View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๗
พิชวัฒน์
15-01-2024, 18:24
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๗
Ib7T35KRfxA
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ภารกิจสำคัญของกระผม/อาตมภาพในวันนี้ก็คือ ไปร่วมการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ระดับเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเลขานุการ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ ที่วัดปรังกาสี หมู่ที่ ๓ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
การประชุมนั้นเมื่อว่ากันไปตามวาระแล้ว ก็ต้องมาแบ่งแยกเรื่องราวการปกครองคณะสงฆ์ ๖ ด้าน ก็คือการปกครอง การเผยแผ่ การศึกษาสงเคราะห์ การสาธารณสงเคราะห์ การสาธารณูปการ และการศาสนศึกษา
ปรากฏว่าในเรื่องของการปกครองนั้น ไม่เพียงแต่คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิเท่านั้น แต่ว่าต้องนับคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีเข้าไปด้วย มีการฟ้องร้องกันอยู่ถึง ๒ วัด ๓ วัด ในเรื่องที่กระผม/อาตมภาพได้ปรารภกับพระภิกษุวัดท่าขนุนไปแล้ว เกี่ยวกับการทำงานแบบพระ ก็คือให้ความไว้วางใจ ทำงานกันแบบบริสุทธิ์ใจ เมื่อยืมเงินญาติโยมมาเพื่อใช้จ่ายในกิจการงานของวัด ท่านก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรว่ากู้ยืม เมื่อถึงเวลารับเงินกฐินมา โอนคืนให้กับญาติโยมไป คนกลับเห็นว่าท่านเอาเงินนั้นไปให้ญาติโยม โดยเฉพาะถ้าคนให้กู้ยืมเป็นผู้หญิง ก็มีข้อหาว่าเอาเงินไปเลี้ยงผู้หญิง..! เป็นต้น
ดังนั้น..ปัญหานี้เมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา บรรดาเจ้าอาวาสที่ทนรำคาญไม่ไหว จึงมีการลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ต้องลำบากในการสรรหาบุคคลไปทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ ตำแหน่งเจ้าอาวาสนั้นไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ เนื่องเพราะว่าคนไม่นิยมบวชกันในระยะยาว หากแต่ว่าบวชกันในระยะสั้น ๆ แทน ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ๑ เดือนบ้าง แม้แต่การบวชเอาพรรษายังหาได้ยาก
เมื่อต้องรอให้มีคุณสมบัติครบถ้วน คือพรรษาพ้น ๖ จบนักธรรมชั้นเอก แล้วถ้าเป็นคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ก็ยังต้องมีวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในระดับใดระดับหนึ่ง อย่างเช่นว่าระดับประกาศนียบัตร หรือว่าระดับปริญญาตรี เป็นต้น ก็ยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก
จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ของเจ้าคณะปกครอง ที่จะต้องแสวงหาบุคคลมาทดแทนยังไม่พอ ยังต้องหาทาง "เคลียร์ใจ" ให้กับบรรดาเจ้าภาพที่มาทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ชี้แจงให้เขาได้ทราบเอาไว้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากอะไร เป็นต้น แต่ก็เป็นแค่เรื่องที่ทางคณะสงฆ์บอกกล่าวกันไปตามความเป็นจริง ส่วนญาติโยมจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง..!
