PDA

View Full Version : เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒


เถรี
04-08-2009, 12:58
ช่วงเช้าของวันเสาร์ มีหลายท่านมาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ดังนี้

รายแรกเป็นมะเร็งตับ ถามหลวงพ่อว่าควรจะทำอย่างไรดี หลวงพ่อบอกว่า "อ๋อ..ไปนั่งภาวนาพุทโธอย่างเดียว ตั้งใจว่า ตายแน่..! ตายแน่..!"

แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่า "ลองไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาแล้วอธิษฐานกินดู อธิษฐานขอบารมีจากพระท่าน ว่าถ้าหายจากโรค สามารถมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาได้ ก็ขอให้รักษาแล้วหาย จากนั้นกินน้ำมันชาตรีไปทั้งขวด ถ้าหายก็ไปบวชสักพรรษาหนึ่ง"

เถรี
04-08-2009, 13:02
รายที่สอง บอกกับหลวงพ่อว่า หาสาเหตุของโรคไม่เจอ ให้หมอวินิจฉัยแล้วก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้

หลวงพ่อบอกว่า "น่าเสียดาย โรคบางอย่างเกิดจากไสยศาสตร์จึงหาสาเหตุไม่ได้ ถ้าไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วจะหาย แต่พิธีเลยไปแล้ว ทำไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมีอีกเมื่อไหร่

ทนเอาหน่อยก็แล้วกันนะ ถ้าหากปีหน้ามีพิธีแล้วค่อยไปเข้ากับเขาด้วย

เถรี
04-08-2009, 13:04
แม่ของคนป่วยรายแรกบอกกับหลวงพ่อว่า "ทำให้คนนี้ด้วยค่ะ " (สะเดาะเคราะห์ให้ลูกชายเขา)

หลวงพ่อก็บอกว่า "จะทำก็ทำให้ได้ แต่ผลจะเกิดหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เราเหมือนกัน โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะว่ากรรมไม่หนัก โรคบางอย่างรักษาจึงจะหาย ถ้าไม่รักษาจะตาย แล้วโรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย"

เถรี
04-08-2009, 13:06
รายที่สาม บอกกับหลวงพ่อว่า "เป็นโรคปวดหัวเข่ามาตั้งแต่เกิด ไม่ทราบว่าเป็นโรคกรรมอะไรคะ ?"

หลวงพ่อบอกว่า "ลองไปปล่อยปูทะเลสัก ๑-๒ ตัว ที่เขามัด ๆ เอาไว้ อธิษฐานขอให้บุญที่เราช่วยให้ปูพ้นจากการที่โดนมัดไว้ ปูเขาหายจากการปวดเมื่อยทรมานอย่างไร ก็ขอให้อาการป่วยของเราเบาลงอย่างนั้น"

เถรี
04-08-2009, 13:10
คนป่วยรายแรกถามว่า "ผมอยากทราบว่าที่ผมเป็น เป็นเพราะโรคกรรมหรือเปล่าครับ ?"

หลวงพ่อบอกว่า "ไปให้หมอเขาตรวจดู ตรวจเสร็จแล้วค่อยว่ากัน เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องของเศษกรรมทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ถามว่าเป็นโรคกรรมหรือเปล่า ก็เป็นทุกโรคนั่นแหละ "

เถรี
04-08-2009, 13:21
ถาม : ผมมีคำถามเรื่องคุณไสย ผมรู้สึกว่าผมโดนคุณไสยครับ ?
ตอบ : ของพรรค์นี้รู้สึกได้ที่ไหนวะ ? โดนก็โดน ไม่โดนก็ไม่โดน

ถาม : อาการรู้สึกว่าน่าจะใช่ แล้วก็เคยให้น้องเขาใช้พระขรรค์ไล่แล้วอาการดีขึ้น ?
ตอบ : ต่อไปถ้าเขาไล่ ให้เราภาวนาจับภาพพระให้เป็นปกติ ของที่เขาจ้องเล่นงานเราโดยเฉพาะ เผลอเมื่อไหร่ก็จะโดนเมื่อนั้น อธิษฐานภาพพระคลุมตัวเราไว้เลย ลองลุ้นดูว่าใครจะแน่กว่ากัน

