View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
พิชวัฒน์
25-11-2023, 20:11
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
dTOKPICyLnY
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ต้องบอกว่าทริป "ลาวใต้เมื่อใกล้หนาว" ตรงกันข้ามกับทริป "ลาวเหนือเมื่อปลายฝน" ของปีที่แล้วแบบหนังคนละม้วน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตอนช่วงที่ไปลาวเหนือนั้น เป็นการไปประเทศลาวครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าเจ้าที่เจ้าทางนั้นใครเป็นใครกันบ้าง ต้องรอไปจนถึงแล้ว สามารถที่จะติดต่อกันได้ ถึงจะพูดคุยขอร้องกันได้
แต่คราวนี้พอไปครั้งนี้ มีการเตรียมการล่วงหน้า จัดการเจรจาเรียบร้อย ประกอบกับทางเติมเต็มทัวร์ของเว็บเพจกิฟท์จังพลังเวทย์ ทุ่มเทกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ทุกคน โดยเฉพาะเอเย่นต์ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว แม้กระทั่งหน่วยตรวจคนเข้าเมืองที่ช่องเม็ก ก็ยังมีคนที่เป็น FC ของวัดท่าขนุนอยู่ ทุกอย่างจึงสะดวกง่ายดายไปหมด
นอกจากเดินผ่านกล้องฝั่งไทยให้เขาถ่ายรูปแล้ว ส่วนอื่นไม่ต้องทำอะไรเลย เอเย่นต์ทั้งสองฝ่ายจัดการให้หมด พวกเรามีหน้าที่แค่เดินผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครแม้แต่จะชายตาแล..! ไปขึ้นรถบัสสองคันที่เป็นรถของเราเอง ซึ่งโดยปกติแล้วทางประเทศลาวจะไม่ให้เอารถเข้าไป เพราะว่าต้องการให้เราไปเช่ารถของพวกเขา
โดยเฉพาะช่วงนี้กำลังมีเรื่องราวรุนแรงกันอยู่ ระหว่างนักท่องเที่ยวไทยที่มั่นใจว่าโดนทาง ตม.ลาวกลั่นแกล้ง ไม่ได้ประทับตราหนังสือเดินทางให้เข้าเมือง แล้วก็ปล่อยผ่านไป มาจับเอาขากลับ ด้วยข้อหาหลบหนีเข้าเมือง แล้วก็ปรับกันทีหนึ่ง ๔,๐๐๐ บาท ๕,๐๐๐ บาท..!
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเป็นเงินลาวเท่าไรก็เอา ๖๐๐ คูณเข้าไป เพราะว่าช่วงที่กระผม/อาตมภาพไปนั้น ถ้าเป็นธนบัตรใบใหญ่ อย่างใบละ ๕๐๐ บาท หรือว่าใบละ ๑,๐๐๐ บาท จะแลกได้บาทละ ๖๐๐ กีบ ถ้าหากว่าใบละ ๒๐ จะแลกได้บาทละ ๕๘๗ กีบ แล้วพวกเราผ่านไปสองคันรถบัส เกือบร้อยคน..! ถ้าไม่มีการ "เคลียร์ทาง" กันไว้ก่อน มั่นใจได้เลยว่าคณะนี้ "โดน" อย่างแน่นอน..! เพราะว่าพวกที่เขาไปกัน ๕ คน ๘ คนเขาโดนกัน ก็คือแกล้งลืมประทับตราหนังสือเดินทางบางเล่ม แล้วพวกเราส่วนมากรับมาก็ไม่ได้ดูความเรียบร้อย จึงกลายเป็นเหยื่อของเขาไปโดยปริยาย
