View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
พิชวัฒน์
20-10-2023, 22:13
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
Zb33MH4i6qM
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถ้าหากว่าซุ่มเสียงของกระผม/อาตมภาพผิดเพี้ยน ไม่ชัดเจน ก็ต้องขออภัยกับทุกท่านด้วย เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างที่ฉันอาหารอยู่ดี ๆ ฟันกรามซี่ในสุดก็แตกเอาหน้าตาเฉย ต้องบอกว่ารู้สึกปวดเหมือนกับใครเอามีดเสียบเข้าไปในเหงือกก็ไม่ปาน..!
เมื่อไปถึงมือหมอ ก็โดนฉีดยาชาไป ๔ เข็ม แล้วหมองัดเอาฟันที่แตกออกมา ๑ ข้าง เหลือไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งมีรากฟัน หมอบอกว่าอาทิตย์หน้าให้มาใหม่ เพื่อที่จะทำการล้อมอุดฟันดู ถ้าไม่สามารถที่จะทำได้ แล้วค่อยรักษารากฟัน ทำครอบฟันกันใหม่
หมอฟันของเราส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นไปได้ก็พยายามที่จะรักษาฟันแท้ของลูกค้าเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องเพราะว่าไม่มีฟันปลอมชนิดไหนที่จะดีเท่ากับฟันแท้อีกแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงมีอาการหน้าชาไปซีกหนึ่งด้วยฤทธิ์ของยาชา ถ้าพูดจาแล้วฟังไม่ถนัด ก็ต้องขออภัยทุกท่านด้วย เพราะว่าพยายามที่จะพูดให้ชัดที่สุดแล้ว
สำหรับวันนี้มีบางเรื่องที่อยากจะบอกกล่าวกับพวกเรา ก็คือคลิปที่บางท่านส่งมา บอกว่ามีผู้กล่าวว่า "การกินเจทำให้ตกนรก..!" เมื่อลองฟังดูแล้ว ปรากฏว่าผู้ที่พูดนั้นกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้แล้ว การที่ฝืนไปกินเจที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ถือว่าเป็นพวกเดียวกับเทวทัต เท่ากับกำลังแสวงหานรกใส่ตัว..!
กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ เนื่องเพราะว่าบรรดาอาจารย์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งก็มักจะใช้อัตโนมติ ก็คือความเห็นส่วนตัวในการกล่าวถึงเรื่องต่าง ๆ ซึ่งหลายต่อหลายอย่างก็ทำให้คนเห็นผิดตามไปด้วย
การกินเจนั้น ถ้าหากว่าเรากินด้วยความรักความเมตตาต่อสรรพชีวิตจริง ๆ กินเพราะเวทนาสงสารที่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แล้วในขณะเดียวกัน ก็กินอาหารได้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ก็ไม่ได้มีโทษอะไรกับตนเอง เนื่องเพราะว่าพี่น้องชาวฮินดูเกือบพันล้านคนก็ล้วนแล้วแต่กินมังสวิรัติ แล้วเราก็จะเห็นว่าพี่น้องชาวฮินดูเหล่านั้นตัวใหญ่กว่าเราเป็นเท่า ๆ เลย แสดงว่าการกินเจนั้น ถ้าหากว่ากินถูกวิธี ก็จะมีโภชนาการที่ดี ไม่ได้สร้างความเสื่อมเสียอะไรให้กับร่างกาย แล้วในขณะเดียวกัน ก็ยังได้เมตตาบารมีเพิ่มขึ้นมาด้วย
แต่บรรดาคนที่กินเจแล้วตกนรกนั้น จะอยู่ในลักษณะที่ว่าตนเองกินเจแล้วไปดูถูกดูแคลนคนอื่น อยู่ในลักษณะว่าตัวเองเป็นคนดี ถึงไม่กินเลือดกินเนื้อคนอื่น ขณะที่คนอื่นชั่วหมด เพราะว่ายังกินเลือดกินเนื้ออยู่..!
แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่แน่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ จะตกนรกอย่างที่มีผู้กล่าวหาไว้ เนื่องเพราะว่าคนที่ตายไปแล้วนั้น จิตสุดท้ายเกาะความดีงามหรือว่าความชั่ว ถ้าหากว่าเกาะความดีได้ ก็ไปสุคติก่อน หมดบุญกุศลในสิ่งที่ตนเองเคยทำเอาไว้แล้ว ถึงจะไปเสวยทุกข์ในทุคติภูมิ แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น กำลังใจเกาะในเรื่องของกรรมชั่วที่ตนเองทำเอาไว้ ก็จะลงสู่ทุคติไปเลย ไม่ใช่ฟันธงไปว่า ใครกินเจหรือไม่กินเจแล้วต้องตกนรก
เรื่องในลักษณะนี้เป็นการสอนคนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วก็เป็นเรื่องแปลกว่า คนทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมีการศึกษา แต่ว่ากลับมีความเห็นผิดเป็นชอบ อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ มีการละเมิดอำนาจศาล ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง แล้วบอกว่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่ตนเองจะทำได้ ซึ่งลักษณะของมิจฉาทิฏฐิแบบนี้ ถ้าไม่ได้เกิดรู้แจ้งขึ้นมาด้วยตนเองว่าหลงผิด ต่อให้ชี้แจงจนปากฉีกถึงหู ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนทิฏฐิของเขาทั้งหลายเหล่านี้ได้
กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่แผ่เมตตาไปให้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมีจิตสุดท้ายในการที่เกาะคุณงามความดีเอาไว้ได้ หาไม่แล้ว ท่านที่กล่าวถึงผู้อื่นว่ากินเจแล้วต้องตกนรก ท่านอาจจะลงไปเสียเองก่อนคนที่กินเจอีก..!
อีกข้อหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ เนื่องจากว่ามีผู้แนะนำให้บุคคลทำบุญกับพระอริยเจ้า อย่างเช่นว่านำปัจจัยไทยธรรมไปถวาย จะเป็นข้าวถุงหนึ่ง แกงถุงหนึ่ง หรือว่าเงินสัก ๕ บาท ๑๐ บาท ให้พระอริยเจ้าท่านอนุโมทนา เราจะได้บุญมหาศาลมากกว่าการทำบุญกับพระภิกษุสามเณรปกติทั่วไป
เรื่องนี้ต้องกล่าวออกเป็นสองนัยด้วยกัน นัยยะแรกก็คือ การทำบุญนั้น ถ้าจะให้ได้บุญมาก ไม่ใช่เจาะจงว่าทำบุญกับพระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่ง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำเป็นสังฆทาน คืออย่างน้อยต้องมีสงฆ์รวมกัน ๔ รูปขึ้นไป หรือว่าถึงมีสงฆ์รูปเดียว แต่ว่าท่านเป็นตัวแทนของสงฆ์ทั้งหมด เมื่อรับเอาปัจจัยไทยธรรมไปแล้ว ก็นำไปแบ่งปันกันอย่างน้อย ๔ รูป ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นสังฆทาน มีอานิสงส์มากกว่าการทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นร้อยครั้งเสียอีก
อีกส่วนหนึ่งก็คือพระอริยเจ้าที่ท่านทั้งหลายว่ากล่าวว่า การทำบุญด้วยเงินทองกับพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าสั่งห้ามการรับเงินและทอง ผู้ที่กล่าวว่าให้ทำบุญกับพระอริยเจ้าด้วยข้าวของเงินทอง จึงเป็นการแนะนำให้คนลงนรก..! กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่สงสัยว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ทำไมถึงมาเกิดในยุคนี้มากนัก ?
การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามภิกษุรับเงินรับทองนั้น เนื่องเพราะว่าการรับเงินรับทอง ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นบุคคลที่ทำใจไม่ได้ ก็จะเป็นการสะสมปัจจัยข้าวของเงินทองเหล่านั้น จนกระทั่งมีฐานะร่ำรวย กลายเป็นว่าแทนที่จะปฏิบัติตนเพื่อ ลด ละ เลิก กิเลสทั้งหลายเหล่านั้น กลับกลายเป็นว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปสะสมกิเลสอีกต่างหาก
นอกจากนำพาให้ตนเองไม่สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว บรรดาเงินทองต่าง ๆ ยังอาจจะก่อให้เกิดอันตรายกับตัวท่าน อย่างเช่นว่า มีผู้เห็นแล้วเกิดความโลภ อยากได้ใคร่มีขึ้นมา ก็มาฉกชิงทำร้าย หรืออาจจะถึงขนาดฆ่าแกงเราไปเลย เป็นต้น ดังนั้น..การบัญญัติในเรื่องของศีลพระแต่ละข้อนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พิจารณาดีแล้ว ถึงได้บัญญัติเอาไว้
เพียงแต่ว่าในยุคปัจจุบันนี้ การที่บรรดาพระภิกษุสามเณรรับเงินรับทองนั้น เราก็ต้องดูด้วยว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นรับไปแล้ว ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและคณะสงฆ์ ตลอดจนวัดวาอารามเท่าไร ไม่ใช่ว่าถึงเวลาเราก็จะให้ท่านสมถะ ห่มผ้า ๓ ผืน ฉันมื้อเดียว ไม่ต้องออกไปพบปะกับใครเลย แล้วในลักษณะอย่างนั้น จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนากันแบบไหน ?
เดี๋ยวนี้การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของการเทศน์ การสอน จะเป็นในทางออนไลน์ก็ดี ในการพบปะกับผู้คนก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเดินทางไปยังวัดวาอารามต่าง ๆ หรือว่ามีการทำคลิปทำวีดีโอ เรื่องพวกนี้ล้วนแล้วแต่ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
ดังนั้น..จึงมีพระภิกษุสามเณรส่วนหนึ่งที่ท่านรับเงินมา แต่ไม่ได้ยึดถือเป็นของตนเอง กระผม/อาตมภาพเห็นว่ามีบางวัดรับแล้วก็เอาไปรวมเป็นกองกลาง ถึงเวลาก็ให้ไวยาวัจกร หรือว่าโยมวัด จัดสรรไปในการเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภัตตาหาร ตลอดจนกระทั่งการบูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามบ้าง หลายท่านเมื่อรับมาแล้วก็สละออกทำบุญต่อไปเลยบ้าง
หรือว่าหลายต่อหลายท่านที่อยู่ในธรรมยุติกนิกาย ท่านก็ไม่ได้รับด้วยตนเอง เพื่อที่จะเลี่ยงจากการรับเงินรับทองโดยตรง แต่ว่าให้ไวยาวัจกรรับแทน ซึ่งถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในพระวินัยของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะในนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ โกสิยวรรคข้อที่ ๘ ระบุเอาไว้ว่า ภิกษุรับเงินรับทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทอง ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์
แต่ว่าข้อที่ ๙ ก็ระบุเอาไว้ว่า ภิกษุรับเองก็ดี ใช้ผู้อื่นรับแทนก็ดี ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่า ตัวเรารับ ก็โดนอาบัติ ให้ผู้อื่นรับแทนก็โดนอาบัติ ดังนั้น..เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ในโลกยุคปัจจุบันนี้ จึงมีการที่ต้องแสดงอาบัติกันอยู่เสมอ
แต่ว่าท่านทั้งหลายแสดงแล้วสำคัญตรงที่ว่า กำลังใจยึดเกาะในเงินทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองอยู่หรือไม่ ? ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่ได้ยึด ไม่ได้เกาะ รับมาแล้วก็สละเป็นของส่วนรวม รับมาแล้วก็ใช้จ่ายในการบูรณปฏิสังขรณ์ ซ่อมสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ให้วัดวาอารามมีการพัฒนาที่มั่นคง แข็งแรง ควรแก่การที่พุทธบริษัทเข้าไปใช้งาน ถ้าในลักษณะอย่างนั้น กระผม/อาตมภาพซึ่งเป็นผู้ที่หน้าด้าน ใจด้าน มีความเห็นว่าควรที่จะทำได้..!
เนื่องเพราะว่าการละเมิดสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามนั้น ก่อให้เกิดโทษ แต่เรานำเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์ใหญ่กับพระพุทธศาสนา ในเมื่อส่วนที่เป็นประโยชน์มีมากกว่าโทษ คนหน้าด้านอย่างกระผม/อาตมภาพ ก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุนได้
เรื่องพวกนี้ ถ้าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะชี้แจงให้ชัดเจน ญาติโยมส่วนหนึ่งก็จะหลงผิด เข้าใจผิด ไปอีกนาน แต่ว่าก็เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้บำเพ็ญมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คือสร้างปุพเพกตปุญญตามีดีพอหรือไม่พอ ถ้าหากว่าสร้างมาดีไม่พอ ก็จะเจอกับบุคคลที่แนะนำให้ท่านทั้งหลายเห็นผิดเป็นชอบ ถ้าสร้างมาดีพอ ท่านก็จะเจอกับกัลยาณมิตร ที่แนะนำท่านทั้งหลายให้เดินในทางที่ถูกที่ควร
อีกส่วนหนึ่งก็คือมีญาติโยมท่านหนึ่ง ส่งรูปวัตถุบางอย่างเข้ามา พร้อมกับบอกให้กระผม/อาตมภาพช่วยฟันธงให้ว่าสิ่งนั้นเป็นเหล็กไหลหรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ในปัจจุบันนี้ทำไมเหล็กไหลถึงได้มีมากมายมหาศาลนัก ?
ถ้าหากว่าเป็นเหล็กไหลที่กระผม/อาตมภาพรู้จักนั้น อันดับแรกเลย มาได้ ไปได้ หนีได้ สามารถที่จะกินน้ำผึ้งเป็นอาหารได้ สามารถที่จะทำของร้อนให้เย็นลงในพริบตาเดียว สามารถที่จะดับพิษไฟ ระงับการที่ดินปืนต่าง ๆ จะทำงานได้ และโดยเฉพาะระงับในส่วนของไฟฟ้าต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบเขตที่รัศมีเปล่งถึง ดังนั้น..ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ถ้าหากว่าอยู่ใกล้เหล็กไหล ไม่สามารถที่จะทำงานได้ สรุปง่าย ๆ ว่าเหล็กไหลนั้นถ่ายรูปไม่ติด ถ้ายังถ่ายรูปติด ก็เป็นได้แค่เหล็กเหลวไหลเท่านั้นเอง..!
สำหรับวันนี้ก็ขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.