กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 18-11-2016 15:49

ต่อมาเมื่อมีพระเณรติดตามขอรับคำแนะนำจากท่านมากขึ้นทุกที ความเห็นใจที่ท่านเองก็เคยเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ยอมรับภาระในที่สุด

“...ผมไม่ได้เคยคิดว่าได้เป็นครูเป็นอาจารย์ใครทั้งนั้นแหละ เพราะนิสัยไม่มีทางนั้น มีแต่จะเอา ๆ เรื่องของเจ้าของโดยเฉพาะ ๆ เหมือนไม่เคยที่จะไปสนใจไปสอนผู้ใดเลย เวลาปฏิบัติก็มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างเดียว ทีนี้เวลาพอลืมหูลืมตาได้บ้าง มันก็ไม่สนใจที่จะสอนใคร เสียอยู่อย่างนี้.. สบายดีว่างั้น


เพราะฉะนั้น เวลาหมู่เพื่อนรุมไปกับผม ผมจึงขโมยหนีเรื่อยนะซิ อยู่คนเดียวสบายดี ไม่มีอะไรมากวน สบายดี มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้มันมากต่อมาก รุมเข้า ๆ ก็เลยเป็นอย่างนี้ อย่างที่เห็นนี่ แต่ไม่ได้เป็นกับนิสัยของเจ้าของนะ

ก็อยู่ไปอย่างนั้นแหละ เพราะเห็นหัวใจแต่ละดวงนี้มีคุณค่า คิดถึงเรื่องเราเวลาเลือกคลานเกิดขึ้นมาเจอพ่อเจอแม่อยู่แล้ว ครูอาจารย์เราได้วิ่งหาแทบล้มแทบตาย ไปที่ไหนก็ไม่เหมาะเจาะในหัวใจ มันก็ต้องผ่านไป ๆ จนกระทั่งไปถึงที่เหมาะเจาะแล้วถึงทุ่มกันลง หมู่เพื่อนแสวงหาครูบาอาจารย์ก็คงเป็นอย่างเดียวกันนี้ นี่แหละ...เอามาบวก มาลบ คูณ หาร กันดูแล้ว เราทนอยู่ด้วยเหตุนี้นะ...

เราก็ทนเพื่อหมู่เพื่อน เพราะหัวใจอยู่กับหมู่เพื่อนเท่านั้น ด้วยความเมตตาสงสาร เพราะการดำเนินทางด้านจิตใจนี้ เราเห็นโทษมาพอแล้ว สำหรับเราเอง เราเห็นคุณค่าของครูบาอาจารย์ที่คอยแนะนำสั่งสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ

จากนั้นก็เอาเรื่องเหล่านี้แหละ มาพิจารณาเทียบเคียงถึงเรื่องหมู่เพื่อนทั้งหลายจึงทนนะ นี่นะ.. ผมทนเอาเฉย ๆ

‘ถ้าเป็นตามนิสัยของผมแล้ว นิสัยหมายถึงความชอบใจนะ เราไม่ได้ชอบใจเกี่ยวกับหมู่เพื่อนมีมาก ๆ นี่นะ’


นิสัยของเราเป็นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เรื่องความอยู่คนหนึ่งคนเดียวตั้งแต่ปฏิบัติเราก็ปฏิบัติอย่างนั้น .. เรื่อยมาอย่างนั้นจนกระทั่งพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพไปแล้ว หมู่เพื่อนมารุมเกาะเรานี่ซิ...

ลัก...ยิ้ม 30-11-2016 12:15

กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

“... กายวิเวก ความสงัดแห่งกายในสถานที่อยู่อาศัย ที่ไปที่มาตามบริเวณที่อยู่นี้ นับว่าเป็นสัปปายะ ความสบายพอสมควร จิตวิเวก ท่านผู้มุ่งให้เป็นไปเพื่อความสงัดภายใน ตามขั้นแห่งความสงบของตน ก็มีประจำจิตของท่านผู้บำเพ็ญพอสมควร ส่วนผู้เริ่มฝึกหัดใหม่ ๆ ยังไม่ได้จิตวิเวกภายในใจ จงพยายามบำรุงอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้มีกำลัง ความวิเวกภายในค่อยปรากฏขึ้นเป็นลำดับ ผู้ที่ได้รับความวิเวกภายในพอประมาณแล้ว จงพยายามส่งเสริมให้มีความละเอียดเข้าเป็นลำดับ พร้อมทั้งปัญญาความรอบคอบในความวิเวกของตน และผู้มีธรรมยิ่งกว่านั้น จงรีบเร่งตักตวงความเพียรด้วยปัญญาให้เพียงพอ จะปรากฏเป็นอุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลสโดยสิ้นเชิงประจักษ์ใจขึ้นมาก...”

ลัก...ยิ้ม 15-12-2016 18:46

พบปราชญ์กลางป่าเขา

ราวปี ๒๔๙๓ หลังเสร็จสิ้นงานประชุมเพลิงหลวงปู่มั่น ท่านได้ไปพักอยู่กับท่านพระอาจารย์หล้า ขันติธโร (วัดป่าขันติยานุสรณ์ บ้านนาเก็น อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี) ในเขาลึกราวครึ่งเดือน ที่พักเป็นป่าเขา อาศัยอยู่กับชาวไร่ บิณฑบาตพอเป็นไปวันหนึ่ง ๆ เดินจากที่พักออกมาหมู่บ้านกว่าจะพ้นจากป่าก็เป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ๒๐ นาที ถึงหมู่บ้านก็ร่วม ๔ ชั่วโมง ครั้งนั้นท่านได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์หล้า เกิดความซาบซึ้งจับใจในธรรมของท่านมาก ดังนี้

"... ท่านอาจารย์หล้าเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูมิลำเนาเดิมอยู่เวียงจันทน์ ท่านไม่รู้หนังสือเนื่องจากไม่เคยเรียนมาก่อน นับแต่อุปสมบทแล้วท่านอยู่ฝั่งไทย มีหมู่คณะและครูอาจารย์ทางฝ่ายปฏิบัติมาก


ท่านอาจารย์หล้าเริ่มฉันหนเดียว และเที่ยวกรรมฐานอยู่ตามป่าตามเขากับท่านพระอาจารย์มั่นและท่านพระอาจารย์เสาร์มาแต่เริ่มอุปสมบท ไม่เคยลดละข้อวัตรปฏิบัติและความเพียรทางใจตลอดมา ...

ลัก...ยิ้ม 21-12-2016 16:09

ท่านอาจารย์หล้าอธิบายปัจจยาการ คืออวิชชาได้ดี ละเอียดลออมาก ยากจะมีผู้อธิบายได้อย่างท่าน เพราะปัจจยาการเป็นธรรมละเอียดสุขุมมาก ต้องเป็นผู้ผ่านการปฏิบัติภาคจิตภาวนามาอย่างช่ำชอง จึงจะสามารถอธิบายได้โดยละเอียดถูกต้อง เนื่องจากปัจจยาการหรืออวิชชา เป็นกิเลสประเภทละเอียดมาก ต้องเป็นวิสัยของปัญญาวิปัสสนาขั้นละเอียดเท่า ๆ กัน จึงจะสามารถค้นพบและถอดถอนตัวปัจจยการคืออวิชชาจริงได้ และอธิบายได้อย่างถูกต้อง ...

ท่านอาจารย์หล้ามีนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ชอบอยู่และไปคนเดียว ท่านมีนิสัยชอบรู้สิ่งแปลก ๆ ได้ดี คือพวกกายทิพย์ มีเทวดา เป็นต้น พวกนี้เคารพรักท่านมาก ท่านว่าท่านพักอยู่ที่ไหน มักมีพวกนี้ไปอารักขาอยู่เสมอ

ท่านมีนิสัยมักน้อย.. สันโดษมากตลอดมา และไม่ชอบออกสังคม คือหมู่มาก ชอบอยู่แต่ป่าแต่เขากับพวกชาวป่าชาวเขาเป็นปกติตลอดมา ท่านมีคุณธรรมสูง น่าเคารพบูชามาก คุณธรรมทางสติปัญญารู้สึกว่า ท่านคล่องแคล่วมาก ...

เวลาท่านจะจากขันธ์ไป ก็ทราบว่าไม่ให้ใครวุ่นวายกับท่านมาก เป็นกังวลไม่สบาย ขอตายอย่างเงียบ.. แบบกรรมฐานตาย จึงเป็นความตายที่เต็มภูมิของพระปฏิบัติ ไม่เกลื่อนกล่นวุ่นวาย...

ลัก...ยิ้ม 27-12-2016 11:27

พระอุปัชฌาย์ไปธุดงค์ด้วย

ในช่วงเวลานี้ ภาระปัญหาธรรม ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ยังแก้ไม่ตก การแก้ปัญหานี้ต้องปลีกตัวภาวนาอยู่เพียงลำพังเท่านั้น จึงจะสะดวกต่อการพิจารณา แต่เรื่องกลับเป็นตรงกันข้าม การออกธุดงค์ครั้งนี้ กลับมีความจำเป็นต้องให้ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ พระอุปัชฌาย์ของท่าน ร่วมเดินทางไปด้วยตามความประสงค์ของท่านเจ้าคุณ การร่วมเดินทางคราวนี้เกือบทำให้ท่านเจ้าคุณต้องเข้าใจผิดไป ท่านเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า

... พรรษา ๑๖ เราย้อนกลับมา เข้าไปในภูเขา ไปอยู่ทางถ้ำผาดัก (อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี) นั่นก็ป่าเสือ ที่นั่นก็ดี ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ท่านไปด้วยวันนั้น ท่านว่าเราขอไปด้วย โอ๊ย.. แล้วกัน ก็เราจะไปหาทำความเพียร ท่านก็เป็นอุปัชฌาย์เราด้วย ก็ต้องได้เป็นกังวล.. ก็เป็นจริง ๆ


ทีแรกเราพักอยู่ในบริเวณศาลาเล็ก ๆ ท่านไปเยี่ยมอาจารย์หล้า ... ท่านอาจารย์หล้า ท่านอยู่องค์เดียว ท่านลึก ๆ ไปอาศัยพวกทำไร่ทำสวน อยู่ลึก ๆ ท่านเจ้าคุณก็อยากไปเยี่ยมท่าน ชวนเราไปด้วย เราจะไปลำพัง เราต่างหากนี่นะ ตกลงเราก็ต้องไป ก็ท่านเป็นอุปัชฌาย์เราจะว่าไง ไปแล้วมันก็ไม่สบายอย่างว่า เพราะจิตมันหมุนตลอดเวลา อยู่กับใครไม่ได้

นี่ละ ถึงขั้นมันจะไป ฟังเอาซิ จิต.. ถึงขั้นมันจะผึง จะไปแล้ว อยู่กับใครไม่ได้ แม้แต่อยู่กับพระด้วยกัน อย่างท่านเจ้าคุณกับเพื่อนฝูงด้วยกันยังอยู่ไม่ได้ เสียเวลา เหมือนน้ำไหลบ่า เดี๋ยวคิดกับองค์นั้น พูดกับองค์นี้ไม่ได้ มันจ่อเหมือนนักมวยเข้าวงใน หมุนติ้ว ๆ อยู่งั้นตลอดเวลา เว้นแต่หลับ พอตื่นก็ปุ๊บแล้ว.. เอากันแล้วตลอด ไม่ได้คิดถึงดินฟ้าอากาศที่ไหน ๆ มีแต่หมุนอยู่ภายในตลอด การขบการฉันไม่สนใจ ไปลำพังเจ้าของ อยากฉันเมื่อไรก็ฉัน ไม่อยากฉันหมุนติ้วตลอดเลย นี่เป็นความเพียรในระยะนั้น เรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตลอด ถึงขั้นมันจะไป... นี่ละ ธรรมเมื่อมีกำลังแล้วเป็นอย่างนั้น ถึงขั้นนี่แล้วไม่อยู่ จิตหมุนติ้ว ๆ อยู่กับใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เราถึงหลบถึงหลีกหนีอยู่องค์เดียว

ลัก...ยิ้ม 06-01-2017 15:24

พอเผาศพพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้วก็หลีกหนี หลบหนีเรื่อยไม่ให้ใครทราบนะ ไปไม่บอกใครเลย จะออกไปทางไหนไม่บอก ไปอยู่นี้ประมาณ ๒ อาทิตย์บ้างอะไรบ้าง เดี๋ยวพระเณรก็ตาม หลบหนีอีกแล้ว ไปอีกแล้วอยู่อย่างนั้น ก็ไปจนตรอกท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ไปด้วย..

ก็เราจะไปนู้นแต่ท่านขอไปด้วยน่ะซี เราขโมยหนีจากหมู่เพื่อนแล้วมาโดดเดี่ยวคนเดียว ทีนี้จะเอาให้สุดเหวี่ยง มาก็มากราบท่านด้วยความเคารพเพราะท่านเป็นอุปัชฌาย์ มาอุดรฯ จะเผ่นไปทางอื่นเลยก็ไม่เหมาะ ไปกราบท่านก็ถาม "จะไปเที่ยว เอ้อ.. ถ้าจะไปทางนู้น ข้าจะไปด้วย" กูตาย เรา โอ๊ย.. ยังไง ท่านก็ไปด้วย ไปด้วยท่านก็ไปแบบของท่านละซิ แบบของเราต่างหาก แบบของท่านต่างหาก ครั้นเวลาไปแล้วมันไม่สะดวก นี่คือว่าอยู่กับใครไม่ได้ ทนไปกับท่าน ...

ลัก...ยิ้ม 13-01-2017 17:30

อยู่นั่นเราไม่สบาย เพราะจิตมันหมุนเป็นธรรมจักร จะอยู่กับใครได้ ก็เลยออกจากนั่นมา อยู่นั่นก็ห่างอยู่นะ ท่านก็ยังวิตกกับเราอยู่ อยู่ห่าง ๆ นั้นก็ดี เป็นอย่างนั้นนะ ว่าเข้าไปอยู่ป่าเสือ จากนั้นมาเราก็ไปเที่ยวดูที่นั่นที่นี่ ไปเห็นนู่นเหมาะ... ป่าลึก ๆ โน่น ให้ญาติโยมเขาไปทำแคร่ให้เรียบร้อย เราไปทำภาวนาของเราที่นั่น จะมาฉันร่วมก็ตอนเช้า จากนั้นแล้วเราก็จะไปโน้น เราคิดว่างั้น เพราะจิตมันหมุนเป็นธรรมจักรตลอดเวลา พรรษา ๑๖ เดือน ๔ ระหว่างนี้มั้ง เดือน ๔ ละ เดือนมีนา เมษา อยู่ทางโน้น อยู่ในป่า

ถ้าอยู่คนเดียวนี้พุ่ง ๆ ตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ จิตไม่มีคำว่าเผลอ สติปัญญาขั้นนี้แล้วไม่มีเผลอ หมุนกันตลอดเลยเหมือนนักมวยเข้าวงใน จะไปดูเวล่ำเวลา นาฬิกานาทีตีโมงที่ไหน นักมวยเข้าวงใน ถ้าไปดูก็ตาย..เข้าใจไหม ? อันนี้ก็เหมือนกัน กิเลสกับธรรม.. ฟัดกันเข้าวงในเป็นอย่างนั้น ไม่รู้จักเป็นจักตาย หมุนติ้ว ๆ ... อยู่กับท่านมันไม่สะดวก ท่านก็คุยธรรมะ แต่เป็นธรรมะธรรมดาพื้น ๆ นั่นซี ไม่ใช่ธรรมะที่เราหมุนติ้ว ๆ มันก็เข้ากันไม่ได้ อยู่ที่นี่ก็ไม่สบาย ตอนค่ำคืนก็ต้องมาหาท่าน ถ้าเราไปอยู่ไกล ๆ นู้นกลางคืนเราไม่มา เราจะมาแต่ตอนเช้า เราจึงไปอยู่ทางนู้น เราก็ทำให้เขาทำแคร่ให้เล็ก ๆ อยู่ลึก ๆ ไกลจากท่านไป เรียกว่าเหมาะว่างั้นเถอะ

เราจะมาฉันจังหันร่วมจากนั้นแล้วไม่มา ถึงเวลาฉันจังหันเราถึงจะมา เราคิดอย่างนั้นเพราะงานของเราไม่ว่าง ให้เขาทำแคร่ให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็มา แล้วท่านก็ไปที่นั่นนะ เวลาเรามาที่พักของเราแล้ว ท่านก็พาโยมไป "ไหน..? มหาบัวไปทำแคร่ที่ไหน ?"