แต่คราวนี้ตั้งแต่การไป "เยี่ยมบ้านทศกัณฐ์" ที่ศรีลังกาเป็นต้นมา บรรดาเจ้าที่ทั้งหลายท่านขอร้องว่า อย่าเปิดเผยชื่อของท่าน เนื่องจากว่าบรรดา FC วัดท่าขนุนนี่แหละ พอถึงเวลารู้จักมักจี่ ก็เรียกหาใช้งานกันโดยไม่เกรงใจ เทวดาแต่ละท่าน ต่อให้เป็นปลายแถว ศักดิ์ศรีก็สูงกว่ามนุษย์หัวแถว ไม่ใช่เราพออาศัยว่ารู้จักมักคุ้น รู้ชื่อเสียงเรียงนาม ก็เรียกใช้ท่านโดยไม่เกรงใจเลย ดังนั้น..ตั้งแต่ทริปศรีลังกาเป็นต้นมา เจ้าที่สองพี่น้องที่ดูแลประเทศศรีลังกา ขอร้องว่าอย่าเปิดเผยชื่อของท่าน
พอมาทางด้านประเทศลาวในช่วงลาวใต้นี้ ท่านก็ให้บอกแค่ว่า "เจ้าลุง" กับ "พระยาศรีฯ" พวกเราถ้าติดตามตั้งแต่ทริปก่อนก็จะรู้ว่า "เจ้าลุง" เป็นใคร แต่ "พระยาศรีฯ" นี่ ถ้าหากว่าไม่ใช่ท่านที่นั่งรถคันเดียวกันก็จะไม่รู้ความจริง กระผม/อาตมภาพไม่ได้เป็นคนบอก แต่แม่หญิงสมฮัก ไซยะมูน ที่เป็นไกด์ประจำรถบัสคันที่ ๑ เล่าประวัติท่านให้ฟัง ถึงได้บอกกับท่านที่อยู่ในรถว่า ท่านนี้แหละที่ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์พวกเราในครั้งนี้ แล้วการสงเคราะห์ก็เด่นชัดจนกระทั่งทุกคนในคณะแปลกใจกันมาก
อย่างเช่นว่าวันแรกแดดร้อนแทบจะหัวละลาย..! เพราะว่าพวกเราออกจากร้านอาหารมะนิดาไปยังปราสาทหินวัดภู บรรดาไกด์และสตาฟฟ์ทั้งสองฝั่งบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า "งานนี้ได้ร้อนตายแน่..!" แต่ปรากฏว่าพอเดินทางไปถึง เริ่มซื้อตั๋ว แดดก็หลบทันที บรรยากาศเหมือนกับใกล้ค่ำ อากาศเย็นสบายมาก เดินขึ้นเขาไป ปราสาทหิน ๔ ชั้น ๕ ชั้น ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความร้อนจากแดดเลย นอกจากปัญหาความไม่แข็งแรงในร่างกายของหลายท่าน เพราะว่าคณะที่ไปนั้น อายุ ๖๐ กว่าปี ๗๐ กว่าปีก็มี ใกล้ ๘๐ ปีก็มี ใจถึงมากที่กล้าไป..!
พอวันต่อมาที่น้ำตกตาดคอนพะเพ็ง ก็อยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน ก็คือได้รับความสะดวกอย่างชนิดที่ไม่มีอะไรที่จะมาสะกิดรบกวนใจแม้แต่นิดเดียว ยิ่งวันที่ไปไร่กาแฟบอละเวน ปรากฏว่าเมฆบังเฉพาะดวงอาทิตย์ ก็คือบังกลม ๆ เหมือนกับร่มไปเลย ไม่ให้ร้อน แต่ว่าแดดจัดมาก ฟ้าเป็นสีฟ้าจัดเลย ให้ถ่ายรูปกันได้เต็มที่ ต้องบอกว่าเข้าข้างกันสุด ๆ ถ้าภาษาบาลีเขาว่า "มุโขโลกนะ" เห็นแก่พรรคพวกตัวเอง..!
แต่ว่าความจริงก็คือพวกเราตั้งใจทำบุญถวายท่านทุกวัน ตั้งแต่การใส่บาตรยามเช้าที่โรงแรมจำปาสักแกรนด์ วันสุดท้ายพระท่านไม่ได้ขึ้นมา เพราะคิดว่าพวกเราไปแล้ว ญาติโยมก็เลยใช้วิธีใส่บาตรกระผม/อาตมภาพแทน ขนาดแค่ธนบัตรใบละ ๒๐ อย่างเดียว กระผม/อาตมภาพรับมา ๗,๐๐๐ กว่าบาท..!
