![]() |
ใครเอาปรอทเข้าร้านทอง เจ้าของร้านรู้นี่ทุบตายเลยนะ ของอาตมาเองตอนแรกไม่รู้ พกเบี้ยแก้หลวงพ่อคำกับหลวงพ่อนุ่มอยู่ ๒ ตัว ที่ไม่พกหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่บุญ เพราะว่าเบี้ยแก้ค่อนข้างตัวใหญ่ ของหลวงพ่อคำ หลวงพ่อนุ่ม ประเภทเลี่ยมแล้วก็ประมาณหัวแม่มือเท่านั้น พกอยู่ ๒ ตัว
ปรากฏว่าพกอยู่กับแหวนจักรพรรดิเนื้อทองคำ พอไม่นานเอาออกมาดู ตายแล้ว...แหวนกระดำกระด่างหมดเลย ก็คือโดนปรอทกินเสียจนส่วนที่เป็นธาตุทองหมดไป ส่วนที่เหลือเป็นโลหะผสมที่เขาเพิ่มความแข็งให้กับทอง กินจนกระดำกระด่างดูไม่ได้เลย ปกติทองถ้าหมองลงขัดไม่กี่ทีก็สุก อันนี้ขัดให้ตายก็ไม่คืน ถาม : เราไปหุงปรอทให้เป็นทองได้ไหมคะ ? ตอบ : หุงไปนาน ๆ ใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปก็เป็นแบบนั้น แบบที่จิ๋วพกอยู่ อันนั้นเขาถือว่าเป็นทองแล้วนะ ถาม : อย่างนี้ถือว่าเป็นการแปรธาตุหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เป็นตั้งแต่แรกแล้ว |
ถาม : จะไปพม่าเดือนนี้ ยกเลิกไปก่อนหรือไปได้ครับ ?
ตอบ : จะทำอะไรให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง และยอมรับผลที่เราตัดสินใจเอง อย่าไปถามคนอื่น ถามคนอื่นผิดพลาดขึ้นมาก็เสียเวลาไปโทษคนอื่น การตัดสินใจด้วยตนเองจะทำให้เราได้ประสบการณ์ จากข้อมูลทั้งหมดที่เราได้มา ตัดสินใจแบบนั้นแล้วจะดีหรือไม่ดี พอถึงเวลาผลออกมาเราจะได้ประสบการณ์ว่า ตัดสินใจแบบนี้จะได้ผลอย่างนี้ ถ้าให้คนอื่นตัดสินใจแทน เราจะไม่มีประสบการณ์เสียที ถึงเวลาจะกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แค่หลีกเลี่ยงจากไวรัส ไม่จำเป็นต้องไปตุนอาหาร เพียงแต่ว่าออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเศรษฐกิจจะล่มจมเสียเปล่า ๆ
ตอนนี้แอลกอฮอล์ล้างมือกับหน้ากากขาดตลาด ส่วนที่น่าจะโดนประณามที่สุดก็คือพวกเก็บหน้ากากเก่ามาขาย เห็นแก่ประโยชน์เสียจนกระทั่งลืมนึกถึงเพื่อนมนุษย์ ถ้าคนเก็บหน้ากากเก่าไปบรรจุถุงติดเชื้อตายนี่ จะไม่ให้โมทนาบุญเลยสิเอ้า..!" |
กล่าวถึงเม็ดเงินหล่อพระ "ใครซื้อเม็ดเงินมาจะได้บุญมากกว่า เพราะว่าครึ่งกิโล ๙,๒๓๐ บาท ถ้าเอาเงินสดมาก็คิดแค่ ๙,๐๐๐ บาท"
ถาม : ทำไมคิดราคาถูกจัง ? ตอบ : คิดมากไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้ญาติโยมลำบากพอแล้ว |
ถาม : หนูพาแม่กับน้องสาวไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม เขาสองคนเพิ่งเริ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตัวหนูพอฝึก ครูบอกว่าหนูเอาสัญญามาตอบ แต่หนูก็รู้สึกว่าหนูเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ครูไม่เก่ง ครูพยายามจะเดาใจลูกศิษย์แต่ก็เดาผิด แปลว่าครูมั่ว..! ถาม : แต่ครูก็บอกแม่หนูกับน้องหนูได้นะคะ ส่วนหนูก็เลยเสีย "เซลฟ์" ไปเลย ? ตอบ : ไม่เป็นไร...ไปหัดใหม่ ถาม : ตอนนี้กลายเป็นว่าหนูนั่งหลับตาแล้วไม่เห็นอะไร แต่เอาไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีกว่า ? ตอบ : แล้วจะเห็นอะไร ? ถาม : เช่น สามารถคาดการณ์ได้ ? ตอบ : คาดการณ์ล่วงหน้าก็ฟุ้งซ่าน..! ถาม : เอามาใช้ในการทำเอกสารได้ค่ะ อย่างเช่นเวลาเราไม่เห็นข้อมูล ? ตอบ : ถ้ากำลังใจของเราไม่ทรงตัว ถึงเวลาก็ฟุ้งมาก แล้วพอยิ่งผิดก็ยิ่งเพี้ยนกันไปใหญ่ ถาม : ควรทำอย่างไรดีคะ ? ตอบ : เลิก..ไปทำงานตามปกติของเรา |
ตราบใดที่ครูฝึกยังแบก รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มตัว โอกาสที่จะรู้อะไรจริงก็ยาก บางทีก็พยายามเดา ก็เลยทำให้คนฝึกเสียของไปเลย
เรื่องของมโนมยิทธินั้นเดาไม่ได้ เป็นไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่ว่าผู้เข้ารับการฝึกบางคนก็เก่งจริง ๆ เพราะว่าเขารู้เห็นจริง ไปได้จริง สมัยอาตมาเป็นครูฝึกอยู่ พยายามหลอกเท่าไรก็หลอกไม่สำเร็จ โดยปกติถ้าไปวิมานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็จะประทับอยู่ข้างใน อุตส่าห์ล่วงหน้าไปทูลเชิญพระองค์ท่านออกมาอยู่ข้างนอก พวกนั้นไปถึงบอกเลยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมารับข้างนอก..หลอกเขาไม่สำเร็จ |
ส่วนหนึ่งที่ตอนหลังโดนสังคมตำหนิ แล้วก็เอามาล้อกันว่า "อย่ามโนฯ" ก็เพราะเกิดจากไอ้พวกห่วยแตก ก็คือไม่รู้จริง ถึงเวลาก็มั่วไปเรื่อย ก็เลยทำให้คนเขาเกิดโทษ เพราะว่าของดีจริง แต่คนทำดันไม่จริง
อีกส่วนหนึ่งก็คือผู้ที่ฝึกได้แล้ว ไม่ได้ใช้ความสามารถไปในทางลดละกิเลสตัวเอง แต่เอาไปใช้ดูโน่นดูนี่ แล้วเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่ แทนที่จะรู้เพื่อละ ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งเป้าเอาไว้ ก็กลายเป็นรู้แล้วยึด คนโน้นเคยเป็นอย่างนี้กับเรา คนนี้เคยเป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดจะกลัว ว่าเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ดันไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่เสียนี่..! คนลอยคออยู่กลางทะเลด้วยกัน ดันไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายหมดเท่านั้น..! |
ถาม : เหมือนกับมีคลื่นรบกวนเราตลอดเวลา เหมือนกับมีคนตาม แต่บ่อยเกิน ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา หลุดออกไปไกลเท่าไร กำลังของเราน้อย เขาก็รบกวนได้มาก ถาม : ถ้าเขาไม่ใช่เทวดาหรือฝ่ายดีละคะ ? ตอบ : จะเป็นใครก็ช่าง ถ้าเราภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวอยู่ ใครจะทำอะไรได้ ถาม : ถ้าเป็นผี เราแกล้งแผ่เมตตาเป็นความเย็นได้ไหมคะ ? ตอบ : แล้วจะแกล้งทำไม ? ถาม : คืออะไรกันแน่คะ ? ตอบ : ไปหาหมอ บอกว่าฮอร์โมนพร่อง ให้หมอเขาจัดฮอร์โมนให้ กินลงไปก็หายแล้ว ถาม : แล้วมีเสียงเคาะประตูทุกคืนละคะ ? ตอบ : กินลงไปหายแล้วก็เลิกเคาะไปเอง ถาม : จริงหรือคะ ? ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปหาหมอก่อน ถ้ากินยาแล้วหายทั้งหมดก็แปลว่าไม่เกี่ยวกับผี บอกหมอเขาว่าแก่แล้วฮอร์โมนพร่อง ช่วยจัดยาให้หน่อย |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วบิณฑบาตเจอแม่ลูกคู่หนึ่ง ลูกชายอายุเกิน ๒๐ ปีมากแล้ว แต่น่าจะใส่บาตรเป็นครั้งแรกในชีวิต คาดว่าจะอายุเบญจเพสคือ ๒๕ ปี แม่ก็เลยพามาใส่บาตร อาตมาก็เปิดบาตรรอ แม่เขาก็บอกว่า “ใส่สิลูก” ไอ้ลูกก็ลังเลอยู่นั่น ครบ ๓๐ วินาทีอาตมาก็ปิดบาตรซ้ายหันเดินต่อเลย รูปที่ ๒ ก็ซ้ายหันเดินตามมา เขาไปตัดสินใจใส่ได้ตอนรูปที่ ๓
สำหรับอาตมาแล้ว เวลา ๓๐ วินาที เดินไปน่าจะถึง ๒๐๐ เมตร จะให้รอเขาอยู่คนเดียวหรือ ? ส่วนบางรายเดินผ่านหน้าร้าน “นิมนต์เจ้าค่ะ” แต่ปรากฏว่าสั่งข้าวแกง ๙ ชุด แม่ค้าเพิ่งจะตักชุดที่ ๑ อาตมารอถึงชุดที่ ๓ ก็บอกว่า เดี๋ยวไปดักหน้าใส่เอาก็แล้วกัน แล้วก็เดินต่อไป ที่ไม่รอด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกจะทำบุญแต่ไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่มีการศึกษาว่าพระจะมาถึงเวลาไหน มาถึงก็นิมนต์ให้พระรอ แล้วก็ค่อย ๆ มาบรรจงซื้อข้าวถุง แกงถุง ประการที่ ๒ ญาติโยมที่รอใส่บาตรตามรายทางหลายคนต้องไปทำงานไกล ๆ อย่างเช่น ต้องไปทำงานในตัวเมืองกาญจน์ฯ ถ้าอาตมาไปไม่ตรงเวลา เขาเองเกิดไปตกรถ ก็คือไม่ได้รถตู้หรือไม่ได้รถเมล์เที่ยวที่ตั้งใจไว้ ก็จะไปทำงานสาย เพราะฉะนั้น..ส่วนใหญ่ถ้าไม่พร้อมอาตมาจะไม่รอ พร้อมเมื่อไรแล้วค่อยมาใส่แล้วกัน เรื่องแบบนี้โยมบางคนก็ยังไม่เข้าใจ เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่านิมนต์แล้วพระต้องรอ นั่นก็อาจจะใช่ แต่ไม่ใช่อาตมาแน่ ๆ" |
"ก่อนหน้านี้ก็มีแม่ค้าขายขนมรายหนึ่ง พอถึงเวลาอาตมาเดินผ่าน “นิมนต์เจ้าค่ะ เอ้า...ใครจะซื้ออาหารใส่บาตรรีบมาเร็ว พระมาแล้ว” อย่าได้ไปรอเชียวนะ เขาเรียกยันหมดตลาดนั่นแหละ
แรก ๆ อาตมาก็คิดว่าเขาจะใส่บาตรเอง เขานิมนต์ก็ยืนรอ แต่รออยู่เป็นนาทีเรียกแต่คนอื่นซื้อของใส่บาตร อาตมาจึงเดินเลยไป เพราะมาสังเกตว่าเขาไม่เคยใส่บาตรพระวัดท่าขนุน เรียกให้คนอื่นใส่บาตรเพราะรู้ว่าคนอื่นอยากใส่บาตรกับหลวงพ่อวัดท่าขนุน แต่ตัวเขาจะไปใส่บาตรกับพระวัดป่าที่เดินมาทีหลัง พอเห็น ๓ ครั้งก็รู้ว่า เขาจะหาเงินใส่กระเป๋าอย่างเดียว โดยอาศัยขายชื่อวัดท่าขนุน รายนั้นหลังจากโดนอาตมาทิ้งไป ๓ ครั้งก็ไม่กล้าเรียกอีก แต่ก็ยังไม่วาย ก็คือถ้าวันเสาร์-อาทิตย์นักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ก็ใช้ลูกไม้เดิม แต่ไม่กล้านิมนต์ก่อน เล่นใช้วิธีว่า “หลวงพ่อวัดท่าขนุนมาแล้วค่ะ พระมาเยอะทีเดียว ใส่บาตรกันนะคะ” พวกนักท่องเที่ยวก็จะกรูกันเข้าไปซื้อของที่ร้านเขา ส่วนอาตมาก็เดินเลยไปแล้ว รอตอนที่วนกลับมาก็แล้วกัน" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันศุกร์สิ้นเดือน อาตมาไปบรรยายให้เจ้าอาวาสใหม่ฟัง สรุปให้เจ้าอาวาสใหม่ท่านว่า ถ้าเราสร้างความเจริญให้กับศาสนาไม่ได้ ก็อย่าทำให้ศาสนาพังเพราะมือเรา"
|
ถาม : ผมทำอาชีพเป็นหมอดูไพ่ยิปซีครับ มีอะไรที่ควรแนะนำผมบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ดูเยอะ ๆ ยิ่งดูก็จะยิ่งชำนาญ อ่านออกมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งดูจะยิ่งแตกฉาน จะรู้ว่าถ้วย ๑ ใบหมายถึงอะไร ไม้เท้า ๕ อันหมายถึงอะไร แล้วพอไม้เท้าไปเจอพระราชาจะแปลว่าอะไร ดูรวมกันไปได้เรื่อย ๆ พอทั้งหมดสัมพันธ์กัน ก็จะอ่านออกมาว่าควรจะอย่างไร แรก ๆ ก็ต้องกางตำราก่อน ดูไปดูไปจะหาจุดร่วมของไพ่ทุกใบได้ พอหาจุดร่วมได้ ดึงไพ่ออกมากี่ใบก็อ่านได้หมด |
ถาม : ผมแบ่งเงินรายได้ส่วนหนึ่งว่าบูชาครู ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่เราจะประพฤติปฏิบัติ ของทุกอย่างมีครูอยู่แล้ว ถ้าเราเชื่อ ให้ความเคารพ ก็จะได้ผลมากกว่าคนอื่นเขา ถ้าไม่เชื่อ ไม่ให้ความเคารพ เดี๋ยวก็เกิดปัญหาอย่างวันก่อน เขาไปบวงสรวงที่บ้าน ปรากฏว่ามีการเชิญหลวงพ่อกวยด้วย คราวนี้หลวงพ่อกวยนั้น ตามสายวิชาการเวลาเชิญท่าน มีเคล็ดลับว่าต้องเอาของอะไรบางอย่างวางในพิธี ปรากฏว่าพอหลวงพ่อกวยท่านมาถึง ท่านบอกว่า "ตรงนี้มันไม่เคารพข้าเลยว่ะ" ปรากฏว่าคนจัดก็จัดบายศรีตามแบบวัดท่าซุง เห็นของเกินก็เลยหยิบออก สรุปคือไฟไหม้บ้านเลย..! แล้วก็เห็นชัด ๆ ว่าการที่ใช้กระดาษแดงรองไก่และหัวหมูช่วยกันไฟไหม้ได้จริง ๆ เพราะว่าไหม้อยู่แค่วงเดียว ไหม้ให้รู้ว่าต่อไปอย่าได้ทำอย่างนี้อีก |
ในเมื่อของทุกอย่างมีครู ถ้าเราให้ความเคารพครูก็จะเจริญกว่าคนอื่นเขา โดยเฉพาะถ้าเป็นสมัยโบราณ ครูนี้แทบจะเป็นทุกอย่างของชีวิต ถามว่าทำไมเป็นทุกอย่างของชีวิต ? พ่อแม่เลี้ยงเรามาในเบื้องต้น แต่ครูบาอาจารย์ให้วิชาการที่เราเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไปจนตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น..ครูบาอาจารย์เป็น ๑ ใน ๕ สถาบันหลักที่เราต้องให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง ด่าเราได้ ด่าครูบาอาจารย์เมื่อไรต้องตายกันไปข้างหนึ่ง..!
ถึงเวลามีการถามชื่อถามนามสกุล ถามถึงครูบาอาจารย์ การถามถึงครูบาอาจารย์นี่หลายอย่าง อย่างแรกคือเป็นศิษย์ครูเดียวกันหรือเปล่า ? ถ้าศิษย์ครูเดียวกันศรศิลป์ไม่กินกัน รบกันไปก็เหนื่อยเปล่า คำว่า ศรศิลป์ไม่กินกัน สมัยนี้หมายถึงคนไม่ถูกกัน สมัยโน้นเขาแปลว่า เป็นพวกเดียวกัน ทำอันตรายกันไม่ได้ เพราะว่าพระบุตรพระลบไปรบกับพระราม แผลงศรเข้าใส่กัน พระบุตรพระลบแผลงศรไป ก็กลายเป็นพวงมาลัยไปถวายพระราม พระรามแผลงศรออกไป กลายเป็นขนมนมเนยไปให้พระบุตรพระลบ ก็เลยว่าเรียกศรศิลป์ไม่กินกัน ก็คือขนาดลูกศรทรงอานุภาพขนาดนั้นยังทำอะไรกันไม่ได้ นาน ๆ ไปแล้วศัพท์ก็เพี้ยน |
ประการต่อไปก็คือ ถ้ารู้ว่าเป็นศิษย์ใคร ก็จะรู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านอยู่ระดับไหน ควรที่จะลองของไหม ฝ่ายโน้น...กูลูกศิษย์หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ฝ่ายนี้ก็กูลูกศิษย์หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ เดี๋ยวก็ตีกันกระจาย ต่างคนต่างลอง ประเภทร่างกายต้องการแรงปะทะ ถึงเวลาต่างคนต่างทำอะไรกันไม่ได้ ก็กลับวัด กลับบ้าน
สมัยก่อนคนอยู่วัดกับอยู่บ้านก็ใกล้เคียงกัน ก็คือพวกไปฝึกวิชาการกับครูบาอาจารย์ก็อยู่วัด พวกเจนจบกลับมามีครอบครัวก็อยู่บ้าน สมัยนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงกับเพื่อนก็เอากับเขาด้วย ท่านบอกว่าทหารเรือส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ ถ้าใครเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อหรุ่นก็สักยันต์ ๙ ยอด หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ปล่องเหลี่ยม งูดิน พิณ ๓ สาย ๓ เหล่าของทหารเรือ ผู้บังคับบัญชาปวดหัวทุกที ปล่องเหลี่ยมก็กรมอู่ทหารเรือ งูดินก็กรมแพทย์ พิณ ๓ สายก็ดุริยางค์ พวกนี้ว่างเยอะ ไม่มีอะไรจะทำ ไปหาครูบาอาจารย์จนกระทั่งตัวเองหนังดี แล้วเที่ยวไปไล่ตีแถวบ้านเขา ต้องบอกว่าหนังดีจริง ๆ เพราะว่าสมัยโน้นเขาใช้มีดโกน มีดโกนสมัยก่อนตัวมีดกับด้ามเป็นอันเดียวกัน แล้วส่วนใหญ่เป็นทองเหลือง สะบัดคมมานี่ประเภทโกนขนหน้าแข้งร่วงกราว คมยิ่งกว่ามีดโกนสมัยนี้อีก โดนแบบนั้นยังไม่เข้าก็ถือว่าใช้ได้ หรือไม่ก็บางคนได้วิชาชาตรีมา โดนตีร่วงทั้งยืนลุกขึ้นมาไม่เป็นไรเลย พอถามครูบาอาจารย์ ครูเดียวกันก็เลิกตีกัน ถ้าคนละครูก็ยังไม่แน่ใจ ขอลองอีกหน่อย |
ถาม : ผมอธิษฐานก่อนเปิดไพ่ว่า ถ้าสิ่งใดควรจะบอกกล่าวสงเคราะห์ ช่วยดลจิตดลใจให้บอก แต่ถ้าสิ่งที่ดลใจให้บอกตรงข้ามกับไพ่ ควรจะบอกเขาอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าตามหลักมโนมยิทธิคือใช้อารมณ์ความรู้สึกแรก แต่คราวนี้เราเองจะมั่นใจความรู้สึกสักเท่าไร ? ถ้ามั่นใจก็ใช้ความรู้สึกแรก ไพ่จะออกอย่างไรก็เรื่องของไพ่ สำรับไพ่เก็บเอาไว้สำหรับแหกตาชาวบ้าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า “เขาบอกว่าไม่ให้ไปในที่แออัด ตรงนี้จะไม่แออัดก็คงไม่ได้ แต่ปรากฏว่าไวรัสไม่น่ากลัวหรอก กลัวคนที่แพ้แอลกอฮอล์จะตายก่อนมากกว่า เล่นล้างแอลกอฮอล์กันรอบด้านเลย ...(หัวเราะ)...”
|
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้อาตมาต้องอาศัยยาแผนโบราณ ยาสมัยใหม่เอาไม่อยู่ คนที่ไม่ชอบกินยานี่สงสัยจะกินไม่ลง แต่ยาเขาไม่ได้ให้ชอบ เขาเอาไว้รักษาโรค เพราะฉะนั้น..ชอบหรือไม่ชอบก็กินลงไปเถอะ
คำว่า “ยา” เขาแปลว่า อุดรูที่รั่ว ในเมื่อร่างกายเรารั่วก็ต้องอุดให้อยู่ สมัยก่อนเขายาเรือ อุดรูไม่ให้เรือรั่ว คราวนี้ยาที่กินก็ต้องเข้าไปอุดคนไม่ให้รั่วเช่นกัน” |
ถาม : ผมวาดรูปหลวงพ่อไว้ ๑ ภาพ ขออนุญาตทำภาพนั้นขึ้นให้จบครับ พอดีว่าวาดไว้แล้วมีคนท้วงมาว่าควรจะขออนุญาตหลวงพ่อก่อน ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยอนุญาตให้ใครทำรูป เพราะฉะนั้น..เผาทิ้งไปก็จบแล้ว..! เข้าเว็บวัดท่าขนุนเขาก็พาดหัวไว้เบ้อเริ่มเลย ว่าห้ามผู้หนึ่งผู้ใดทำรูป นอกจากได้รับอนุญาตจากทางวัดเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงว่าไม่เคยอ่านกันเลยใช่ไหม ? |
พระอาจารย์กล่าวว่า “กินอะไรก็ได้ที่กินแล้วอยู่ได้ ไม่ต้องไปสรรหาอะไรที่ยาก คนเรามีบุญรักษามีกรรมรักษา ถ้าถึงเวลาต่อให้กินอะไรเลิศเลอลอยฟ้าก็ต้องตาย”
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:10 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.