View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๖
พิชวัฒน์
05-03-2023, 15:15
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๖
ByZZctTv_L4
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เมื่อก่อนเพลกระผม/อาตมภาพบวชสามเณรหน้าไฟไป ๕ รูป ส่วนที่หนักใจมากที่สุดก็คือเด็กทุกคนไม่มีสมาธิเลย แค่บอกว่าให้ว่าตามไม่กี่คำ ยังว่าไม่ได้ สุจิระปะรินิพพุตัมปิ ว่าไม่ได้ ต้องบอกว่า "สุจิระ..ปะรินิพ..พุตัมปิ" แบ่งเป็นสามท่อน ขนาดนั้นก็ยังได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะว่าสภาพจิตไม่ได้มีความเป็นสมาธิจดจ่ออยู่กับการบวชตรงหน้า หากแต่ฟุ้งซ่านพล่านไปหมด..!
ในเมื่อกำลังใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า โอกาสที่จะทำอะไรออกมาได้ดีจึงเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเยาวชนของเราในปัจจุบันนี้ อยู่ในลักษณะนี้เกือบทั้งหมด ในเมื่อขาดสมาธิ การที่จะทำสิ่งหนึ่งประการใดให้เกิดผลดีย่อมเป็นไปได้ยากมาก
อาตมภาพเคยบอกไว้ว่า "ต้องโทษรีโมตคอนโทรล" ก็คือถึงเวลาดูโทรทัศน์ ช่องนี้ไม่ชอบใจ กดเปลี่ยนไปช่องโน้น ช่องโน้นไม่ชอบใจ กดเปลี่ยนอีกช่องหนึ่ง สภาพจิตของเด็กก็เลยรับรู้อะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
แต่พอมายุคนี้สมัยนี้ก็ต้องโทษในเรื่องของโทรศัพท์มือถือ ถ้าญาติโยมสังเกตจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นคลิปวิดีโอ ที่ลงในยูทูบก็ดี หรือว่า TikTok ก็ดี หรือว่าอินสตาแกรมก็ตาม ลงยาวไม่ได้ ถ้ายาวสัก ๕ นาที ๑๐ นาที แทบจะไม่มีใครดูเลย เราจะเห็นว่าคลิปใน TikTok ที่คนนิยมมากก็คือนาทีหรือสองนาที นั่นคือการระบุอย่างชัดเจนว่า คนเรายุคนี้สมาธิไม่เพียงพอที่จะรับรู้อะไรยาว ๆ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เคยบอกเอาไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ยิ่งนานไป สัญญากับปัญญาของคนยิ่งทรามลงไปเรื่อย ๆ สัญญาคือความจำ ปัญญาคือความรู้แตกฉาน เราลองมาคิดดูว่า พระพุทธศาสนาของเรามีอายุ ๕,๐๐๐ ปี ตอนนี้ผ่านมาแค่ ๒,๕๖๖ ปี สภาพของบุคลากรของเราน่าเป็นห่วงจนขนาดนี้แล้ว
อาตมภาพขอกล่าวถึงครอบครัวตัวเอง โยมพ่อเป็นคนจีนมาจากแผ่นดินใหญ่ อพยพมาแบบที่สมัยที่คนเขาเรียกว่า "คนต่างด้าว" โยมแม่เป็นลูกของตากับยายที่เป็น "คนต่างด้าว" เพียงแต่ว่าโยมแม่เกิดในเมืองไทย ทั้งโยมพ่อและโยมแม่ไม่ได้เรียนหนังสือทั้งคู่ ดังนั้น..ถึงแม้ว่าโยมแม่ของอาตมภาพจะมีลูกถึง ๑๓ คน แต่สิ่งหนึ่งที่โยมแม่พร่ำกรอกหูลูก ๆ อยู่เสมอก็คือ "พ่อแม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา เพราะฉะนั้น..พวกแกต้องเรียน..!"
