View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๕
UM3WKpP2J4M
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานคณะสงฆ์ โดยเฉพาะการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งจะว่าไปแล้วพระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล เจ้าคณะภาค ๑๔ นั้น ท่านอะลุ้มอล่วยมาก ก็คือบุคคลที่ไม่ทำตามสิ่งที่ท่านสั่ง ท่านก็ยังอุตส่าห์เปิดโอกาสให้เขาเปลี่ยนใจ ให้เขาได้ทำงานแก้ตัว
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ท่านกล่าวเอาไว้ก็คือว่า ให้พระเราช่วยกันดูแลเวลาพระภิกษุสามเณรในวัดป่วย ซึ่งตรงจุดนี้วัดท่าขนุนของเรานับว่าได้เปรียบวัดอื่นเขามาก เพราะว่าเรามีกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร ซึ่งระยะเดือนสองเดือนนี้โดนเบิกมากเป็นพิเศษ ล่าสุดก็การผ่าตัดของหลวงตาอิ้ว (พระณัฐวัฒน์ จิรธมฺโม) ๓๗,๐๐๐ กว่าบาท แต่คาดว่าอาจจะขอลดหย่อนได้ เพราะว่าเป็นพระภิกษุ
ในเรื่องของการรักษาพยาบาลนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านไปดูแลพระปูติคัตตติสสะ ที่ท่านน่าจะเป็นมะเร็ง ถ้าหากว่าว่ากันในอรรถกถาก็คือ ในอดีตชาติท่านเป็นนายพรานล่านก เมื่อได้นกมาก็หักปีกหักขาเพื่อเก็บเอาไว้จำหน่าย ความเจ็บปวดของนกนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน..!
พอมาชาตินี้ แม้ว่าท่านจะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะหนีกรรมเก่าตรงนี้ได้ ในธรรมบทท่านบอกเอาไว้ว่า เมื่อแรกก็บังเกิดเป็นตุ่มเล็ก ๆ เท่าเม็ดถั่วเขียวขึ้นบนผิวหนัง แล้วก็โตขึ้นเท่าเม็ดมะเค็ด โตขึ้นเท่าผลมะตูม แล้วก็แตก น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลโทรมไปทั้งกาย กระผม/อาตมภาพดูแล้วมีอย่างเดียวคือมะเร็ง มั่นใจว่าท่านคงเป็นมะเร็งที่ลามไปตามต่อมน้ำเหลือง เพราะว่าท่านเป็นทั้งองค์
ด้วยความที่เน่าไปทั้งตัวก็เลยได้ฉายาว่า ปูติคัตตติสสะ แปลว่า ติสสะผู้มีร่างกายอันเน่า ไม่มีใครช่วยดูแล จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไปเห็นเข้า จึงให้พระอานนท์ต้มน้ำร้อนมา แล้วพระองค์ท่านก็ผสมน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้ แล้วก็ซักผ้า ตากให้ โดยที่บอกกล่าวกับพระอานนท์และพระภิกษุทั้งหลายที่เห็นพระพุทธเจ้าเข้าไปช่วยเหลือ ก็แห่กันมา (ประมาณพวกคุณนั่นแหละ...ตอนที่กระผม/อาตมภาพไม่ทำงานก็ไม่มีใครทำกัน พอจับงานอะไรขึ้นมาก็แย่งกันมาช่วย สมควรโดนเตะ..!)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้ปราศจากเรือนแล้ว ทิ้งห่างจากญาติพี่น้องทั้งปวงแล้ว ถ้าพวกเธอไม่ดูแลกันเอง แล้วจะให้ใครมาช่วยดูแล ? พวกเธอที่หวังจักอุปัฏฐากตถาคต จงอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด เพราะการดูแลภิกษุไข้ มีอานิสงส์เหมือนกับการอุปัฏฐากตถาคต
พูดง่าย ๆ ก็คือใครอยากถวายการรับใช้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ต้องเสียเวลา เพราะว่าอย่างปัจจุบันนี้พระองค์ท่านก็ปรินิพพานไปนานแล้ว แต่ให้ช่วยกันดูแลภิกษุไข้ คือพระป่วย เณรป่วย ท่านบอกว่าการอุปัฏฐากภิกษุไข้ ก็เหมือนกับการอุปัฏฐากตถาคต
คราวนี้มากล่าวถึงท่านปูติคัตตติสสะ ร่างกายมีแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองเกรอะกรังไปทั้งตัว จิตใจก็หงุดหงิด กลัดกลุ้ม กังวล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยเช็ดล้าง ทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าใหม่ให้ มีความเบาสบาย
พระพุทธเจ้าพอเห็นว่าท่านติสสะกำลังใจสบายดีแล้ว ก็ตรัสว่า อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิงอะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัดถ้ง วะ กะลิงคะรังฯ
ที่พวกท่านทั้งหลายใช้ "บังสุกุลเป็น" นั่นแหละ ก็มาจากเรื่องนี้ ความหมายก็คือ ดูก่อนติสสะ...อันว่าร่างกายนี้เมื่อวิญญาณปราศจากแล้ว ก็เปรียบเหมือนกับขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางดิน ไม่มีผู้ใดปรารถนาอีก
ท่านติสสะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าความไม่ดีของร่างกายเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าสภาพจิตของตนเองหลุดพ้นไปได้ ก็จะเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่ง จึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่า สภาพร่างกายนี้ก็เหมือนกับไม้ท่อนหนึ่ง พอไม่มีวิญญาณคอยควบคุม คอยดูแลอยู่ ก็กลิ้งอยู่กลางดิน ในเมื่อกำลังใจท่านสบาย มรณภาพตอนนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าตอนนั้น ส่วนเราทั้งหลาย "ว่าเองมากี่รอบแล้ว แถมฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก มองเห็นบ้างหรือยัง ?"
เนื่องเพราะว่าตราบใดก็ตามที่เรายังไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ตราบนั้นคติของเราก็ยังไม่แน่นอน คติคือที่ไป ก็คือที่ไปในโลกหน้าหรือชาติต่อไปนั่นแหละ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราทำกรรมดีกรรมชั่วสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทุกชาติ ในช่วงที่กรรมดีส่งผล เราทั้งหลายก็รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจ เสวยกรรมดีไป บางทีก็ลืมนึกถึงว่ามีส่วนของกรรมชั่วยังรออยู่ พอถึงเวลากรรมชั่วเข้ามา ก็กลัดกลุ้ม หงุดหงิด กังวล บางทีปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ กำลังใจตก จากแต่เดิมความรู้สึกเหมือนเทวดาเหมือนนางฟ้า ก็ยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนอีก..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะเห็นชัดว่า ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น ตราบนั้นคติคือที่ไปของเรายังไม่แน่นอน
ถ้ายกตัวอย่างที่กระผม/อาตมภาพเจอมาเองก็คือ พระเดชพระคุณหลวงปู่พระราชอุทัยกวี วิ. (พุฒ สุทตฺโต ป.ธ.๕) หลวงปู่พุฒ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม หรือชื่อที่ชาวบ้านเรียกก็คือ วัดทุ่งแก้ว หลวงปู่ท่านทรงคุณความดีถึงขนาดว่า มรณภาพเมื่อไรไปพระนิพพานแน่ แต่ปรากฏว่าไปอยู่แค่พรหมชั้นที่ ๑๒ แม้ว่าจะเป็นสุทธาวาสพรหม ไม่ต้องลงมาเกิดอีก แต่ก็ยังต้องรอเวลาสร้างกำลังใจของตนให้สมบูรณ์พร้อม เมื่อขัดเกลากำลังใจของตนสมบูรณ์พร้อม ระยะเวลาเนิ่นนานมาก ถึงจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานได้ ถ้าถามว่านานแค่ไหน ก็แค่ ๒๐,๐๐๐ มหากัป..! ไหวไหม ?
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า "ก่อนตายใจไปคิดถึงว่า บัญชีวัดยังไม่ได้มอบหมายให้ใครดูแล" แค่นั้นเอง บัญชีทำเรียบร้อยทุกอย่าง แค่ไม่ได้มอบให้ใครดูแล..แวบเดียวที่สภาพจิตไปประหวัดถึง ก็คือการยึดเกาะ จากที่ควรจะหลุดพ้นไปก็เลยไม่ต้องไปกัน อีก ๒๐,๐๐๐ มหากัปแล้วค่อยมาว่ากัน ถ้าอยากรู้ว่านานแค่ไหนก็โน่น...เอา ๒๐,๐๐๐ คูณภูเขา ๕๖ ลูกเข้าไป เอาสำลีไปเช็ดภูเขาเหล่านั้นให้สึกเสมอพื้นก็ได้เวลาประมาณนั้นแหละ..!
เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก หลายคนที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติได้ มีทิพจักขุญาณ มีมโนมยิทธิ ถอดจิตถอดกายได้เป็นว่าเล่น ก่อนตาย กำลังภาวนาอยู่ดี ๆ ไม่รู้ว่ากรรมบันดาลอีท่าไหน มีเสียงเหมือนใครฟาดข้างฝาปังใหญ่ สติหลุดจากการภาวนา แล้วจิตก็หลุดจากตัวตอนนั้นพอดี แทนที่จะไปด้วยกำลังของพรหม ก็กลายเป็นมนุษย์ขี้เหม็นธรรมดา ไปอยู่ในลักษณะของสัมภเวสีทั่วไป ยังดีว่ามีเทวทูตท่านมารับ เมื่อถึงเวลาพระยายมราชท่านสอบสวน สามารถนึกถึงความดีได้ ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสลงข้างล่างมีสูงมาก
ฉะนั้น...ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ได้ว่ากล่าวมาถึง จนกระทั่งถึงเรื่องของพระปูติคัตตติสสะ เรื่องของที่มาของพระคาถาบังสุกุลเป็น แล้วก็มาในเรื่องของกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร มาลงท้ายด้วยความไม่แน่นอนของคติ คือที่ไปของเรา ไม่ว่าพระภิกษุสามเณร แม่ชี ฆราวาสหญิงชาย จะที่นี่หรือว่าที่บ้าน จะในประเทศหรือต่างประเทศ เราต้องไม่ประมาทอย่างเด็ดขาด เพราะว่าอันตรายล้อมรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา
เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็ไม่ได้เบาบางลงเลย เมื่อ ๒ วันก่อน เจ้าของโรงแรมชื่อดัง พอรัฐบาลประกาศให้ใส่หน้ากากตามความสมัครใจได้ ไม่บังคับ ก็ถอดหน้ากากประชุมกับลูกน้องเท่านั้น ติดเชื้อไวรัส ๒ วันตาย..!
สงครามระหว่างรัสเซียยูเครนมีแนวโน้มว่าขยายตัวใหญ่แน่นอน พวกเราเองถึงไม่ตายเพราะสงคราม ก็อาจจะตายเพราะว่าข้าวของแพงจนไม่มีปัญญาจะซื้อหามา เพื่อที่จะเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว
เราจะเห็นว่าอันตรายต่าง ๆ ล้อมรอบเราอยู่เสมอ เราประมาทเมื่อไรก็ตายไม่รู้ตัว ถ้าหากว่าตายแล้ว คติที่ไปคือลงอบายภูมิ ก็เป็นอันว่าจบกัน เสียชาติเกิด..!
พวกเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทุ่มเทกำลังใจในการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ทำเล่น ๆ ไม่ใช่ทำแก้บน เมื่อเราทุ่มเทเต็มที่แล้ว ได้แค่ไหนยินดีแค่นั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ขอให้ได้ทำ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราไม่เครียด ต้องพากเพียรพยายามอย่าได้หยุด ไม่เช่นนั้นแล้วคติที่ไม่แน่นอน ถ้าท่านพลาดเมื่อไร จะเสียชาติเกิดจริง ๆ..!
วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.