวังกันที่เตือนนั้น

มันหากไปยึดได้ ยึดจนได้นั้นแหละ จึงต้องได้เตือนไว้เสมอ ระวัง.. จิตจะเข้าถึงขั้นละเอียดมันยึดแบบละเอียดนั่นแหละ เราไม่ทันมันเสีย นี่ละที่สอนหมู่เพื่อนถึงเรื่องสติปัญญา ก็สอนเพื่อธรรมขั้นนี้เป็นสำคัญ สติปัญญาจึงต้องประมวลมาตั้งแต่บัดนี้เรื่อยมา เริ่มฝึกสติปัญญาเมื่อเข้าตาจนแล้ว.. จะได้มีทางออกได้ด้วยสติปัญญา เพียงหยาบ ๆ สติปัญญาก็ไม่มีใช้แล้ว จะทำยังไงเมื่อเข้าถึงธรรมอันละเอียดก็ตายอยู่อย่างนั้นซิ.. ไปไม่ได้ ที่ดุด่าว่ากล่าวหมู่เพื่อนก็เพราะอย่างนี้เอง พอมองไปดู เปิดนี้ไว้แล้ว พูดออกมาคำหนึ่งสองคำก็เปิดนี้ไว้แล้ว แสดงให้เห็นความโง่ความฉลาดอยู่ในตัว...”

ลัก...ยิ้ม 17-08-2020 12:22

การปกครองพระเณรวัดป่าบ้านตาด

องค์หลวงตาวางข้อวัตรปฏิบัติของวัดป่าบ้านตาดไว้ ดังนี้
“... วัดป่าบ้านตาดนี้ตั้งแต่สร้างวัดมา แต่ก่อนไม่รับพระมาก.. เราสงวนสถานที่และการภาวนาสำหรับพระ จึงไม่รับพระมาก ซึ่งแต่ก่อนก็มีครูบาอาจารย์หลายองค์ ครูบาอาจารย์ท่านยังไม่ร่วงโรยไป พระก็แตกกระจัดกระจายไปอยู่ที่ครูบาอาจารย์องค์นั้นบ้าง องค์นี้บ้างหลายองค์ ในวัดเราก็ผ่อนผันสั้นยาวได้ หรือจะเคร่งกว่านั้นก็ได้ เช่น ในวัดเราอย่างมากไม่ให้เลย ๑๘ องค์ แค่นั้น ๆ นะ ...


เราก็ไม่เคยสนใจกับการก่อการสร้างอะไรทั้งนั้น สร้างเฉพาะที่จำเป็น ที่อยู่กุฏิก็เป็นร้านเล็ก ๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำโก้ ๆ ไว้ ๒ – ๓ หลังนี้.. อวดแขก นอกนั้นมีแต่กระต๊อบเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

สำหรับวัดนี้ เราให้เป็นวัดภาวนาล้วน ๆ คงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยข้อวัตรปฏิบัติ หลักธรรมวินัยมิให้เคลื่อนคลาด พระจะมากน้อยปฏิบัติเป็นแบบเดียวกันหมด คลาดเคลื่อนไม่ได้
‘อย่างน้อยเตือน มากกว่านั้นดุ เลยจากดุก็ขับออก’


พระเณรมีมาก ต่างชาติก็เยอะ เราก็แบ่งรับเอา แบ่งประเทศละหนึ่งองค์สององค์ไม่ให้มากกว่านั้น เพื่อพระไทยเราซึ่งเต็มทั่วเมืองไทยทุกภาคมาอยู่นี้หมด.. ให้ได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน

ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัด เปิดประตูวัดไว้แต่กลางวัน พอค่ำเข้ามาก็ปิดประตู รถจอดข้างนอก ถ้าจำเป็นที่ควรจะเข้ามาข้างในก็ให้เข้ามา

ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์เหตุผลบังคับเอาไว้.. เลอะเทอะไปหมด มนุษย์เลอะเทอะไม่เหมือนสัตว์ทั้งหลายเลอะเทอะนะ.. ทำความเสียหายได้มาก...”

ลัก...ยิ้ม 17-08-2020 12:32

ทหารสู่สมรภูมิรบ

องค์หลวงตากล่าวถึงความเป็นมาของพระ ที่มาขออยู่ศึกษากับท่านเทียบกับชีวิตทหาร ดังนี้
“... พระมาอยู่สถานที่นี้ทั่วประเทศไทย มีทุกภาค ปริญญาตรีก็มี โทก็มี เอกก็มี และนายพัน นายพลมาบวชอยู่นี้ก็มี ... พระมาอยู่ที่นี่ ท่านมาเพื่ออะไร ท่านมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษาปรารภจากครูบาอาจารย์จริง ๆ ...


ดูภาคกลางจะมากกว่าเพื่อน ที่นี่ ภาคอื่น ๆ ก็มี หมดทุกภาคเลยนะ.. วัดนี้ไม่มีภาคไหนต่อภาคไหน เป็นชาติไทยด้วยกัน ด้วยเป็นลูกศิษย์ตถาคตศากบุตรด้วยกัน

จึงไม่มีคำว่าชาติ ชั้นวรรณะ ภาคนั้นภาคนี้ เป็นลูกชาวไทยอันเดียวกัน เป็นลูกชาวพุทธอันเดียวกัน... ท่านมาเพื่อศึกษาปรารภตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ เราก็ได้อุตส่าห์พยายามสั่งสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มสติกำลังความสามารถ

ที่ว่าโรคของเรากำเริบ กำเริบทางหัวใจนี้ เราก็ยังมีความแน่ใจอยู่ว่า คงเกี่ยวกับเรื่องการแนะนำสั่งสอนนี้เองเป็นสำคัญอันหนึ่ง เพราะการสั่งสอนพระย่อมใช้กำลังวังชา สุ้มเสียงดังเป็นหลัก เผ็ดร้อนมากกว่าการสอนใคร ๆ ในบรรดาประชาชนและพระเณรทั้งหลาย

เพราะเหตุไร ... เพราะพระที่มาสู่วัดป่าบ้านตาดนี้ ส่วนมากมีแต่พระกรรมฐานตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราจะเทียบแล้วก็เหมือนกับทหารที่เข้าสู่แนวรบแล้ว การยื่นศาสตราวุธหรืออุบายวิธีการต่าง ๆ ให้ทหารที่เข้าสู่แนวรบ ย่อมจะยื่นแต่สิ่งสำคัญ ๆ อาวุธก็เป็นอาวุธที่ทันสมัย อุบายก็เป็นอุบายที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์ที่จะได้ชัยชนะมาสู่บ้านเมือง อันนี้ก็เหมือนกัน


ธรรมะอุบายต่าง ๆ ที่จะแสดงให้บรรดาพระทั้งหลาย ที่มาจากที่ต่าง ๆ เข้ามาสู่สถานที่นี้ ได้ยินได้ฟังก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น การพูดการเทศนาว่าการต่าง ๆ ตลอดถึงสุ้มเสียงโวหารสำนวนต่าง ๆ จึงมีแต่ความเผ็ดร้อนไปตาม ๆ กันหมด เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์...”

ลัก...ยิ้ม 17-08-2020 12:45

หลวงปู่เจี๊ยะน้ำตาร่วง

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๐๖ หลวงปู่เจี๊ยะมาพักจำพรรษาอยู่ด้วยที่วัดป่าบ้านตาด ในระยะนั้นอยู่ระหว่างการก่อสร้างกุฏิองค์หลวงตาที่ท่านใช้จนถึงปัจจุบัน เป็นกุฏิที่ยังไม่ยกขึ้น ใต้ถุนกุฏิเป็นดินโล่ง ๆ ในตอนนั้นหลวงปู่เจี๊ยะตั้งใจจะใช้คราดเกลี่ยดินบริเวณกุฏิ แต่มาทำในเวลาที่ล่วงเลยไปมากจนกลายเป็นเหตุ ดังนี้
“.. ท่านเจี๊ยะเคยมาจำพรรษาที่นี่ปีหนึ่ง จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาดปี ๒๕๐๔ เราจำได้..นิสัยท่านตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคม ตรงไปตรงมา .. เราพูดใส่ท่านเจี๊ยะที่วัดป่าบ้านตาด ปี ๒๕๐๔ ลืมเมื่อไร ก็ออกมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยกันหยก ๆ มาตอนค่ำเราจะปลูกกุฏิหลังเราอยู่ทุกวันนี้นะ เกลี่ยดินออกจากนี้ไป ค่ำ ๆ เราก็เดินจงกรม เป็นเวลาเดินจงกรม กำลังจะมืด


ฟังเสียงค้อน เสียงเปรี้ยง ๆ กลางวัด ‘เอ้า.. มันยังไงกันนักหนานี่’

เราออกจากทางจงกรมก็ไปเลย ไปเห็นอาจารย์เจี๊ยะกำลังทำคราดที่จะมาเกลี่ยดินกุฏิเรา ไปก็ยืนซัดกันเลย
นี่ท่านก็มาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ผมก็มาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น พ่อแม่ครูจารย์มั่นเคยทำอย่างนี้ไหม ผมอยากถามเท่านั้นเอง ผมเรียนน้อย


พอว่างั้นท่านเข้าใจแล้วนี่ เราก็เดินกลับมา พอเช้ามาท่านมานั่งรออยู่ที่นั่งข้างบนที่ฉัน ท่านนั่งรออยู่แล้ว มาก็ปุ๊บปั๊บขึ้นมาเลย มาจับขาแล้วดึงออกไป เอาหัวมาถูเท้าเรา
‘ตีนนี้มันสำหรับเหยียบขี้ ไม่ใช่เหยียบหัวคนนะ’ เราว่า


