นักเดินทางสังสารวัฏ
05-04-2022, 00:41
๑.ในเรื่องของธรรมและการปกครองประเทศ รัฐสวัสดิการ หรือส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ welfare model ที่ประเทศในยุโรปใช้กัน จะมีลักษณะเด่นที่ จ่ายภาษีสูงอย่างต่ำ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่แลกมาด้วยสวัสดิการ ที่จำเป็นในชีวิต เช่น รักษาโรคฟรี เรียนฟรี ลาพักร้อนได้ ๑ เดือนในแต่ละปี โมเดลการปกครองประเภทนี้ ในความเห็นของหลวงพ่อในฐานะพระสงฆ์และเป็นพระโพธิสัตว์ที่ในอดีตชาติต้องเกิดมาปกครองคนมาเยอะ คิดว่าโมเดลแบบนี้ดีที่สุดหรือเปล่าครับ
๒.ในเรื่องของบารมี ๑๐ ในข้อของ ปัญญา และเมตตา คำถามคือ การทำงานกลุ่ม หรือในฐานะหัวหน้าคน ถ้ามีลูกน้องหรือคนที่ทำงานด้วย มาสาย ทำงานไม่ได้ตามเป้า เราเลยไล่คน ๆ นั้นออกจากกลุ่มเนื่องจากเป็นภาระ แบบนี้มันจะเป็นการขาดเมตตาบารมีไหมครับเพราะเราไม่ได้ให้อภัยเขา
๓.สงสัยครับในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีมหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันนั้นมีมหาวิทยาลัยแล้ว เลยอยากทราบว่าถ้าคนเราบริจาคเงินสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ จะมีอานิสงส์ใดเป็นพิเศษครับ เช่นเข้าถึงพระนิพพานเร็วขึ้นกว่าเดิม
๔.ในเรื่องของการเสกพระเครื่อง คือการขอบารมีของพระพุทธเจ้าให้ช่วยเหลือในด้านที่ต้องการ คำถามคือคนที่ฝึกมโนมยิทธิ กับการนึกถึงพระพุทธเจ้า สามารถขอบารมีพระให้สงเคราะห์เราโดยตรงได้ไหมครับ โดยไม่ต้องผ่านพระเครื่อง
๕.ผมได้อ่านเรื่องการอาฆาตที่ข้ามภพข้ามชาติ ของพระพุทธเจ้าและพระเทวทัต และเรื่องพระองคุลิมาลที่ท่านได้ฆ่าและตัดนิ้วคน เป็นเพราะคนเหล่านั้นเคยทำร้ายพระองคุลิมาลในอดีตชาติ และพระองคุลิมาลในชาตินั้นเกิดอาฆาตขึ้นมา ผมสงสัยว่าถ้าเกิดมาในชาติปัจจุบัน เราไม่รู้ว่าในอดีตเราได้ไปอาฆาตใครไว้ เราจะหลีกเหลี่ยงกรรมประเภทนี้ที่จะต้องทำร้ายคนอื่นอย่างไรครับ
๖.พระโพธิสัตว์ในช่วงบารมีกลางและตอนสูง จะทรงฌานและไปเกิดในพรหมโลก ผมได้อ่านไตรภูมิ สงสัยว่าที่พระโพธิสัตว์เลือกไปเกิดในพรหมโลก เพราะพระพรหมเสวยสุขจากฌานสมาบัติตลอดเวลา และอีกเหตุผลคือฌานสมาบัติเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการสร้างอธิปัญญาที่ในพระพุทธศาสนาเรียกว่าญาณ และพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะเข้าถึงพระญาณที่พระพุทธเจ้าท่านมี ที่เรียกว่าพระทศพลญาณที่จำเป็นในการสั่งสอนเวไนยสัตว์ ดังนั้นพระโพธิสัตว์เลยเลือกไปเกิดเป็นพรหมแทนที่จะเกิดในเทวดาในกามภูมิ ที่ส่วนใหญ่จะเสพสุขจากกามคุณใช่หรือเปล่าครับ
๗. ผมอยากถามเรื่องจิตดูจิต ธรรมในธรรม คนที่ภาวนาบ่อย ๆ สติจะดีขึ้นจะรู้ตัวไวและมากขึ้น และปกติของจิตคือจะคิดตลอดเสมอ และผมเข้าใจถูกต้องไหมครับว่า ความคิดที่เป็นกิเลส และความคิดที่เป็นกุศล จะคอยเขามาในจิต เหมือนอยากให้จิตเก็บความคิดจะดีหรือชั่วคิดต่อไป แต่ความคิดที่ดีหรือชั่วนั้นมันไม่ใช่ตัวตนเราจริง ๆ มันเป็นสังขาร พูดง่าย ๆ สังขารคือความคิดดีและคิดเลว ก็อยู่ส่วนของมันไป และจิตคือตัวรู้ก็อยู่ส่วนของจิต ไม่ใช่ตัวตัวเดียวกันกับสังขาร ดังนั้นสังขารไม่ใช่ของเราใช่ไหมครับ
๗.๑ ผมอยากถามในเรื่องของสังขาร และ มรรค ๘ ในเรื่องสัมมาสังกัปปะ คือการคิดหรือดำริที่ถูกต้อง พระอริยเจ้าหรือคนที่กำลังใจดีทรงฌานสมาบัติ ท่านก็ยังคิด แต่ไม่ได้คิดในเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เช่น คิดจะเรียนเอาเปรียญสูง ๆ จะได้มีคนเกรงใจ เคารพนับถือเยอะ ๆ แต่ท่านก็คิดหรือใคร่ครวญใช้ฌานสมาบัติเข้าช่วย คิดในเรื่องที่เป็นกุศล เช่น เราเป็นสมณะ เราจะสร้างศรัทธาให้ญาติโยมพุทธบริษัทมั่นคงต่อการทำความดีอย่างไรดี หรือคนที่ไม่มีความเลื่อมใสในศาสนา เราจะสร้างศรัทธาอย่างไรดี หรือ จะทำอย่างไรให้ญาติโยมนั้นเข้าถึงความดี ตายแล้วไปสวรรค์เป็นอย่างน้อย ยกตัวอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ท่านก็คิดและก็ท่านก็สร้างวัด ใหญ่โต สวยงาม และท่านสร้างเพื่อให้ญาติโยม นึกถึงวัด ถ้านึกถึงวัดก่อนตาย ก็ไปสวรรค์ ใช่หรือเปล่าครับ
๘ การที่เรารู้ว่าความคิดไม่ดี และความคิดดีกำลังเข้ามาหาเราให้เราคิด แต่ต่อให้จะเป็นความคิดดีที่เป็นกุศลเราก็ไม่รับมาคิดต่อ เพราะรู้สึกว่าอยากอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน ณ ตอนนี้ หรือถ้าจิตอยากจะคิดดีจริง ๆ ก็บังคับไม่ให้คิดดีออกแนวฟุ้งซ่านไปไกล เอาออกแนวที่เป็นไปได้แทนยกตัวอย่างเช่น พรุ่งนี้ไปถวายสังฆทานดีกว่า อยากทราบว่าการที่ปฎิบัติแบบนี้ต้องแก้ไขอะไรหรือเปล่าครับ
๙.การเจริญวิปัสสนาญาณถ้าจะเอาให้เห็นผลนั้น ผลของการเจริญวิปัสสนาญาณทำให้รู้สึกเบาใช่ไหมครับ อย่างเช่นที่หลวงพ่อสอนว่าคนเราไม่มีใครดีใครเลว เป็นไปตามกรรม พอเข้าใจแบบนี้ตัวเราก็ไม่ได้ไปตัดสินใคร เลยรู้สึกเบา
๑๐. ผมอยากถามลายละเอียดในเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ ในข้อของ จิตตานุปัสสนาสติ จากที่ผมทำมา ผมเข้าใจถูกไหมครับพอเราทำสมาธิ และเจริญวิปัสสนาไปเรื่อย ๆ สติคือการรู้ตัว เราจะรู้เสมอว่าตอนนี้เรามีธรรมารมณ์ใดเกิดขึ้นในจิต พูดง่าย ๆ คือ รู้ตัวเสมอว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไร กำลังมีอารมณ์อะไร และในชีวิตจริงบางครั้งผมไม่ได้ทำอะไร หรือกำลังทำข้าว หรือคุยกับเพื่อน ผมก็รู้สึกเหมือนมีอารมณ์นิวรณ์ เช่น อยากจะด่าคนโน้น คนนี้ โดยไม่มีเหตุผล อาการแบบนี้เข้ามาแค่เสี้ยววินาที แต่สติรู้ทันก็วางมันลงทันทีทันใด ก็คือไม่สนใจมัน อยากทราบว่าที่เล่าเป็นอาการที่ทุกคนต้องเจอใช่ไหมครับ
๒.ในเรื่องของบารมี ๑๐ ในข้อของ ปัญญา และเมตตา คำถามคือ การทำงานกลุ่ม หรือในฐานะหัวหน้าคน ถ้ามีลูกน้องหรือคนที่ทำงานด้วย มาสาย ทำงานไม่ได้ตามเป้า เราเลยไล่คน ๆ นั้นออกจากกลุ่มเนื่องจากเป็นภาระ แบบนี้มันจะเป็นการขาดเมตตาบารมีไหมครับเพราะเราไม่ได้ให้อภัยเขา
๓.สงสัยครับในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีมหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันนั้นมีมหาวิทยาลัยแล้ว เลยอยากทราบว่าถ้าคนเราบริจาคเงินสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ จะมีอานิสงส์ใดเป็นพิเศษครับ เช่นเข้าถึงพระนิพพานเร็วขึ้นกว่าเดิม
๔.ในเรื่องของการเสกพระเครื่อง คือการขอบารมีของพระพุทธเจ้าให้ช่วยเหลือในด้านที่ต้องการ คำถามคือคนที่ฝึกมโนมยิทธิ กับการนึกถึงพระพุทธเจ้า สามารถขอบารมีพระให้สงเคราะห์เราโดยตรงได้ไหมครับ โดยไม่ต้องผ่านพระเครื่อง
๕.ผมได้อ่านเรื่องการอาฆาตที่ข้ามภพข้ามชาติ ของพระพุทธเจ้าและพระเทวทัต และเรื่องพระองคุลิมาลที่ท่านได้ฆ่าและตัดนิ้วคน เป็นเพราะคนเหล่านั้นเคยทำร้ายพระองคุลิมาลในอดีตชาติ และพระองคุลิมาลในชาตินั้นเกิดอาฆาตขึ้นมา ผมสงสัยว่าถ้าเกิดมาในชาติปัจจุบัน เราไม่รู้ว่าในอดีตเราได้ไปอาฆาตใครไว้ เราจะหลีกเหลี่ยงกรรมประเภทนี้ที่จะต้องทำร้ายคนอื่นอย่างไรครับ
๖.พระโพธิสัตว์ในช่วงบารมีกลางและตอนสูง จะทรงฌานและไปเกิดในพรหมโลก ผมได้อ่านไตรภูมิ สงสัยว่าที่พระโพธิสัตว์เลือกไปเกิดในพรหมโลก เพราะพระพรหมเสวยสุขจากฌานสมาบัติตลอดเวลา และอีกเหตุผลคือฌานสมาบัติเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการสร้างอธิปัญญาที่ในพระพุทธศาสนาเรียกว่าญาณ และพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะเข้าถึงพระญาณที่พระพุทธเจ้าท่านมี ที่เรียกว่าพระทศพลญาณที่จำเป็นในการสั่งสอนเวไนยสัตว์ ดังนั้นพระโพธิสัตว์เลยเลือกไปเกิดเป็นพรหมแทนที่จะเกิดในเทวดาในกามภูมิ ที่ส่วนใหญ่จะเสพสุขจากกามคุณใช่หรือเปล่าครับ
๗. ผมอยากถามเรื่องจิตดูจิต ธรรมในธรรม คนที่ภาวนาบ่อย ๆ สติจะดีขึ้นจะรู้ตัวไวและมากขึ้น และปกติของจิตคือจะคิดตลอดเสมอ และผมเข้าใจถูกต้องไหมครับว่า ความคิดที่เป็นกิเลส และความคิดที่เป็นกุศล จะคอยเขามาในจิต เหมือนอยากให้จิตเก็บความคิดจะดีหรือชั่วคิดต่อไป แต่ความคิดที่ดีหรือชั่วนั้นมันไม่ใช่ตัวตนเราจริง ๆ มันเป็นสังขาร พูดง่าย ๆ สังขารคือความคิดดีและคิดเลว ก็อยู่ส่วนของมันไป และจิตคือตัวรู้ก็อยู่ส่วนของจิต ไม่ใช่ตัวตัวเดียวกันกับสังขาร ดังนั้นสังขารไม่ใช่ของเราใช่ไหมครับ
๗.๑ ผมอยากถามในเรื่องของสังขาร และ มรรค ๘ ในเรื่องสัมมาสังกัปปะ คือการคิดหรือดำริที่ถูกต้อง พระอริยเจ้าหรือคนที่กำลังใจดีทรงฌานสมาบัติ ท่านก็ยังคิด แต่ไม่ได้คิดในเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เช่น คิดจะเรียนเอาเปรียญสูง ๆ จะได้มีคนเกรงใจ เคารพนับถือเยอะ ๆ แต่ท่านก็คิดหรือใคร่ครวญใช้ฌานสมาบัติเข้าช่วย คิดในเรื่องที่เป็นกุศล เช่น เราเป็นสมณะ เราจะสร้างศรัทธาให้ญาติโยมพุทธบริษัทมั่นคงต่อการทำความดีอย่างไรดี หรือคนที่ไม่มีความเลื่อมใสในศาสนา เราจะสร้างศรัทธาอย่างไรดี หรือ จะทำอย่างไรให้ญาติโยมนั้นเข้าถึงความดี ตายแล้วไปสวรรค์เป็นอย่างน้อย ยกตัวอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ท่านก็คิดและก็ท่านก็สร้างวัด ใหญ่โต สวยงาม และท่านสร้างเพื่อให้ญาติโยม นึกถึงวัด ถ้านึกถึงวัดก่อนตาย ก็ไปสวรรค์ ใช่หรือเปล่าครับ
๘ การที่เรารู้ว่าความคิดไม่ดี และความคิดดีกำลังเข้ามาหาเราให้เราคิด แต่ต่อให้จะเป็นความคิดดีที่เป็นกุศลเราก็ไม่รับมาคิดต่อ เพราะรู้สึกว่าอยากอยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบัน ณ ตอนนี้ หรือถ้าจิตอยากจะคิดดีจริง ๆ ก็บังคับไม่ให้คิดดีออกแนวฟุ้งซ่านไปไกล เอาออกแนวที่เป็นไปได้แทนยกตัวอย่างเช่น พรุ่งนี้ไปถวายสังฆทานดีกว่า อยากทราบว่าการที่ปฎิบัติแบบนี้ต้องแก้ไขอะไรหรือเปล่าครับ
๙.การเจริญวิปัสสนาญาณถ้าจะเอาให้เห็นผลนั้น ผลของการเจริญวิปัสสนาญาณทำให้รู้สึกเบาใช่ไหมครับ อย่างเช่นที่หลวงพ่อสอนว่าคนเราไม่มีใครดีใครเลว เป็นไปตามกรรม พอเข้าใจแบบนี้ตัวเราก็ไม่ได้ไปตัดสินใคร เลยรู้สึกเบา
๑๐. ผมอยากถามลายละเอียดในเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ ในข้อของ จิตตานุปัสสนาสติ จากที่ผมทำมา ผมเข้าใจถูกไหมครับพอเราทำสมาธิ และเจริญวิปัสสนาไปเรื่อย ๆ สติคือการรู้ตัว เราจะรู้เสมอว่าตอนนี้เรามีธรรมารมณ์ใดเกิดขึ้นในจิต พูดง่าย ๆ คือ รู้ตัวเสมอว่าตอนนี้เรากำลังคิดอะไร กำลังมีอารมณ์อะไร และในชีวิตจริงบางครั้งผมไม่ได้ทำอะไร หรือกำลังทำข้าว หรือคุยกับเพื่อน ผมก็รู้สึกเหมือนมีอารมณ์นิวรณ์ เช่น อยากจะด่าคนโน้น คนนี้ โดยไม่มีเหตุผล อาการแบบนี้เข้ามาแค่เสี้ยววินาที แต่สติรู้ทันก็วางมันลงทันทีทันใด ก็คือไม่สนใจมัน อยากทราบว่าที่เล่าเป็นอาการที่ทุกคนต้องเจอใช่ไหมครับ