ก็คือทุกคนเห็นประโยชน์แล้วว่า การทำบุญให้กับเจ้าที่เจ้าทางแล้วได้รับความสะดวกนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็ประกอบกับที่กระผม/อาตมภาพได้ขอให้ท่านทั้งหลาย ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ความสะดวกต่าง ๆ แล้วอนุญาตให้ว่า การบุญการกุศลอะไรที่พวกเราทำที่ประเทศลาว ให้ทุกท่านอนุโมทนาได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวกัน ถือว่าเป็นเรื่องหลักที่พวกเราไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ควรที่จะยึดถือและปฏิบัติกันตามนี้
ส่วนที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ก่อนนอน ให้ภาวนา "กรณียเมตตสูตร" เอาไว้ เพราะว่ากรณียเมตตสูตรประกาศความเป็นมิตรกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ พระพุทธเจ้ามอบให้กับพระที่ไปอยู่ป่า แล้วโดนภูติผีปิศาจ ตลอดจนกระทั่งเทวดาต่าง ๆ รบกวน เมื่อได้ไปแล้ว ทุกท่านก็อยู่กันสุขอยู่สบาย
กระทั่งหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านยังเรียกคาถาบทนี้ว่า "พระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า" แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ไม่ว่าจะปลุกเสกพระขรรค์โสฬส มีดหมอเพชราวุธ มีดลูกพราหมณ์จันทร์เพ็ญ มีดลูกพราหมณ์พรหมพิทักษ์ หรือว่าบรรดามีดหมอต่าง ๆ ที่เคยทำ ก็ต้องปิดท้ายด้วยกรณียเมตตสูตรนี้เสมอ
แต่ว่าเรื่องตลกก็คือกระผม/อาตมภาพพกวัตถุมงคลไปเต็มที่เลย เพราะว่าท่านปู่พระอินทร์บอกว่า "ไม่ต้องเอาออก" แล้วก็ไม่มีปัญหาจริง ๆ ก็คือผ่านเครื่องเอ๊กซเรย์ก็ไม่ดัง โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพลืมพวงกุญแจและวัตถุมงคลพวงเบ้อเร่ออยู่ในกระเป๋า อย่างอื่นเอาออกหมด เดินผ่านไม่ดัง พวงใหญ่แค่นี้ปกติชิ้นเดียวก็ดังแล้ว..!
ในเรื่องของผีของเทวดา โลกของเขาไม่มีการโกหกกัน ถ้ารับปากก็คือเป็นไปตามนั้นเลย แต่พวกเราต้องอย่าได้ประมาท ตอนบ่ายวันที่ ๒๓ "เจ้าลุง" ท่านบอกว่า "พรุ่งนี้เช้าอากาศจะเปลี่ยนแรง" คืนนั้นก่อนนอน ท่านปู่พระอินทร์บอกว่า "ให้พี่ใหญ่ ๔ ท่านมาช่วยดูแลเรื่องอากาศให้ข้ามไปจนถึงเมืองไทย กลับไปแล้วจะได้ทำงานได้" ดังนั้น..แทนที่จะหนาวจนกระทั่งพวกเราแย่ไปเลย อากาศกลับกลายเป็นร้อนแทน..!
พี่ใหญ่ทั้ง ๔ ท่าน ไม่ว่าจะเป็นพี่เกศแก้วมณี พี่พรสวรรค์ พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ ตอนที่เดินทางไปประเทศพม่า ก็แกล้งตำรวจพม่าเสียจนป่านนี้หายงงหรือยังก็ไม่รู้ ? เพราะว่าท่านปลอมเป็นพระพม่า ๔ รูป นั่งอยู่บนหลังคาพร้อมกับกระผม/อาตมภาพ ที่จริง ๆ แล้วก็คือกระผม/อาตมภาพนั่งหัวโด่อยู่รูปเดียว ตำรวจพม่าดันตาดี มองเห็นท่านทั้งสี่ด้วย จึงยึดใบขับขี่โชเฟอร์ บอกว่า "ให้พระนั่งบนหลังคามากเกินไปจนอาจจะเกิดอันตราย..!" ไม่รู้ว่าหลายปีผ่านไป บัดนี้ "เคลียร์" กันจบหรือยัง ?
คราวนี้ทริปต่อไป ยังไม่ทันจะเริ่ม ก็มีคนจองตั้งแต่ก่อนที่จะออกทริปนี้แล้ว ก็คือการไปเมืองซาปา ประเทศเวียดนาม ซึ่งงานนี้ก็คงจะเหมือนกับที่ไปทริป "ลาวเหนือเมื่อปลายฝน" ก็คือไปแบบไม่รู้จักใครเลย ต้องไปเริ่มต้นกันที่นั่น งานนี้จึงต้องเสี่ยงดวงกันหน่อย คุยกันรู้เรื่องก็แล้วไป คุยกันไม่รู้เรื่องนี่ความซวยอาจจะมาเยือน ไม่ใช่เพราะใครหรอก ตัวกระผม/อาตมภาพเองนี่แหละ..!
คราวที่แล้วที่ไปประเทศลาว ลืมไปถนัดใจว่าสมัยรัชกาลที่ ๓ ไปเล่นงานเขาเอาไว้มาก ต้องบอกว่าตายกันเป็นพัน..! ไปงวดนั้นประมาท แล้วเรื่องกฎของกรรมนี้ เทวดา นางฟ้า พรหม ท่านยอมรับมากกว่าเราหลายเท่า ถ้าเป็นเรื่องกฎของกรรม ท่านจะไม่แตะเลย พยายามช่วยเต็มที่แล้ว ด้วยการที่ชี้ให้กระผม/อาตมภาพซื้อปลาไปปล่อย แถมยังชี้ให้ด้วยว่าไปปล่อยที่ตรงไหน คนอื่นก็สงสัย เพราะว่าเดินอย่างกับว่าเคยอยู่แถวนี้..?!
ถึงจะเป็นในลักษณะอย่างนั้น กระผม/อาตมภาพก็ยังบาดเจ็บกลับมา ต้องรักษาตัวตั้งหลายเดือน ซึ่งปกติถ้าเขาเอาคืนจริง ๆ ตามวาระกรรมก็คือถึงตายเลย..! แต่เพียงแต่ว่าท่านให้ไปปล่อยปลาก่อนถึงรอดมาได้ จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายต้องพึงสังวรว่า สถานที่ใดก็ตาม ถึงมีคนรัก ก็อาจจะมีคนเกลียด คนที่รักเราก็คือคนที่เราเคยอนุเคราะห์สงเคราะห์เขาเอาไว้ ส่วนคนที่เกลียดเรา ไม่ต้องสงสัยเลย ศัตรูเก่าทั้งนั้น..!
แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเดินเข้าไปในพระราชวังมัณฑะเลย์ พวกเขาก็ดันออก เราต้องมุดเข้าไปเหมือนอย่างกับมุดสวนน้ำตกเลย พลังงานที่ดันเราออกมานั้นแรงมาก ขนาดบอกกับเขาว่า "นี่คนละชาติคนละภพกันแล้ว" เขาก็ไม่ฟัง "ไอ้นี่ศัตรู..แถมยังบุกเข้ามาถึงเมืองหลวงอีกด้วย..!"
กระผม/อาตมภาพเดินอยู่ข้างในประมาณ ๒ ชั่วโมง ต้องใช้กำลังสุด ๆ ไปเลย เพราะแต่ละก้าวเหมือนกับเดินสวนน้ำตก พอออกมาพ้นประตู เกือบจะหัวทิ่ม เพราะว่าใช้กำลังเท่าเดิมในการเดิน แต่พลังงานต้านหมดไป ก็กลายเป็นประเภทหัวทิ่มเกือบล้มลงพื้น เพราะว่าใช้แรงมากเท่าเดิม แต่ไม่มีอะไรต้าน ไว้อีกแล้ว..!
กลายเป็นว่า บางเรื่องเราเกิดไปหลายชาติแล้ว แต่ของเขายังแค่ไม่กี่วันเอง เพราะว่าเทวดาชั้นต่ำสุด อย่างชั้นจาตุมหาราช ๑ วันของเขาก็เท่ากับ ๕๐ ปีของเรา จากสมัยอยุธยามา ก็แค่ ๔ - ๕ วันเท่านั้น เขายังจำแม่น แต่เราลืมไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องของสมัยรัชกาลที่ ๓ ผ่านมาแค่ประมาณ ๓ วันเท่านั้น ไอ้เราลืมไปนานแล้ว จึงโดนเขาเอาคืนจนเกือบตาย..!
ถือว่าเป็นเรื่องที่เล่าให้ฟัง แล้วพวกเราจะได้สังวรระวังเอาไว้ อยู่ที่ไหนมีความสุขความสบาย ไม่ใช่หมายความว่าจะสบายตลอดไป ถ้าหากว่าวาระบุญส่งผลก็ยังสบายอยู่ แต่ถ้าวาระกรรมเข้ามาถึง จะได้คืนอย่างแน่นอน จึงต้องระวังตัวเอาไว้เสมอ ทั้งในบ้านเราและบ้านเขา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ถ้าภาวนาให้กำลังใจทรงตัว กำลังบุญของเราสูงพอ เรื่องหนักก็จะเป็นเบา เรื่องเบาก็จะเป็นหาย เป้าหมายใหญ่ของเรา ทำเพื่อมรรคเพื่อผลก็จริง แต่ว่าผลในปัจจุบันทันตาก็มีอยู่อย่างที่ได้ว่ามาแล้วข้างต้น
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.