‘ขอเหยียบหน่อยเถอะ มันผิดเอาเสียมากมาย มันโง่เอาเสียเหลือเกิน’ น้ำตาร่วงเลย ‘แหม.. ท่านอาจารย์ทำไมถึงพูดเอาถูกต้องเอานักหนา เมื่อคืน ผมนอนแล้วน้ำตาร่วงตลอด’

นั่นเห็นไหม ธรรมต่อธรรมเข้ากันเป็นอย่างนั้นละ ใส่เปรี้ยง ๆ เป็นธรรมทั้งนั้นนี่นะ.. ทางนั้นยอมรับก็เป็นธรรม นี่ละธรรมต่อธรรมเข้ากันได้สนิท

อาจารย์เจี๊ยะท่านก็บอกตรง ๆ เลยว่า ‘พระที่มาอยู่หัวใจของผมมีสององค์ ท่านอาจารย์มั่นหนึ่ง กับท่านอาจารย์หนึ่ง นอกนั้นผมไม่ค่อยลงใครง่าย ๆ

ท่านเป็นลูกเจ๊ก ท่านก็พูดแบบเจ๊กละซิ เราก็ฟังแบบเรา นี่ละ..ที่ว่าขวานผ่าซาก ดึงเท้าของเราเอาหัวมาถูเลย.. น้ำตาพังด้วยนะ เพราะฉะนั้นท่านถึงลง.. ยอมละซิ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นไม่เคยพาทำอย่างนั้น ท่านมาทำได้อย่างไร ว่างั้นเลย ทิ้งปั๊วะเลยนะ.. ไอ้กำลังเป๊ก ๆ ทิ้งปั๊วะเลย เราก็เดินกลับเลย

ท่านเป็นธรรม ท่านตรงไปตรงมาด้วย ความเป็นธรรม.. ผิดบอกว่าผิดเลย ถูกบอกว่าถูก เรียกว่าธรรม แต่โลกของกิเลสตัณหาเขาว่าขวานผ่าซาก กิริยาท่าทางท่านไม่สวยงาม ไม่งามก็ตามแต่ออกจากใจที่สวยงามแล้วนั่นแหละ แสดงออกมากิริยาท่าทางนิสัยต่างกัน ความเป็นธรรมเป็นหลักใหญ่...”

ลัก...ยิ้ม 18-08-2020 11:43

เทศน์โปรด.. เทวดา อินทร์ พรหม

นอกเหนือจากการแสดงธรรมแก่พระเณร นักปฏิบัติภาวนา ฆราวาสญาติโยม ตลอดประชาชน ซึ่งเป็นสังคมมนุษย์ทั่ว ๆ ไปแล้ว สำหรับองค์หลวงตาท่านยังมีภาระหน้าที่ต้องสั่งสอนเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม หรือแผ่เมตตาจิตโปรดโปรยจิตวิญญาณในภพภูมิต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งองค์หลวงตาได้เคยกล่าวในเรื่องนี้ว่า
“... เอ้า ! เทศน์อย่าว่าแต่มนุษย์มนา เทวดา อินทร์ พรหม เทศน์ได้ทั้งนั้น ภาษาเกี่ยวกับเรื่องเทวดาเป็นภาษาเช่นใด ใจเป็นภาษาเดียว อันนี้พูดไม่ได้แต่เข้าใจ พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ... นี่การสอนโลก เราบอกตรง ๆ เลยว่า เราสอนด้วยความแน่ใจ.. ไม่มีสงสัย ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด ๆ สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย.. ถอดออกมาจากจิตใจ ที่ได้ปฏิบัติผ่านมาแล้วทั้งเหตุทั้งผลสมบูรณ์แบบทุกอย่าง


การสอนโลกเราจึงไม่สงสัย สอนได้ทุกแห่งทุกหน.. นี้เรายกมนุษย์นะ.. เราพูดเพียงมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม.. เป็นอย่างไร การสอนเทวดาสอนอย่างไร พวกเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ท่านสอนกันอย่างไร ๆ นี่เป็นเรื่องของเทวดา อินทร์ พรหม กับท่านผู้สอน คนอื่นเข้าไปยุ่งไม่ได้ เวลาเห็นสอนประชาชนท่านก็ไม่มายุ่ง พวกเทวดา อินทร์ พรหม ท่านก็ไม่มายุ่งนะ เวลาสอนเทวบุตรเทวดาเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเหมือนกัน...

เราพูดนี่ เราพูดได้อย่างเต็มปาก เราหาได้อย่างเต็มใจแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องแล้วภายในใจของเรา เราจึงกล้าสามารถเทศนาว่าการได้ทุกแห่งทุกหน อย่าว่าแต่มนุษย์มนา ... เทวดา อินทร์ พรหม ก็เทศน์สอนได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ฐานะที่มนุษย์จะมาฟังเสียงเทศน์เทวดา คือไม่จำเป็นต้องพูดถึง เวลาพูดถึงมนุษย์ เทวดาก็ไม่มาเกี่ยวข้อง เทวดาก็เป็นเทวดา มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ เวลาสอนเทวดา.. มนุษย์ก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง เทศน์สอนเทวดา.. ธรรมนี้ควรหมดในสามโลกธาตุ ธรรมเหนือหมดทุกอย่างเลย สอนได้หมดนั่นละ...”

ลัก...ยิ้ม 18-08-2020 11:59

ธรรมฝ่ายเหตุมี ผลแห่งธรรมก็ต้องมี

ด้วยความเมตตาอบรมธรรมปฏิบัติด้านจิตภาวนาแก่พระเณรและฆราวาสเสมอมา บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ได้รับแสงธรรมของพระพุทธองค์เป็นลำดับ ไม่จำกัดว่าเป็นพระหรือฆราวาส ไม่จำกัดว่าเป็นหญิงหรือชาย พยานในธรรมก็ย่อมประจักษ์ขึ้นในใจของผู้ปฏิบัติเป็นลำดับไปเช่นกัน ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า
ภาคปฏิบัติก็คืองานอันหนึ่งของเรา ทำไมงานเรามีด้วยการประพฤติปฏิบัติ ผลทำไมจะไม่มีได้เล่า..? เหตุกับผลเป็นของคู่เคียงกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมเราทำมันจะไม่มีผล เมื่อเหตุเป็นไปสมควรแก่ผลจะพึงเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว


ฉะนั้น เมื่อท่านเหล่านี้ต่างเพียรสร้างเหตุให้สมบูรณ์ขึ้นทุกขณะ.. ผลอันควรย่อมเกิดขึ้นได้ และนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นในจิตใจของท่าน กระทั่งไม่เห็นวัตถุสิ่งของ เงินทอง ลาภยศ บริษัทบริวาร หรือยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ เป็นของประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่า “ธรรม” สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัย เครื่องอำนวยความสะดวกแก่ร่างกายให้พอเป็นพอไปเท่านั้น แต่เรื่องของ “จิตใจ” นั้น ท่านถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างหาประมาณมิได้เลย

ธรรมเทศนาที่องค์หลวงตาแสดงแก่พระเณรผู้เข้ามาศึกษาอบรมรุ่นแล้วรุ่นเล่า ท่านจะย้ำอยู่เสมอว่า
“... การทำความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ จะยากลำบากเพียงไร ก็ให้ถือว่าเป็นงานอันตนจะพึงทำ หลีกเลี่ยงไปไม่ได้ถ้าต้องการพ้นจากทุกข์.. ซึ่งกีดขวางกดถ่วงจิตใจอยู่ตลอดเวลานี้.. ให้จิตใจเป็นอิสระ อย่าพึงท้อถอยทางความเพียร อย่าไปคำนึงว่าวาสนามาก วาสนาน้อยในขณะที่จะทำความดี มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิ เพื่อมรรคผลนิพพาน เป็นต้น


ถ้าจะคิดว่าอำนาจวาสนาน้อย ในขณะที่จิตเลื่อนลอยเผลอตัวออกไป พอระลึกได้ก็ให้ทราบว่า นี่เป็นการสั่งสมในการตัดทอนนิสัยวาสนาของตนให้ด้อยลงไปโดยลำดับ ถ้ามากกว่านี้นิสัยวาสนาก็จะขาดสูญไป เพราะความชั่วเป็นสิ่งทำลายหรือเผาผลาญให้วอดวายไป

การทำความดีอยู่ตลอดเวลา ก็คือการสร้างอำนาจวาสนาขึ้นภายในจิต เพื่อจะปราบปรามสิ่งที่เป็นข้าศึกมีอยู่ภายในใจให้หมดสิ้นไปนั่นแล ใครจะไปสร้างวาสนาที่ไหนถ้าไม่สร้างที่ใจ.. วาสนาจะมาน้อยเพียงไรก็เกิดขึ้นที่ใจเป็นผู้สร้างได้

เราอย่าเข้าใจว่ามรรคผลนิพพานจะเหินห่าง จะอยู่ห่างกันจากปฏิปทาคือข้อปฏิบัติ เช่นเดียวกับบันไดมีความเกี่ยวเนื่องกันกับบ้านเรือน ตึกรามบ้านช่องจะสูงเพียงไร บันไดต้องติดแนบไปทุก ๆ ขั้นของบ้านของเรือน คำว่า “ธรรม” จะสูงขั้นไหนซึ่งเป็นฝ่ายผล ... ธรรมฝ่ายเหตุคือข้อปฏิบัตินี้จะพึงติดแนบกันไปทุกขั้นทุกภูมิ เพราะผู้ที่จะก้าวเข้าถึงธรรมขั้นนั้น ๆ ก็ต้องเป็นไปตามธรรมขั้นเหตุ คือทางดำเนิน...”