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ภาพพจน์ของคณะสงฆ์เรานั้น ต้องบอกว่าตกต่ำมาก เนื่องเพราะว่าญาติโยมมักจะกล่าวหาว่า "ถึงเวลาพระก็เข้าข้างกัน ถึงเวลาพระก็ช่วยเหลือกัน ไม่มีความจริงใจในการที่จะจัดการแก้ปัญหาให้เด็ดขาดลงไป" ซึ่งญาติโยมทั้งหลายที่กล่าวหาเช่นนั้น ก็มักจะไม่มีความเข้าใจเรื่องของพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาว่า แม้แต่การล่วงละเมิดทางพระธรรมวินัย ที่ใช้ภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า ศีลขาด หรือถ้าภาษาพระว่าต้องอาบัตินั้น มีตั้งแต่ระดับอเตกิจฉา คืออาบัติที่แก้ไขไม่ได้ อย่างเช่นว่า ปาราชิก ๔ เป็นต้น และสเตกิจฉา คืออาบัติที่แก้ไขได้ อย่างเช่นสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาษิต เป็นต้น
ในเมื่อไม่เข้าใจตรงนี้แล้ว ก็ย่อมไม่เข้าใจถึงอธิกรณสมถะ คือวิธีการระงับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ถึง ๗ ประการด้วยกัน มีตั้งแต่สัมมุขาวินัย ก็คือต้องถึงพร้อมด้วยคณะสงฆ์ ถึงพร้อมทั้งโจทก์และจำเลย และถึงพร้อมผู้ตัดสินที่ทรงทั้งความรู้และคุณงามความดี
สติวินัย เป็นการที่คณะสงฆ์ประกาศยกให้บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายว่า เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ แม้ว่าจะละเมิดจริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สร้างความเสียหายให้เกิดกับตนเอง หรือว่าคณะสงฆ์
อมูฬหวินัย เป็นการที่สงฆ์สวดประกาศให้แก่ภิกษุผู้ที่เคยเป็นบ้า เมื่อรักษาหายจากอาการเป็นบ้านั้นแล้ว ประกาศให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านทำในขณะที่เป็นบ้านั้น พระพุทธเจ้าไม่นับว่าเป็นอาบัติ คือไม่ใช่เรื่องที่ศีลขาด เพราะว่ากระทำไปในขณะที่ขาดสติ เป็นต้น
แล้วยังมีเยภุยยสิกา ก็คือการถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
ตัสสปาปิยสิกา ให้ลงโทษกันไปตามลำดับหนักเบา อย่างเช่นว่าตำหนิโทษ ภาคทัณฑ์ ตลอดจนกระทั่งการลงโทษไปตามลำดับ
ติณวัตถารกวินัย เป็นการไกล่เกลี่ยกัน ให้ยอมความกัน ลักษณะคล้าย ๆ กับศาลในปัจจุบันนี้ ที่มักจะมีการไกล่เกลี่ยกันเสียก่อน เป็นต้น
ในเมื่อไม่ได้ตามความต้องการของตนเอง ญาติโยมก็มักจะฟันธงว่าพระเอาแต่เข้าข้างกัน ไม่มีความจริงใจในการจัดการแก้ปัญหาของคณะสงฆ์ ทำให้เป็นที่เสื่อมศรัทธา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองก็เห็นว่า ปัจจุบันนี้บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็มักจะเป็นผู้รู้ระดับ "ไอ้รอบโลก" กันแทบทั้งนั้น แต่ทำไมความรู้ของท่านจึงเข้าไม่ถึงในเรื่องของสงฆ์ก็ไม่อาจจะทราบได้ ?
อย่างเช่นว่ามีบางคนที่กระผม/อาตมภาพเห็น เมื่อมีผู้นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชย ในการช่วยเหลือบุคคลอื่นที่ลำบากเดือดร้อน เมื่อนำเสนอออกมาก็เข้าไปคอมเม้นท์ว่า "สังคมได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?"
กระผม/อาตมภาพเองนั้น ถ้าหากว่าให้พูดตามภาษาของตนเอง ก็จะพูดแรง ๆ ว่า "ถ้ามึงรู้จักใช้หัวแม่ตีนคิด มึงก็จะรู้เองว่าสังคมได้อะไร..!" ไม่ใช่ไปตั้งคำถามในลักษณะที่ว่า กูดี กูประเสริฐ กูเป็นผู้เลิศ กูถึงตั้งคำถามว่าตรงนี้กูจะได้อะไร ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ มีแต่แบกกิเลสไปชนกัน อยู่ในลักษณะ "น้ำล้นแก้ว" คนอื่นไม่สามารถที่จะเอาอะไรเทลงไปได้ เพราะว่ามีแต่จะไหลทิ้งหมด จึงทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าวกันขึ้นมา
ขณะเดียวกันความเคารพในพระพุทธศาสนาของคนในปัจจุบันนี้ ก็ขาดการปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อันดับแรกเลย ร้ายกาจที่สุดก็คือ ญาติโยมเป็นจำนวนมาก ที่อ้างว่าตนเองไม่ต้องรักษาศีล เพราะว่าไม่มีศาสนา ไม่เห็นประโยชน์ในการนับถือศาสนาเลย แต่นี่ก็ยังพอทน
ระดับต่อไปคือ ญาติโยมที่รักษาศีล แต่ว่าไม่สามารถที่จะรักษาได้ เพราะว่าสภาพจิตใจของตนไม่เข้มแข็งพอ จึงไม่เห็นประโยชน์ของศีล อีกระดับหนึ่งก็คือ ไม่เคยปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือว่าปฏิบัติแล้ว เข้าไม่ถึงความสงบระงับ จนทำให้ไม่เห็นคุณประโยชน์ของสมาธิภาวนา
ในเมื่อไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ก็ไม่ต้องไปหวังว่าเขาทั้งหลายเหล่านี้จะมีการเข้าถึงการภาวนา หรือว่าเข้าถึงปัญญาอย่างแท้จริงได้ ดังนั้น..เมื่อตนเองขาดการปลูกฝัง ไม่ได้ทดลองกระทำจนเห็นผล จึงทำให้ไม่เห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนายังไม่พอ ยังมีการต่อต้าน เมื่อเห็นคนอื่นทำความดี ก็อยู่ในลักษณะ "บูลลี่" ให้อีกต่างหาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สังคมบ้านเราจึงมักจะมีแต่ปทปรมะ คือผู้ที่มากด้วยบทบาท ประมาณว่า รู้มากจนกระทั่งไม่ยอมเปลี่ยนแนวความคิดของตน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะเห็นดีเห็นงามในพระพุทธศาสนาก็น้อย โดยเฉพาะมักจะตั้งแง่ในลักษณะที่ว่า พระพุทธศาสนาจะก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับตนบ้าง แต่ว่าตนเองกลับเป็นผู้ที่ขาดความอดทน เป็นผู้ที่ขาดความพากเพียร ทำให้ไม่สามารถที่จะสัมผัสได้แม้แต่เบื้องต้นของพระพุทธศาสนา เหมือนอย่างกับเด็กเรียนไม่จบชั้น ป.๑ แล้วก็เที่ยวไปไล่ถามคนที่เรียนระดับปริญญาว่า ศึกษาไปแล้วได้ประโยชน์อะไร ?
จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าก็ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ เนื่องจากว่าในเรื่องของการกระทำความดีนั้น เป็นเรื่องของใครทำใครได้ ไม่สามารถที่จะทำแทนกันได้
ถ้าท่านทั้งหลายยังทำตัวเป็นน้ำล้นแก้วอยู่ในลักษณะอย่างนี้ พระพุทธศาสนาของเราก็คงจะเรียวปลายลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่กระผม/อาตมภาพและคณะสงฆ์ ก็ได้แต่พยายามช่วยกันประคับประคองอย่างเต็มที่ พยายามที่จะทำให้ท่านทั้งหลายที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้มากนั้น ได้ลดเงื่อนไขของตนเองลงมาบ้าง อย่างน้อยก็จะได้สัมผัสกับพระพุทธศาสนา ไม่ทำตนเป็นทัพพีที่คาหม้อแกงอยู่ เพราะชื่อของตนยังนับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาเลย ในลักษณะเดียวกับทัพพีที่ไม่รู้รสแกงเลย..!
ถ้าเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็คงได้แต่แผ่เมตตาให้ หวังว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นคงจะมีหูตาสว่างขึ้นมาในสักวันหนึ่ง แต่เกรงว่ากว่าที่ท่านจะเห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ก็อาจจะไม่ทันกับชีวิตปัจจุบันนี้ ทำให้ต้องเสียชาติเกิดไปเปล่า ๆ ชาติหนึ่ง..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.