View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
K80zcAwcKVk
วันนี้ตรงกับวันพุธที่  ๑๓  กรกฎาคม   พุทธศักราช  ๒๕๖๕   ตรงกับวันขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๘  หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า  วันอาสาฬหบูชา  ทางวัดท่าขนุนของเรามีการทำบุญใส่บาตร  ฟังพระธรรมเทศนา พระเจริญพระพุทธมนต์  ถวายภัตตาหารสังฆทาน  ส่วนในช่วงบ่ายพระภิกษุวัดท่าขนุนลงพระอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์  หลังจากนั้นก็มีการอธิษฐานพรรษา  ซึ่งหลายแห่งก็สงสัยว่า ทำไมวัดท่าขนุนถึงอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา ?
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในกฐินขันธกะได้กำหนดเอาไว้ว่า  ภิกษุผู้ที่จะรับกฐินได้นั้น ต้องจำพรรษาครบถ้วนไตรมาส (๓  เดือน) ซึ่งถ้าหากเรานับวันเข้าพรรษาเป็นวันแรก  แล้วท่านไปอธิษฐานพรรษาในช่วงเย็นของวันเข้าพรรษา  ก็แปลว่าจะขาดไปหลายชั่วโมง..!
ถึงแม้ว่าวัดท่าขนุนจะปวารณาพรรษาในวันขึ้น ๑๕  ค่ำ เดือน  ๑๑ ก็ตาม แต่ก็ยังคงรักษาผ้าครองและรักษาการจำพรรษาไปจนกระทั่งถึงวันแรม  ๑  ค่ำ  เดือน  ๑๑  หรือที่เรียกกันว่า วันตักบาตรเทโว  เพื่อที่จะให้ครบถ้วน  ๓  เดือนเต็มตามพระบรมพุทธานุญาต  จะได้ไม่มีปัญหาในการรับกฐิน
ตรงนี้ต้องบอกว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีความละเอียดในพระธรรมวินัยมาก เมื่อกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องจำพรรษาครบถ้วนไตรมาส  จึงจะมีสิทธิ์รับกฐินได้  คิดกันแบบบุคคลทั่ว ๆ ไป ก็คือ  ถ้านับชั่วโมงแรกในวันเข้าพรรษา แล้วท่านไปอธิษฐานพรรษาในช่วงบ่ายของวันเข้าพรรษา  ก็แปลว่าขาดไปหลายชั่วโมง  ถ้าท่านทั้งหลายไปออกพรรษาในวันขึ้น  ๑๕  ค่ำ เดือน ๑๑  โดยไม่ได้รักษาการเข้าพรรษาต่อ  ก็แปลว่าอาจจะขาดไปอีกหลายชั่วโมง..!  
ดังนั้น..เพื่อไม่ให้เกิดการลักลั่นในพระธรรมวินัย  หรือไม่ให้เกิดข้อสงสัยในการประพฤติปฏิบัติ  พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านถึงได้แนะนำว่า  ให้พระภิกษุอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา  คือวันขึ้น ๑๕  ค่ำเดือน ๘  แล้วรักษาการเข้าพรรษายาวไปจนถึงเช้าวันแรม  ๑  ค่ำ  เดือน  ๑๑  ซึ่งเป็นวันตักบาตรเทโว   จะได้หมดข้อสงสัยกันไปโดยปริยาย  
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราขาดความเคร่งครัด  อาจจะทำให้เราไม่ใช่บุคคลที่สมควรแก่การรับกฐิน  เมื่อรับกฐินไป  นอกจากอานิสงส์ไม่ได้แก่ตนแล้วพวกเราที่ไม่ใช่บุคคลที่ควรแก่รับกฐิน  ก็จะทำให้อานิสงส์ของเจ้าภาพกฐินลดน้อยถอยลงไปด้วย
ในเรื่องของพระธรรมวินัยนั้น  กระผม/อาตมภาพถือตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์  ก็คือให้เข้มงวดไว้ก่อน  เมื่อผ่อนลงมาก็จะพอดี   แต่ถ้าท่านไปผ่อนตั้งแต่ต้น  เมื่อถึงเวลาผ่อนลงไปอีก  ก็จะกลายเป็นหย่อนยานและเสียหายในพระธรรมวินัยไปเลย   ทำให้หลายวัดที่มีการประพฤติปฏิบัติซึ่งไม่ค่อยจะเข้มงวดนั้น  บางทีก็เห็นการปฏิบัติผิดของตนกลายเป็นถูก  แล้วกล่าวว่าที่วัดท่าขนุนอธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชานั้น เป็นการกระทำที่ผิด ต้องไปอธิษฐานวันเข้าพรรษาจึงจะถูก  เหล่านี้เป็นต้น  
