กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   สิ้นโลก เหลือธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1288)

สายท่าขนุน 05-10-2011 20:09

ผู้เขียนตอบว่า “พระนิพพานไม่ได้อยู่ในเรื่องสิ่งเหล่านั้น พระนิพพานแท้คืออยู่ที่ใจอันเดียว ผู้เห็นโทษในใจ-จิตที่คิดเกี่ยวข้องพัวพันในสิ่งต่าง ๆ แล้วละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสีย จึงจะเห็นพระนิพพาน ถ้าไม่ละสิ่งเหล่านั้นจะไม่เห็นพระนิพพานเด็ดขาด”

สายท่าขนุน 11-10-2011 18:19

แกถามผู้เขียนอีกว่า “ทำอย่างไรจึงจะสละได้ ให้ยังเหลือแต่ใจอันเดียว”
ผู้เขียนตอบว่า “ต้องทำสมาธิภาวนา สละทุกสิ่งทุกอย่างจนเหลือแต่ใจอันเดียวนั่นแหละ
จึงจะเห็นพระนิพพานแน่ชัดในใจของตน แล้วจะยินดีพอใจในการเห็นนั้นอยู่
จิตเป็นเอกวิเวกอยู่คนเดียวอย่างนั้น นั่นเรียกว่าผู้เห็นทางพระนิพพานแล้ว”

สายท่าขนุน 11-10-2011 18:21

พอดีหลังจากนั้นเป็นพิธีบังสุกุลเป็นให้แกแล้ว ผู้เขียนก็เดินทางกลับวัด
แกก็ได้ลองปฏิบัติตามที่ผู้เขียนแนะนำจนเกิดความรู้ความเข้าใจ
สามารถพูดธรรมได้เป็นเรื่องราว
ลูกสาวของแกคนหนึ่งก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
พอได้ยินหลวงเตี่ยพูดเรื่องธรรมก็ชอบใจ นั่งฟังจนมืดค่ำจึงกลับบ้าน

สายท่าขนุน 31-10-2011 19:16

คืนวันต่อมาจิตของหลวงเตี่ยเป็นสมาธิอย่างไรก็ไม่ทราบ
รุ่งเช้าขึ้นมา มีคนไปตามผู้เขียนที่วัดบอกว่า
“อาจารย์ไปหาหลวงเตี่ยเร็ว ๆ หลวงเตี่ยแกเดือดร้อน จะลาสึกวันนี้แหละ”
ผู้เขียนบอกว่า
“บอกแกด้วยว่าอย่าเพิ่งสึก ให้รอก่อน”

สายท่าขนุน 31-10-2011 19:18

ผู้เขียนฉันจังหันแล้วจึงรีบเดินทางไปเยี่ยม
กุฏิที่แกอยู่มีสองชั้น ลูกกรงก็สองชั้น
เมื่อไปถึงชั้นนอก ผู้เขียนจึงเรียก
“หลวงเตี่ยเป็นอย่างไร”

สายท่าขนุน 01-11-2011 18:53

พอได้ยินเสียงผู้เขียนเท่านั้นแหละ ความเดือดร้อนของแกก็หายไปจากใจหมด
พอเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แกจึงบอกว่า
“ผมหายแล้ว ที่ผมคิดไปต่าง ๆ นานา เดี๋ยวนี้ผมหายสบายดีแล้ว”

สายท่าขนุน 01-11-2011 18:57

แกจึงเล่าความละเอียดให้ฟังว่า
“ผมนอนกลางคืนนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงไก่ขัน
เมื่อก่อนมันว่า 'เอ้กอี๊เอ้ก-เอ้ก' แต่เมื่อคืนมันไม่เป็นอย่างนั้น
มันว่า 'จิตเจ้าเป็นเอกแล้ว ๆ'
ตุ๊กแกเมื่อก่อนมันร้องว่า 'ตุ๊กแก ๆ'
แต่เมื่อคืนมันร้องว่า 'ตัวเจ้าแก่แล้ว ๆ'
ผมเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ลูกสาวฟัง เลยเดือดร้อนขึ้นมาว่า
เราเอาธรรมไปพูดให้เขาฟัง ผมเป็นอาบัติแล้วกระมัง
จึงคิดว่าจะสึก พอได้ยินเสียงอาจารย์มาพูดอยู่ข้างนอก
ความวิตกนั้นจึงหายวับไปหมดแล้ว ผมสบายดีแล้ว”

สายท่าขนุน 21-11-2011 20:21

ผู้เขียนจึงอธิบายให้แกฟังว่า เรื่องธรรม มันต้องพูดไปอย่างนั้นแหละจึงจะรู้เรื่องกัน
มันไม่เป็นอาบัติหรอก
เราไม่ได้ตั้งใจจะพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมเพื่อหวังลาภผลใด ๆ ทั้งหมด
แต่เพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน

สายท่าขนุน 21-11-2011 20:24

คืนต่อมาแกนอนไม่หลับอีก
ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้า พระกัสสปะ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร
เสด็จมาเทศน์โปรดไพเราะเหลือเกิน องค์นั้นเสด็จไปแล้ว องค์นี้เสด็จมาแทน
แล้วก็ได้เอาไปพูดให้ลูกสาวฟังอีก ลูกสาวชอบใจใหญ่นั่งฟังจนค่ำ
พอลูกสาวกลับไปแล้ว ความวิตกเดือดร้อนเกิดขึ้นอีกอย่างคราวก่อน
ว่าตายแล้ว กูตาย บวชมาหวังจะรักษาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์
กลับมาพูดอย่างนี้เป็นอาบัติอีกแล้ว จึงคิดจะสึกวันนี้แหละ

สายท่าขนุน 27-11-2011 14:28

พอผู้เขียนไปถึงได้พูดความจริงให้ฟังว่า
การปฏิบัติมันต้องเอาความจริงมาเล่าสู่กันฟัง จึงจะรู้เรื่อง
พูดให้ฟังหลายเรื่องหลายอย่างจนแกหายสงสัย
แล้วผู้เขียนก็มีกิจธุระที่จะต้องจากไปในวันนั้นเอง
ไปจำพรรษาคนละจังหวัดกัน

สายท่าขนุน 27-11-2011 14:31

ออกพรรษาแล้ว ได้ทราบข่าวแกมรณภาพแล้ว
ระหว่างที่ป่วยอยู่นั้น ลูก ๆ ได้ไปนิมนต์พระคณาจารย์หลายองค์มาเทศน์ให้ฟัง ก็ไม่ถึงใจแก
แต่แกฟังไปอย่างนั้นแหละ แกพูดถึงผู้เขียนจนกระทั่งวันตาย
นิสัยแกเป็นคนเชื่อตนเอง คิดนึกอย่างไรมักจะเป็นผลสำเร็จ
แกชอบทำตามใจของแกจนได้สำเร็จประโยชน์จริง ๆ
น่าเสียดายที่ผู้เขียนได้อบรมแกเพียงสามครั้งเท่านั้น แต่ไม่ได้อบรมวิปัสสนาต่อ
เลยไม่ทราบว่าจิตของแกเป็นอย่างไรเมื่อตายไปแล้ว

สายท่าขนุน 30-11-2011 20:24

นี่แหละ คำว่า “สิ้นโลก เหลือธรรม

คือเมื่อธรรมเกิดขึ้นที่ใจแล้ว เรื่องโลกเลยกลายเป็นธรรมไปหมด


ดังเช่นเสียงตุ๊กแกร้อง หรือไก่ขันเป็นต้น ก็เป็นธรรมไปหมด สิ่งอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อธรรมเกิดขึ้นที่ใจแล้ว เรื่องโลกก็ค่อย ๆ หายไป ๆ เรื่องสิ้นโลก เหลือธรรม ดังบรรยายมาเป็นอย่างนี้
แต่ความเป็นจริงโลกก็ยังเป็นโลก ธรรมก็ยังเป็นธรรมอยู่ตามเดิมนั่นเอง
เรื่องธรรมเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าปฏิบัติไม่เป็นไปด้วยกันแล้วจะไม่เชื่อเลย
คนที่ปฏิบัติเป็นไปด้วยกันแล้วจะนั่งชนเข่าคุยกันได้เลย วันยันค่ำก็อยู่ได้
แต่ถ้าคนหนึ่งไม่มีธรรมอีกคนหนึ่งมีธรรม พูดกันประเดี๋ยวเดียวก็แตกแยกไปคนละฝ่าย ไม่สนุกเลย
นักปฏิบัติทั้งหลายต้องปฏิบัติให้เข้าถึงอุปจาร-อัปปนาสมาธิ แล้วพูดคุยกันจึงจะรู้เรื่องกันดี

ธรรมเป็นของเกิดจากใจแต่ละคน

เมื่อพูดธรรมออกมาก็จะพูดออกจากใจแท้ของตน

จึงเป็นเรื่องสนุกมาก…

สายท่าขนุน 30-11-2011 20:24

-จบ-


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:05


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว