View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
4HOQdGoN66Q
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ต้องบอกว่าเป็น "วันโดนหวยกิน" ก็อยากเล่นกันเองแล้วจะไปโทษใคร..ใช่ไหม ? การพนันทุกชนิด..วันนี้ท่านที่สอบนักธรรมชั้นตรีก็รู้อยู่แล้ว เขาถาม..อบายมุขแปลว่าอะไร ? อบายคือทางเสื่อม มุขคือปาก ปากทางแห่งความเสื่อม
แต่คราวนี้ในเรื่องของการพนันเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าใจไม่แข็งพอก็เลิกไม่ได้ เพราะว่าการพนันนั้นมีทั้งแบบตรงไปตรงมา แล้วก็แบบใช้เครื่องยนต์กลไก ส่วนแบบสุดท้ายหนักกว่านั้นอีก..ใช้ไสยศาสตร์..! ถ้าเจอแบบสุดท้ายก็หนักหน่อย เข้าไปก็มีสิทธิ์ที่จะหมดเนื้อหมดตัว ยกเว้นว่ามีของที่แก้กันได้
เรื่องของการพนันเป็นลาภลอย เกิดจากการทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ อย่างเช่น ไปเห็นเขาทำกองบุญการกุศลก็ตัดสินใจร่วมบุญกับเขาเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าลักษณะอย่างนี้เกิดชาติใหม่จะมีลาภลอยบ่อย
สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ก็มีด็อกเตอร์เอ (ดร.อัจฉรา เสาว์เฉลิม) ตอนนั้นยังไม่จบด็อกเตอร์ ด็อกเตอร์เอถูกหวยทุกงวด แต่ถ้าไปดูโพยนี่ยาวเป็นรถไฟเลย สรุปก็คือ ไอ้ที่ได้มากับที่เสียไปเกือบจะเท่ากัน แต่ถูกทุกงวด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก "ไอ้เอมันมีลาภลาดตระเวน ตามเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย ส่วนใครที่ถวายสังฆทานไว้ เกิดชาติใหม่ก็ไม่ต้องเจอหน่วยลาดตระเวนแบบนี้ แต่เจอทัพหลวงเลย มาตูมเดียวรวยไปเลย"
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่อยากจะบอกอยากจะกล่าวแก่พวกเราให้ทราบไว้ เรื่องแรกก็คือวัตถุมงคลที่เตรียมไว้เข้าพิธีกรรมฐาน ๓ วัน เหรียญสมเด็จองค์ปฐมยิ้มรับทรัพย์นั้น เนื้อเขียวเหล็กไหลเสกไปแล้วรอบหนึ่งที่วัดไตรมิตรวิทยาราม แล้วก็มาเสกอีกรอบหนึ่งเมื่อวันภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙
ถ้ามีโอกาสก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ ทำไม สถานที่ก็เตรียมพร้อมไว้หมดทุกอย่างแล้ว พระท่านก็เสด็จแล้ว จึงกราบขอบารมีพระองค์ท่านสงเคราะห์ไปด้วยเลยทีเดียว ยังไม่รู้ว่าในช่วงเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ยังจะได้อะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า ? แต่บอกกล่าวให้ท่านที่จองวัตถุมงคลในระยะนี้สบายใจได้ว่า วัตถุมงคลบางอย่างก็เสกไปแล้ว ครั้งหนึ่งบ้าง สองครั้งบ้าง
ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อวานนี้ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพโดนขันธมารแกล้ง ตั้งใจจะบอกจะกล่าวเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรม ปรากฏว่าอยู่ ๆ ก็น้ำมูกไหลโจ๊กเลย ไหลชนิดกระดาษทิชชู่เปียกเป็นก้อน แต่กระผม/อาตมภาพก็ตัดสินใจแล้วว่า "อย่างดีก็แค่ตาย" จึงตั้งใจว่าไปเรื่อย ปรากฏว่าพอบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเสร็จ ไม่รู้ว่าน้ำมูกหายไปไหน ? ไม่มีเอาดื้อ ๆ ก็คือลักษณะเหมือนกับว่าจะตายลงไปเดี๋ยวนั้น แต่พอเราพร้อมที่จะตายก็ถอยไปเอง
นี่คือลักษณะของมารที่ทดสอบพวกเรา มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการทดสอบกำลังใจของเรา มาทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง ไม่เคยเว้น เผลอเมื่อไรโดนสอบเมื่อนั้น แล้วพวกเราก็สอบตกกันเป็นประจำ..!
ข้อสอบใหญ่ ๆ ก็แค่ รัก โลภ โกรธ หลง ๔ ข้อเท่านั้นเอง แต่แตกแขนงไปเป็นล้าน ๆ ข้อย่อย ข้อไหนเราเคยชนะแล้ว เคยทำได้แล้วจะไม่มาอีก แต่ถ้าหากว่าเผลอเมื่อไรก็ตะแบงข้างมา คำตอบเดียวกันแต่มาคนละแนว
ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จะต้องตั้งสติรับให้ทัน โดยเฉพาะคนที่เรารักที่สุด จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูด สิ่งที่เขาทำนั้น ทำให้เราเสียใจ ทำให้เราน้อยใจ ทำให้เราโกรธ เพราะว่าตัวเขาเองถูกมารดลใจให้ทำอย่างนั้น
แม้กระทั่งข้าวของที่ไม่มีชีวิตจิตใจ มารก็เอามาทดสอบได้ ทำงานเหนื่อย ๆ เดินเข้าบ้านมา เจอข้าวของเกะกะไปทั้งบ้าน โมโห..เตะโครมเข้าให้..! โกรธทั้ง ๆ ที่ของไม่มีชีวิตจิตใจ ก็กองอยู่ตามปกติอย่างนั้นแหละ แต่มารดลใจให้คนในบ้านเอามาวางทิ้งกองไว้ตรงนั้น
ในเมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ขอให้ระวังให้มาก แต่อย่าเห็นมารเป็นศัตรู มารเป็นครูที่ขยันที่สุด ทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าใครได้รับการทดสอบ ขอให้รู้ว่าท่านมีคุณค่าเพียงพอที่เขาจะสอบ ถ้าไม่มีราคาพอ เขาไม่สอบให้เสียเวลาหรอก เพราะว่าสอบไปก็ตก..เสียเวลาเปล่า ๆ
บางทีแม้กระทั่งผม ก็โดนใช้เป็นสิ่งของที่มารเอาไปทดสอบคนอื่น ผมเดินมาจากโรงครัว ปกติก็ต้องเลี้ยงหมา เจอหน้าหมาก็ทักทายตามปกติ "เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะที่รัก ? กินอะไรมาบ้างหรือยัง ?" ปรากฏว่าดันมีแม่ชีอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น ฟุ้งซ่านไปหลายวันเลย คิดว่าหลวงพ่อพูดกับตัวเอง อยากจะบอกว่าเอ็งลดตัวลงไปราคาเท่ากับหมาก็ใช่ที่..! ก็ปล่อยฟุ้งซ่านไป..!
เพราะฉะนั้น..เรื่องแบบนี้ถ้าเราไม่ระวัง รัก โลภ โกรธ หลงจะเข้ามาง่ายมาก มาร ๕ อย่างไม่เคยเว้นในการทดสอบเรา ฉวยโอกาสใช้ทั้งวาระบุญและวาระกรรม ในการขัดขวางเราทุกวิถีทาง วาระบุญเข้ามา ก็กอบโกย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มาให้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เราติดอยู่แค่นั้น วาระกรรมเข้ามา ก็กระหน่ำซ้ำเติมเรา ให้ทุกข์จนกระทั่งหาทางออกไม่เจอ
พูดง่าย ๆ ว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ในเมื่อเป็นในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราไม่ตั้งสติระมัดระวัง โอกาสที่สอบตกก็จะมีสูงมาก คนรักกันปานจะกลืน พูดผิดหูหน่อยเดียว..โกรธ ไม่พูดไม่คุยกันไปเป็นอาทิตย์ก็มี
ในเรื่องของมารนั้น ประกอบไปด้วยกิเลสมาร ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของเราเอง ชักนำให้เราคิด ให้เราพูด ให้เราทำแต่ในสิ่งที่ผิด
ขันธมาร คือร่างกายนี้เป็นมาร ถึงเวลาจะทำความดีก็เจ็บไข้ได้ป่วยเสียอย่างนั้น บางรายสมัยเป็นฆราวาสเมาหัวราน้ำ นอนตากน้ำค้างเป็นวันเป็นคืน ไม่เห็นเป็นอะไร พอบวชเข้ามาก็ป่วยเช้าป่วยเย็น มีหลายท่านที่ตั้งใจสึกไปเพื่อรักษาตัว พอมาลาสึก ผมบอกว่า "ท่านเชื่อไหม ? ถ้าท่านสึกนี่ ไม่ต้องรักษาหรอก จะหายดีทันทีเลย" ปรากฏว่าไม่เชื่อ สึกไปแล้วก็หายจริง ๆ ไม่ต้องรักษา เพราะว่าโดนขันธมารทดสอบ
เทวปุตตมาร เป็นเรื่องของเทวดาหรือครูบาอาจารย์มาทดสอบ บางทีก็มาพยากรณ์มรรคผลให้บ้าง บางทีก็มาทำให้หวาดกลัวบ้าง ทำให้โกรธบ้าง แล้วแต่สถานการณ์ตอนนั้น ถ้าเราก้าวข้ามไปได้ ท่านก็เท่ากับเป็นครูมาสอบเรา ถ้าเราก้าวข้ามไปไม่ได้ ท่านก็กลายเป็นมารมาขวางเราจากความดี
มัจจุมาร ความตายมาขวาง บางคนถ้าหากว่าทำความดีแล้ว จะเข้าถึงธรรมได้อย่างรวดเร็ว มารไม่รู้ว่าจะขวางอย่างไร พอดีมีกรรมปาณาติบาตใหญ่เข้ามา ก็ช่วยตัดให้ตายไปเลย
อภิสังขารมาร บุญบาปมาขวาง ติดอยู่ในสุข ติดอยู่ในบุญ ติดอยู่ในความดี ติดอยู่ในรูปฌาน ติดอยู่ในอรูปฌาน หลุดพ้นไม่ได้ทั้งนั้น
ส่วนในเรื่องของบาป ไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะผิดศีลผิดธรรมอะไร ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป เป็นสัตว์นรกแล้ว ก็ต้องมาชดใช้ที่แดนเปรต ต้องชดใช้ที่แดนอสุรกาย ต้องชดใช้ที่แดนสัตว์เดรัจฉาน เวียนว่ายตายเกิดเป็นระยะเวลายาวนานจนนับไม่ถ้วน ห่างไกลความดีไปได้นานขนาดนั้น เขาถึงได้เรียกว่ามาร ทั้ง ๆ ที่เป็นความดีก็เป็นมารได้ เพราะว่าเราไปยึดติด ส่วนในด้านความชั่วนั้น เป็นมารก็ถือว่าเป็นปกติอยู่แล้ว เรารู้..เราเข้าใจได้
ดังนั้น...ในแต่ละวันให้พวกเราระมัดระวังให้มากเอาไว้ คิดทุกอย่างที่จะพูด คิดทุกอย่างที่จะทำ ไม่อย่างนั้นแล้วมีโอกาสโดน "สอย" สูงมาก พูดผิดหู หรือโพสต์ผิดตาหน่อยเดียว โกรธจนไม่มองหน้ากันไปเลย ถ้ารู้ตัวก็ขอขมากันได้ อีกไม่กี่วันออกพรรษา ก็มีปวารณาตัวต่อกัน ถึงเวลาก็ขอขมากัน ว่ากล่าวตักเตือนกัน ท่านทั้งหลายต้องปวารณากันในวันออกพรรษา ส่วนตัวผมเองต้องไปในวันตักบาตรเทโว ออกจากกรรมฐานมาค่อยมาปวารณากับท่านทั้งหลาย
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ วันก่อนบางท่านอย่างเลขาฯ พัฒน์ (พระพัฒน์ ฐิตาจาโร) คงจะเห็นว่าอยู่ ๆ ผมก็คว้าไข่ต้มไปใบหนึ่ง เพราะว่าช่วงกลางคืนผมปวดไปทั้งตัว โดยเฉพาะปวดหัวแทบจะระเบิด..! พิจารณาอาการดูแล้ว ไม่ใช่มาลาเรียกำเริบ เพราะว่าผมเป็นผู้ชำนาญในการเป็นมาลาเรีย ผมรู้ว่าอาการไหนที่เป็นมาลาเรียกำเริบ แต่อันนี้ไม่ใช่ แล้วผมก็หาสาเหตุไม่เจอว่าเป็นอะไร ก็ได้แต่บ่นกับน้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) ว่า "ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงได้อาการหนักจนขนาดนี้..!"
หนึ่งคืนผ่านไป ฉันยาเท่าไรไม่ดีขึ้น อีกครึ่งวันผ่านไป ปรากฏว่าตอนฉันเพลอยู่เจอไข่ต้มเข้า มีเสียงบอกว่า "ถ้าอยากหายก็เอาไข่ต้มไปให้ ๑ ฟอง" จึงตั้งใจถามว่าเป็นเพราะอะไร ? เขาบอกว่า "ท่านเอารถขึ้นไปวิ่งบนลานธรรม..!" คือตัวผมเองเป็นคนไปด่าคนอื่นเวลาเขาเอารถขึ้นไปจอดบนลานธรรม แต่ปรากฏว่าพวกท่านซ่อมถนนแล้วปิดทางจนผมเข้าไม่ได้ มาถึงตรงนั้นแล้วก็เลยเลี้ยวไปเข้าทางลานธรรมแทน ปรากฏว่าท่านที่ดูแลอยู่ไม่ชอบใจ..ก็เลยแกล้งให้เป็นอย่างนั้น
ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ เนื่องจากว่าเรื่องพวกนี้ ถ้าเขาตั้งใจปิดไม่ให้รู้ หรือว่าวาระกรรมยังไม่เปิด ก็จะไม่รู้จริง ๆ
แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลา ๔ โมงเย็น ท่านจะอาเจียนทุกวัน จนกระทั่งท่านเข้าใจว่าเป็นกรรมเก่าของท่าน แล้วพระช่วยสงเคราะห์เอาไว้ ให้รับแขกจนกระทั่งถึง ๔ โมงเย็นได้ทุกวันแล้วค่อยอาเจียน
ปรากฏว่าก่อนมรณภาพประมาณปีกว่า พระท่านมาบอกว่า ตอนนี้วาระกรรมคลายตัวแล้ว สามารถที่จะบอกได้ว่า ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นอยู่นั่นคือมาลาเรีย..! หลวงพ่อท่านบอกว่า "มิน่าล่ะ..ถึงได้อาเจียนตรงเวลาทุกวัน" เพราะว่ามาลาเรียจะกำเริบในเวลาเดิมทุกครั้ง แล้วหลังจากนั้นพระท่านก็บอกยาให้ พอได้ยามาก็หายดี แต่อยู่ได้ไม่นานก็มรณภาพ พูดง่าย ๆ คือหมดกรรมส่วนใหญ่ก็เลยพลอยสิ้นชีวิตไปด้วย..!
ดังนั้น...ของบางอย่างถ้าไม่ถึงวาระ เขาก็ไม่บอก จนกระทั่งไข่ต้มโผล่มาตรงหน้าถึงบอก ผมก็เลยต้องเอาไปให้เขา ที่ขอธูปแม่ชีชื่น (อุบาสิกาชื่น ศรีสองแคว) ๑ ดอกนั่นแหละ เอาไปให้เขาตรงนั้น พอตั้งใจว่าจะเอาไปให้เขา ก็หายป่วยเดี๋ยวนั้นเลย เหมือนกับคนปกติทุกอย่าง..!
ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้พวกเราต้องระวังเอาไว้ด้วย เพราะว่าเราทุกคนสร้างเวรสร้างกรรมมาในแต่ละชาติไม่ใช่น้อย ๆ พอถึงเวลาวาระกรรมเปิด เราเองก็ไม่ได้เจตนาจะล่วงเกิน แต่ด้วยความที่วิ่งมาจนถึงทางเข้าแล้ว จะให้อ้อมไปเข้าทางเมรุก็ใช่ที่ แล้วคนทำก็ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวว่าปิดทาง วิ่งมาจนถึงจึงเลี้ยวขึ้นลานธรรม..จะได้เข้ามาได้
อีกเรื่องหนึ่งก็คือต้นโพธิ์ที่ผมปลูกเอาไว้ เป็นหน่อโพธิ์ตรัสรู้ที่คณะของฤๅษีพุทธบุตรนำมาถวาย ผมตั้งใจปลูกในวันวิสาขบูชา ตอนนี้จากที่สูงประมาณศอกกว่า ๆ กลายเป็นสูงเลยหัวผมไปแล้ว คาดว่าจะเจริญงอกงามดีมาก เพราะว่าตัวผมเองนั้น โหรอรุณ เทศถมทรัพย์ ท่านดูดวงเอาไว้ให้ ว่าตั้งแต่ผมอายุ ๕๔ ปี ๘ เดือนกว่า ๆ ชีวิตจะขึ้นถึงจุดสูงสุด แล้วหลังจากนั้นเป็นดวงที่แปลกมาก เพราะว่าถึงจุดสูงสุดแล้วก็วิ่งเรียบตรงไปเลย ไม่มีการขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกับคนอื่นเขา
ผมเลยอธิษฐานตอนปลูกต้นโพธิ์ตรัสรู้ว่า "ถ้าหากว่าชีวิตของผมจะมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้ได้ ก็ขอให้ต้นโพธิ์นี้เจริญงอกงาม จนกระทั่งเป็นสิ่งที่ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมดังใจด้วย" ปรากฏว่าวันวิสาขบูชามาถึงวันนี้ประมาณ ๕ เดือน จากต้นโพธิ์ที่สูงประมาณ ๓๐ กว่าเซนติเมตร ผมเองสูง ๑๗๒ เซนติเมตร ตอนนี้ต้นโพธิ์สูงเลยหัวไปแล้ว ดูท่าว่าบุญใหม่ที่สร้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบุญในการหล่อพระพุทธรูปทองคำ น่าจะช่วยทำให้ชีวิตมีความเจริญมากกว่าเดิมได้จริง ๆ
โบราณเรานิยมอธิษฐานต้นไม้แล้วปลูก อย่างหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ท่านหักกิ่งโพธิ์มากิ่งหนึ่ง ไม่มีราก ไม่มีอะไรเลย หักกิ่งไปเฉย ๆ อธิษฐานว่า "ถ้าอยู่วัดนี้แล้วเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้กิ่งโพธิ์นี้ขึ้นเป็นต้นได้" แล้วก็เสียบลงดินเลย กลายเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ที่วัดหิรัญญารามหรือวัดบางคลานมาจนทุกวันนี้ ก็แบบเดียวกับแม่ชีชื่นที่ไปปลูกต้นไม้หน้าโบสถ์ นั่นก็ไปอธิษฐานเอาไว้ "ระวังไว้นะ...ใกล้ตายแล้วต้นนั้น..!"
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็เจ้าตะลิงปลิง เมื่อวานนี้ไปโดนรถชนตาย ปรากฏว่าเมื่อตอนเช้าผมให้อาหารหมา ก็ยังมารับอาหารตามปกติ แต่แทรกมาในหมาตัวอื่นจนผมตกใจ คิดว่าไม่ได้โดนรถชน ที่โดนชนน่าจะเป็นตัวอื่น พอตั้งใจมองอีกที เขารู้..เขาก็ถอยไป กลายเป็นไอ้ตัวเดิมพวกนั้น ตอนที่เขาแทรกมา ก็คือหน้าตาของเจ้าตะลิงปลิงชัด ๆ เลย..!
เรื่องพวกนี้เขามักจะมาทดสอบ หรือมักจะมาบอกกล่าวให้รู้ แต่ถ้าเรารู้ทันแล้วก็จะหายไปเลย ไม่ทดสอบอีก แบบเดียวกับตอนที่ผมอยู่ที่วัดท่าซุง เลี้ยงหมาเอาไว้ชุดหนึ่ง มีเจ้าคุณหญิงเป็นตัวเล็กสุด แล้วเจ้าตัวนี้เป็นหมายิ้มได้ ถ้าใครรู้ว่าหมายิ้มได้เป็นอย่างไรก็จะเข้าใจ
ปรากฏว่าวันนั้นเดินลงมาเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น หมดเวลา..พ้นเวรแล้ว เวรกลางคืนท่านมารับช่วงต่อ ผมเดินลงมาจากหน้าห้องหลวงพ่อ ไอ้เจ้าคุณหญิงก็ประเภทยิ้มเดินมาต้อนรับ ผมก็ถามว่า "เป็นอย่างไร สบายดีหรือเปล่า ?" "ได้กินอะไรแล้วหรือยัง ?" ทักทายเสร็จ ผมเดินผ่านไป ๓ ก้าว..นึกขึ้นมาได้ อีนี่มันตายไป ๓ - ๔ วันแล้วนี่หว่า..! โดนรถชนตาย หันไปดูอีกที..ไม่มีหมาสักตัว มีแต่พื้นดินเปล่า ๆ...! แต่เมื่อครู่นั้นมาเป็นตัวชัด ๆ เลย ก็คือลักษณะอย่างนั้น
ฉะนั้น...ในเรื่องของผี..จะหลอกเราก็ต่อเมื่อเรายังไม่รู้ ถ้าเรารู้ทัน..เขาไม่หลอกให้เสียเวลาหรอก..ไม่สนุก ก็ฝากเอาไว้ให้พวกเราเป็นข้อสังเกตหลายเรื่องด้วยกัน เผื่อว่าถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จะได้รู้ว่าสาเหตุต่าง ๆ เป็นอย่างนี้ หรือว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่เราคิดว่าจะเลียนแบบ จะทำตาม ก็ลองดูได้
ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวให้แก่ญาติโยมได้ทราบแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.