View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕
IX2N8an56lE
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ขณะนี้พักอยู่ที่ร้านสมนึกการบัญชี ซอยตรงข้ามโรงแรมวังน้อย ถนนดวงจันทร์ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เมื่อวานนี้กลับมาถึงก็ค่ำแล้ว มาในลักษณะของการ "หมดสภาพ" เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าวันก่อนนั้นกลับถึงที่พักดึกมาก มีเวลาพักผ่อนประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็ต้องรีบเดินทางลงมาจนถึงสนามบินหาดใหญ่ จากนั้นญาติโยมก็ได้นำรถมารับ วิ่งต่อไปยังวัดรัตนานุภาพ ตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ต้องนั่งรถจากหาดใหญ่ไปประมาณ ๓ ชั่วโมงเศษ
เมื่อไปถึง ก็ได้เวลาที่ทางด้านวัดรัตนานุภาพทำการสวดพระพุทธมนต์บำเพ็ญกุศลถวายพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (สว่าง จนฺทวํโส) อดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ และพระสมุห์อรรถพร กุสลจิตฺโต อดีตเลขานุการเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ ซึ่งเสียชีวิตพร้อมกันในวันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ จากการโดนผู้ก่อการร้ายยิงมรณภาพทั้งคู่
เนื่องจากเขาเริ่มพิธีแล้ว จึงได้แต่ยกมือไหว้พระเถรานุเถระซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่ แล้วเข้าไปหาที่ว่างนั่งร่วมงานกับเขา พระเถรานุเถระในพิธีนั้น ก็มีตั้งแต่พระเดชพระคุณพระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) เจ้าอาวาสวัดกะพังสุรินทร์ เจ้าคณะใหญ่หนใต้
พระเดชพระคุณพระเทพสิทธิมุนี (บุญสิน อุตฺตมชาโต) เจ้าอาวาสวัดดุสิดารามวรวิหาร เจ้าคณะภาค ๑๘
ท่านเจ้าคุณชรัช พระสิริจริยาลังการ (ชรัช อุชุจาโร ป.ธ.๖, ดร.) เจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสร พระอารามหลวง รองเจ้าคณะภาค ๑๘ ซึ่งเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงกันมาตั้งแต่ยังเป็นพระมหาชรัชอยู่ที่วัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี
และพระเถระรูปอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระโสภณคุณาธาร (สุธี ปสนฺโน) เจ้าอาวาสวัดทองดีประชาราม เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาสรูปปัจจุบัน และ ฯลฯ
เมื่อร่วมพิธีจนเสร็จเรียบร้อย มีโอกาสได้กราบไหว้ ทักทายพูดคุยกันไม่กี่คำ ก็ต้องแยกย้ายกันไปฉันเพล หลังเพลแล้วแดดร้อนจัดมาก อากาศอบอ้าว ตอนที่นั่งอยู่ก็มีอาการว่ามาลาเรียเรื้อรังจะกำเริบขึ้นมา เนื่องจากว่าขาดการพักผ่อนขึ้นมาเมื่อไร "เพื่อนเก่า" รายนี้ก็จะมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ดีที่ญาติโยมซึ่งเป็นผู้รับผู้ส่งได้เตรียมน้ำร้อนเอาไว้ให้ จึงพอที่จะระงับอาการลงได้บ้าง
เมื่อเวลาประมาณบ่ายโมงตรง หลังจากที่มีการสวดมาติกาแล้ว พระเดชพระคุณพระพรหมจริยาจารย์ ก็ได้กล่าวสังเวคกถา ถึงการที่พวกเราทั้งหลายสามัคคีมาชุมนุมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ของหนใต้ก็ดี และคณะสงฆ์จากจังหวัดอื่น ๆ รวมทั้งกรุงเทพมหานครก็ตาม ที่มารวมกันอยู่แล้วหลายร้อยรูป แม้น่ากลัวว่าจะมีการคิดร้ายทำร้ายอะไรกันขึ้นมาอีกหรือเปล่า ? แต่การที่เราท่านทั้งหลายมารวมกันจำนวนมากนั้น ก็แสดงออกซึ่งความสามัคคีกลมเกลียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ทุกคนเห็นว่าชาวพุทธของเรานั้นไม่ทิ้งกัน
เมื่อพระเดชพระคุณพระพรหมจริยาจารย์ได้กล่าวสังเวคกถา และอนุโมทนากับทุกท่านแล้ว ก็เริ่มพิธีพิจารณาผ้าไตรบังสุกุล ปรากฏว่าทันทีที่เริ่มทอดผ้าไตร ฝนก็ได้กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ด้วยกระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ริมสุด ก็คือขอบเต็นท์ จึงโดนละอองฝนอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งระยะเวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมงครึ่ง กระผม/อาตมภาพพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้ารอจนกระทั่งเสร็จพิธี อาการไข้ที่กำเริบเพราะว่าอากาศร้อนแล้วมาโดนฝน ก็อาจจะหนักถึงขนาดสั่นให้คนอื่นเขาเห็น ซึ่งจะเป็นการเสียกิริยา หรือว่าทำเอาผู้อื่นตกอกตกใจ
กระผม/อาตมภาพจึงได้ชวนญาติโยมทั้งหลายกลับ ปล่อยให้หลวงนิล คือพระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม ซึ่งเดินทางร่วมกันมาตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งถึงวันนี้ ซึ่งนั่งเที่ยวบินจากสกลนครมาลงดอนเมืองพร้อมกัน นั่งเที่ยวบินจากดอนเมืองมาลงหาดใหญ่พร้อมกัน ปล่อยให้ท่านที่เป็นเพื่อนสนิทที่เหลืออยู่รูปเดียวในพระสงฆ์ ๖ รูปที่ไปปฏิญาณตนต่อกันว่า "จะทำหน้าที่เพื่อพระพุทธศาสนาจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่" ซึ่งทั้ง ๖ รูปนั้น ปัจจุบันก็เหลือกันอยู่แค่ ๒ รูปนี้เท่านั้น ให้ท่านซึ่งแข็งแรงกว่าอยู่ร่วมงานต่อไป
กระผม/อาตมภาพก็เดินฝ่าสายฝนไปขึ้นรถ เปียกปอนไปทั้งตัว จนกระทั่งนั่งรถมาอีกประมาณ ๓ ชั่วโมง ถึงร้านสมนึกการบัญชีตอน ๖ โมงเย็นเศษ ผ้าจีวรที่เปียกก็แห้งคาตัวไปแล้ว มาถึงทางด้านนี้ ญาติโยมรอกันอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แต่รีบฉันยาแล้วก็รับสังฆทาน เมื่อให้พรเสร็จเรียบร้อย ก็ขอร้องให้ญาติโยมกลับ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพไม่ไหวแล้ว..!
เมื่อขึ้นที่พักแล้ว ด้วยความที่รีบฉันยาลงไป อาการมาลาเรียที่ทำท่าว่าจะสั่นก็สามารถที่จะระงับอาการเอาไว้ได้ ทำให้สามารถเข้าร่วมรายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม ที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วจนกระทั่งครบจบลงตอน ๓ ทุ่ม แล้วถึงได้พักผ่อน
จากนั้นก็ลุกขึ้นมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนตอนตี ๓ ครึ่ง สำหรับญาติโยมที่ไม่ได้มาพบหากัน ที่ไม่ได้มีโอกาสได้เจอ "ตัวเป็น ๆ" อย่างที่เมื่อวาน ญาติโยมส่วนหนึ่งไปพบที่วัดรัตนานุภาพแล้วกล่าวเอาไว้ว่า ฟังแต่เสียง ดูแต่รูปมาหลายปี เพิ่งจะมีโอกาสได้พบตัวเป็น ๆ
ในโอกาสเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็ไม่สามารถที่จะต้อนรับขับสู้พูดคุยอะไรได้ เพราะว่าประการแรกก็คือ อยู่ในงานของคนอื่นเขา ประการที่สองก็คือ เสียงจากโฆษกดังมาก ทำให้พูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ได้แค่ทักทายไถ่ถามกันเท่านั้น และประการสุดท้ายก็คือ ต้องใช้กำลังใจข่มอาการป่วยที่จะกำเริบขึ้นมา ทำให้ขาดความสนใจต่อญาติโยมไปมาก
เนื่องเพราะว่าถ้าคลายกำลังใจออก แล้วอาการป่วยกำเริบ เหมือนดังที่คราวหนึ่ง ญาติโยมที่หาดใหญ่ต้องนำไปส่งที่โรงพยาบาลสงขลาฯ ม.อ.หาดใหญ่ ก็เพราะว่ามัวแต่ต้อนรับขับสู้ญาติโยมอยู่ จนกระทั่งกำลังกายตก ทำให้ในส่วนของโรคภัยกำเริบขึ้นมาจนเอาไม่อยู่ ในลักษณะเหมือนกับว่าลืมเอานั่งร้านไปค้ำเอาไว้ ทำให้บ้านเก่าพังลงมา ก็ไม่สามารถที่จะระงับยับยั้งได้ทัน จนต้องไปถึงมือหมอ
เรื่องนี้ขอบอกกับญาติโยมทั้งหลายว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะว่ากระผม/อาตมภาพมีอาการแบบนี้มาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี ปีนี้อายุ ๖๓ ปีเข้าไปแล้ว ๔๐ กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้รู้วิธีว่าจะระงับอาการของตนเองอย่างไร เพียงแต่สำคัญตรงที่ว่าญาติโยมทั้งหลายถึงเวลาพูดแล้ว บอกแล้ว กรุณาเชื่อกันด้วย ไม่ใช่เห็นว่าตนเองไม่ได้เจอเจอหลวงพ่อ ไม่ได้เจอพระอาจารย์มานาน ๒ ปี ๓ ปี ไล่เท่าไรก็ไม่ไป
ถ้าเป็นในลักษณะนั้นกระผม/อาตมภาพก็ต้องฝืนทนนั่งต่อไป ถ้ากำลังหมดเมื่อไร สมาธิตกลง ก็จะทำให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยกำเริบขึ้นมาได้ ต้องพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยว่า ประการแรก...กระผม/อาตมภาพเป็นคนแก่ ประการที่สอง...กระผม/อาตมภาพมีโรคประจำตัวอยู่ และประการที่สาม...มีการเดินทางต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ทำให้ขาดการพักผ่อน
ถ้าหากญาติโยมทั้งหลายถามว่า แล้วจะมาสงเคราะห์เขาทำไม ? ตรงนี้ก็ต้องบอกว่า เหตุที่ต้องมาเพราะอันดับแรก...ทำหน้าที่ของศากยบุตรพุทธชิโนรส ก็คือบุคคลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อถือ และไว้วางใจมอบภาระหน้าที่ให้ ในฐานะ ๑ ในพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็ต้องทำหน้าที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้เต็มที่ เปรียบเสมือนช้างศึกที่เข้าสู่สงคราม
ช้างศึกที่เข้าสู่สงครามนั้น ก็คือทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้ใส่ใจถึงลูกศร ปืนไฟ หอกดาบ ที่กระหน่ำเข้าใส่ตนเอง นอกจากทำหน้าที่จนกว่าจะจบศึกสงครามนั้นลงไป บาดเจ็บมาก บาดเจ็บน้อย หรือว่าถึงตายนั้นไม่ได้คิดถึง
ประการที่สองก็คือ ญาติโยมทั้งหลายเป็นผู้ที่มีบุญคุณ ได้ร่วมกองบุญการกุศลกับกระผม/อาตมภาพมา หลายท่านก็เกินกว่า ๓๐ ปีแล้ว เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาอยู่ ซึ่งเราควรที่จะช่วยกันประคับประคองในลักษณะที่เดินไปด้วยกัน ที่ภาษาในปัจจุบันนี้มักจะใช้คำว่า "ไม่ทิ้งใครเอาไว้ข้างหลัง" ถ้าหากว่าโยมมีมิตรจิต แล้วเราขาดมิตรใจ ก็จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราไม่มั่นคง
ตรงนี้ต้องบอกกับญาติโยมทั้งหลายว่า ถ้าหากว่าบอกกล่าวอะไรแล้วฟังกันบ้าง กระผม/อาตมภาพก็คงพอที่จะรักษาสภาพสังขารนี้เอาไว้ ให้ท่านทั้งหลายได้ใช้เป็นเนื้อนาบุญต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเอาแต่กำลังใจของตนเอง ก็อาจจะทำให้กายสังขารของกระผม/อาตมภาพรับภาระไม่ไหว
ถ้าถึงเวลาพังลงไปนั้น แม้จะเป็นความยินดีและพอใจของกระผม/อาตมภาพก็ตาม แต่ว่ากำลังใจส่วนใหญ่ก็อาจจะเสียหาย และทำให้ทุกคนต้องหาหลักที่ยึด เพื่อที่จะได้เกาะเกี่ยวนำพาตนเองให้พ้นจากวัฏสงสารอีกรอบหนึ่ง กว่าที่จะหาหลักยึดที่ต้องการได้ ก็อาจจะต้องเสียเวลาไประยะเวลาหนึ่งได้
วันนี้จึงขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.