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อนาน ๆ ไป ก็จะมีการยึดถือตามครูบาอาจารย์ของตน   แล้วกลายเป็นอาจาริยวาท  ซึ่งทำให้เกิดนิกายต่าง ๆ ขึ้นมา  ในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒   หลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี  ตอนนั้นแตกออกไปถึง  ๑๘  นิกายด้วยกัน  ก็เพราะถือว่าการปฏิบัติของอาจารย์ของตนนั้นถูกต้อง  
ปัจจุบันในประเทศไทยของเรานั้น  ก็มีแนวโน้มว่าการปฏิบัติของเรานั้นแยกออกเป็นหลายสายด้วยกัน  ถ้ามีการกระทบกระทั่งกันเมื่อไร  ก็จะกลายเป็นนิกายขึ้นมาทันที  อย่างเช่นว่าเป็นสายของสันติอโศก  เป็นสายของธรรมกาย  เป็นสายของวัดป่าสายหลวงปู่มั่น   เป็นสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง  แล้วก็ยังมีสายของวัดนาป่าพง  มีสายของการปฏิบัติแบบนามรูป  มีสายการปฏิบัติแบบเคลื่อนไหว  เป็นต้น  
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความอ่อนไหวของพระพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างมาก  ก็คือแทนที่จะมีแค่ธรรมยุตและมหานิกาย สองนิกายเท่านั้น  ปัจจุบันนี้เรามีทั้งธรรมยุติกนิกาย  มีมหานิกาย  มีจีนนิกาย  มีอนัมนิกาย  และหลายแห่งก็มีวัชรยานของทางด้านทิเบตแทรกเข้ามาด้วย   ซึ่งตรงจุดนี้ในการยึดถือนั้นจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แตกต่างในเรื่องของข้อธรรมและแนวปฏิบัติสักเท่าไร  แต่ส่วนที่ทำให้เกิดความอ่อนไหวก็เพราะว่า มาปะปนกันอยู่ในคณะสงฆ์ไทย   แล้วทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาในบรรดาหมู่ศิษย์ทั้งหลาย
ต้องบอกว่าสายการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ  นั้น  บรรดาต้นสายไม่ได้ทะเลาะกันเลย  ถ้าเราดูต้นสายของการปฏิบัติในสายพุทโธ  จะกล่าวว่าเป็นหลวงปู่มั่น ทางด้านอีสานเป็นต้นสายก็ตาม  หรือสายการปฏิบัติแบบสัมมาอะระหัง  มีหลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ  เป็นต้นสาย  การปฏิบัติแบบพองยุบมีหลวงปู่พม่า หรือ ดร.ภัททันตะ  อาสภมหาเถระ  ซึ่งตอนหลังไปจำพรรษาอยู่ทางวิเวกอาศรม  จังหวัดชลบุรี เป็นต้นสายก็ตาม  
กล่าวโดยคร่าว ๆ แล้ว บรรดาเจ้าอาวาสที่นับเป็นต้นสาย หรือหลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นต้นสายนั้น  ท่านไม่ได้มานั่งถกเถียงกันว่าของใครถูก  ของใครผิด หากแต่ว่าบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างหากที่เอากิเลสไปชนกัน  แล้วก็แบ่งแยกว่านี่เป็นสายฉัน   นั่นเป็นสายเธอ  เมื่อแบกกิเลสไปชนกัน  ถึงเวลาแล้วต่างคนต่างก็ถือทิฏฐิมานะ  แบกตัวกูของกูไปอย่างเต็มที่  ต้องของอาจารย์กูเท่านั้นจึงจะถูก  ก็จะไปงัดข้อกันจนทำให้เกิดการแตกแยกขึ้นมาในพระพุทธศาสนาของเราโดยใช่เหตุ   หลังจากนั้นเมื่อแบกกิเลสกันมาก ๆ  ก็จะมีแนวโน้มแตกออกเป็นหลายสายดังที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวไปแล้วในเบื้องต้น
อยากจะบอกว่าสิ่งที่ครูอาจารย์ต้นสายทั้งหลายประพฤติปฏิบัติมานั้น  ล้วนแล้วแต่อยู่ใน  ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น  ผู้ใดที่ถนัดตรงจุดไหน  ถนัดที่แบบไหน  ก็ได้สั่งสอนลูกศิษย์ไปในแบบนั้น  ลูกศิษย์ทั้งหลายถ้าหากว่าชอบใจในปฏิปทานั้นก็ยึดถือปฏิบัติตาม ๆ กันมา  ทำให้เกิดเป็นสายโน้นสายนี้   
เหมือนอย่างกับครูบาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้สอนการทำอาหารออกไปเป็นเมนูถึง  ๘๔,๐๐๐  อย่าง  บรรดาลูกศิษย์เรียนรู้ไปแล้วมีความถนัด  มีความชำนาญแบบไหน  ก็ทำอาหารแบบนั้นออกมาจำหน่าย  บรรดานักชิมทั้งหลายเมื่อชิมที่ร้านไหนแล้วเกิดติดใจ ก็บอกต่อ ๆ กันไป  ท่านที่ชอบอาหารรสเดียวกันก็ไปกินที่ร้านนั้นมาก  จนก่อให้เกิดชื่อเสียงของร้านนั้น ๆ  ขึ้นมา  แต่ว่าทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากครูใหญ่  อาจารย์ใหญ่ที่สอนไปทั้งสิ้น
จะว่าไปแล้ว หลักธรรมในประเทศไทยไม่ได้มีสายโน้น  ไม่ได้มีสายนี้   ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นสายของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น  ที่แบ่งสายขึ้นมาได้นั้นก็เพราะว่า ความชำนาญของครูบาอาจารย์แต่ละท่านไม่เหมือนกัน  แล้วนำไปสั่งสอนลูกศิษย์ของตนตามความถนัด  
เปรียบเสมือนว่าการเดินทางไปสู่กรุงเทพฯ  นั้น   ถ้าหากว่าท่านมาทางภาคเหนือ ท่านก็ต้องเดินทางมาตามถนนพหลโยธิน   ถ้าท่านมาทางภาคอีสาน  ก็ต้องเดินทางมาตามถนนมิตรภาพ  ถ้าหากว่าท่านเดินทางมาจากภาคตะวันออก  ก็ต้องเดินทางมาตามถนนสุขุมวิท   ถ้าท่านเดินทางมาจากทางภาคใต้  ก็ต้องเดินทางมาจากถนนเพชรเกษม   
นี่เป็นหลักใหญ่ ๆ ถึงสี่สายไปแล้ว    แล้วยังมีถนนสายย่อย  ไม่ว่าจะเป็นถนนสายเอเชียก็ดี  จะเป็นมอเตอร์เวย์ก็ตาม  หรือจะเป็นทางด่วนสายโน้นสายนี้   แต่ว่าทั้งหมดก็จะพามาถึงกรุงเทพฯ ได้ทั้งสิ้น   แล้วจะไปบอกว่าการเดินทางสายโน้นผิด  ต้องสายนี้เท่านั้น  ท่านลองใช้ปัญญาตรองดูว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ ?
  
และในเมื่อถนนทุกสายล้วนมุ่งไปในกรุงเทพฯ  หรือว่าการปฏิบัติธรรมทุกสายล้วนมุ่งไปสู่พระนิพพาน  โดยไม่ได้ไกลไปจาก ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้  แล้วกระจายออกไปเป็นมรรคมีองค์  ๘  กระจายออกไปเป็นหลักธรรมในพระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก  รวมแล้ว  ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อขัดเกลา กาย  วาจา  ใจ  ของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์  เมื่อกาย  วาจา  ใจ สะอาดถึงที่สุด  ปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง  ท่านก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน  อันเป็นบรมธรรมในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาได้
ดังนั้น...ตราบใดที่ท่านทั้งหลายยังยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสายนั้น เป็นสายนี้  เป็นครูบาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ถึงใช่   ครูบาอาจารย์ท่านอื่นไม่ใช่  ก็แปลว่าท่านยังแบกกิเลสเอาไว้เต็มตัว  แล้วเมื่อไรท่านถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ ?
สำหรับวันอาสาฬหบูชานี้ ก็ขอฝากข้อคิดเอาไว้สำหรับพระภิกษุสามเณร  ตลอดจนกระทั่งอุบาสกอุบาสิกา และญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.