ลัก...ยิ้ม 18-08-2020 12:13

ถือธรรมเป็นใหญ่ .. ไม่ถืออาจารย์เป็นใหญ่

องค์หลวงตาใช้หลักธรรมเป็นใหญ่ในการปกครอง จึงไม่มีการถือตัวว่าเป็นอาจารย์แล้วไม่ต้องฟังผู้ใด อย่างไรก็ถูกเสมอ ดังนี้
“... ย่นเข้ามาหาวัดป่าบ้านตาดที่เคยปกครองพระเณรทั้งหลายอยู่ ไม่ว่ามาจากเมืองนอกเมืองใน เมืองนอกคือประเทศต่าง ๆ มาอยู่ในวัดนี้ไม่น้อย และเมืองในก็คือเมืองไทยเราทั่วประเทศมาอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ท่านไม่ยกเรื่องฐานะสูงต่ำอวดดีอวดเบ่งอย่างนั้นเข้ามาคละเคล้า ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้กัน เข้ากันไม่สนิท ทานเอาแต่ธรรมล้วน ๆ มาหากัน อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม แนะนำตักเตือนกันได้ ใครผิดใครถูกประการใดก็แนะนำ ตักเตือนสั่งสอนกันได้


เราที่เป็นอาจารย์สอนคน เราจะยกตัวอย่างให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ สมควรว่าเป็นอาจารย์สอนพระสอนเณร สอนประชาชนไหม ? เราพูดให้ฟังชัดเจน ตัวเราเองเป็นผู้นำ

ที่อยู่เราแต่ก่อนเป็นกระต๊อบเล็ก ๆ เราทำงานอะไรอยู่ก็ไม่รู้แหละ แล้วมองดูนาฬิกา.. ความเข้าใจของเราว่า นาฬิกาเลยเวลาปัดกวาดไปแล้ว ตามธรรมดานัดปัดกวาด ๔ โมงเย็น.. ปัดกวาดกันทั่ววัด ต่างคนต่างมีนาฬิกา ไม่ต้องเคาะระฆังอะไรให้ทราบ ถึงเวลาแล้วต่างคนต่างออก

ทีนี้เราก็ดูนาฬิกาของเรา มองดูนาฬิกาเข้าใจว่ามัน ๔ โมง ๒๐ นาทีไปแล้ว ปุ๊บปั๊บออกจากที่เลย เพราะการทำข้อวัตรปฏิบัติ เรากับพระกับเณรเหมือนกัน ดีไม่ดีเรารวดเร็วยิ่งกว่าพระ สมัยที่ยังหนุ่มน้อยนะ การทำข้อวัตรปฏิบัติเหมือนกันกับพระกับเณร ดีไม่ดีคล่องตัวกว่าพระกว่าเณรอีก

พอมองดูนาฬิกาเข้าใจว่ามันเลยเวลาแล้ว ปุ๊บปั๊บโดดลงคว้าไม้ตาดปัดกวาดออกไปศาลา ไม่เห็นพระสักองค์เดียวเลย มีแต่เรากวาดออกไป

มีเณรหนึ่ง ชื่อเณรจรวด มันทิดจรวดทุกวันนี้ มันลูกพระไอ้นี่ เป็นหลานของท่านสุพัฒน์ วัดบ้านต้าย ที่ตกเครื่องบินตาย จรวดคือมันรวดเร็วดี ใช้คล่องดี

มันมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ก็มาเป็นเณรอยู่วัดป่าบ้านตาด มันรักษาศาลาอยู่นั้น มันเห็นเราปัดกวาดออกไปก็คงจะขวางตามันละ พอไปก็ขู่ละซิ ขึ้นอย่างเด็ดนะ
‘เณร ๆ เป็นยังไงพระวัดนี้ มันตายกันหมดแล้วเหรอ ถึงเวล่ำเวลาปัดกวาดแล้ว ทำไมจึงไม่เห็นใครมาปัดกวาด เป็นยังไงมันตายกันหมด แล้วใครจะกุสลาใครล่ะ มันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว เป็นยังไงเณร’


คือเณรมันขัดตามัน มันก็เลยเอาไม้กวาดมากวาด แคร็ก ๆ จี้เณร ‘หือ.. เณร เป็นยังไง’ เณรก็บอกว่า ‘เวลานี้นาฬิกาเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที’

คือกำหนดกัน ๔ โมงปัดกวาด เราดูนาฬิกาเข้าใจว่า ๔ โมง ๒๐ นาทีเลยปัดกวาดออกมา พอเณรว่าเท่านั้น เราก็ ‘เหอ ?’ ขึ้นเลย

เณรก็ซ้ำอีกว่า ‘นาฬิกาเพิ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที’

เราก็ขึ้นทันที ‘เออ ถ้าอย่างนั้นหยุด ๆ อย่ามาปัดกวาด มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด’

นั่นเห็นไหมล่ะ ทีแรกแผดจะกัดจะฉีก พอเณรว่าอย่างนั้นเราก็ว่า หยุด ๆ อย่ามาปัดกวาด จะเป็นบ้ากันทั้งวัด ‘เราจะไปแก้บ้าของเรา’ เดินปึ๋ง ๆ กลับคืนเลย

นักธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ทีแรกเข้มข้นเหมือนว่าจะต้มยำพระทั้งวัดเลยทีเดียว พระไม่เห็นมาปัดกวาดถึงเวลาแล้ว มันเป็นยังไง ใครจะกุสลาใคร มันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว พอเณรตอบมาเท่านั้น มันเป็นบ้าเราคนเดียว ... เอ้า.. ถ้างั้นหยุด ๆ ทันทีเลยนะ เอ้าหยุด ๆ เดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด ใครอย่ามาปัดกวาดถ้าไม่อยากเป็นบ้า เราจะไปชำระบ้าของเราเอง เดินกลับปุ๊บ ๆ เลย ...

นี่เหตุผล..เข้าใจไหม ? จะไปถือว่าเราว่าเขาว่าใหญ่ว่าน้อยไม่ได้ ความผิดความถูกเป็นธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เป็นธรรม นี้เราก็ยอมรับด้วยความเป็นธรรม จะกัดจะฉีกพระ สุดท้ายก็เลยให้พระมากัดฉีกเราคนเดียว ... การปกครองหมู่เพื่อนเราไม่ได้เอาอำนาจบาตรหลวงป่า ๆ เถื่อน ๆ เข้ามาปกครอง เราเอาธรรมเป็นเครื่องปกครอง...”

ลัก...ยิ้ม 20-08-2020 00:42

ให้กำลังใจศิษย์

องค์หลวงตาให้กำลังใจนักปฏิบัติ ให้รีบเร่งปฏิบัติขณะยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ ดังนี้
“... ยากลำบาก ไม่ใช่อะไรพาให้ยากนะ ถ้าว่าจะสร้างความดีนี้ มันหากมีเครื่องขัดข้องขึ้นภายในใจ นั้นแหละคือกิเลสมันกีดมันขวางเรา.. ไม่ใช่ธรรม กีดขวางไม่ให้ทำ ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วมันไม่อยากให้ทำ นั่นคือกิเลสมันขวางไว้ ๆ ..ถ้าเราได้ทำตามใจของเราแล้ว ฝืนมันทำแล้วต่อไปก็ไม่ได้ฝืน กำลังมันอ่อนลง ๆ ทีนี้ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ แน่ะ..อำนาจของความดีมีอย่างนั้น...


นี่เกิดมาชาตินี้ไม่ดีแล้ว เกิดแก้มืออีกไม่ได้นะ กรรมของเรามี..ยังไงก็ต้องไป นี่พอเหมาะเป็นจังหวะที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และพร้อมกับได้พบพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือศาสนาเอก ผู้สิ้นกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่มีศาสดาใดที่เป็นผู้สิ้นกิเลสครองศาสนาสั่งสอนสัตวโลก มีศาสนาพุทธ พุทธ ๆ นี่เท่านั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดขึ้นชื่อว่าพุทธศาสนาแล้ว.. ต้องเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส...

ไม่ใช่ศาสนาจะมีตลอดไปนะ มีเป็นวรรคเป็นตอน เช่นเวลานี้พุทธศาสนาของเรายังมี พอหมดจากนี้แล้ว กว่าจะไปถึงศาสนาพระอริยเมตไตรยนี้นั่นแหละ ท่านเรียกว่าสุญกัป...บาปบุญ คุณโทษ นรก สวรรค์ มีอยู่ดั่งเดิมก็ตาม แต่ใจสัตวโลกยังไม่ยอมรับ สิ่งที่ยอมรับคือ ความอยากความทะเยอทะยาน ความเกรี้ยวกราด อะไรทุกอย่างขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วมันไปรวมนั่นหมด ให้ดูดให้ดื่ม ให้พออกพอใจ มองเห็นหน้ากันมีแต่กัดแต่ฉีกกันทั้งนั้น...

