กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 13-07-2020 14:13

บ้านตาดยุคสุดท้าย (พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๕๔)

เป็นยุคที่เปิดกว้างสู่สาธารณชนสูงสุด เนื่องจากองค์หลวงตาเมตตาออกมาช่วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อ้างอิงตามข้อมูลของวัดเก็บบันทึกไว้มีดังนี้
ปี ๒๕๔๑ จำนวน ๔๖ องค์ ปี ๒๕๔๘ จำนวน ๕๘ องค์
ปี ๒๕๔๒ จำนวน ๔๗ องค์ ปี ๒๕๔๙ จำนวน ๕๖ องค์
ปี ๒๕๔๓ จำนวน ๔๖ องค์ ปี ๒๕๕๐ จำนวน ๕๘ องค์
ปี ๒๕๔๔ จำนวน ๔๙ องค์ ปี ๒๕๕๑ จำนวน ๖๑ องค์
ปี ๒๕๔๕ จำนวน ๕๒ องค์ ปี ๒๕๕๒ จำนวน ๖๓ องค์
ปี ๒๕๔๖ จำนวน ๕๕ องค์ ปี ๒๕๕๓ จำนวน ๖๒ องค์
ปี ๒๕๔๗ จำนวน ๕๗ องค์


ครูบาอาจารย์ที่จำพรรษาร่วมกัน มีรายนามดังนี้
พระอาจารย์สงัด ฐิตธัมโม, พระอาจารย์สมบูรณ์ ปุณณารักโข, พระอาจารย์เสวต จิรธัมโม, พระอาจารย์จำเริญ คุณวโร, พระอาจารย์คัมภีร์ ญาณคัมภีโร,พระอาจารย์สันต์ชัย สันติธัมโม, พระอาจารย์ประพจน์ ทีฆายุโก, พระอาจารย์ปัญญา ฐิตโสภโณ, พระอาจารย์บัญชา เมตติโก, พระอาจารย์สุทธิชัย จักกวโร, พระอาจารย์สมฤกษ์ ญาณวโร, พระอาจารย์สุขกาย พลญาโน, พระอาจารย์สันติ สุปฏิปันโน, พระอาจารย์พอใจ โฆสธัมโม, พระอาจารย์เรือนทอง สันตจิตโต, พระอาจารย์อำพล ฐานุตตโร, พระอาจารย์ชำนาญ อภิปัญโญ, พระอาจารย์ทวี อัตตสาโร, พระอาจารย์ธีระเดช ถิรธัมโม, พระอาจารย์วิมาน เขมาภิรโต, พระอาจารย์ประพบ ลาภิโก, พระอาจารย์ยุทธนา ตันติปาโล, พระอาจารย์ทิพากร สุภาจาโร, พระอาจารย์สมชาย จิตตกาโร, พระอาจารย์นกหวีด กิตติวุฑโฒ, พระอาจารย์อดิศร รตนปัญโญ, พระอาจารย์ฉัตรชัย วิชโย, พระอาจารย์ชวลิต ภูริปัญโญ, พระอาจารย์เฉลิมชัย อธิจิตโต, พระอาจารย์ไพโรจน์ อภิปุญโญ, พระอาจารย์สิงห์โต โฆสโก, พระอาจารย์สมิง ปิยธัมโม, พระแกส รตนญาโณ, พระฉัตรแก้ว ญาณรังสี, พระเขมาสาลา ธัมมเฉโก, พระปิออต จิตตปัญโญ, พระวีระพงษ์ สุจิณณธัมโม, พระจันทร์ญา เปสโล, พระพรเทพ ญาณวุฑโฒ, พระอ้วน ธัมมเฉโก, พระไพโรจน์ อัตตคุตโต, พระฮานส์ ญาณธัมโม, พระปีเตอร์ ฐิตธัมโม, พระพิทักษ์ รตินธโร, พระมหาพิศิษย์ ธีรปัญโญ, พระธงชัย นิรโต, พระวีระพล สัจจวโร, พระไกรวัลย์ ฐานวโร, พระนิรันต์ นิรันตโร, พระมนู กิตติวัณโณ, พระรอนนี่ กันตธัมโม, พระจอห์น กุสโล, พระอาทิตย์เทพ อภิปัญโญ, พระวีระศักดิ์ ถาวรจิตโต, พระเพลินจิต อธิจิตโต, พระ ม.ล.สิทธิโชค สิทธิเตโช, พระหมาย มหัทธโน, พระศุภชัย ภูริปัญโญ, พระพิณโย กาญจโน, พระสมชาย ฐิตธัมโม, พระเจี่ย ปิยสีโล, พระเฮนรี่ หิริวโร, พระกัมพล ขันติพโล, พระพายัพ ฉันทสีโล, พระสัมพันธ์ ถิรโสภโณ, พระมณฑล วรจิตโต, พระศุภนิติ ครุโก, พระวรวุฒิ ภัททธัมโม, พระสารทูล สุชาโต, พระธนเศรษฐ์ สมังคิโก, พระปัญญา นิมโล, พระมนตรี จัตตสีโล, พระภานุมาศ ฐานิโย, พระสุชาติ ฐิตสุโข, พระโชติรส, พระดนัย โสภิโต, พระอภิสิทธิ์ สิทธิชโย, พระเกรสัน มนุญโญ, พระวินัย สิริกุโล, พระเจตน์ อาจิตตธัมโม, พระตีต้อง วรปัญโญ, พระโจเซฟ ปิยธัมโม, พระประเสริฐ ขันติโสภโณ, พระธงชัย อธิปัญโญ, พระปีเตอร์ ตปสีโล, พระปิโยรส ฐิตรโส, พระพิศาล วิชโย, พระเนตร สันตจิตโต, พระเดวิด อภิสัทโธ, พระพรชัย นาถธัมโม, พระทรงศักดิ์ ติกขวีโร, พระพยัคฆ์ ปัญญารัตโน, พระนิวัติ สุวัณโณ, พระวรัตน์ วรญาโณ, พระอนุวัฒน์ ปิยวาจโก, พระเดชา จัตตสัลโล, พระสมชาย วรจิตโต, พระบวร (โคคำมา) ฯลฯ


จำพรรษาในระหว่างเป็นสามเณร ไม่ทราบสถานภาพปัจจุบัน
สามเณรจิตติ สุวรรณพฤกษ์, สามเณรกะวีวัฒน์ นาสวัสดิ์, สามเณรนนท์ ยะสุตา, สามเณรเอกชัย ใจสุต๊ะ

ลัก...ยิ้ม 13-07-2020 16:45

บ้านตาดยุคสิ้นร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ (พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป)

เป็นยุคที่พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน โดยก่อนละขันธ์.. องค์ท่านบรรจงฝากพระธรรมคำสอนตอนเช้ามืดของวันใหม่ และปีใหม่เวลาตีหนึ่งเศษของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ โรงพยาบาลศิริราช ไว้เป็นเครื่องระลึกเตือนใจตลอดไป แก่พระอาจารย์สุดใจในนามผู้แทนคณะศิษย์ทั้งปวงว่า
มือของครูอาจารย์กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตร เพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้ เชื่อใจกันได้ ตายใจกันได้


องค์หลวงตา ท่านฝากเตือนคณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์ของท่านทั้งปวง ให้มีสามัคคีธรรม รักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้รักษาและสืบทอดมรดกธรรม ได้แก่ข้อวัตรปฏิบัติ คำสั่งสอน และปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินมา มิให้เสื่อมคลายและสูญหายไป ให้ฝากเป็นฝากตาย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป

ลัก...ยิ้ม 13-07-2020 16:49

๙. เสาหลักกรรมฐานสมัยกึ่งพุทธกาล

องค์หลวงตามักมีเหตุได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้เหตุผล ไหวพริบปฏิภาณและบารมีในการจัดการปัญหา และทุกเรื่องก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เป็นที่ลงใจของทุกฝ่าย ทางด้านปัญหาธรรม องค์หลวงตาก็มีโอกาสได้สนทนา แก้ปัญหาธรรมขั้นละเอียดให้แก่พระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจำนวนมาก จนถึงกับเคยได้รับคำยกย่องจากพระมหาเถระที่มีพรรษาสูงกว่าว่า "องค์หลวงตาเป็นอาจารย์ของท่าน" ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาทั้งส่วนย่อยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของท่าน จึงกล่าวขานได้อย่างสมบูรณ์แบบว่า องค์หลวงตาเป็นเสาหลักแห่งวงกรรมฐานสมัยกึ่งพุทธกาล

ลัก...ยิ้ม 14-07-2020 14:05

เสาหลักกรรมฐาน

งานฉลองกึ่งพุทธกาล

เมื่อครั้งที่องค์หลวงตาจำพรรษาที่จันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ชาวจันทบุรีได้เล่าให้ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ฟังถึงการเทศนาขององค์หลวงตาชนิดน้ำไหลไฟสว่างเลยทีเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วท่านทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนแล้วตั้งแต่หลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ องค์หลวงตาเล่าว่า
“... ท่านพ่อลีมีนิสัยเด็ดเดี่ยว อาจหาญชาญชัยมากในการประพฤติปฏิบัติ และท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เริ่มแรกโน้น จนกระทั่งได้พลัดพรากจากกันทั้งหลวงปู่มั่น และท่านเองก็เคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ


เท่าที่ได้สังเกตในเวลาท่านไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น รู้สึกว่าหลวงปู่มั่นท่านแสดงอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความเมตตาอย่างมากมาย เห็นได้อย่างชัดเจน แม้ท่านจะไม่ได้พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือเป็นเวลานานก็ตาม แต่สถานที่ให้พักสำหรับท่านพ่อลีเรานี้ ท่านเป็นผู้สั่งเองว่าให้ไปจัดที่นั่น ๆ คือในป่านอกบริเวณรั้ววัด ให้ท่านลีได้พักสบาย ๆ เพราะสงัดดีกว่าที่อื่น ๆ

คำว่าที่นั่น ๆ นั่นหมายถึงในป่าลึก ๆ โน้น แล้วก็สั่งเราเองนี้ให้เป็นผู้ไปดู และจัดสถานที่ที่จะให้ท่านพัก หลังจากนั้นท่านยังตามไปดูสถานที่พักนั้นอีกด้วย นี่ก็เป็นเหตุให้ประทับใจไม่ลืม และการให้โอวาทสั่งสอนใน ๒ – ๓ คืนที่ท่านพักอยู่นั้น รู้สึกว่าประทับใจอย่างมากทีเดียว

เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน และเป็นที่เมตตาเป็นที่ไว้วางใจของท่าน นาน ๆ จะได้ไปพบกับท่าน กราบนมัสการท่านครั้งหนึ่ง และได้สนทนาธรรมกัน ท่านจึงได้สนทนากันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรมทุกขั้นตอน ซึ่งยากที่จะหาฟังได้ในเวลาอื่น ๆ

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้ เพราะหลวงปู่มั่นนั้นแสดงอาการอันใดออกมา ย่อมเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความหมายที่จะยึดเป็นคติได้ตลอดไป ไม่สักแต่ว่ากิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยความหมาย นี่ท่านพ่อลีก็เป็นลูกศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเรา...”

จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านพ่อลีรู้จักคุ้นเคยกับองค์หลวงตาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านหนองผือแล้ว

ต่อมาเมื่อท่านเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดได้ไม่นาน ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ครบกึ่งพุทธกาล ท่านพ่อลีจึงได้จัดเตรียมงานฉลองพระพุทธศาสนาขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ความตั้งใจของท่านพ่อลีในทีแรก คิดจะจัดงานนาน ๒ อาทิตย์ แต่ก็มีเหตุให้ขยายวันเพิ่มออกไป

เป็นปกติธรรมดาเมื่อทำกิจการงานใด ปัญหาในงานนั้นย่อมเกิดมีขึ้นไม่มากก็น้อย และหากต้องอาศัยคนหมู่มากเข้าร่วมงานกันด้วยแล้ว การตกลงกันในงานเพื่อจะให้มีทิศทางเดียวกัน ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก มิฉะนั้น ปัญหายุ่ง ๆ พอให้รำคาญใจย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย แม้ในคราวจัดงานบุญครั้งนี้ก็เช่นกัน

พอเริ่มงานได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็เริ่มมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น คือจำนวนแม่ครัวมีไม่เพียงพอ ปัญหาเท่านี้คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อขยายผลมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ อันเป็นกิ่งก้านสาขาตามมาจนเป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงกันในที่สุด เนื่องจากยังหาจุดลงตัวไม่ได้ งานส่วนรวมจึงเกิดชะงักงันขึ้น กลายเป็นปัญหาโหญ่โต แม้จะมีพระภิกษุครูบาอาจารย์พยายามไปพูดคุยช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เป็นผลดีขึ้นแต่อย่างใด บางทีอาจซ้ำร้ายลงไปอีก ดังนี้
“... อย่างวัดอโศการามระงับเหตุก็เรา มีงานฉลอง ๒๕๐๐ คนแน่นหมดเลย งานนี้จะให้มีอยู่สองอาทิตย์ ทำประมาณสัก ๖ – ๗ วันเรื่องราวก็เกิดขึ้น ยังไม่ถึงไหนเกิดเรื่องขึ้นแล้วภายในวัด ยุ่งกันฝ่ายผู้หญิง.. แม่ครัวไม่พอบ้าง อะไรบ้างยุ่งไปหมด อโศการาม.. นี่ก็ท่านพ่อลีล่ะ ท่านก็สั่งท่านอาจารย์เจี๊ยะนี้ละ.. ไปหาเราว่า


บอกให้มหาบัวไประงับเหตุในครัวเดี๋ยวนี้ คนอื่นไปแทนไม่ได้โดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้ใครแทนเป็นอันขาด ให้มหาบัวเท่านั้นไป
แล้วก็บอกให้ท่านอาจารย์เจี๊ยะไปหาเรา ให้เราไประงับเหตุการณ์ในครัว เราบอก ‘ไปหาองค์อื่นไม่ได้หรือ’


‘ท่านห้ามเด็ดขาด ให้ท่านอาจารย์เท่านั้นไประงับเหตุการณ์ในครัว’

‘โอ๊ย.. ทำไงอย่างนี้’

‘ก็ท่านสั่งอย่างนี้ จะทำไง’ ตกลงเราก็เลยไป...”

ลัก...ยิ้ม 14-07-2020 14:31

ด้วยความจำเป็นเช่นนี้ ท่านจึงเข้าซักถามกับแม่ครัว เพื่อดูว่ามีปัญหาอะไร ต้นสายปลายเหตุอย่างไร เมื่อเข้าใจเหตุผลแล้ว ท่านก็ชี้ปัญหาและการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา ดังนี้
“... เราเอาอย่างหนัก ๆ เลยทีเดียว เพราะมันไม่ลงกัน แม่ครัวมีแต่เขาโค้ง ๆ ตัวใหญ่ ๆ ตัวทิฐิมานะใหญ่ ๆ ทั้งนั้นอยู่ในครัว พออาจารย์เจี๊ยะพูดคำหนึ่งเขารุมมานี้.. หลงทิศ เมาหมัด พอทางนี้พูด ทางนั้นขึ้น.. ทางนี้ขึ้นเลยนะ ฟาดอาจารย์เจี๊ยะ จนกระทั่งอาจารย์เจี๊ยะได้มากระซิบกับเรา
‘นี่ ๆ ท่านอาจารย์เห็นไหม ผมพูดอะไรไม่ได้นะ’


เราก็นิ่งเฉย.. ฟัง บทเวลาเราจะพูด บอกตรง ๆ เลย เราบอกชัดเจนเลย เอาอย่างเด็ดนี่นะ ไม่เด็ดไม่ได้
‘เอ้า.. ให้พูดคนละฝ่าย ฝ่ายไหนจะพูดเรื่องราวอะไร ให้พูดมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝ่ายหนึ่งให้นิ่ง ฝ่ายไหนจะพูดออกมา ทางนี้ให้เงียบหมด พอทางนั้นเสร็จเรียบร้อย เอ้า.. ทางนี้พูด ทางนั้นให้เงียบ ๆ’


ครัวก็มีแต่เขาโค้ง ๆ พูดให้มันชัด ๆ เสีย โอ้โหย.. ไม่ใช่เล่น ๆ นะ นั่นก็เอาอีกแหละ เข้าไปก็ใส่เปรี้ยงเลยเทียว นี่ก็ขบขันดีเหมือนกัน ทางนี้พูด ทางนั้นจะแย็บออกมาไม่ได้ ฟัดเลยนิ่งหมด
‘เอ้า.. ทางนี้มีอะไร เอ้า พูดออกมาให้หมด บอกให้หมด’


พอหมดแล้ว ‘หมดแล้วเหรอ’

‘หมดแล้ว’

เอ้า ทางนี้ขึ้น ทางนี้เงียบ ทางนี้ก็เงียบ ทางนั้นขึ้นเต็มที่ ๆ เราก็เอาทั้งสองเข้ามาประมวลกัน ไม่เอามากละ เอาเด็ดเสียด้วย เราว่า
‘เวลานี้พวกเราทั้งหลาย มากันในนามลูกศิษย์ของท่านพ่อลีนะ เราไม่ได้มาในนามอาจารย์ของท่านพ่อ เมื่อต่างคนต่างไม่ได้มาในนามของอาจารย์ท่านพ่อ เป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย การมาทะเลาะเบาะแว้งอย่างนี้ มันเป็นการเสริมเกียรติท่านพ่อ หรือเป็นการเหยียบท่านพ่อลง เอ้า..ตอบ’ นั่น ขึ้นอย่างนี้นะ ขึ้นงี้เลย


‘เวลานี้ท่านพ่อ ท่านไม่มีอะไร ท่านนิ่ง ๆ ฟังเหตุการณ์ของพวกเราอยู่ซึ่งกำลังกัดกัน.. วาสนาบารมีของท่านพ่อเป็นยังไง.. เราถึงมาทำอย่างนี้ เพราะเราทุก ๆ คนก็มาในนามลูกศิษย์ แล้วทำไมถึงจะปฏิบัติต่อกันไม่ได้ล่ะ ? ทำไมถึงกระทบกระเทือนถึงท่านพ่อ หากว่าท่านพ่อมาว่าแบบนี้จะว่ายังไงล่ะ ? ท่านพ่อจะพูดไม่กี่คำนะ จะพูด ๒ - ๓ คำแล้วพวกเราจะแก้ได้ไหม ? ...

เอ้า.. นี่หากว่าท่านพ่อ ท่านดำเนินตามความรู้ความเห็นของท่านแล้ว.. ท่านเตรียมบริขาร ๘ เท่านั้น เดินผ่านพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลาย อวดอ้างตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อ ๆ ทั้งวัดนี้น่ะ ท่านเดินผ่านมานี้ว่า อาตมาไม่มีวาสนาแล้วเวลานี้ มีลูกศิษย์เท่าไรก็ไม่สามารถที่จะระงับ หรือจะส่งเสริมวาสนาอาตมาได้
“อาตมาจะไปแล้วนะ อาตมาไม่มีวาสนาบำเพ็ญพาลูกศิษย์ลูกหา พาทำงานคราวนี้ก็ไม่ได้ อาตมาจะไปตาบุญตามกรรมของอาตมา”


สะพายบาตรเดินผ่านออกไปนี้ เอ้า.. ทั้งหมดนี้ใครจะไปเอาท่านกลับคืนมาได้ มีไหม เอ้า..ว่าซิ ท่านก้าวออกจากวัดนี้ไป เอ้า.. ใครจะติดตามไปเอาท่านมาได้ไหม ? ถ้าหากว่าพวกเราไม่รีบแก้ไขตั้งแต่บัดนี้.. ก็เวลานี้เหตุการณ์ยังอยู่ในฐานะสมควรที่จะแก้ไข พิจารณากันได้อยู่ในระหว่างลูกศิษย์ทั้งหลาย ที่จะคุยกันเพื่อส่งเสริมครูบาอาจารย์ แล้วปฏิบัติกันไม่ได้เหรอ ? ทำไมจะทำไม่ได้ แล้วจะให้ครูบาอาจารย์ออกหนีด้วยการว่าท่านมีวาสนาน้อย ในขณะเดียวกันพวกเราวาสนาเป็นยังไง ตอนนี้ท่านยังไม่ไป เราจะพิจารณายังไง ไอ้เรื่องแม่ครัวเขาก็มาในนามเป็นลูกศิษย์ทุกคน ไปโรงไหน ๆ ติดต่อโรงไหนก็ได้แม่ครัว ยากอะไร แต่หาครูบาอาจารย์นี้.. หาได้ง่าย ๆ เหรอ’

ในครัวเรียบวุธ นิ่งหมดเลย เห็นโทษของตัวเองหมด ยอมรับตามเหตุผลของเราทุกอย่าง ทีนี้ก็ลงพรึบเลย..”

พอท่านพูดถึงจุดนี้ ก็เหมือนเป็นการกระตุกเตือนใจ.. ให้ระลึกถึงบุญคุณท่านพ่อลี ที่อุตส่าห์เมตตาแนะนำสั่งสอนให้รู้ผิดชอบชั่วดี พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ต่างมีแก่ใจแข็งขันปัดปัญหาเหล่านั้นให้จางไป ไม่เห็นเรื่องขัดอกขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่ากิจการงานของครูบาอาจารย์ ต่างขันอาสารับปากรับคำท่านขึ้นในทันที ดังนี้
“... คนนี้จะไปติดต่อครัวนั้น คนนั้นไปติดต่อครัวนี้พรึบเดียวเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะเตรียมของออกมาเดินฉากหน้าไปนี้ .. ลงกันทันทีเลย พอเรากลับออกมาแล้วประกาศ

แม่ครัวนี้พรึบเดียว ยังไม่ถึง ๒ ทุ่ม ฟาด ๒ ร้อยคนแล้ว พอ ๒ ทุ่มกว่า ๒ ร้อยกว่าคน พอ ๓ ทุ่ม มีถึง ๓ ร้อยคน พอ ๙ โมงเช้านี้ออกมา ๓ ร้อยกว่า .. เรื่องราวเรียบไปเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะก้าวหนีจะเป็นยังไง อันนี้มันหนักมากขนาดไหน มันยอม มันเห็นโทษเลยพรึบเลย แม่ครัวเต็มเอี๊ยดเลยพอ เรียบตั้งแต่นั้นไม่มีเรื่องกันเลย จนกระทั่งท่านได้ขยายงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ โดยไม่มีปัญหาขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น เรื่องต่าง ๆ ก็สงบไปหมด เรียบตลอดเลย

นี่เราก็ไม่ลืม เรื่องราวเราล่ะเข้าระงับเรื่องครัว จากนั้นแล้วเราเอาสองเรื่องนี้มาประมวลกัน ก็ใส่ตูมไปเลย เรียบร้อยไปเลย ก็อย่างนั้นแล้ว นั่นล่ะเรื่องราวมันจึงไประงับ ท่านคงจะเห็นผล ..

ท่านเลยขยายงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ ทีแรก ๒ อาทิตย์ เห็นว่าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ก็ให้เลื่อนงานออกไปอีกเป็น ๓ อาทิตย์ แต่เราไปไหนไม่ได้นะ ท่านเห็นหน้าเราก็ว่า ‘มหาบัว..ไปไหนไม่ได้นะ ยังไม่เสร็จ.. มหาบัวไปไหนไม่ได้นะ งานยังไม่เสร็จ’

ท่านอาจารย์ลีกับเรามักจะเป็นอย่างนั้นละ ก็เดชะอยู่ไประงับที่ไหนเรียบทุกแห่ง ไม่เคยเหยียบหัวเราไปด้วยงานไม่สงบ ไม่เรียบร้อยไม่มี ไปทีไรก็เรียบร้อยทุกอย่าง อย่างวัดอโศการามก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อันนั้นก็เรียบไปเลย เป็นอย่างนั้น...”

คงเพราะเหตุการณ์จุดนั้น ด้วยส่วนหนึ่งเป็นผลให้ท่านพ่อลีสงวนท่านไว้ ไม่ยอมให้ท่านไปไหนตลอดระยะงานฉลองครั้งนั้น และเมื่อท่านพ่อลีเจอหน้าท่านครั้งใด มักจะพูดขึ้นแบบคนสนิทคุ้นเคยเช่นนี้

จากนั้นท่านพ่อลีก็พาท่านเดินไปดูที่นั่นที่นี่ ในตอนเช้าเวลาเลี้ยงอาหารกันบ้าง หรือดูเรื่องอื่น ๆ บ้าง ทำให้ทุกคนในงานครั้งนั้น.. เห็นถึงความเมตตาสนิทสนมที่ท่านพ่อลีมีต่อท่านอย่างเป็นกรณีพิเศษ

ลัก...ยิ้ม 15-07-2020 13:59

มหาบัว เอ้า ! พิจารณา

อีกครั้งหนึ่งที่วัดอโศการามแห่งเดียวกันนี้ มีการประชุมสงฆ์เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งองค์หลวงตาก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ครั้งนั้นมีแต่พระเถรานุเถระ ครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ ทั้งนั้น ทราบว่าระหว่างการชุมซึ่งยังหาจุดลงเอยไม่ได้นั้น ท่านพ่อลีได้บอกท่านให้แสดงความคิดเห็นด้วย ถึงกับพูดในที่ประชุมว่า
“มหาบัว เอ้า..พิจารณา”


ด้วยความจำเป็นและเคารพท่านพ่อลี ท่านก็ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย และนิสัยจริงจังเป็นพื้นเดิม การวินิจฉัยในเรื่องนั้นของท่าน จึงเป็นไปแบบเต็มเหนี่ยวเต็มเหตุเต็มผล และผลปรากฏว่า คณะสงฆ์ต่างเห็นดีหมด และยอมรับตามคำวินิจฉัยของท่านด้วยกันหมด วาระการประชุมที่มีลักษณะเหมือนว่าจะหาที่จบลงได้โดยยาก ก็กลับกลายเป็นอันตกลงยอมรับตามนั้นได้อย่างรวดเร็วถึงใจ การประชุมสิ้นสุดลงได้ด้วยดี

ความเมตตาที่ท่านพ่อลีมีต่อองค์หลวงตาอีกเรื่องนั้น เป็นระยะที่สุขภาพของท่านพ่อลีเริ่มไม่ค่อยดีนัก ท่านพ่อลียังอุตส่าห์เมตตาเขียนจดหมายด้วยตนเองมาถึงท่าน มีใจความโดยย่อว่า
“ให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดอโศการามด้วย”


แต่ในระยะนั้น ท่านเองก็เพิ่งเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นใหม่ ๆ เช่นกัน อีกทั้งพระเณรที่วัดก็มีไม่น้อย องค์ท่านจึงตอบกลับไปด้วยความเคารพว่า “ไม่สามารถไปจำพรรษากับท่านพ่อลีได้”

ลัก...ยิ้ม 15-07-2020 14:34

นิสัยวาสนาเรื่องประสาน

การประชุมปรึกษาหารือกันในงานใดก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายฆราวาสหรือสงฆ์ มักมีทางเลือกที่เหมาะสมหลายทาง การตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องกล้าหาญที่จะยกเหตุผลอันแน่นหนาและเป็นธรรม จะเป็นที่ลงใจแก่ทุกฝ่ายโดยง่าย ความกล้าหาญจริงจัง มีเหตุผล และเป็นธรรมเช่นนี้ เป็นคุณสมบัติเด่นขององค์หลวงตา จึงสามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นคราวหนึ่งมีการประชุมหารือที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเจ้าคุณธรรมเจดีย์ พระอุปัชฌาย์ของท่านถึงแก่มรณภาพแล้ว ที่ประชุมมีเรื่องปรึกษาปรารภเกี่ยวกับเรื่องเมรุ และบริขารเครื่องใช้ของเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ผู้ร่วมประชุมมีทั้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด พระเถระหลายรูป ฝ่ายฆราวาสก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และตัวแทนหน่วยงานราชการอื่นเข้าร่วมประชุมด้วย ดังนี้
“... เช่นอย่างวัดโพธิฯ นี่ประชุมกัน ๒ วัน ไม่เสร็จ เจ้าคณะต่าง ๆ มา ไปไม่ได้สองวันเต็ม เอากันอยู่สองวัน มีแต่เขาโค้ง ๆ นะ โอ้.. พระทะเลาะกัน ไม่ใช่เล่น ๆ นะ เจ้าคณะฯ ทะเลาะกัน พอวันที่ ๓ ท่านเจ้าคุณเลยเอาจดหมายน้อยให้เณรถือมาแค่นี้ เพราะเป็นกันเองเรากับท่านเจ้าคุณ ตั้งแต่เป็นมหาเปรียญด้วยกันมา จนท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาคอะไร ๆ เรื่อยมา เราคงเส้นคงวาหนาแน่นเป็นหลวงตาบัวตามเดิม


คือแต่ก่อนไม่มีรถ รถมันลำบาก ทางรถไม่มี มีเป็นทางล้อทางเกวียนเสีย ถ้าเป็นหน้าแล้งก็มีแต่ทราย ต้องรถจี๊ปถึงจะไปได้ ถ้าเป็นหน้าฝนมีแต่ตมแต่โคลน เราก็เดินไปเลย วันนั้นเณรเอาจดหมายน้อยมาแค่นี้ เดินมานะ ไม่มีรถ ไม่มีทางรถมา ท่านเจ้าคุณส่งจดหมายมาถึงเราว่า
“ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิฯ ให้ด้วย เวลานี้ไฟกำลังโหมลุกไหม้วัดโพธิฯ จะแหลกหมดวัดแล้ว มองเห็นแต่ท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้น ขอนิมนต์ไปโดยด่วน”


เราไม่สบาย มีไข้เล็กน้อย เป็นไข้อยู่แต่เราก็ไป เพราะเราเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ ที่ว่าประชุมตั้ง ๒ วันไม่เสร็จนี้อย่างไรกัน สิ่งที่ควรจะลงกันได้ทำไมไม่ลง เพราะเหตุผลกลไกอะไร นี่ละ..เป็นน้ำหนักอันหนึ่ง เราจึงต้องไป สะพายบาตรไปเลย คนเดียวนะ แต่ก่อนไม่มีรถเดินถึงวัดโพธิฯ เลย จากนี้ถึงวัดโพธิฯ เลย

ฝ่ายอธิกรณ์เรียกว่าฝ่ายข้าศึกก็มีผู้ว่าฯ เป็นผู้นำมา ทางฝ่ายวัดก็ทั้งวัด เอากันเสีย ๒ วันไม่ลง เจ้าคณะภาคที่ไหนมาประชุมก็ไม่ลงกัน พอประชุมกันที่จะทำเมรุแล้วล้ม มีอยู่ ๒ – ๓ คนที่ว่าทำเมรุให้ล้ม ๆ อยู่เรื่อย เป็นอธิบดีศาลอยู่ในนั้นคนหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่ง แล้วใครอีก ๓ คน มาทำให้เมรุล้มอยู่เรื่อย ๆ ถ้าว่าประชุมเท่านั้นล้ม ๆ ๓ คนทำให้ล้ม .. ไปวันนั้นก็ซัดกันใหญ่เลย เอาเจ้าคณะไหน ๆ มาชำระไม่ลง

เราก็เลยไป เลยตกลงมาเอาเจ้าคณะวัดป่าบ้านตาดไปเลย ๔๕ นาที เห็นไหมละ..เรียบ..! ยอมรับทั้งสองฝ่ายด้วยความพอใจ พอไปถึงก็เอากันเลย เราไม่ลืม ๔๕ นาที.. ใส่เปรี้ยง ๆ ดักนั้นดักนี้ ซัดนั้นซัดนี้ สุดท้ายยอมรับหมดเลย เป็นอันว่าหาที่ค้านไม่ได้แล้ว ยอมรับกันทั้งวัด ทั้งสองฝ่ายยอมรับด้วยเหตุผล นั่น..เห็นไหมล่ะ

นี่ล่ะ..ที่ว่าทำเมรุให้ล้ม ๆ ไปประชุมวันนั้นก็ซัดกันเลยกับเรา.. ไปทีไรไปขู่พระ สามกษัตริย์ใหญ่นี่ ในนั้นมีอธิบดีศาลคนหนึ่งด้วย ไม่ใช่น้อย ๆ ละ ไม่เคยโดนกันจังต่อจัง..ใส่กัน เข้าใจไหม ? บทเวลาเราเข้าประชุมขึ้นผางมา ทางนี้ก็ซัดกันเปรี้ยงเลย โอ๋ย.. ในที่ประชุมนี้เงียบกริบเลย เวลาได้ซัดกัน.. อย่างนี้ละ

ทางวัดรู้สึกว่าพร้อมกันหมดนะ เจ้าอาวาสพูดกับพระผู้ใหญ่ ๆ ในนั้น วันนี้ท่านอาจารย์มหาบัวจะมาชำระเรื่องนี้นะ เราเองไปนิมนต์ท่านมา ให้ฟังเสียงท่านนะทุกคน เท่านั้นละท่านสั่งเอาไว้ .. ไปก็เอาเลย ประชุมปึ๊บขึ้นมาเลยเป็นอย่างไร เหตุผลกลไกอย่างไร.. ไล่มาเรื่อย ๆ เข้าไป เราเอาหลักธรรมวินัยกางตลอด ไม่ได้นอกเหนือไปจากหลักธรรมวินัย เอากัน.. ซักกันไปซักกันมา เอาไปเอามามีแต่เราคนเดียววันนั้น เราเป็นคนซักคนนั้น เหตุที่ไม่ลงรอยเพราะใครเป็นต้นเหตุ.. ไล่เข้าไปหาผู้นั้น ซักกัน ๆ ๔๕ นาที

ผู้ว่าราชการจังหวัดไปกับฝ่ายนั้นละ ฝ่ายทำลาย.. ไม่ลง วันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็มา ๆ ดูว่าเป็นฝ่ายนั้น เป็นลูกศิษย์ของฝ่ายนั้น ฝ่ายไม่ลงใคร ไปก็เอาเลยละ ทีนี้ใครก็คอยฟังเสียงเรา เพราะเรื่องอะไรมันก็ไม่เสร็จ ประชุมกันทีนี้ก็ฟังเสียงเรา เราก็ถามต้นเหตุเป็นอย่างไรไล่มา ๆ ๆ เอาธรรมวินัยเข้ากาง ๆ ซัดกันเลย มัดกันเข้าเลย เอา.. พูดง่าย ๆ อย่างนี้ละ ซัดกันเข้า มัดเข้า ๆ สุดท้ายแพ้ พอพูดอะไร
‘เอา.. ถ้าสงฆ์เห็นด้วยตรงไหนให้ยกมือขึ้น พรึบ ๆ ๆ เอา.. เจ้าของว่าอย่างไร เอ้า.. ค้านมา’


เจ้าของเงียบ เป็นอันว่ายอมรับโดยดุษณีภาพ นิ่ง ๆ เอาซักกันไป ๆ พอซักกันไปถึงจุดแล้วก็พอ เราลงจุดปึ๊บทางนี้ เอา.. นี้ผิดหรือถูก ถ้าถูกให้ยกมือขึ้น พรึบ ๆ เลย เอากัน ๔๕ นาทีเรียบร้อย ซักกันอย่างหนักนะ

นั่นละที่เจ้าคุณอุดร นิสัยท่านเรียบร้อย ท่านดุใครไม่เป็น ไอ้เรามันว่าหมาว่าแมวอยู่ในนี้หมด ทั้งกัดทั้งข่วน พอขึ้นเวทีก็ซัดกันเลย ผู้ว่าฯ ก็นั่งอยู่นั่น เราเป็นคนซัก ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายลงเลย เราสรุปเลยนะ เป็น ๔๕ นาทีนะนั่น ซัดกันมีแต่เรากับเจ้าของคดีที่ไม่ลง คือขวางกันอยู่นั่นเพราะเหตุใด เอา..ไล่มา ซัดกันไปซัดกันมา สุดท้ายลงทั้งฝ่ายนี้ฝ่ายนั้น เอา.. ถ้าไม่ลงตรงไหนให้ค้านมา เราไม่พูดถึงเรื่องราวที่ไม่ลงเพราะอะไรละ เราเอาธรรมวินัยเข้ากางกับเรื่องราวนั่น ใส่กัน ๆ เข้าไปเลย บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็ยกมือพร้อม ๆ กันลงเรียบร้อยเลย

เราคนเดียว เราพูดกับคู่กรณีกันว่าอย่างนั้นเถอะ กรณีที่ให้แตกกระจาย ๆ ไม่ให้ลงได้นะนั่น มัดกันไป ซัดกันไปซัดกันมา มัดกันเข้า สุดท้ายก็เลยลงเรียบร้อย ๔๕ นาที เราไม่ลืมนะ ทีนี้พอเสร็จแล้ว เราเหนื่อยก็นอนแผ่สองสลึง พวกนั้นก็เลิกกันไป พวกพระก็เข้าไปนวดเส้นให้ เจ้าคุณอุดร.. นิสัยเรียบนะ เป็นนิสัยดุใครไม่เป็น พอนั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างนี้เงียบ ๆ ละ นิสัยของท่านนั่นแหละ พูดขึ้นอยู่คนเดียวข้าง ๆ หมู่เพื่อนนี่ละ
‘ถ้าใครอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที’


พอว่าอย่างนั้นเราก็ขู่ว่า ‘ก็เรื่องราวมันเสร็จสรรพเรียบร้อยไปแล้ว.. มาอุ่นกินหาอะไร มันเน่าเฟะไปแล้ว ท้องเสียท้องบูดไปหมดนี่น่ะ มาอุ่นกินหาอะไร เรื่องแล้วไปแล้ว’

ทดลองดูท่านจะออกกิริยาไหน กิริยาเก่า ‘โอ๋.. มันก็น่าอุ่นน่ากิน กินทั้งวันก็กินได้สบาย เพราะมันมีรสชาติอยู่’

ท่านก็ว่าของท่านสบาย ขบขันนะ เราแหย่..เราขู่ท่าน นึกว่าท่านจะมีกิริยาอะไร เหมือนเดิม.. ดุใครไม่เป็น เราก็อดหัวเราะไม่ได้ โอ้..นิสัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ ดุคนไม่เป็น ไอ้เราเป็นฝ่ายดุ เจ้าคุณยังอยู่นี้ละ..ทุกวันนี้ ดุท่านนึกว่าท่านจะขึ้นแบบไหน.. ไม่ขึ้นนะ ขึ้นแบบเดิม .. ท่านเจ้าคุณอุดร ชื่อสวัสดิ์ บวชเป็นลูกวัดโพธิฯ มาแต่นู้น..จนกระทั่งป่านนี้.. ท่านดุใครไม่เป็นนะ นิสัยท่านเรียบมากทีเดียว ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลย.. เรียบตลอด เราหาอุบายวิธีแหย่ให้ความโมโหท่านขึ้นบ้าง .. ไม่มี ท่านเรียบอยู่ตามเดิม

นี่ละ..ที่ว่าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเรา ให้ท่านมาดูเวลาขึ้เวที คือเวลาขึ้นเอาจริง ๆ นะเรา ไม่มีสูงมีต่ำ เอาธรรมกางเข้าเลย เอาธรรมกางเข้าไป ไล่เข้าหาธรรม หาวินัย.. ที่อื่นขัดกับธรรมวินัยซัดกันตรงนั้น ๆ นั่นละ..ยอมรับกันหมดทั้งวัดเลย คู่กรณีก็ยอมรับ ผู้ว่าฯ มาด้วยกันก็เงียบ ไม่มีว่าอะไรเลย คือเวลาขึ้นมันไม่มีสูงมีต่ำนะ เอาธรรมวินัยออกกางแล้วซัดไปตามนั้นเลย ทีนี้กิริยาอาการทุกอย่างมันก็ขึ้นนั่นละ อย่างที่ว่าอยากเห็นฤทธิ์เห็นเดชอาจารย์ของเราให้มาดูเวลาขึ้นเวที คือเวลาขึ้นเวทีมันซัดจริง ๆ เข้าใจไหมล่ะ เอาเปรี้ยง ๆ เลย

พูดเรื่องอธิกรณ์เรื่องอะไรนี้มักจะมีเสมอ มันจะเป็นนิสัยวาสนาอะไรไม่รู้นะ เราเข้าจุดไหนก็เป็นอันว่าเรียบลงไปทุกแห่ง ไม่ใช่ครั้งนี้.. มีทุกแห่งใหญ่ ๆ ทางภาคกลางก็เหมือนกัน.. มีใหญ่ ๆ ทั้งนั้น แต่ก็เดชะทุกครั้งไม่เคยพลาดนะ เรียบร้อยลงด้วยดี เป็นอย่างนั้นนะ มันคงจะมีนิสัยวาสนาอันหนึ่งประสาน ๆ ให้เรียบร้อยเป็นที่ลงใจกัน.. ยอมรับกัน ก็เรียบร้อยไปด้วยดีทุกแห่งที่.. เราเข้าประชุมทีไรเป็นอย่างนั้นละ ..

ไปที่ไหนมักจะเป็นนะเรา มันจะมีนิสัยวาสนาอย่างนั้นก็ไม่ทราบ คือส่วนยุแหย่ไม่มีเลย แต่ส่วนประสานนี้มีเต็มหัวใจ เต็มกิริยาอาการทุกอย่างตลอดมา คงเป็นอานิสงส์อันนี้ละมัง ? มันก็เหมือนว่าจะมีวาสนาไปทางเรื่องประสานนะ มักมีเสมอ เรามักจะไประงับได้ทุกงาน ไม่มีงานไหนที่เราได้เข้าแล้ว ได้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่สำเร็จ ไม่เคยปรากฏ เข้าในงานไหนปั๊บ..เรียบร้อย ๆ ไป เรามักจะมีนิสัยวาสนาทางนี้ เพราะนิสัยของเราชอบประสานนะ ที่ยุแหย่ให้แตกไม่มีในเรา ...

ในวัดโพธิ์ .. นี้มีเรื่องอะไรต้องเอาเราไประงับนะ แต่เดชะนะ.. เรียบทุกที ไม่เคยข้ามหัวเราไป ไปตั้งก๊กใหม่ต่อสู้กับเราอีกอย่างนี้ไม่เคยมี พอลงแล้วหมอบ ยอมทั้งสองฝ่าย คู่กรณียอมเรา มันคงจะเป็นวาสนาอันหนึ่งอยู่ คืออะไรก็ตามระงับ อะไรเรียบหมด ๆ นะ อธิกรณ์ใหญ่ ๆ เราเข้าปั๊บ เรียบ .. ดี รู้สึกว่าสายศาสนานี้รู้สึกจะราบรื่นดีนะ ไม่เคยมีอะไรเลยนะ ตั้งแต่เริ่มบวชมาจนกระทั่งป่านนี้ ไม่เคยมีอะไรมาขัดมาข้อง หรือเรื่องราวใด ๆ มัวหมองไม่เคยมี มีแต่ระงับ.. ระงับเรื่องราวต่าง ๆ หรืออธิกรณ์ต่าง ๆ มักจะเด่นอยู่ เด่น.. อย่างวัดโพธิฯ นี้ เกิดเรื่องอะไรจะต้องมาเอาไป เอาเราไป เรียบเลยนะ ...

จิตนี้ไม่มีอับเฉา จ้าตลอดเวลา เรียกว่าภูมิใจ การตายของเราไม่มีวิตกวิจารณ์ ภูมิใจคือมันจ้าอยู่ในนี้ จึงว่าสมมรรคสมผลทางศาสนา ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ ขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยไม่สะดวก ๆ เราก็เป็นคนจะว่าทิฐิก็ถูก มันไม่ลงใครง่าย ๆ นะ ถ้าหากว่าเหตุผลไม่ลง ไม่ละนะนี่ นี่ถ้าเป็นทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยมา พอทางธรรมปั๊บติดเลย สะดวกจนกระทั่งป่านนี้

จนป่านนี้ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรทางศาสนา นอกจากระงับดังเรื่องทั้งหลายเท่านั้น ที่จะให้เกิดเรื่องเกิดราวเราไม่เคยมี มีแต่ระงับดับเรื่องของสงฆ์ของพระมีเรื่อย ๆ ไปเลยมีมากนะ.. มันก็คงจะสายบุญสายกรรมไปทางนี้ละ ไปทางสายระงับดับเรื่องต่าง ๆ เพราะมันมากต่อมากนะเรา ใหญ่แทบทั้งนั้นละ ระงับได้เรียบ ๆ เลย ในตัวของเรารู้สึกจะทางด้านศาสนา ทางด้านธรรมะโล่งกว่ากัน ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ ตลอด ถ้าทางธรรมราบรื่นเรื่อยตั้งแต่บวชจนป่านนี้ ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรที่จะได้รับความหนักใจจากเราไม่เคยมี นอกจากเราช่วย ๆ ยกตัวอย่างเช่น อย่างวัดโพธิฯ

เอ๊.. มันก็แปลกอยู่นะ เดชะอันหนึ่งอยู่ ไปเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์องค์ใดไม่ว่าฝ่ายปฏิบัติ ไม่ว่าฝ่ายปริยัติ รักทั้งนั้น..รักเรา เมตตามาก ทางฝ่ายปริยัติก็เมตตามาก ทางฝ่ายปฏิบัติก็เมตตามาก ยกตัวอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นรักเมตตาอยู่ลึก ๆ นะ ไว้ใจ.. ทุกอย่างไว้ใจ ถามนู้นถามนี้อะไร ๆ ถ้าอะไรที่ยังไม่ลงกันแล้วท่านมหาว่าอย่างไร ท่านถามมาแล้วนะ เอาเราเป็นข้อสรุป ท่านมหาว่าอย่างไร ท่านว่าอย่างนั้น ๆ พอว่าอย่างนั้นเรียบ เอาล่ะ..ถูกต้องแล้วตามที่ท่านมหาพูด แน่ะ..อย่างนั้นนะ ไม่เคยค้าน ทางศาสนานี่โล่ง ทางโลกขัด ๆ ข้อง ๆ เรื่อยไป ทางศาสนาปุ๊บเลย ทะลุ ๆ เลย ...

คบค้าสมาคมกับครูบาอาจารย์เรียกว่าเข้าขั้นดีมาก ทางฝ่ายปริยัติก็ตาม ครูบาอาจารย์รักทั้งนั้น ทางฝ่ายปฏิบัติเช่น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไว้ใจเลยทุกอย่าง ก็ดี.. เป็นผู้น้อยคอยดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ท่านไว้ใจ ๆ ...”

บทสรุปของที่ประชุมคราวนั้นปรากฏว่าไม่มีใครคัดค้าน ทุกคนตกลงเห็นดีเห็นงาม และเซ็นรับรองข้อยุติร่วมกันด้วยความเรียบร้อย พร้อมนี้ยังขอให้ท่านร่วมเซ็นชื่อเป็นเกียรติด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้เซ็นชื่อแต่อย่างใดด้วยเหตุผลว่า
“เราไม่ได้มาเพื่อการลงเอาชื่อ แต่มาเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างหาก เมื่อวาระสงบเรียบร้อย เราก็พอใจแล้ว”


ด้วยอุปนิสัยของท่านที่มีเหตุมีผล และมีความจริงจังเด็ดขาด ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดหรือคนใดยิ่งกว่าธรรมนี้เอง องค์ท่านจึงมักถูกขอให้เป็นหลักในการประชุมสำคัญ ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งการแสดงความคิดเห็นของท่าน จะพยายามหาจุดที่ถูกธรรมวินัย ดังนั้น..เรื่องที่เป็นปัญหาอยู่นั้นจึงมักไม่มีสิ่งกระทบกระทั่ง หากมีก็น้อยที่สุด แต่ก็ด้วยถือเอาเหตุผลและธรรมเป็นใหญ่ การประชุมครั้งสำคัญในที่ต่าง ๆ จึงยอมรับตกลงกันได้ง่าย และสงบเรียบร้อย

นอกจากการประชุมที่ท่านเข้าร่วมวินิจฉัยด้วยดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ท่านก็ยังมีโอกาสเข้าร่วมประชุมครั้งสำคัญ ๆ อื่น ๆ อีกมาก เช่น ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น

ลัก...ยิ้ม 16-07-2020 22:47

1 Attachment(s)
ที่ปรึกษาแห่งวงกรรมฐาน

ในระยะต่อ ๆ มา องค์หลวงตามักได้รับคำร้องขอจากคณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสอยู่เนือง ๆ ขอให้รับเป็นประธานให้คำปรึกษา แนะนำและตัดสินใจในงานสำคัญต่าง ๆ ที่มีแง่มุมปลีกย่อยมากมาย อันเป็นเหตุให้มีเรื่องต้องถกเถียงกันอยู่เนือง ๆ ครั้นเมื่อมีประธานที่ปรึกษาที่เด็ดขาดจริงจัง และประกอบด้วยเหตุผลอรรถธรรม เช่นองค์ท่านเป็นผู้ตัดสินใจร่วมอยู่ด้วยแล้ว งานนั้น ๆ มักผ่านไปได้อย่างราบรื่นทุกครั้งทุกคราไป เป็นที่อบอุ่นเย็นใจแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ด้วยความเมตตาและเห็นถึงความจำเป็นดังกล่าว ทำให้องค์ท่านยอมเหน็ดเหนื่อยแบกภาระที่มาเกี่ยวข้อง และรับผิดชอบในเรื่องสำคัญ ๆ เสมอ อาทิ

- เรื่องการจัดตั้งวัดกรรมฐานในจังหวัดต่าง ๆ ทุกภาค เพราะมีเจ้าศรัทธาอยากถวายที่ดินท่านเป็นจำนวนมาก

- เรื่องสุขภาพการเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลครูบาอาจารย์องค์สำคัญที่อาพาธหนัก

- เรื่องงานพระราชทานเพลิงศพของครูบาอาจารย์ท่านนั้น ๆ

- เรื่องการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์และเจดีย์สถานของครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์องค์สำคัญ ๆ

- ฯลฯ

จากศพครูบาอาจารย์ที่องค์หลวงตามีความจำเป็นต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้องมีจำนวนมาก อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ท่านพระอาจารย์สีทน ลีลธโน หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ฯลฯ และงานอื่น ๆ อีกหลายวาระด้วยกัน ขอยกตัวอย่าง เฉพาะงานศพหลวงปู่ฝั้นและหลวงปู่ขาวแต่พอสังเขป ที่เป็นเหตุให้องค์หลวงตาต้องได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนี้
“พูดถึงเรื่องหลวงปู่ฝั้นท่านเมตตา .. เมตตามากอยู่นะกับเรา เอะอะก็ต้องเกี่ยวกับเรา เกี่ยวกับเราอยู่เรื่อย ๆ ท่านคงเห็นว่าหมาตัวนี้มันกัดเก่ง มันเห่าก็เก่ง กัดก็เก่ง เลยยุมันเรื่อย.. ให้มันกัดเรื่อยซิท่า แล้วเรื่องศพของท่านก็เรียบร้อยไปทุกอย่าง ... ไม่มีอะไร


อันนี้ก็เอาเราไปเป็นหัวหน้าอีกเหมือนกัน เผาศพท่านเราเป็นคนจัดแจงทุกอย่าง คนมามากต่อมาก รถนี้ไปหาจอดตามอำเภอ ตามโรงร่ำโรงเรียน ตามสถานที่ว่าง เขาเปิดทางให้พวกอำเภอพรรณาฯ ทั้งอำเภอ เปิดทางให้หมดฯ ให้รถเข้าจอดได้หมดเลย เพราะรถมากต่อมาก นี่เราไปเป็นหัวหน้างานอยู่นั้น.. ไม่ใช่เล่นนะ หลวงปู่ฝั้น.. เรารู้สึกหนักมาก...

ออกจากนั้นมา หลวงปู่ขาวอีก อันนี้ก็มาโดนกันอีกแหละกับผู้ใหญ่ กับด็อกเตอร์เชาวน์จะเป็นใครไปมานี้ เขาก็มาขอให้เราเป็นประธานอีกแหละ เจดีย์หลวงปู่ขาว เราว่า ‘โอ๊ย.. เงินก็มีแล้วนี่นะ เงินไม่อดไม่อยาก พอแล้วทุกอย่าง.. จะให้เป็นประธานอะไร’

ทางด็อกเตอร์เชาวน์พูด ‘โอ้โห เงินไม่สำคัญนะท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าประธานนะ’

เราสะดุดกึ๊ก.. วิ่งไปหาทางเจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้น เราก็เลยนิ่งยอมรับ ...”

ระยะต่อมาต่อเนื่องยาวไป.. จนเกือบวาระสุดท้ายขององค์หลวงตา ยิ่งมีความจำเป็นต้องเข้าไปเป็นประธาน ในการดูแลอาการอาพาธและงานศพของพระสายกรรมฐานมากยิ่งขึ้น ดังตารางในท้ายบทนี้

ลัก...ยิ้ม 16-07-2020 23:02

ไม่เสริมมูลนิธิ มุ่งสงเคราะห์ช่วยเหลือ

องค์หลวงตาเห็นความลำบากของพระกรรมฐานอาพาธ เวลามารักษาตัวในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด สมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญเท่าที่ควร ท่านจึงยอมรับและสนับสนุน “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น” ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ส่งเสริมให้มี “มูลนิธิ” อะไร หากไม่มีเหตุผลความจำเป็นจริง ๆ องค์ท่านให้เหตุผลว่า
“... เมื่อเร็ว ๆ นี้ พระก็มาปรึกษาหารือแล้ว มาขอเงินด้วย ปรึกษาหารือแล้ว.. ถ้าหากว่าเราเห็นด้วยก็จะขอเงินเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ขอ.. รอไว้ก่อน จะทำบุญเลี้ยงพระแก่ว่าอย่างนั้น พระแก่ไม่มีใครเหลียวแล ขาดคนเหลียวแล ช่วยตัวเองไม่ได้ อยากทำมูลนิธิไว้สำหรับพระแก่ มาปรึกษาครูบาอาจารย์จะเห็นว่ายังไง แล้วเงินก็ไม่มี ขึ้นแล้วเรื่องเงินก็ไม่มี พอพูดออกมานั้นปั๊บ.. ถึงมีก็ไม่ให้ ตอบทันทีเลย มันถึงจุดที่จะตอบแล้วตรงนั้น


‘ถึงมีก็ไม่ให้ ผมไม่ส่งเสริม พระพุทธเจ้ามีมูลนิธิที่ไหน พระอรหันต์ท่านเป็นสรณะของพวกเรา ท่านมีมูลนิธิที่ไหน ทำไมถึงเก่งกว่าครูนัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ดูแล ตายด้วยลำพังตนเองอัตโนมัติ หรืออัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตายด้วยตนเองนั้นมันเลิศ มันประเสริฐ ตายไม่ได้เหรอ ทำไมจึงต้องไปหาทำมูลนิธินิแธะ ต่อไปนี้มูลนิธิจะเต็มบ้านเต็มเมือง มือจะล้วงเข้าไปในบาตรไม่ได้นะ มูลนิธิจะตีข้อมือเอา มูลนิธิเป็นใหญ่กว่าแล้วเวลานี้’

ว่าอย่างนี้แหละ บอกเราไม่เห็นด้วยและไม่ให้ด้วย บอกตรง ๆ เลย ‘เอ้า มันจะตายจริง ๆ เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ไม่มีใครเหลียวแล ให้เห็นเสียทีเถอะน่า.. เดี๋ยวนี้ไม่เห็น เห็นแต่ความอ่อนแอของพระเต็มบ้านเต็มเมือง เห็นเต็มไปหมดอย่างนี้น่ะ ความช่วยตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติ.. ตายลงไปแล้วเหมือนหนูตัวหนึ่งก็ตายให้มันเห็นวะ’

เราว่าอย่างนั้น นี่ก็ไม่ต้องการอยากจะตาย เกลื่อนกล่นวุ่นวายอย่างนี้นะ อยากตายแบบหนูตัวเดียว มันจะตายไม่ได้นะแบบนั้น พูดถึงขั้นจะพูดออกมาหาเจ้าของเสีย นี่อาจหาญมาก บอกตรง ๆ บอกว่ามากสุด มากสุดหัวใจ ไม่มีสะทกสะท้านเรื่องความเป็นความตาย มาเมื่อไร.. มาเราเรียนจบแล้ว บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย ความเป็นก็เป็นอยู่ ธาตุขันธ์มันทรงตัวอยู่ ตายก็ธาตุก็ธาตุขันธ์มันสลายตัวลงไปหาธาตุเดิมของมันเท่านั้น ธรรมชาติที่เหนือกว่านั้นอยู่แล้ว ทรงไว้แล้วนี้ บกพร่องอันไหน ให้มันเป็นอย่างนั้นซี เป็นเมื่อไรตายเมื่อไร มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เอะอะมูลนิธิ ๆ พวกบ้ามูลนิธิ เราว่าอย่างนี้แหละ เราไม่เห็นด้วย

วัดนี้เขามาขอตั้งมูลนิธิน้อยเมื่อไร หากไม่คุยนะ เขามาขอตั้งมูลนิธิ จะตั้งขึ้นโน้น.. ทางมหามกุฏฯ วัดบวรฯ ตั้งมูลนิธิไว้ เอาดอกผลมาเลี้ยงพระในวัด อย่ามาตั้งนะ พระหากินไม่ได้ให้มันตายเสีย อย่ามาตั้งให้มันยุ่งนะ ไม่ตั้งจริง ๆ ใครมาผ่านเราตัดปั๊วะทีเดียวเลย นี่ดูว่าเขาขโมยตั้งก็มีนะ อยู่กรุงเทพฯ วัดบวรฯ มหามกุฏฯ เขาบอกผลรายได้มาเราถึงรู้ อ๋อ.. นี่เขาขโมยตั้งแล้วนี่ เขาเอาดอกผลออกมาบอกเรา เราบอกว่ามอบคืนต้นมูลนิธินั่น

เราไม่เคยรับสักสตางค์ละ ส่งมาเท่าไรเราก็ส่งกลับคืน ๆ ให้เขาไปมอบนั้น แล้วพวกจะตายด้วยมูลนิธิให้ได้กินกัน เราไม่หวังกินละกับมูลนิธินิแธะนี่ นี่เราจะหวังกินกับพวกนี้ นี่มูลนิธิใหญ่ของเรานี่นั่งเต็มศาลานี้ นี่มูลนิธิใหญ่ จะไปหวังอะไรกับมูลนิธินิแธะนั่น เราเอามูลนิธิเหล่านี้มาเป็นชีวิตของเราเป็นประจำอยู่แล้ว เข้าใจหรือเปล่าล่ะ..พวกมูลนิธิน่ะ (หัวเราะ) ...”

ครั้นเมื่อองค์หลวงตายอมรับและเห็นประโยชน์ในมูลนิธินั้นแล้ว องค์ท่านก็เป็นธุระเอาใจใส่ดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงกันไว้จริง ๆ ดังนี้
“... การปฏิบัติธรรมมันกำลังจะล้มเหลวไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้น่ะ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเราก็ล่วงไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือก็ค่อยร่วงโรยไป ๆ แล้วจืด ๆ ไป ในสิ่งที่ดีทั้งหลายจืดไป ๆ ในสิ่งที่เลวทั้งหลายแล้วเข้มข้นเข้ามา ๆ ปรากฏว่ามีรสชาติเข้ามาเรื่อย ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อย ไม่รู้วันรู้คืนเข้าแล้วนะเวลานี้ มันจะเป็นกรรมฐานเป็นบ้านะ อันนี้ได้วิตกวิจารณ์มากทีเดียว มันจะเป็นกรรมฐานทันสมัย แล้วก็เอาชื่อครูบาอาจารย์ไปจำหน่ายขายกินนะ เฉพาะอย่างยิ่งก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น สายท่านอาจารย์มั่นนี้สำคัญมากนะ นี่ละ..ที่ขายกินของพระโจร.. ผู้ร้ายในวงปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้


เราอย่าเข้าใจว่า กรรมฐานนี้จะดีไปทุกรูปทุกนาม มันไม่ดีนะ ที่ดีมีน้อย ที่ชั่วเลวทรามมีมาก เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้ทำความเข้าใจเอาไว้กับตนเองว่า เราจะเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน ประเภทลูกศิษย์มีครูจริง ๆ หรือประเภทแบบแหวกแนวอวดตัวดี เก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ แซงหน้าแซงหลังไปอย่างนั้น มีแล้วนะเวลานี้ .. เราวิตกวิจารณ์

เพราะฉะนั้น เราจึงได้เข้าไปมูลนิธิหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด แต่เราไม่เคยบอกเลยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาดโดยสมบูรณ์แล้วในทางกฎหมาย เราไม่เคยบอกไม่เคยพูดเลย ไปมาเราก็ฟังไปฟังมา.. ยิ่งฟังเสียงมันมักจะมีผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ และเป็นผลลบขึ้นมาเรื่อย ๆ มันยังไงกันนี่ เพราะเราเป็นเจ้าของนี่ เราก็เข้าไปเท่านั้นซิ พอเข้าไปก็ทราบเรื่องทราบราวแล้วก็ใส่กันเปรี้ยงเลย
‘สถานที่นี้ เป็นสถานที่สำหรับพระป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวเป็นเวล่ำเวลา ก่อนที่จะเข้าไปติดต่อกับหมอและคลีนิกตลอดถึงโรงพยาบาล ให้ได้มาพักนี่สะดวกสบายต่างหากนะ และครูบาอาจารย์ที่มาด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม เพื่อจะแนะนำสั่งสอนประชาชน เป็นกาลเป็นคราวต่างหากนะ ไม่ใช่มาให้พวกกรรมฐานขี้หมูขี้หมาเรานี้มาปักกลดในเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ ในกรุงเทพฯ นี้นะ แล้วก็เอาให้ทราบเสียด้วยว่า มูลนิธินี้เป็นสมบัติของวัดป่าบ้านตาด ใครอย่ามาทำให้เลอะเทอะนะ นี่ยังจะหนักกว่านั้นถ้ายังเป็นอีก เรายังจะเอาหนักกว่านี้ จะได้เขียนประกาศติดไว้เลยชื่อ ชื่อมหาบัว ใส่ลงไปปึ๋งเลยแหละ..เป็นอะไรไป’


เอาขนาดนั้นนะวันนั้น เพราะเรารักษาความดีเอาไว้ ไม่งั้นมันจะเสียไปหมดนี่ จะเป็นกรรมฐานจำหน่ายขายกินไปหมดจะว่ายังไง ทั้ง ๆ ที่คนกรุงเทพฯ เขามีความเคารพนับถือวงกรรมฐานของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น.. เรานี้มากที่สุด เราจะไปขายขี้หน้าให้เขาเห็น เราไม่อยากเห็น อย่าว่าแต่เขาเลย ใครจะอยากเห็น นี่ละมันวิตกวิจารณ์ตรงนี้นะ มันเป็น.. จะไม่เป็นยังไง

สักกาโร ปุริสัง หันติ ว่าไง ลาภสักการะสำหรับคนโง่แล้วติดเร็วที่สุดเลยจะว่าไง นี่เราแปลทางภาคปฏิบัติ ถ้าแปลทางด้านปริยัติ สักกาโร ปุริสัง หันติ แปลว่า ลาภสักการะ ย่อมฆ่าบุรุษที่โง่เขลา...”

ลัก...ยิ้ม 17-07-2020 23:02

พระเพชรน้ำหนึ่ง.. ธาตุขันธ์ยามอาพาธหนัก

องค์หลวงตามักได้เกี่ยวข้องกับการดูแลอาการอาพาธ และการตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ เกี่ยวกับธาตุขันธ์ยามอาพาธหนักของครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างเช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพ จังหวัดสกลนคร เป็นศิษย์ผู้ใหญ่รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ซึ่งองค์หลวงตาได้เกี่ยวข้องโดยการแนะนำให้ศาสตราจารย์ นพ.อวย และศาสตราจารย์ พญ. ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์ รู้จักหลวงปู่ฝั้น ทำให้คุณหมอทั้งสองมีโอกาสได้ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ฝั้นอย่างใกล้ชิด และไม่ย่อท้อโดยเฉพาะในยามอาพาธ แม้จะต้องเดินทางไปยากลำบากเพียงใดก็ตาม

หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ที่องค์หลวงตาได้เข้าไปอุปัฏฐากดูแลอาพาธในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งบรรยากาศในวัดช่วงเวลานั้นเหมือนมีงานวัด เพราะแออัดไปด้วยผู้คนหญิงชาย พระเณร และฆราวาสที่มาจากที่ต่าง ๆ จนวัดไม่อาจรับรองได้ทั่วถึง ทั้งที่พักหลับนอน อาหาร การบริโภคต่างให้รับผิดชอบตัวเอง องค์หลวงตาได้เล่าถึงการเข้ามาดูแลหลวงปู่ในครั้งนั้นว่า
“... เราก็มาอยู่กับท่านเป็นประจำ หลายวันจะกลับไปค้างวัดสักคืนสองคืน ก็ต้องรีบกลับมา ทั้งนี้เพราะเป็นห่วงท่านมาก และเพื่อความสงบเรียบร้อยในด้านอื่น ๆ แต่ก็เดชะบารมีของหลวงปู่ท่านคุ้มครองรักษา สถานการณ์ทุกด้านสงบเรียบร้อยดี สำหรับอาหารของท่านเมื่อขบฉันอะไรไม่ได้ ธาตุขันธ์ก็ยิ่งทรุดลงอย่างเห็นได้ชัดในสายตาทั่ว ๆ ไป


องค์หลวงตาบันทึกคำพูดตอนหนึ่ง เกี่ยวกับธาตุขันธ์ยามอาพาธหนักของหลวงปู่ขาว.. ลงในประวัติหลวงปู่ขาวซึ่งองค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงเองว่า
จะให้ผมแบกกองฟืนกองไฟไปหาอะไร โดยเข้าใจว่า ขันธ์นี้จะเอาของอัศจรรย์มาหยิบยื่นให้ ผมไม่สงสัยในขันธ์ทั้งที่กำลังครองตัวอยู่และสลายจากกันไป ผมเป็นผม ขันธ์เป็นขันธ์ จะให้คว้ายึดมาบวกกันหาอะไร การปล่อยขันธ์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น อนาลโย จึงสมบูรณ์แบบ


ครั้นเวลาจวนตัวจริง ๆ ท่านได้เล่าเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้อย่างถึงใจว่า
“เรายังไม่ลืมหลวงปู่ขาวท่าน เวลาท่านกำลังเพียบ คือท่านไม่ให้ใส่ออกซิเจน ท่านไม่ให้เอาใส่ แล้วพวกนั้นก็เอาไว้ข้างนอก คือท่านห้ามไม่ให้เอาใส่ เราเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์.. ไปยุ่งกับท่านทำไม ทีนี้พอเอาเข้าไปจ่อไปถูกท่าน .. ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เพียบอยู่แล้วนะ ท่ายังปัดมือปั๊บออกเลย ขนาดหลวงปู่ขาวแล้วท่านจะมีปัญหาอะไร ว่างั้นเลย จะตายท่าไหนก็ตายซิ ท้าทายก็ได้ เอหิปัสสิโก ท้าทายธรรมของจริงได้.. ตัดผึงเดียวไปเลย ว่าจะไม่อยู่แล้ว.. ไม่อยู่ มันก็หมดแล้วนะนี่ พระประเภทเพชรน้ำหนึ่ง ๆ หมดไป ๆ

ลัก...ยิ้ม 19-07-2020 23:07

สำหรับครูบาอาจารย์พระกรรมฐานองค์สำคัญอื่น ๆ แม้ต่างนิกายกันก็ตาม องค์หลวงตาก็ยังได้เข้าไปเป็นธุระ เกี่ยวข้องด้วยความเคารพรักและลงใจในธรรมระหว่างกัน ดังนี้
“... พระลูกศิษย์หลวงปู่บุดดาได้ไปหาเราที่สวนแสงธรรม เราก็ได้ถามถึงอาการของหลวงปู่ท่านว่า..
‘แต่ก่อนธาตุขันธ์ของท่านเป็นคุณเป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้โลกมามากต่อมาก นานแสนนานจนกระทั่งอายุถึงปูนนี้และได้เข้ามาอยู่ศิริราชแล้ว เวลานี้เพื่อจะลาขันธ์ไป เพราะขันธ์นี้ใช้ไม่ได้แล้ว นอกจากใช้ไม่ได้แล้วยังเป็นโทษรอบตัวอีก ไม่มีช่องว่างของขันธ์ที่จะไม่เป็นโทษต่อท่าน แล้วยังจะเอาท่านไว้อย่างนั้นอยู่เหรอ ? ... สมควรแล้วหรือ ? ให้ลูกหลานไปพิจารณานะ’


นี่..อาจารย์ชาก็เป็นอย่างนี้ละ เราบอกตรง ๆ เลย อาจารย์ชาก็เกี่ยวกับเราอีกเหมือนกัน คุ้นกันมาสักเท่าไหร่แล้ว แล้วนี่หลวงปู่บุดดาก็เหมือนกัน คุ้นกันมานาน สนิทสนมกันมากทั้งสององค์นี่กับเรานะ

หลวงปู่บุดดา ท่านเป็นเหมือนปู่เรานี่..จะว่าไง พอเราไปกราบที่ตักท่าน ท่านก็.. อู๊ย.. จับโน่นลูบนี้ จับนั้นจับนี่เรานะ ท่านทำด้วยความเมตตาจริง ๆ แหละ ... ท่านยังยกยอต่อลูกศิษย์ลูกหาของท่านเองด้วย เขาเอาเทปเราไปเปิดให้ท่านฟัง กัณฑ์ดี ๆ เสียด้วยนะ ... ลูกศิษย์มาเล่าให้ฟัง ท่านพูดเวลาเทศน์จบแล้วท่านว่า
‘ได้ยินชื่อท่านมานานแล้วแหละ ท่านมหาบัวนี่ คุ้นกันมาสักเท่าไรแล้ว ยังไม่รู้อยู่เหรอว่าคุ้นกัน... จะมาเล่าอะไรให้ฟังอีกล่ะ’


ทีนี้เมื่อพระมาหาเรา ... เราก็ฝากข้อคิดไปว่า ‘เวลานี้ขันธ์ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับท่านแล้ว ลูกศิษย์จะหวังชื่นชมยินดี.. เพราะไฟคือธาตุขันธ์เผาไหม้ท่านอยู่อย่างนี้ สมควรแล้วเหรอ ? .. เวลานี้ไฟขันธ์เผาตลอดไม่มีว่างเลย ... ให้ไปพิจารณานะ’

อาจารย์ชา เป็นลักษณะนี้มาหลายปี ถามทีไรก็เป็นอย่างนี้ ก็พอดีพระหนองป่าพงไปหาเราที่สวนแสงธรรม เอากันใหญ่เชียวคราวนั้น .. เปรี้ยงทีเดียว..อัดเทปเอาไว้เสร็จ พอเสร็จแล้วเขาก็เอาเทปไปเปิดเมืองอุบลฯ เลย เอาไปตั้งกึ๊กลงที่วัดหนองป่าพงเลย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาท่านมารวมนั้นหมด ผู้ว่าฯ เป็นผู้นำเทปไปเปิด

'เอ้า.. ใครที่นี้ฟังนะ เทศน์นี่..เทศน์อาจารย์มหาบัว ท่านอาจารย์มหาบัวกับท่านอาจารย์ชาสนิทกันมานานสักเท่าไรแล้ว ฟังท่านจะพูดวันนี้นะ’

พอว่าอย่างนั้นก็เปิดทันที .. ได้เห็นผิว ๆ เผิน ๆ ได้เห็นท่านอยู่นั้นก็พอใจ ท่านจะมาห่วงอะไรในธาตุในขันธ์อันนี้ เมื่อเห็นว่าเป็นไฟพอแล้วยังจะมาห่วงอะไรอีก ห่วงไฟเผาเจ้าของนั้นมีอย่างหรือ .. ท่านพร้อมอยู่แล้วที่จะดีดตั้งแต่ระยะช่วยตัวเองไม่ได้แล้วนั่น.. ครูบาอาจารย์จะตายแล้วไม่ยอมให้ไป.. ไม่ให้ตาย เอาไฟจี้ไว้อย่างงั้น ระโยงระยางเต็มหมด ออกซิเจนช่วยลมหายใจ ช่วยลมหายใจอะไร ช่วยไฟเผา..ว่างั้นจึงถูกนะ

ถ้าเอาอันนี้ออกแล้วไฟก็หยุดเผา ท่านก็ดีดออกแล้ว นั่น..คุณก็เห็นอยู่อย่างชัด ๆ โทษก็เห็นอยู่ชัด ๆ อย่างงั้น ถ้าอันนี้จ่อไว้อยู่ตลอด ก็เผาอยู่ตลอดอยู่นั่น..จะว่าไง พอเปิดออกนี้ก็ดีดออกแล้ว เห็นชัด ๆ อยู่

ถ้าพูดถึงเรื่องของหมอ เขาก็ทำตามหลักวิชาของหมอ เหตุผลเรามียังไง อรรถธรรมมียังไง ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ก็ควรชี้แจงให้เขาทราบ ควรปล่อยก็ปล่อยซี เอาไว้ให้ใครมันไม่เกิดประโยชน์ยังไม่แล้ว ยังเป็นโทษเอาอย่างหนักหนาทีเดียว ใครจะเอาไฟมาเผามาจี้ไว้อย่างนี้ทั้งวันได้เหรอ นี่ไม่ทราบว่าทั้งวันทั้งคืนทั้งปีอะไร จี้เผาหมด..รอบตัว ๆ

เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็รู้กันอยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ตายก็รู้แล้ว ก็เครื่องมือใช้เฉย ๆ มีจิตเป็นผู้บงการ พอจิตหดตัวเข้ามาเสียแล้ว.. สิ่งเหล่านี้ก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืนไปเท่านั้น เกิดประโยชน์อะไร ก็เหมือนกับเครื่องมือเราทิ้งเกลื่อนอยู่รอบตัวนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเจ้าของใช้การใช้งานอะไรไม่ได้แล้ว ... นั่นแหละ เรื่องจิตให้เห็นอย่างนั้นซิ เห็นชัดเจนแล้วจะถามใคร .. ประจักษ์อยู่ในหัวใจเจ้าของแล้ว พอทุกอย่าง ..

‘นี่เอาศพท่านกลับคืนไปโน่นนะ วัดกลางชูศรี ท่านเป็นเพชรน้ำหนึ่งนะนี่’

หลวงปู่บุดดานี่เพชรน้ำหนึ่ง อาจารย์ชาก็เหมือนกัน ท่านเหล่านี้เพชรน้ำหนึ่งแล้ว จะมาหวงมาห่วงอะไร ธาตุขันธ์เป็นไฟนั่น...

ลัก...ยิ้ม 19-07-2020 23:15

ครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ที่องค์หลวงตาได้เข้าเยี่ยมอาพาธคือ หลวงปู่บุญจันทร์ โดยเฉพาะในยามอาพาธก่อนมรณภาพไม่นานนัก ท่านกล่าวกับหลวงปู่บุญจันทร์ว่า “ได้ทราบว่าไม่สบาย เลยตั้งใจมาเยี่ยม ไม่ใช่มาทรมานคนป่วยนะ เป็นอย่างไรบ้าง”

หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า “ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หมอบอกว่าเป็นโรคไตรั่ว โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่หมอนิมนต์ให้เกล้ากระผมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่เกล้ากระผมไม่ไป”

องค์หลวงตาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้ามันครึ่งต่อครึ่งก็ไม่ไปล่ะ โรงพยาบาลก็ที่คนตายนั่นแหละ เตียงไหนคนไม่ตายใส่ไม่มีแหละ ถ้าเราไปหาหมอ หมอเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนซุงนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเขาจะพลิกไปพลิกมาอย่างไร ทำไปอย่างไรบ้างตามเรื่องของเขา หมอเขาไม่มีธรรมอะไรหละ มันอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ปล่อยเท่านั้นหละ

สักพักหนึ่ง องค์หลวงตาก็กล่าวกับหลวงปู่ว่า “เอาละนะ จะกลับล่ะ ไม่มีอะไรจะเตือนกันหรอกนะ กรรมฐานใหญ่เหมือนกัน

จากนั้น ท่านหันไปพูดกับญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้ท่านในขณะนั้นว่า
“ตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์บุญจันทร์ แต่ก่อนในคราวออกปฏิบัติ ท่านก็ออกปฏิบัติ เราก็ออกปฏิบัติ ได้เจอกัน ทุกข์ยากลำบากด้วยกัน เอาละกลับล่ะ เยี่ยมคนป่วยไม่รบกวนนานหรอก”


วาระสุดท้าย ขณะที่หลวงปู่ท่านจวนเจียนมรณภาพเต็มที่แล้ว เป็นเวลาเดียวกันกับที่องค์หลวงตาท่านเดินทางไปถึงพอดี ท่านไปอย่างรีบเร่งแล้วเข้าไปในห้องอาพาธของหลวงปู่ ท่านขยับไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ทางศีรษะ แล้วท่านเอามือเปิดผ้าที่ปิดหน้าผากหลวงปู่ออกดู พร้อมกับพูดว่า “วันนี้บวมมากกว่าวานนี้”

ในขณะนั้นหลวงปู่ได้หายใจเบาลงเหมือนกับจะขยิบตาเล็กน้อย แล้วหลวงปู่ก็หยุดหายใจ.. ละธาตุขันธ์ไปในที่สุด เมื่อเวลา ๑๐.๕๒ นาฬิกา ของวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘ จากนั้นท่านจึงถอยไปนั่งเก้าอี้แล้วมองดูหลวงปู่พร้อมกับพูดว่า “เอ้า..หยุดหายใจแล้ว”

ภายหลังต่อมา ท่านพูดถึงเรื่องนี้กับพระว่า
“ท่านบุญจันทร์คอยเรา พอเรามาถึง..เข้าไปเยี่ยม..ท่านก็ไปเลย”

ลัก...ยิ้ม 20-07-2020 13:01

พระกรรมฐานประสบอุบัติเหตุ

เหตุการณ์ครั้งสำคัญคราวหนึ่ง ยังความโศกสลดอาลัยอาวรณ์แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะแวดวงกรรมฐานอย่างมากคือ เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นเหตุให้พระกรรมฐานและประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องถึงแก่กรรม

คุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์องค์หลวงตาคนหนึ่ง เป็นพระอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และเป็นภริยา ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี ตลอดจนเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น

ในหนังสืออนุสรณ์คุณหญิงไขศรี ณ ศีลวันต์ กล่าวถึงการเดินทางไปกราบนมัสการ และสนทนาธรรมกับพระเถระสายหลวงปู่มั่น เป็นครั้งแรกในชีวิตของคุณหญิงคือปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และได้เข้ากราบองค์หลวงตาและพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดเป็นสถานที่แรก องค์หลวงตายังเมตตาพาไปพบหลวงปู่ขาว ที่วัดถ้ำกลองเพลอีกด้วย หลังจากนั้นองค์หลวงตายังเป็นพระกรรมฐานองค์แรก ที่เมตตามาฉันที่บ้านคุณหญิง องค์หลวงตาเมตตาอบรมธรรมะแก่คุณหญิงเสมอมา จวบจนวาระสุดท้ายก่อนจะประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิต คราวเดียวกับพระอาจารย์บุญมา พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์จวน กุลลเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

เหตุการณ์ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คุณหญิงได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ซึ่งปกติระยะนั้น องค์หลวงตาท่านจะไม่ลงอบรมธรรมะแก่ฆราวาส เพราะธาตุขันธ์ไม่สู้จะสมบูรณ์นัก แต่ตลอดช่วง ๗ วันที่คุณหญิงมาพักอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด ท่านได้เรียกคุณหญิงมาสนทนาธรรมะปฏิบัติที่กุฏิหลายครั้ง และแต่ละครั้งเป็นเวลานาน และเป็นการสนทนาโดยเฉพาะ ไม่มีผู้อื่นนอกจากมีเด็กชาวบ้านตาดมานั่งเป็นเพื่อนตามพระวินัย ยังความสงสัยและแปลกใจเป็นอันมากแก่บรรดาผู้มาพักปฏิบัติธรรมในช่วงนั้น เพราะมิใช่วิสัยปกติขององค์หลวงตาที่จะปฏิบัติเช่นนี้กับผู้ใด

และโดยเฉพาะในวันกลับคือ เช้าวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ องค์หลวงตาก็ยังมีเมตตาพูดคุยสนทนาธรรมกัน จนกระทั่งจวนจะถึงเวลาเครื่องบินออก.. การสนทนาจึงยุติ ซึ่งก็ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อนเช่นกัน คือในระยะที่ผ่านมาองค์หลวงตามักให้ออกจากวัดมารอที่สนามบินก่อนเป็นเวลานาน แต่คราวนี้จวนเจียนเวลามาก ในเช้าวันนั้นคุณหญิงได้กราบเรียนถามองค์หลวงตาว่า “ถ้าคุณหญิงตายไปแล้ว จะมีโอกาสได้พบอาจารย์ดี ๆ อีกไหม ?

ท่านได้ตอบเป็นทำนองว่า “ในชาติปัจจุบันนี้ เราได้ภาวนามุ่งทำแต่ความดี ฉะนั้น ความดีนี่แหละ จะเป็นครูบาอาจารย์ของเราในวันหน้า

และคำกล่าวนี้เป็นธรรมครั้งสุดท้ายขององค์หลวงตาที่มอบให้แก่คุณหญิง เนื่องจากการเดินทางในวันนั้นมีทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวย เกิดพายุฝนจนเป็นเหตุให้เครื่องบินตกที่บริเวณทุ่งนารังสิต จังหวัดปทุมธานี อุบัติเหตุร้ายแรงนี้.. ทราบถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงมีพระกรุณาธิคุณและพระกตัญญูกตเวทิตาคุณ เสด็จมาทอดพระเนตรศพพระอาจารย์ให้แน่พระทัยด้วยพระองค์เอง

ในครั้งนั้น ทูลกระหม่อมทรงยกมือของคุณหญิงขึ้นมาทอดพระเนตรอย่างใกล้ชิด แล้วรับสั่งว่า “ใช่อาจารย์แน่” จากนั้นทรงจัดการศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นพระอิริยาบถที่อ่อนโยนมิได้ทรงแสดงความรังเกียจเลย ทรงปฏิบัติเยี่ยงศิษย์ถึงกระทำต่อครูบาอาจารย์เป็นที่น่าซาบซึ้ง และประทับใจแก่บรรดาผู้อยู่ในที่นั้นเป็นยิ่งนัก ทุกคนอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ

ลัก...ยิ้ม 20-07-2020 13:17

อุบัติเหตุครั้งนั้น นับเป็นการสูญเสียศิษย์คนสำคัญขององค์หลวงตา.. ที่เป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาทั้งฝ่ายพระ และฆราวาสไปพร้อม ๆ กันเลยทีเดียว องค์หลวงตากล่าวถึงพระอาจารย์สิงห์ทอง และพระอาจารย์สุพัฒน์ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านไว้ ดังนี้
“... ท่านจวนก็เหมือนกัน มีอยู่สององค์ ท่านจวนตกเครื่องบิน ท่านสิงห์ทองตกเครื่องบิน .. อัฐิกลายเป็นพระธาตุสององค์ ตกเครื่องบินไปงานอะไรไม่รู้ อุปคุต (พระอาจารย์สุพัฒน์) ท่านฝันแม่นยำมากนะ ที่ท่านจะไปตายคราวนี้ คือท่านฝันกลางคืนนี้จนตื่นเต้นตกใจ เสียใจ ‘แล้วกัน ทำไมถึงฝันร้ายขนาดนี้ ไปเกาะไหนก็พัง ไม่เคยฝันอย่างนี้เลย ฝันร้ายกาจไม่มีชิ้นดีเลย ไม่ใช่จะเอาเราไปตกเครื่องบินตายเหรอ’


ท่านพูดอย่างนั้นเลย แล้วเขามานิมนต์ให้ไปในงานนี้.. กับความฝันมันเข้ากันได้แล้ว.. ท่านเลยหาที่เกาะ ไปนิมนต์อาจารย์สิงห์ทอง ถ้าท่านสิงห์ทองไปเราถึงจะไป เกาะตรงนั้นนะ ถ้าท่านไม่ไปเราก็ไม่ไป เขาไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองรับเขาแล้วก็พังไปเลย
ถ้าหากว่าท่านสิงห์ทองไม่ไป ท่านจะไม่ไป ชีวิตท่านก็จะยังอยู่


เลยตายในระยะนั้น ท่านฝันแปลกประหลาดมาก พอตื่นขึ้นมานี้ ดูอาการโศกเศร้าเหงาหงอย มันฝันร้ายเหลือเกิน ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่พูดเรื่องฝันร้ายว่าเป็นอย่างไร ๆ แต่มันฝันร้ายไม่มีชิ้นดีเลย ท่านบอกอย่างนั้น มีแต่ล้มพังทั้งนั้น

พอดีเขาก็มานิมนต์ท่านก็ไปเกาะท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองไปเราก็จะไป พอดีไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านก็รับเขา.. เรียกว่าเกาะแล้วพังเลย ตายด้วยกันทั้งสอง

ท่านอุปคุตนี่สำคัญ ท่านฝันไม่ดีเลยท่านว่า เขามานิมนต์โดยลำพังท่าน ท่านจะไม่รับ.. ท่านบอกทีนี้เพราะความเคารพกัน เกี่ยวกับท่านสิงห์ทองท่านรับ แล้วท่านเลยต้องรับไปด้วย แล้วก็ไปตายด้วยกัน...”

เกี่ยวกับลักษณะการนิพพานของพระอรหันต์นั้น องค์หลวงตากล่าวไว้ ดังนี้
“... จิตที่ทำลายสมมุติหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว อะไร.. เวทนาไหนจะไปแทรก นี่เราถึงได้กล้าพูดว่าพระอรหันต์ตาย ตายเมื่อไร ตายที่ไหน ตายเรื่องอะไร ด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม ก็จิตพระอรหันต์ล้วน ๆ ว่างั้นเลย ท่านไม่มีปัญหาอะไรกับสมมุติคือการตาย กิริยาแห่งการตายต่างๆ นั้น.. เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด ความบริสุทธิ์เต็มภูมิ จึงไม่วิตกวิจารณ์เรื่องการเป็นการตาย ...


แล้วคำว่าบริสุทธ์แล้วนั้น จะมีกาลสถานที่ เวล่ำเวลาที่ไหนเป็นกำหนดกฏเกณฑ์ เป็นที่ให้เกิดสัญญาอารมณ์กับท่าน นิพพานท่าไหนจะดี หรือนิพพานท่าไหนจะเสียที หรือตายท่าไหนดี ท่าไหนไม่ดี.. ท่านไม่มี ตายท่าไหนก็คือพระอรหันต์ตาย เอ้า.. เราพูดเรื่องตาย จะตายด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ตาม ตายด้วยการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ตาม จะเข้าสมาธิสมาบัติหรือไม่เข้าก็ตาม ไม่มีสิ่งใดสำคัญทั้งนั้น ไม่มีอันใดที่จะลบล้างความบริสุทธิ์นั้นได้เลย ท่านเป็นพระอรหันต์อยู่เต็มตัว.. ทุกกาลสถานที่อิริยาบถ...

เพราะการตายนี้เป็นไปตามวิบากขันธ์ บางองค์ก็จะตายด้วยความสงบของธาตุขันธ์ บางองค์ก็จะไม่สงบ .. จะดีดจะดิ้นเป็นประเภทต่าง ๆ ตามวิบากกรรมที่เป็นมาต่าง ๆ กัน แต่จิตนั้นบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ขันธ์จะตายแบบไหนก็ตาม จะตายดิ้นเหมือนหมาบ้าก็ตาม เรื่องขันธ์มันดิ้นของมันต่างหาก จิตที่บริสุทธิ์แล้วไปดิ้นหาอะไร นั่นมันเป็นคนละฝั่งละฝาอยู่นั่น เห็นกันชัด ๆ อย่างนั้น

อำนาจแห่งวิบากกรรมมีมาอย่างไร ที่เคยสร้างเคยเป็นมาแล้ว บางท่านบางองค์ก็สงบไปธรรมดา ๆ บางท่านบางองค์ก็มีดีดมีดิ้นเป็นไปธรรมดา เพราะวิบากกรรมอันนี้แก้ไม่ตกในเรื่องกรรม เกี่ยวกับเรื่องวิบากขันธ์สมมุติอันนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ตามได้แค่ขันธ์เท่านั้น ไม่ตามไปในหัวใจที่บริสุทธิ์ได้นี่นะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่มีได้มีเสียกับสิ่งเหล่านี้...”

ลัก...ยิ้ม 20-07-2020 23:32

อัฐิกลายเป็นพระธาตุ

เกี่ยวกับอัฐิของพระอรหันต์ ที่ต่อมาได้กลายเป็นพระธาตุนั้น องค์หลวงตาได้แสดงธรรมไว้อย่างละเอียดลออ ดังนี้
“... เวลาท่านผู้สิ้นกิเลสท่านมรณภาพ เอาศพไปเผา อัฐิก็คือกระดูกเหมือนกันกับเรา ๆ ท่าน ๆ แต่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง อันนี้จะเป็นองค์ท่านเองรู้ชัดในธาตุขันธ์ของท่านเอง.. คนอื่นไม่รู้ เวลามีชีวิตอยู่จิตของท่านสง่างาม จ้าครอบธาตุขันธ์อันนี้ ครอบธาตุขันธ์นี้แล้ว เราก็บอกชัดเจนแล้วว่า จิตตั้งแต่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้ว


นี่ละ..ที่ว่าฟอกธาตุขันธ์ที่เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์นั้น ฟอกมาโดยลำดับ กระแสของจิตที่บริสุทธิ์นี้กระจายออกทั่วสรรพางค์ร่างกาย เรียกว่าฟอกธาตุขันธ์.. ที่เป็นส่วนหยาบเหมือนคนทั่ว ๆ ไปนี้ ให้กลายเป็นส่วนละเอียดเข้าไป ๆ ท่านรู้ของท่าน จิตของท่านผู้ที่หลุดพ้นแล้วท่านรู้

คือร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์ ทีนี้เวลาจิตบริสุทธิ์แล้วนั้น การฟอกจิตนี้..ฟอกโดยหลักธรรมชาติตั้งแต่วันบรรลุมา ฟอกนี่เรียกว่าหลักธรรมชาติอย่างละเอียดลออเรื่อย ๆ ซักฟอกอยู่ธรรมดา ยืน เดิน นั่ง นอน ซักฟอกอยู่นั้นเป็นหลักธรรมชาติ ที่เด่นที่สุดก็คือ เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนาของท่าน นั่นละ กระแสของจิตเข้ามานี่หมด

ทีนี้พอเข้ามานี่หมด.. กระจายฟอกธาตุขันธ์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ท่านมองดูธาตุขันธ์ของท่าน ถ้าพูดเทียบกับโลกนี้เรียกว่าเป็น “ทองทั้งแท่ง” อยู่ในนี้ แต่สายตาของเราก็เป็นคนเหมือนท่าน ๆ เรา ๆ แต่สายตาของธรรม ท่านเห็นของท่านเอง เป็นเหมือนทองคำทั้งแท่ง ๆ พากันเข้าใจเสียนะ

ลัก...ยิ้ม 20-07-2020 23:46

นี่ละ..เรื่องธรรมที่บริสุทธิ์ ดูเรือนร่างของตัวเอง เป็นส่วนหยาบก็รู้ชัด ๆ เป็นโดยลำดับอย่างนี้ละ เวลาท่านมรณภาพไปแล้วจะไม่กลายเป็นพระธาตุได้ยังไง ก็กระจายอยู่ภายในตั้งแต่ท่านยังไม่ตายอยู่แล้ว ธาตุขันธ์ถูกซักฟอกเป็นธาตุขันธ์ที่ละเอียดลออ จนกลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ของพระอรหันต์ แต่สายตาของโลก ก็เป็นธาตุขันธ์ธรรมดาเหมือนเรา แต่สายตาของธรรมที่เป็นผู้รับผิดชอบ คือจิตที่บริสุทธิ์ของท่านครองร่างอยู่นี้ ท่านดูกระจ่างของท่านอยู่ตลอดเวลา เห็นชัดเจนหมด...”

สำหรับอัฐิพระอรหันต์แต่ละองค์ จะเป็นพระธาตุเร็วหรือช้าอย่างไรนั้น องค์หลวงตาอธิบายไว้ ดังนี้
“... คำว่าเป็นพระธาตุนี้ก็ต่างกันอีกนะ คือถ้าจิตผู้ใดได้บำเพ็ญธรรม บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วแล้วตายไปเสีย ผู้นี้ก็เป็นพระธาตุได้..แต่เป็นช้า เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้ยังไม่ได้ซักฟอกธาตุขันธ์ โดยทางความพากเพียรตามอัธยาศัยของท่านไปนาน..แล้วมาตายเสีย ธาตุขันธ์นี้ยังไม่บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน บริสุทธิ์ตามส่วนของธาตุขันธ์ที่เป็นส่วนหยาบนะ ส่วนจิตบริสุทธิ์แล้ว


แต่องค์ไหนถ้าบำเพ็ญไปนาน ตั้งแต่สมาธิปัญญาค่อยเริ่มไปเรื่อย ซักฟอกไปเรื่อยถึงขั้นอรหันต์แล้ว ท่านนิพพานหรือตายไปเสีย..อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุได้เร็ว คือความช้าความเร็วอยู่กับการบรรลุ แล้วทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ถ้าทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ไปนาน จิตธรรมชาติของท่าน..ไม่ใช่ท่านตั้งใจซักฟอกนะ จิตที่บริสุทธิ์นี้ต่างหากที่ซักฟอกร่างกายนี้ ธาตุขันธ์นี้ซึ่งเป็นส่วนหยาบให้เป็นของละเอียด ๆ ๆ ไปตามส่วนหยาบของธาตุขันธ์ เวลาท่านมรณภาพไปแล้ว.. อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ เพราะจิตซักฟอกไว้เรียบร้อยแล้ว มันเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ

ไม่ใช่พอตายไปจะเป็นพระธาตุทันที มันต่างกัน การครองขันธ์อยู่นานหรือไม่นานตั้งแต่วันสำเร็จแล้ว ถ้าครองขันธ์ไม่นาน.. กลายเป็นพระธาตุก็ช้า ถ้าครองขันธ์อยู่นานนี้ กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว มันต่างกัน เพราะจิตที่บริสุทธิ์นี้อยู่กับขันธ์ มันเป็นการซักฟอกขันธ์อยู่ในหลักธรรมชาติ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม หากเป็นหลักธรรมชาติที่คอยซักฟอกอย่างละเอียดลออของจิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์อยู่นั้นแล

ถ้ายิ่งท่านเข้าสมาธิภาวนาด้วยแล้วนี้ จิตเข้ามานี่ล้วนๆ แล้วเป็นการซักฟอกหนักเข้าไป ท่านไม่ได้เจตนาว่าจะซักฟอกธาตุขันธ์นะ ท่านมีเจตนาเกี่ยวกับอรรถกับธรรมที่ท่านจะพิจารณาของท่านต่างหาก แต่มันเกี่ยวโยงกับธาตุขันธ์ เลยเป็นการซักฟอก อันนี้หนักแน่นเข้าไปอีก มากเข้าไปอีก นั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปอย่างนั้น เวลาท่านมรณภาพแล้วกลายเป็นพระธาตุ ๆ อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ดูเหมือนจะได้ ๔๐ กว่าปีแล้วมั้ง ท่านผ่านไปเรียบร้อยแล้ว อัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ...

ผู้หนึ่งค่อยดำเนินไป ๆ จิตค่อยสม่ำเสมอหลุดพ้นปั๊บ จะนิพพานไปในไม่ช้า.. อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว บางองค์พอพิจารณาปุบปับ.. บรรลุธรรมปึ๋งแล้วก็นิพพานไปเสีย นี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้า .. ถ้าความบริสุทธิ์อย่างขิปปาภิญญา คือรู้อย่างรวดเร็วนี้ก็ไม่แน่นะ ว่าจะเป็นพระธาตุได้ง่ายดาย เพราะรู้ได้เร็วแล้วก็ (หาก) ตายเร็ว จิตนี้ไม่ครองขันธ์อยู่นาน ก็ยังไม่ได้ฟอกเต็มที่..นี่อาจจะช้า

แต่อัฐิของสามัญชนแม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน ส่วนจิตผู้เป็นเจ้าของเต็มไปด้วยกิเลส ไม่มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นของบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตนได้ อัฐิจะกลายเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร ก็ต้องเป็นสามัญธาตุไปตามจิตของคนมีกิเลสอยู่ดี ๆ หรือจะเรียกไปตามภูมิของจิต ภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงจะได้ เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนต่างกัน อัฐิจำต้องต่างกันอยู่โดยดี...”

ลัก...ยิ้ม 20-07-2020 23:52

3 Attachment(s)
พระอรหันต์ทุกองค์ต้องเป็นพระธาตุเหมือนกันทุกองค์หรือไม่ องค์หลวงตาได้แสดงธรรมอีกเช่นกันว่า
“... พระธาตุนี้ตีตราแล้วนะ ถึงจะบอกไม่บอกก็ตาม ถ้าลงอัฐิเป็นพระธาตุแล้ว.. ตีตราปึ๋งเลย ในตำราก็บอกไว้อย่างชัดเจนมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้นที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้ บอกไว้แล้ว ถ้าลงเป็นพระธาตุแล้วเห็นไม่เห็นก็ตามเถอะ นี่คือพระอรหันต์..ว่างั้นเลย นอกจากนั้นต้องได้ศึกษาปรารภ ถ้ามีญาณก็หยั่งดูกันซิ นอกจากนั้นก็สนทนา แย็บออกมาจับได้ทันที.. เรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วปิดไม่อยู่ เวลาไปที่ไหน ๆ เห็นมาแล้วนี่ ใครพูดที่ไหนมันก็รู้หมดล่ะซี เห็นด้วยตาเนื้อเรานี่ ไปที่ไหนเห็นด้วยตาเนื้อ ได้ยินด้วยหูของเรา มันก็ชัดเจนตามหูตามตาของเรา ในขั้นนี้เรายังไม่สงสัย ทำไมหัวใจยิ่งจ้ากว่านั้นอีก จะเอาอะไรมาสงสัยอีก สู้ตาฝ้าตาฟางนี้ไม่ได้เหรอ


แต่ก็ยังมีข้อแม้ข้อหนึ่งอยู่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานของท่านด้วย.. มีด้วยนะ ถ้าสมมุติท่านอธิษฐานให้อัฐิของท่านเป็นยังไง ๆ หรือจะไม่ให้เป็นพระธาตุนี้ก็อาจเป็นไปได้.. อย่างนั้นอาจไม่เป็นพระธาตุ แต่จะเป็นอย่างอื่นอย่างใดให้เห็นแปลก ๆ อยู่นั้นแหละ เรื่องจิตที่บริสุทธิ์จึงไม่ใช่ธรรมดา...”

ลัก...ยิ้ม 21-07-2020 14:06

ผู้ควรแก่เจดีย์

องค์หลวงตากล่าวถึงบุคคลและสถานที่ซึ่งควรก่อเจดีย์ ตลอดถึงความเกี่ยวข้องของท่านกับบรรดาพระกรรมฐานในเรื่องการก่อเจดีย์ ดังนี้
“... ในครั้งพุทธกาล ท่านผู้ที่จะควรก่อเจดีย์เป็นปูชนียบุคคลขึ้นมา หรือปูชนียสถาน ... ผู้ที่จะควรก่อเจดีย์กราบไหว้บุชาของสัตว์โลก..ว่างั้นเลยนะ แสดงไว้ ๔ ประเภท ก็คือ พระพุทธเจ้า ๑ คำว่าพระพุทธเจ้า หมายถึงทุกพระองค์เลย พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ พระอรหันต์ ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑ ทั้ง ๔ องค์นี้สมควรแก่การสร้างเจดีย์สำหรับจิตใจประชาชนให้กราบไว้บูชา


สถานที่ก่อท่านก็แนะไว้ เป็นสถานที่ชุมนุมชน เช่น ถนนสามแพร่ง สี่แพร่ง หรือที่ชุมนุมชน เขามาจะได้กราบไหว้บูชา พอเห็นเจดีย์ปั๊บ.. จิตเขาจะพุ่งถึงองค์วิเศษคือองค์ศาสดา จากนั้นรองลงมาก็พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สามก็คือพระอรหันต์ท่าน จิตใจของประชาชนจะมุ่งจุดสูงมากทีเดียว จากนั้นก็พระเจ้าจักรพรรดิ คำว่าพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นผู้ทรงบุญญานุภาพ บุญญาบารมีกว้างขวาง เพราะฉะนั้น จึงควรได้รับการชมเชยจากพระพุทธเจ้า ไม่ปรากฏว่าพระองค์ใดจะคัดค้านนะ เป็นผู้สมควรก่อเจดีย์ให้เช่นเดียวกันกับทั้งสามพระองค์นั้น..

การทำอะไร เราก็จึงควรมีหลักมีเกณฑ์ที่จะก่อในที่ชุมนุมชน เราจึงควรคำนึง อย่าได้ก่อสุ่มสี่สุ่มห้า ซึ่งผิดกับเจตนารมณ์ของผู้ที่ได้พบได้เห็นและกราบไหว้บูชา มุ่งจิตใจไปในทางอันเลิศเลอ ... เวลาเห็นแล้วก็ให้เป็นขวัญตาขวัญใจ ตรงกับความมุ่งหมายของผู้กราบไหว้บูชาด้วยความระลึกนึกน้อมถึงองค์วิเศษท่าน

สำหรับในวงกรรมฐานนี้ พูดตรงไปตรงมาเลย ก็ส่วนมากจะมาปรึกษาหารือเรานี้แหละ เราก็ให้ข้อแนะนำอย่างที่ว่า ก่อเจดีย์ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสมควร ๆ เราเป็นผู้แนะให้ทั้งนั้นแหละ คือให้เหมาะสมกับจิตใจของผู้มุ่งธรรมอันเลิศเลอ เวลากราบไหว้บูชาให้เป็นขวัญตาขวัญใจ เป็นมหามงคลแก่จิตใจอย่างมากทีเดียว...”

ลัก...ยิ้ม 21-07-2020 14:13

รักสงวนพระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย

การพบปะสนทนาพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในที่ต่าง ๆ ขององค์หลวงตานั้น มิได้จำกัดอยู่แต่ฝ่ายธรรมยุติด้วยกันเท่านั้น แม้พระกรรมฐานฝ่ายมหานิกาย.. เมื่อได้มีโอกาสอันเหมาะสมท่านก็เข้าหาเช่นกัน ดังนี้
“... เราเคยไปกราบมนัสการหลวงปู่มี โคราช โอ๋ย..ท่านดีใจ เมตตามากมาย ‘ท่านมหา ด้นดั้นมายังไง’ คึกคักเลย..เหมือนอายุยังหนุ่มเลยนะ


เราก็ว่า ‘ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนก็มาที่นั้นแหละ พ่อแม่ญาติพี่น้องเราอยู่ที่ไหน เราก็ต้องไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้องของเรา อันนี้ครูบาอาจารย์อยู่นี้ก็ต้องมา’ ‘เหอ ๆ’

อู๊ย.. คึกคัก ๆ อยู่ในถ้ำนะ เราจำไม่ได้ว่าเป็นมวกเหล็กหรือเป็นอะไร หากเป็นแถวนั้น ท่านเคยไปพักอยู่เป็นประจำ หลวงปู่มีเราเรียก ‘ครูจารย์ ๆ’ เลยแหละ

เราไปพักกับท่านอยู่ที่สูงเนินก็ไป (วัดป่าสูงเนิน) นั่นแล้ว พักวัดป่าสูงเนินเราก็ไป ท่านอยู่แถวมวกเหล็กหรืออะไรเราจำไม่ได้ แต่ว่าแถวนั้น ท่านมาอยู่เป็นประจำ เราไปเราก็บุกเข้าไปหาเลย อู๊ย.. ท่านดีใจ เมตตามากจริง .. รู้สึกท่านเมตตามากจริง ๆ นะ เป็นพิเศษเลย คึกคัก วัยท่านแก่ ๆ โอ๋ย.. กิริยาท่าทางไม่แก่เลย คักคัก ๆ ก็นาน ๆ จะเจอกันทีหนึ่ง พอมาเห็นบอกพระเณร
‘นี่ท่านมหาบัวนะ ลูกศิษย์ผู้โปรดท่านอาจารย์มั่น’


‘อู๊ย.. อย่าพูดอย่างนั้นเถอะ’

‘ขอพูดบ้างเถอะ นาน ๆ ได้พบกัน มันไม่ได้พูดสักที’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ

แล้วท่านก็พูดเอาอย่างเต็มปากของท่านเลย เราก็หมดท่า ท่านก็พูดกับพระกับเณรนั่นละ คุยกัน โฮ้.. สนุกสนาน

ที่ท่านพักอยู่สูงเนินก็ดี วัดป่า.. ท่านอยู่วัดป่าของท่าน เรารักเราเคารพท่านมากจริง ๆ นะ เรียกท่านเรียกว่าครูจารย์เลยแหละ คือมันติดปากมาแต่ดั้งเดิม เรียกแต่ครูจารย์ ๆ สนิทติดปาก ไปหาท่าน.. ท่านอยู่ในเขานะ ท่านแก่ ๆ อย่างนั้น อู๊ย.. คึกคัก ๆ คุยกันตั้งนานกว่าจะได้กลับ เพราะไม่ได้ค้าง เราไป..เราทราบว่าท่านอยู่ที่นั่น เราก็เข้าแวะเลย เข้าไปหาท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงออกมาแล้วก็ไปกรุงเทพฯ เป็นอย่างนั้นละ ท่านอยู่ที่ไหนเราไปหา อยู่ที่สูงเนินเราก็ดั้นไปพักกับท่านเลย มาจากกรุงเทพฯ ก็เข้าไปพักกับท่าน ไม่ได้มากน้อยก็เอา นาน ๆ ได้พบท่านทีหนึ่ง.. ได้กราบท่านพอแล้ว เพราะฉะนั้น วัดสูงเนินถึงได้ไปพักที่นั่น

ลัก...ยิ้ม 21-07-2020 22:34

เรากับท่านเจอกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่นู้นน่ะ ท่านก็เรียนหนังสือ คุ้นกัน..สนิทสนมกันกับท่านมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ พอเรียนแล้วก็ออกปฏิบัติ พอหลังจากนั้นก็มาพบกับท่านเรื่อย ๆ เพราะการที่เคยพบกันอยู่เสมอ ๆ เรานาน ๆ ทีหนึ่ง

คราวนี้ที่ไปหาท่าน บุกเข้าไปในป่า ท่านถึงยิ่งเมตตาดีใจมาก อู๊ย.. เราไม่ได้พบกันเลย คุยกันนานนะ นี่ละลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์.. องค์นี้องค์หนึ่ง ที่ท่านเล่าให้ฟังเราจำได้หมดนั่นแหละ องค์ไหนชื่อว่ายังไง.. สมัยนั้นนะ เวลานี้ท่านก็ล่วงลับไปหมด

แม้แต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรายังล่วงลับไป ท่านบอกลูกศิษย์ของท่านฝ่ายมหานิกายที่ท่านบอกเองไม่ให้ญัตติ อาจารย์มีนี้ท่านห้ามไม่ให้ญัตติ ท่านพูดเองนี่ เมื่อท่านพูดเองแล้ว แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ฯ ท่านพูดด้วยความเมตตาสงสารมากนะ

อาจารย์ทองรัตน์ อาจารย์กินรี อาจารย์มี เท่าที่เราจำชื่อได้นะ แล้วอาจารย์ไหนบ้าง ท่านเล่าไปหมดนั่นแหละ แต่เราจำไม่ได้ ท่านแนะนำสั่งสอนตลอดมา ท่านก็เลยกระจายออกมาว่า
เมื่อไม่ให้ท่านเหล่านี้ญัตติแล้ว เพื่อนฝูงก็ได้มาก ทำประโยชน์ได้มากมายก่ายกอง จึงไม่อยากให้ท่านเหล่านี้ญัตติ เพราะธรรมดาโลกเราต้องถือสมมุติ คณะนั้นคณะนี้ เมื่อท่านเหล่านี้มาญัตติเสียแล้ว บรรดาเพื่อนฝูงที่เป็นสายเดียวกันก็จะเข้าหาลำบาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ญัตติ เพื่อจะเปิดทางให้บรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายเข้ามาแล้วได้ประโยชน์อันกว้างขวาง


ท่านว่าอย่างนั้นก็เป็นจริง ๆ เห็นไหม..สายอาจารย์ชากว้างขนาดไหน อาจารย์ชาก็เคยไปอยู่วัดหนองผือด้วยกันนี่นะ ตอนที่ท่านไปศึกษาอบรมเราก็อยู่ที่นั่น ถึงคุ้นกันมาตั้งแต่โน้นละกับอาจารย์ชานะ ที่นี่ท่านก็มา.. อาจารย์ชาที่หนองป่าพงเราก็ไป ไปเวลาไหนเราไปพักหนองป่าพง เราไม่พักที่อื่นนะ ไปทีไรเราไปพักหนองป่าพง วัดอาจารย์ชานั่นแหละ เป็นอย่างนั้นตลอดมา

ทางอุบลฯ ไปหมดแหละ สายกรรมฐานอยู่ที่ไหน ๆ เราไปหมด จนกระทั่งถึงเขื่อนสิรินธร ที่ไหน ๆ วัดป่าเป็นสายของหนองป่าพง เราไปพักหนองป่าพงแล้วก็ให้พระที่วัดหนองป่าพงพาไป สำนักไหน ๆ ไป ๆ พอแนะยังไงเราก็แนะ ๆ เพราะเราสงวนกรรมฐานมาก คือกรรมฐานนี้ละเราแน่ใจ.. จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลแทนองค์ศาสดาและสาวกทั้งหลายเรื่อยมา.. ด้วยภาคปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะฉะนั้นเราจึงสงวนมาก พระกรรมฐานอยู่ที่ไหนนี้คือกองแห่งธรรมจะอยู่ที่นี่ ธรรมจะงอกเงยขึ้นที่นี่ เพราะฉะนั้นเราถึงไป ถ้ากรรมฐานอยู่ที่ไหน อย่างไปทางกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน อยู่ทางด้านตะวันออกทางเมืองชลฯ ก็เหมือนกัน.. เราไปเรื่อยนะ พอไปถึงกรุงเทพฯ แล้วเราก็ไปเขาฉลาก แล้วก็แถวนั้น.. เขาเขียวเขาอะไร

พอเราบอกข่าวไป โทรศัพท์ไปบอกว่าเราจะไป ทางโน้นก็นัดแนะกันมารวม ๆ อยู่ที่วัดเขาฉลาก เราก็ไปให้โอวาททั้งสอนที่ตรงนั้นเพราะขาดครูขาดอาจารย์ เหมือนลูกเต้ามีหลายคน พ่อแม่ไม่มี โหย.. อะไรจะเป็นกองทุกข์ยิ่งกว่าลูกแตกกับพ่อกับแม่ใช่ไหมล่ะ แตกกระสานซ่านเซ็นไปก็มี อันนี้เราก็ไปเวลาว่าง ๆ ไปเราก็จี้เลย เทศน์ธรรมล้วน ๆ ให้ฟังเลย ถ้าเป็นสำนักกรรมฐานอยู่ที่ไหน เราจะเข้าถึงทันทีเลย ไม่สนใจว่าธรรมยุตมหานิกาย เราไม่สนใจจริง ๆ นะ มันเรื่องชื่อเฉย ๆ ธรรมต่างหากว่างั้น

อยู่คณะเดียวกันก็ลองดูซิ อย่างวัดป่าบ้านตาด.. ใครมาปฏิบัติขัดข้องหรือขัดขวางต่อหลักธรรมหลักวินัย เราไล่หนีทันที ถ้าหนหนึ่ง สองหนไม่ฟังนะ.. มากกว่านั้นไล่เลย อย่างหนึ่งไล่ทันทีก็มีนะ หลายแบบนะ ควรจะไล่ทันทีก็ไล่ทันที ควรจะขู่เสียก่อนก็มี มันหลายแบบ ตั้งแต่วัดเดียวกัน ชื่อเดียวกัน ธรรมยุตเดียวกันก็ตาม เราไม่ได้เอาอันนั้น เราเอาหลักธรรมวินัยเป็นตัวตั้ง..ใช่ไหม ? ทีนี้เมื่อธรรมวินัยตั้งอยู่ที่ไหน ๆ เข้ากันได้หมด นั่นเราเอาตรงนั้น

พูดถึงอาจารย์มี เรารัก เราเคารพท่านมากนะ ตั้งแต่เรียนหนังสือ โอ๋ย.. ท่านเป็นพระที่สุขุมละเอียดมาก สมชื่อสมนามว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจริง ๆ แต่ก่อนเรายังไม่เคยไปเห็นหลวงปู่มั่น ท่านไปเห็นมาก่อนแล้ว อยู่มาก่อนแล้ว ทีนี้พอไปอยู่กับหลวงปู่มั่นกลับมาแล้วจึงได้เข้ามาหาท่าน คราวนี้ยิ่งสนิทกันใหญ่โตเลยเทียวนะ เรียกว่าลูกพ่อแม่เดียวกันไปเลยทีเดียว กลมกลืนทันทีเลยนะ...

ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เราไม่ได้ไปงานศพท่าน ตอนนั้นเรามีอะไรนั่นแหละที่ไปไม่ได้ ที่ไหนก็เหมือนกัน เช่นอย่างศพอาจารย์ใช่ อยู่ที่เขาฉลากก็เหมือนกัน อันนั้นจะมานิมนต์มาวันเดียวกันอีกแหละ ทางนี้ก็รับนิมนต์เขาแล้วจะไปเทศน์ที่วัดถ้ำผาปู่ อาจารย์สีทน อันนั้นก็วันเดียวกัน ตกลงก็อย่างนี้แหละ รับนิมนต์ทางนี้ก่อน.. เลยตกลงก็ต้องไปทางนี้ ถ้ารับทางโน้นก่อน.. ทางโน้นต้องมีความหมายทันที อันนี้ปัดทันทีเลย คือก่อนหลังนั่นละ

นี่พูดถึงเรื่องอาจารย์มี โอ๋ย.. เราดีใจนะ พูดถึงเรื่องอาจารย์มี สูงเนิน เราเคยไปพักแล้วนี่ ไปพักกับท่านนั่นแหละ ถ้าไม่มีท่านอาจจะไม่ได้พักก็ได้ เพราะท่านเป็นแม่เหล็กใหญ่อยู่นั้น พอทราบว่าท่านอยู่ที่นั่นก็บึ่งเข้าหาเลย พักกับท่าน นั่นอย่างนั้นแล้ว โอ๊ย.. ท่านเมตตามากจริง ๆ กับหลวงตานะ รู้สึกเมตตามากจริง ๆ เหมือนหนึ่งว่าเป็นกรณีพิเศษนะ ..."

ลัก...ยิ้ม 22-07-2020 13:53

สนิทใจได้ด้วย “ธรรม”

สายสัมพันธ์ในธรรมของท่านมิได้จำกัดไว้ในหมู่บรรพชิตเท่านั้น มีฆราวาสจำนวนมากที่สนใจประพฤติปฏิบัติธรรม และสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่นจริงจัง ไม่ว่าเพศภูมิใด ย่อมประจักษ์ผลแห่งธรรมภายในใจขึ้นเป็นลำดับ ๆ ไป นักภาวนาหญิงหรือชายนั้นจะให้ผลแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร องค์หลวงตาเคยให้เหตุผลว่า
การปฏิบัติไม่มีเพศ เรื่องมรรคผลนิพพานแล้วไม่มีเพศ เหมือนกับกิเลสไม่มีเพศ มีได้ด้วยกันทั้งนั้น ความโลภก็มีได้ทั้งหญิงทั้งชาย ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา มีได้ด้วยกัน


มัชฌิมาปฏิปทา จึงมีได้ทั้งหญิงทั้งชาย เป็นเครื่องแก้กิเลสทั้งหลาย แก้ได้ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยอำนาจความสามารถของตนแล้ว.. มีทางหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน”

ด้วยเหตุนี้เองเมื่อโอกาสอำนวย ท่านจะไปเยี่ยมเยียนถึงสำนักปฏิบัติธรรมเหล่านั้น เช่น สำนักชีบ้านห้วยทรายของคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงของอุบาสิกากี นานายน ในตอนนี้จะขอกล่าวถึง คราวที่ท่านแวะเยียมสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ดังนี้

องค์ท่านเคยได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงของคุณยาย ก. เขาสวนหลวงมานานแล้ว ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบควรแก่การเคารพกราบไหว้ แต่มีข้อน่าประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เขาว่ากันว่าคุณยายเป็นคนไม่เอาพระ คือไม่ต้อนรับพระ สิ่งนี้เองทำให้องค์หลวงตาอยากรู้ว่าจะเป็นจริงหรือ ? หรือว่ามีเหตุผลด้วยประการใดกันแน่ เพราะหากเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ แล้ว ลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะมีทางเป็นได้ องค์ท่านจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อข่าวลือนี้นัก

เหตุนี้เอง เมื่อจังหวะมาถึงในคราวองค์ท่านไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลอาการอาพาธของท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเองที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อได้โอกาสอันควร องค์ท่านจึงเข้าไปเยี่ยมเยียนคุณยายถึงสำนักฯ เขาสวนหลวงด้วยตนเองเลยทีเดียว

พอเข้าในสำนักเท่านั้น ไม่นานก็มีเสียงระฆังเคาะดังกังวานขึ้น เรียกให้บรรดาสตรีนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พากันหลั่งไหลมากราบองค์ท่าน และให้การปฏิสันถารต้อนรับเป็นอย่างดี โดยมีคุณยาย ก. เป็นหัวหน้าอยู่ ณ ที่นั้นด้วย

หลังจากสนทนาพูดคุยกันได้ไม่นาน คุณยายกราบอาราธนาขอนิมนต์.. ให้ท่านแสดงธรรมแก่เหล่าอุบาสิกานักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย องค์หลวงตาจึงเมตตาแสดงธรรมโดยเน้นเรื่องจิตภาวนาเป็นสำคัญ

ทราบว่า หลังการแสดงธรรมจบสิ้นลง คุณยายถึงกับประกาศขึ้นด้วยความอาจหาญในธรรมปฏิบัติของคุณยายเองแก่บรรดาลูกศิษย์ในสำนักว่า
ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดแม้เปอร์เซ็นต์เดียว


เหตุการณ์ในครั้งนั้น เป็นที่ประจักษ์แก่องค์ท่านเอง ดังคำกล่าวที่ท่านเล่าให้ผู้มากราบเยี่ยมคณะหนึ่งฟังว่า
“ที่ว่าคุณยายไม่ต้อนรับพระนั้น หมายถึงพระประเภทโกโรโกโส ไม่ได้เรื่องได้ราวต่างหาก

ถ้าเป็นพระเคารพธรรม เคารพวินัย คุณยายท่านก็ไม่เป็น ... จะว่าอะไร แม้แต่เราเองก็ไม่ต้อนรับพระประเภทนั้นเหมือนกัน”

ลัก...ยิ้ม 22-07-2020 14:07

ขบขัน พระป่าเข้าเมือง

เหตุการณ์ระหว่างองค์หลวงตากับท่านพ่อลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านเคยเล่าแบบขบขันเต็มที่ถึงความเชยของตัวท่านเอง ดังนี้
“... มันขบขัน ตอนที่ท่านป่วยมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารเรือ
บุคคโล (ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) นั่นละ..เราไปเยี่ยมท่าน แล้วมันก็มีออดอยู่อันหนึ่ง (ออดสำหรับคนป่วยไว้เรียกแพทย์ พยาบาลในยามฉุกเฉิน) เขาเอาวางไว้นี่ เราก็คุย ก็มันวางอยู่ข้างเรานี่ เราก็ไปนั่งคุย คุยกับท่าน เห็นออดมันวางอยู่ เราไม่รู้ว่ามันเป็นออดนี่นะ

มันขบขันดีนะ ขบขันตรงนี้ละ ตรงพระป่ามันเซ่อ ไม่รู้เรื่องอะไร ไปเห็นออดมันวางอยู่ มันติดอยู่ข้างนี่.. เราก็จับมา เห็นมันอ่อน ๆ เราก็เลยบีบดูเสีย เราไม่รู้ว่ามันเป็นออดนี่นะ พอบีบทางนี้ มันก็ไปกวนพวกหมอและพยาบาลนี่นะ พวกที่อยู่ข้างล่างก็เลย โฮ้.. เลยแตกฮือขึ้นเลย รุมขึ้นมา

‘เอ๊ะ ท่านพ่อเป็นอะไร ? เป็นอะไร ?’

ท่านพ่อว่า ‘จะเป็นอะไร แล้วเป็นอะไรกันเนี่ย ?’

‘ก็ได้ยินเสียงออดทางนู้น’

ท่านพ่อว่า ‘ออดที่ไหนน่ะ ?’

ท่านก็ไม่รู้ว่าเรากด มันขบขันตรงนี้ละ ไอ้เราเองยังไม่รู้นะ เขามาทางนู้น เราก็ยังไม่รู้ว่าอันนี้คือออด เสียงออดมันไปกวนของเขา ก็เราบีบเล่นธรรมดา อ๊อด ๆ นั่นซี เขาก็รุมขึ้นมา

‘เอ๊..ท่านพ่อเป็นอะไร ? ท่านพ่อเป็นอะไร ?’ เขามาแบบตาลีตาลานนะ มาแบบรีบด่วนจริง ๆ ... ก็มันนุ่ม ๆ เรากดเล่น

เราถามเขาว่า ‘หือ ? อันนี้เหรอ ? ที่ว่าได้ยินเสียงออด นี่อันนี้เหรอ ?’

‘อันนี้แหละ’

‘โอ๋..แล้วกันละ เราบีบเล่นอยู่นี่’

ท่านพ่อว่า ‘หุ้ย.. ทำไม่เข้าเรื่อง’

ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านพูดเท่านั้นแหละ ‘ทำไม่เข้าเรื่อง’ เขาก็แตกฮือลงไปละนะ พอรู้เรื่องว่าเพราะอันนี้เอง เราว่า ‘โอ๊ย..นี่กระผมแหละ..บีบเล่น นึกว่าอะไร..ไม่รู้เรื่อง

ท่านพ่อว่า ‘ดื้อไม่เข้าเรื่อง’ ... พอเขารู้เรื่องแล้วต่างคนต่างหัวเราะกันลั่น

ลัก...ยิ้ม 22-07-2020 14:48

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ฝั้น

“... ท่านอาจารย์ฝั้นนะ กับเราจะมีอะไรเป็นพิเศษ รู้สึกว่าท่านจะเมตตาเป็นพิเศษเลย เจดีย์ของท่าน ๑๒ ล้าน เราหาให้ทุกบาททุกสตางค์นะ เจดีย์วัดอุดมสมพร ๑๒ ล้าน เราหาให้สร้างให้หมดทุกบาททุกสตางค์ เป็นเงิน ๑๒ ล้าน เหลือเงินอยู่ ๘ แสนเลยมอบให้วัดอุดมสมพร เพราะวัดนี้เป็นวัดที่รับเป็นรับตาย เศษเหลืออะไรก็ต้องมอบให้วัดนี้ เราเป็นคนสั่งเอง คณะกรรมการว่าอย่างไร ยอมรับหมด ๘ แสนเลย มอบให้ ๑๒ ล้านสร้างเจดีย์ เศษเหลือเงินอยู่แปดแสนเลยให้ท่าน

สร้างเจดีย์ท่าน ๓ ปีไม่ขึ้น.. เราปัดแล้วตั้งแต่ต้น เพราะเราทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น เสร็จเรียบร้อยแล้ว.. นั่นเป็นหน้าที่ของเราทำเอง ไม่มีใครมาบังคับ เราทำด้วยความสมัครใจ พอเสร็จแล้ว
ที่นี้จะทำเจดีย์หลวงปู่ฝั้น.. เราก็บอกให้พระทำ เราไม่ทำแล้ว ฟาดอยู่ ๓ ปีไม่ขึ้น ประชุมกันที่ไรเบาลง ๆ คณะกรรมการมาประชุมห้าคนหมดหวัง ทีนี้ก็ท่านสุวัจน์เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ฝั้น.. เลยตกลงกันกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจจังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งพ่อค้า ประชาชน ประชุมกันเลยนะ แล้วจะทำอย่างไรกันนี่


คือเราปัดแล้ว เราไม่เอาแล้ว ไปหาที่ไหนก็ไม่ได้แล้วก็วกกลับมา.. เลยตัดสินใจกัน ถ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์มหาบัวไม่ขึ้น ใครก็ไม่ขึ้น ๆ ก็ยกทัพมาหาเรา เต็มกุฏิแน่นหมดเลย พ่อค้าประชาชน ผู้มีเกียรติทั้งหลาย มีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจเป็นหัวหน้าไป ไปเล่าเรื่องสุด ๆ สิ้น ๆ ให้ฟัง
‘เมื่อวานหรือวันไหนมีคณะกรรมการมาประชุมเพียง ๕ คน ปีที่ ๓ เรียกว่าหมดหวังแล้ว จึงได้มาประชุมกัน มาหาท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ’


บอกอย่างนี้เลยนะ จึงได้พากันมา ‘มาขอความหวังจากท่านอาจารย์ เจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้นจะขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านอาจารย์องค์เดียว’

ดูซิ..มันมาหายอ ผลสุดท้ายเราก็พิจารณามันก็ไม่ขึ้นจริง ๆ เพราะ ๓ ปีแล้ว ตั้งคณะกรรมการคนไหนขึ้นเป็นประธานก็ล้มเหลว ๆ ถูกเตะถูกยันกัน วิ่งมาหาแต่เรา เราปัด ๆ เราไม่เอา พอถึง ๓ ปีล่วงไปแล้ว เห็นจะไปไม่ไหวเราก็เลยรับให้ พอรับเท่านั้นก็ขึ้นปึ๊บเลย เรียบร้อยมา

ท่านอาจารย์ฝั้นกับเรารู้สึกท่านเมตตาเรามากอยู่นะ อย่างลึก ๆ ลับ ๆ ไม่มีใครทราบได้ ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเสียอยู่ที่วัดอุดมสมพร เราอยู่วัดดงสีชมพู เราจะกลับมาอุดรฯ วันนั้นกลับไม่ได้เลย นี่ละเรื่องธรรมแสดงปาฏิหาริย์ก็เหมือนกับกิเลสแสดง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเรียกว่าปลิ้นปล้อน หลอกลวง คดโกง.. อันนี้อุบายวิธีการของท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน

ตอนเช้าเราสั่งท่านทุย กลางคืนฝนตกทั้งคืน น้ำท่วมหมด รถเข้าออกไม่ได้เลย ทำอย่างไร ท่านทุยก็วิ่งไปเลย..ไปหาพวกญาติโยมบ้านนาขาม ท่านไปสั่งเองนะ มันพลิกตาลปัตรอย่างนี้ละ.. เรื่องธรรม ท่านทุยไปสั่งเขาพลิกปั๊บไปแบบนี้ ฟาดเสียจนตอนเที่ยงรถยังไม่มา พลิกไปพลิกมา อุบายวิธีการของท่านอาจารย์ฝั้นบังคับเอาไว้ มันมีอยู่อันหนึ่งว่าท่านเอียนมาฉันจังหันที่ตังล้งอุดร มาทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้นเสียที่สกลนครเมื่อคืนนี้ นั่นละ รอข่าวเพราะอย่างนั้นเรื่องอะไรจึงยุ่งไปหมด ไปไม่ได้นะ..นี่ละปาฏิหาริย์ เราได้ร้องโก้กเลย มันจะมีเรื่องนะวันนี้ ขึ้นสะเทือนใจสามหนแล้ว เราบอก
ทำไมคนที่เราสั่งเสียมอบความไว้วางใจให้คือท่านทุย ท่านทุยเป็นหนึ่งเรื่องความจริงความจัง และรับจากเราด้วยความเคารพ ทำไมจึงไปเหลวไหล ท่านไปสั่งอย่างนี้เขาพลิกอย่างนี้ สั่งอย่างนี้เขาพลิกอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านทุยพลิกนะ เขาพลิกเอง อำนาจของท่านอาจารย์ฝั้น


คือจะยังไม่ให้เราไป ให้เรารออยู่นั้น จนกระทั่งท่านเอียนไปบ่าย ๒ โมงกว่าแล้ว ท่านจึงไปจากอุดรฯ บ้านตังล้ง จึงเอาเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นเสียไปบอกเรา พอบอกเราแล้ว รถมาแล้วติดเครื่องไม่ติด มันอัศจรรย์ไหมล่ะ กับฤทธิ์ของท่านอาจารย์ฝั้น เครื่องมันไม่ติดนะ

‘มันเป็นอย่างไรรถคันนี้ ก็มันดี ๆ อยู่ แต่นี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ’
(พอ) ติดเครื่องปุ๊บ ๆ ๆ ก็ดับพุบ ๆ สักเดี๋ยวท่านเอียนโผล่หน้ามา มาจากอุดรฯ พอมาถึงปั๊บเรากำลังนั่งอยู่บนรถ ติดเครื่องเท่าไรรถก็ไม่ติด พอท่านเอียนวิ่งมาหาเรา เราก็จ้องคอยดู พอมาปั๊บบอกว่า ‘ท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วแต่เมื่อคืนนี้ ๖ โมง ๕๐ นาที


เราเลยไม่ลืม ‘เออ..เอาล่ะ..ได้ความ (ไปวัดหลวงปู่ฝั้นเลย)’ ทีนี้รถไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งไปได้เลย ก็ผึงเลย นั้นเห็นไหม..ปาฏิหาริย์ของท่าน (เวลา) ไม่ยอมให้ไป เดี๋ยวติดนั้นขัดนี้อยู่อย่างนั้นละ นี่ละอำนาจเมตตาธรรมของท่านอาจารย์ฝั้นเกี่ยวกับเรา (เพื่อ) จะให้เราไปนู้น ท่านไม่ยอมให้ไปอุดรฯ พอทราบข่าวเท่านั้นละ (ทีนี้) ไม่มีเครื่องติดเลย เหยียบคันเร่งไปได้เลย ผึงไปวัดอุดมสมพร พระเณรก็รอกันอยู่หมด รอเราคนเดียว เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงได้กลับมาอุดรฯ นี่ละเป็นอย่างนั้นละ ท่านอาจารย์ฝั้น อำนาจจิตของท่านรุนแรงมากนะ...”

ลัก...ยิ้ม 22-07-2020 21:31

มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก่อตั้งขึ้นเนื่องด้วยคำปรารภของพระ ซึ่งเดินทางมาร่วมวันฉลองครบรอบวันเกิดของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กล่าวคือ การเดินทางของพระธุดงคกรรมฐานจากภาคต่าง ๆ เข้ากรุงเทพฯ เพื่อกิจธุระหรืออาพาธ มักมีอุปสรรคเกี่ยวกับการหาที่พักยาก โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรที่อ่อนอาวุโส และยังมิได้เป็นที่รู้จักของประชาชน มักจะหาที่พักไม่ค่อยได้ เมื่อคุณวรรณดี ตั้งตรงจิตร์ ซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ไปร่วมงานครั้งนี้ จึงมีความคิดสร้างเรือนพักพระภิกษุสามเณรในบริเวณที่ดินของตนเอง นอกจากนี้ยังอุทิศที่ดินและสิ่งก่อสร้างให้เป็นกุศลทั้งสิ้น การก่อตั้งเป็นมูลนิธิบริหารและดำเนินการในรูปคณะกรรมการ เพื่อให้กิจการอันเป็นกุศลนี้มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป

สำหรับชื่อของมูลนิธินั้นได้นำมนัสการกราบเรียน ปรึกษากับองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน และขออนุญาตใช้ชื่อ “มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์พระธุดงคกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ที่จาริกมาเป็นครั้งคราว หรือมีความจำเป็นจะต้องมาพักรักษาตัวยามเจ็บป่วย ซึ่งองค์หลวงตาเห็นชอบและอนุญาต

ลัก...ยิ้ม 22-07-2020 21:53

นวดมาเป็นแสน.. ไม่มีใครเหมือนหลวงตา

องค์หลวงตาเล่าเหตุการณ์คราวหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ยังมีชีวิตอยู่ คุณหมอนิมนต์องค์หลวงตาเข้ารับการนวดรักษา ดังนี้
“... แขนเราเป็นมาถึง ๒ ครั้งแล้วนะ แขนข้างขวานี่เป็นมา ๒ ครั้งแล้ว .. ครั้งแรกปี ๒๓ เรายังหนุ่มอยู่ แขนนี้ก็จวนจะใช้ไม่ได้ จะยกไม่ได้แล้ว ปวดก็ปวด ขัดปวด แล้วจะยกไม่ได้ ตึงหมด มันจะใช้ไม่ได้แล้ว จะยกไม่ขึ้น อาจารย์หมออวย คุณหญิงส่งศรี (เกตุสิงห์) ได้ติดต่อกับหมอทางโน้น .. แล้วก็มานิมนต์ให้มารักษาทางนี้ เขามาหาเรา เราก็เลยไปทดลองดู เขาว่าดีจริงๆ หมอนี่ เป็นหมอมีชื่อเสียงมากในกรุงเทพฯ ว่างั้น..เราจึงต้องสละเวลาไป


แกนวดเส้นเรา ไม่ได้รับเข้าในบัญชี ร้องจ๊าก ๆ แจ๊ก ๆ นี้นะ (ชี้ไปทางกลุ่มลูกศิษย์ที่มาฟังธรรมประจำ) อันนี้แตะไม่ได้ ร้องจ๊าก ๆ เราไม่ได้อยู่ในบัญชีนี้ เป็นซุงทั้งท่อนเลย เอ้า..ว่างั้นเลย เชื่อหมอแล้วนะ คือเขามาจับดู ๆ ทุกอย่าง เขาว่าเป็นเพราะเส้นล้วน ๆ ไม่มีโรคแทรก ‘นวดให้ถึงฐานมันแล้วจะหาย หรือไม่หาย’ .. ‘หาย’ เขาว่างั้น

‘เอ้า ! ถ้างั้นมอบให้เลย แขนจะขาดก็ให้ขาดไปเลย เราเชื่อหมอ เมื่อนวดเสร็จแล้วหมอจะเอาแขนเรามาต่อกันเอง เอาเลย..ใส่เต็มเหนี่ยวเลย’

นี่ละที่ว่า อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น ให้อาจารย์หมออวยได้ดูเสียบ้าง เรื่องโลกกับธรรมต่างกันอย่างไรบ้าง อาจารย์หมออวยก็เป็นหมอขนาดศาสตราจารย์ แล้วมาดูเรื่องพุทธศาสตร์ต่างกันยังไง ซัดเลยเต็มเหนี่ยว เอาให้เต็มเหนี่ยวนะเราบอก ปล่อยเลยเทียว ซัดเอาเสียเต็มเหนี่ยวเลย เราเป็นซุงทั้งท่อนเลย

ขึ้นหมดทั้งตัวเลย แต่เขาไม่ได้ขึ้นใช้เท้าเหมือนท่านสมบูรณ์ เขานวดด้วยมือ แต่มือเขานี้เป็นเหล็กเลย แข็งขนาดนั้น เราก็ปล่อยเลยเทียว พอนวดเสร็จลงมา ๒ ชั่วโมงกว่านวดครั้งแรก นวด ๓ หนนะ ครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่า ครั้งที่สอง ๒ ชั่วโมงหรือขาดเล็กน้อย ครั้งที่สาม ชั่วโมงครึ่ง

นวดครั้งแรก ๒ ชั่วโมงกว่าเล็กน้อย นับเป็นครั้งที่เจ็บมากที่สุด เขาก็เอาเต็มเหนี่ยวเลย พอนวดเสร็จลงมาถึง ‘ขอกราบท่านอาจารย์อีกหนนึง’

‘กราบเพราะอะไรว่าซิ’

เขาก็พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเลย ‘ผมนวดเส้นมานี้เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน ผมไม่เคยเห็นรายใดเลยที่จะเป็นอย่างท่านอาจารย์ เห็นแต่ร้องจ๊าก ๆ อันนี้เฉย ผมไม่เคยเห็นเลย เพราะผมนวดเต็มเหนี่ยวผม ผมเพิ่งมาเจอวันนี้ รายเดียวเท่านั้น มีท่านอาจารย์องค์เดียวเท่านั้น ผมผ่านมานี้เพิ่งเห็นองค์เดียวนี้ รายเดียวนี้เลยที่เฉยเลย..ไม่มีอะไร นอกนั้นเหมือนเสือถูกปืน ร้องจี๊กจ๊าก ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นวดแรงอะไรเลย ผมจึงขอกราบอีกทีหนึ่ง’

อู๊ย.. มือหมอเหมือนกับเหล็กนะ แข็งไหมเหล็ก..? ความหมายน่ะ คือขอกราบอีกครั้ง..ว่างั้นนะ เขาไม่เคยเห็น แล้วเว้นอีก ๓ วันมานวดอีก เว้นไปอีก ๒ วันนวดอีก นวด ๓ หนหายเลย วันแรกเป็นวันรุนแรงมาก.. นวด ถ้าธรรมดามันอดมันทนไม่ได้แหละ แต่นี้ฟังซิ..เหมือนขอนซุง เอ้า..แขนจะขาดให้ขาดไปเราเชื่อหมอแล้ว แขนขาดไปเวลาหมอนวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอจะเอาแขนมาต่อกันเอง นู่น..เห็นไหม เรียกว่าปล่อยเต็มที่ ซัดเต็มเหนี่ยวเลย ขึ้นทั้งตัวเลยนะ แกขึ้นทั้งตัวเลย ซัดเต็มเหนี่ยว โห้ย.. นิ้วของหมอนวดนี่ไม่ใช่เล่น ไม่ได้เหมือนนิ้วมือใครนะ แข็งแกร่ง ฟาดลงไปนี้ โถ.. อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่นั้น หายเลยนะ... นี่วาระแรกนะไปนวดเส้น

ทีนี้ก็มาพักที่ ๒ อีก ที่ไปเกิดอุบัติเหตุ (ทางรถยนต์เมื่อต้นปี ๒๕๔๑) นี้อีกละ อันนี้ไม่ค่อยรุนแรงที่ท่านสมบูรณ์นวดนี่นะ ไม่รุนแรงเหมือนนู้น อันนู้นเอาจริง ๆ เพราะว่าแขนจะยกไม่ขึ้น เขาบอกว่าเป็นเพราะเส้นล้วนๆ เราก็ปล่อยให้เลยทีเดียว อันนี้มันไปเกิดอุบัติเหตุมา ให้หมอนวดก็ท่านสมบูรณ์นวดให้ ถ้าไม่ใช่ท่านสมบูรณ์แล้วเราจะเป็นอัมพาตเลยนะ เพราะมันรุนแรงมาก จะเป็นอัมพาตเลย แต่นี่ก็ปล่อยให้อย่างนั้น แต่เราไม่ได้บอกว่าปล่อยอย่างที่หมอณรงค์ศักดิ์ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น ฝั่งธนฯ นะ นั่นเราปล่อยเลย

อันนี้เราไม่ได้บอกว่าปล่อย ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยร้อง อุ๊ ๆ อี๊ ๆ เหมือนบ้าทั้งหลาย..ว่างั้นเถอะ เราพูดจริง ๆ เราอยากเห็นบ้าก็ลองไปให้เขานวดเส้นให้ซิ ร้องจ๊ากเลย นั่นบ้าขึ้นแล้ว อันนี้เฉยเลย เพราะฉะนั้น ท่านสมบูรณ์จึงได้เอาไปสอนท่านเพ็ง วัดถ้ำกลองเพลล่ะซิ ทางนั้นพอกดลงไปร้องจ๊าก ๆ เลย นานเข้า ๆ ก็ ‘โหย.. ทำอะไรก็ไว้ลายหลวงปู่บ้านตาดบ้างซิ เอะอะก็ร้องจ๊าก ๆ ท่านไม่เห็นร้องอะไร ท่านเฉยอยู่ตลอด’

‘เหอ’ (ลูกศิษย์พากันหัวเราะ) อาจารย์เพ็งถาม ‘ท่านไม่ได้ร้องเหรอ’ ‘โหย.. ท่านไม่ได้ร้อง ท่านเฉยเลย’

‘เหอ.. ท่านถอดวิญญาณไปไว้ที่ไหนหนอ ท่านถอดเอาดวงวิญญาณไปไว้ที่ไหนนา’ (องค์หลวงตาหัวเราะ)

‘ก็ไม่ทราบไว้ที่ไหน แต่ว่าท่านไม่เคยร้อง ท่านเฉย’

สำหรับท่านสมบูรณ์นี้ ถ้าธรรมดาเขาเรียกว่าขั้นรุนแรงนู่นน่ะ แต่ถ้าเทียบกับครั้งนั้น ไม่รุนแรงแต่ถึงยังไงก็ตาม ท่านก็บอกว่า
‘ไม่มี ท่านนวดมานี้ ที่จะเฉยอย่างนี้ไม่เคยมี ก็มีแต่หลวงปู่เท่านั้น’...”

ลัก...ยิ้ม 23-07-2020 11:10

อาพาธหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล

มีตัวอย่างหนึ่ง คัดจากหนังสือประวัติและพระธรรมเทศนาพระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล) แสดงถึงน้ำใจขององค์หลวงตาที่เป็นธุระคอยให้คำปรึกษา และเอื้อเฟื้อต่อหมู่เพื่อนที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมา นั่นคือ หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล แห่งวัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ดังนี้
“... หลวงปู่บุญจันทร์ เป็นศิษย์ท่านอาจารย์มั่นอีกองค์หนึ่ง มีพรรษาน้อยกว่าหลวงตามหาบัวเพียง ๒ พรรษาเท่านั้น แต่ท่านให้ความเคารพนับถือในธรรมแก่กันและกันเป็นอย่างสูง ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้


ย่างเข้าเดือนที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อท่านอาจารย์สิงห์ทองได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่บุญจันทร์ป่วยหนัก จนฉันข้าวแค่วันละช้อน ๒ ช้อนเท่านั้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงเดินทางจากวัดมาเยี่ยมหลวงปู่

พอขึ้นไปถึงหลวงปู่ที่กุฏิ ท่านก็พูดเป็นเชิงเย้าเล่นตามนิสัยขี้เล่นของท่านว่า “เอ้า ! .. ป่วยมานอนตายอยู่ที่นี้ทำไม ?”
หลวงปู่ตอบ “ไม่นอนตายยังไง คนเดินไม่ได้


“ทำไมไม่ไปหาหมอ ?”

คราวนี้หลวงปู่เงียบ .. ไม่ตอบว่าอะไร ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงกราบขอนิมนต์หลวงปู่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจรักษา

หลวงปู่ว่า “ถ้าจะให้ไปหาหมอ ให้ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดเสียก่อน ว่าท่านจะเห็นสมควรอย่างไร ? จึงค่อยปฏิบัติตาม

ได้โอกาสอย่างนั้น จึงให้โยมพาไปวัดป่าบ้านตาดในวันนั้นเลยทีเดียว เพื่อกราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัว เกี่ยวกับเรื่องป่วยของหลวงปู่ให้ท่านฟัง ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงสั่งว่า ‘ให้ไปบอกท่านบุญจันทร์ว่า เดี๋ยวนี้หมอเขามี ไปให้หมอเขาตรวจดูก่อน ถ้าเขารักษาไม่ได้.. ค่อยกลับมาคอยวันตายที่วัด’

แล้วท่านพระอาจารย์มหาบัวก็พาท่านอาจารย์สิงห์ทองเข้ามาในเมืองอุดรฯ เพื่อจัดแจงตั๋วโดยสารไปกรุงเทพฯ ให้หลวงปู่ได้เดินทางไปหาหมอที่ รพ.ศิริราช พร้อมกับสั่งให้ท่านอาจารย์สิงห์ทองเป็นผู้ติดตามไปด้วย ... เมื่อรับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์มหาบัวแล้ว ก็กลับมากราบเรียนให้หลวงปู่บุญจันทร์ทราบในเย็นวันนั้น.. เมื่อหลวงปู่ได้ทราบคำสั่งของครูบาอาจารย์ก็ยอมปฏิบัติตาม ...

เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีคุณหมอเจริญ วัฒนสุชาติ มาคอยรับอยู่ก่อนแล้ว เพราะท่านพระอาจารย์มหาบัวเมตตาเป็นธุระทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถรับและเรื่องหมอที่ รพ.ศิริราช .. พอรถถึงโรงพยาบาล.. ก็มี ศ.นพ.อุดม โปษะกฤษณะ และ ศ.นพ.โรจน์ สุวรรณสุทธิ มาคอยรับหลวงปู่เช่นกัน

ในตอนนั้น ท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงได้ยื่นจดหมายให้อาจารย์หมอทั้งสอง ซึ่งเป็นจดหมายของท่านพระอาจารย์มหาบัว.. ฝากพระอาจารย์บุญจันทร์ที่อาพาธให้อยู่ในความดูแลของอาจารย์หมอทั้งสองด้วย หลังจากหมอตรวจดูแล้ว จึงทราบว่าหลวงปู่ป่วยเป็นโรควัณโรคในกระดูก (ทำให้กระดูกข้อสะโพกผุ) หมอบอกว่า
“โรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ ถ้ามาหาหมอช้ากว่านี้อีก ๒ เดือน กระดูกจะขาด.. ต้องตัดขาขวาทิ้ง


หลังการผ่าตัด หมอให้พักฟื้นอยู่จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อเห็นว่าหลวงปู่แข็งแรงขึ้น และแผลผ่าตัดก็หายแล้ว หมอจึงอนุญาตให้หลวงปู่กลับได้ .. ท่านพระอาจารย์มหาบัวทราบว่า หมออนุญาตให้ออกโรงพยาบาลได้ จึงไปเยี่ยมหลวงปู่ในห้องผู้ป่วยและปรารภว่า
“เราเป็นผู้ส่งท่านบุญจันทร์มารักษา และได้มอบให้หมอเป็นผู้ดูแลรักษา เราคอยฟังข่าวจากหมอเป็นระยะ ๆ อยู่ เราจึงไม่มารบกวน เมื่อทราบว่าอาการป่วยดีขึ้น และหมออนุญาตให้กลับได้แล้ว เราจึงมาเยี่ยมดู เราเป็นผู้ส่งท่านมา เราจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ทั้งค่าห้อง ค่ายา ให้ทางโรงพยาบาลคิดรวบรวมดูซิ เป็นราคาเท่าไร อาจารย์จะเป็นผู้จ่ายให้


คุณหมอกราบเรียนว่า “สำหรับค่าหมอที่รักษา .. อาจารย์หมอนทีขอยกถวายทั้งหมด ไม่คิดค่ารักษา สำหรับค่าห้อง ค่าอาหาร ... ที่เข้ารับการรักษาเป็นเวลา ๖ เดือน ทางโรงพยาบาล ขอยกถวายทั้งหมด”

การที่หลวงปู่อาพาธในครั้งนี้ นับว่าเป็นการอาพาธครั้งใหญ่หลวง เกือบจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ว่าได้ แต่ด้วยบารมีแห่งเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านได้ช่วยเหลือทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก.. ท่านได้ช่วยเรื่องการติดต่อฝากฝังกับหมอให้ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งการเดินทางไปและกลับ และค่ารักษาพยาบาล .. ภายใน คือเรื่องธรรม ที่หลวงปู่มีความเคารพในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ยอมไปรักษาตามคำสั่งของท่าน

หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังหลังจากกลับมาถึงวัดแล้วว่า “การป่วยครั้งนี้ เราได้เตรียมปล่อยวางทั้งหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ครูอาจารย์บ้านตาดสั่งแล้ว เราไม่ไปเลย”

หลวงปู่ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ศิษย์ได้พึ่งพาอาศัยต่อมาอีกเป็นเวลาถึง ๒๓ ปี จึงได้ละขันธ์ไป ...”

ลัก...ยิ้ม 23-07-2020 11:20

ธรรมสากัจฉาตามกาล


การสนทนาธรรมภาคปฏิบัติขององค์หลวงตานั้น ท่านมีโอกาสพบปะพูดคุยกับครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ หลายองค์ในวาระต่าง ๆ กัน ครูบาอาจารย์บางท่านมีพรรษามากกว่า บางท่านก็น้อยกว่า บางท่านเป็นลูกศิษย์ หรือบางท่านเป็นถึงครูบาอาจารย์ขององค์หลวงตา สำหรับหลักเกณฑ์ในการสนทนาธรรมนั้น องค์หลวงตาท่านถือปฏิบัติ ดังนี้


สนทนาธรรม เป็นธรรม เพื่อธรรม

แนวทางในการสนทนาธรรม.. ภาคปฏิบัติของพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมควรมีข้อปฏิบัติอย่างไรนั้น องค์หลวงตาเมตตากล่าวไว้ ดังนี้
“... การสนทนาธรรมะกันในทางภาคปฏิบัติ ผู้นั้นปฏิบัติอย่างนั้น ๆ มีความรู้ความเห็นอย่างนั้น ๆ ... ความรู้ความเห็นอันเป็นผลเกิดแปลก ๆ ต่าง ๆ กันมา มันเป็นคติเครื่องพยุงจิตใจซึ่งกันและกันอยู่มาก ... ก็เพราะท่านมุ่งเพื่อยึดคติจากธรรมของกันและกันจริง ๆ ไม่มีทิฐิมานะเข้าแฝงเลย แม้ต่างคนต่างยังมีกิเลสด้วยกัน .. ท่านสนทนาตามภูมิจิตภูมิธรรมที่ปรากฏขึ้นจากจิตภาวนาซึ่งตนบำเพ็ญมา .. และสงสัยก็ศึกษาไต่ถามกันเป็นระยะไป ท่านที่เข้าใจก็อธิบายให้ฟังตามลำดับแห่งความสงสัย จนอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ


การสนทนาธรรมที่เกิดจากความรู้ภายใน แม้ผู้มาเล่าและเรียนถามปัญหาจะมีพรรษาอ่อนกว่ากันอยู่มาก แต่การเล่าและการไต่ถามนั้นแฝงอยู่ด้วยความอาจหาญ มั่นใจในความรู้และปัญหาของตน ไม่พรั่นพรึงหวั่นไหวหรือประหม่ากลัวท่าน จะซักหรือทักท้วงแต่อย่างใด พูดไปและถามไปตามความรู้สึกของตน และยอมรับกันโดยทางเหตุผลของแต่ละฝ่าย

ถ้าตอนใดเหตุผลยังลงกันไม่ได้ ก็ซักซ้อมกันอยู่ในจุดนั้นจนเป็นที่เข้าใจ แล้วค่อยผ่านไปโดยไม่มีฝ่ายใดสงวนศักดิ์ศรีดีชั่วของตน อันเป็นลักษณะโลกแฝงธรรมให้นอกเหนือจากความหวัง เข้าใจต่อกัน ... ต่างมีความสนใจเอื้อเฟื้อต่อธรรมของกันโดยสม่ำเสมอแต่ต้นจนอวสานแห่งปัญหาธรรม ไม่แสดงความอิดหนาระอาใจ ไม่แสดงความดูถูกเหยียดหยามด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของกันและกัน ต่างสนทนากันด้วยความบริสุทธิ์ใจ หวังความรู้และความอนุเคราะห์จากกันจริง ๆ ..

ในวงกรรมฐานรู้กัน องค์ไหนภูมิจิตภูมิธรรมอยู่ชั้นใดภูมิใด นี้รู้กันในวงกรรมฐาน ท่านพูดกันเรียกว่าธรรมะในครอบครัว ท่านพูดกันในวงปฏิบัติเงียบ ๆ รู้กันเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้นละ ท่านไม่ฟู่ฟ่า ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่โอ้ไม่อวด...”

ลัก...ยิ้ม 23-07-2020 22:20

เคล็ดลับ.. ภูมิจิตภูมิธรรม

ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สถิตอยู่ในปุถุชน หรือพระอริยบุคคลแต่ละชั้นแต่ละภูมิ เป็นได้ทั้งธรรมจริงและธรรมปลอม ดังนี้
“... พระสงฆ์มีหลายประเภทตามขั้นตามภูมิ ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนขึ้นไปหาเสขบุคคล อเสขบุคคล คำว่าเสขบุคคล คือผู้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว แต่ยังต้องศึกษาเพื่อธรรมขั้นสูงขึ้นไป ตั้งแต่ขั้นพระโสดาถึงขั้นอรหัตมรรค ส่วนอเสขบุคคลนั้น หมายถึงผู้สิ้นสงสัย ผู้ได้บรรลุถึงพระอรหัตผลล้วน ๆ แล้ว รวมแล้วก็เรียกว่า พระอริยเจ้า...


ถึงขั้นโสดาบันแล้ว ก็เป็น อกุปปธรรม คือไม่กำเริบกลายมาเป็นตัวเป็นตนอีก สกิทาฯ อนาคาฯ เป็นอกุปปธรรมเป็นขั้น ๆ ตามขั้นของตน คือไม่เสื่อมลงมาขั้นต่ำ ยิ่งอรหัตผลแล้วก็ผ่านไปเลย หมดปัญหา กุปปธัมโม อกุปปธัมโม นั่น ...

ธรรมของพระพุทธเจ้าตามธรรมชาติแล้วเป็นของบริสุทธิ์ แต่เมื่อมาสถิตอยู่ในปุถุชนก็กลายเป็น “ธรรมปลอม” เมื่อสิงสถิตอยู่ในพระอริยบุคคลจึงเป็น “ธรรมจริงธรรมแท้”

คำว่า “อริยบุคคล” มีหลายขั้น คือ “พระโสดาบัน” เป็นอริยบุคคลชั้นต้น ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์” เป็นสี่

ธรรมในชั้นพระโสดาบันก็เป็นธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สำหรับพระโสดาบัน แต่ธรรมชั้น “สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์” เหล่านี้ พระโสดาบันยังต้องปลอมอยู่ภายในใจ แม้จะจดจำได้ รู้แนวทางที่ปฏิบัติอยู่อย่างเต็มใจก็ตาม ก็ยังปลอมทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่นั่นเอง

“พระสกิทาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “พระอนาคามี” และ “พระอรหันต์”

“พระอนาคามี” ก็ยังปลอมอยู่ในขั้น “อรหัตธรรม”
จนกว่าจะบรรลุถึงขั้น “อรหัตภูมิ” แล้วนั่นแล ธรรมทุกขั้นจึงจะบริบูรณ์สมบูรณ์เต็มเปี่ยมในจิตใจ ไม่มีปลอมเลย...”


เทศนาตอนหนึ่งขององค์หลวงตา กล่าวถึงการตอบปัญหาธรรมด้านจิตภาวนาของพระอริยบุคคลแต่ละขั้นละภูมิ ดังนี้
“...ในหนังสือที่มีอยู่ในธรรมบทที่กล่าวว่า กัลยาณชนไม่สามารถตอบปัญหาของพระโสดาบันได้ พระโสดาบันไม่สามารถตอบปัญหาของพระสกิทาคามีได้ พระสกิทาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอนาคามีได้ พระอนาคามีไม่สามารถตอบปัญหาของพระอรหันต์ได้


แม้พระอรหันต์ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรได้ ถึงพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ ก็ไม่สามารถตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าได้ คือความสามารถต่างกัน พอถึงขั้นอรหันต์ก็พอแล้ว

ส่วนที่ว่าพระสารีบุตร โมคคัลลาน์ไม่สามารถตอบปัญหาพระพุทธเจ้าได้นั้น หมายถึงความกว้าง แคบ ลึก ตื้นแห่งความรู้นั้นต่างกัน นอกจากความบริสุทธิ์ไปแล้วยังมีความลึกตื้นต่างกัน กว้างแคบต่างกัน ภูมิของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย ภูมิของพระสารีบุตร โมคคัลลาน์เป็นสาวกวิสัย .. จึงต่างกัน

สามัญวิสัย กับ อริยวิสัย ก็ผิดกัน แต่ละขั้นละภูมิ มีเคล็บลับประจำขั้นภูมินั้น ๆ ถามเคล็ดปั๊บก็ติด ดังพระเรียนจบพระไตรปิฎกครั้งพุทธกาล แต่ลืมเนื้อลืมตัวดูถูกเหยียดหยามพระปฏิบัติ หาว่านั่งหลับหูหลับตา.. ไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่โลก เลยจะเอาปัญหามาถามพระปฏิบัติท่าน

พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงเสด็จมาท่ามกลางสงฆ์ที่กำลังสันนิบาตนั้นว่า พวกนี้กำลังจะมาทำลายลูกศิษย์เราตถาคต แล้วมันจะไปตกนรกกันทั้งหมด ท่านไม่ได้กลัวพระปฏิบัติจะเสีย ท่านว่าพวกนี้จะตกนรกกันทั้งหมด

พอเสด็จถึง พระองค์ทรงตั้งปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกใบลานเปล่าตอบไม่ได้ รับสั่งถามพระปฏิบัติปั๊บ ตอบได้ผึง ยกปัญหาขึ้นปั๊บ ถามพวกนั้นนิ่งเหมือนคนตายแล้ว ตอบไม่ได้ วกกลับมาถามพระปฏิบัติ.. ตอบได้ปุ๊บ ๆ ตลอด จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมขนาบเสียอย่างเต็มที่ว่า
“พวกเธอนั้นน่ะ เหมือนกับลูกจ้างเลี้ยงโคให้เขา ได้ค่าจ้างเพียงรายวัน ๆ เท่านั้น ไม่เหมือนลูกของเรา หมายถึงพระปฏิบัติซึ่งเป็นเจ้าของโค โคก็เป็นสมบัติของตัว น้ำนมโคก็ได้ดื่มเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความต้องการ


พูดเรื่องธรรมก็เป็นเจ้าของธรรม เป็นธรรมสมบัติ เป็นมหาสมบัติ พวกเธอนี้เพียงแต่เรียนและจดจำมาเฉย ๆ ธรรมสมบัติอันแท้จริงยังไม่เคยได้ดื่มบ้างเลย ส่วนลูกของเราตถาคตทั้งได้ปฏิบัติ ทั้งได้ดื่มธรรมรสโดยสมบูรณ์ จึงไม่ควรประมาท’

ปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งถามเป็นปัญหาทางด้านจิต พอมาถามพวกปฏิบัติตอบได้ผึง ๆ เลย...”

ลัก...ยิ้ม 23-07-2020 22:37

การสนทนาธรรมระหว่างองค์หลวงตากับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ


ขอน้อมนำเป็นกรณีศึกษาเพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนี้

พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้องค์หลวงตาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ท่านเจ้าคุณมักมาดึงตัวองค์หลวงตาไปเทศน์ในวัดโพธิสมภรณ์ หรือในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก การแสดงธรรมไม่ว่างานใด.. ท่านจะมอบจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายถวายท่านเจ้าคุณทั้งหมดทุกครั้งไป จนท่านกล่าวว่าท่านเจ้าคุณคงจะเห็นเป็นที่ระลึกระหว่างท่านเจ้าคุณกับตัวท่านเองว่า “หลวงตาเป็นลูกกตัญญู" ” จริง ๆ จนกระทั่งท่านเจ้าคุณต้องค้านเอาบ้างว่า “อ้าว ! เธอเอามาให้แต่เรา แล้วเธอจะไปเอาอะไร”

ที่ทำเช่นนี้ องค์หลวงตาท่านเคยให้เหตุผล และกล่าวถึงความรู้สึกในใจที่มีต่อท่านเจ้าคุณว่า
เราถวายให้ท่านตลอด เราไม่เคยแตะ.. เทศน์ที่ไหน ๆ ไม่ว่าปัจจัยเงินทอง ข้าวของอะไรมอบถวายหมด เราไม่เอาแม้บาทหนึ่ง คือเราตอบแทนคุณท่าน ถึงอย่างนั้นก็ไม่เท่าคุณของท่านที่เป็นพ่อของเรา เราเป็นพระทั้งองค์ได้เพราะท่านเป็นอุปัชฌาย์ นั่น.. หลักใหญ่อยู่ตรงนั้นนะ


องค์ท่านเล่าถึงความผูกพัน และความสนิทสนมระหว่างท่านกับท่านเจ้าคุณ จนมีเหตุให้ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดังนี้
“...แต่ก่อนท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่วัดโพธิฯ เราต้องไปพักค้างที่วัดโพธิฯ บ่อย ๆ เราไม่ไปท่านก็ให้พระมาตามเอาเราไปที่วัดโพธิฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ตอนนั้น ที่ท่านเสียอายุท่านก็ ๗๕ ท่านเป็นชั้นธรรม ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่นี้พระกรรมฐานมาพักวัดโพธิฯ เรื่อย ๆ เพราะท่านเมตตาติดต่อเกี่ยวข้องกับกรรมฐานเรื่อยมา ท่านเองก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น สำคัญตรงนี้นะ


วัดไหน ๆ มาค้างที่นั่นแหละ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นอย่างนี้ อยู่สกลนครก็เข้ามาค้าง ท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์อ่อน เราไปอยู่เรื่อย แล้วยิ่งมีงานในวัดโพธิฯ ด้วยแล้ว กรรมฐานยิ่งมาหมดเลย ท่านเอามาจนหมด ท่านมีความเคารพเลื่อมใส และสนใจปฏิบัติด้านธรรมกรรมฐานตลอดมา นั่งปั๊บลงนี้ไม่มีเรื่องโลกเลย ตั้งแต่ขณะนั่งจนกระทั่งลุกจากท่านมีแต่เรื่องธรรมล้วน ๆ ธรรมก็เป็นธรรมปฏิบัติด้วย เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น พูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม

ลัก...ยิ้ม 23-07-2020 23:32

ท่านเป็นเจ้าคณะภาค แต่เวลาไปนั้นท่านไม่สนใจ พูดแต่เรื่องธรรมปฏิบัติล้วน ๆ ท่านก็บอกตรง ๆ เลยว่า ‘ที่เป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี้ เป็นเพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน เป็นผู้ใหญ่ครอบไปหมด ไม่ให้มีใครมารังแก’

ท่านว่าอย่างนี้ แต่ธรรมดาก็ไม่มีใครรังแกแหละ แต่ท่านก็พูดของท่านอย่างนั้น นั่งปั๊บนี่พูดตั้งแต่เรื่องภาคปฏิบัติ เรื่องป่านั้นเขานี้.. ท่านเคยไปเที่ยวมาพอแล้วนี่นะ ภาวนาดีไม่ดีพระกรรมฐานสู้ท่านไม่ได้ ไปบิณฑบาตปั๊บมานี่ วางบาตรแล้วขึ้นไปไหว้พระ แล้วนั่งภาวนาก่อน จนกระทั่งได้เวลาแล้วลงมาฉัน นี่ปรกติของท่าน ฉันแล้วถ้าไม่มีแขกมีคน ท่านก็ลงไปทำวัตรเช้า พอกลับมาท่านก็ภาวนา แล้วก็พักตอนกลางวัน

พอตอนบ่าย ท่านก็เดินจงกรมอยู่ชั้นบน รับแขกตอนประมาณบ่ายโมงท่านถึงจะลงมา นี่เป็นกิจวัตรของท่านประจำ พอตกกลางคืนก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีธุระรับแขกรับคน ๒ ทุ่ม ท่านขึ้นแล้ว.. ขึ้นไปไหว้พระ นั่งภาวนา เดินจงกรม เราไปได้ยินเสียงกึ๊ก ๆ อยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรม นี้เป็นประจำ

ท่านบอกว่า ‘เรานอนน้อยมาก เวลานอกนั้นเป็นเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งนั้น’

ฟังซินะ..พระกรรมฐานยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านสนใจจริง ๆ ภาคปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ได้ไปดู เขาเอาศพของท่าน.. เปิดโกศออกดูทุกสัดทุกส่วนขาวทีเดียว เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ที่ไม่มีกลิ่น คือเอาธูปเอาอะไรมา เวลาเปิดออกแล้วไม่มีกลิ่นเลย ธรรมดา ๆ พวกมาจากสำนักพระราชวังเขามาจัดงานศพท่าน เขาบอกว่านี่เป็นองค์ที่สี่ ที่ตายแล้วไม่เน่าไม่เหม็น เป็นปรกติอยู่อย่างนี้ นี่เป็นองค์ที่สี่

ท่านสนใจธรรมปฏิบัติตลอดเลยนะ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี หลวงปู่มั่นแหละเล่าให้ฟังว่า ‘เณรจูมนี่ ต่อไปมันจะได้เป็นผู้ใหญ่นะ ดูหูมันกาง ๆ ต่อไปจะได้เป็นผู้ใหญ่ เอาไปเรียนหนังสือเสียก่อน เลยไปฝากที่วัดเทพศิรินทราวาส สอบแล้วสอบเล่า ตกแล้วตกเล่า เรียกกันว่า มหาจูมหนังสือเน่า สอบเปรียญไม่ได้สักที

จากนั้นก็มาเป็นพระครู แล้วมาเป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี่ตลอดมา ท่านสนใจกับครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน แต่ก่อนไม่มีรถมีราท่านเดินเอานะ บ้านผือท่านก็ไป หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหนท่านจะไป หนองผือท่านไปปีละ ๒ ครั้ง ออกพรรษาแล้วหนึ่ง และเดือนพฤษภาคมหนึ่ง ท่านเดินเข้าไป ท่านสนใจมาก

ไปนั่งปั๊บนี่ไม่มีเรื่องโลกเรื่องการปกครอง เรื่องปริยัติไม่มีเลย .. มีแต่ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติล้วน ๆ พูดเรื่องจิตภาวนา ท่านหนักแน่นมากทีเดียวทางด้านธรรมปฏิบัติ หนักแน่นจนวาระสุดท้าย ว่าเป็นพระปริยัติก็มีแต่ชื่อเฉย ๆ ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าคณะภาคไว้นี่ เพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน ไม่ให้มารังแก ก็ไม่มีใครรังแกแหละ ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านดูแล มีเรื่องอะไรปั๊บท่านเข้าถึงเลย เป็นอย่างนั้น

วัดโพธิฯ นี้กรรมฐานเข้าไปค้างบ่อย ๆ แหละ ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ จากนั้นแล้วก็ไม่ได้ไป เราเองก็ไม่ได้ไป ไปก็ไปชั่วคราวไม่ได้ค้าง แต่ก่อนพระกรรมฐานผู้ใหญ่ ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ใครต่อใครผู้ใหญ่ ๆ แหละ..มา ยิ่งมีงานแล้วเอามาหมด..กรรมฐาน มาท่านก็บอก นี่ใครจะกราบจะไหว้ก็มากราบมาไหว้เสีย พระเหล่านี้เป็นพระสำคัญทั้งนั้น นาน ๆ จะได้พบท่านทีหนึ่ง มีงานทีหนึ่งพระกรรมฐานท่านเอามาหมด แล้วประชาชนเขาก็ได้ทำบุญให้ทานกับท่าน ท่านบอกตรง ๆ เลย
‘เอ้า.. ให้พากันทำบุญให้ทานเสียนะ พบพระอย่างนี้มันพบยากนะ’


ท่านพูดอย่างนี้แหละ เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แล้วพระกรรมฐานมาค้างบ่อย ท่านไปเอามาจนได้ ไม่มีงานก็ไปเอามา อย่างเรานี้ไปเรื่อย บางทีท่านมาเอาเอง ท่านมาเองเลย

คิดดูซิ ถ่ายรูปที่ต้นโพธิ์ทางทิศเหนือของวัด นั่นละ..นั่งเป็นวงกลมถ่ายรูปเจ็ดแปดองค์หรือไง เราผอม ๆ นั่นก็เราป่วยนะ เรากำลังป่วยอยู่นี้ท่านมาเอาเอง เราบอก ‘กำลังป่วยเป็นไข้’

‘เออ.. ไม่เป็นไรแหละ ไปนู่นมันหายเอง’ แล้วเอาไปเลย เราจึงผอม ๆ พระกรรมฐานมาอยู่ที่นั่นเรื่อย ๆ แล้วชุ่มเย็นไปหมดนะ ทางภาคอีสานวงกรรมฐาน ท่านไปเที่ยวซอกแซกทุกแห่ง วัดไหนสำคัญ ๆ ท่านไปหมด ท่านชอบวงกรรมฐานมากที่สุด ท่านปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นประจำเลย ไปนั่งปั๊บนี่มีแต่เรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องภาคปฏบัติ ไม่มีเรื่องการปกคงปกครอง ปริยัติอะไรไม่มีเลย เรื่องโลก เรื่องสงสารไม่มี มีแต่ภาคปฏิบัติล้วน ๆ

นั่งนี่สองสามชั่วโมงกว่าจะได้ลุก โธ่.. เราเจ็บเอวเกือบตาย..นั่นละ ไปทีไร.. ฟังท่านนั่งคุยธรรมะ ท่านก็เพลินของท่าน เราดูอาการก็รู้ ท่านเพลินในธรรมทั้งหลาย ท่านพูดด้วยความเพลินในธรรม เมื่อเห็นครูบาอาจารย์มาหาท่าน ฝ่ายกรรมฐานมามาก ๆ ท่านยิ่งรื่นเริงมากนะ ดูอาการของท่านยิ้มแย้มแจ่มใสทุกอย่าง ท่านพอใจกับวงกรรมฐานมากทีเดียว ท่านเอาแต่องค์สำคัญ ๆ แหละมา แต่ท่านเป็นนิสัยอันหนึ่ง ท่านพูดสนุกสบายธรรมดา ท่านเรียกอีตานั่นอีตานี่ ท่านไม่เรียกธรรมดา ท่านพูดสบายในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์

ส่วนมากท่านเป็นอุปัชฌาย์ทั้งนั้นแหละ ว่าอีตานั่นอีตานี่ ท่านว่างั้น ท่านว่าสบายไปเลย เราผู้ฟังขบขันจะตาย แต่ท่านพูดแบบสบายไปเลย พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ที่สนิทสนมกัน ท่านพูดแบบสบายไปเลย อีตานั้นอีตานี่ ไม่ได้ยินท่านว่า ‘อีตา’ ตั้งแต่เราหนึ่ง กับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ขาว สามองค์ .. เราคอยฟัง อีตานั่นอีตานี่ไม่เคยออก ท่านฝั้น ท่านขาว มหาบัว นอกนั้นอีตาทั้งนั้นแหละ ท่านเรียกอีตาติดปากท่านเป็นนิสัย

ลัก...ยิ้ม 24-07-2020 12:23

พอมาพูดตอนนี้แล้วท่านขึ้นเทศน์ ตามธรรมดาดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิฯ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า นิพพานเป็นอนัตตา สะดุดกึ๊กเลยใจเรา...”

คราวหนึ่งท่านเจ้าคุณได้แสดงธรรมที่ศาลาวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ทำให้ท่านรู้สึกสะดุดใจในทันที และคิดว่าจะต้องแอบหาโอกาสเข้ากราบเรียนถวายท่านเจ้าคุณในทันที เพราะเป็นประเด็นหัวข้อธรรมที่สำคัญมาก เมื่อท่านเจ้าคุณลงจากธรรมาสน์ ท่านจึงรีบเดินตามในทันที ก็พอดีท่านเจ้าคุณก็ชวนขึ้นด้วยเช่นกันว่า “ไป.. บัวไปด้วยกัน” ท่านเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า

“... (ครั้งนั้น) ท่านขึ้นเทศน์ตามธรรมดา ดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิสมภรณ์ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่า ‘นิพพานเป็นอนัตตตา’ ตอนนั้นเราสะดุดใจกึ๊กเลย พอไปถึงก็ซัดกันเลยระหว่างพ่อกับลูก

‘ต้องขอประทานโอกาสพระเดชพระคุณ ทำไมพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่า นิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหา จะเป็นอนัตตาอย่างไร อนัตตาเป็นทางเดินของพระนิพพานต่างหาก จะมาเรียกพระนิพพานว่าเป็นอนัตตาได้อย่างไร ?

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน นิพพานจะมาเป็นอนัตตาอย่างไร ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ละซิ ถ้าอันนี้ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่ถึงพระนิพพาน อันนี้สมบูรณ์แบบแล้ว..สลัดปั๊วะ ถึงนิพพานเลย’

ท่านนิ่งเลยนะ นี่ละ..อุปัชฌาย์กับลูกศิษย์สนทนากัน เราก็เด็ดด้วย..เพราะผิดมาก ท่านนิ่งเงียบ คือผิดต่อความจริงอย่างมากมาย เพราะฉะนั้น ถึงเบิกออกทันที...”

เกี่ยวกับความเห็นในหัวข้อธรรมเดียวกันนี้ ในเวลาต่อมาราวปี พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๔๒ ข้อธรรมในประเด็นนี้ เป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในวงชาวพุทธ ฝ่ายปริยัติและองค์หลวงตาได้กลายมาเป็นผู้ไขปัญหาให้สังคมได้เข้าใจอย่างชัดเจน ด้วยความชัดเจนทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติว่า “นิพพานมิใช่อัตตา มิใช่อนัตตา นิพพานคือนิพพาน” ดังนี้

“... พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน ... ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... มรรค ๔ นั้น ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อาหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ... คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือ นิพพาน

อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่องทุกขัง เรื่องอนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน...

เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นหนึ่ง สองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได.. ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อก้าวเข้าสู่บ้านแล้ว บันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว... จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ .. บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได...
นิพพาน ไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่เป็นนามธรรมที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลัก ธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว ...


เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่า นิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละ..เป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั่น จิตต้องปล่อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน.. อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้น คำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้ หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น.. เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้...”

ความเคารพที่องค์หลวงตามีต่อพระอุปัชฌาย์ของท่านนั้น นอกจากจะแสดงออกด้วยการไปแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ ตามแต่พระอุปัชฌาย์จะบอกกล่าวมาแล้ว ท่านยังตอบแทนพระคุณด้วยการจัดแพทย์ชั้นหนึ่งจากโรงพยาบาลศิริราชมาถวายการรักษาอีกด้วย ซึ่งก็คือ ศ.นพ. อวย เกตุสิงห์ และ ศ.พญ. ม.ร.ว. ส่งศรี เกตุสิงห์ นั่นเอง เนื่องจากองค์หลวงตาเป็นพระอาจารย์กรรมฐานองค์แรกของ นพ. อวย เกตุสิงห์ ท่านจึงได้ขอร้องให้คุณหมอทั้งสองรับภาระดูแลพระอุปัชฌาย์ ซึ่งอาพาธมาช้านานที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นคุณหมอจึงได้นำท่านเจ้าคุณมารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชต่อไป โดยปรนนิบัติรับใช้ท่านเจ้าคุณทุกวันมิได้ขาด จนกระทั่งหายและกลับจังหวัดอุดรธานีได้

และด้วยเหตุนี้ ภายหลังท่านเจ้าคุณจึงได้แนะนำให้ ม.ร.ว. ส่งศรี เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด โดยเมตตาอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ เพราะสมัยนั้นการเดินทางยังยากลำบากอยู่มาก หลังจากนั้นคุณหมอทั้งสองจึงรวบรวมคณะได้ ๗ คน และนัดหมายกับท่านเจ้าคุณเดินทางไปวัดป่าบ้านตาดตามความประสงค์ต่อไป การทัวร์วัดป่าบ้านตาดในคร้งนี้ ถือเป็นการทัวร์ธรรมะวัดกรรมฐานคณะแรกเลยทีเดียวก็ว่าได้

ลัก...ยิ้ม 28-07-2020 14:08

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

คราวหนึ่งองค์หลวงตามีโอกาสเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้เข้ากราบหลวงปู่แหวน ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่อีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเช่นกัน จากการสนทนาในครั้งนั้น ทำให้ท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนด้วยความเคารพบูชาว่า
“... ท่านอาจารย์แหวนองค์หนึ่ง สามารถแก้ได้ตลอดทั่วถึงทางด้านจิตใจ เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่เอาเรื่องกับใครแล้ว ประการหนึ่งก็ไม่มีใครไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านขี้เกียจยุ่งกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ท่านก็อยู่สบาย ๆ


ลองมีผู้มีภูมิจิตภูมิธรรม มีความรู้ความเห็นต่าง ๆ ทางด้านปฏิบัติไปเล่าให้ท่านฟังดูซิ ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงท่านจะไม่ขึ้นปึ๋งปั๋ง ๆ เพราะท่านอยู่กับธรรมเท่านั้น ถึงไม่ติดธรรมท่านก็อยู่กับธรรม เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่ ...

พอเข้าไปมีพระอุปัฎฐากท่านอยู่องค์เดียว เราเข้าถึงปุ๊บในห้องท่านเลยละ พวกนั้นให้เขารออยู่ข้างนอกเต็ม ไปก็เอาเลย เพราะจะเข้าหาท่านทีไรจะพูดธรรมะ โดยเฉพาะไม่มีเวลาคนรุม ๆ คราวนี้เลยได้อุบายใหม่ มาก็ตกลงกับเขาเรียบร้อย ให้อาตมาเข้าไปหาท่านเสียก่อนนะ เข้าไปคุยกับท่านพอสมควรแล้วจะออกมาแล้วให้สัญญาณ ได้เข้าเฝ้าท่านแหละวันนี้ ..พอใจ..พอว่าเขาก็แตกฮือกลับเลย เราก็เข้า..เข้าก็ฟัดกันเลย เราลืมเมื่อไร ก็มันเตรียมพร้อมใส่กันอยู่แล้ว

ขึ้นเบื้องต้นปัญหาปุ๊บเข้าไปเลยทีเดียว ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ ถ้าไม่รู้ตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาภาคปฏิบัติภายในจิตใจโดยเฉพาะ ค้นหาคัมภีร์ไหนก็ค้นเถอะน่ะ คัมภีร์ใหญ่คือหัวใจเท่านั้น.. ที่จะได้ธรรมเหล่านี้ออกมา พอเข้าไปหาท่านใส่ปั๊บทีเดียวละ

เอาแต่ปัญหาจุดสำคัญ ๆ นะ คือนี้จะบอกในตัว ท่านตอบนี้แล้วก็แสดงว่าท่านรู้ไว้แล้ว ท่านก็จะรู้ทันทีว่ารู้แล้ว ไม่รู้จะถามปัญหาอย่างนี้ไม่ได้ มันบอกในตัวเสร็จเลย เบื้องต้นปั๊บเข้าไป ๑๐ นาที ท่านก็ผางออกมา ๑๐ นาที เข้าใจหมด

พอท่านหยุดหายใจใส่เข้าอีกปั๊บ เพราะเราหายสงสัยแล้วนี่ คราวนี้เอาใหญ่เลย ถึงรากใหญ่ของวัฏจักร คราวนี้ ๔๕ นาที เหมือนว่าท่านไม่ได้หายใจเลยนะ ธรรมถึงใจท่านเรียกว่าถ้าเป็นน้ำก็น้ำถังใหญ่ ๆ ที่สะอาดสุดยอด ไม่ควรจะนำไปใช้สอยชะล้างสิ่งใดเลย.. น้ำถังใหญ่ท่าน พอเข้าไป เรามันพระขี้ดื้อ ไปก็ไขก๊อกเลย เปิดก๊อกไว้เลย น้ำก็พังออกมา ซัดกันใหญ่ ประโยคที่สองนี่ ๔๕ นาที ประโยคแรก ๑๐ นาที โอ้.. ตัวแดงหมดนะ ไม่เคยมีใครจะเปิดหรือไขก๊อกนี้เลย หมายถึงว่าน้ำอรรถน้ำธรรมที่สะอาดสุดยอดของท่าน เก็บไว้อย่างนั้นตลอด ใครไปก็เหรียญหลวงปู่ เหรียญเราสู้หลวงปู่ ขอท่านก็เอา ๆ ถังใหญ่ไม่มีใครไปแตะ เราไปใส่ปั๊วะเลยเชียว ปั๊วะท่านก็ผางออกมาเลย ครั้งแรก ๑๐ นาที เราเข้าใจแล้ว พอท่านหยุดหายใจ.. เราก็ปั๊บเข้าอีกเลย คราวนี้โอ๋ยไปใหญ่เลย .. ตัวแดง

ท่านไม่เคยมีใครไปถามอย่างนั้น เปรี้ยง ๆ ๆ .. ออกเต็มเหนี่ยวเลย พอใจ ท่านพอใจเต็มที่ เราก็พอใจเต็มที่ พอเสร็จแล้ว ท่านใส่อย่างท้าทายเลย ‘เอ้า ! ที่พูดมาทั้งหมดนี่น่ะ ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องตรงไหน เอ้า..ท่านมหาค้านมา’

‘กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมประเภทนี้แหละ’

ฟังเสียงหัวเราะ ฮ่า ๆ ๆ ‘เออ.. ท่านองค์นั้นล่ะ ได้คุยกันแล้วยัง อาจารย์องค์นั้นล่ะ ๆ ระบุชื่อ ๆ เลยนะ ธรรมะประเภทนี้น่ะ ได้คุยกับอาจารย์องค์นั้น ๆ แล้วยัง’

ความหมายว่าอย่างนั้น คือธรรมประเภทนี้น่ะ ความหมายว่าอย่างนั้น เราก็กราบเรียนท่านพอประมาณ ๆ ให้พอเหมาะพอดี ตัวท่านแดงหมดเลยละ คือไม่มีใครไปถามธรรมะประเภทนี้ ท่านก็เก็บไว้ในถังใหญ่อย่างนั้นละะ ใครไปก็ขอเหรียญเราสู้ เหรียญอะไรต่ออะไร

ที่ถามที่ตอบกันนี้มีแต่แก่นธรรมออกจากภาคปฏิบัติ เราจะไปหาในคัมภีร์ไม่เจอ ต้องหาในคัมภีร์ใหญ่ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่ พระสาวกอรหันต์เป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่.. ปั๊บลงตรงนั้นละได้ความออกมา เอากันวันนั้นก็เอากันอย่างนั้นละ นั่นแหละ..ที่ว่าเพชรน้ำหนึ่ง

เมื่อเข้าถึงกันลงถึงขีดเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านอาจารย์องค์นี้ได้ลงถึงขีดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ใครจะไปหาเรื่องหาราวว่า ท่านเป็นสังฆปาราชิก.. เฉย ไม่สนใจ หลักใหญ่เข้าถึงกันแล้ว ...”

ลัก...ยิ้ม 29-07-2020 15:19

หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

หลวงปู่ขาวเป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง ในสมัยหนุ่มท่านมีนิสัยอาจหาญ ทรหดอดทน และจริงจังในการบำเพ็ญเพียรมาก ท่านเที่ยวธุดงค์ไปทั้งทางภาคอีสานและเหนือ กระทั่งได้กำลังครั้งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ องค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงประวัติของหลวงปู่ขาวขึ้น เพราะมีโอกาสได้ซักถามพูดคุยข้ออรรถธรรมที่ลึกซึ้งกับท่าน คราวหนึ่งของการเทศน์อบรมพระภายในวัด ท่านพูดถึงการสนทนากันในครั้งนั้นว่า
“... ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น.. เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน.. เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไป องค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามา ๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบาย ๆ ท่านสั่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน


พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป.. ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริง ๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ ... นี่เคยพูดกันตั้งแต่นู้น นี่ก็ไม่เคยพูดกันอีกนะ ตั้งแต่ไปอำเภอหนองบัวลำภู คุยกันสนุกสองต่อสอง ... พอสองทุ่มไปในงาน เราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด .. ๒ ทุ่มเริ่มจนกระทั่ง ๖ ทุ่ม .. ท่านให้เราพูด เราก็พูดให้ฟัง ท่านเป็นผู้ฟังนี่นะ เริ่มแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยทุกกิทุกกีเป็นยังไง ๆ ว่าไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งหมดความสามารถของเราแล้ว ... เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด .. เราก็มอบถวายท่านเลย บอกว่า
‘ท่านอาจารย์อย่าผูกเป็นความเกรงใจกระผม ถ้าติดหรือขัดข้องตรงไหน มันไม่ถูกตรงไหน ขอให้ท่านอาจารย์บอกกันอย่างตรง ๆ เอา.. ฟาดให้เต็มที่เลย


ผมหมดความสามารถเท่านี้แหละ ถ้าติดก็ติดอย่างตายใจเลย แบบไม่สนใจจะแก้เลย ขนาดนั้นแหละ หลงก็หลงขนาดนั้นแหละ’

แต่ท่านก็ไม่พูดมากนะ เราก็ไม่ลืม นี่สรุปเอาเลยนี่นะ คุยกันมาตั้งแต่ ๒ ทุ่มจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่ม เราเดินมาถึง ๕ ทุ่ม เรื่องของเรา เรื่องของท่านมีเพียงชั่วโมงเดียว ไม่ถึงชั่วโมง

พอพูดของเราเสร็จลงแล้ว มอบลงแล้วไม่ให้ท่านผูกเป็นความเกรงอกเกรงใจไว้ว่าผมเป็นมหาเปรียญ หรือได้เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเป็นยังไง ไม่เป็นปัญหาที่จะมากีดกัน ท่านอาจารย์ไม่ให้พูดด้วยความสะดวกไม่ได้ ไม่ต้องเอาเป็นอุปสรรค ท่านอาจารย์ก็พูดขึ้นเลยว่า
‘ยอมรับทุกอย่างล่ะ สิ่งที่มันสุดวิสัยผมแล้วไปแล้ว’


‘ผมก็พูดกราบเรียนได้เพียงเท่านี้ แค่นี้ล่ะ ถ้าหากว่าติดก็ติดแบบเจ้าของ ไม่มีความสนใจจะแก้ ไม่รู้ขนาดนั้นล่ะ ไม่รู้จนกระทั่งมันไปถึงไหนนั่นแหละ ติด ติดอยู่ตรงไหนนั่นแหละ ไม่รู้เลย ถ้าว่านอนตาย ก็นอนซะเลยเหตุเลยผลโน่นแหละ’

จากนั้นท่านก็พูดมา ท่านพูดเอาเฉพาะเคล็ดนะ
‘เออ.. การปฏิบัติทางจิตนี้ มันก็มี ๒ เคล็ดที่สำคัญ กามราคะ ๑ อวิชชา ๑ ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ท่านมหาก็พูดมาหมดแล้ว ไม่มีที่ข้องใจสงสัย เป็นอันว่าถูกต้องเข้ากันได้ทุกอย่าง’


ท่านก็เลยรวบเอาเลย ‘ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านมหา ไม่มีอะไรเป็นข้อขัดแย้งกัน อุบายวิธีพิจารณากว้างแคบนั้น มันเป็นแต่อุบายของแต่ละคน ๆ แต่ว่าสำคัญที่จิตที่รวมมันเหมือนกัน’ ท่านสรุปเอาอย่างงั้นเลย

ลัก...ยิ้ม 30-07-2020 22:25

พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้..นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น ‘มันใครนี่น่ะ’ ‘ดิฉัน’
‘ชื่อว่ายังไง’ ‘ยุวดี’


‘มาตั้งแต่เมื่อไร’ ‘มาแต่สองทุ่ม’

โอย.. หมดตับเลย แล้วก็ไปโม้ข้างนอก
‘อู๊ย.. ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่


‘ใคร ๆ’ ‘ยุวดี’ ‘มาจากไหน’ ‘มาในงานนี้แหละ’ ‘มาแต่เมื่อไหร่มาที่นี่’ ‘มาแต่สองทุ่ม’ ‘หมดตับ’ เราก็ว่างี้

มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย.. ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ..ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจ ซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้..เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก

พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟังที่อำเภอแม่แตงหรืออะไร เชียงใหม่ ท่านบอกว่า ‘ไปเป็นอยู่ที่โรงขอด’ เราก็บอกตรง ๆ เลย.. เราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน.. รื่นเริงบันเทิงกันเพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติ.. ผิดที่ไหนจะรู้กันทันที ๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลยเวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่ เราก็ว่างั้น

ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ.. ตายใจแหละ..ท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อ ๆ นิดหน่อย เพราะอะไร ๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อ ๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำ ไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเอง ๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้า ๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า ‘โรงขอด’ เราก็เล่าถวายท่านว่า ‘ที่วัดดอยธรรมเจดีย์’

เวลาท่านจะจากที่นั่นไป ‘มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น’ เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ‘เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์’ ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน...”

ลัก...ยิ้ม 30-07-2020 23:00

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
หลวงปู่ฝั้นเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นที่องค์หลวงตาได้มีโอกาสเข้ากราบเยี่ยมและสนทนาธรรม ดังนี้
“... หลวงปู่ฝั้นท่านเตรียมพร้อมมาแล้ว ตั้งแต่หลังจากถวายเพลิงหลวงปู่มั่น เพราะท่านเป็นหัวหน้าใหญ่อยู่นั่น คอยดูการงานทุกอย่าง ทุกข์ลำบากขนาดไหนก็ทนเอา ทนเพื่อครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พองานเสร็จแล้ว ท่านก็สลบไสล เราก็รีบมา


ท่านก็เล่าให้ฟังต่อหน้าต่อตาเลยนะ พยายามจะเข้าหาท่าน โดยเฉพาะจะพูดอรรถพูดธรรม ให้ถึงเหตุถึงผลต่อกันโดยเฉพาะ.. ไม่มีเวลา เพราะท่านมีลูกศิษย์ลูกหาไม่มาก..ก็พระเณรอยู่นั่น เราจะพูดเฉพาะกับท่านในธุระอันสำคัญ ๆ ไม่มีเวลาจะพูด แล้วพอดีท่านพูดให้ฟังเอง ที่มันชัดเจนนะ ท่านเล่าให้ฟัง

ท่านจะสลบไสลมาจากวัดสุทธาวาส พยายามอุตส่าห์ตะเกียกตะกายงานของหลวงปู่มั่นให้เสร็จ เจ้าของเป็นยังไงก็ทนเอา พองานเสร็จปั๊บท่านก็ออกเลย พอมานี้จิตมันเพียบเต็มที่แล้ว ทั้งอยากพักผ่อน ร่างกายก็เพียบเต็มที่ มาก็เข้าที่เลย ท่านเล่าให้ฟัง เวลานั้นมีพระอยู่สององค์ เวลาเราจะพูดกันแบบถึงพริกถึงขิง เหมือนกับว่าการตบการต่อยการหาความจริง..เข้าใจมั้ย เราก็ไม่อยากให้พระทั้งหลายได้ฟัง เพราะระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดกันเฉพาะสองต่อสอง ถ้าควรตำหนิก็เอากันตรงนั้น ควรชมกันตรงไหนก็เอากันตรงนั้น

ทีนี้ก็มีพระอยู่นั่นสององค์สามองค์ จะคุยอะไรกับท่านโดยเฉพาะ ถามท่านโดยเฉพาะก็ไม่มีเวลา ท่านก็มาเล่าให้ฟังเสียเอง เหตุที่จำเงื่อนได้ ท่านมาเล่าขั้นที่มาถึงวัดแล้ว
มันจะสลบไสล จิตเข้าของมันเลย มันจะไป มันจะไม่อยู่ พอจิตรวมเข้ามาถึง เหลือแค่ความสว่างไสวจ้าอยู่ภายใน


ท่านก็พูดตามเรื่องของท่าน แต่เราก็นั่งฟังอยู่นี่ เพราะตั้งตาอยู่แล้วที่จะต่อยกัน แต่นี่ไม่มีโอกาส ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นอาจารย์ เราก็เป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์กับครูต่อยกัน..ฝึกซ้อมกันเป็นอะไรไป ตั้งแต่นักมวยเขายังฝึกซ้อมกันใช่มั้ย นี่ลูกศิษย์กับครู..เวลาจะเอากันถึงพริกถึงขิงก็ต้องเอากันอย่างนั้น

พอท่านเล่าถึงนี่ให้ฟัง ถึงขั้นที่จิตมันจะไป จิตมันหดเข้ามาหมด ยังเหลือความสว่างไสวภายในใจจ้าอยู่นี้ สว่างจ้ามันจับได้แล้ว.. ทันทีทีเดียวไม่ต้องพูดมาก จะไปถึงจุดที่เราต้องการอยู่แล้ว.. ที่จะกราบเรียนถามให้ท่านเล่าเรื่องธรรมเหล่านั้นให้ฟัง

พอดีท่านก็บอกว่า ‘จิตมันรวมเข้าไปแล้ว มันมาอยู่นี้ ผ่องใสแจ๋วอยู่ในนี้ แสงใสแจ๋วนี่ก็จ้าออกจากความผ่องใส จิตสว่างไสว’

ทางนี้มันก็ขึ้นทันที เห็นมั้ยล่ะ..นี่ละธรรม ไม่ได้พูดว่าเคารพหรือไม่เคารพ ธรรมเหนือกว่าความเคารพเป็นไหน ๆ พอท่านพูดทางนั้น ทางนี้ก็ขึ้นรับทันที

พอท่านพูดว่าถึงจุดนี้เป็นความสง่าผ่องใสจ้าอยู่นี้เลย ทางนี้แทนที่จะชม ไม่ได้ชม ‘ยังตายอยู่นี่เหรอ นึกว่าผ่านไปถึงไหนแล้ว’ มันตอบกันภายในใจ

ลัก...ยิ้ม 31-07-2020 20:59

เราเสียดาย เราอยากจะพูดกับท่านสักคำ พอพูดอีกสักคำถวายธรรมะ ท่านจะขึ้นทันทีไม่นาน แต่มันก็เสียดายที่พระไปยุ่ง..ไม่ได้พูดถึงพริกถึงขิง แต่ยังไงก็ตาม เราก็ถือเอาความแน่นอนว่า จิตนี่เข้าถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็ไม่อยู่ จะพุ่งเลย เป็นแต่เพียงช้ากับเร็ว แต่ที่เรื่องที่จะถอยไม่มี มีแต่เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ถ้ามีผู้แนะปั๊บจะเร็วนะ ผึงเลยทันที ถ้าไม่มีผู้แนะก็ไป ไปตามลำดับเอง นี่ก็ไปแต่จะช้า

นี่ถึงจุดนี้ที่ท่านว่าใสแจ๋ว สว่างจ้า แทนที่จะชมไม่ได้ชม ยังนอนตายอยู่นี่เหรอ ฟังสิ มันขึ้นรับกัน เสียดายไม่ได้ถวายเดี๋ยวนั้น พระก็อยู่ที่นั่น ทำยังไงนะ เวลาพูดกับสมาคมก็ต้องมีสูงมีต่ำธรรมดาอย่าพระจิตคุปต์นั้นน่ะ.. นี่ล่ะ ผู้ที่บอกตามหลักความจริงจะไม่ช้า ท่านเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น หลังจากที่พระจิตคุปต์ได้ฟังอุบายจากลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระอรหันต์แนะเท่านั้น ท่านก็เข้าใจแล้ว ทางจะก้าวเดิน เห็นมั้ยล่ะ..ธรรมะ ถ้าผู้ไม่รู้เปิดไม่ได้นะ

เราไม่ได้ยกตนข่มท่าน ครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่ฝั้นนี่ เราเคารพเทิดทูนท่านมากที่สุด ทั้งรักทั้งเคารพท่าน แต่เรายังเสียดาย ยังมาพูดอย่างนี้ให้เราฟัง ‘จิตมันรวมเข้ามานี่.. มันสว่างจ้าอยู่ จุดผ่องใสแจ๋ว’ เท่านั้นจับได้แล้ว เพราะฉะนั้น มันต้องพุ่งออกมาทางนี้ มันไม่ได้ว่าธรรมดานะ การที่จะจมอยู่ในกองทุกข์ ที่จะดึงขึ้นมีคุณค่าขนาดไหน ทำไมจึงมาตายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นี่เราแน่นอน หลังจากนั้นมาอีก ตั้งแต่ ๒๔๙๒ – ๒๕๒๐

ปี ๒๔๙๓ เผาศพหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้นมาเล่าให้ฟังตอน ๒๕๐๖ วันที่ท่านเล่ากับเรา เป็นวันที่เราไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา เราจึงถือโอกาสจะไปเรียนถามธรรมะท่านโดยเฉพาะ ... จาก ๒๕๐๖ มาถึงปี ๒๕๒๐ ปีที่หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ เป็น ๑๔ ปีผ่านได้ เพราะอันนี้จะออก.. นี้จะพุ่งเลย ให้ไปทางอื่นไม่มี มีแต่จะพุ่งเลยถ่ายเดียว เป็นแต่ว่าชักช้าขาดผู้นำ คือผู้แนะ

ถ้าผู้แนะมีความรู้เหนือกว่าแล้ว แนะแล้วพุ่งเลย.. ยังไงก็พ้นแน่ เราจึงเชื่อเลยว่า จากนั้นมา ๑๔ ปีท่านต้องผ่านได้แล้ว ทีนี้เขามาเล่า.. อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว เราเชื่อทันทีเลย ก็เป็นเวลา ๑๔ ปี เราพูดด้วยความเทิดทูน...”

ลัก...ยิ้ม 31-07-2020 21:08

หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย
หลวงปู่คำดีเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นอีกองค์หนึ่ง ที่น่าเคารพบูชากราบไหว้อย่างสูงสุด ในสมัยบำเพ็ญเพียรท่านก็เป็นพระที่มีความกล้าหาญในการต่อสู้กับกิเลส สมัยต่อมาเมื่อท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็เป็นพระที่มีเมตตาสูง ไม่ถือเนื้อถือตัว ด้วยท่านเคารพบูชาในอรรถธรรมสูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใด

ท่านมีอายุพรรษามากกว่าองค์หลวงตาหลายปี พระเณรลูกศิษย์ลูกหาของท่าน.. มักจะได้ยินท่านพูดปรารภถึงองค์หลวงตาอยู่เสมอ ๆ ถึงแม้ว่าหลวงปู่คำดีจะไม่ดุศิษย์คนใด แต่ท่านมักยืมองค์หลวงตามาพูดขู่ ขนาบพระเณรในวัดของท่านเองเสมอ ๆ ท่านเคยบอกกับองค์หลวงตาว่า “ผมไม่ดุใครนะ ถ้าว่าผมจะดุ.. ผมก็ยืมท่านมหามาดุ”

และเวลาที่ท่านพูดก็จะพูดขู่พระเณรในวัดว่า “พระวัดนี้นะ ถ้ากับท่านมหาบัว พวกนี้แตกกระเจิงหมดเลยนะ อยู่กับท่านไม่ได้นะ” หรือ “อยู่อย่างนี้.. อยากให้ไปอยู่กับท่านมหาบัว อย่างมากไม่เลย ๓ วัน ถูกขนาบออกจากวัดหมดเลย ไอ้เพ่น ๆ พ่าน ๆ อยู่นี้น่ะ” เป็นต้น นอกจากนี้ท่านพูดถึงเสมอเวลาเทศน์สอนพระ วันไหนประชุมถ้าไม่ขึ้นต้นท่านก็เอาตอนปลาย มักจะยกเอาองค์หลวงตามาพูดเรื่อย

ด้วยเหตุนี้เอง ลูกหลาน พระเณร ศิษย์ หลวงปู่คำดีจึงมีความรู้สึกเคารพ สนิทสนมและผูกพันกับองค์หลวงตา เสมือนหนึ่งครอบครัวเดียวกันโดยปริยาย และแม้สำหรับองค์หลวงตาเอง ท่านก็ให้ความเมตตาต่อลูกหลาน พระเณร ที่วัดถ้ำผาปู่นี้ด้วยเช่นกัน เมื่อโอกาสอำนวยคราวใด ท่านไม่เคยลืมที่จะแวะไปเยี่ยมเยียน พร้อมขนเครื่องจตุปัจจัยไทยทาน ข้าวสาร อาหารต่าง ๆ ไปให้ และเทศนาสั่งสอนพระเณร เพื่อเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ๆ เป็นระยะ ๆ ไป

ที่น่าแปลกใจคือ หลวงปู่คำดี ท่านจะกล่าวถึงองค์หลวงตาไม่เพียงเฉพาะกับพระเณรเท่านั้น ศิษย์ฆราวาสผู้หลักผู้ใหญ่กระทั่งอย่าง ฯพณฯ ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี หลวงปู่ก็ยังเคยปรารภฝากความระลึกถึงกับท่าน ดร.เชาวน์ไปถึงองค์หลวงตาด้วยว่า
“ฝากความระลึกไปถึงท่านมหาบัวด้วยนะ ท่านอาจารย์มหาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมานะ”


มีเทศนาอบรมพระขององค์หลวงตาบางตอน ที่ท่านกล่าวพูดยกย่องถึงคุณธรรมและความกล้าหาญของหลวงปู่คำดีในสมัยปฏิบัติ คราวหนึ่งของการแสดงธรรม พูดถึงเหตุการณ์ในระยะก่อน ๆ นั้น ได้เคยพบกับหลวงปู่คำดีอยู่เรื่อย ๆ ในที่ต่าง ๆ ที่นั่นบ้านที่นี่บ้าง จากนั้นหลวงปู่คำดีได้กล่าวชมเชยท่านในการแสดงธรรมเรื่องการแจงขันธ์ ๕ ดังนี้
“การพบกับท่าน (หลวงปู่คำดี) เคยพบกันอยู่เรื่อย ๆ ท่านมาอยู่วัดหนองแซง นี่ก็เคยพบกันอยู่เรื่อย ท่านเลยพูดถึงเรื่องว่าการแจงขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีใครแจงได้ละเอียดลออมากยิ่งกว่าท่านมหา ท่านอ่านหนังสือ แว่นดวงใจ*๑ จบหมดเลย


==============================

*๑ “แว่นดวงใจ” เป็นหนังสือพระธรรมเทศนาโดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

ลัก...ยิ้ม 01-08-2020 12:46

เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อองค์หลวงตาเดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ ซึ่งบังเอิญพอดีกับที่หลวงปู่คำดีได้จุดธูปนิมนต์ขอให้องค์หลวงตาเดินทางมา ท่านเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ ดังนี้
“... มันแปลกอยู่นะ คือท่าน (หลวงปู่คำดี) เดินจงกรมอยู่ ท่านอยู่กุฏิท่าน ๒ ชั้น พอดี ๔ ท่านลงมาเดินจงกรมอยู่ข้างใต้... ที่นี้เวลาเดินจงกรมอยู่ ติดปัญหาละซิ โอ๋ย.. มันเหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มลงไปเลย ปัญหามันขวางใจท่าน ‘เอ ! ทำยังไงก็แก้ไม่ตก ๆ มองหาใครไม่เห็น’ ..


นี่ละ..ท่านพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านพูดอย่างภาคภูมิใจท่านเสียด้วยนะ เวลาได้พบกันแล้ว.. ไม่มองเห็นใครเลยท่านว่าอย่างนี้ เพราะเคยคุยธรรมะกันแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยธรรมะกับท่านมาโดยลำดับลำดาแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ละซิ ท่านไปติดปัญหาขึ้นทางใจของท่าน กำหนดหาครูบาอาจารย์องค์ใด.. พระองค์ใดไม่สัมผัสใจเลย จิตมันดิ่งหาแต่ท่านมหาองค์เดียว จิตมันดิ่งมาหาเรานี้องค์เดียว นอกนั้นไม่ไปไหน ดิ่งมาองค์เดียว แล้วท่านก็ปุ๊บปั๊บออกจากทางจงกรมเลย ... มาจุดธูป มีแท่นพระอยู่ชั้นล่าง ข้างบนเราไม่ได้ขึ้นไป ท่านมาจุดธูปเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอจุดธูปจุดเทียนไหว้พระเสร็จแล้ว ... ก็กล่าวว่า
‘ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน’


เราว่า ‘โอ๊ย.. ทำไมครูบาอาจารย์พูดอย่างนี้’

ท่านว่า ขอให้ผมพูดเต็มหัวใจผมเถอะ ว่าอย่างนั้น...”

เรื่องนี้ภายหลังทราบจากคนรถที่คอยอุปัฏฐากรับใช้องค์หลวงตาว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น แกได้รับคำสั่งด่วนจากองค์หลวงตา ให้รีบเข้าไปที่วัดป่าบ้านตาดในเวลา ๑๑ โมงวันนี้ องค์หลวงตาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า
“... พอดีตอนสายมา มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ พอเช้าวันนั้นขึ้นมาตอน ๑๑ โมง มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ เราก็สั่งให้ไปในตลาดเลย ร้านชวลิต ให้นายบุญขับรถมาหาเราเดี๋ยวนี้ ‘เราจะไปถ้ำผาปู่ ไปเดี๋ยวนี้นะ’


เขาก็บึ่งรถมาเลย มาก็ไปแบบรีบด่วนแต่ไปแบบรีบบ้าเราต่างหาก ตามประสาเรานะ พอไปก็ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่ง ยังเป็นห่วงเพราะท่านอาจารย์ชอบคุ้นเคยกัน เลยไปแวะวัดท่านอาจารย์ชอบเสียคืนหนึ่ง ออกจากนี้ก็ไปค้างที่อาจารย์ชอบคืนหนึ่ง เช้าวันหลังจึงไปหาท่าน... พอถึงวัดถ้ำผาปู่ พอทราบว่าท่าน (หลวงปู่คำดี) พักแล้ว เราบอกพระว่า
อย่าไปกวนท่านนะ วันนี้ผมจะพัก ไม่กลับ.. ผมจะค้างกับท่าน อย่าไปกวนท่านนะ ผมจะไปหาที่พักก่อน พอได้เวลาแล้วจะมาหาท่าน เวลานี้ท่านยังพักอยู่


เขาปิดประตูเงียบ พอเรามานี่.. พระองค์นั้นแอบไปทางด้านหลังไปบอกหลวงปู่คำดี พอทราบท่านจึงรีบออกมาโดยเปิดประตูเหล็กเลื่อน เรียก ‘ท่านมหา ท่านมหาอยู่นี่เหรอ ?’ โบกมือเรียก

เราเลยดุพระว่า ‘ไปรบกวนครูบาอาจารย์ทำไม ? ท่านองค์นี้น่ะ..ก็จะคุยอยู่แล้วนี่นะ’

พอไปถึงแล้ว ท่านพูดว่า ‘โฮ้..มาเร็วดีนะ’

‘เร็วอะไร ? แล้วท่านอาจารย์จะมีเรื่องคุยอะไรกัน ?’

‘เดี๋ยวมันจะได้คุยกันแหละ

บทเวลาได้คุยกันแล้ว ท่านถึงพูดถึงเรื่องขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน คือว่ามาโดยด่วน พอผมนิมนต์เมื่อวาน.. วันนี้ท่านก็มา วัดนี้ท่านไม่เคยมาเลย ท่านมาจะให้แน่นอนขนาดไหน.. ท่านว่าอย่างนั้น

เราก็ไม่เคยไปจริง ๆ นะ ไม่เคย ก็ไปวันนั้นเป็นครั้งแรกเลยแหละ แต่ค้างที่วัดอาจารย์ชอบคืนหนึ่ง วันหลังท่านก็ยังบอกว่าเร็วอยู่ นั่นละ..ที่นี่

ท่านปิดประตูหมดเลยนะ ๖ โมงเย็น เราเข้าหาท่าน ๒ ต่อ ๒ เลย.. คุยธรรมะกัน ท่านปิดประตูหมด ไม่ให้ใครเข้าไป คุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม ท่านเล่าวิถีจิตของท่านละเอียด เพราะเรากราบเรียนท่านว่า
‘ยังไงท่านอาจารย์ ให้พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลยนะ กระผมจะฟังตามทุกระยะ ขัดข้องตรงไหน ๆ จะได้คุยกันสะดวก ๆ’


เพราะฉะนั้น ท่านถึงเปิดของท่านออกเรื่อย ๆ เราก็ฟังไป พอไปถึงจุดนั้นละทีนี้ จุดที่ว่ามันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงท่าน ท่านโดดขึ้นมาจุดธูปอาราธนาเรา พอมาถึงจุดนี้มันเป็นอย่างนี้ ๆ ๆ นี้ละจุดสำคัญมาก อกผมจะแตก..ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าไป เล่าละเอียด พอท่านเล่าจบลงแล้ว.. เราก็ถวายธรรมท่าน พอถวายปั๊บนี้ ขึ้นดัง..โอ้ก เลยทันทีนะ..เมื่อถึงจุดสำคัญ...เหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มนะ เหมือนกับว่าถอดหลาวออก ทีนี้ก็พุ่งเลย..รู้ช่อง

‘เออ ๆ ๆ มันต้องอย่างนี้ซิ ...’

มันสะดุดใจท่านมาก ‘เออ เอาละทีนี้ รู้ช่องแล้ว’ ทีนี้เปิดโล่งแล้วยังแต่จะเข้าเท่านั้น ท่านว่านะ มันต้องอย่างนี้ ๆ ขึ้นเลย ๒ ต่อ ๒ นะ เสียงสั่นเพราะอุทาน ท่านดีใจมาก พอท่านเล่าให้ฟังเราก็รู้นี่นะ พอเล่าไปถึงจุดนั้นปั๊บ เราก็ถวายธรรมท่านข้อนั้นปั๊บ.. ท่านก็เปิดโล่ง ท่านก็บอก เออ.. ทีนี้เปิดแล้ว ๆ ยังแต่จะก้าวเท่านั้นแหละ มันต้องอย่างนี้ ๆ อุ๊ย..เสียงสั่นเลยนะ ๒ ต่อ ๒ เท่านั้นนะ บทเวลาท่านขึ้นนี้เสียงสั่นเลย..นั่นละ ขั้นนั้นแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านก็พูดเข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถวายท่าน เปิดแล้วว่างั้นเถอะ.. ท่านก็เข้าใจแล้วหมายถึงว่า เปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นแหละ ท่านบอก ‘เปิดโล่งแล้ว’ หมายความว่าท่านเข้าใจแล้ว ถ้าก้าวปุ๊บนี่เข้าเลย ความหมายก็ว่างั้น

จากนั้นท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านจุดธูปมานิมนต์เรา เราเลยตอบท่านว่า ‘ผมก็มาสะเปะสะปะ มาประสาบ้าของผมล่ะ’

‘เอาละ ประสาอะไรช่างเถอะนะ สด ๆ ร้อน ๆ นี้เอาละ’

ทีนี้พอคราวหลังนี้ไปเยี่ยมท่านอีก ก็มีคนมีญาติโยมติดตามไปด้วยอีก เราเลยต้องเขียนจดหมายย่อ ๆ เอา เขียนจดหมายย่อ คือพูดง่าย ๆ ว่า ปัญหาที่ถามนี้ ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วปัญหาที่จะตอบนี้ ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ ต้องเป็นภาคปฏิบัติเท่านั้น ปริยัติเอามาพูดไม่ได้เลย

เราก็ถามท่านย่อ ๆ ข้อที่ ๑ ว่าอย่างนั้น ๆ ข้อที่ ๒ ว่าอย่างนั้น ๆ เราก็ยื่นถวายท่าน พอท่านจับได้ ท่านอ่านด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส อ่านยิ้มเรื่อย ๆ ยกขึ้นแล้วยื่นมาให้เรา ท่านเขียนเสียก่อนนะ เขียนตอบเรียบร้อยแล้วยื่นมาให้เรา เราก็อ่าน พออ่านแล้วเราก็เขียนแล้วยื่นไปอีก ข้อที่ ๒ ท่านก็รับแบบเดิมนั่นละ แล้วท่านก็ยิ้มเลยเทียวนะ พอตอบข้อที่ ๒ เป็นอันว่าลงจุดแล้ว.. หมดปัญหาเรียบร้อยแล้ว

ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้คุยกันอีก เพราะตอนนั้นท่านหูหนวกแล้ว พูดกระซิบ ท่านกระซิบกับเรา เราได้ยิน ตอนนั้นหูเราไม่หนวก แต่เราจะไปกระซิบกับท่าน ท่านจะได้ยินยังไง ตกลงต้องเขียนยื่นให้ท่านตอบมา ตั้งแต่นั้นท่านบอกเป็นอันว่าหายสงสัยแล้ว มันก็เข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถามไป ถามว่ายังไง ๆ ท่านตอบตรงนั้นแล้ว ถึงท่านไม่บอกว่าหายสงสัย มันก็เข้าใจแล้ว เข้าใจไหมละ

ไม่นานนะ ท่านก็มรณภาพ ก็เรียกว่าเป็นอยู่กุฏิท่านนั่นแหละ ไม่เป็นที่ไหนเพราะตอนนั้นท่านไปไหนไม่ค่อยได้แล้วแหละ ท่านอยู่กุฏิท่านเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่นที่นี่เราไม่อยากพูด เราแน่ใจที่กุฏิท่าน เพราะธรรมะนี่เป็นธรรมะที่จ่อเข้าแล้วเปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นเอง”

ลัก...ยิ้ม 01-08-2020 19:46

สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต ป.ธ. ๙)
วัดนรนารถสุนทริการาม กทม.

สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นพระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ที่องค์หลวงตานำมาเล่าเป็นตัวอย่างสอนแก่พระเณรว่า ครั้งหนึ่งท่านกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ มีธุระไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ที่วัดนรนารถฯ

เมื่อไปถึงกุฏิของเจ้าคุณสมเด็จฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็ผลักประตูห้องเข้าไปตามแบบคนที่สนิทสนมกันมานาน พบว่าท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ กำลังนั่งสมาธิอยู่ เจ้าคุณสมเด็จฯ แสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นว่าเจ้าคุณธรรมเจดีย์อุตส่าห์เมตตามาเยี่ยมเยียน จากนั้นจึงได้สนทนากันอยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์หลวงตารู้สึกประทับใจในคำกล่าวที่เป็นคติของเจ้าคุณสมเด็จฯ ดังนี้
“... ท่านเรียกเรา ‘อาจารย์’ เรียกให้เป็นเกียรติ หรือเรียกนำบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายก็ได้ ท่านแก่กว่าเราดูเหมือน ๖ พรรษาหรือไง แต่ท่านเรียกติดปากว่า ‘ท่านอาจารย์’


ข้อคิดอีกข้อหนึ่งก็คือท่านพูดถึงว่า ‘ผมนี้แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตามนะท่านอาจารย์ ส่วนมากไม่ได้ฉันอาหารแบบในกรุงเทพฯ นะ อยู่ที่นี่ผมไม่ได้ฉันอาหารดิบ ๆ ดี ๆ อะไรนะ ฉันอาหารแห้ง ฉันไปวันหนึ่ง ๆ เพราะถ้าฉันอาหารดี ๆ แล้วภาวนาไม่เป็นท่า ผมจะฉันอาหารแห้ง ๆ ถ้าฉันอาหารแห้ง ๆ แล้วภาวนาดี’

ท่านให้เหตุผลมันเข้ากันได้กับที่เราฝึกเรามาแล้วนะ ถ้าท่านไม่ทำแล้ว ท่านจะพูดไม่ถูก...”

คำกล่าวของท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ตรงนี้ทำให้องค์หลวงตารู้สึกถึงใจกับความเป็นนักภาวนาและนักต่อสู้ สังเกตใจของท่าน เพราะองค์หลวงตาท่านทราบดีว่าผู้บำเพ็ญจิตภาวนาจำต้องมีการระมัดระวัง และคอยควบคุมสิ่งที่จะทำให้ขัดขวางต่อการภาวนาได้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้องค์หลวงตาให้ความเคารพต่อท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ เสมอมา

ลัก...ยิ้ม 02-08-2020 12:39

สำหรับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เองก็เช่นกัน สังเกตว่าท่านก็ได้ให้ความเมตตา และให้เกียรติต่อองค์หลวงตาอยู่ไม่น้อย ทุก ๆ ปีหากมีการทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะต้องได้นิมนต์องค์หลวงตาไปแสดงธรรมอยู่เสมอ ทุกครั้งที่องค์หลวงตามีโอกาสไปกราบเยี่ยมเยียนเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีแม้ขณะป่วยอยู่โรงพยาบาลก็ตาม ดังนี้
“... สมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนารถฯ ท่านพูดคำไหนออกมา มีเป็นคำสะดุดใจทุกประโยคนะ เราอดคิดไม่ได้ ท่านเป็นเปรียญ ๙ ประโยค ชื่อท่านชื่อสนั่น ... ท่านพูดคำไหนรู้สึกสะดุดใจกึ๊กเลยนะ พอเราเข้าไปหาท่าน ท่านรู้สึกว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นด้วยความดีใจ ท่านกำลังคุยกับโยมอะไร พอเราโผล่เข้าไป ท่านจะคึกคักขึ้นทันทีเลยนะว่า
‘โอ๊ ! พระเศรษฐีธรรมมาแล้ว พระเศรษฐีธรรมนับวันจะหายากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระเศรษฐีเงินซึ่งนับวันเกลื่อนกลาดไปหมด เศรษฐีธรรมนี้นับวันจะหายากเข้าทุกวัน แต่เศรษฐีเงินนี้นับวันจะเกลื่อนเข้าไปทุกวัน’


นั่น.. น่าคิดไหมล่ะ เราสะดุดกึ๊กทันทีเลย.. เศรษฐีธรรม เศรษฐีเงิน

ท่านพูดคำไหนออกมาทำให้คิด อย่างท่านอยู่โรงพยาบาลศิริราชก็เหมือนกัน หมอทางศิริราชแหละ เขาไปบอกว่า ‘สมเด็จฯ’ ท่านมารักษาตัวอยู่ที่ศิริราช’

ทีนี้พอได้โอกาสเราก็ไปกราบเยี่ยมท่านที่ศิริราช ไปก็พอดีเป็นเวลาที่.. ปกติก็ต้องนอนนั่นแหละ นั่งมันลำบาก นี่ไปท่านนอนหันหน้าไปทางฝาโน้น เราเข้าไปทางนี้ พระขึ้นไปเหมือนหนึ่งว่าจะไปปลุกท่าน เรารีบบอกพระ
‘ผมไม่ได้มากวนท่าน ให้ท่านอยู่สะดวกสบาย จะพบท่านเมื่อไรก็ได้ เวลานี้เป็นเวลาท่านพักผ่อน ไม่ให้กวน’


คือคุยกันเมื่อไรก็ได้ เราก็นั่งรอ ไม่นานนะท่านหันหน้ามา อันนี้ที่น่าคิดมากอีกนะ ตามธรรมดาต้องพยุงท่านขึ้นนะ เวลาท่านจะนั่งจะอะไรต้องพยุงขึ้น อันนี้พอท่านหันหน้ามามอง เห็นเรานี้ดีดผึงเลยเทียว แล้วก็มีอุทานออกแบบน่าคิด เราก็ลืม ๆ เสีย เพราะพบท่านทีไร.. ท่านจะมีคติธรรมให้เป็นที่ระลึกกับเราอยู่เสมอ

คราวนี้ก็อีกเหมือนกัน ท่านดีดผึงเลยนะ ลุกขึ้นเอง ‘พระหายากมาแล้ว พระหายาก..นับวันจะหาได้ยากเข้าทุกวัน ๆ ไม่เหมือนพระหาง่าย..เกลื่อนตลาดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง’

เอาอีกแหละ แน่ะฟังซิ โอ๋ย.. ท่านคุยท่านรื่นเริงจริง ๆ นะ อีกสองวันหมอที่เขาบอกไปหาเราว่า ‘สมเด็จฯ ท่านกลับวัดแล้ว ท่านหายแล้ว’ ‘เหรอ’ เราก็ถาม

‘โอ๊ย.. เหมือนปาฏิหาริย์ พอหลวงพ่อไปเยี่ยม ท่านคึกคัก ขึงขังตึงตัง ยิ้มแย้มแจ่มใส พอวันหลังท่านออกจากโรงพยาบาลเลย’

ท่านว่า ‘ทีนี้ไปได้แล้ว’ ท่านไปแล้วจะออกแล้ว ท่านว่า ‘มันเป็นยังไงนะ อาจารย์มหาบัวมาเยี่ยม มันเหมือนปาฏิหาริย์ เอายาอะไรมาชะโลมเรา’

ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านพูดเอง เหมือนเอายาทิพย์มาชะโลมเรา ดีดผึงเลย มีกำลังวังชึ้นทันทีทันใด ท่านพูดคำไหนน่าคิดนะ สมเด็จฯ นี้ท่านมีความสนใจต่ออรรถต่อธรรม ท่านไม่ได้ลืมตัวนะ เพราะเคยสนิทกันมานานแล้วตั้งแต่ท่านเป็นมหาอยู่ พอเป็นสมภารเจ้าวัดท่านก็หนักแน่นในธรรมตลอดมา...”

หลังจากวันนั้นไม่นาน ท่านก็หายอาพาธอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ประหลาดใจแก่แพทย์ผู้ให้การรักษา ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าควรปีติรื่นเริงในธรรม จัดว่าเป็นธรรมโอสถรักษาโรคชั้นเลิศทีเดียว องค์หลวงตากล่าวยกย่องคุณธรรมเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์เป็นพระแท้ กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ ... นอกจากท่านจะเป็นนักปริยัติแล้ว ท่านยังเป็นนักปฏิบัติ นักภาวนา เวลาพบปะสนทนากับเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านจะสนทนาแต่เรื่องการปฏิบัติธรรม เกี่ยวกับสมาธิภาวนาด้วยทุกครั้ง ท่านจะไม่พูดถึงเรื่องโลก ๆ ภายนอกอันเป็นสิ่งสกปรกโสมมเลย พระเณรเราควรที่จะประพฤติปฏิบัติ รักษาตามแบบอย่างที่ท่านเคยปฏิบัติเอาไว้ โดยเฉพาะเจ้าอาวาสนี้สำคัญมากนะ เพราะว่าเป็นผู้นำคนปกครองคน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว