ผู้เขียนตอบว่า พระนิพพานไม่ได้อยู่ในเรื่องสิ่งเหล่านั้น พระนิพพานแท้คืออยู่ที่ใจอันเดียว ผู้เห็นโทษในใจ-จิตที่คิดเกี่ยวข้องพัวพันในสิ่งต่าง ๆ แล้วละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสีย จึงจะเห็นพระนิพพาน ถ้าไม่ละสิ่งเหล่านั้นจะไม่เห็นพระนิพพานเด็ดขาด
|
แกถามผู้เขียนอีกว่า ทำอย่างไรจึงจะสละได้ ให้ยังเหลือแต่ใจอันเดียว
ผู้เขียนตอบว่า ต้องทำสมาธิภาวนา สละทุกสิ่งทุกอย่างจนเหลือแต่ใจอันเดียวนั่นแหละ จึงจะเห็นพระนิพพานแน่ชัดในใจของตน แล้วจะยินดีพอใจในการเห็นนั้นอยู่ จิตเป็นเอกวิเวกอยู่คนเดียวอย่างนั้น นั่นเรียกว่าผู้เห็นทางพระนิพพานแล้ว |
พอดีหลังจากนั้นเป็นพิธีบังสุกุลเป็นให้แกแล้ว ผู้เขียนก็เดินทางกลับวัด
แกก็ได้ลองปฏิบัติตามที่ผู้เขียนแนะนำจนเกิดความรู้ความเข้าใจ สามารถพูดธรรมได้เป็นเรื่องราว ลูกสาวของแกคนหนึ่งก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน พอได้ยินหลวงเตี่ยพูดเรื่องธรรมก็ชอบใจ นั่งฟังจนมืดค่ำจึงกลับบ้าน |
คืนวันต่อมาจิตของหลวงเตี่ยเป็นสมาธิอย่างไรก็ไม่ทราบ
รุ่งเช้าขึ้นมา มีคนไปตามผู้เขียนที่วัดบอกว่า อาจารย์ไปหาหลวงเตี่ยเร็ว ๆ หลวงเตี่ยแกเดือดร้อน จะลาสึกวันนี้แหละ ผู้เขียนบอกว่า บอกแกด้วยว่าอย่าเพิ่งสึก ให้รอก่อน |
ผู้เขียนฉันจังหันแล้วจึงรีบเดินทางไปเยี่ยม
กุฏิที่แกอยู่มีสองชั้น ลูกกรงก็สองชั้น เมื่อไปถึงชั้นนอก ผู้เขียนจึงเรียก หลวงเตี่ยเป็นอย่างไร |
พอได้ยินเสียงผู้เขียนเท่านั้นแหละ ความเดือดร้อนของแกก็หายไปจากใจหมด
พอเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แกจึงบอกว่า ผมหายแล้ว ที่ผมคิดไปต่าง ๆ นานา เดี๋ยวนี้ผมหายสบายดีแล้ว |
แกจึงเล่าความละเอียดให้ฟังว่า
ผมนอนกลางคืนนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงไก่ขัน เมื่อก่อนมันว่า 'เอ้กอี๊เอ้ก-เอ้ก' แต่เมื่อคืนมันไม่เป็นอย่างนั้น มันว่า 'จิตเจ้าเป็นเอกแล้ว ๆ' ตุ๊กแกเมื่อก่อนมันร้องว่า 'ตุ๊กแก ๆ' แต่เมื่อคืนมันร้องว่า 'ตัวเจ้าแก่แล้ว ๆ' ผมเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ลูกสาวฟัง เลยเดือดร้อนขึ้นมาว่า เราเอาธรรมไปพูดให้เขาฟัง ผมเป็นอาบัติแล้วกระมัง จึงคิดว่าจะสึก พอได้ยินเสียงอาจารย์มาพูดอยู่ข้างนอก ความวิตกนั้นจึงหายวับไปหมดแล้ว ผมสบายดีแล้ว |
ผู้เขียนจึงอธิบายให้แกฟังว่า เรื่องธรรม มันต้องพูดไปอย่างนั้นแหละจึงจะรู้เรื่องกัน
มันไม่เป็นอาบัติหรอก เราไม่ได้ตั้งใจจะพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมเพื่อหวังลาภผลใด ๆ ทั้งหมด แต่เพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน |
คืนต่อมาแกนอนไม่หลับอีก
ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้า พระกัสสปะ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เสด็จมาเทศน์โปรดไพเราะเหลือเกิน องค์นั้นเสด็จไปแล้ว องค์นี้เสด็จมาแทน แล้วก็ได้เอาไปพูดให้ลูกสาวฟังอีก ลูกสาวชอบใจใหญ่นั่งฟังจนค่ำ พอลูกสาวกลับไปแล้ว ความวิตกเดือดร้อนเกิดขึ้นอีกอย่างคราวก่อน ว่าตายแล้ว กูตาย บวชมาหวังจะรักษาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์ กลับมาพูดอย่างนี้เป็นอาบัติอีกแล้ว จึงคิดจะสึกวันนี้แหละ |
พอผู้เขียนไปถึงได้พูดความจริงให้ฟังว่า
การปฏิบัติมันต้องเอาความจริงมาเล่าสู่กันฟัง จึงจะรู้เรื่อง พูดให้ฟังหลายเรื่องหลายอย่างจนแกหายสงสัย แล้วผู้เขียนก็มีกิจธุระที่จะต้องจากไปในวันนั้นเอง ไปจำพรรษาคนละจังหวัดกัน |
ออกพรรษาแล้ว ได้ทราบข่าวแกมรณภาพแล้ว
ระหว่างที่ป่วยอยู่นั้น ลูก ๆ ได้ไปนิมนต์พระคณาจารย์หลายองค์มาเทศน์ให้ฟัง ก็ไม่ถึงใจแก แต่แกฟังไปอย่างนั้นแหละ แกพูดถึงผู้เขียนจนกระทั่งวันตาย นิสัยแกเป็นคนเชื่อตนเอง คิดนึกอย่างไรมักจะเป็นผลสำเร็จ แกชอบทำตามใจของแกจนได้สำเร็จประโยชน์จริง ๆ น่าเสียดายที่ผู้เขียนได้อบรมแกเพียงสามครั้งเท่านั้น แต่ไม่ได้อบรมวิปัสสนาต่อ เลยไม่ทราบว่าจิตของแกเป็นอย่างไรเมื่อตายไปแล้ว |
นี่แหละ คำว่า “สิ้นโลก เหลือธรรม” คือเมื่อธรรมเกิดขึ้นที่ใจแล้ว เรื่องโลกเลยกลายเป็นธรรมไปหมด ดังเช่นเสียงตุ๊กแกร้อง หรือไก่ขันเป็นต้น ก็เป็นธรรมไปหมด สิ่งอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อธรรมเกิดขึ้นที่ใจแล้ว เรื่องโลกก็ค่อย ๆ หายไป ๆ เรื่องสิ้นโลก เหลือธรรม ดังบรรยายมาเป็นอย่างนี้ แต่ความเป็นจริงโลกก็ยังเป็นโลก ธรรมก็ยังเป็นธรรมอยู่ตามเดิมนั่นเอง เรื่องธรรมเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าปฏิบัติไม่เป็นไปด้วยกันแล้วจะไม่เชื่อเลย คนที่ปฏิบัติเป็นไปด้วยกันแล้วจะนั่งชนเข่าคุยกันได้เลย วันยันค่ำก็อยู่ได้ แต่ถ้าคนหนึ่งไม่มีธรรมอีกคนหนึ่งมีธรรม พูดกันประเดี๋ยวเดียวก็แตกแยกไปคนละฝ่าย ไม่สนุกเลย นักปฏิบัติทั้งหลายต้องปฏิบัติให้เข้าถึงอุปจาร-อัปปนาสมาธิ แล้วพูดคุยกันจึงจะรู้เรื่องกันดี ธรรมเป็นของเกิดจากใจแต่ละคน เมื่อพูดธรรมออกมาก็จะพูดออกจากใจแท้ของตน จึงเป็นเรื่องสนุกมาก… |
-จบ- |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:05 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.