ถ้าเกิดเช่นนั้นแล้วเรียกว่ากรรม ผู้ที่มีกรรมหนาที่สุดจึงต้องไปเกิดในย่านนั้น..ก็ไม่มีที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศล เพราะไม่มีใครแนะนำสั่งสอนรู้ได้ สิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ด้วยความดูดดื่มก็มีแต่ความชั่วช้าลามก มีแต่ฟืนแต่ไฟอันเป็นผลเผาไหม้ ไม่มีส่วนดีเลย นี่เราไม่ได้เกิดในช่วงสุญกัป เราเกิดในช่วงพุทธกัป คือกัปพระพุทธเจ้าอยู่ เวลานี้จึงให้พากันขวนขวาย

เวลานี้เราได้เกิดมาพบพุทธศาสนาเรียกว่าบุญลาภของเรา กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ แน่ะ..ออกจากนั้นก็ กิจฉัง สัทธัมมัสสวนัง ยังได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอีก ก็เป็นบุญลาภอีกอันหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็พอแล้วเรา ท่านว่า กิจโฉ พุทธามนุปปาโท เพราะการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้านั้น..เป็นบุญลาภอันประเสริฐสุดของสัตวโลก นี่คำสอนของท่านที่เป็นองค์แทนศาสดามีอยู่ ให้ได้ยินคำสอนของท่าน นี้แลคือองค์แทนศาสดา จะไม่ผิดพลาด ให้พากันอุตส่าห์พยายาม...”

ลัก...ยิ้ม 20-08-2020 00:51

ข้อวัตรปฏิบัติวัดป่าบ้านตาด ยุคแรก ๆ

เมื่อองค์หลวงตามีที่พักจำพรรษาอยู่เป็นที่เป็นฐานมั่นคงแล้ว พระเณรต่างหลั่งไหลมาอยู่กับท่านมากขึ้น หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม มีโอกาสจำพรรษาวัดป่าบ้านตาดในยุคแรก ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๑๐ หนังสือประวัติของท่านกล่าวถึงข้อวัตรปฏิบัติในครั้งนั้น ดังนี้
“ชีวิตประจำวันในวัดป่าบ้านตาดสมัยนั้น พระอุปัฏฐากจะมีหน้าที่จัดเตรียมอัฐบริขารขององค์หลวงตาให้พร้อม.. รอไว้เพื่อออกบิณฑบาตพร้อมกัน ส่วนมากโยมที่ใส่บาตรมักจะเป็นคนในหมู่บ้านตาด ใส่ข้าวสุกข้าวเหนียว ส่วนกับข้าวจะหิ้วตามมาที่วัด เมื่อกลับมาถึงวัด พระทุกรูปจะช่วยกันจัดและแบ่งอาหาร หลวงตาเป็นผู้ให้พร จากนั้นพวกโยมก็จะนำอาหารไปแบ่งกัน หากแต่จะยังไม่รับประทานในทันที เพราะว่าจะไปช่วยกันกวาดบริเวณรอบ ๆ ก่อนเพื่อรอพระฉันเสร็จ จึงจะรับประทานอาหารร่วมกัน”


เมื่อพระเณรฉันเสร็จแล้วจึงล้างบาตร ตลอดเวลาในการทำกิจจะไม่ปรากฏเสียงพูดคุยกันเด็ดขาด จากนั้นส่วนใหญ่จะแยกย้ายไปตามที่พักของตัว เพื่อภาวนาเดินจงกรม ยังคงมีบางรูปผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปเช็ดกุฏิองค์หลวงตา ตกเย็นพระจะลงมากวาดตาด พอเสร็จแล้วทุกรูปจะไปช่วยกันหาบน้ำจากบ่อน้ำ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นคันโยกอยู่ โยกน้ำขึ้นมาหิ้วไปเติมตามห้องน้ำกุฏิต่าง ๆ จนเต็ม แล้วถึงกลับมาสรงน้ำกันที่บ่อน้ำ จากนั้นจะมารวมกันฉันน้ำร้อน น้ำปานะที่ระเบียงศาลา ซึ่งเวลานี้เป็นจังหวะที่สามารถพูดคุยกันได้บ้าง แต่ต้องพูดคุยอย่างมีสติ ห้ามส่งเสียงดัง มิฉะนั้นจะได้ยินองค์หลวงตาถามว่า
“ชาวบ้านมาหรือ ? ชาวบ้านมาหรือ ?”


บางวันองค์หลวงตาจะลงมาฉันน้ำร้อนด้วย วันนั้นปรากฏว่าศาลาจะเงียบเป็นพิเศษ ต่อมาพระมากขึ้นและองค์หลวงตาไม่ค่อยลงมาฉันด้วย จึงย้ายที่ฉันจากระเบียงศาลาไปเป็นโรงต้มน้ำร้อนแทน พอถึงช่วงค่ำประมาณ ๑ – ๒ ทุ่มก็จะมารวมกันฟังหลวงตาเทศน์อบรมพระ

ลัก...ยิ้ม 20-08-2020 22:42

แม้องค์หลวงตาท่านจะไม่ส่งเสริมเรื่องการก่อสร้าง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องอาศัยพระเณร ลูกศิษย์ลูกหาที่มีฝีมือช่างให้ช่วยกันดูแลรับผิดชอบ ไม่ว่างานสร้างกุฏิ ศาลา โรงครัว โรงน้ำชา กำแพงวัด งานซ่อมหลังคากุฏิโยมแม่องค์หลวงตา ซึ่งมุงด้วยหญ้าคาต้องเปลี่ยนใหม่ทุกปีหรือ ๒ ปี หรือแม้กระทั่งงานยกศาลา ยกกุฏิต่อเติมกุฏิองค์หลวงตา ในสมัยหลังก็จะให้พระมาดูแลรับผิดชอบด้วย

ในช่วงเวลาต่าง ๆ หากองค์หลวงตามีธุระจะไปที่โรงครัว.. ท่านมักจะเรียกให้พระอาจารย์สิงห์ทอง ต่อมาก็พระอาจารย์ฟัก หรือพระอาจารย์ลี ระยะต่อมาก็พระอาจารย์ปัญญาติดตามหลวงตาไปด้วยเสมอ ซึ่งพระติดตามมักต้องหยิบเอาเครื่องบันทึกเสียง ในสมัยนั้นก็คือเครื่องเล่นเทปแบบมีสายเอาไว้คอยอัดเทปคำสอน แม่ขาวในสมัยแรก ๆ นั้นก็มีโยมแม่องค์หลวงตา คุณแม่ชีแก้ว คุณแม่ชีน้อม คุณแม่ชีบุญ เป็นต้น ระยะต่อ ๆ มามีอุบาสิกามาขอพักปฏิบัติธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงช่วยชาติ จนถึงระยะสุดท้ายขององค์หลวงตา มีอุบาสิกาจำนวนมากกว่า ๒๐๐ คน องค์หลวงตาสั่งให้พระเณรจัดเตรียมอาหารไว้ให้สำหรับทานมื้อเดียวเท่านั้น

แม้หน้าที่การงานในวัดจะมากขึ้น เพราะประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่เพราะองค์หลวงตาท่านรักศิษย์พระเณรของท่านมาก ท่านจึงเข้มงวดในการรักษาสภาพวัดให้เหมาะสม สะดวกต่อการบำเพ็ญเพียรเสมอ ท่านไม่ให้พระเณรมีการงานอย่างอื่น ๆ ทำ อันเป็นการขัดต่องานจิตภาวนาซึ่งเป็นงานหลัก ท่านทะนุถนอมศิษย์พระเณรไม่ให้มีมลทิน ไม่ให้ข้องแวะกับคนภายนอกโดยไม่จำเป็น

ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก มีโอกาสได้จำพรรษาในรุ่นถัดมา ได้กล่าวถึงบรรยากาศการปกครองพระขององค์หลวงตาในสมัยก่อน ดังนี้
“... สมัยก่อนเวลาหลวงตาดุพระ ดุจริง ๆ นะ พอดุเสร็จแล้ว.. พระองค์นั้นเสียใจจริง ๆ นะ สรุปแล้วหลวงตากับพระ จะเข้มงวดกวดขันกันในสมัยก่อน เพราะมันน้อย ติวเข้มเลย บางทีหลวงตาท่านเห็นพระ.. บางทีท่านก็ดุ แต่องค์นั้นก็ไม่ทันคิดว่าตัวเองทำผิด..ใช่ไหมล่ะ แต่หลวงตาดุ มันก็เสียใจใช่ไหมละ..เมื่อโดนดุ ซึ่งจริง ๆ เป็นกุศโลบายเพื่อสอนลูกศิษย์องค์อื่นด้วย แต่ทีนี้องค์ที่โดนดุมันเจ็บละซิ องค์ที่โดนดุนี้มันเจ็บ พอโดนด่าเท่านั้นละ.. องค์เป็นพี่ ๆ พวกเราก็ไปหา
‘เฮ้ย.. ไม่ต้องเสียใจนะ ให้ท่านเป็นเขียงรองดีแล้วละ’


‘ผมไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าตรงไหนนี้มันผิด แต่หลวงตาดุว่าไปแล้วหละ’

‘ไม่ต้องเสียใจ ท่านสอนพวกเราด้วยกัน พวกเราผิดด้วยกันในจุดนี้ พวกเราก็ไม่รู้จุดนี้ ท่านด่าที่นี่ พวกเราจะได้ระวังต่อไป’

คล้าย ๆ มาบอกว่าไม่ใช่ว่าผิดแค่เราคนเดียวนะ มันผิดกันทั้งหมู่นะ พวกหมู่ก็ไม่รู้นี่ พอพวกหมู่รู้ เออ.. ท่านเจ็บคนเดียว พวกเราก็จะได้ระวัง เออ..องค์นั้นเจ็บคนเดียว แต่ไม่ต้องเสียใจนะ มันก็ผิดด้วยกันนั้นแหละ อันนี้คือการดุการปลอบ”

หากกล่าวถึงความตั้งใจและความเคารพในข้อวัตรปฏิบัติที่เกี่ยวกับองค์หลวงตานั้น ผู้รับหน้าที่ทุกรุ่นจะตั้งใจทำด้วยความประณีตละเอียดลออยิ่ง จะพยายามไม่ให้ผิดพลาดตกหล่นไปแม้แต่น้อยนิดเลย
พระอาจารย์ภูษิต ขันติธโร ซึ่งได้จำพรรษาวัดป่าบ้านตาดในช่วงที่ ๒ เป็นผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ด้วยข้อปฏิบัติของท่านเองในระยะนั้นว่า
“เราใช้มือเรานี่แหละ ล้างส้วมพ่อแม่ครูอาจารย์ ... เข้านอกออกในกุฏิหลวงตา ทำงานทั้งหมดตั้งแต่ใส่ปลอกหมอนจนถึงเทกระโถน ล้างส้วม ซึ่งการล้างส้วมของหลวงตานี้ เราไม่ใช้ไม้ล้างโถส้วมหรอกนะ เราใช้มือของเรานี่แหละล้าง”


สำหรับการทำข้อวัตรภายในกุฏิองค์หลวงตานั้น พระผู้รับผิดชอบต้องมีความละเอียดรอบคอบ และทำด้วยความพินิจพิจารณาใช้สติปัญญาประกอบในงานเสมอ เนื่องจากองค์หลวงตาท่านเข้มงวดกวดขันมาก ดังนี้
“... ได้พูดเสมอ อย่างกุฏิเรานี้ไม่ให้เข้าไปยุ่งนะ คือมันขวางตาทันทีเลย เราเข้าไป องค์ไหนที่เข้าไปจัดทำข้อวัตรนี้ อย่างมากไม่เลย ๒ องค์สำหรับกุฏิเรา ที่ไปเกี่ยวข้องกับเรามีเท่านั้น ก็มีผู้ไปจัดยาให้ตอนเช้า ตอนเย็น นี่อันหนึ่ง มีผู้ไปคอยเช็ดอะไร ๆ ตอนเราไม่อยู่ สององค์เท่านั้น.. ไม่ให้มาก พอดูได้ดูกันไป นอกนั้นไม่ให้เข้าไปยุ่ง ไปก็ขวางทันทีเลย ขวางทันที ๆ จนกระทั่งถึงได้ออกอุทานในใจ
‘โอ๋ย.. นี่มาภาวนายังไง สติสตังไม่มีเลย ปัญญาความแยบคายอะไรเหล่านี้ไม่มีประจำเลย ไม่มีแฝงเลย มีแต่ความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ และไม่เอาไหน’


บอกตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราถึงไม่ให้เข้าไปกุฏิเรา มันบอกตลอด แพล็บปั๊บรู้แล้ว นอกจากไม่พูดเฉย ๆ ถ้าหากธรรมดาก็ขังไว้แล้วในนี้ เผาในนี้ แต่เรามันไม่เผา.. ถึงทราบเรื่องพระเรื่องเณรผู้เกี่ยวข้องเรา เพราะอยู่ในวงของการแนะนำสั่งสอนรับผิดชอบของเรา เราต้องดูทุกอย่าง...”

ลัก...ยิ้ม 20-08-2020 22:49

เณร : กาลนาค

“... ครั้งพุทธกาล ท่านมีเณรรับใช้พระ พระเป็น ๔๐๐ – ๕๐๐ เณรไม่ได้หลับได้นอน แต่ก็ดี เขาเรียกในบาลีเราดูมานาน.. ลืมนะ เณรรับใช้พระกลางคืน กลางวันไม่ได้นอนเพราะพระมาก รับใช้องค์นั้นรับใช้องค์นี้จะมาหลับมานอนก็ไม่ได้ เดี๋ยวองค์นั้นใช้องค์นี้ใช้ แต่เณรก็ใจดี

พระก็เคยถามว่า ‘เณรนี้ได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพระจำนวนมากมาย ยังไงเณรก็มีอานิสงส์มากนะ จะปรารถนาเอาอะไรควรจะสมหวังแล้ว เพราะเณรไม่เคยมีข้อขัดแย้งทิฏฐิมานะต่อพระเจ้าพระสงฆ์ ที่ท่านใช้ไปในกิจการต่าง ๆ แล้วเณรจะเอาอะไร อยากไปนิพพานมั้ย

‘เวลานี้ยังไม่อยากไปนิพพาน’ ‘เพราะอะไร’

‘คือมันยังไม่ได้นอน ต้องนอนให้อิ่มซะก่อน’

หนังสือยังมีเรียกว่า กาลนาค คือตายแล้วเป็นพญานาค นอนตามความปรารถนา นอนจนกระทั่งพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาตรัสรู้นี้เสียงถาดทองคำ อานุภาพแห่งธรรมแห่งทองคำไปซ้อนกัน องค์นี้ตรัสรู้แล้วถาดนี้ก็มาซ้อนกันสะท้านหวั่นไหว พญานาคที่หลับนั้น.. ตื่นนอนซะทีหนึ่ง ตื่นนอนในขณะถาดมาซ้อนกัน คือถาดอันนี้เป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ ขึ้นมา แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถาดก็มาซ้อนกัน เสียงสะท้านหวั่นไหว

ทีนี้พญานาคที่นอนหลับ จะตื่นในเวลาที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ มาตรัสรู้แล้วเสียงถาดสะเทือนสะท้าน จะตื่นเวลานั้น.. เมื่อวานก็ตรัสรู้องค์หนึ่ง วันนี้ก็มาตรัสรู้อีกองค์หนึ่ง คือเพลินในการหลับนอน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ห่างกันขนาดไหน พุทธันดรระหว่างพระพุทธเจ้าองค์นี้กับองค์นี้ที่มาตรัสรู้นี้เป็นสุญญกัป.. ว่างเปล่าเป็นเวลานานแสนนาน นานขนาดไหน กาลนาคองค์นั้นยังว่า เมื่อวานมาตรัสรู้องค์หนึ่ง แล้ววันนี้มาตรัสรู้องค์หนึ่ง เหมือนว่ากระชั้นชิดกันเหลือเกิน คือมากวนการหลับนอน นอนสบายมาก...”

ลัก...ยิ้ม 20-08-2020 23:08

เณรเล่นบั้งไฟเล็ก

“... ที่วัดป่าบ้านตาดไม่ค่อยมีเณร ส่วนมากมีชั่วระยะ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ระลึกได้ อยู่วัดป่าบ้านตาด มีเณรหนึ่งอยู่นั้น อายุประมาณ ๑๔ ปี รูปร่างมันเล็ก ๆ ไม่ได้โต นอกนั้นมีแต่พระ ทั้งวัดมีเณรองค์เดียว จะไปเล่นกับพระอะไร ๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวพระจะเขกกบาลเอาสิ พระท่านไม่เล่น ไม่เหมือนเด็ก มันคงจะหิวกระหายอยากเล่น ไปทำอะไรไม่รู้นะ ไปทำบั้งไฟเล็ก ๆ ขโมยทำในวัดในป่า พระไม่รู้สักองค์เดียว เขาไปขโมยทำของเขา เขาคึกคะนองภาษาเด็ก บั้งไฟเล็ก ๆ เหมือนบั้งไฟใหญ่ แต่นี่เขาทำเล็ก ๆ ซี้ด ๆ ๆ ไปจุดชิด ๆ อยู่ในป่า เวลาหลังมานี่เราถึงถามว่าบั้งไฟนี่ทำได้ยังไง ทำไมถึงรู้วิธีทำ เขาบอกว่าตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาไปกับพ่อเขาไปทำบั้งไฟอยู่ในวัด พระท่านทำบั้งไฟ ตะไลบ้างอะไรบ้าง ก็ไปดูพ่อทำ เลยได้วิชานี้มาทำ

ทางจงกรมอยู่ลึก ๆ ในป่า เพราะในวัดป่าบ้านตาด แต่ก่อนพระไม่ให้มีมากนะ อยากมากไม่ให้เกิน ๑๘ องค์ อยู่ทางจงกรมในป่าลึก ๆ นู่นล่ะเป็นสถานที่ซุ่มตัวจุดบั้งไฟอยู่ที่นั่นของเณร เรียกว่าไม่มีใครเห็นล่ะ เพราะมันอยู่ลึกจริง ๆ ไม่มีใครเข้าไป พระก็ ๑๗ – ๑๘ องค์ก็พออยู่แล้ว สงัดมากทีเดียว เพราะฉะนั้น ที่นั่นจึงเป็นที่สงัดมากกว่าที่อื่น ๆ แกก็ไปขโมยจุดบั้งไฟอยู่ในป่า

ตอนนั้นประมาณ ๒ ทุ่ม เราออกจากทางจงกรมแล้ว มันดลบันดาลยังไงไม่ทราบ แปลกอยู่นะแล้วก็บึ่งเข้าไปนั่นเลย ซึ่งแต่ก่อนเราก็ไม่เคยไป วันนั้นมาดลบันดาลยังไงไม่รู้นะ ออกจากทางจงกรมบึ่งเข้าไปเลย

พอเดินเข้าไปมืด ๆ พอจวนจะถึงแล้ว มองเห็นบั้งไฟเล็ก ๆ ซี้ด ๆ ๆ จุดเพลินอยู่คนเดียว เณรน้อยจุดบั้งไฟเพลินอยู่คนเดียว ขึ้นจริง ๆ ด้วยนะ เสียงอะไร มันก็ยิ่งให้ขยับสนใจเข้าไป ค่อยต้อนเข้าไป ยังไม่นึกว่าเป็นบั้งไฟนะ เดินเข้าไปที่ไหนได้ เณรน้อยองค์นั้นจุดบั้งไฟขึ้น คนเดียวเลยนะ

พอเราเดินเข้าไปตรงนั้น พอมันจุดนั่นขึ้นแล้ว เตรียมอีกจะจุดอีกมันมีหลายบั้งเหมือนกัน พออยู่ ๆ เราก็โผล่เข้าไปเลย มันมองเห็น โอ๊ย.. ตัวสั่นเลย ก็มองเห็นเสือโคร่งใหญ่ซะด้วยนะ ไม่ใช่ธรรมดา เสือดงเสือดาวก็ไม่เห็น ไปเจอเสือโคร่งใหญ่กำลังเข้ามาเหมือนหนึ่งว่าจะตะครุบเข้าไป

มองดูเห็นบั้งไฟอยู่ ๓ – ๔ บั้ง มันกำลังจะจุดขึ้นอีก เราก็เดินดูนั้นดูนี้ มันมีเสาเล็ก ๆ เสาบั้งไฟน้อยนั่นแหละ แล้วกำลังจะจุดขึ้นอีก พอดีเราโผล่เข้าไป เราก็ไม่ว่าอะไร เหมือนไม่มีอะไร คือมันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ลิงมันดิ้น ความหมายว่างั้นแหละ ถ้าจะบอกว่าลิงดิ้น พาลิงมาเล่นมันก็ไม่กล้าบอก เหมือนกับเพื่อนแกล่ะ ‘เณรทำอะไร’

แกนั่งตัวสั่น ‘โอ๊ย.. ทำไปอย่างงั้นล่ะ’ พูดเสียงสั่นไปหมดเลย เราเดินดูนั้นดูนี้ แกก็นั่งตัวสั่น

‘ไหนล่ะ..มีอะไรอีกล่ะ’

พอออกไปแล้วเราก็หนีไปเลย บั้งไฟที่ยังอยู่เหลือนั่น ไม่ทราบมันจุดอีกหรือมันปาเข้าป่าก็ไม่รู้ มันหมดขลัง บั้งไฟมีกี่บั้งมันก็ไม่มีขลัง หมดขลังแล้ว ลองตัวสำคัญก็เสือโคร่งใหญ่ซะด้วย ไปเวลาเงียบ ๆ ด้วย

มันโศกเศร้าเหงาหงอย ๓ วัน เราก็ไม่พูดถึงเลย เรายังไม่พูด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บั้งไฟที่มันเอาวางไว้เราก็ไม่เคยถามถึง เพราะโทษเต็มตัวมันอยู่ใน ๓ วันนี้ จนกระทั่งล่วงไปสัก ๔ – ๕ วัน ดูลักษณะท่าทาง สีหน้าสีตามันดีขึ้นค่อยปกติเข้ามา จนกลายเป็นปกติ อารมณ์ที่กลัวเราจากความผิดของตัวเองคงหายไปหมด จากนั้นเราจึงได้เรียกมาสอน ก็อบรมสั่งสอนธรรมดา ไม่มีแสดงอาการอะไร แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมวินัย เราลงทัณฑกรรม คือตามหลักวินัย ศีลของเณร เณรผิดศีลผิดธรรมยังไง ควรจะปฏิบัติยังไงให้ถูกต้องตามหลักแห่งธรรมวินัย พอแนะนำสั่งสอนเรียบร้อยแล้ว

เราบอกว่าให้พระมากำกับ คือที่ตะวันตกศาลานั้น แต่ก่อนเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นหญ้า ไม่มีอะไรล่ะ เป็นดินธรรมชาติ เลยบอกให้เณรเอาดินในจอมปลวกนั้นมาถมหลุมอันนี้วันละ ๑ ชั่วโมง ไม่เอามาก แล้วให้พระมาคอยกำกับให้เณรไปขุดเอาดินบนจอมปลวกมาเท ใส่บุ้งกี๋มาเท ถม ทำอยู่ ๓ วันก็พอดี แถวนั้นก็เรียบพอดี จากนั้นก็มาสอนอีก อย่าทำอย่างนี้นะ.. ไม่ได้นะ การที่เราไม่รับเณรเข้ามาในวัดก็มันมีเหตุการณ์อย่างนี้ เพิ่งเกิดขึ้น เราคิดไว้แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ พูดถึงเรื่องว่าไม่ค่อยได้รับเณร คือเณรมันเป็นเด็ก ถึงจะเอาผ้าเหลือง ผ้าสีขนุนอะไรมาใส่มันก็เป็นผ้าเป็นสีขนุน แต่เณรมันก็เป็นเณร เด็กมันก็เป็นเด็ก นิสัยเป็นลิงมันก็ลิงตามประสาของเด็ก ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่ค่อยรับ ขบขันดีนะ คนหนึ่งกลัวจะตาย คนหนึ่งขบขัน เด็กมันเป็นอย่างงี้เอง เราไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดความพลาดอะไรของเณรนะ เณรมันเป็นอย่างนี้เอง

มันอยู่คนเดียวไม่ได้ คือมันต้องชอบสนุกเล่นนั้นเล่นนี้ ทีนี้อยู่กับพระ.. เล่นกับพระไม่ได้นะ พระท่านเอาจริงเอาจัง ท่านภาวนา ไปเล่นกับท่านได้ยังไง มันก็กลัวน่ะสิ เพราะพระองค์ไหนก็ขึงขังตึงตัง ไม่มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกับเณรพอจะไปทะลึ่งท่านได้ แล้วมันไปทะลึ่งอะไร มันก็ไปทะลึ่งกับบั้งไฟ เข้าท่าดีนะ.. ขึ้นนะ มันจุดปั๊บขึ้น ซี้ด ๆ ๆ ขึ้น เข้าท่าดี เป็นบั้งไฟเล็ก ขึ้นสูงนะ วัดกรรมฐานไม่ค่อยมีเณร สำหรับพระปฏิบัติจริง ๆ ท่านไม่ค่อยจะยุ่งกับเณร คือเณรมันลอดตาข่ายอยู่นะ ตาข่ายแห่งธรรมแห่งวินัย มันก็ไม่พ้นที่มันจะออกนอกลู่นอกทางไปตามประสาของเณรจนได้ เราจึงไม่ค่อยรับ..ก็มีแต่พระอย่างงี้ ดีดผึง ๆ มองดูองค์ไหนเหมือนเป็นแบบพิมพ์เดียวกันเลย เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ปฏิบัติตัวเอง ต่อข้อวัตรปฏิบัติ และต่อศีลต่อธรรมตลอดเวลา เณรเข้ามาก็ขวางกันน่ะสิ มีไว้ก็สำหรับรับประเคนของเท่านั้นแหละ...”

ลัก...ยิ้ม 21-08-2020 13:21

ตายก่อนขมาโทษพระวินัย

“... พระองค์หนึ่งที่ว่า เวลานี้ยังเป็นพญานาคอยู่ อันนี้ครั้งศาสนาของพระกัสสปะ พระองค์นั้นบวชในศาสนาของพระกัสสปะ นั่งเรือไปตามลำคลอง ท่านไม่ได้มีเจตนาแต่มือมันคะนอง พอเรือมันวิ่งผ่านไป กอตะไคร้น้ำมันอยู่ฝั่งคลอง เรือก็ไป ท่านเลยไปจับ พอจับท่านไม่เจตนาว่าจะจับจะเด็ดใบตะไคร้น้ำให้ขาด พอจับยังไม่ปล่อยเรือบึ่งไป.. ใบตะไคร้น้ำเลยติดมือมาเลย ตอนนั้นเป็นตอนสำคัญ เมื่อรู้ว่าเจ้าของเป็นโทษ ยังหาพระมาประกาศโทษของตนให้ทราบ เรียกว่าขมาโทษพระวินัย ก็ไม่มีพระวันนั้น เพราะท่านลงเรือไปในลำคลอง

พอดีท่านป่วยน่ะสิ พอป่วยก็เลยตาย จิตเป็นกังวลยังไม่ได้แสดงโทษของตน ไม่ได้ปฏิญาณโทษของตนเองต่อพระองค์ใดองค์หนึ่งตามหลักวินัยที่มี.. เลยตาย ตายแล้วก็เลยไปเป็นพญานาค ไม่ตกนรกอะไร แต่ไปเป็นพญานาคเพราะโทษอันนี้ ฟังสิ..ศาสนาพระกัสสปะกับพระศาสนาของเรานี้ก็ห่างกันเป็นพุทธันดรหนึ่ง.. ห่างนาน ระหว่างนี้เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า ระหว่างนี้เป็นศาสนาพระสมณโคดมเรา จากศาสนาของพระกัสสปะที่พระองค์นั้นทำผิดวินัย ก็มาถึงพุทธศาสนาของเรา เวลาตายแล้วไปเป็นพญานาค จะไปสวรรค์ก็ไปไม่ได้ จะตกนรกก็ไปไม่ถึง ไปเป็นหัวหน้าพวกพญานาคทั้งหลาย

ทีนี้ความเชื่อ ความเลื่อมใส.. ในพระพุทธศาสนายังฝังใจอย่างลึกทีเดียว ทีนี้พอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ทราบเท่านั้นว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น.. ปีติยินดี ทั้ง ๆ ที่เป็นพญานาค.. อยากฟังเทศน์ ฟังธรรม เราเสียท่าเสียทางเพราะความเผลอสติเท่านั้นนะ ความเผลอสตินี่ล่ะที่ไปจับเอากอตะไคร้ กอตะไคร้เลยขาดติดมือเลย ไม่มีเจตนาเพราะเรือมันก็วิ่งไป ทางนี้มือไปจับเอาตะไคร้ เรือพาไป ทีนี้มือยังไม่ได้ปล่อย.. ทำเท่านั้นก็ยังผิด มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเกิดความปีติยินดีในธรรมว่า ถ้าธรรมดาพญานาคนี้ควรจะได้สำเร็จพระโสดาฯ ในขณะนั้นเลย แต่นี่เพราะเป็นวิสัยของประเภทของสัตว์เดรัจฉาน จึงสำเร็จพระโสดาฯ ไม่ได้ แต่อำนาจอานิสงส์ที่มาฟังเทศน์ฟังธรรมนี้สูงเด่นขึ้นไปอีก มีอำนาจวาสนากว้างขวางออกไปในวงพญานาคทั้งหลาย

ท่านแสดงไว้อย่างนั้น คือนั่นควรจะได้บรรลุพระโสดาฯ แต่เพราะโทษอันนี้กีดขวางเอาไว้เลยไม่สำเร็จ กีดขวางไว้ให้เป็นพญานาคก็ประเภทสัตว์ มนุษย์เท่านั้นที่จะสำเร็จพระโสดาฯ อันนั้นสำเร็จไม่ได้ นี่ท่านแสดงเพียงเล็กน้อย นี่หมายถึงกรรมนะ ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรมากมายนะ มันก็แสดงให้เห็นอยู่ ท่านถึงบอกว่า กรรมไม่มีลี้ลับนะ กรรมดีกรรมชั่ว.. ใครทำที่ไหนไม่มีลี้ลับ เพราะเจ้าของเป็นผู้ทำ เปิดเผยอยู่กับการกระทำของตัวเองทั้งดีและชั่ว ท่านจึงต้องให้สำรวมระวังด้วยดี มีสติระมัดระวังรักษาตัวเสมอ ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ นั่นเรียกว่าวิบากกรรม ดีชั่วเป็นผลให้เป็นสุขเป็นทุกข์ มันอยู่ที่เรา...”

ลัก...ยิ้ม 21-08-2020 13:46

ธรรมเทศนาโดยย่อ : ข้อวัตรปฏิบัติพระเณรวัดป่าบ้านตาด


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


อุปัชฌายะตามหลักพระวินัย

“...กฎเกณฑ์คณะสงฆ์ลักษณะปกครองอะไรมีขึ้นมาทุกวันนี้ เพราะเรื่องการประพฤติของพระของเณรเรามันพิสดารไปเรื่อย เพราะฉะนั้น จึงต้องมีเรื่องกฎกระทรวงบ้าง ข้อบังคับ กฎกติกาอะไรบ้าง กฎหมายลักษณะปกครองสงฆ์บ้าง ขึ้นมาเพื่อปกครอง หลักเหล่านี้ถึงจะมีมากน้อยเพียงไรก็ตาม แต่ต้องไม่ทำลายหรือทำความกระทบกระเทือนต่อหลักพระวินัยเป็นสำคัญท่านว่า อย่างบัญญัติหรือกฎข้อบังคับให้ตั้งอุปัชฌายะนี่เหมือนกันนะ ก็ตั้งตามเขตตามภาค ใครอยู่ในเขตไหน อำเภอใด ตำบลใด ควรจะมีอุปัชฌาย์ เพื่อไม่ให้ลำบากในการอุปสมบทของกุลบุตร สุดท้ายภายหลังก็ตั้งอุปัชฌาย์ ตั้งทางโน้นก็ให้บวชให้ทางโน้น ตั้งที่ไหนก็ให้บวชทางนั้น ๆ ผู้ไม่ได้ตั้งก็ไม่ให้เป็นอุปัชฌาย์ ไม่เรียกว่าอุปัชฌาย์ นี่ความหมายของการตั้งชื่อเมื่อภายหลังนี้ว่าอย่างนั้น

แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ควรจะบวช จะบวชนี่จะผิดไหม นี่เป็นปัญหาอันหนึ่งขึ้นมา เอ้า.. พระวินัยผิดไหม พระวินัยว่ายังไง เอาพระวินัยเป็นเกณฑ์เลย คือพระวินัยพระ ที่บวชตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไปแล้วสามารถที่จะเป็นอุปัชฌายะได้ นี่ละ..ตรงนี้อันหนึ่ง ถ้าสมมุติว่าเกิดมีผู้บวชขึ้นมา หรืออย่างผมนี้มีความจำเป็นที่จะบวชกุลบุตรสุดท้ายผู้ใดก็ตาม ผมบวชขึ้นมานี้สงฆ์จะรับรองไหม นี่เป็นข้อหนึ่งขึ้นมา

ที่ผมพิจารณาหรือผมพูดออกมา เพื่อให้หมู่เพื่อนได้ใช้ความพินิจพิจารณา หรือได้พิจารณาตามเหตุผลนี้ เทียบเคียงกับหลักธรรมหลักวินัยต่างหากนะ ไม่ใช่ผมจะเป็นผู้ล่วงเกินธรรมวินัย คือมันมีหลายแง่หลายทางนี่ ที่จะถือว่าถ้าได้ตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์แล้วถึงจะบวชได้ ถ้าไม่ได้ตั้งเป็นอุปัชฌาย์แล้วบวชก็เป็นโมฆะอย่างนี้ จะเป็นโมฆะจริง ๆ เหรอ ในเมื่อหลักพระวินัยมีอยู่นี่ พระวินัยท่านว่าผู้มีอายุ ๑๐ พรรษาขึ้นไปแล้ว และเป็นผู้ทรงธรรมวินัยด้วยดี มีสัมมาคาราวะ มีอาจาระดี เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพระเณรและประชาชนแล้ว ผู้นั้นเป็นอุปัชฌายะได้ โดยไม่ต้องตั้งจากผู้หนึ่งผู้ใดเลย แน่ะ..นี่คือพระวินัยตั้งเอง หรือศาสดาตั้งเองก็ได้ เพราะศาสดาเป็นผู้บัญญัติไว้ นี่..ยังมีข้อแม้อยู่อันหนึ่ง...

แต่ท่านไม่ทำอันนั้นเพราะเคารพในกฎอันนี้ ไม่ทำนั้นเฉย ๆ ไม่ได้หมายถึงว่าจะบวชไม่ได้เลย พระวินัยมีอยู่ทำไมบวชไม่ได้ ศาสดาแท้ ๆ เป็นผู้ตั้ง เป็นผู้บัญญัติขึ้น อันนี้เป็นพวกคณะสงฆ์เราสุดท้ายภายหลังมาตั้งขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นความวุ่นวายเกินไป เพราะสมัยทุกวันนี้.. พระองค์ที่โลภมากเป็นอุปัชฌาย์แล้วคอยแต่จะกิน มี (อย่างนั้น) นั่นจะว่าไง ไม่ใช่อุปัชฌาย์ด้วยความเมตตาสงสารกุลบุตร สุดท้ายภายหลังไม่ได้ทำด้วยความเมตตาสงสาร แต่ผู้ที่ทำด้วยความเมตตาสงสารไม่ได้หวังโลภโลเลอะไรเลย บวชตามหลักพระวินัยทำไมจะเป็นไปไม่ได้ นี่อันหนึ่งที่เป็นข้อคิด

สำหรับเราเอง เราแน่ใจว่าได้ทั้งนั้น ไม่มีใครตั้งก็ตามพระวินัยตั้งแล้ว นั่น.. พระวินัยตั้งแล้วคือศาสดาตั้งแล้ว.. บวชได้ แต่ท่านไม่ทำ..เพราะเคารพในกฎนี้ กฎนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนี่ ท่านบวชมาสักเท่าไรแล้วไม่ทำความเสียหาย มันเป็นกฎ เป็นระเบียบอันดีงามซึ่งควรเคารพ เราจึงเคารพเรื่อยมา บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงเคารพในกฎนี้เรื่อยมา แต่ไม่ถึงกับว่าจะต้องลบล้างพระวินัยข้อนั้นทิ้งไปเลย..ไม่ให้มี ให้มีแต่ผู้ที่ตั้งเป็นอุปัชฌายะแล้วถึงจะบวชได้เท่านั้น นี้พูดเป็นข้อคิดให้คณะสงฆ์เราได้คิด แต่ไม่ใช่ให้อุตริไปทำนะ คณะสงฆ์ท่านตั้งไว้แล้วก็เป็นความสวยงามแล้ว เรียบร้อยแล้ว เราทำเป็นแง่คิดแห่งพระวินัยข้อหนึ่งขึ้นมาเท่านั้นเอง...”

ลัก...ยิ้ม 22-08-2020 21:00

เครื่องรบกิเลส
“... เวลานี้เราทั้งหลายต่างก็คาดเครื่องรบเต็มตัวอยู่แล้ว เครื่องรบของเราทุกชิ้นซึ่งเป็นหลักธงชัย.. อันสืบเนื่องมาแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงได้ชัยชนะมาแล้ว เครื่องรบนั้นก็คือ บริขารแปดที่ประทานให้ผู้บวชเป็นพระ เป็นเณรในพระพุทธศาสนา ได้แก่ บาตร สบง จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว มีดโกน เครื่องกรองน้ำ และกล่องเข็ม นี่คือเครื่องธรรมของนักบวช ที่ประทานให้เป็นมรดกนับแต่วันอุปสมบท ปฏิญาณตนเป็นศิษย์พระตถาคต และทรงชี้วิธีปฏิบัติและทรงดำเนินเพื่อชัยชนะข้าศึก คือ กิเลส โลโภ โทโส โมโห อันเป็นส่วนภายในทุกกรณี แต่ประโยคสำคัญคือตัวของเราเอง บัดนี้เราได้คาดการรบไว้มากน้อยเท่าไร เพื่อนำชัยชนะมาสู่ตัวเรา

เครื่องมือในการรบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แยกออกไปตามมัชฌิมาปฏิปทามี ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นี่เป็นองค์แห่งปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี่เป็นองค์แห่งศีล สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่เป็นองค์แห่งสมาธิ รวมแล้วเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าแลสาวกท่านเดินทางสายนี้แล ซึ่งโลกทั้งหลายเดินได้โดยยาก...”

ลัก...ยิ้ม 22-08-2020 21:15

พระธรรมวินัย
“... เราที่ได้บวชมาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีหน้าที่การงานซึ่งจะทำได้โดยสมบูรณ์ ไม่มีอะไรขัดข้องยุ่งเหยิงเหมือนฆราวาสเขา เป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการที่จะบำเพ็ญตนให้ถูกต้องดีงามโดยลำดับ จนถึงจุดหมายปลายทางตามทางของพระศาสดา ที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม ... ถ้าไม่ปล่อยให้ความขี้เกียจขี้คร้านอันเป็นเรื่องของกิเลส ความท้อถอยอ่อนแออันเป็นเรื่องของกิเลสเข้ามาทำงานเสีย

พระวินัยก็ดี พระธรรมก็ดี เป็นทั้งทางเดิน ทั้งรั้ว..กั้นไม่ให้ปลีกแวะ เช่นพระวินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทางไว้ ธรรมเป็นทางสายกลาง เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา พระวินัยเป็นรั้วกั้นไว้ทั้งสองฟากไม่ให้ข้าม หรือปลีกแวะออกไป ปีนรั้วปีนราวคือหลักธรรมวินัย อันเป็นสวากขาตธรรมด้วยกันทั้งนั้น การทำรั้วไว้ด้วยศีลก็คือ การปิดกั้นทางที่จะผิดเป็นโทษเป็นภัยแก่ผู้เดินทางนั้น ไม่ให้ปืนออกไปสู่ภัยสู่อันตรายทั้งหลายอันจะนำมาซึ่งโทษ และดำเนินตามสายกลางคือมัชฌิมาเป็นลำดับลำดา ไม่ปลีกแวะจากหลักมัชฌิมานี้ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ไม่ลดละท้อถอย.. อย่างไรต้องถึงจุดที่หมายปลายทางโดยไม่ต้องสงสัย

คำว่าพระวินัยก็พอทราบกัน คือ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ เหล่านี้เป็นหลักพระวินัยทั้งนั้น ส่วนพระธรรมมีมากและละเอียดไปเป็นขั้น ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นต้น จัดเป็นหมวดธรรม พระวินัยเป็นของจำเป็นตามขั้นและเพศของผู้รักษา ... ไม่อาจเอื้อมล่วงเกิน ใจก็มีความเยือกเย็น ไม่เป็นอารมณ์เพราะเหตุแห่งความผิดศีลที่ตนรักษา จะอบรมใจให้สงบ เย็นใจ ผิวพรรณก็ผ่องใส และมีกิริยาองอาจ ไม่สะทกสะท้าน นี่เป็นศีลสมบัติที่เราได้รับในปัจจุบัน

ต่อไปก็เริ่มให้เป็นสมบัติขึ้นภายในใจ โดยวิธีอบรมจิต เช่น นั่งกำหนดอานาปานุสติ ถือลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ของใจ หรือพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่งที่จริตชอบ มีสติกำกับอยู่ที่ใจซึ่งบริกรรมธรรมบทนั้น ๆ เป็นอารมณ์อยู่.. ใจจะค่อยมีความรู้เด่นขึ้นที่จุดนั้น และมีความเย็นสบาย ความสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบ จะไม่เหมือนความสุขอื่นใดที่เคยผ่านมา ผู้ได้รับความสุขประเภทนี้แล้ว จะเป็นที่สะดุดใจทันที พร้อมทั้งความพอใจที่จะพยายามให้ความสงบสุขนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ...

ความสงบของใจมีหลายขั้น คือขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียด ตามแต่ผู้บำเพ็ญจะสามารถทำได้เป็นขั้น ๆ และพยายามทำจิตของตนให้ขยับขึ้นไปเป็นระยะ จนถึงขั้นละเอียดสุดของสมาธิ ส่วนความสุขอันเป็นผลย่อมมีความละเอียดขึ้นไปตามขั้นของสมาธิ ปัญญาก็มีขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียดเช่นเดียวกับสมาธิ และควรนำมาใช้กำกับสมาธิขั้นนั้น ๆ ได้ตามโอกาสอันควร จนเป็นความรอบคอบของนักปฏิบัติธรรมทุก ๆ ขั้นไป ...

ลัก...ยิ้ม 23-08-2020 12:16

อนุศาสน์ ๘ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔

“... นิสสัย ๔ อนุศาสน์ข้อที่ ๑ ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ... ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง อัพโภกาส อันเป็นที่สะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ปราศจากสิ่งรบกวนแล้ว จงอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด... ท่านไม่สอนว่านั้นตลาด นั้นถนนสามแพร่งสี่แพร่ง นั้นชุมนุมชนคนหนาแน่น พวกท่านจงไปกางกลดกางมุ้งอยู่ในที่ชุมนุมชนเช่นนั้น พวกท่านทั้งหลายจะปลอดภัย และถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ได้โดยพลัน อย่างนี้พระองค์ไม่ได้สอน ...

ข้อที่ ๒ ว่า ปํสุกูลจีวรํ ท่านทั้งหลายบวชมาแล้ว พึงแสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทอดทิ้งตามป่าช้า ตามถนนหนทาง นำมาปะติดปะต่อ ปะชุนกันเข้าเป็นผืนสบง จีวร สังฆาฏิ พอได้ครองร่าง และชีวิตสืบต่อเพศพรหมจรรย์ให้เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ สมกับเพศสมณะซึ่งไม่ใช่นักฟุ่มเฟือยโก้เก๋...

ข้อที่ ๓ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ เราบวชในพระศาสนาแล้ว อย่าเป็นผู้เกียจคร้าน จงบิณฑบาตมาฉันด้วยกำลังปลีแข้งของตัวโดยความบริสุทธิ์ใจ บรรดาศรัทธาญาติโยมทั้งหลายให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ ใส่บาตรให้เรามาฉันตามสมณประเพณี ซึ่งปราศจากการซื้อขาย ปราศจากการทำไร่ทำนาเหมือนอย่างประชาชน การบิณฑบาตมาฉันเป็นกิจวัตร ชื่อว่าเป็นการแห่งอาชีพที่บริสุทธิ์ของนักบวช พึงอุตส่าห์ทำอย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด

ข้อที่ ๔ คิลานเภสชฺช คือยารักษาโรค คำว่า โรคหรือไข้ เป็นได้ทั้งพระและฆราวาสไม่เลือกหน้า เมื่อความจำเป็นเกิดขึ้น เรื่องจำเป็นจะต้องแก้ไขก็ต้องมีขึ้นเป็นเงาเทียมตัว แต่พึงรู้จักประมาณในการขอจากญาติในพระศาสนา หรือคนให้โอกาสแก่การขอให้เป็นความดีที่สุด ความรู้จักประมาณเป็นธรรมจำเป็น นักบวชควรมีประจำตนตลอดเวลา...

อกรณียกิจ ๔ คือห้ามไม่ให้ทำ เด็ดขาดไปเลย เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากในกิจ ๔ ประการ เช่น ฆ่าสัตว์อย่างนี้เป็นต้น หรืออวดอุตตริมนุสธรรม...

นี่เป็นพระโอวาทที่พระองค์ทรงสอนพระทุกองค์ที่บวชมาต้องรับโอวาทข้อนี้.. จนได้นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ หรืออนุศาสน์ ๘ นั่น แจงออกมาอย่างนี้ให้รู้กัน...

ลัก...ยิ้ม 23-08-2020 12:20

การบำเพ็ญเพียรประจำวันของหลวงปู่มั่น

“... ปกติหลังจากฉันเสร็จแล้ว ท่าน (หลวงปู่มั่น) เริ่มเข้าทางจงกรมทำความเพียรราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง แล้วออกจากทางจงกรมเข้าห้องพัก และทำภาวนาต่อไปจนถึงบ่ายสองโมง ถ้าไม่มีธุระอื่น ๆ ก็เข้าทางจงกรม ทำความเพียรต่อไปจนถึงเวลาปัดกวาดลานวัด ท่านถึงจะออกมาจากที่ทำความเพียร หลังจากสรงน้ำเสร็จก็เข้าทางจงกรม และเดินทำความเพียรต่อไปถึงสี่หรือห้าทุ่มจึงหยุด แล้วเข้าที่สวดมนต์ภาวนาต่อไป จนถึงเวลาจำวัดแล้วพักผ่อนร่างกาย ราวสามนาฬิกาคือ เก้าทุ่มเป็นเวลาตื่นจากจำวัด และทำความเพียรต่อไปจนถึงเวลาโคจรบิณฑบาต จึงออกบิณฑบาตมาฉันเพื่อบำบัดกายตามวิบากที่ยังครองอยู่ นี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่ท่านจำต้องทำมิให้ขาดได้...”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:46


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว