View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕
m5xYXbsHxiU
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันทั้งวันวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ของผู้ที่จะบูชาพระยอดขุนพลกาญจนบุรี บางรายก็ทำเอาวัดอื่นเดือดร้อนไปด้วย อย่างเช่นคิดว่าวัดท่าซิกจะมี เพราะว่าเปิดกระทู้ให้จองพระยอดขุนพลกาญจนบุรีชุดแรก เพื่อทำบุญกฐินปลดหนี้ของวัดชลธราราม หรือวัดท่าซิกที่จังหวัดเพชรบุรี ก็เลยทำเอาหลวงพ่อญา (พระครูวัชรชลธรรม) เจ้าอาวาสวัดท่าซิก เจ้าคณะอำเภอท่ายางเดือดร้อนไปด้วย
ส่วนหลายท่านที่ตั้งใจจะจองในเว็บวัดท่าขนุน แต่ปรากฏว่าหมดไปแล้ว เหลือเพียงในส่วนของวัดเองอีกไม่กี่ร้อยองค์ ซึ่งถ้าหากว่าไม่ห้ามเอาไว้ บรรดา "เซียนพระ" ก็คงจะเหมาหมด ต้องเก็บเอาไว้สำหรับท่านที่ลงทุนเดินทางไกลมาถึงวัดท่าขนุน อย่างน้อยก็จะมีติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง
ส่วนหลายท่านที่อยู่ในเว็บวัดท่าขนุนแล้วจองเป็นคนแรก ๆ แต่ว่าพลาดไปอย่างน่าเสียดาย ก็เพราะว่าไปแก้ไขกระทู้ของตนเอง ซึ่งตรงนี้ ทางเว็บวัดท่าขนุนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกระเบียบบังคับเอาไว้ ก็เพราะว่ามีหลายครั้งที่วัตถุมงคลเป็นที่ต้องการมาก เมื่อเจ้าตัวจองเอาไว้น้อย แล้วเห็นคนอื่นฮือฮาแย่งชิงกันจองกันคนละจำนวนมาก ๆ ก็กลับไปแก้ไขกระทู้ของตนเอง เพื่อที่จะเพิ่มจำนวน เป็นการเอาเปรียบคนอื่น
ทางเว็บวัดท่าขนุนจึงต้องออกระเบียบบังคับเอาไว้ ไม่ให้แก้ไขกระทู้ ไม่ว่าท่านจะแก้ด้วยเหตุประการใด ก็ถือว่าผิดกติกา ทำให้ผู้ที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ไปอย่างน่าเสียดาย จะบอกว่าไม่รู้กติกาก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายที่จอง ก็ควรที่จะอ่านกฎเกณฑ์กติกาไว้บ้าง แล้วเว็บวัดท่าขนุนเปิดให้จองวัตถุมงคลมาเป็นสิบปี ไม่ใช่เพิ่งจะเปิดให้จอง
ในส่วนของพระยอดขุนพลกาญจนบุรีนั้น เป็นพระเพียงไม่กี่รุ่นที่สร้างจากเนื้อผง ซึ่งตอนทำพิธี กระผม/อาตมภาพเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตาเสด็จมาสงเคราะห์ โดยปกติแล้ว เมื่อพระองค์ท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมาครอบคลุมทั่วพื้นที่ ซึ่งบางทีก็จะเห็นเป็นรูปพระครอบลงมา ก็เป็นอันว่าจบลงแค่นั้น แต่ว่างานนี้พระองค์ท่านเมตตาสงเคราะห์ ต้องบอกว่า มีการทำซ้ำรวมแล้ว ๓ รอบด้วยกัน โดยเฉพาะมีการเปลี่ยนสีไปต่าง ๆ นานา
เมื่อกราบทูลถาม ทรงตอบว่า "ก็เพราะเจ้าขอให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สถานการณ์ปัจจุบันมีทั้งภาวะสงคราม มีทั้งโรคระบาด มีทั้งปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้การสงเคราะห์ไปในด้านต่าง ๆ" ที่พูดไปนี่ไม่ใช่ปั่นยอดขาย เพราะว่าวัตถุมงคลหมดแล้ว เพียงแต่ว่าบอกกล่าวให้ทราบกัน
แต่ว่าตรงจุดนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ทางวัดรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบมาก ก็คือได้เข้าไปดูในเว็บเพจแห่งหนึ่ง จำหน่ายพระยอดขุนพลกาญจนบุรีพิมพ์เล็ก ยกลัง ๑๐๐ องค์ ราคา ๘๕,๐๐๐ บาท..! ถ้าหากว่ายกลังออกจากวัดไปก็ ๕๐,๐๐๐ บาท แปลว่าในช่วงระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง เขาสามารถทำกำไรได้ ๓๕,๐๐๐ บาท..! และก็มีคนบูชาไปเรียบร้อยแล้วด้วย
แบบเดียวกับวัตถุมงคลเนื้อทองคำของวัดท่าขนุน มีอยู่รุ่นหนึ่ง ทางวัดออกให้บูชา ๓๐,๐๐๐ บาท เขาก็เอาไปออกต่อภายในเว็บเพจ ๑๕๐,๐๐๐ บาท แล้วก็มีคนบูชาอีก..!
กระผม/อาตมภาพก็เลยรู้สึกว่าตนเองโดนเอาเปรียบ เพราะว่าเขาอยู่เฉย ๆ ก็กำไรเป็นครึ่งเป็นค่อนหรือหลายเท่าตัว จะบอกว่ารู้จักทำมาหากินก็ใช่ แต่บางทีก็ขูดเลือดขูดเนื้อคนอื่นจนเกินไป ก็คงต้องใช้วิธีเดียวก็คือ ถ้าใครเหมามาก ๆ ก็ไม่ขายให้เท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าผู้จัดจำหน่ายก็ถือว่าเด็ดขาดพอ เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองติดงานอยู่ เมื่อลงพระอุโบสถ นั่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชพระเสร็จ กลับออกมาจะขอบูชาพิมพ์กรรมการ บรรจุตะกรุดทองคำ ปรากฏว่าไม่ทันแล้ว..!
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเจ้าหน้าที่ของเรานั้น ตรงต่อระเบียบและเด็ดขาดมาก ก็คือแม้แต่เจ้าอาวาส ถ้าช้าก็อดเหมือนกันและโดยเฉพาะถ้าผิดระเบียบก็โดนเหมือนกัน ท่านทั้งหลายต้องเข้าไปสังเกตดู บุคคลที่มีสถานภาพพิเศษ ก็คือโดนแขวนตลอดชีวิต มีเจ้าหน้าที่คนสำคัญของเว็บวัดท่าขนุนอยู่ด้วย เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะว่าถ้าเรามีหลายมาตรฐาน มีคนนอกมีคนในเมื่อไร ก็จะเสียความยุติธรรมทันที
ท่านทั้งหลายอย่าได้ลืมพระคาถาปลุกพระยอดขุนพลกาญจนบุรี ซึ่งบางท่านเรียกว่า คาถาพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธ มาจากบาลีในพระไตรปิฎกนั่นเอง คือ สัตถาธะนุง อากัฑฒิตุง อะเทสะยิ ต่อด้วยพระคาถาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ นะโมพุทธายะ
อีกส่วนหนึ่งที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ มีเวลาสำหรับวันนี้ ก็เข้าไปดูในยูทูบ ปรากฏว่าเห็นเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันหนึ่ง ก็คือวันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มียอดวิวประมาณ ๑๒,๐๐๐ ซึ่งมากกว่าปกติทั่วไปเป็นเท่าตัว
ปรากฏว่าเป็นบันทึกขณะที่แสดงธรรมให้แก่คณะแรลลี่เที่ยวชุมชนยลวิถี จากเพจกิฟท์จังพลังเวทย์ ซึ่งมีการบอกกล่าวสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันไปหลายประการด้วยกัน ตรงนี้ต้องบอกว่าสงวนเอาไว้สำหรับผู้ที่มากับคณะแรลลี่ทัวร์เท่านั้น เพราะว่าของบางอย่างบอกทั่วไปก็ไม่ได้ อาจจะสร้างความตื่นตระหนก เดี๋ยวก็โดน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เข้าไปอีก..!
ดังนั้น...ถ้าหากว่าใครสนใจเรื่องราวแบบนั้น ก็มีทางเดียวคือเดินทางมากับคณะแรลลี่ทัวร์เอาเอง กระผม/อาตมภาพก็คงจะไม่บอกไม่กล่าวเป็นการทั่วไป เพราะว่าบางอย่างก็ฝืนกฎของกรรม เพียงแต่แปลกใจว่ายอดวิวของวันนั้นมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ทำเงินให้กับทางวัดท่าขนุนได้มาก เพราะว่าถ้าครบ ๑,๐๐๐ วิว ถ้าวัดท่าขนุนก็จะได้ ๕ ดอลลาร์ แต่ว่าไม่ได้เต็ม ๆ เพราะว่าโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย
ในปัจจุบันนี้ แต่ละเดือน ญาติโยมที่เข้าไปดู เข้าไปฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ทำเงินให้กับทางวัดเดือนละหลายพันบาท ไม่จำเป็นที่จะต้องบุกไปจับพระสึกแล้วเรียกยอดไลค์ ก็ได้เงินเหมือนกัน นี่ว่าไปถึงไหนแล้ว ? ไม่น่าจะเกี่ยวกันใช่ไหม ?
คราวนี้ย้อนกลับมาเรื่องภายในวัดของเรา บางท่านอาจจะลืมไปแล้วว่า กระผม/อาตมภาพสงวนสิทธิ์การตัดต้นไม้ทุกต้นในวัด ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ห้ามตัด แล้วก็มีไอ้พวกรั้นไปตัดจนโดนไล่ออกจากวัดไปแล้ว เพราะถือว่าถ้าไม่ฟังก็อยู่ด้วยกันไม่ได้..!
ปัจจุบันนี้ที่ได้รับอนุญาตจากกระผม/อาตมภาพให้ตัดแต่งต้นไม้อยู่ก็คือ มหาเสริฐ (พระมหาอุตรา อุตฺตโร ป.ธ. ๖) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เพราะว่าท่านพอที่จะเข้าใจว่ากระผม/อาตมภาพต้องการต้นไม้ในลักษณะไหน ไม่ใช่ไปถึงก็ตัดกระจาย โดยเฉพาะทางเทศบาลโดนด่าจมธรณีมาแล้ว เพราะว่าเขาก็ตัดกันแบบเจ้าหน้าที่ ก็คือโละต้นไม้หายไปซีกหนึ่ง..!
เหตุที่จำเป็นจะต้องสงวนสิทธิ์เกี่ยวกับต้นไม้เอาไว้ เพราะว่าอันดับแรกเลย คนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีฝีมือ ตัดแต่งไปแล้ว นางตะเคียนมาร้องไห้ร้องห่มกับผม ประมาณว่าโดนกร้อนหัวไปซีกหนึ่ง..!
ประการที่สองก็คือ ในสิ่งที่คุณตัดนั้น บางทีเจ้าของเขาหวง ถ้ากระผมในฐานะเจ้าอาวาสที่มีอำนาจเต็ม ไม่ได้อนุญาตแล้วไปทำกันส่งเดช พวกคุณอาจจะซวยไม่รู้ตัว แต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาก็คือว่าบอกแล้วไม่ฟังกัน
เนื่องเพราะว่าพระภิกษุสงฆ์สามเณรของเราปกครองกันตามอาวุโส ต่อให้บวชพร้อมกัน ถ้าหากว่าพระอาจารย์คู่สวดเอ่ยนามท่านใดก่อน คนนั้นก็เป็นพี่ ก็จะอยู่ในลักษณะของพี่สอนน้อง หรือว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์แนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่ารุ่นพี่บอกกล่าวอะไรก็ควรที่จะฟังกัน ไม่ใช่มองเขาหัวถึงตีน ประมาณว่า "มึงเป็นใคร ? บังอาจมาสอนกู..!"
ถ้าในลักษณะอย่างนั้น ก็แปลว่าท่านเองกำลังทำตัวแปลกแยกจากสังคม ให้ตรึกตรองย้อนหลังไปว่า ตั้งแต่พอรู้ความมาจนถึงบัดนี้ อยู่ที่ไหนแล้วไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งคนอื่นบ้างหรือเปล่า ? ซึ่งกระผม/อาตมภาพมั่นใจได้เลยว่า ถ้าสันดานเป็นอย่างนี้ก็ต้องมีทุกที่..!
ดังนั้น...จึงเป็นเรื่องที่เราควรที่จะสำนึกว่าการเป็นพระภิกษุสามเณรของเรานั้น ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์หรือรุ่นพี่ว่ากล่าวตักเตือนแล้วเราไม่ฟัง ก็คือแบกอาบัติติดตัวอยู่ตลอดเวลา ถือว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระวินัย แล้วบุคคลที่แบกอาบัติติดตัวอยู่ตลอดเวลา บกพร่องในพระวินัย โอกาสที่ปฏิบัติแล้วจะเอาดีได้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าสภาพจิตหยาบเกินกว่าที่จะเห็นโทษของตนเอง ในเมื่อไม่เห็นโทษของตนเอง แล้วจะไปเห็นหน้ากิเลสที่ละเอียดกว่าได้อย่างไร ?
ดังนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็คือพยายามปรับปรุงแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะกินตัวของท่านเอง แล้วท้ายที่สุดก็จะโดนคลื่นแห่งพระธรรมวินัยซัดขึ้นสู่ฝั่ง กลายเป็นซากศพเน่าอุจาดตาอยู่เท่านั้น
วันนี้รบกวนเวลาพวกเรามามากแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.