โยมพ่อไม่รู้หนังสือแต่ทำบัญชีได้ เพราะว่าโยมพ่อตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทยก่อนพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายปี มาหักล้างถางพง จับจองที่ดินได้ก่อนเขา พอถึงเวลาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงจากเมืองจีนได้ข่าวคราวว่า บุคคลนี้ไปตั้งหลักปักฐานในสยามได้แล้ว ก็หวังจะมาพึ่งพา
สมัยก่อนเขาจะนั่ง "เรือฉลอม" มากันแบบ "เสื่อผืนหมอนใบ" พวกเราเกิดไม่ทัน ไม่รู้หรอกว่าเรือฉลอมหน้าตาเป็นอย่างไร ? มาขึ้นที่ "ท่าจีน" พวกเรารู้จักแม่น้ำท่าจีนใช่ไหม ? ทำไมถึงได้ชื่อว่าท่าจีน ? ก็เพราะว่าคนจีนมาจอดเรือตรงนั้นมากเป็นพิเศษ ทั้งที่มาค้าขาย ทั้งที่มาส่งคน
เมื่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาขออาศัยอยู่ด้วย เขาก็มาช่วยงาน โยมพ่อตอนนั้นทำไร่ยาสูบ ซึ่งต้องใช้แรงงานมาก ก็มีพรรคพวกเพื่อนฝูง ตลอดจนกระทั่งคนจีนด้วยกันมาเป็นลูกน้อง ยอมให้ใช้งาน เพื่อที่จะได้มีข้าวกิน มีที่พัก รวมทั้งหมด ๔๐ กว่าคน
ปรากฏว่าโยมพ่อทำบัญชีได้ว่า ๔๐ กว่าคนนี้ใครทำอะไร ? ที่ไหน ? เป็นเวลากี่วัน ? เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตได้ ก็แบ่งปันเงินทองให้เขาตามมากน้อยที่ได้ทำมา อาตมภาพเคยดูบัญชีของโยมพ่อแล้วดูไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเป็นจุด ๆ ขีด ๆ อะไรก็ไม่รู้ ..!? แต่ท่านทำเอาไว้ลักษณะที่เข้าใจอยู่คนเดียว นั่นคือคนไม่รู้หนังสือ แต่สามารถทำบัญชีได้ว่าเพื่อนฝูงคนนี้ทำงานอะไร ? ทำไปกี่วัน ?
ส่วนโยมแม่หนักกว่านั้นอีก คนงาน ๔๐ กว่าคน โยมแม่จำได้หมดว่าใครทำอะไร ? กี่วัน ? ไม่ต้องจดเหมือนกับโยมพ่อ แม้กระทั่งตอนหลัง สมัยที่พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) เรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ช่วงก่อนที่จะเรียนนั้น ทางอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สร้างฐานทัพอากาศ ก็คือสนามบินกำแพงแสน ทั้งคนงานทั้งครอบครัวทหารอากาศ ที่โดนดึงมาจากฐานทัพต่าง ๆ ทั่วประเทศมีหลายร้อยคน
โยมแม่เข้าไปขายกับข้าว มีผัก มีหมู มีไก่ มีอะไรรับจากตลาดเข้าไปให้เขา "เชื่อ" ก็คือเซ็นไว้ก่อน พอถึงเวลาสิ้นเดือน เงินเดือนออกถึงไปเก็บเงินกันทีหนึ่ง โยมแม่ไม่รู้หนังสือ แล้วคนเป็นร้อยแบบนั้น จำได้อย่างไรอาตมาก็บอกไม่ถูก แต่รู้ว่าคนรุ่นนั้นสมาธิดีมาก ถามว่าทำไมถึงสมาธิดีมาก ?
โยมพ่อเจอพระธุดงค์แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นว่างูตัวใหญ่กว่าลำตาลเสียอีก สามารถที่จะใช้ทรายเสกกำเดียวซัดให้ถอยหนีไปได้ พอถามแล้วรู้ว่าท่านมีคาถาวิเศษ โยมพ่อก็อยากจะเรียนบ้าง ปรากฏว่าพระท่านสอน อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ให้ บอกว่าให้ท่องไว้ทุกวัน แล้วถ้าจะให้ดีก็จัดข้าวนิดหนึ่ง น้ำนิดหนึ่ง กับข้าวนิดหนึ่ง ถวายพระทุกวัน แล้วก็สวดมนต์ จะมีผลคุ้มครองดีมาก คนที่เห็นกับตาว่าพระธุดงค์ท่านมีความสามารถขนาดนั้นก็เชื่อ ตั้งใจเรียนแล้วก็ท่องอยู่ทุกวัน
แต่โยมต้องเข้าใจว่า พระธุดงค์ท่านบอกครั้งเดียว แล้วท่านก็ถอนกลดไปแล้ว คนไม่รู้หนังสือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ยาวยืด ๓ บท ถ้าเป็นเราจะจำกันได้ไหม ? แต่โยมพ่อจำได้ แล้วสวดอยู่ทุกวัน
กระผม/อาตมภาพก็ได้อานิสงส์มา พอเริ่มรู้ภาษา โยมพ่อก็อุ้มหลับคอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกคืน เพราะว่าต้องรอจนกระทั่งทำงานเสร็จ เสร็จจากงานไร่ เสร็จจากงานในป่า กลับมาอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเรียบร้อยแล้ว ก็จัดอาหารชุดหนึ่งถวายพระ แล้วก็สวดมนต์
เพราะฉะนั้น..พระที่บ้านกระผม/อาตมภาพ ฉันอาหารหลังทุ่มครึ่งทุกวัน..! เพราะโยมพ่อไม่ได้ถามไว้ว่าให้ถวายตอนไหน พระธุดงค์ท่านบอกให้ถวายก็ถวาย..! ในเมื่อได้อานิสงส์ตรงนี้มา ก็เท่ากับว่ากระผม/อาตมภาพเองฝึกสมาธิอยู่ทุกวันโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ความจำค่อนข้างดี ฟังอะไรครั้งเดียวจำได้เกินครึ่ง ถ้าสองครั้งก็จำได้หมด แต่ถ้าเอาให้แน่นอนเลย ขอสักสามครั้ง
กระผม/อาตมภาพไปวัดครั้งแรกในชีวิต พระท่านให้พร จำได้ว่าเป็นบท "อัคคะโต เว ปะสันนานังฯ" จำได้แล้วท่องได้ด้วยเพราะว่าชอบ หลวงพ่อที่ท่านนำสวด เสียงท่านดังกังวาน น่าเกรงขาม น่าเลื่อมใสมาก พอโยมพ่อตาย มีการสวดพระอภิธรรมที่บ้าน ๗ วัน สมัยนั้นนิยมสวดกัน ๓ จบ พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ พอวันที่ ๓ กระผม/อาตมภาพก็จำบท "สังคะโหฯ" ได้แล้ว ท่องตามได้เลย ครบ ๗ วัน ก็ได้ทั้ง ๗ บทเลย
เมื่อช่วงประมาณสองเดือนครึ่งที่ผ่านมา มีการอบรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขาเรียกว่าโครงการ Upskill การสอนวิชาพระพุทธศาสนา เพิ่งจะประกาศผลเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา พระครูวิลาศกาญจนธรรมได้คะแนนเต็มร้อยเหมือนเดิม..!
นี่คือคนแก่อายุ ๖๔ แล้วมาเรียนหนังสือนะ..! สมัยก่อนบอกคนอื่นเขาว่า กระผม/อาตมภาพเรียนแล้วได้คะแนนเต็มร้อยจนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีใครเชื่อ แต่สมัยนี้พระเณรท่านเห็นจนเบื่อแล้ว โดยเฉพาะไอ้เด็กรุ่นหลังบอกว่า "หลวงตาน่าเบื่อมาก ไม่มีอะไรแตกต่างเลย มีแต่ A, A, A, A สู้ผมไม่ได้ A, B, C, D มีครบ F ก็ยังได้..!" เขาว่าอย่างนั้น ได้ยินแล้วกระผม/อาตมภาพ "น้ำตาจิไหล..!"
ที่พูดมาตรงนี้ก็เพื่อที่จะบอกพวกเราว่า การทำแบบนี้ได้ พื้นฐานไม่ได้มากมายอะไรเลย แค่สวดมนต์ทุกวัน ซึ่งก็คือการสร้างสมาธิ การที่เราจะทำสมาธิไม่ใช่มานั่งหลับตาอย่างเดียว ทำอะไรก็ได้ แต่ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับงานตรงหน้า อย่าให้เคลื่อนไปไหน นั่นคือการฝึกสมาธิแล้ว ถ้าหากว่าให้เรานั่งอย่างเดียว บางทีเราก็ไปไม่รอด
ดังนั้น..ในส่วนนี้จึงทำให้รู้สึกเป็นห่วงมากว่า เด็กสมัยใหม่ขาดการฝึกสมาธิ ที่ขาดก็เพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้ทำด้วย ในเมื่อไม่มีใครนำ เด็กก็เลยทำไม่เป็น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเด็กมักจะเลียนแบบและทำตามผู้ใหญ่
สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพสอนมโนมยิทธิ ต้องบอกว่ามีความสามารถค่อนข้างสูง ก็คือสอนใครก็มักจะได้เลย แต่ปรากฏว่าไปแพ้เด็ก ๖ ขวบ มีพี่น้องคู่หนึ่งแม่พามาอยู่วัด ตัวพี่อายุ ๖ ขวบ ฝึกมโนมยิทธิได้ ก็นั่งหลับตามีความสุข ขึ้นไปไหว้พระ ขึ้นไปหาญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ถ้าให้อาตมาสอนเด็กแบบนั้น ก็ต้องประมาณครึ่งค่อนชั่วโมง ถึงจะทำให้เขารู้ได้ว่าจะไปอย่างไร
แต่ปรากฏว่าเจ้าน้องชาย ๔ ขวบ เห็นพี่นั่งหลับตา ถามว่า "ทำอะไร ?" พี่ก็บอกว่า "ไปเที่ยวสวรรค์" น้องเขาถามว่า "ทำอย่างไร ?" พี่ก็บอกว่า "ก็หลับตาสิ..แล้วไปด้วยกัน" พูดแค่นั้นแล้วน้องชายทำได้เลย..! อาตมาก็ได้แต่นั่งตาปริบ ๆ "กูสอนแทบตายกว่าจะได้สักคน มึงพูดประโยคเดียว น้องทำได้เลย..! นั่นคือบุคคลที่ได้รับการฝึกหัดเพิ่มเติมนอกจากของเก่าของตัวเองแล้ว
ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครมีลูกมีหลาน มีญาติมีโยมที่เป็นเด็กสมัยใหม่ ถ้าเป็นไปได้พยายามสอนให้เขาฝึกสมาธิบ้าง ทำอะไรมากไม่ได้ ให้ว่าพุทโธสัก ๓ ครั้ง ๕ ครั้งก่อนนอนก็ยังดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะค่อย ๆ สั่งสมตัวเองไปเรื่อย เหมือนกับน้ำทีละหยด เดี๋ยวก็ได้เป็นแก้ว เป็นขวด เป็นตุ่ม เป็นไหไปเอง
พอถึงเวลา ถ้าสมาธิเขาดีขึ้น ก็สอนให้สวดมนต์ นะโม ตัสสะฯ ก็ได้ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ก็ได้ จุดมุ่งหมายใหญ่บอกกับเขาว่า อันดับแรกเลย ถ้าใครสวดมนต์ ผีจะไม่กวน อันดับที่สอง ถ้าขยันสวดมนต์จะเรียนเก่ง แล้วเราไม่ต้องเสียเวลาไปหลอกเด็กเลย เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นจริงตามนั้น
ดังนั้น..ด้วยความที่เห็นสามเณรหน้าไฟวันนี้แล้วเกิดความห่วงใย จึงไปนึกถึงว่า จากตัวเองเป็นเด็กมาจนถึงปัจจุบันนี้ ห่างกันแค่ประมาณ ๖๐ ปี สัญญาและปัญญาของคนทรามลงไปได้ขนาดนั้น รุ่นพ่อรุ่นแม่ของอาตมภาพนี้ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ แต่เขากำหนดจดจำได้ทุกเรื่อง ลูกตัวเองมีกี่คน เกิดวันไหน ? เดือนไหน ? ปีไหน ? บอกได้หมด
คน ๆ นั้นมาหา ก็สามารถบอกได้ว่าปู่ย่าตาทวดของเขาเป็นใคร ไอ้เจ้านี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่แต่งงานกันเมื่อไร นี่คือสิ่งที่คนสมัยก่อนซึ่งมีสภาพจิตใจค่อนข้างสงบ การแย่งชิงในการทำมาหากินมีน้อย ก็เลยทำให้เขาทั้งหลายเหล่านี้มีสมาธิโดยปริยาย
โดยเฉพาะผู้ชายสมัยก่อนโดนบังคับเลยว่าต้องบวชอย่างน้อย ๑ พรรษา ถ้าใครไม่บวชไม่ต้องไปหาเมีย ไม่มีพ่อแม่คนไหนยกลูกให้ "คนดิบ" เขาว่าอย่างนั้น ในเมื่อได้รับการบวช การฝึกฝนขัดเกลามา จึงกลายเป็นพื้นฐานให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีสมาธิ จะทำสิ่งหนึ่งประการใดก็ได้เปรียบคนอื่น เพราะว่าสภาพจิตจดจ่ออยู่กับงานตรงนั้น
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.