ว่างั้น ให้โยมเขาพาไปดู ตอนค่ำเราอยู่แคร่ เรายังไม่ไป ทำเสร็จวันนั้นแหละแต่ยังไม่ไป ตอนค่ำลาท่านแล้ววันหลังจึงจะไป คิดว่างั้นนะ พอเรากลับมาท่านก็ไปดู เรามาหาท่านตอนค่ำ ทีนี้ท่านเปิดเผยแล้วนะ "ตั้งแต่อยู่ที่นี่เราก็วิตกกับเธอ ไปอยู่ป่าลึก"

ก็ไม่เห็นลึก เพราะตอนเช้าตอนเย็นเราก็มาเกี่ยวข้องกับท่านอยู่ที่นี่นะ มันไม่สะดวกในงานของเรา เพราะฉะนั้นจึงหลีกไปโน้น จะมาเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น เราคิดว่างั้น เวลาทำเสร็จแล้วท่านก็ไปดูแล้วกลับมา ตอนค่ำเราก็ไปหาท่าน คิดว่าจะลาท่านไปวันพรุ่งนี้ ว่างั้นนะ

ท่านว่า "เราก็ไปดูที่เธออยู่นะบัว ที่เดิมนี้มันก็เปลี่ยวพอแล้วบัว ยิ่งไปอยู่นั่น โอ๊ย.. เราวิตกนะบัว น่ากลัวนะบัว อย่าไปเถอะ"

ว่าอีกแหละ อู๊ย.. เรายังไงกัน ท่านก็อยู่ตามสภาพของท่าน กับสภาพของเรามันต่างกัน "โอ๊ย อย่าไปเถอะบัว เราเป็นห่วงเธอ นั่นป่าจริง ๆ นะนั่น พวกสัตว์ พวกเสือ น่าเป็นห่วงนะบัว อย่าไปเถอะ"

ท่านเปิดออกแล้วนะ ก็เราจะฝืนท่านยังไงได้...ใช่ไหมล่ะ ตกลงเลยไม่ได้ไป ไปทำร้านไว้เฉย ๆ อันนี้จิตมันหมุนอยู่ตลอด มันอยู่ไม่ได้ หลายครั้งนะ ลาท่านไปที่นั่นที่นี่ ท่านก็มีอุบายพูดอย่างนั้นตลอด เราก็ทนไม่ได้ เราก็ลาหลีกไปนั่นหลีกไปนี่ ก็จับละซิ

ลัก...ยิ้ม 24-01-2017 17:57

พอครั้งที่สาม เราจะขอไปอยู่ในเขาลูกนี้ ชี้ไป เห็นภูเขา เขาว่ามีสถานที่ดีอยู่ พอลาครั้งที่สามท่านเปิดเลยนะ "เออ...บัวเอ๊ย เรามาอยู่กับเธอนี่ เธอเป็นกังวลกับเรา เธอไม่สะดวก เราไปแล้วเธอจะสะดวกสบายแหละ"

เราไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็เรามันอยู่ไม่ได้ มันหมุนตลอด จากนั้นเราก็หาอุบายลาหนีออกไปเลย ท่านก็เลยว่า "เออ...มหาบัวอยู่กับเรานี่ไม่สะดวกสบาย เป็นอย่างไรนะ"

ท่านพูดกับโยมท่านอาจารย์หล้านะ "มหาบัวมาอยู่กับเรา รู้สึกดิ้นทางนู้นทางนี้เรื่อย ท่านไม่รู้เรื่องของเรานะ อยู่กับเราไม่ค่อยสนิท มักจะไปที่นั่น มักจะไปที่นี่ เป็นยังไงนะ...มหาบัว"

ท่านรู้สึกจะมีอะไรกับเรา แต่เรามันหนักในทางนี้ ไม่เป็นกังวล เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโลก ๆ เรื่องของเราเป็นเรื่องธรรมล้วน ๆ หนีจากท่านเสียจนได้ พอเราหนีมาแล้วไม่กี่วัน ท่านก็หนีมา มาก็มาพูดอยู่ทางวัดโพธิสมภาร พูดให้พระกรรมฐานฟัง ท่านไม่พูดกับประชาชนแหละ ท่านไม่รู้เรื่องของเรา ทีแรกท่านคิดจะยกโทษเรานะ "มหาบัวอยู่กับเราไม่เป็นสุข เป็นอย่างไรไม่รู้นะ เดี๋ยวลาไปนั้น เดี๋ยวลาไปนี้ ลาอยู่อย่างนั้น เป็นอย่างไรอยู่กับเราอยู่ไม่ติด เหมือนจะรังเกียจเราอะไร จนกระทั่งเราให้ไปก็ไปเลย ไม่เป็นสุข มหาบัวเป็นอย่างไรนะ"

พอดีไปคุยกับพระที่เคยคุยธรรมะกับเรา เป็นพระกรรมฐานที่เคยคุยธรรมะกับเรา ท่านเล่าเรื่องเป็นลักษณะที่ว่าไม่พอใจในเรา ว่าเราอยู่กับท่าน.. เราไม่พอใจ คงเป็นอย่างนั้น ... พระองค์นั้นก็เราเคยเล่าให้ฟัง แล้วนี่ท่านเลยเล่าให้ฟังทีนี้นะ

"โอ๊ย.. ท่านไม่รังเกียจ ท่านเล่าเรื่องความเพียรให้ฟัง เวลานี้ท่านกำลังพิจารณาอย่างนั้น ๆ ธรรมะของท่านกำลังเร่ง ท่านอยู่กับใครไม่ได้ ท่านหลีกหนีมา ๆ มีแต่หลักอันเดียว ท่านหลบหลีกจากหมู่จากเพื่อนตลอด เพื่องานของท่านสะดวกสืบต่อเป็นลำดับลำดา ไม่ขาดวรรคขาดตอน ความเพียรของท่านเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่ลาไปที่นั่นที่นี่คงจะเป็นเพราะการภาวนาของท่านเร่ง นี่ท่านมากับพระเดชพระคุณ ท่านอาจจะเป็นห่วงความเพียรของท่าน ท่านถึงไปที่นั่นที่นี่"


"หือ ๆ ? ท่าน (เจ้าคุณธรรมเจดีย์) จ่อฟังนะ เรื่อยเข้าไปนะ จ่อเข้าไป พระองค์นั้นก็เลยเล่าเรื่องธรรมะของเรา ธรรมะประเภทนี้ท่านเลยเล่าให้ฟัง แล้ว ท่านไม่มีวันคืน ท่านอยู่กับใครไม่ได้ ท่านต้องหลีกไปอยู่องค์เดียวของท่านอย่างนั้น "หือ ๆ ?" จ่อเข้าเรื่อยนะทีนี้ เป็นอย่างนั้นแหละ

"อ๋อ เพราะฉะนั้น เธอถึงอยู่กับเราไม่ติด ไปอยู่กับเรา... เธอไปทำที่อยู่ลึก ๆ เราก็เป็นห่วงอยู่แล้ว มิหนำซ้ำยังโดดไปโน้นอีก ไปภูเขาลูกโน้นลูกนี้อีก อ๋อ.. อย่างนั้นเอง"

ทีนี้ลงใจนะ อ๋อ ๆ เป็นอย่างนั้นเอง พระองค์นี้เราเคยเล่าให้ฟัง ว่าท่านอยู่กับใครไม่ได้ ท่านหลีกหนีจากหมู่จากเพื่อนตลอดเวลา มานี้มากับพระเดชพระคุณท่านก็มา มาด้วยความจำเป็นท่านก็มา พระเลยเล่าให้ฟัง แต่ท่านก็อดคิดเรื่องงานของท่านไม่ได้ ต้องหลีกต้องเว้น "เออ.. อย่างนั้นหรือ ? เราไม่รู้ อ๋อ.. เป็นอย่างนั้นเอง"

ทีนี้พอเรากลับมาคราวหลังนี่ ขอโทษเรานะ "เออ.. บัว ตอนเธอไปอยู่กับเรา เราได้คิดผิดกับเธอมามาก ว่าเธอรังเกียจเราอะไรต่อมิอะไร เราเข้าใจผิด นึกว่าเธอรังเกียจ เราอดคิดไม่ได้นะ อยู่กับเราไม่เป็นสุข เดี๋ยวลาไปนู่น เดี๋ยวลาไปนี่ ๆ ไม่รู้กี่ครั้ง ที่นี้พระมาเล่าให้ฟังแล้ว เราพอใจ ๆ เราขอโทษนะบัว ขอโทษเธอนะ"

"หโอ๊ย.. จะเป็นไร" เราก็ว่าอย่างนั้น ทีนี้ท่านเห็นโทษของท่านนะ ที่ว่าเราอยู่ไม่ได้ อย่างนี้เพราะความเพียรเป็นอย่างนั้น ๆ ท่านเปิดออกมาเลย (ตอนนั้น) โน่นอยู่ในเขา ทางที่ว่าไปถ้ำผาดัก ลงจากนั้นแล้วก็มาอยู่ตีนเขา ลาท่านเจ้าคุณมา ท่านเอาไว้ไม่อยู่ว่าอย่างนั้นเถอะนะ จะอยู่ได้อย่างไร มันหมุนติ้ว ๆ ก็มาขัดหัวอกที่นั่น หายจาก (โรคเจ็บขัดในหัวอก) แล้วถึงได้มาสกลนคร แล้วขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ (ต่อไป) ..."

ลัก...ยิ้ม 02-02-2017 17:21

หลังจากที่ท่านได้ลาจากท่านเจ้าคุณไป ในระยะนั้นความต่อเนื่องทางความเพียรจึงมีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กล่าวถึงปัญหาหนึ่งของบรรดาพระกรรมฐาน เกี่ยวกับการออกเที่ยวธุดงค์ในสมัยนั้น มักได้รับผลกระทบจากพระฝ่ายปกครอง แต่สำหรับท่านเองกลับไม่เคยพบปัญหาเช่นนี้เลย ดังนี้

"... ออกปฏิบัติกรรมฐานไปองค์เดียวตลอดเลย .. ตามธรรมดาแต่ก่อนพวกการปกครองไม่ได้แยกกัน ธรรมยุตกับมหานิกาย เจ้าคณะนั้นเจ้าคณะนี้เห็นกรรมฐานไปนี่ โหย.. ถูกไล่ถูกขนาบ พวกนี้อวดก้ามอย่างนั้นละ แต่กับเราไม่เคยถูกไล่นะ เราไปองค์เดียวอย่างนั้นละ หรือหลักธรรมวินัยก็เรียนมาเต็มที่ทุกอย่าง อะไรผิดถูกประการใดก็รู้ แต่เราไม่เคยถูกขับแหละ ส่วนมากพระกรรมฐานไปมักจะถูกขับถูกไล่ แต่เรานี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนไม่เคยมี สถานที่ว่าเก่ง ๆ เราไปก็ไม่เห็นมี คงเป็น "มหา" นี่ละ เป็นกำแพงทำให้ไม่กล้า ไม่เคยมี ไปอย่างนั้นตลอดองค์เดียว..."


สำหรับพระอุปัชฌาย์ของท่านเอง แม้จะเป็นพระในฝ่ายปกครอง แต่ท่านมีความเข้าใจชีวิตพระธุดงค์กรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง และยังให้การอุปถัมภ์คุ้มครองช่วยเหลือพระกรรมฐาน ให้ได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญสมณธรรมจนตลอดชีวิตของท่านเลยทีเดียว องค์หลวงตากล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านเจ้าคุณพระอุปัชฌาย์มีความเคารพบูชาและเกี่ยวข้องกับหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยแล้ว ดังนี้

" ... เจ้าคุณพระอุปัชฌาย์ของเรา ท่านเป็นธรรมทั้งแท่งเลยนะ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านบอกว่า...

"นี่...เณรจูม ดูมันหูกาง ๆ ลักษณะมันจะเป็นผู้ใหญ่ได้ เอาไปเรียนหนังสือเสีย ให้มันได้มาเป็นผู้ใหญ่ให้ความร่มเย็นแก่ผู้น้อย


แล้วท่านอาจารย์มั่นก็ไปฝากที่วัดเทพศิรินทราวาส กว่าจะเป็นพระมหาจูม สอบเท่าไรก็ตก ตกเท่าไรก็สอบ จนเขาเรียกท่านว่า "มหาจูมหนังสือเน่า"

พอได้มาเป็นเจ้าคณะมณฑลก็อยู่ให้ความร่มเย็นแก่หมู่คณะมาโดยตลอด เป็นอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นว่าไว้จริง ๆ ..."

ลัก...ยิ้ม 10-02-2017 12:01

ป่วยหนัก ... รักษาด้วยธรรมโอสถ

คราวหนึ่งในระยะไล่เลี่ยกัน ท่านไปพักวิเวกทางบ้านกาหม-โพนทอง ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอบ้านผือ (จังหวัดอุดรธานี) กับอำเภอท่าบ่อ (จังหวัดหนองคาย) ต่อเขตต่อแดนกัน มีแม่น้ำทอนเป็นเขตแดน ชาวบ้านเล่าว่า ในครั้งนั้นท่านวิเวกมาพักวัดร้าง* ห่างป่าช้าประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ เมตร สมัยนั้นเป็นป่าดงดิบบริบูรณ์มาก มีสัตว์ป่าชุกชุมจนเป็นที่หลบหลีกของเหล่านักเลง ที่ขโมยปล้นจี้หนีอาญาแผ่นดิน เลยป่าช้าไปเล็กน้อยเป็นบ้านหนองกระด้ง หนองกระติ้ว ซึ่งท่านก็เคยแวะพักเช่นกัน

เมื่อท่านมาพักภาวนาอยู่ในป่าแห่งนี้ ชาวบ้านหมู่บ้านกาหม-โพนทองจำนวนมากต่างพากันล้มป่วย ด้วยโรคเจ็บขัดในหัวอกดาดาษกันไปหมดเหมือนโรคอหิวาต์หรือฝีดาษ ถึงขนาดที่วันหนึ่ง ๆ เป็นกันตายกันวันละ ๓ - ๔ คนบ้าง ๕ คนบ้าง บางวันก็มีถึง ๗ - ๘ คนบ้าง เขาก็ไปนิมนต์ท่านมาสวดกุสลาฯ มาติกาบังสุกุลให้คนตายเพราะแถวนั้นไม่มีพระ วันทั้งวันมีแต่กุสลาฯ มาติกาฯ อุทิศส่วนบุญให้คนตายไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวมีคนนั้นตายแบกเข้ามาแล้ว สักพักเดี๋ยวแบกเข้ามาใหม่อีกแล้ว ท่านจึงไม่ได้หนีห่างจากป่าช้าเลย จนสุดท้ายโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนมากมายนี้ก็มาเป็นขึ้นกับตัวท่านเอง

อาการของโรคเจ็บเหมือนกับเหล็กแหลนหลาวทิ่มแทงประสานกันเข้าไปในหัวอกในหัวใจ จะหายใจแรงก็ไม่ได้ ยิ่งถ้าหากว่าจามด้วยแล้วแทบจะสลบไปในตอนนั้นเลยทีเดียว เมื่ออาการเกิดขึ้นเช่นนี้ ทำให้ท่านทราบได้ทันทีว่า ถ้าขืนเป็นเช่นนี้แล้วไม่นานคงต้องตายอย่างแน่แท้ เพราะแม้แต่การหายใจก็จะไม่ได้ มันคับเข้าแน่นเข้าเรื่อย ๆ หายใจแรงแทบไม่ได้เลย เมื่ออาการเช่นนี้ปรากฏขึ้น ท่านจึงบอกชาวบ้านว่าเป็นโรคแบบเดียวกันนี้แล้ว ต้องขอหลบตัว

ท่านเล่าว่า ระยะนั้นจิตของท่านละเอียดมากทีเดียว เรื่องร่างกายเป็นอันว่าปล่อยวางกันไปหมดแล้ว.. ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่นามธรรม ความคิดความปรุงที่ฟัดเหวี่ยงกันอยู่ตรงนั้น จิตก็รู้สึกละเอียดมาก ผ่องใสมาก กล้าหาญมาก

-------------------------------------------------------------------------------------

* ปัจจุบันเป็นทุ่งนา มีเพียงต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์หรือร่องรอยไว้ ป่าช้าเดิมได้ขยับขยาย ปัจจุบันโล่งเตียนเป็นพื้นโดยการฝันน้ำจากฝายน้ำทอนที่ไหลสู่แม่น้ำโฮงและแม่น้ำโขงตามลำดับ บ้านกาหม (เดิมเรียกบ้านกาโฮม หรือกาหม-โพนทอง เพราะมีฝูงกามานอนเป็นจำนวนมากที่ดงแห่งนี้) อยู่ใกล้บ้านโพนทอง ห่างกันประมาณ ๘ กิโลเมตร เดิมทั้งสองหมู่บ้านอยู่ติดกัน แต่เกิดน้ำท่วมจึงย้ายหมู่บ้านห่างกันออกไป

ลัก...ยิ้ม 17-02-2017 15:49

จากนั้นท่านก็เก็บตัว พักที่ป่ากอไผ่ที่เชิงภูเขา เมื่อโรคเจ็บขัดหัวอกนี้ได้ปรากฏขึ้นก็ทำให้ท่านชักจะรวนเร จึงพิจารณาว่า

“ ... เออ ! คราวนี้เราจะไปตายเสียแล้วเหรอ ในเวลานี้เรายังไม่อยากไป เพราะในหัวใจถึงจะละเอียดขนาดไหนก็ตาม แต่ก็รู้อยู่ว่าจิตนี้ยังไม่ได้เป็นอิสระ ยังมีอะไรอยู่ในจิต หากว่าตายไปในตอนนี้ ก็แน่ใจในภูมิของจิตภูมิของธรรมว่าจะต้องไปเกิดในที่นั้น ๆ ยังไงก็ต้องค้างอยู่ ยังไม่ถึงที่ เหล่านี้ทำให้วิตกวิจารณ์ว่า

ยังไม่อยากตาย’
เพราะจิตยังจะค้างอยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่ง ในความรู้สึกยังมีอาลัยอาวรณ์อยู่แต่ใช่กับชีวิต เป็นความอาลัยอาวรณ์อยู่กับมรรคผลนิพพานที่คนต้องการจะได้...”

แต่ด้วยเหตุที่โรคมันบีบบังคับตลอดเวลา ทำให้ท่านต้องหมุนกลับมาพิจารณาย้อนหลังว่า

ไม่อยากตายก็ต้องได้ตาย เมื่อถึงกาลมันแล้วห้ามไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นคติธรรมดา.. ยุ่งไปทำไม เรื่องทุกขเวทนานี้ก็เคยผ่าน เคยรบมาด้วยการนั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่งตลอดรุ่ง


แม้ทุกขเวทนามากแสนสาหัส ก็เคยได้ต่อสู้จนได้ความอัศจรรย์มาแล้ว โรคนี้ก็เป็นทุกขเวทนาหน้าเดียวกัน อริยสัจอันเดียวกัน จึงถอยไปไม่ได้”

มีชาวบ้านยกทั้งบ้านพากันไปเยี่ยมท่านเป็นร้อย ๆ ท่านก็ให้เขากลับหมด ไม่ให้ใครมายุ่งเลย จะเหลืออยู่ก็แต่ผู้เฒ่าคนหนึ่งเท่านั้น แกแอบซุ่มดูท่านอยู่ตลอดทั้งคืนด้วยความเป็นห่วงที่กอไผ่ในป่าใกล้ ๆ กันนั้นโดยไม่ให้ท่านรู้ตัว

ลัก...ยิ้ม 23-02-2017 16:50

ท่านตั้งใจจะขึ้นเวทีต่อกรกับทุกขเวทนาของโรคในคืนนี้ ชนิดจะให้ถึงเหตุถึงผล ถึงพริกถึงขิง ถึงเป็นถึงตายเลยทีเดียว จากนั้นก็เข้าที่นั่งภาวนา โหมกำลังสติปัญญา.. หมุนเข้าพิจารณาทุกขเวทนาในจุดตรงกลางอกที่กำลังเจ็บเสียดแทงอยู่นี้ ท่านเล่าไว้ดังนี้

“ ... พิจารณาทุกขเวทนาในหัวอกนี้ว่าเป็นยังไง ? เกิดขึ้นจากอะไร ? เสียดแทงอะไร ? เวทนาเป็นหอกเป็นหลาวเมื่อไรกัน ? มันก็เป็นทุกข์ธรรมดานี่เอง ทุกข์นี้ก็เป็นสภาพอันหนึ่ง เป็นของจริง... ค้นกันไปมาไม่ถอย เป็นตายไม่สนใจ สนใจแต่จะให้รู้ความจริงในวันนี้เท่านั้น พิจารณาดังนี้


ทุกขเวทนามันมากเท่าไร มันแทงในหัวอก สติปัญญายิ่งหมุนติ้ว ๆ สู้ไม่ถอยจากหัวค่ำจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่มกว่า พอเต็มที่เห็นประจักษ์ เวลาถอนนี้.. ถอนอย่างประจักษ์เช่นเดียวกับทุกขเวทนาจากการนั่งตลอดรุ่ง จิตรอบด้วยปัญญา ทุกขเวทนาแบบเดียวกัน ถอนออก ๆ กำหนดตามกัน ๆ ถอนออกจนโล่งหมดเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือ โล่งหมดในหัวอกนี่ สุดท้ายก็เหมือนกับว่าร่างกายไม่มี ว่างไปหมดเลย พักดูความอัศจรรย์ของจิต

เมื่อทุกขเวทนาดับไปหมดแล้ว มีแต่ความว่างของร่างกาย จากนั้นก็เป็นความว่างของจิต กายหายเงียบ เมื่อจิตมันพอตัวได้กำลังแล้วก็ยิบแย็บ ๆ ถอยออกมา ๆ จิตก็ยังว่าง ร่างกายแม้จะมีอยู่แต่ไม่มีเจ็บมีปวด ไม่มีเสียดมีแทงในหัวอกอย่างที่เคยเป็นมาเลย จึงแน่ใจว่าไม่ตายแล้วทีนี้ โรคนี้หายไม่ยากอะไรเลย แก้กันด้วยอริยสัจ

พอหลังจากนั้นแล้วก็ลงเดินจงกรม เอาตะเกียงแก้วครอบเล็ก ๆ ภาคอีสานเขาเรียกตะเกียงโป๊ะเล็ก ๆ จุดไว้ข้างนอกมุ้งโน้น... ตั้งแต่ต่อสู้กันอยู่โน้นนะ จุดไว้แล้วก็เข้าที่ละ มองเห็นไฟอยู่นอกมุ้งโน้น ไม่ได้เอาเข้ามาในมุ้ง จากนั้นก็ลงเดินจงกรม โอ๋ย.. เดินก็ตัวปลิวไปเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือ...”

ลัก...ยิ้ม 08-08-2017 17:42

ท่านเดินจงกรมตลอดรุ่ง คืนนั้น ท่านจึงไม่ได้นอนเลย เมื่อแสงอาทิตย์สว่างพอรำไร ผู้เฒ่าที่แอบอยู่ข้างกอไผ่ก็ปุบปับออกมาด้วยความดีใจ ท่านเห็นผู้เฒ่าจึงทักว่า
“เอ้า โยมมาทำไมล่ะ ?”


“โห ผมนอนอยู่นี้ ข้างกอไผ่นี่” แกว่า

“เอ้า นอนทำไม ? ก็บอกให้ไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้”

“โอ๊ย ผมไม่ไป ผมกลัวท่านจะตาย ผมคอยแอบอยู่นี้ ผมก็ไม่ได้นอนเหมือนกันทั้งคืน ไฟของท่านสว่างตลอดรุ่ง เห็นท่านมาเดินจงกรม ผมก็ดีใจบ้าง”

การพิจารณาทุกขเวทนาจากการป่วยคราวนี้ ท่านเคยยกเอามาเป็นตัวอย่างสอนพระให้รู้หลักว่า

“ ... ทุกขสัจนี้เป็นเหมือนหินลับปัญญานะ ถ้าเราพิจารณาแบบพระพุทธเจ้าสอน แบบอริยสัจเป็นของจริง ๆ เรื่องทุกขเวทนานี้เป็นหินลับปัญญาให้คมกล้า ..


เวลาพิจารณาแล้วแก้ถอนกัน มันก็ถอนให้เห็นชัด ๆ นี่นะ .. มันแก้กันได้ด้วยอริยสัจ ปัญญาพิจารณากองทุกข์ แยกแยะกันกับร่างกายของเราออกให้เห็นอย่างชัดเจน ดังที่เราเคยปฏิบัติมาในสมัยที่นั่งหามรุ่งหามค่ำ ไม่ได้ผิดกันเลย แต่เรื่องสติปัญญาต้องขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เราจะไปเอาเรื่องเก่าเรื่องที่เคยเป็นมามาปฏิบัติไม่ได้...

เรื่องแก้กิเลส แก้อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง แก้ทุกขเวทนานี้ มันต้องสด ๆ ร้อน ๆ ... อย่าให้เกิดขึ้นมาด้วยการคาดการหมาย มันถึงแก้สด ๆ ร้อน ๆ จริง ๆ ...”

ลัก...ยิ้ม 11-08-2017 12:24

ผีปอบสาว

หลังจากหายโรคเจ็บขัดในหัวอกด้วยธรรมโอสถแล้ว ท่านก็ไปที่วัดป่าสุทธาวาส ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องผูกพันไว้กับพระอุปัชฌาย์อีก ดังนี้

“... ท่าน (เจ้าคุณธรรมเจดีย์) ก็ไล่ไปสกลนคร เราก็จะไปสกลฯ อยู่แล้ว เราจะไปตามสบายของเรา ท่านผูกพันมากนะ ท่านให้ไปบวชหมอเจริญ วัฒนสุชาติ* ตอนนั้นเขาเรียนแพทย์ ให้ไปสวดกรรมวาจาให้เขา ท่านจะไปบวช แล้วให้เราไปสวดกรรมวาจา ให้รอท่านอยู่วัดสุทธาวาส ...”


เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นช่วงเวลาที่ท่านกลับมาพักวัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร อีกครั้งหนึ่งภายหลังงานประชุมเพลิงหลวงปู่มั่นเสร็จสิ้นลง เพื่อร่วมงานบวชตามประเพณีของคุณหมอเจริญ ในช่วงเวลานั้นมีหญิงสาวนางหนึ่ง ได้เข้ามาพูดคุยสนทนากับหมอเจริญ โดยท่านเองก็ได้ร่วมฟังเรื่องราวในครั้งนี้ด้วย ดังนี้

“... อย่างเขาว่าเป็นปอบเป็นผีก็เหมือนกัน คนนั้นเป็นปอบ คนนี้เป็นปอบ มันมีผีมาสิงอยู่ในคน.. เขาเรียกปอบ เอ๊.. ชื่อว่าอะไรนาหญิงคนนี้ หมอเจริญซักเอาเสียจนตาแห้ง นั่งดูหญิงคนนั้น หมอเจริญน่ะ เป็นนักเรียนแพทย์ปัจจุบัน อยากรู้ชัด ๆ เป็นยังไงแน่ แกก็เล่าให้ฟังจริง ๆ โห.. แกเล่าอย่างอาจหาญนี่ นั่นเหมือนกับอ้าปากด้วย ลืมตาไม่หลับด้วย อ้าปากด้วย คือแกพูดมันน่าฟัง


ถ้าวันไหนมันหิว มันดิ้นอยู่ในนี้ เจ้าของจะรู้สึกรำคาญ ว่างั้น ปอบส่วนมากมันจะออกทางตา แพล็บ ๆ ทางตาแล้วก็ไปแล้ว ทางเจ้าของนี้ก็คอยร้อนใจละซิ กลัวว่ามันจะไปกินใครเข้า ถูกหมอ.. เขาเก่ง เขาไล่ติดตามผีมา ก็มาหาทางเรา ถ้าคนไล่ผีไม่เก่ง คนไล่ผีไม่รู้ มันก็กินคน พอมันกินอิ่มแล้วก็กลับมาหาคน กลับมาหาเจ้าของนั่นแหละ มาเข้าเจ้าของ เข้าทางหูบ้าง เข้าทางตาบ้าง.. แว้บเดียว ทีนี้ก็จะรู้สึกง่วงนอนทั้งวัน ถ้ามันได้ไปกินอิ่ม ๆ มาแล้วจะง่วง.. นอนทั้งวันเลย แต่ถ้ามันหิวแล้วเจ้าของก็จะรู้สึกกระวนกระวาย คือมันกวนอยู่ภายใน ครั้นถ้าออกไปกิน เขาก็ถูกเขาไล่ละซิว่า ‘อีนี้เป็นปอบ อีนั้นเป็นปอบ’

เขาไล่ตามมาก็มาโดนเอาเราเข้า เหตุที่จะเป็นปอบก็เพราะแกไปสักว่าน เขาเรียกว่านกระจาย สักอยู่บนหัวนี่.. ให้เขาสักว่านให้ที่กระหม่อม แล้วอยู่ยงคงกระพันด้วยนะ เมื่อสักว่านแล้ว แทงก็ไม่เข้า ฟันไม่เข้า ปืนยิงไม่ออก... นั่นละเหตุที่จะมาเป็นปอบก็เพราะว่านอันนี้ คือรักษาไม่ได้

แกว่ามีวิชาที่ขัดกันกับสิ่งนี้ เช่นกินของดิบอย่างนี้นะ ถ้าหากกินเนื้อดิบปลาดิบอย่างนี้เข้าไป มันจะขัดกับวิชานี้ ถ้าขัดแล้วก็ทำให้เป็นปอบได้ ถ้าไม่ขัดก็ไม่เป็นอะไร สิ่งที่ทำให้ขัดกันก็เช่น ไม่ให้กินเนื้อหรือไม่ให้กินปลาดิบ หรืออย่างลาบเลือด หรือเครือกล้วยก็ห้ามไม่ให้ไปลอด นี้ก็ไปลอดไม่ได้..มันผิด นี่ละที่แกเล่าให้ฟัง

เราก็ฟังดูเหมือนกัน เอ๊.. พิลึก ที่วัดป่าสุทธาวาสนี่ละ เรากำลังจะไปวัดดอยธรรมเจดีย์กับหมอเจริญ หมอเจริญกำลังจะบวช ให้ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปบวช... แกบวชให้แม่ แม่ขอก็เลยบวชให้ ก็พอดีผู้หญิงคนนั้นแกมาคอยรถอยู่ที่หน้าวัด แต่ก่อนรถไม่ค่อยมีแหละ มาที่กุฏิ พวกนี้ก็นั่งอยู่นั้น แกมาก็เลยพูดกันไปพูดกันมา จึงได้รู้ว่าแกเป็นปอบ ‘ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่เหรอ’

เป็นอยู่แกว่างั้นนะ ‘ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ยังแก้ไม่ตก เพราะว่านเขาสักไว้กระหม่อมนี้ แล้วไปทำผิดเลยกลายเป็นปอบไป...’

… ถ้าหมอเขาเก่ง ๆ มันไปกินใครอย่างนี้ เขาไปขับผี พอจับมัดได้แล้ว เอาเชือกนะมัด เขาเรียกเชือกปะกำ เป็นเชือกวิชา เมื่อเขามัดผูกนี้ไว้แล้วมันก็ออกไม่ได้ จากนั้นเขาก็ซักถามซิ ‘เป็นใคร ? มาจากไหน ?’

เป็นนั้นชื่อว่าอย่างนั้น ๆ ‘แล้วใครเป็นเจ้าของ ?’ มันก็ชี้บอกเจ้าของ

‘ยายนี้แหละ’ คนยังสาว ๆ อยู่นะ ไม่ใช่ยายอะไรแหละ หมอเจริญนี้เชื่อเลย...

โอ้โห.. ! วิชามันแปลกนะ เอาไปคิดแหละ พวกหมอแผนปัจจุบันนี่นะ สิ่งเหล่านี้เขาไม่เชื่อว่ามี ทีนี้หมอเจริญนี่แหละเชื่อ ไปเห็นแล้วไม่เชื่อได้ยังไง เพราะเขาพูดเป็นตุเป็นตะ พูดเป็นหลักความจริง หลักฐานพยานก็สักอยู่บนกระหม่อมเขา ก็บอกว่าสักอยู่ตรงนี้ นี่ละตัวมันพาเป็นเหตุ ก็มีหลักฐานพยานอยู่ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจะไม่เชื่อได้ยังไง มันกินคนเขาก็บอกว่ามันไปกินคน...”

ภายหลังเสร็จงานบวชคุณหมอเจริญแล้ว ท่านก็ออกเดินทางขึ้นภูเขาหลังวัดดอนธรรมเจดีย์ในทันที

............................................................


* คุณหมอเจริญ วัฒนสุชาติ ต่อมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา ปัจจุบันเกษียณอายุราชการ

ลัก...ยิ้ม 18-08-2017 12:21

คืนแห่งความสำเร็จ

น้ำซับน้ำซึม ด้วยสติปัญญา

ในระยะนั้นองค์หลวงตากล่าวถึง.. ความเพียรในการบำเพ็ญจิตตภาวนาของท่านว่า เป็นไปเองโดยไม่ต้องได้บังคับ ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาวนามยปัญญา อันเป็นสติปัญญาที่หมุนตัวเองโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีการบังคับบัญชาในเรื่องความพากความเพียรเลย กลับต้องได้รั้งเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วสติปัญญานี้จะทำงานจนเลยเถิด ด้วยเพราะเห็นโทษแห่งวัฏจักรอย่างถึงใจนั่นเอง ใจจึงมีกำลังมากที่จะถอนตัวออกจากทุกข์อย่างเต็มเหนี่ยว โดยไม่มีคำว่าตายเลย ท่านกล่าวว่า

“... นี่สติปัญญาขั้นนี้ก้าวแล้ว ทีนี้เบิกกว้าง ๆ ออกเรื่อย ๆ เรื่องกิเลสตัณหา วัฏจักรวัฏวนหมุนภายในดวงใจนี้ เหมือนกับว่ามันหดย่อเข้ามา ๆ ทางเบิกกว้างที่จะหลุดพ้นจากทุกข์เบิกกว้างออก ๆ สติปัญญาหมุนตัวเป็นธรรมจักร นี่เรียกว่าธรรมทำงาน ธรรมมีกำลัง ย่อมหมุนตัวกลับเหมือนกันกับกิเลสที่มันมีกำลังหมุน หัวใจของสัตว์เป็นวัฏจักรไปตาม ๆ กันหมด ไม่ว่ากิริยาใดของกิเลสที่มันแสดงตัวออกมา มันทำงานเพื่อวัฏจักรของมันทั้งนั้น ๆ


ทีนี้เมื่อสติปัญญาอันเป็นฝ่ายธรรมมีกำลังแล้วหมุนกลับ ทีนี้หมุนกลับโดยอัตโนมัติ เหมือนกิเลสมันหมุนอยู่ในหัวใจสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติของตัวเองนั่นแล พอถึงขั้นสติปัญญาขั้นนี้แล้ว.. เป็นหมุนกลับ ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน เว้นแต่หลับอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นสติปํญญาขั้นนี้จะฆ่ากิเลสตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ หมุนติ้ว ๆ กิเลสขั้นหยาบหมุนหนัก เรียกว่าปัญญาขั้นผาดโผนโจนทะยาน เหมือนว่าฟ้าดินถล่ม ปัญญาขั้นหยาบกับกิเลสขั้นหยาบ ๆ ฟัดกัน

พอจากนั้นแล้วสติปัญญาก็ค่อยเบาไป ๆ เพราะกิเลสเบาลง ๆ สติปัญญาก็ค่อยเบาไปตาม ๆ กัน หมุนไปตาม ๆ กัน เป็นน้ำซับน้ำซึม ๆ กิเลสซึมซาบไปไหน ? สติปํญญาขั้นอัตโนมัติก้าวเข้าสู่มหาสติปัญญาแล้ว ซึมซาบไปตาม ๆ กันเลย เหมือนไฟได้เชื้อ เอ้า.. ละเอียดขนาดไหน.. ! สติปัญญานี้ก็ละเอียดตามกันไป ๆ โดยอัตโนมัติ...”

ลัก...ยิ้ม 24-08-2017 16:14

ท่านกล่าวถึงความเข้าใจที่เคยคาดว่า จิตมีความละเอียดเท่าไรก็ยิ่งจะมีความสุขความสบาย งานการจะค่อยเบาบางไป ๆ นั้น มาถึงตอนนี้กลับเป็นตรงกันข้ามไปหมด ดังนี้

“... บางทีจนรำคาญเหมือนกันนะ เพราะมันหมุนไม่หยุดไม่ถอย ‘เอ๊.. นี่มันอะไรกัน ?’ แต่มันคิดได้ชั่วขณะเท่านั้นนะ แต่พอหยุดคิดปั๊บ มันพุ่งใส่งานนั้นเลย คือ ความคาดของเรานั้นกับความจริงนี้.. มันห่างกันคนละโลกเลย คือเราคาดไว้อย่างนี้นะว่า ‘จิตนี้ได้มีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไร ก็ยิ่งจะมีความผาสุกสบาย งานก็ยิ่งจะน้อยเข้าไป ๆ สบายเข้าไปเรื่อย ๆ ?’ นี่เราคาดเราคิดนะ


แต่เวลาความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น เข้าสมาธินี้ก็เหมือนงานน้อยจริง ๆ พอพิจารณาปั๊บ ๆ ก็รวมสงบแล้ว อยู่สบายเป็นคนขี้เกียจ นอนตายอยู่ในสมาธินั้น ความจริงเจ้าของขี้เกียจต่างหาก ตอนนี้งานน้อยนี่ คือมันอาศัยความสงบ มันติดความสงบ

พอออกทางด้านปัญญา พอได้เหตุได้ผลทางด้านปัญญาแล้ว ทีนี้มันเห็นผลแล้ว ทีนี้นะ มันเริ่มละ ทีนี่เริ่มหมุนเรื่อย ๆ พิจารณาเข้าไปเรื่อย.. เข้าใจเรื่อย.. แก้เรื่อย ถอดถอนกิเลสได้ด้วย ขาดเรื่อยไปเรื่อย ๆ เอาละ ทีนี่นะ ทีนี้ก็เป็นธรรมจักรหมุนตัวเป็นเกลียว เอาละทีนี้ต้องได้รั้งเอาไว้แล้ว ทีนี้บทเวลามันเพลีย.. ถึงร่างกายก็เพลียด้วย ไม่ได้เพลียแต่ตรงนี้นะ ในร่างกายทุกส่วนก็รู้สึกเพลีย เพราะจิตทำงาน ปัญญาพิจารณาค้นคว้า.. เขาเรียกว่าทำงาน

ก็รำพึง ‘เอ๊.. เราคิดไว้ว่า เมื่อจิตมีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไร ยิ่งจะมีความสุขมาก ๆ ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงเป็นอย่างนี้ ? มันสุขมากยังไง ? มันวุ่นกับงานตลอดจนแทบจะเป็นจะตาย ถ้าว่างงานมันก็ยิ่งมากเข้าไปโดยลำดับ’

มันไม่เหมือนกันตั้งแต่ก่อนที่เราคาดไว้ว่า จิตละเอียดเข้าไปเท่าไร.. งานยิ่งจะน้อยลงไป ๆ และจะมีความสุขยิ่งสบาย ๆ แล้วหมดไปเลย สิ้นไปเลย นี้เป็นความคาดหมายต่างหาก.. ไม่ใช่ความจริง

ลัก...ยิ้ม 01-09-2017 15:24

เวลาความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น พอถึงขั้นปัญญานี้แล้ว โอ้โห.. มันกว้างขวางยิ่งกว่าอะไร ! มันหมุนติ้ว ๆ ครอบโลกธาตุในส่วนร่างกายหยาบอันนี้แหละ.. ตัวมันดิ้นมากเหมือนกับน้ำไหลโจนลงมาจากภูเขา เหมือนกับน้ำตกนะ เช่น แม่สาที่เชียงใหม่ มันเหมือนอย่างนั้น ปัญญาขั้นพิจารณาร่างกายมันรุนแรงมากเหมือนกับน้ำตกนั่นแหละ

ทีนี้พอร่างกายนี้หมดแล้ว มันเข้าไปส่วนอาการของขันธ์ ๔ นี้คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นน้ำซับน้ำซึมที่นี่ ไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน คือตลอดเวลาหากไม่แบบน้ำตก เพราะอันนี้มันส่วนละเอียดแล้ว มันก็หมุนอยู่เหมือนกันเป็นแต่เพียงว่าหมุนแบบนี้ คือหมุนเบา ๆ หากหมุนไม่หยุด ตอนพิจารณาร่างกายนี้เหมือนกับน้ำตกไหลโจนมาจากภูเขา เสียงซ่า ๆ ดังถึงไหนโน้นน่ะถ้าเราจะเทียบ พออันนี้หมดปัญหาไปแล้ว เหลือแต่นามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทีนี้มันก็ไหลรินอยู่นั่น

มันพิจารณาไม่หยุดไม่ถอยนี่นะ เอ๊.. นี่มันจะสิ้นสุดเมื่อไร ก็เราคิดคาดไว้ตั้งแต่ต้นว่า จิตมีความละเอียดลออเท่าไรก็ยิ่งจะมีความสุขความสบาย งานการก็จะค่อยเบาไป ๆ ทำไมมันกลับตรงข้ามไปเสียหมด แล้วเมื่อไรจะได้สะดวกสบายสักทีว่างี้ พอหยุดกันแล้วปั๊บมันก็ทำงานแล้ว คือเรารั้งมันไว้มันคิดเท่านั้น พอปล่อยปั๊บมันก็โดดปุ๊บใส่งานที่กำลังทำยังไม่เสร็จ คือยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงอันไหนแล้ว มันจะต้องตายด้วยกัน พูดง่าย ๆ เรื่องจะแพ้นี้มันไม่ยอม นอกจากตายกับให้รู้ให้ผ่านไปได้เท่านั้น

จนกระทั่งมันหมดกำลังของมันที่จะไปอีกแล้ว มันก็ระงับไปเอง สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่นั้นก็ระงับไปเอง.. เป็นหลักธรรมชาติเหมือนกัน เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน...”

ลัก...ยิ้ม 08-09-2017 12:48

เกี่ยวกับการพิจารณาด้านปัญญา เมื่อผ่านแต่ละขั้นมาถึงอวิชชาซึ่งเป็นสังโยชน์ข้อสุดท้ายของพระอนาคามีก่อนที่จะบรรลุขั้นสูงสุดนั้น ขอยกพระธรรมเทศนาของท่านมาแสดงโดยย่อดังนี้

“... ทีนี้การปฏิบัติเมื่อผ่านขั้นร่างกายนี้ไปหมดแล้ว สุภะก็ไม่ปรากฏ อสุภะอสุภังไม่มีความที่ว่าน่ากล้าน่ากลัวในเรื่องร่างกายก็หมดไป ทีนี้พอเกิดขึ้นมาก็กลายเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นมา เกิดกับดับพร้อม ๆ เรื่องอสุภะอสุภังผ่านไปเลย ๆ สุดท้ายร่างกายก็ไม่มี โลกนี้กลายเป็นโลกว่างไปหมด จากการพิจารณาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรก ถือร่างกายเป็นพื้นฐานแห่งการพิจารณา เมื่อพิจารณาอันนี้ชำนิชำนาญเรียบร้อยแล้ว มันก็ไม่มีเขามีเรา ไม่มีหญิงมีชาย มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งเขาทั้งเราเสมอกันหมด แล้วจะไปข้องแวะกับอะไร มันก็เดินไปตามสายกลาง ไม่ข้องแวะกับอะไร


จากนั้นก็เข้าสู่นามธรรม พิจารณาร่างกายจนกระทั่งหมด คำว่าหมดนี้เป็นอย่างไร ? ร่างกายนี้ที่เรายังแยกอสุภะอสุภังอยู่ในขั้นนี้ พอผ่านจากนี้แล้ว อสุภะอสุภังจะไม่มี เกิดขึ้นมาพับดับไปพร้อม ๆ เราจะพิจารณาว่าเป็นของสวยงามไม่สวยงามไม่ทัน เพราะอารมณ์ของจิตอันนี้เกิดรวดเร็ว เกิดกับดับพร้อม ๆ ทีนี้เรื่องอสุภะอสุภัง.. ความสวยงามไม่สวยงามผ่านไป ไม่มีเข้าถึงจิต แล้วกลายเป็นจิตอวกาศไปเลยที่นี่ มองดูอะไรมันก็เป็นอวกาศเหมือนฟ้าแลบ เราจะแยกเป็นของสวยของงามไม่สวยไม่งามไม่ทัน ขั้นของจิตที่พิจารณาไปแล้วเป็นอย่างนี้ นักปฏิบัติจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

ผู้พิจารณาอย่างเชื่องช้า.. ธรรมดาจะเห็นอย่างละเอียดลออในทางเดินแห่งกรรมฐานเพื่อความพ้นทุกข์ จะเห็นได้อย่างละเอียดลออ จิตขั้นนี้พิจารณาอย่างนี้ ขั้นนั้นพิจารณาอย่างนั้นเรื่อยไป จนกระทั่งถึงจิตไม่มีรูปมีนามแล้ว.. ร่างกายของสัตว์ของบุคคลเป็นอวกาศไปหมด ว่างไปหมด แล้วเราจะพิจารณาอะไรว่าเป็นสุภะอสุภะ ว่าสวยว่างาม ไม่สวยไม่งาม พอตั้งพับก็ดับไปพร้อม ๆ เอาอะไรมางาม อะไรไม่งาม มันดับไปพร้อม นี่ขั้นของจิตแห่งการพิจารณากรรมฐาน พอจากนี้แล้วก็มีตั้งแต่เหมือนแสงหิ่งห้อย เหมือนฟ้าแลบแพล็บ ๆ ๆ เกิดดับ ๆ ๆ จากนั้นก็หมุนเข้าไปหาจิตเพราะออกจากจิต

เวลาจิตยังหยาบอาการเหล่านี้ก็ออกมา ส่วนหยาบ ๆ ว่าเป็นของสวยของงาม ไม่สวยไม่งาม จากนั้นก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต่อจากนั้นมีแต่เกิดดับ ๆ มันแสดงออกที่จิต.. ดับที่จิต ตามเข้าไปหาจิตนั้นละ..การพิจารณา พอถึงขั้นที่จิตกับอวิชชาอยู่ด้วยกัน เมื่อมีอวิชชานั้นจิตก็หลงจิต หลงตัวเองและหลงสิ่งอื่น ไม่หลงส่วนหยาบ ก็หลงส่วนละเอียด ปล่อยส่วนหยาบ... ส่วนละเอียดยังมันก็พิจารณาตามเข้าไป ตามเข้าไปจนหมด.. ไม่มีอะไรเป็นกิเลส มาม้วนเสื่อกันที่จิต

ลัก...ยิ้ม 22-09-2017 11:50

อวิชชาปัจจยา สังขารา อวิชชาคืออะไร ? เวลาพิจารณาเข้าไปแล้ว อวิชชาก็คือนางงามจักรวาล พอเข้าไปถึงจิตดวงนั้นแล้ว จะสง่างามผ่องใสมากทีเดียว น่าอัศจรรย์ นี่เรียกว่านางงามจักรวาล หลอกสติปัญญาที่ยังไม่สามารถจะแก้ตกได้เป็นอย่างดี ทีนี้เวลาพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า หลายครั้งหลายหน สิ่งเหล่านี้ก็พังลงไป อวิชชาปัจจยา สังขารา ที่ว่าเป็นนางงามของจิต ทำให้โลกหลงก็พังไปด้วยกัน ทีนี้ก็ไม่มีอะไรงามในโลกนี้ มันก็ว่างไปหมด ภายนอกก็ว่าง


‘รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส สัมพันธ์เต็มในโลกนี้.. ว่างจากจิตหมด แม้ที่สุดอารมณ์ภายในจิตที่ทำความผูกพันแก่ตัวเอง เพราะความคิดความปรุงก็ว่างไปหมด วางไปหมด’

ทีนี้บริสุทธิ์ที่ตรงไหนล่ะ เมื่อมันปล่อยไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่จิตล้วน ๆ ท่านให้ชื่อว่าจิตบริสุทธิ์ ดังท่านสำเร็จพระอรหันต์นั่น คือปล่อยหมดแล้วสิ่งอันนี้ ว่างหมด ปล่อย วางด้วย.. ว่างด้วย ปล่อยไปหมด แม้ส่วนภายนอกว่าง จิตยังไม่ว่าง พิจารณาเข้ามาหาจิตจนกระทั่งจิตก็ว่าง อะไรก็ว่าง ว่างเสมอกันหมด ทั้งภายนอกภายในตลอดทั่วถึง นั่นละคือจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าว่างข้างนอกยังไม่ว่างตัวเองก็ยังไม่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับเราไปอยู่ในห้อง ห้องนี้มันว่าง มันโล่งมันว่าง ห้องนี้ว่าง ใครไปดู ๆ ก็ว่าห้องนี้ว่าง ๆ ยิ่งให้เจ้าของที่เข้าไปยืนอยู่กลางห้องไปพูดว่าห้องนี้เป็นอย่างไร ห้องนี้ว่าง ๆ ถ้าผู้ละเอียดยิ่งกว่านั้นเข้าไปเป็นอย่างไร มันจะว่างอย่างไร เจ้าของไปยืนขวางห้องอยู่นั้นน่ะ ถ้าอยากให้ห้องมันว่างก็ให้ออกมา พอเจ้าของโดดออกมาจากห้อง ห้องก็ว่างเต็มที่

คิดอย่างอื่นอย่างใดก็ปล่อยมา ๆ แต่ติดตัวเองก็เรียกว่าไปยืนขวางห้อง พอถอนตัวเองออกมา ตัวเองก็ถอน ตัวก็รู้ตัวเอง รู้ภายนอก รู้ภายใน ทั้งจิตใจก็รู้เท่าทันไปหมด เรียกว่าว่างหมด ในห้องนั้นไม่มีอะไรอยู่ ในจิตนี้ไม่มีอะไรอยู่ ตัวเขาตัวเรา.. เป็นอัตตานุทิฏฐิ อะไรเหล่านี้ไม่มี ว่างหมด นี่ละที่ท่านสอนพระโมฆราช ทีนี้ใครก็ตามเมื่อปฏิบัติตามโอวาทที่สอนพระโมฆราชนั้น ผู้นั้นก็เป็นพระโมฆราชขึ้นมาในทันทีทันใด สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ก็คือพระโมฆราชอรหันต์เหมือนกันหมด.. เพราะเป็นผู้ว่างเปล่าแล้วจากสิ่งทั้งหลาย ไม่มีอะไรเข้ามาแผ้วพานได้เลย นั่นละ สุญญโต โลกัง พญามัจจุราชจะตามไม่ทัน มองไม่เห็น...

ลัก...ยิ้ม 29-09-2017 11:50

เสียงบรรลือโลกธาตุ ชาติสิ้นแล้ว

ท่านเดินทางออกจากวัดป่าสุทธาวาสในตัวเมืองสกลนครแล้ว ก็ย้อนกลับสู่วัดดอยธรรมเจดีย์อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้พักอยู่กุฏิกระต๊อบหลังเล็ก ๆ อยู่บนยอดเขา เป็นกุฏิต่างจากครั้งก่อนที่เคยเกิดปัญหาธรรมผุดขึ้นในใจ

ระยะนั้นเป็นพรรษาที่ ๑๖ ในชีวิตการบวชของท่าน และเป็นปีที่ ๙ แห่งการออกปฏิบัติกรรมฐานบนเขาลูกนี้ของคืนเดือนดับ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ด้วยความอดทนพากเพียรพยายาม ติดต่อสืบเนื่องตลอดมานับแต่เริ่มออกปฏิบัติอย่างเต็มเหนี่ยวรวมเวลาถึง ๙ ปีเต็ม คืนแห่งความสำเร็จระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจของท่านก็สามารถตัดสินกันลงได้ในเวลา ๕ ทุ่มตรง ดังนี้

“... ก็พิจารณาจิตอันเดียว ไม่ได้กว้างขวางอะไร เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นส่วนหยาบมันรู้หมด รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั่วโลกธาตุมันรู้หมด เข้าใจหมด และปล่อยวางหมดแล้ว มันไม่สนใจพิจารณาแม้แต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยังไม่ยอมสนใจพิจารณาเลย


มันสนใจอยู่เฉพาะความรู้ที่เด่นดวงกับเวทนาส่วนละเอียดภายในจิตเท่านั้น สติปัญญาสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับอันนี้ พิจารณาไปพิจารณามา แต่ก็พึงทราบว่าจุดที่ว่านี้มันยังเป็นสมมุติ มันจะสง่าผ่าเผยขนาดไหนก็สง่าผ่าเผยอยู่ในวงสมมุติ จะสว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหน ก็สว่างกระจ่างแจ้งอยู่ในวงสมมุติ เพราะอวิชชายังมีอยู่ในนั้น

อวิชชานั้นแลคือตัวสมมุติ จุดแห่งความเด่นดวงนั้นก็แสดงอาการลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามขั้นแห่งความละเอียดของจิตให้เราเห็นจนได้ บางทีก็มีลักษณะเศร้าหมองบ้าง ผ่องใสบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ตามขั้นละเอียดของจิตภูมินี้ ให้ปรากฏพอจับพิรุธได้อยู่นั่นแล สติปัญญาขั้นนี้เป็นองครักษ์รักษาจิตดวงนี้อย่างเข้มงวดกวดขัน แทนที่มันจะจ่อกระบอกปืนคือสติปัญญาเข้ามาที่นี่ มันไม่จ่อ มันส่งไปที่อวิชชา หลอกไปโน้นจนได้

อวิชชานี้แหลมคมมาก ไม่มีอะไรแหลมคมมากยิ่งกว่า อวิชชาซึ่งเป็นจุดสุดท้ายว่า ความโลภมันก็หยาบ ๆ พอเข้าใจและเห็นโทษได้ง่าย แต่โลกยังพอใจกันโลภ คิดดูซิ ความโกรธก็หยาบ ๆ โลกยังพอใจโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความเกลียด ความโกรธอะไร เป็นของหยาบ ๆ พอเข้าใจและเห็นโทษได้ง่าย โลกยังพอใจกัน

อันนี้ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น มันเลยมาหมด ปล่อยมาได้หมด แต่ทำไมมันยังมาติดความสว่างไสว ความอัศจรรย์อันนี้ ทีนี้เมื่อมันมีอยู่ภายในนี้ มันจะแสดงความอับเฉาขึ้นมานิด ๆ แสดงความทุกข์ขึ้นมานิด ๆ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวาให้จับได้ ด้วยสติปัญญาที่จดจ่อต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ลดละความพยายาม.. อยากรู้อยากเห็นความเป็นต่าง ๆ ของจิตดวงนี้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องรู้กันจนได้ ว่าจิตดวงนี้ไม่เป็นที่แน่ใจ ตายใจได้ จึงเกิดความรำพึงขึ้นมาว่า

‘จิตดวงเดียวนี้ ทำไมจึงเป็นไปได้หลายอย่างนักนะ เดี๋ยวเป็นความเศร้าหมอง เดี๋ยวเป็นความผ่องใส เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวเป็นทุกข์ ไม่คงที่ดีงามอยู่ได้ตลอดไป
ทำไมจิตละเอียดถึงขนาดนี้แล้ว จึงยังแสดงอาการต่าง ๆ อยู่ได้’

พอสติปัญญาเริ่มหันความสนใจเข้ามาพิจารณาจิตดวงนี้ ความรู้ชนิดหนึ่งที่ไม่คาดไม่ฝันก็ผุดขึ้นมาภายในใจว่า

‘ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งสิ้น และเป็นอนัตตาทั้งมวลนะ’


เท่านั้นแล สติปัญญาก็หยั่งทราบจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำอยู่นั้นว่า เป็นสมมุติที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียว ไม่ควรยึดถือเอาไว้

หลังจากความรู้ที่ผุดขึ้นบอกเตือน สติปัญญาผู้ทำหน้าที่ตรวจตราอยู่ขณะนั้น ผ่านไปครู่เดียว.. จิตและสติปัญญาเป็นราวกับว่าต่างวางตัวเป็นอุเบกขามัธยัสถ์ ไม่กระเพื่อมตัวทำหน้าที่ใด ๆ ในขณะนั้นจิตเป็นกลาง ๆ ไม่จดจ่อกับอะไร ไม่เผลอส่งใจไปไหน ปัญญาก็ไม่ทำงาน สติก็รู้อยู่ธรรมดาของตนไม่จดจ่อกับสิ่งใด

ขณะจิต สติ ปัญญา ทั้งสามเป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิตอันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจได้กระเทือน และขาดสะบั้นบรรลัยลงจากบัลลังก์คือใจ กลายเป็นวิสุทธิจิตขึ้นมาแทนที่ ในขณะเดียวกันกับอวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลก แตกกระจายหายซากลงไปด้วยอำนาจสติปัญญาที่เกรียงไกร

ขณะที่ฟ้าดินถล่ม โลกธาตุหวั่นไหว (โลกธาตุภายใน) แสดงมหัศจรรย์บั้นสุดท้ายปลายแดนระหว่างสมมุติกับวิมุตติ ตัดสินความบนศาลสถิตยุติธรรม โดยวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผู้ตัดสินคู่ความ โดยฝ่ายมัชฌิมาปฏิปทา มรรค อริยสัจเป็นฝ่ายชนะโดยสิ้นเชิง ฝ่ายสมุทัยอริยสัจเป็นฝ่ายแพ้น็อกแบบหามลงเปล ไม่มีทางฟื้นตัวตลอดอนันตกาลสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าตัวเกิดความอัศจรรย์ล้นโลกอุทานออกมาว่า

‘โอ้โห ๆ ... อัศจรรย์หนอ ๆ แต่ก่อนธรรมนี้อยู่ที่ไหน ๆ มาบัดนี้ ธรรมแท้.. ธรรมอัศจรรย์เกินคาดเกินโลก มาเป็นอยู่ที่จิตและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตได้อย่างไร.. !
และแต่ก่อนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกอยู่ที่ไหน ? มาบัดนี้ องค์สรณะที่แสนอัศจรรย์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตดวงนี้ได้อย่างไร.. ? โอ้โห ! ธรรมแท้ พุทธะแท้ สังฆะแท้.. เป็นอย่างนี้ละหรือ !?’ …”

ลัก...ยิ้ม 05-10-2017 19:33

ว่างในสมาธิ ว่างในขั้นอรูปธรรม ว่างอกาลิโก

“.. ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อปัญญาพิจารณารอบคอบแล้วก็ดับไปในขณะนั้น จิตก็ลงสู่ความสงบได้อย่างเต็มที่ ในระยะเช่นนี้จะว่าจิตว่างก็ได้อยู่ แต่ว่างในสมาธิ พอจิตถอยออกมา ความว่างก็หายไป จากนั้นก็พิจารณาไปอีก และพิจารณาต่อไปเรื่อย ๆ จนจิตมีความชำนาญในด้านสมาธิ ขอสรุปความให้ย่อลงเพื่อให้พอดีกับเวลา

เมื่อสมาธิมีกำลังทางด้านปัญญา ก็เร่งพิจารณาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจนรู้เห็นชัด และสามารถถอดถอนอุปาทานของกายได้โดยสิ้นเชิง จากนั้นจิตก็จะเริ่มว่าง แต่ยังไม่แสดงความว่างอย่างเต็มที่ ยังมีนิมิตภายในแสดงภาพปรากฏอยู่กับใจ เพราะในระยะนี้ใจว่างจากกายและวัตถุภายนอก แต่ยังไม่ว่างจากนิมิตภายในของตัวเอง จนกว่าจะมีความชำนาญโดยอาศัยการฝึกซ้อมไม่ลดละ นิมิตภายในใจก็นับวันจางไป สุดท้ายก็หมด ไม่ปรากฏนิมิตทั้งภายนอกภายในใจ นั่นท่านเรียกว่าจิตว่าง ว่างชนิดนี้เป็นเรื่องว่างประจำนิสัยของจิต ที่มีภูมิธรรมประจำขั้นแห่งความว่างของตน นี่ไม่ใช่ว่างสมาธิและไม่ใช่ว่างในขณะที่นั่งสมาธิ ขณะที่นั่งสมาธิเป็นความว่างของสมาธิ แต่จิตที่ปล่อยวางจากร่างกายเพราะความรู้รอบด้วยนิมิตภายในก็หมดสิ้นไป เพราะอำนาจของสติปัญญารู้เท่าทันด้วย นี่แลชื่อว่าว่างตามฐานะของจิต เมื่อถึงขั้นนี้แล้วจิตว่างจริง ๆ แม้กายจะปรากฏตัวอยู่ก็สักแต่ความรู้สึกว่ากายมีอยู่เท่านั้น แต่ภาพแห่งกายหาได้ปรากฏเป็นนิมิตภายในจิตไม่ ว่างเช่นนี้แลเรียกว่า ว่างตามภูมิของจิตและมีความว่างอยู่อย่างนี้ประจำ ถ้าว่างเช่นนี้ว่าเป็นนิพพาน ก็เป็นนิพพานของผู้นั้นหรือของจิตนั้นขั้นนั้น แต่ยังไม่ใช่นิพพานว่างของพระพุทธเจ้า

ถ้าผู้จะถือสมาธิเป็นความว่างของนิพพาน ในขณะจิตที่ลงสู่สมาธิก็เป็นนิพพานของสมาธิแห่งโยคาวจรผู้ปฏิบัติผู้นั้นเสียเท่านั้น ความว่างทั้งสองประเภทที่กล่าวมานี้.. ไม่ใช่เป็นนิพพานว่างของพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใด ? เพราะจิตที่มีความว่างในสมาธิ จำต้องพอใจและติดในสมาธิ จิตที่มีความว่างตามภูมิของจิต จำต้องมีความดูดดื่มและติดใจในความว่างประเภทนี้ จำต้องถือความว่างนี้เป็นอารมณ์ของใจจนกว่าจะผ่านไปได้ ถ้าผู้ถือความว่างนี้เป็นนิพพาน ก็เรียกว่าผู้นั้นติดนิพพานในความว่างประเภทนี้โดยเจ้าตัวไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความว่างประเภทนี้จะจัดว่าเป็นนิพพานได้อย่างไร

ถ้าไม่ต้องการนิพพานขั้นนี้ ก็ควรกางเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ออกตรวจตราดูให้ชัดเจนและละเอียดถี่ถ้วน เพราะความว่างที่กล่าวนี้เป็นความว่างของเวทนา คือสุขเวทนามีเต็มอยู่ในความว่างนั้น สัญญาก็หมายว่าง สังขารก็ปรุงแต่เรื่องความว่างเป็นอารมณ์ วิญญาณก็ช่วยรับรู้ทางภายใน ไม่เพียงจะรับรู้ภายนอก.. เลยกลายเป็นนิพพานของอารมณ์ ถ้าพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้ชัดและความว่างให้ชัด โดยเห็นเป็นเรื่องของสังขารธรรม คือสิ่งผสมนั่นแล จะมีช่องทางผ่านไปได้ในวันหนึ่งแน่นอน เมื่อพิจารณาตามที่กล่าวนี้ ขันธ์ทั้งสี่และความว่างซึ่งเป็นสิ่งปิดบังความจริงไว้ ก็จะค่อยเปิดเผยตัวออกมาทีละเล็กละน้อยจนปรากฏได้ชัด จิตย่อมมีทางสลัดตัวออกได้

แม้ฐานที่ตั้งของสังขารธรรมที่เต็มไปด้วยสิ่งผสมนี้ ก็ทนต่อสติปํญญาไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งเกี่ยวโยงกัน สติปัญญาประเภทค้นแร่แปรธาตุจะฟาดฟันเข้าไป เช่นเดียวกับไฟได้เชื้อลุกลามไปไม่หยุด จนกว่าจะขุดรากเหง้าของธรรมผสมนี้ขึ้นได้เสียเมื่อใด.. เมื่อนั้นจึงจะหยุดการรุกการรบ เวลานี้มีอะไรที่เป็นข้าศึกต่อนิพพาน ว่างตามแบบของพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่ติดใจอยู่ในขั้นนี้และขณะนี้แลเป็นข้าศึก สิ่งที่ติดก็ได้แก่ความถือว่าใจของเราว่างบ้าง สบายบ้าง ใสสะอาดบ้าง ถ้าจะเห็นว่าใจมันว่าง แต่มันอยู่กับความไม่ว่าง ใจมันเป็นสุขแต่มันอาศัยอยู่กับทุกข์ ใจใสสะอาดแต่มันอยู่กับความเศร้าหมองโดยไม่รู้สึกตัว ความว่าง ความสุข ความใส.. นั่นแลเป็นธรรมปิดบังตัวเอง เพราะธรรมทั้งนี้คือเครื่องหมายของภพชาติ

ผู้ต้องการตัดภพตัดชาติจึงควรพิจารณาให้รู้เท่าทันและปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ อย่าหวงไว้เพื่อก่อไฟเผาตัว ถ้าปัญญาขุดค้นลงตรงที่สามจอมกษัตริย์แห่งภพปรากฏอยู่ นั้นแลจะถูกองค์การใหญ่ของภพชาติและจะขาดกระเด็นออกจากใจทันที ที่ปัญญาหยั่งลงถึงฐานของเขาตั้งอยู่ เมื่อสิ่งทั่งนี้สิ้นไปแล้วเพราะอำนาจของปัญญา นั่นแลเป็นความว่างอันหนึ่ง เครื่ีองหมายของสมมติใด ๆ จะไม่ปรากฏในความว่างนั้นเลย นี่คือความว่างที่ผิดกับความว่างที่ผ่านมาแล้ว ความว่างประเภทนี้ เราจะว่าเป็นความว่างของพระพุทธเจ้าหรือความว่างของใครนั้น ผู้แสดงไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้ว่าจะควรเป็นความว่างของใคร นอกจากจะเป็นความว่างที่รู้เห็นกันอยู่ด้วยสันทิฏฐิโกของผู้บำเพ็ญเท่านั้น

ความว่างอันนี้ไม่มีกาลสมัย เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาล ความว่างในสมาธิมีความเปลี่ยนแปลงไปได้ ทั้งด้านความเจริญและความเสื่อม ความว่างในขั้นอรูปธรรม ซึ่งกำลังเป็นทางเดินก็แปรสภาพหรือผ่านไปได้ แต่ความว่างในตนเองโดยเฉพาะนี้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพราะตนไม่มีอยู่ในความว่างนั้น และไม่ถือความว่างนั้นว่าเป็นตน นอกจากนี้ ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง เห็นตามเป็นจริงในหลักธรรมชาติแห่งความว่างนั้น และเห็นตามเป็นจริงในสภาวธรรมที่ผ่านมาเป็นลำดับ และที่มีอยู่ทั่วไปเท่านั้น แม้ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมเครื่องแก้ไขก็รู้เท่าและปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปแฝงอยู่ในธรรมชาติแห่งความว่างในวาระสุดท้ายนั้นเลย

โปรดนำความว่างทั้งสามประเภทนี้ไปพิจารณา และพยายามบำเพ็ญตนให้เข้าถึงความว่างทั้งสามนี้ เฉพาะอย่างยิ่งความว่างในวาระสุดท้ายซึ่งเป็นความว่างในหลักธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดและสมมติใด ๆ อาจเอื้อมเข้าไปทำการเกี่ยวข้องได้อีกต่อไป ความสงสัยนับแต่ขั้นต้นแห่งธรรม จนถึงความว่างอย่างยิ่ง จะเป็นปัญหาที่ยุติกันลงได้ ด้วยความรู้ความเห็นของตนเป็นผู้ตัดสินเอง...”

ลัก...ยิ้ม 11-12-2017 16:21

พระโมฆราช


“... พระพุทธเจ้าทรงสอนพระโมฆราชว่า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ที่ถือว่าเป็นเขาเป็นเรา ซึ่งเป็นเหมือนกับก้างขวางคอนี้ออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทัน มองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ พระโมฆราชก็บรรลุธรรมขึ้นในธรรมบทนี้ละ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา...”

ลัก...ยิ้ม 11-12-2017 16:43

โลกธาตุสะเทือนสะท้าน สลดสังเวชการเวียนว่ายตายเกิด

ผลแห่งความพากเพียรปฏิบัติธรรมจนถึงที่สุดของท่านในคืนนั้น ทำให้เกิดความสลดสังเวชใจในการเวียนว่ายต่ายเกิดของตน ดังนี้

“... จนถึงคืนวันดับนั้นถึงได้ตัดสินใจกันลงได้ด้วยความประจักษ์ใจ... หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องภพเรื่องชาติ เรื่องความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องกิเลสตัณหา อาสวะทุกประเภท ได้ขาดกระเด็นออกไปจากใจในคืนวันนั้น ใจได้เปิดเผยโลกธาตุให้เห็นอย่างชัดเจน เกิดความสลดสังเวช น้ำตาร่วงตลอดคืน


ในคืนนั้นไม่ได้หลับนอนเลย เพราะสลดสังเวชความเป็นมาของตน สลดสังเวชเรื่องความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะอำนาจแห่งกิเลสมันวางเชื้อแห่งกองทุกข์ฝังใจไว้ ไปเกิดในภพนั้นชาตินี้ มีแต่แบกกองทุกข์ หามกองทุกข์ ไม่มีเวลาปล่อยวาง จนกระทั่งถึงตายไปแล้วก็แบกอีก ๆ คำว่าแบกก็คือใจเข้าสู่ภพใดชาติใด จะมีสุขมากน้อย.. ทุกข์ต้องเจือปนไปอยู่นั่นแล จึงได้เห็นโทษ เกิดความสลดสังเวช

แล้วก็มาเห็นคุณค่าแห่งจิตใจซึ่งแต่ก่อนไม่เคยคิด ว่าจิตใจจะมีคุณค่ามหัศจรรย์ถึงขนาดนั้น การไม่นอนในคืนนั้นเพราะความเห็นโทษอย่างถึงใจ และความเห็นคุณอย่างถึงจิตถึงธรรม ในตอนท้ายแห่งความละเอียดอ่อนของจิต เราก็เห็นว่าอวิชชาเป็นของดีและประเสริฐไปอย่างสนิทติดจมไปพักหนึ่ง...

ลัก...ยิ้ม 06-02-2018 17:56

หลงอวิชชาอยู่เป็นเวลา ๘ เดือนไม่เคยลืม เพราะรักสงวนอวิชชาซึ่งเป็นตัวผ่องใส ตัวสง่าผ่าเผย ตัวองอาจกล้าหาญ จึงรักสงวนอยู่นั้นเสีย... ทั้ง ๆ ที่สติปัญญาก็มีเต็มภูมิ แต่ไม่นำมาใช้กับอวิชชาในขณะนั้น เมื่อได้นำสติปัญญาหันกลับมาใช้กับอวิชชาอย่างเต็มภูมิ เรื่องอวิชชาจึงแตกกระจายลงไป ถึงได้เห็นความอัศจรรย์ขึ้นมาภายในจิตใจนั้นแหละ จึงเป็นความอัศจรรย์อย่างแท้จริง ไม่อัศจรรย์แบบจอมปลอมดังที่เป็นมา...”

โลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหวเกิดขึ้น ในขณะที่ธรรมภายในใจของท่านกระจ่างแจ้งขึ้นมาดังนี้


“... อยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ หมี่นโลกธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ มีความสะเทือนสะท้านทั่วถึงกันหมดเลยไปหมื่นโลกธาตุนี้ อำนาจอานุภาพความสว่างไสวของเทวดาทั้งหลายทั้งแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอานุภาพของเทวดาตนใดจะเสมอเหมือนอานุภาพแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า.. ตรัสรู้แล้วกระจ่างแจ้งขึ้นมาในเวลานั้น

แต่เมื่อธรรมนั้นกระจ่างขึ้นมาภายในใจเราซึ่งเป็นธรรมประเภทเดียวกัน.. รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกันแล้วจะไปทูลถามผู้ใดแม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า

พูดแล้ว.. สาธุ ! ไม่กราบทูลหรือไม่ทูลถามท่านให้เสียเวลา เพราะคำว่า สันทิฏฐิโก ที่รู้เองเห็นเองนั้นเป็นธรรมที่ประกาศด้วยความเลิศเลอสุดยอดแล้ว ‘นี่เราก็ไปเจอเข้าแล้วประจักษ์ใจ ประหนึ่งว่าแดนโลกธาตุนี้ไหวไปหมด’

ในขณะที่กิเลสตัวกดถ่วงมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ตัวพาให้เกิดให้ตาย เพียงเราคนเดียวนี้ การเกิดตายของเรา หากว่าเอาประเทศไทยเป็นป่าช้าแล้วน่ะ ร่างกายของเราเพียงคนเดียวนี้ ไม่มีที่ใดที่จะเก็บจะวางศพของตัวเอง ‘มากไหม พิจารณาสิ !’

เพราะมันเกิดมันตาย มันเกิดมันตายมาไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย

จนกระทั่งคืนวันนั้นเป็นวันตัดสินขาดสะบั้นไป.. ระหว่างป่าช้าคือความเกิดตายกับใจของเราที่บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากความเกิดตาย ‘ใจกระจ่างแจ้งขนาดนั้นแล้ว โลกธาตุจะไม่หวั่นไหวได้ยังไง กิเลสมันหนักขนาดไหน ฟังซิ’

หลังจากนั้นแล้ว ความสว่างจ้าครอบโลกธาตุกลับปรากฏขึ้นในใจดวงเดียวที่เคยมืดบอดมากี่กัปกี่กัลป์ นี่แหละ..ความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าเลย เพราะหายสงสัยทุกอย่าง นี้เรียกว่าจิตมีความกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุแล้ว...”

ลัก...ยิ้ม 13-03-2018 16:00

น้ำตาร่วง สลดสังเวชและอัศจรรย์ในธรรม

ความรู้เห็นประจักษ์ใจบนดอยธรรมเจดีย์นี่เอง ทำให้ท่านถึงกับน้ำตาร่วงด้วยเหตุผลสองประการ ท่านเล่าไว้ดังนี้

“... ร่วงสองอย่าง ร่วงด้วยความสลดสังเวชภพชาติแห่งความเป็นมาของตนหนึ่ง เพราะความอัศจรรย์ในพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายที่ท่านหลุดพ้นไปแล้ว ท่านก็เคยเป็นมาอย่างนี้หนึ่ง เราก็เป็นมาอย่างนี้ คราวนี้เป็นความอัศจรรย์ในวาระสุดท้ายได้ทราบชัดเจนประจักษ์ใจ เพราะตัวพยานก็มีอยู่ภายในจิตนั้นแล้ว แต่ก่อนจิตเคยมีความเกี่ยวข้องพัวพันกับสิ่งใด บัดนี้ไม่มีสิ่งใดจะติดจะพัวพันอีกแล้ว..


เกิดความอัศจรรย์ในธรรมที่ปรากฏขึ้นโดยปราศจากสมมุติใด ๆ เข้าไปเจือปนในจิตดวงนั้น ถึงกับทำให้เกิดความขวนขวายน้อย ไม่คิดจะสอนผู้หนึ่งผู้ใด เพราะคิดในเวลานั้นว่าสอนใครก็ไม่ได้ ถ้าลงธรรมกับใจเป็นของอัศจรรย์เหลือล้นถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถรู้ได้เห็นได้ในโลกอันนี้ เพราะเหลือกำลังสุดวิสัยที่จะรู้ได้

เบื้องต้นที่เป็น ทั้งนี้เพราะจิตยังไม่ได้คิดในแง่ต่าง ๆ ให้กว้างขวางออกไปถึงปฏิปทาเครื่องดำเนิน จึงได้ย้อนกลับมาพิจารณาทบทวนกันอีก ทั้งฝ่ายเหตุคือปฏิปทา ทั้งฝ่ายผลที่ปรากฏในปัจจุบันว่า ถ้าธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่สุดวิสัยที่คนอื่น ๆ จะรู้ได้แล้ว เราทำไมถึงรู้ได้ เราก็เป็นคน ๆ หนึ่งเหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป เรารู้ได้เพราะเหตุใด ก็ย้อนเข้ามาหาปฏิปทา พิจารณากระจายออกไปจนได้ความชัดเจนว่า

‘ถ้ามีปฏิปทาคือข้อปฏิบัติแล้ว ก็จะต้องได้รู้อย่างนี้’


ท่านผู้ใดบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติให้สมบูรณ์เต็มภูมิ ดังที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้แล้ว ธรรมชาตินี้ไม่ต้องมีใครมาบอก จะรู้เองเห็นเองเพราะอำนาจแห่งมัชฌิมาปฏิปทา เป็นเครื่องบุกเบิกทำลายสิ่งที่รกรุงรังพัวพันอยู่ภายในใจ จนแตกกระจายออกไปหมด เหลือแต่ธรรมล้วน ๆ จิตล้วน ๆ ที่เป็นจิตบริสุทธิ์..”

ลัก...ยิ้ม 08-12-2018 15:15

ดำเนินตามมรรค ๘ พ้นทุกข์ได้จริง

ท่านกล่าวแสดงให้เห็นเป็นที่แน่ใจได้ว่า หากยังมีผู้พากเพียรดำเนินตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ด้วยข้อวัตรปฏิบัติ อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมรรคมีองค์ ๘ อย่างจริงจังให้สมบูรณ์เต็มภูมิแล้ว ย่อมประจักษ์ผลเป็นความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยตัวของผู้นั้นเอง ดังนี้


“... ตามธรรมดาร่างกายนี้เมื่อมีกำลังมาก ย่อมส่งเสริมกิเลสได้ดี อย่าว่าส่งเสริมจิตเลย และส่งเสริมกิเลสให้มีกำลังมากขึ้น ราคะก็เริ่มมากขึ้น ความง่วงเหงาหาวนอน ความขี้เกียจขี้คร้านก็เริ่มมากขึ้น ๆ โดยลำดับ ทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นเรื่องของกิเลสมันมากไปตาม ๆ กัน ขึ้นชื่อว่ามารเครื่องทำลายจิตใจแล้วมากไปตาม ๆ กัน อันใดที่ผิดก็ทรงแสดงบอกว่าผิด

การฝึกทรมานตนให้ลำบากเปล่า ๆ ก็ไม่ใช่ทาง เพราะกายไม่ใช่จะเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม ใจต่างหากเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม การฝึกการทรมานตนในทางกายโดยไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้องในการทำงานนั้นเลยก็ไม่เกิดประโยชน์ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ทั้งสองประเภทนี้ไม่ใช่ทาง พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนให้ละให้หยุด ...

มัชฌิมาปฏิปทา ท่ามกลาง เหมาะสม .. เป็นธรรมที่เหมาะสมตลอดเวลาในการแก้ การปราบกิเลสทุกประเภท .. ถ้าเป็นประเภทโลดโผน มัชฌิมาปฏิปทาก็โลดโผน ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปจนกิเลสหมอบราบ กิเลสประเภทกลาง มัชฌิมาก็ประเภทกลาง หมายถึงสติปัญญาประเภทกลาง เอาให้กิเลสแหลกหมอบราบไป
กิเลสส่วนละเอียดจนกระทั่งอวิชชาซึ่งเป็นสิ่งละเอียดสุดในบรรดากิเลส ไม่มีกิเลสตัวใดจะละเอียดอ่อนยิ่งกว่าอวิชชา สติปัญญาก็เป็นมหาสติ มหาปัญญา ทันกัน.. ฟาดฟันหั่นแหลกกันแตกกระจายไปหมด ไม่มีกิเลสตัวใดจะมีอำนาจนอกเหนือมหาสติ มหาปัญญา อันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาละเอียดอ่อนไปได้เลย ..


ท่านผู้ใดบำเพ็ญวัตรปฏิบัติให้สมบูรณ์เต็มภูมิดังที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้แล้ว ธรรมชาตินี้ไม่ต้องมีใครมาบอก จะรู้เองเห็นเอง เพราะอำนาจแห่งมัชฌิมาปฏิปทาเป็นเครื่องบุกเบิกทำลาย สิ่งที่รกรุกรังพัวพันอยู่ภายในใจ จะแตกกระจายออกไปหมด เหลือแต่ธรรมล้วน ๆ จิตล้วน ๆ ที่เป็นจิตบริสุทธิ์

จากนั้นจะเอาอะไรมาเป็นภัยต่อจิตใจ แม้สังขารร่างกายจะมีความทุกข์ความลำบากแค่ไหน ก็สักแต่ว่าสังขารร่างกายเป็นทุกข์เท่านั้น ไม่สามารถที่จะทับถมจิตใจให้บอบช้ำให้ขุ่นมัวได้เลย เพราะธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติ ขันธ์ทั้งหมดนี้เป็นสมมุติล้วน ๆ ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุตติ หลุดพ้นจากสิ่งกดขี่ทั้งหลายซึ่งเป็นตัวสมมุติแล้ว แล้วจะเกิดความเดือดร้อนได้อย่างไร เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เรื่องของขันธ์สลายลงไปตามสภาพมันที่ประชุมกันเท่านั้น...”

ลัก...ยิ้ม 10-12-2018 22:50

ไตรโลกธาตุชัดเจนประจักษ์ใจ


ท่านนำความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้นบนยอดเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ มาสั่งสอนลูกหลานชาวพุทธด้วยความเมตตาห่วงใย ด้วยเกรงจะลืมเนื้อลืมตัว.. ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ว่าเป็นของมีจริง ดังนี้


“... จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ก็ประจักษ์กับใจของเรา สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกิเลสที่เรารู้ประจักษ์ใจของเราคืออะไร ? คือ นรก เปรต อสุรกาย บุญบาป เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม มีหรือไม่มี.. พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไร ? ยอมรับ.. กราบอย่างราบเลย หาที่ค้านไม่ได้

เพราะสิ่งเหล่านี้มีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วนแล้ว มีมาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ ก็มารู้เห็นสิ่งเหล่านี้ นอกจากเห็นกิเลส ฆ่ากิเลสจากพระทัยของท่านแล้ว ก็มารู้เห็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกันกับความรู้ที่จะควรรู้ควรเห็นนี้เหมือนกันหมด

เพราะฉะนั้น การแสดงธรรมสอนธรรมแก่โลก ท่านจึงต้องสอนตามหลักความจริงว่า บาปมี.. เพราะบาปมีมาดั้งเดิม มาแต่กาลไหน ๆ บุญมี.. บุญเคยมีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่กาลไหน ๆ นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ยอมรับว่ามีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ แล้ว

เมื่อความรู้ความเห็นซึ่งหยั่งเข้าไปสู่จุดเดียวกันแล้ว เห็นอย่างเดียวกันแล้ว จะเอาอะไรมาค้านกัน เห็นก็เห็นอย่างกระจ่างแจ้ง ไม่สงสัย รู้อย่างกระจ่างแจ้ง อย่างอาจหาญชาญชัยตามความจริงที่มีอยู่นั้น

เวลานำมาพูดจะสะทกสะท้านที่ไหน ใครจะเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ความรู้ความเห็น ความเป็นไปนี้ไม่ได้คลาดเคลื่อนจากหลักความจริงไปเลย เป็นความจริงล้วน ๆ ...

ภพภูมิทั้งหลายนี่สำหรับสัตว์ทั้งนั้น ไม่มีช่องว่างที่สัตว์ไม่อยู่ไม่มี หมื่นจักรวาล ฟังซิ แสนจักรวาล กว้างขนาดไหนแสนจักรวาล ? จักรวาลหนึ่งกว้างขนาดไหน ? ตั้งหมื่นตั้งแสนจักรวาลโลกนี้กว้างขนาดไหนสัตว์อยู่หมด แล้วก็หมุนเกิดหมุนตายกันอยู่อย่างนั้นตลอด.. อย่างนรกอย่างนี้ ที่ท่านว่าหลุมที่มหันตทุกข์ ชั่วฟ้าแมบ (ฟ้าแลบ) นี้ไม่มีว่าเป็นความสุข เรียกว่ามหันตทุกข์ อนันตริยทุกข์ ทุกข์ไม่มีระหว่างเลย จะปล่อยช่องว่างไว้เพียงชั่วฟ้าแมบอย่างนี้ ว่าชั่วระยะนี้เป็นความสุขแก่สัตว์ประเภทที่มีกรรมหนาที่สุด ...

บาปเราก็ไม่สงสัย บุญไม่สงสัย นรกทุกหลุมไม่สงสัย สวรรค์กี่ชั้นไม่สงสัย ... ตั้งแต่ชั้นแรกจนกระทั่งถึงพรหมโลก ๑๖ ชั้น มีสุทธาวาสเป็นชั้นสุดท้าย ... นิพพานไม่สงสัย ตลอดภพภูมิต่าง ๆ พวกเปรตพวกผี เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ที่อยู่สวรรค์ชั้นนั้น ๆ พรหมโลกชั้นนั้น ๆ ตลอดพวกเปรตพวกผีที่อยู่ตามกำเนิดตามภพชาติของตน ที่เสวยกรรมตามลำดับลำดามา เราก็ไม่สงสัย ได้ประจักษ์แล้วในหัวใจนี้ ...

อย่าพากันกล้าหาญต่อบาปนะ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ทุก ๆ พระองค์สอนว่าบาปมี อย่าทำบาป บุญมี ให้สร้างคุณงามความดีเพื่อบุญเพื่อกุศล นรกมี อย่ากล้าหาญชาญชัยต่อสู้พระพุทธเจ้า อวดดิบอวดดีเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ไปลบล้างว่านรกไมมี ตายแล้วจะจมลงทันทีทันใด

ถ้าใครอาจหาญชาญชัยต่อพระพุทธเจ้า กล้าลบล้างว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ผู้นั้นแลคือผู้หมดคุณค่าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ลมหายใจยังฟอด ๆ อยู่นั้น พอลมหายใจขาดแล้วจะดีดผึงทันที ไม่ได้มีคำว่าใกล้ว่าไกล จากนี้ถึงแดนนรกกี่กิโลกี่เส้นกี่วา ไม่เคยมี พอใจขาด.. ลมหายใจขาดสะบั้นลงไปแล้ว กรรมที่ทำชั่วช้าลามกทั่งในที่ลับทั้งในที่แจ้ง เป็นกรรมโดยแท้ไม่มีที่ลับที่แจ้ง มันแจ้งขาวดาวกระจ่างอยู่ภายในใจของผู้ทำนั่นแล...”

ท่านกล่าวว่า คนตาบอดไม่เชื่อคนตาดีย่อมมีทางตกหลุมตกบ่อได้ฉันใด ผู้มีใจมืดบอดด้วยกิเลสตัณหา.. ไม่เชื่อตาใจของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ย่อมนำความล่มจมมาสู่ตนได้ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านจึงกล่าวย้ำเตือนชาวพุทธผู้ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าว่า



“... ความล่มจมจะมีแก่ผู้ไม่เชื่อนั้นแล นี่เรียกว่า สวากขาตธรรม ท่านตรัสไว้ชอบแล้วนี้ประมวลเข้ามา เรายอมรับทุกประเภทที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว ตั้งแต่บาปแต่บุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เทวบุตรเทวดา เปรตผีมี เรายอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ขณะที่กิเลสเปิดจากใจเท่านั้นสว่างจ้าขึ้นมาหมด ไม่เคยคาดเคยคิด เคยรู้เคยเห็น ว่าจะรู้จะเห็นก็เป็นขึ้นมาแบบอัศจรรย์ จึงได้อัศจรรย์ตัวเองว่า ‘เรารู้ได้ยังไง ? เห็นได้อย่างไร ?’

จิตดวงนี้แล ตั้งแต่กิเลสครอบงำอยู่มันก็เหมือนคนตาบอด อะไรจะมีอยู่มากน้อยเพียงไรมันไม่เห็น สีแสงวัตถุต่าง ๆ มองไม่เห็นแต่โดนเอา ๆ นี่จิตที่มืดบอดก็เหมือนกัน มีแต่โดนความทุกข์ความทรมาน โดนบาปโดนกรรมเรื่อยมา แล้วขั้นบำเพ็ญมา ๆ ก็ค่อยหูแจ้งตาสว่างออกไป ๆ สุดท้ายเปิดโล่งหมดทั่วแดนโลกธาตุ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ เกิดความอัศจรรย์ในตัวเองว่า
‘เรารู้ได้ยังไง ? เห็นได้อย่างไร ? สิ่งที่ไม่เคยคาดเคยคิดเคยรู้เคยเห็น ก็เห็นก็เป็นขึ้นมาประจักษ์ใจเพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าตาเรามันหลับด้วยกิเลสปิดบังเท่านั้น พอเปิดตา.. คือกิเลสออกจากใจแล้วสว่างจ้าขึ้นมา’

ก็ยอมรับ กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้...”

ลัก...ยิ้ม 12-12-2018 22:18

ฐีติภูตัง พิจารณาปัจจยาการ

“... อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณปัจจยา นามรูปัง .. ไปเรื่อย ๆ มันส่งออกมาจากจิตนี้แหละ ท่านอาจารย์มั่นท่านว่า “ฐีติภูตัง อวิชชาปัจจยา สังขารา ท่านว่า ฐีติภูตัง หมายถึงจิต อวิชชาอาศัยจิตเป็น อวิชชาปัจจยา สังขารา ขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาลงที่นั่น เพราะ อวิชชาปัจจยา สังขารา มันออกมาจากจิต เป็นขึ้นจากจิต มีจิตเป็นที่อาศัยของอวิชชา ไม่มีจิต อวิชชาอาศัยไม่ได้ จึงต้องพิจารณาลงไปที่นั่น ชำระกันที่นั่น ฟาดฟันกันลงไปที่นั่นด้วยสติปัญญาอันทันสมัย อวิชชาขาดกระจายไปหมด อวิชชายเตวว อเสสวิราค นิโรธา สังขารนิโรโธ ... เป็นต้น ทีนี้ก็ดับ ๆ ๆ ๆ เรื่อยไปจนถึง นิโรโธ โหติ

นั่น ! ในเบื้องต้นของว่า “สมุทโย โหติ พอกลายเป็น นิโรโธ โหติ อวิชชาดับ อะไร ๆ ที่เกี่ยวโยงกันก็ดับไปหมด กลายเป็นนิโรธดับทุกข์ ดับสมุทัยภายในใจอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย !

นี่เป็นขั้นสุดท้ายแห่งการสร้างบ้านสร้างเรือนมา ตั้งแต่คว้าไม้ทั้งต้นมาปลูกบ้านปลูกเรือน มาไสกบลบเหลี่ยม มาเลื่อย มาเจาะ มาสิ่ว ตามความต้องการของนายช่างคือผู้ปฏิบัติ จนกระทั่งสำเร็จขึ้นมาเป็นบ้านหลังอัศจรรย์ มีความสูง สูงพ้นโลก สง่างามขึ้นมาที่จิตใจ ย่อมมีความลำบากเป็นทางเดิน แต่สุดท้ายก็มีความอัศจรรย์อย่างยิ่งจากความลำบากนั้น ความลำบากนั้นจึงเป็นเครื่องสนับสนุนให้ผลนี้เกิดขึ้นเป็นที่พึงพอใจ ดังหลักธรรมท่านกล่าวไว้ว่า “ทุกขัสสานันตรัง สุขัง” สุขเกิดในลำดับความทุกข์ คือการประกอบงานด้วยความทุกข์เสียก่อน ก่อนจะได้รับความสุข...”

ลัก...ยิ้ม 13-12-2018 22:27

พระอัญญัตรภิกขุ

“... พระอัญญัตรภิกขุ ท่านกำลังสงสัยธรรมขั้นละเอียด จะไปทูลถามพระพุทธเจ้า พอไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฏี พอดีฝนตกก็เลยยืนอยู่ที่ใต้ถุนนั้น สังเกตดูน้ำฝนที่ตกมาจากชายคา มากระทบน้ำที่พื้นแล้วเกิดเป็นต่อมฟองขึ้นมา ฟองน้ำตั้งขึ้นมาเท่าไร มันก็ดับไปแตกไป ท่านก็พิจารณาเทียบเคียงกับสิ่งภายใน คือ “สังขาร” ความคิดปรุง เพราะขั้นนี้จิตจะพิจารณาเรื่อง “สังขาร” และ “สัญญา” ความปรุงและความสำคัญต่าง ๆ ของใจมากกว่าอย่างอื่น

ในเวลาน้ำตกลงมากระทบนั้น นอกจากมีความกระเพื่อมแล้ว ก็ตั้งเป็นต่อมขึ้นมา เป็นฟองขึ้นมา แล้วดับไป ๆ ท่านก็พิจารณาเทียบเคียงเข้าไปภายใน คือความคิดปรุงของจิต คิดดี คิดชั่ว มีความเกิดความดับเป็นคู่เคียงกันไปเป็นลำดับ ๆ เสร็จแล้วก็กลายลงมาเป็นน้ำตามเดิม

สังขารนี้เมื่อคิดปรุงเสร็จแล้วก็ลงไปที่จิตตามเดิม ท่านเลยบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในสถานที่นั้นเอง พอบรรลุธรรมแล้วฝนก็หยุด ท่านก็กลับไปกุฏี ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีกเลย เพราะหมดข้อสงสัยแล้ว เป็นสันทิฏฐิโก...”

ลัก...ยิ้ม 15-12-2018 00:45

พิสูจน์ตายแล้วสูญด้วยจิตภาวนา

“... การพิจารณาในอาการต่าง ๆ ของร่างกายด้วยปัญญา ย่อมเห็นตามเป็นจริงไปโดยลำดับ และถอนอุปาทานในร่างกายไปพร้อม ๆ กัน จนถึงขั้นปล่อยวางรูปกายได้

จิตก็นับวันเด่นดวงและเป็นตัวของตัวยิ่งขึ้น เพราะกระแสของจิตรวมเข้าสู่จุดเดียว จำพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นอาการหนึ่ง ๆ ของจิต ก็พิจารณาในลักษณะเดียวกันกับกาย คือโดยทางไตรลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสามไตรลักษณ์จนเป็นที่เข้าใจด้วยปัญญา ใจย่อมปล่อยวางได้อย่างหายห่วง

ตอนนี้แล ผู้ปฏิบัติจะทราบได้ชัด เรื่องรวงรังแห่งภพแห่งชาติ และอุปาทานในขันธ์ได้ถูกถอนไปหมดแล้ว ยังเหลือเฉพาะตัวภพ ที่ติดแนบราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใ

สติปัญญาอัตโนมัติที่แหลมคมทุกด้าน.. ขุดค้นลงที่จุดอันเป็นตัวภพนั้นไม่หยุดยั้งราวกับธรรมจักรหมุนรอบตัว และโค่นตัวภพนั้นลง.. เผาด้วยมหาสติ มหาปัญญา ไม่มีซากสมมุติแม้ปรมาณูเหลืออยู่ภายในใจเลย

ท่านผู้นี้รู้แล้ว รื้อแล้วซึ่งรวงรังแห่งภพชาติ ขาดกระเด็นอย่างไม่มีร่องรอยสมมุติเหลืออยู่เลย ด้วยการพิสูจน์โดยทางจิตภาวนา ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกพาดำเนินมา เมื่อถึงที่นี่แล้วเป็นอันว่าพ้นภัยทั้งมวล ไม่มีอะไรกวนใจอีกต่อไปตลอดอนันตกาล

ท่านผู้ใดอยากรู้อยากเห็นว่า จิตตายแล้วเกิดอีก หรือตายแล้วสูญ กรุณาพิสูจน์ทางด้านจิตภาวนาอันเป็นหนทางให้เข้าถึงความจริง ความจริงมีอย่างไร ! ภายในจิตจะทราบเองด้วยจิตภาวนา ซึ่งถึงขั้นที่ควรรู้ควรเห็น ไม่มีใครและอะไรมาปิดบังไว้ได้ นอกจากกิเลสของตัวปิดบังตัวเองเท่านั้น จะไปตำหนิใครได้ลงคอเล่า

ถ้าต้องการรู้ความจริง คือตายแล้วเกิดอีก หรือตายแล้วาสูญ ที่มีอยู่กับทุกคน จึงควรค้นคิดด้วยทางจิตภาวนา ไม่ควรฝืนคิดโดยลำพังตัวเอง กลัวจะถูกกิเลสพันหนักเข้าจนกลายเป็นแหพันลิง ลิงตัวคะนองอยู่ไม่เป็นสุข มือคว้าเอาแหเข้ามาทอดลงในน้ำ สุดท้ายลิงตัวคะนองเลยกลายเป็นปลาที่ถูกแหพันตายเปล่า ๆ ...”

ลัก...ยิ้ม 15-12-2018 23:38

สุญญกัป

“... ท่านกล่าวไว้ในธรรมว่า พุทธันดรหรือสุญญกัป ก็หมายถึงความว่างเปล่าจากศาสนา พุทธันดร หมายถึง ระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่จะมาตรัสรู้ นั่นก็ว่างจากศาสนา ... ภัทรกัป แปลว่ากัปที่เจริญ ..

กัปหนึ่ง ๆ นั้นมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทีละองค์บ้าง ทีละสององค์บ้าง สามองค์บ้าง ถ้าเป็นภัทรกัป กัปใหญ่ก็มาตรัสรู้ถึง ๔ – ๕ องค์ ดังภัทรกัปของเราทุกวันนี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ คือ พระอริยเมตไตรย เป็นองค์ที่ ๕ นี้เรียกว่ากัปหนึ่ง ๆ พอสิ้นกัปนี้แล้วก็เป็นสุญญกัป

ในสุญญกัปนั้นแล เป็นกัปที่สัตว์โลกทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ไม่มีน้ำ ไม่มีเครื่องเยียวยารักษาเลย มีแต่ความทุกข์ความทรมานล้วน ๆ จนกว่าว่ากัปนี้ผ่านไป กัปหน้าผ่านมาแล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ถึงจะได้สร้างคุณงามความดี ถึงจะได้ค่อยรอดพ้นไปได้ บรรดาสัตว์ที่รออยู่แล้วก็เลยรอดพ้น ในเวลาที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ นี่ พวกเราทั้งหลายก็ได้เกิดมาอยู่ในภัทรกัป คือกัปของพระพุทธเจ้า พระสมณโคดม จากนี้ไปก็จะเป็นพระอริยเมตไตรยมา...

ลัก...ยิ้ม 16-12-2018 13:14

ศพคน ๆ เดียว ประเทศไทยไม่พอ

เรื่องการเกิดตายของคนแต่ละคน ๆ นี้ ท่านเคยกล่าวอย่างถึงใจให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด และรีบเร่งขวนขวายสร้างคุณงามความดีใส่ตนให้มาก ดังนี้


“... การเกิดการตายนี้ เกิดตายทับถมกันมานี้ สักเท่าไร ๆ แต่ละศพแต่ละคน ๆ มันรู้ไปหมด เวลามันรู้นะ เอาให้มันจริง ๆ จัง ๆ อย่างนี้เลยนะ มันจึงขยะแขยง

‘โห..มันผ่านของมันออกแล้ว มันก็ยังขยะแขยงอยู่นะ โถ ! แต่เวลามันจมอยู่ มันไม่ขยะแขยงนะ บืนอยู่อย่างนั้น เวลามันผ่านออกมาแล้ว มันถึงได้เห็นโทษของมัน ขยะแขยงนะ’

คนหนึ่งสัตว์ตัวหนึ่ง ๆ นี้ ถ้าไม่มีบุญไม่มีกุศลแล้วไม่มีความหมายเลย วนเวียนตายเกิด ตายสูงตายต่ำ ตายเกิดอยู่อย่างนั้นตลอด ตลอดกี่กัปกี่กัลป์ คนหนึ่ง ๆ นี้เอามากอง.. ประเทศไทยนี้ไม่พอกอง ศพของคนคนหนึ่งที่ตายเกิด ๆ เป็นสัตว์ประเภทใดก็ตามมารวมกันนี้

เพียงคนคนเดียวเท่านั้นทั่วประเทศไทยเรานี้ หาที่กองศพไม่มีเลย นานขนาดไหน กี่กัปกี่กัลป์ที่ตายเกิดตายทับกองกันอยู่นี่น่ะ เรียกว่าตายกองกัน ล้วนแล้วตั้งแต่จิตนี่ออกไปร่างนั้นแล้วเข้าสู่ร่างนี้ เข้าสู่ร่างไหนก็ว่าเกิด ร่างไหนหมดสภาพก็ว่าตาย ๆ ว่าเกิดว่าตาย ๆ มันหากหมุนของมันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา นี่ละวัฏวนวัฏจักร...

สิ่งที่มาแก้คืออะไร บุญกุศลเราสร้างมากน้อยเท่าไร ๆ มารวมกัน แล้วค่อยแก้ไปแก้มา แก้มาก ๆ เข้า.. บุญกุศลก็มากเข้า ความหนาแน่นของการแก้ก็หนาแน่นเข้า ๆ อันนี้ก็ค่อยจางไป ๆ ก็สว่างจ้าออก สว่างจ้าก็ดีดผึง ๆ เลย

นี่ละพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ มองดูหัวใจสัตว์โลกที่เขาไม่มีศาสนา คือเขาไม่ได้มองดูหัวใจเลย เขาดูแต่วัตถุเท่านั้น...”

ลัก...ยิ้ม 17-12-2018 22:23

จิตวิญญาณมีจริง

ท่านกล่าวยืนยันเรื่องจิตวิญญาณว่าเป็นของมีจริงดังนี้


“... จิตวิญญาณอยู่บนฟ้าอากาศเต็มไปหมด เราเห็นได้ที่ไหน เห็นแต่นกมันบินมาบนฟ้าเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของสัตว์ที่เต็มยั้วเยี้ย ๆ อยู่ทั้งในน้ำบนบกมีทั่วไปหมด จิตวิญญาณไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค กรรมพาไปไหนไปได้หมด เกิดได้หมดทั้งนั้น เสาะแสวงหาเรื่องบาปเรื่องบุญนี้มันมีอยู่กับใจ บังคับให้ไปเกิดได้หมด...

จิตดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่เคยฉิบหายแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าพูดถึงเรื่องวัตถุต่าง ๆ ในแดนโลกธาตุนี้ว่าอันไหนมากกว่าอะไร ไม่มีอะไรจะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตว์โลก เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ใต้ดิน เหนือดิน มีเต็มหมดเลย อันนี้มากที่สุดคือจิตวิญญาณของสัตว์โลก เพราะมันไม่เคยสูญนั่นเอง มันเต็มอยู่นี่ ครองภพ ครองชาติ อยู่ทุกแห่งทุกหนตามเพศตามภูมิ

อย่างที่เราเป็นมนุษย์ก็เห็นกันอยู่ ไม่เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ ก็เห็นกันอยู่อย่างงั้น เป็นไก่ เป็ด นก ปลา เป็นอะไรเราก็เห็นกันอยู่อย่างนั้น ที่ละเอียดกว่านั้นมันก็มี อยู่อย่างเดียวกันนี้เลย ไม่ได้ผิดกัน มันมีอยู่ตามสภาพของตน ๆ เป็นแต่เพียงว่าเราสามารถสัมผัสสัมพันธ์ รู้เห็นได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง นั่นก็เป็นอย่างนั้นละ

มันมีภพละเอียด หยาบ.. หยาบต่างกัน อย่างพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม พวกเปรต พวกผี ก็เหมือนกับเรานี่มีภพมีชาติเป็นกำเนิด.. ที่เกิดของตัวเองด้วยวิบากกรรมดีชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน สัตว์โลกที่เกิดขึ้นมาด้วยกัน อย่าตำหนิกันด้วยชาติชั้นวรรณะ สถานะสูงต่ำอย่าไปตำหนิกัน ...

ตั้งแต่แดนมนุษย์ไปจนกระทั่งถึงสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน นี้เป็นแดนแห่งคนมีบุญ คนมีบาปไปไม่ได้ ในสวรรค์แม้แต่ชั้นจาตุมฯ นี้ก็เหมือนกัน เทวบุตรเทวดาเต็มอยู่ในชั้นจาตุมฯ เพียงชั้นแรกชั้นจาตุมฯ ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี เป็นชั้น ๆ นี้ ไม่ว่าชั้นไหน เข้าไปถามดูตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์นี้ พวกเทพทั้งหลาย เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม อยู่ด้วยกองกุศลของตนที่ไปเสวยความดีอยู่นั้น เราไปหาค้นดูว่าในสถานที่นี่มีคนชั่วช้า ลามก นรกจกเปรต ไปทำความชั่วช้าให้แก่สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไป.. ตายแล้วเขาได้มาขึ้นสวรรค์ในที่นี่มีไหม ? ไม่มีแม้รายเดียว ..

ในตำราแสดงไว้ว่า นรกนั้นมีถึง ๒๕๖ หลุม ตั้งแต่หลุมที่เป็นมหันตทุกข์หนักที่สุดจนถึงหลุมสุดท้าย นี่เรียกว่านรก ๒๕๖ หลุม ... แล้วปลีกย่อยยังมีอีกเยอะ ส่วนใหญ่มี ๒๕๖ หลุม ..

สวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมฯ ขึ้นไปถึงชั้นที่หกคือปรนิมมิตวสวัตดี นี่คือสวรรค์ ๖ ชั้น แล้วพรหมโลกอีก ๑๖ ชั้น จากนั้นก็เป็นนิพพาน เหล่านี้ทรงรู้แจ้งแทงทะลุเห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นก็พวกเปรต ผีประเภทต่าง ๆ สัตว์ทั่วโลกดินแดนในไตรโลกธาตุนี้...”

ลัก...ยิ้ม 18-12-2018 22:13

กิเลสหลอกว่า “ตายแล้วสูญ”

มีคนจำนวนมากยังเข้าใจว่า เมื่อสิ้นใจตายไปแล้วก็สูญสิ้นจบกันเท่านั้น แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนย้ำเสมอ ๆ ว่า


“... สัตว์ที่ว่าตายเกิด ๆ มันไม่มีที่ไป เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สูญ มันหากหมุนหากเวียนกันออกจากนี้ไปเป็นสัตว์ เป็นเทวบุตรเทวดา ไปเป็นอินทร์ เป็นพรหมก็มี เป็นเปรต เป็นผีก็มี เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่อย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว จิตวิญญาณดวงนี้ตายไม่เป็น

เพราะฉะนั้น คำว่าตายแล้วสูญถึงขัดกันเอาอย่างมากทีเดียว เป็นกลมายาของกิเลสโดยตรงที่หลอกสัตว์โลกให้ทำชั่ว เพราะถ้าว่าตายแล้วสูญแล้วไม่มีเงื่อนไขสืบต่อ อยากทำอะไรก็ทำ ความอยากทำคือทางเดินของกิเลสอยู่แล้ว ก็ทำตามความอยาก ตายลงไปแล้วไม่สูญละซิ ก็เสวยกรรมอยู่นั้น

อะไรจะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตว์โลก เต็มอยู่ในโลกอันนี้เพราะมันไม่สูญ.. หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตามอำนาจของกรรม เกิดเป็นนั้นเป็นนี้อยู่อย่างนั้น ตายแล้วก็เกิด ๆ ตายกองกัน พวกนี้พวกตายกองกัน กองทับเขากองทับเราอยู่อย่างนั้น..ไม่มีทางไป

เพราะจิตวิญญาณไม่สูญ มีเต็มท้องฟ้าอากาศ ที่ไหนเต็มไปหมด ไม่มีอะไรมากยิ่งกว่าธรรมชาติอันนี้ หนาแน่นที่สุด นี่ละเรียกว่ากรรมของสัตว์ คือพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็มากวาดเอาดวงวิญญาณเหล่านี้ ที่ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเทวบุตรเทวดาแล้ว ก็ถอดออกไป ๆ พ้นไป ๆ

ใครจึงให้สร้างความดีซิ ถ้าอยากพ้นไปตามพระพุทธเจ้าให้สร้างความดี มันเปลี่ยนเรื่อยนะ จิตวิญญาณนี่ เปลี่ยนเป็นภพนั้นชาตินี้ตามอำนาจของกรรม หมดกรรมนี้แล้วก็มีกรรมนั้นต่ออีก ภพนั้นสืบภพนี้ไปเรื่อย กรรมหนักกรรมเบามีอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้นละ ... กรรมพาไปไหนไปได้หมด เกิดได้หมดทั้งนั้น เสาะแสวงหาเรื่องบาปเรื่องบุญนี้มันมีอยู่กับใจ บังคับให้ไปเกิดได้หมด เพราะฉะนั้น จึงอย่าพากันกล้าหาญ ไม่มีอะไรจะเป็นอุปสรรคต่อกรรมดีกรรมชั่วได้ กรรมดีกรรมชั่วนี้ไสเข้าไปได้หมดเลย ที่ท่านว่าไม่มีอานุภาพใดเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วไปได้ คือครอบโลกธาตุ...

ลัก...ยิ้ม 19-12-2018 22:14

กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบ

ความรู้ความเห็นที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่คืนอัศจรรย์บนวัดดอยธรรมเจดีย์เป็นต้นมา ทำให้ท่านกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบ และกราบยอมรับยืนยันในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเมตตาแสดงไว้ทุกอย่าง ไม่มีที่คัดค้าน ไม่มีอะไรติดข้องภายในใจเลย ท่านกล่าวอย่างเด็ดถึงขนาดว่า


“... หากว่าผู้ใดจะมาตัดคอเราถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้าว่า บาปบุญนรกสวรรค์มีแล้วจะตัดคอ.. เรายอมให้ตัดเลย แต่ความเชื่อที่ประจักษ์หัวใจนี้ไม่ยอมตัด เราจะตายทั้ง ๆ ที่คอขาดก็ไม่เสียดาย เพราะเราได้รู้ได้เห็นอย่างนั้นจริง ๆ นี่แหละศาสนาพุทธ เปิดเผยมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว สอนชาวเราทั้งหลาย กิเลสมันก็ปิดมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ให้สัตว์ทั้งหลายลุ่มหลงงกงันไปตามมัน ให้ได้รับความเดือดร้อนมากมาย.. ให้เชื่อเถิด..ถ้าไม่อยากจม..ให้เชื่อพระพุทธเจ้านะ

ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาชั้นเอก ไม่มีอะไรเหมือนแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรู้ ทรงเห็น เป็นจิตที่บริสุทธิ์.. พุทโธสว่างจ้าครอบโลกธาตุแล้วจึงมองเห็นได้หมด เรียกว่าโลกวิทู เมื่อจิตได้เข้าถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธแล้ว จะสว่างจ้า แม้จะไม่ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนพระพุทธเจ้าก็ตาม

พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีใบดก ใบหนาชุ่มเย็น แผ่กระจายกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างกว้างขวาง แม้ต้นไม้อื่น ๆ จะไม่กระจายกิ่งก้านสาขาออกไปกว้างขวางอย่างต้นไม้ของพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่ก็เต็มกำลังแห่งกิ่งก้านสาขาของตนที่แผ่กิ่งก้านออกไปนั่นเอง

นี่ความรู้ของพระพุทธเจ้า.. เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านออกไปสู่แดนโลกธาตุสุดแดนสมมุติ แต่ความรู้ความเห็นของพระสาวกผู้ที่มีความเชี่ยวชาญยังมีอีก ก็ลดกันลงมา ๆ แต่จะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย.. กระจ่างแจ้งด้วยกันหมด นอกจากท่านจะพูดหรือท่านไม่พูดเท่านั้น นี่เป็นโอกาสที่ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ก็เกี่ยวกับเรื่องการช่วยชาติ แต่ก่อนเราไม่เคยพูด รู้ก็รู้ เห็นก็เห็น ประจักษ์มาตั้งแต่ที่กล่าวนั่นแหละ .. วัดดอยธรรมเจดีย์...”

ลัก...ยิ้ม 20-12-2018 22:51

มืดเพียงใด พากเพียรไปก็สว่างได้

ความสำเร็จขั้นสูงสุดในชีวิตนักบวชของท่านในครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจากความพากเพียรอุตสาหะอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่เมื่อครั้งเป็นฆราวาสอยู่นั้น ท่านไม่รู้จักเรื่องบุญกรรมมาก่อนแต่อย่างใด แต่ด้วยท่านมีนิสัยรักเคารพในเหตุผลอรรถธรรมเป็นพื้นฐานมาแต่เดิม ชีวิตของท่านจึงเปลี่ยนแปลงไป ท่านกล่าวไว้ดังนี้


“...เราอ่านเรา.. ที่อ่านมาเพื่อเป็นคติสอนพี่น้องทั้งหลาย คือเราอ่านตัวเราเองมาโดยลำดับตั้งแต่เริ่มแรกเลย ไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย มันก็เห็นชัด ๆ ในใจของเรา คือไม่รู้จักบุญจักบาป มีแต่ความอยากได้ สมมุติไปหากินนี้ ไปหาอะไรบ้างที่มันจะได้.. เห็นสัตว์ฆ่าสัตว์ เห็นปลาเอาปลา เห็นไก่เอาไก่ เห็นอะไรเอาทั้งนั้นเพราะอยากได้

มันไม่ได้คำนึงถึงบาปถึงบุญ นั่นละ ดูพื้นฐานของจิต นี่เป็นพื้นฐานของจิตในขั้นนั้น ว่างั้นเถอะ คือว่าไม่ได้สงบเรื่องบาปเรื่องบุญอะไรเลย มีแต่ความอยาก ไปหาอะไรก็อยากได้อันนั้น ไปหากินมันก็ไม่พ้นที่จะฆ่าสัตว์ เห็นสัตว์ตัวใดเอาทั้งนั้นล่ะ

จากนั้นก็มาบวชเป็นพระ นี่ละ ความรู้สึกทางด้านจิตใจเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนมาบวชเป็นพระนะ แต่ก่อนเป็นธรรมดา แต่อันหนึ่งที่เป็นนิสัยจิตใจอยู่นั่น.. ความเคารพพระ เลื่อมใสพระและเชื่อศาสนา มันฝังอยู่ในจิตเลย เห็นพระคือไม่อยากพบ ไม่อยากเข้าไปหาใกล้ อายท่าน อายกับกลัวเป็นสิ่งอันเดียวกัน ไม่ค่อยจะเข้าไปหาพระ

ที่ไม่เข้าไปหาคืออายท่าน ลักษณะอายกับกลัวมันอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่เจอหน้ากันจริง ๆ แล้ว ไม่ค่อยได้พบพระ นอกจากจะไปเจออย่างจัง หลีกไม่ได้ ก็หมอบกราบสักที นี่พื้นใจนะ พื้นของจิตที่มันเป็นของมันในหลักธรรมชาติ ธาตุดั้งเดิมมันเป็นอย่างนั้น ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องบาปเรื่องบุญอะไร นี่เป็นเรื่องความอยาก อยากได้อะไรก็ไปตามความอยาก ไม่ได้สนใจกับคำว่า “บาป” ว่า “บุญ” อะไร

ถึงวาระจะบวชล่ะ นี่ก็อ่านมาตลอด นี่ละ คำว่า “สายบุญสายกรรม” มันเป็นที่แน่ใจเจ้าของ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยจนว่ามันจะไปจริง ๆ ก็มีนะ ป่วยบางครั้งหนักมาก แต่สติยังดีอยู่เวลาเป็นไข้หนักนั่นล่ะ ตอนใกล้จะบวช พอหายป่วยแล้วก็ออกบวชปีนั้นล่ะ ป่วยหนักเสียด้วย จากนั้นมาประหวัดเกี่ยวกับเรื่องบวชหนักเข้านะ

‘เอ.. เราจะตายแล้วจริง ๆ เหรอ ? ยังไม่ได้บวชพอมีบุญติดเนื้อติดตัวเลยเหรอ ?’ เป็นคำนึกน้อมในใจว่า ‘ขอให้โรคนี้ หายโรคหายภัย ขอให้ได้บวช..

แล้วมันก็แปลกนะ โรคนี้มันจะตายอยู่แล้วนะ มันก็หายวันหายคืน ทีนี้ออกมาบวชมันเหมือนกับว่ามีอะไรช่วยนี่ เวลาบวชก็ง่ายมาก ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคเลยเกี่ยวกับเรื่องการบวช อย่างอื่นขัดข้องหมด เกี่ยวกับเรื่องบวชโล่งไปเลย นี่อะไรน่าคิด...

เวลาบวชเราก็เป็นนิสัยอันนี้ด้วย จริงจังมาตลอด จะเป็นฆราวาสก็จริงตลอด เป็นพระมีหลักธรรมวินัยเป็นเครื่องประกัน เป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะแล้วมันก็ยิ่งแน่น แม่นยำ ติดแน่นกับหลักธรรมหลักวินัย

การอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย การอ่านหนังสือนี้สำคัญมาก เราได้มานำพี่น้องทั้งหมดทุกวันนี้ เพราะหนังสือประวัติพระพุทธเจ้า และประวัติพุทธสาวก อ่านแล้วจิตหมุนติ้ว ปลุกจิตใจได้ถึงขนาดนี้.. นี่เรียนหนังสือไปเรียนไป เอะใจไปเรื่อย เรียนหนังสือธรรมะ เรียนไป ๆ เอะใจเรื่อย


‘เอ๊ะนี่.. ท่านตำหนิว่ายังงั้น เราก็เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว เอ๊ะเรื่อย ๆ นะ ให้สะดุ้งเรื่อยไป’

ในเรื่องภาวนาไม่ละนะ นี่อันหนึ่งมันแปลกอยู่ เลื่อมใสพระกรรมฐาน เราอยู่เรียนหนังสือ ถ้าเห็นพระกรรมฐานมาพักในวัดเรานี่ เราจะไปถึงก่อนใครล่ะ ไปคุยกับท่าน ท่านคุยน่าฟังนะ ติดใจ ชอบกรรมฐาน ภาวนาก็ไม่ลดละ ภาวนาอยู่เงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ ทำอยู่แบบนั้นละ ...

นี่อันหนึ่งฝังใจ ฝังนิสัย เรียนหนังสืออยู่กับพวกลิงพวกค่าง เขาไม่รู้ภาษีภาษาอะไร กิริยาท่าทางก็เป็นไปเหมือนเขา แต่ส่วนลึกในหัวใจเรานี้คือ เรื่องภาวนานี้ เราไม่ละ “ธรรม” เป็นหลักใจ ไม่ลดละ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีคำว่าล่วงเกินสิกขาบทวินัยด้วยเจตนาอันลามก...”

ลัก...ยิ้ม 21-12-2018 23:19

คูหาสยัง หทยัง

“... จิตนั้นอยู่ตรงกลาง และอยู่ในหัวใจเป็นที่อันหนึ่งของจิต ท่านว่า คูหาสยัง หทยัง ในหัวใจมันอยู่ตรงกลาง ในเวลาจิตสงบ เริ่มจากสงบเข้าไป ๆ มันก็รู้อยู่ภายใน ๆ นี่ไม่ได้มารู้ข้างบนนะ มันเป็นอยู่ข้างในตรงกลาง ๆ นี้ จนกระทั่งถึงความสว่างไสว

ไม่ว่าขั้นของสมาธิที่สงบตัวก็อยู่ตรงนี้ ขั้นของปัญญาที่เบิกอะไรต่ออะไรออกก็สว่างไสวอยู่ภายในนี้ ละเอียดเข้าไปขนาดไหนก็อยู่ตรงกลาง ๆ ตลอดเลย ไม่ได้เคยปรากฏว่าอยู่บนสมอง นอกจากเรียน นั่นเห็นได้ชัด(เวลา)เรียน ว่าสมองทำงานจริง ๆ ภาคภาวนานี้ไม่มีขึ้นสมองเลย อยู่ตรงกลาง...”

ลัก...ยิ้ม 21-12-2018 23:37

พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท

“...อสงไขย แปลว่านับไม่ได้... ถ้าเราเทียบก็ไปยุติกันที่ล้าน ๆ ทุกวันนี้เอาล้านเป็นประมาณ พอไปถึงล้านก็หนึ่งล้าน สองล้าน สามล้านไปเลย อันนี้ไปถึงนั้นก็เรียกว่าหนึ่งอสงไขย สองอสงไขย สามอสงไขยไปเลย พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท... ประเภทแรก ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป ประเภทสอง ๘ อสงไขยแสนมหากัป ประเภทสาม ๔ อสงไขยแสนมหากัป

พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท ความตรัสรู้เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์เสมอกันหมด แต่อำนาจวาสนาบุญญาธิสมภารของพระพุทธเจ้าเป็นไปตามประเภท ประเภทที่หนึ่ง การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกนี้ได้กว้างขวางมากมายทีเดียว ประเภทที่สองก็ลดลงมา พระพุทธเจ้าเรานี้เป็นประเภทที่สาม ขนสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ได้น้อยกว่าสองประเภทเบื้องต้น ...

พระพุทธเจ้าองค์ที่ล่วงมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนก็มีแบบเดียวกัน ตรัสรู้ธรรมแบบเดียวกัน รู้เห็นธรรมแบบเดียวกัน จึงสอนโลกแบบเดียวกัน ไม่มีศาสดาองค์ใดแหวกแนวที่จะตรัสรู้ต่างกัน และรู้เห็นความจริงทั้งหลายแตกต่างกัน .. ทรงรู้ตามสิ่งนั้น ๆ แบบเดียวกัน การแนะนำสั่งสอนอบรมให้บำเพ็ญคุณงามความดีเพื่อเป็นกำลังปราบปรามความชั่ว หรือโรคร้ายทั้งหลายที่มีอยู่ในจิต ก็ทรงสั่งสอนแบบเดียวกัน ...

ที่ต่างกันพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้แล้ว เช่น บางองค์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปีบ้าง ๖๐,๐๐๐ ปีบ้าง พระพุทธเจ้าของเรามีอายุ ๘๐ ปี การลงอุโบสถสังฆกรรมของพระสงฆ์ นับเวลาตั้ง ๗ ปีถึงประชุมสงฆ์ลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์เสียหนหนึ่ง พระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็ ๑ ปีหรือ ๖ เดือน ถึงจะลงอุโบสถหนหนึ่ง พระสงฆ์ก็กลมเกลียวกันดี ไม่มีแตกร้าว ไม่มีอธิกรณ์อะไรเกิดขึ้น สำหรับพระพุทธเจ้าของเรา ๑๕ วันลงอุโบสถ คือการประชุมสวดปาฏิโมกข์ท่ามกลางสงฆ์หนหนึ่งเรื่อยมา ... อานุภาพแห่งพระพุทธเจ้ามีแตกต่างกันอยู่บ้างท่านก็แสดงไว้ .. นอกนั้นเหมือนกันหมด

สัพพปาปัสสะ อกรณัง การไม่กระทำบาปทั้งปวงหนึ่ง กุสลัสสูปสัมปทา การยังกุศลคือความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง สจิตตปริโยทปนัง การยังจิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์หนึ่ง เอตัง พุทธาน สาสนัง นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านสอนอย่างนี้เหมือนกันหมด จากนั้นท่านก็ขยายความออกไปว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกเข จ สังวโร ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำลายผู้อื่น สำรวมในปาฏิโมกข์ มัตตัญญุตา จ ภัตตัสมิง รู้จักประมาณในการขบการฉัน ปันตัญจะ สยนาสนัง ให้แสวงหาอยู่ในสถานที่วิเวกสงัด เอตัง พุทธานะ สาสนัง อีกเหมือนกัน นี่ก็เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อธิจิตเต จ อาโยโค การกระทำจิตให้ยิ่ง นี่ก็เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ไม่มีอะไรผิดแปลกกันเลย บาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เหล่านี้ ท่านสอนแบบเดียวกันหมด...

ลัก...ยิ้ม 22-12-2018 22:10

เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ แล้ว ??

“... ผู้บำเพ็ญธรรมจะรู้วิถีจิตของตน เวลาลำบาก ๆ ล้มลุกคลุกคลาน ถึงกาลเวลาที่มันค่อยเป็นค่อยไป มันค่อยเป็นค่อยไปของมัน ต่อจากนั้นก็หมุนไปเองเลย หมุนไปเอง ๆ เริ่มเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากนั้นก็สติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรโดยลำพังตัวเองนี้เต็มตัว ๆ อยู่ที่ไหนไม่ขาดเลย ตื่นขึ้นมาปั๊บความเพียรเป็นแล้ว ๆ จนก้าวเข้ามาสู่มหาสติมหาปัญญา กิเลสมองแทบไม่เห็นนะ ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี้มองดูกิเลสทั้ง ๆ ที่มีอยู่เหมือนไม่มีนะ เพราะอำนาจของมหาสติมหาปัญญารุนแรงมาก โผล่ไม่ได้...ขาดสะบั้นเลย

นั่นเห็นไหม ?...เวลาธรรมมีกำลัง กิเลสโผล่ไม่ได้ ขาดสะบั้นไปเลย แต่เวลากิเลสมีกำลัง.. สติตั้งขึ้นมาปั๊บก็ล้มผล็อยขาดสะบั้น เข้าใจไหม ? สติปัญญาขาดสะบั้น กระแสกิเลสฟาดเอาขาดสะบั้น ทีนี้พอเราฝึกซ้อมจิตใจของเราให้สติดี ความเพียรดีแล้ว เข้าไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว กิเลสก็ขาดสะบั้น มันแก้กันอย่างนั้น เห็นอยู่ในหัวใจของเรา ยิ่งเป็นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว กิเลสมองดูแทบไม่มีนะ มันว่างไปหมด...แทบไม่มี แต่ดีที่ไม่เคยสำคัญตนว่าได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่กิเลสส่วนละเอียดยังมีอยู่ ไม่เคยสำคัญ ถ้ามีอยู่ละเอียดก็ยอมรับว่ามี ๆ อยู่อย่างนั้น

บางทีถึงได้คิดขึ้นมาว่า หือ.. มันเป็นยังไงกิเลส มันม้วนเสื่อไปหมดแล้วเหรอ ! ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ! ว่าเฉย ๆ แต่ยังไม่ได้สำคัญตนว่าเป็นอรหันต์น้อย เพราะตอนนั้นมันว่าง.. กิเลสไม่โผล่ อำนาจของสติปัญญามันรุนแรง จากนั้นพอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจริง ๆ แล้ว สันทิฏฐิโก ขั้นสุดยอดมาพร้อมกันเลย ทีนี้อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่ถามถึงเลย อรหันต์น้อยก็ไม่มี อรหันต์ใหญ่ก็ไม่มี มีแต่สันทิฏฐิโกขั้นสุดยอดในจิต นั่นละ..บริสุทธิ์แล้วเป็นธรรมธาตุ ผางขึ้นมาทีเดียวหมดเลย

จากนั้นแล้วไม่ได้รบละ จะรบกับกิเลสตัวไหน เป็นสัญญาอารมณ์กับอะไรบ้าง คือธรรมดาจิตนี้จะมีข้าศึกเต็มตัวอยู่ตลอดเวลา จะหมุนของมันอยู่นั้นละ หมุนอยู่นี้คืออะไร ? คือสมุทัย อวิชชา ปัจจยา มันหมุนมันดันออกมาให้คิดเป็นสังขารสัญญาอารมณ์ไปเรื่อย ๆ ทีนี้พอดีเข้าไป ๆ จนกระทั่งกำลังวังชาของอวิชชาอ่อนลง ๆ สัญญาอารมณ์ที่หลอกลวงเบาเข้าไป ๆ แทบไม่มี ๆ สุดท้ายก็ไปมีอยู่ที่จิต มีก็มีอย่างเบาบางที่สุด ทีนี้พอ สันทิฏฐิโก ขั้นสุดท้ายโผล่ขึ้นมาเท่านั้นละ เหล่านี้ขาดสะบั้นไปหมด จากนั้นมาแล้วไม่มีอะไรกวนใจ เห็นได้ชัดเจนว่า โอ๊ะ.. โลกอันนี้วุ่นเพราะกิเลส มีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวยุ่ง พอกิเลสขาดจากใจแล้วไม่มีอะไรยุ่งเลย

พระอรหันต์ท่านไม่ยุ่ง.. หมด ที่ท่านแสดงไว้ว่า วุสิตัง พรัหมจริยัง กตัง กรณียัง นาปรัง อิตถัตตายาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ก็คืองานอันใหญ่หลวง งานวัฏวนงานวัฏจักรคืองานฆ่ากิเลส เมื่อกิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วเรียกว่างานอันใหญ่หลวงนี้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว นี้เป็นงานที่ควรทำ เป็นงานที่ควรชำระให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย กตัง กรณียัง กิจที่ควรทำก็คือการถอดถอนกิเลสได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งกว่านี้ไม่มี กิจสำคัญก็คือกิจถอดถอนกิเลส ตั้งแต่นั้นมากิเลสไม่มี

พระอรหันต์ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะมาแทรก ตั้งแต่ที่ขาดสะบั้นลงไป เป็นอกุปธรรมทันทีทันใด แล้วก็ไม่มีข้าศึกอีกเลย อดีต.. อนาคต.. ลบหมด อดีตที่เคยเป็นมาให้วิตกวิจารณ์ ดีใจเสียใจเพราะความเป็นมาของตัวเองก็ไม่มี แล้วข้างหน้าเราจะไปเกิดในภพใดชาติใด จะไปได้รับความทุกข์ความทรมานในนรกหลุมไหน ๆ หรือจะไปสวรรค์ชั้นพรหม.. หมด ขาดสะบั้นไปหมด ปัจจุบันก็รู้เท่าหมดแล้วจ้าไป นั่นเรียกว่าสมมุติหมด อดีตอนาคตปัจจุบันเป็นสมมุติทั้งมวลขาดสะบั้นลงไป ท่านทรงแต่บรมสุข.. ที่เรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่ใจซึ่งหมดสิ่งรบกวนคือกิเลส ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นั่นละนิพพานเที่ยงอยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ใครขี้เกียจขี้คร้านแล้วแบกแต่กองทุกข์ ผู้ใดมีความขยันหมั่นเพียร ไม่หยุดไม่ถอยจะมีวันเบาบางไปเรื่อย ๆ นะ...”

ลัก...ยิ้ม 23-12-2018 13:27

สนทนาธรรมจนลืมเวลา

องค์หลวงตาเมตตาเล่าถึงการสนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ที่สร้างความรื่นเริงในธรรมถึงกับลืมเวล่ำเวลาดังนี้


“... ศาลาหลังเล็ก ๆ มาสร้างวัดที่แรก ศาลาหลังเล็ก ๆ ท่านสิงห์ทองก็มาด้วยกันนี่แหละ มาสร้างวัดด้วยกันที่แรก ทีนี้ท่านสิงห์ทองก็ลาไปเที่ยว ไปเที่ยวกลับมา กลับมาแล้วก็มานั่งศาลาเล็กหลังนั้นละ คุยกันกับท่านสิงห์ทอง นี่เรียกว่ามันเพลิน ลืมตัวนะ สององค์เท่านั้นละ

สองทุ่มเราลงมาศาลานี้ ท่านสิงห์ทองก็มาคุยกันตั้งแต่สองทุ่ม ฟาดเสียตีสี่..นานไหม ? มันเพลินอะไรก็ไม่รู้ พูดถึงเรื่องภูเขา พูดถึงเรื่องจิตตภาวนา มันเพลินเอา ตอนนี้ละตอนภาวนา ท่านสิงห์ทองก็เล่าเรื่องของท่านให้ฟัง สิ่งใดที่รับกันมันก็ออกรับกัน ๆ เรื่อยจนเพลินนะ ตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งตีสี่ นานหรือไม่นาน นี่ละว่าเพลิน เพลินอย่างนี้ละธรรม ลืมเวล่ำเวลา จนกระทั่งมันจะรู้สึกอะไรของมัน มาดู


‘เอ้า.. มันดึกแล้วนี่นะ’ มาดูนาฬิกา ‘โอ๊ย..นี่มันตีสี่แล้วนะ เอา.. เลิก ๆ’

ลุกเลยนะ พอว่าตีสี่มันจะสว่างแล้วนี่ เดือนมิถุนายนพอดี ตีห้ามันสว่างแล้ว นี่มันตีสี่มันจะสว่างแล้วนี่นะ เลิกกันก็ลุกเลย เราก็ไป ทีนี้ไปแล้วมันอะไรก็ไม่รู้นะ พอไปถึงกุฏิเรามันหลังเล็ก ๆ นี่ เข้าไปแล้วเอาย่ามวางปุ๊บแล้วดัดเส้นเสียก่อน จะไม่นอนนั่นแหละก็มันเลยเวลาแล้ว ดัดเส้นแล้วถึงจะลงไปเดินจงกรม เราว่างั้นนะ คิดเอาไว้เรียบร้อย แล้วก็มาแผ่สองสลึง ฟาดเสียมันเต็มบาทเลย แผ่สองสลึงแผ่เลยทีเดียว.. หลับ

จนกระทั่งท่านสิงห์ทองไปบิณฑบาตในบ้านกลับมา มาสะกิดนิ้วเท้าเราตอนเราหลับเพลินอยู่ ท่านสิงห์ทองท่านไม่นอน ท่านไปบิณฑบาตกลับมา ถึงเวลาแล้วมาสะกิดเรา เรายังหลับครอก ๆ ‘เอ้า.. พอบิณฑบาตแล้วหรือ ?’

‘พอบิณฑบาตที่ไหน บิณฑบาตมาแล้ว

‘หือ’ นั่นเห็นไหมบทเวลามันเพลิน เพลินทั้งสองอย่าง เพลินคุยธรรมะกัน เวลาเพลินเราก็ไม่รู้ จนกระทั่งท่านสิงห์ทองไปบิณฑบาต ท่านสิงห์ทองไม่นอน บิณฑบาตกลับมาก็ไปสะกิดเท้าเรา คึกคักตื่นมา เอ้า.. พอบิณฑบาตแล้วหรือ ? พออะไร ไปบิณฑบาตกลับมาแล้วอย่างนั้นก็มี มันเพลินแบบไหน นั่นฟังซิ..


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:32


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว