View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕
d_IYFHHyiXM
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่  ๒๕  มกราคม  พุทธศักราช  ๒๕๖๕   ที่ต้องมาบันทึกเสียงนอกเวลาเช่นนี้เพราะมีประเด็นร้อนเกิดขึ้นในสังคมไทยของเรา  ก็คือกรณีที่ ส.ต.ต.นรวิชญ์  บัวดก ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์พุ่งชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล  หรือที่เรียกกันว่า หมอกระต่าย  ถึงแก่ความตาย  
ตรงที่เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมากก็คือ  อันดับแรกเลย  ผู้กระทำผิดกฎจราจรเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ประเด็นที่สองก็คือ ผู้ตายข้ามทางม้าลาย ประเด็นที่สามก็คือ ผู้ตายเป็นจักษุแพทย์ซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่ท่านในประเทศไทยเท่านั้น  ต้องบอกว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรสำคัญทางการแพทย์ไปอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง  แต่ตรงประเด็นนี้จะไม่ขอกล่าวถึง 
มากล่าวถึงตรงประเด็นร้อนที่ว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ ได้ไปขออุปสมบท  คือบวชเป็นพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับหมอกระต่ายผู้ล่วงลับ  อยู่ในลักษณะที่ว่าบวชไถ่โทษ  คราวนี้ที่เป็นกระแสขึ้นมาเพราะว่ามีญาติโยมจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กันว่า  การบวชให้ผู้ต้องหาคดีอาญานั้น พระอุปัชฌาย์ทำผิด  ต้องถูกถอดถอน  พูดง่าย ๆ ก็คือ โดนปลดออก ถอดออกจากการเป็นพระอุปัชฌาย์ไปเลย..!
ประเด็นนี้ถ้าท่านทั้งหลายที่ไม่เข้าใจถึงความชัดเจนก็อาจจะใส่อารมณ์ตามไป และก็อาจจะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างในพระพุทธศาสนา  ในทำนองที่ว่าเป็นพระแล้วยังไม่รู้จักพินิจพิจารณา  ไปบวชให้ผู้ต้องหาหรือนักโทษ  เป็นต้น
ตรงนี้ถ้าจะกล่าวไปแล้ว  เราต้องไปพิจารณากฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่  ๑๗  พุทธศักราช  ๒๕๓๖  เกี่ยวกับการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์  ซึ่งมีระบุในหมวดที่ ๓  หน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ ข้อที่ ๑๔   ระบุไว้ว่า พระอุปัชฌาย์ต้องงดเว้นการให้อุปัชฌาย์อุปสมบทต่อบุคคลต้องห้ามเหล่านี้  คือ  
๑. คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน
๒. คนหลบหนีราชการ
๓. คนต้องหาในคดีอาญา
๔. คนเคยถูกตัดสินจำคุกในฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ
๕. คนต้องห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระพุทธศาสนา
๖. คนมีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ  เช่น วัณโรคในระยะอันตราย    อย่างปัจจุบันนี้ก็น่าจะประมาณว่าติดเชื้อไวรัสโควิด  ๑๙
๗. คนมีอวัยวะพิการ  จนไม่สามารถที่จะปฏิบัติกิจทางพระพุทธศาสนาได้   
ทั้ง  ๗ ข้อนี้ในส่วนของ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก  จะเข้าเกณฑ์อยู่สองข้อ  ก็คือ ข้อ ๑ คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน   ข้อที่ ๓  คนต้องหาในคดีอาญา
คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดินในสมัยก่อนนั้น  ถ้ามาบวชเขาถือว่ายกเลิกความผิดทุกอย่างไปโดยปริยาย  เราจะเห็นว่าสมัยก่อนมีบรรดาเสือร้าย ๆ  มาบวช  จนกระทั่งกลายเป็นหลวงปู่หลวงพ่อชื่อดังหลายรูปด้วยกัน  ยกตัวอย่างชัด ๆ คือ  เสือบุญ   เสือบุญบวชจนกระทั่งได้เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะหิรัญบัตร   ไปสืบหาเอาเองละกันว่าเสือบุญอยู่วัดไหน  และเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะในสมณศักดิ์ว่าอะไร
คนที่สองก็คือ เสือหรุ่น คนจะรู้จักเสือหรุ่น ๙  ยอด  เจ้าของรอยสัก ๙  ยอด  ซึ่งเหนียวสะเด็ดยาด ลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น  
นี่คือผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญา  แต่พอบวชมาแล้วทางราชการถือว่าให้อภัยโทษ  ในลักษณะของผู้ร้ายกลับใจ  โดยเอาตัวอย่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้องคุลิมาล  ซึ่งองคุลิมาลนั้นฆ่าคนมาเกินพัน  เป็นผู้ร้ายสำคัญหลบหนีคดีอาญา  แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถามแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า  "ถ้าหากองคุลิมาลเลิกจากการฆ่าคน  หันมานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์  ประพฤติปฏิบัติตามแบบของพระภิกษุสงฆ์   มีพระธรรมวินัยนี้เป็นที่ยึดถือ  มหาบพิตรจะมีความเห็นว่าอย่างไร ?"   
พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลตอบว่า "ถ้าทำได้อย่างนั้น  โยมก็ขออนุโมทนา  และจะอุปถัมภ์ค้ำชูด้วยปัจจัยสี่ตามสมควรแก่สมณสารูป"  เป็นต้น
สมัยก่อนนั้นคำพูดของพระราชาคือกฎหมาย ก็แปลว่าพระองค์ท่านอภัยโทษให้กับผู้ร้ายสำคัญที่ขนาดฆ่าคนมาเป็นพัน  ถ้าเข้ามาบวชปฏิบัติธรรม  อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยได้  ท่านก็ให้อภัยพร้อมที่จะทะนุบำรุงด้วยปัจจัยสี่  
ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่า  ผู้ร้ายที่ทำความผิดหลบหนีคดีอาญา  ส.ต.ต.นรวิชญ์ ไม่ได้หลบหนีคดี  ข่าวคราวไปทั่วประเทศไทย  พระอุปัชฌาย์อาจารย์ทุกรูปต้องรู้ว่าบุคคลนี้ขับรถผิดกฎจราจร ชนหมอกระต่ายจนถึงแก่ความตาย  ในเมื่อไม่ได้หลบหนีคดีอาญา จะจัดอยู่ในประเด็นข้อที่  ๑  ไม่ได้  
ข้อที่ ๓  เป็นคนต้องหาในคดีอาญา ตรงนี้มีความชัดเจน ว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก  เป็นคนต้องหาในคดีอาญา เพียงแต่ว่าคนต้องหาในคดีอาญานี้ศาลยังไม่ได้ตัดสินความผิด   ยังไม่ใช่ผู้ร้าย เป็นผู้ต้องหา  แม้กระทั่งทางผู้บังคับบัญชายังให้ปล่อยตัวโดยไม่มีประกัน เพราะเชื่อในเกียรติของความเป็นตำรวจว่าจะไม่หลบหนีคดีนี้  
ประการที่สำคัญคือ ไปบวชเพราะสำนึกผิด  รู้ว่าตนเองทำผิด ตั้งใจที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายในลักษณะขออโหสิกรรม    ซึ่งในลักษณะนี้ต้องเป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์พิจารณาดูว่า สมควรที่จะให้การบรรพชาอุปสมบทหรือไม่ ?
คำว่า อุปัชฌาย์นั้น ความหมายหนึ่งแปลว่า ผู้เพ่งดู  ก็คือดูว่าบุคคลนี้สมควรที่จะบรรพชาอุปสมบทหรือไม่ ?   ดูว่าสังฆกรรมในการบรรพชาอุปสมบทนั้นถูกต้องหรือไม่ ?  ก็คือจะต้องไม่เป็นปริสวิบัติ  ไม่เป็นกรรมวาจาวิบัติไม่เป็นอักขรวิบัติ เหล่านี้เป็นต้น
เมื่อพระอุปัชฌาย์พิจารณาดูแล้วว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์  ไม่ได้มีเจตนาหลบหนีคดีอาญา  ทุกคนรู้กันหมดเพราะประกาศออกสื่อชัดเจนว่า  จะบวชเพื่อขออโหสิกรรมกับหมอกระต่าย  พระอุปัชฌาย์ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการให้บรรพชาอุปสมบท พิจารณาดูแล้วเห็นว่าสมควร  ก็ทำการบรรพชาอุปสมบทให้  
 ถ้าจะว่าไปแล้วตรงจุดนี้เป็นข้อละเอียดอ่อน  ถ้าพระอุปัชฌาย์ส่วนใหญ่รู้ ก็คงจะไม่เสี่ยงที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน   นอกจากพิจารณาอย่างชัดเจนแล้วว่า อันดับแรกเลย ไม่ได้มีเจตนาหลบหนีคดีอาญา  อันดับที่สอง เมื่อถึงเวลาสึกหาลาเพศออกมาแล้วก็พร้อมที่จะไปสู้คดี  หรือไปชดใช้ตามแต่ศาลจะมีคำสั่งให้ทำ 
การลงโทษพระอุปัชฌาย์นั้น มีทั้งถอดถอน ระงับการปฏิบัติหน้าที่ (ไม่เกิน ๒ ปี) ให้เข้ารับการอบรมใหม่ ภาคทัณฑ์ และตำหนิโทษ
 
ดังนั้น...ตรงจุดนี้ถ้าเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาแล้ว  โทษของพระอุปัชฌาย์ครั้งนี้ อย่างหนักที่สุดก็คงจะอยู่ที่การตำหนิโทษ   คำว่าตำหนิโทษก็คือ ต่อไปคุณต้องพิจารณาให้ดีกว่านี้  เพราะว่าคดีนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศ  แม้คุณจะเห็นสมควรให้การบรรพชาอุปสมบท  แต่ก็ต้องระมัดระวังกระแสสังคมไว้ด้วย  เหล่านี้เป็นต้น
ตรงจุดนี้จะว่าไปแล้ว  บรรดาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ  ทุกเสียงนั้น  อันดับแรกก็คือ  ขาดความชัดเจน  เพราะไม่ใช่พระอุปัชฌาย์  คือไม่รู้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าพระอุปัชฌาย์นั้นทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้  และในขณะเดียวกัน  เมื่อขาดความชัดเจนแล้ว ก็ใช้อคติส่วนตัวในการตัดสินไปแล้วว่า  สิ่งที่พระอุปัชฌาย์ทำนี้ผิด  ทั้ง ๆ ที่เป็นการอุปสมบทบุคคลที่ตั้งใจจะขออโหสิกรรมต่อผู้ตาย  ซึ่งจะว่าไปแล้ว ใจคอท่านจะคับแคบเกินไปไหม ?  ว่าเมื่อบุคคลหนึ่งรู้สึกสำนึกในความผิดที่ตนเองทำแล้ว  พยายามที่จะแก้ไขให้ดีที่สุด  ถึงขนาดยอมตนเข้าไปบวช  ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ใครที่บอกว่าบวชแล้วสบาย  เป็นการกล่าวในลักษณะ "ตีหัวเข้าบ้าน"  ถ้าบวชแล้วสบาย ทำไมท่านทั้งหลายไม่มาบวช ?  แค่พินิจพิจารณาง่าย ๆ ว่า การบวชไม่ใช่สบาย  เพราะว่าโดนตีกรอบด้วยศีลอย่างน้อย  ๒๒๗  ข้อ  สิ่งที่เคยทำได้  ก็ทำไม่ได้  เป็นต้น
ในเมื่อเป็นไปในลักษณะเช่นนี้  อีกไม่กี่วัน ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ก็จะสึกหาลาเพศออกมา เพื่อที่จะไปสู้คดีต่อ  ทำไมเราถึงไม่ใจเย็นลงสักนิดหนึ่ง ?  แล้วปล่อยให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการตัดสิน  เพราะว่าศาลนั้นคือผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมาย  เป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ไม่ใช่ตัวเราซึ่งปราศจากความรู้หรือหลักวิชาการ แล้วไปตัดสินส่งเดชตามอารมณ์ของตน  
ศาลนั้นจะต้องตัดสินตามข้อเท็จจริงซึ่งได้รับมา  จากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลย  แล้วพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ  เพราะว่าการตัดสินของศาลนั้นจักเป็นบรรทัดฐานให้แก่คดีต่อ ๆ ไปด้วย   
ดังนั้น...ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพ กล่าวในฐานะของผู้เป็นพระอุปัชฌาย์อย่างหนึ่ง  กล่าวในฐานะของประธานองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่  ๕๑  อีกอย่างหนึ่ง  มีความเห็นว่าการที่พระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทกับ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดกนั้น  ถ้าหากจะมีโทษ  เพราะว่าให้บรรพชาผู้ต้องหาในคดีอาญา ก็ถือว่าการลงโทษนั้น  อยู่ในลักษณะเต็มที่แค่ตำหนิโทษเท่านั้น  ไม่ใช่ว่าถึงขนาดถอดถอนออกไปเลย  แล้วเมื่อมีคดีนี้เป็นตัวอย่างขึ้นมา  ก็เชื่อว่าพระอุปัชฌาย์ทั้งหลายจะมีบรรทัดฐานในการประพฤติปฏิบัติ ในการให้การบรรพชาอุปสมบทต่อกุลบุตรต่าง ๆ   ในลักษณะที่ระมัดระวังและรอบคอบยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ก็ต้องบอกว่า คดีนี้ความจริงแล้ว  แม้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนาก็ตาม  แต่ก็เป็นเครื่องช่วยให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลายเกิดความระมัดระวังในการให้การบรรพชาอุปสมบท  ในการคัดเลือกกุลบุตรเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น   
ก็ต้องบอกว่า "ในร้ายมีดี"  ขณะเดียวกัน  "ในดีก็มีร้าย"  เพียงแต่ญาติโยมทั้งหลายที่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้    อย่าได้ใส่อารมณ์ตามกระแสสื่อโซเชียลมากเกินไป  เพราะว่ากำลังใจที่ประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดี   ถ้าท่านทั้งหลายเสียชีวิตลงไปในขณะนี้  จิตใจที่แบก รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็ม  มีสิทธิ์ที่จะลงอบายภูมิอย่างแน่นอน  
ทำอย่างไรที่เราจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์  มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นชัดถึงความเป็นธรรมดาของโลก  แล้วใส่สติเข้าไปในการที่จะคิด จะพูด จะทำทุกอย่าง  ถ้าท่านสามารถทำอย่างนี้ได้  จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีอย่างแท้จริง 
 
สำหรับวันนี้ก็ขอเจริญพรแก่ญาติโยมทั้งหลายที่สนใจฟังข่าวคราวในเรื่องนี้อยู่  ทั้งในที่นี้และทางบ้าน  ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ  ขอให้ทุกคนรักษาใจเอาไว้  จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด   ถ้าหากมีสิ่งมัวหมองเข้ามาก็รีบขับไล่ออกไป  แล้วระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก  ไม่เช่นนั้นก็เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา  ได้ถือศีล ได้ปฏิบัติธรรม  แต่ว่าทำไปแล้วไม่สามารถเอามาใช้รักษาตนเองได้   ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง..ขอเจริญพร  
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.