เขามีปัญญาทำ เราก็มีปัญญากัน ก่อนจะนอนและตื่นขึ้นมา ให้นึกถึงภาพพระองค์ใหญ่ ๆ คลุมเราลงมาเลย ภาวนาพุทโธหรือ อิติปิ โสฯ โดยเฉพาะช่วงวันอังคารหรือวันเสาร์จะเป็นวันแข็ง พวกนี้เขาจะปล่อยของ..ต้องระวังเอาไว้

ความจริงก็ดี ปกติข้าวของคนเขาหวงจะตาย นี่เขาอุตส่าห์มาแบ่งให้เรา..!

ตัวเล็ก
04-08-2009, 13:27
ตัวเล็กและเพื่อน ๆ ได้ไปปล่อยปูทะเลมาเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคมที่ผ่านมาค่ะ จำนวน ๑๙ ชีวิต บริเวณที่ปล่อยคือจุดชมปลาโลมาใกล้ ๆ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ และที่ท่าน้ำวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กครบถ้วนค่ะ

ขอฝากบุญนี้ไว้ให้ท่านทั้งหลายโมทนาด้วยนะคะ จะได้หายปวดหายเมื่อยโดยทั่วกัน ถ้ามีโอกาสอยากแนะนำให้ไปปล่อยเองค่ะ จะเห็นภาพเลยว่าการหายปวดเมื่อยเป็นอย่างไร เวลาน้องปูทั้งหลายยืดแขน ยืดขา ยืดก้ามโต ๆ ออกมา... :fea27916: :msn_smilies-22:

เถรี
05-08-2009, 09:46
หลวงพ่อบอกว่า "ร่างกายถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งพร่องก็จะป่วย ถ้าหากว่าธาตุเสมอ ก็จะไม่ป่วย"

เถรี
05-08-2009, 09:48
หลวงพ่อบอกว่า "วันทำพิธีโสฬส อาตมา นั่งมองอย่างเดียวเลย เพราะว่าทำไม่เป็น หลังจากที่พระท่านเสด็จไปแล้ว ก็เหลือหลวงปู่ศุข หลวงตาแวว เสด็จในกรมฯ และพ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ยืนล้อมกองพระขรรค์ อาตมาก็มอง ท่านบอกให้เลิกเมื่อไหร่ก็เลิก"

พี่มะลิแก้วบอกว่า "นานมากเลย กว่าจะเลิก"

หลวงพ่อบอกว่า "นานหรือ ? ดูเพลินไปหน่อย"

เถรี
05-08-2009, 09:55
แล้วท่านก็เล่าต่อว่า "ขำตรงที่พ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ตามพระขรรค์โสฬสมาทั้งชีวิต ท้ายสุดก็ต้องมาทำให้อาตมาเสียเอง..สะใจจริง ๆ

สมัยนั้นท่านอยากได้มาก แต่ปรากฏว่าของก็สุดที่จะหายาก ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือว่า เสด็จในกรมฯ ท่านเคยใช้พระขรรค์โสฬสทดสอบนักโทษคนหนึ่ง แต่ฟันเขาไม่เข้า อะไรเขาจะสุดยอดขนาดนั้น

นักโทษคนนี้เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ใครรังแกเขา เขาสู้ทุกคน ปรากฏว่าหนังดี คนอื่น ทำอะไรไม่ได้เลย เสด็จในกรมฯ ท่านให้พวกลูกน้องคอยฟังข่าว พอรู้ว่ามีคนประเภทนี้อยู่ก็เสด็จไปหา สอบถามประวัติแล้วพบว่าเขาโดนใส่ความว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ประเภทไปขัดหูขัดตาผู้เป็นใหญ่ แล้วเขาทำอะไรไม่ได้ก็ใช้วิธีนี้

เสด็จในกรมฯ ถามว่า "วิชาคงกระพันนี่ลองได้ไหม ?"
เขาบอกว่า "ลองได้"
เสด็จในกรมฯ ก็ถามว่า "จะใช้พระขรรค์นี่นะ ?"
เขาบอกว่า "ได้"
เสด็จในกรมฯ บอกว่า "ถ้าหากว่ามีอันเป็นไปถึงชีวิต ให้มาอาศัยอยู่ในพระขรรค์นี้ จะได้ใช้งานต่อ แล้วอโหสิกรรมให้ด้วย แต่ถ้าลองแล้วไม่เป็นไร จะพยายามทูลขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วจะเอาตัวไปใช้งาน"

เขาก็ตกลง ปรากฏว่าฟันเขาสามที ไม่เข้าเลย ฟันคอด้วย เสด็จในกรมฯ ท่านบอกว่า ขอดูหน่อยว่ามีอะไรที่เป็นของขลัง ปรากฏว่าเขามีรอยสักเป็นรูปดอกบัวเล็ก ๆ อยู่ตรงท้ายทอย ถ้าไม่ชี้ให้เห็นก็ไม่รู้ ซ่อนอยู่ที่ตีนผม

คนที่ขลังขนาดพระขรรค์โสฬสเอาไม่อยู่ก็มีเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่านั่นเขาเป็นคนดี ถ้านึกดูก็คือว่า คนดีประเภทนั้น บรรดาพรหมเทวดาที่รักษาพระขรรค์ก็ไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน ที่โบราณเรียกว่าศรศิลป์ไม่กินกัน

เถรี
05-08-2009, 10:00
ศรศิลป์ไม่กินกัน สมัยหลังความหมายผิดไป หมายความว่าไม่ถูกกัน แต่สมัยนั้นไม่ใช่

พระบุตร (ลูกของพระราม) ไปรบ เมื่อยกกองทัพไป พระรามก็ออกมารบด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าพระบุตรเป็นลูกตนเอง เมื่อพระรามแผลงศรไปก็กลายเป็นขนมนมเนย พระบุตรแผลงศรมาก็กลายเป็นพวงมาลัยดอกไม้ ก็แปลกใจ ถามกันไปถามกันมา เลยรู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน

ดังนั้น..ศรศิลป์ไม่กินกัน คือไม่กินในลักษณะที่ว่า เป็นพวกเดียวกัน เป็นญาติกัน ก็เลยไม่มีอันตราย ไม่ทำร้ายกัน สมัยนี้กลายเป็นไม่ถูกกัน ความหมายเปลี่ยนไปเยอะมากเลย

เถรี
05-08-2009, 10:04
พี่ชายท่านหนึ่งถามถึงเรื่องสติและสมาธิ

หลวงพ่อบอกว่า "สมาธิจะหนักไปหรือว่าจะเบาไปไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ต้องมีสติ สติขาดเมื่อไหร่ สมาธิก็ไปเมื่อนั้น
ถ้าสติทรงตัวอยู่ สมาธิก็จะทรงตัว ถ้าหากสมาธิทรงตัวก็จะไปจะคุมสติอีกที เป็นของที่เกื้อหนุนกัน"

เถรี
05-08-2009, 10:15
ในขณะที่อยู่บ้านอนุสาวรีย์นั้น มีเสียงหวอของรถพยาบาลดังขึ้น เป็นเวลานานมาก

หลวงพ่อก็บอกว่า "คนฟังเสียงมันก็ช่างประชด ตายแน่..! ตายแน่..!
อย่างน้อยคนฟังก็ต้องมีมรณานุสติ ทีนี้มรณานุสติของเขาเบาบางผิวเผินมาก ลืมคิดไป หากคิดย้อนเข้ามาหาตัวจะได้ประโยชน์มาก เขาป่วยหนักกำลังไปโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ? เราเองก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น ทั้งเขาและเรายังไม่แน่ว่าใครจะตายก่อนกัน แต่ต้องตายแน่นอน คราวนี้ก็เหลือวาระสุดท้ายว่าตายแล้วจะไปไหน คนที่ไม่ประมาทก็จะเตรียมการไว้"

เถรี
05-08-2009, 10:20
หลวงพ่อบอกว่า "คราวเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่กับพระพุทธเจ้า มีนักบวชอเจลก (ชีเปลือย) ๗ คนเดินผ่านมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็หันไปนั่งกระหย่งยกมือไหว้ พอเขาผ่านไปก็หันมาทูลพระพุทธเจ้าว่า นักบวชเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลที่ยังครองเรือนอย่างพระองค์ท่านจะรู้เรื่องของพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" พระเจ้าปเสนทิโกศลอับจนด้วยถ้อยคำ จึงต้องสารภาพว่า พวกนั้นคือจารชนที่พระองค์ส่งไปสืบข่าวจากเมืองอื่น แสดงว่าต้นตระกูลเจมส์บอนด์มีมานานจริง ๆ"

เถรี
05-08-2009, 10:26
เถรีแอบได้ยินมาว่า มีท่านหนึ่งบูชาตะกรุดไปเป็นเดือนแล้ว ก็ยังไม่โอนเงินค่าบูชามาให้เลย
หลวงพ่อก็บอกว่า "ถ้าหากว่าพระติดหนี้โยม แล้วโยมทอดธุระ พระต้องปาราชิก อันนี้โยมติดหนี้พระ ถ้าพระทอดธุระ โยมก็ไปอเวจีเท่านั้น"

เถรี
05-08-2009, 10:29
เนื่องจากเดี๋ยวนี้มีหลายท่านหันมาภาวนาคาถาเงินล้านเป็นจำนวนมาก บางท่านก็ใช้ลูกประคำนับ บางท่านก็ใช้เครื่องนับแบบทันสมัย

เมื่อหลวงพ่อเห็นท่านก็ถามว่า "เดี๋ยวนี้เขาเลิกใช้ลูกประคำนับกันแล้วหรือ ?"
พี่มะลิแก้วก็บอกว่า "เครื่องนี้ไม่ต้องนับครับ เราภาวนาแล้วกดไปเรื่อย ๆ"
หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "แสดงว่าสติก็จะน้อยลงไปส่วนหนึ่ง เพราะว่าไม่ต้องจำเอง สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีท่านรุ่ง (พระรุ่งเรืองศักดิ์) เวลาไปไหนจะมีเข็มกลัด ถึงเวลาที่ต้องทำงานก็จะใช้เข็มกลัดติดลูกประคำไว้ก่อน จะได้รู้ว่าภาวนาไปกี่จบ ไปถึงตรงไหนแล้ว"

เถรี
05-08-2009, 17:51
หลวงพ่อเล่าว่า "มี ๓ ท่านที่ไม่ได้รับฎีกามางานวันเกิดหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด แต่ท่านอยากได้ตาลปัตร อาตมาก็บอกว่ามีให้ แต่ว่าผมไม่วิ่งไปถึงวัดพระแท่นดงรังนะ เพราะว่าออกนอกทางไปไกล อย่างเก่งก็ไปแค่ที่วัดใต้ เพราะว่าผมสอนหนังสืออยู่ที่นั่น ท่านก็บอกว่า "ถ้าเช่นนั้นก็ฝากตาลปัตรไว้ที่วัดใต้เลย" พอเอาตาลปัตรไปที่วัดใต้ อาตมารู้สึกว่าไม่ต้องฝาก เดี๋ยวก็ต้องเอาให้เขาเองเลย ก็เลยติดไว้ในรถ ๔-๕ วัน

เมื่อวานเจอตัวท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา ก็กราบเรียนเรื่องตาลปัตร ท่านก็บอกว่า ผมจะเอาไปให้ที่ปรึกษอาตมาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมถวายหลวงพ่อไปเลยนะครับ ท่านก็ว่าได้ ก็เลยไม่ต้องฝากไว้ที่วัดใต้ ได้ให้กับท่านเองเลย

ความรู้สึกพวกนี้เราต้องเชื่อ เพราะคุ้นเคยจนรู้ว่าถ้าหากเป็นอย่างนี้แล้วจะต้องถูก แต่ตรงจุดนี้ต้องผ่านการซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมจนกระทั่งมั่นใจเลยว่า ถ้าอารมณ์นี้มาคือใช่แน่นอน แล้วความเชื่อมั่นจะมีมาก ก็เลยเชื่อจนกลายเป็นดื้อไปเลย ทั้ง ๆ ที่วิ่งไปวัดใต้สองครั้ง แต่ไม่ได้ให้เขาไว้ ท่านให้ฝากไว้ที่นั่น ไป ๆ มา ๆ ก็ไปเดินชนกันในงาน แบบนี้ก็เสร็จเรา เพราะว่าตาลปัตรยังติดรถอยู่พอดี"

เถรี
05-08-2009, 17:53
พี่สาวท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่า "บารมีสิบ ถ้าเต็มจะอยู่ที่อุเบกขาใช่ไหมคะ ? ถ้าหากเต็ม จะเต็มแค่บางตัวหรือเปล่าคะ ?"

หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าเต็มตัวหนึ่งแล้วก็จะเต็มทั้งหมด พอท้ายสุดก็จะไปลงตรงอุเบกขาจริง ๆ โดยเฉพาะตัวสังขารุเปกขาญาณ"
แล้วท่านก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า "ให้ทาน บางคนให้แล้วก็ยังตัดไม่ได้ อย่างเช่นว่า ถวายของไปก็ยังตามไปดูว่าพระได้ใช้หรือเปล่า ? ประเคนไปก็ยังจ้องว่าท่านฉันของเราหรือเปล่า ? อย่างนั้นคือขาดอุเบกขาในทาน ถ้าหากท่านที่ทำใจได้แล้ว ประเคนแล้วก็แล้วกัน ฉันหรือไม่ฉันก็เรื่องของท่าน พอถึงอุเบกขาสักตัว ตัวอื่นก็ง่ายไปหมด"

เถรี
06-08-2009, 10:54
ถาม : มีวัตถุมงคลที่กันโรคหวัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กันโรคหวัดไม่ได้ทำไว้

ถาม : แล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อนี่ ?
ตอบ : ถ้าเรามั่นใจจริง ๆ อาราธนาได้
พุทธานุภาพอยู่ที่ความศรัทธาและเชื่อมั่น ถ้ามั่นใจก็ลุยไปเถอะ..!

เถรี
06-08-2009, 11:00
มีคนถามถึงคาถาอาราธนาพระขรรค์โสฬส ว่าแท้จริงต้องเป็น จัตตาโร เต อาวุธา หรือ จัตตาโร วา อาวุธา

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระท่านบอกอย่างไร อาตมาก็พูดไปแค่นั้น ไม่เคยสงสัยเลย ต่อให้ท่านด่า แล้วบอกว่าเป็นคาถาก็จะใช้ บอกอย่างไร อาตมาก็พูดอย่างนั้น ก็จบแล้ว มัวแต่ไปสงสัย เอ..ไม่เหมือนที่ผมรู้มา ? แบบนั้นก็เจ๊ง อาตมาก็ใช้ เต มาก่อน แต่ท่านบอกว่า วา อาตมาก็ วา ไปเลย"

เถรี
06-08-2009, 11:03
หลวงพ่อบอกว่า "ถามว่าห้ามฝนได้หรือไม่....ห้ามได้ แต่ห้ามทีไรได้คืนจนเละทุกทีเลย เรื่องของธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราห้ามเขาไม่ได้เพราะว่าไปฝืนธรรมชาติ วาระเขามาถึง เขาจะต้องตก แต่ว่าขอให้เร็ว ให้ช้า ให้หลัง ให้ก่อน ให้ไปซ้าย ให้ไปขวา ขึ้นบน ลงล่าง ทำได้ง่ายกว่า เพราะว่ายังไปตามวาระของเขา ไม่ทำให้เราต้องลำบากมากนัก บางอย่างถ้าฝืนกฎแห่งกรรมมากแล้วจะโดนเอาคืน คนที่โดนเอาคืนนี่มักจะเข็ดไปเลย

หลานของพระครูปลัดปรีชาเขาจะแต่งงาน พี่สาวเขาก็มาบอกว่า "หลวงพ่อ..ช่วยห้ามฝนให้สองวัน" เฮ้ย..สองวันเลยหรือ ? "เอาแค่วันส่งตัวก็ได้" ปรากฏว่าวันส่งตัวฝนไม่ตก แต่หลังจากนั้นตอนอาตมาบิณฑบาตฝนตกเจ็ดวันรวด..! เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำไปเลย ฉะนั้น..อย่าได้ไปทำเรื่องอย่างนี้ เพราะว่าถ้าไม่จำเป็นแล้ว มักจะพาให้ตัวเองเดือดร้อนเปล่า ๆ ถ้าจำเป็นจริง ๆ ค่อยทำให้โยมเขาหน่อย"

เถรี
06-08-2009, 11:25
เนื่องจากวันนั้นมีคนบอกบุญ เกี่ยวกับการสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ หน้าตัก ๑๐ นิ้ว หลวงพ่อท่านอ่านรายละเอียดในการสร้าง แล้วก็กล่าวว่า

"คราวนี้เขาตั้งใจสร้างสมเด็จองค์ปฐมอาตมาก็โมทนาด้วย แต่เขารู้หรือเปล่าว่าต้องใช้ทองคำเท่าไหร่ ? เขาประกาศชัด ๆ เลย ทองคำแท้ หน้าตัก ๑๐ นิ้ว หล่อเต็ม แล้วทองคำ ๔๐ กิโลกรัม ลองคูณดูสิว่าปัจจุบันราคาเท่าไหร่ ? ถ้ามีไม่ถึง ๑๕ ล้านบาท ซื้อไม่ได้หรอก

มีหลายท่านที่ทำงานโดยไม่รู้ว่างบประมาณเท่าไหร่ เห็นคนอื่นทำก็อยากจะทำบ้าง แล้วเป็นเหตุให้หลายต่อหลายวัดที่งานค้างคาอยู่ เป็นสิบ ๆ ปีก็ไปไม่ถึงไหน ทองคำกิโลกรัมหนึ่งประมาณ ๖๐ บาทกว่า ๆ แล้วถ้า ๔๐ กิโลกรัมเป็นกี่บาท ลองคูณกับ ๑๕,๐๐๐ บาทดู

เมื่อคำนวณดูแล้วผลปรากฏว่าได้คำตอบเป็นสามสิบเก้าล้านบาทกว่า ๆ

หลวงพ่อก็บอกว่า "เพราะฉะนั้น..การที่เขาจะทำ เราก็โมทนาในกำลังใจของเขา แต่เขาไม่ได้ดูตัวเอง คิดอยู่อย่างเดียวว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทำอะไรง่ายมาก พอทำเองแล้วจะรู้ว่าไม่ได้ง่ายเลย"

เถรี
06-08-2009, 11:31
หลวงพ่อกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าบอกว่า ละธรรม ๑๐ อย่างไม่ได้ ไม่ควรเป็นพระอรหันต์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล

ธรรม ๑๐ อย่างคือ
๑) ราคะ ความกำหนัดยินดี
๒) โทสะ ความคิดประทุษร้าย
๓) โมหะ ความหลง
๔) โกรธะ ความโกรธ
๕) อุปนาหะ ความผูกโกรธ
๖) มักขะ ความลบหลู่บุญคุณท่าน
๗) ปลาสะ ความตีเสมอ
๘) อิสสา ความริษยา
๙) มัจฉริยะ ความตระหนี่
๑๐) มานะ ความถือตัว

ตรงนี้มาจากอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกฉบับที่ ๒๔ เพราะฉะนั้นเราก็มาดูตัวของเราเองว่ายังมีหรือไม่ ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน"

เถรี
06-08-2009, 11:37
หลวงพ่อเล่าเรื่องเกาะพระฤๅษีให้ฟังว่า

"สมัยที่ออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ เคยชวนหลวงพี่วิรัช ที่ออกมาแล้วไปอยู่ด้วยกัน ท่านบอกว่าไม่เอา ผมกลัวมาลาเรีย ท่านเห็นอาตมาเป็นมาลาเรีย ...(หัวเราะ)...

สมัยก่อนที่เกาะมีหลายท่านไปดู เพื่อว่าจะไปอยู่ด้วย แต่ท้ายสุดก็ตัดสินใจไม่อยู่ ก็มีหลวงพี่อาจินต์ หลวงพี่สามารถ (สึกไปแล้ว) แล้วก็หลวงพี่สมปอง อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นไม่มีอะไรจริง ๆ แล้วอาตมาก็เริ่มทำจากตั้งแต่พื้นดินเปล่า ๆ บอกพี่ท่านที่เคยไป ให้ไปดูใหม่ว่าน้องเขาทำอะไรบ้าง เพราะว่าท่านไม่ได้ไปนานแล้ว มั่นใจได้เลยว่าจำทางไม่ได้ เพราะว่าท่านไปกันครั้งเดียว

หลวงตาวัชรชัยไปครั้งสุดท้ายเมื่อปี ๒๕๓๘ ไปถึงก็ เฮ้ย...ข้านึกว่าเอ็งอยู่ในป่า จะมีกุฏิมุงหญ้า มุงแฝก ที่ไหนได้สวยกว่าวัดกูอีก..!

ตรงจุดนี้ทำให้เราเห็นว่า ในเรื่องของคุณพระพุทธเจ้า คุณของพระรัตนตรัย คุณของครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าเราเคารพ เชื่อมั่น และปฏิบัติตาม เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นแค่เรื่องทางโลกทั้งนั้น ไม่มีอะไรยากเลย เพราะว่าเรื่องที่ยากจริง ๆ เป็นเรื่องทางธรรม ในเมื่อเรื่องทางธรรมยากกว่า เรื่องทางโลกที่ง่าย ก็ไม่มีอะไรหรอกที่จะทำไม่ได้ แต่ก็เป็นที่น่าหวั่นเกรงว่า ถึงเวลาที่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เข้ามาแล้วเราจะลืมตัว

บรรดาพระพี่พระน้องที่สึกหาลาเพศไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ต้องบอกว่าแพ้ใจตัวเอง แต่ดีตรงที่ว่า ท่านรู้ว่าพออยู่ต่อแล้วจะเสีย ท่านก็สึก ถ้าขืนอยู่ต่อแล้วอาจจะทำให้พระพุทธศาสนาเสียได้ ก็สึกดีกว่า"

เถรี
06-08-2009, 11:43
ถาม : ฟังมาว่าจิตเป็นของเรา ได้ยินมาว่าจิตเป็นอนัตตาด้วย จริง ๆ แล้วเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าคุณทำได้แค่ไหน ถ้าระดับปุถุชนทั่วไป ก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าเป็นอริยเจ้าก็ค่อย ๆ ลดละไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเป็นของเรา

ถาม : ก็คือไม่มีอะไรเป็นของเรา ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเรา ว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าฝีมือห่วยแตกก็ยังยึดว่าเป็นของเรา ถ้าดีขึ้นมาหน่อยก็ลดละไปตามลำดับ

ถาม : แสดงว่าหลวงพ่อบอกว่าจิตของปุถุชนเป็นอัตตา ?
ตอบ : ไม่ได้บอก แต่คุณไปยึดของคุณเอง

ถาม : ยึดของเราเอง แสดงว่าจริง ๆ แล้วเป็นอนัตตา ?
ตอบ : จิตมันก็คือจิต เป็นตัวรู้เฉย ๆ ส่วนจะยึดหรือไม่ยึด อยู่ที่กำลังใจของคุณที่ทำได้

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า...(ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : นั่นเป็นแค่อาการทำงานของจิต

ถาม : แสดงว่าจิตไม่ใช่จิตตัวนี้แค่ตัวเดียว แต่เปลี่ยนไปเรื่อยในแต่ละวัน ?
ตอบ : ขณะที่เสวยอารมณ์ก็เปลี่ยนลักษณะไปเรื่อย

ถาม : ดูเวทนาเปลี่ยนไป จิตก็เปลี่ยนไป ?
ตอบ : บางปัญหาคุณถามไป ก็ไม่เจ็บไม่คันอะไร

ถาม : สำคัญตรงที่สักกายทิฏฐิ ถ้าเรายึดว่าจิตเป็นอัตตา ก็จะกลายเป็นว่าเราจะวิปัสสนาไม่ได้ ?
ตอบ : คุณจะยึดว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตาก็เป็นการยึดทั้งคู่ ท้ายสุดกระทั่งอนัตตามก็ต้องปล่อย เพราะฉะนั้น..เสียเวลาที่จะมาพูด เพราะว่าคุณยังทำไม่ถึง..!

เถรี
08-08-2009, 13:54
หลวงพ่อกล่าวว่า "เรื่องของเจ้าที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนว่า เวลาไปไหนให้ความสำคัญกับเจ้าที่ด้วย มีอะไรให้นึกถึงเจ้าที่ท่านก่อน

ประสบการณ์ที่เจอมาก็คือ เขตใครเขตมัน พอพ้นเขตแล้วให้ท่านอื่นมารับช่วงต่อ ทั้ง ๆ ที่จะข้ามเขตเมื่อไหร่ก็ได้ แต่โดยมารยาทแล้วท่านให้เกียรติเจ้าของที่ ใหญ่แค่ไหนก็ตาม ท่านจะไม่ข้ามเขต แบบเดียวกับภาษิตจีนที่ว่า มังกรแม้ดุร้ายก็ไม่รังแกงูเจ้าถิ่น"

เถรี
08-08-2009, 14:46
หลวงพ่อกล่าวว่า "เรื่องของส่วนดี เกิดขึ้นด้วยส่วนกรรมดีที่เราทำไว้ เรื่องของส่วนไม่ดี มันก็อาศัยจังหวะของอกุศลกรรมเข้ามาสนอง"

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า "ระยะครึ่งเดือนช่วงที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้นอนเต็มตาสักวัน ขนาดปิดโทรศัพท์หมด ยังมีคนมาทุบประตู ทุบตอนไหนก็ไม่ทุบ มาทุบตอนที่เราเพิ่งหลับวูบไป แล้วนิสัยเราก็คือตื่นแล้วตื่นเลย จะไม่หลับอีก แล้วมันมาทุบเพื่ออะไรรู้ไหม มาทุบขอเขากระทิงคืน เรื่องโคตรจะสำคัญเลย"

พี่ทิดตู่ถามว่า "เนื่องด้วยกรรมอะไรครับ"
หลวงพ่อบอกว่า "ในอดีตเนื่องด้วยกรรมที่เป็นกองหลอน รู้จักกองหลอนของลาวไหม พวกที่คอยไปก่อกวนฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้เขานอน เป็นการตัดกำลังไปในตัว ถึงเวลาจะได้เข้าตีได้ง่าย มันมาสนองชาตินี้ โดนทุกรูปแบบ ยอมรับจริง ๆ ว่ากฎของกรรมมันไม่เว้นให้ใครเลย

บางวันเหนื่อยจะขาดใจ เพิ่งจะนอนลงไป เสียงก็ตะโกนแล้ว ตั้งแต่ฉันเพลเสร็จ นั่งทำงานจนบ่ายสองโมงมันไม่เรียกหรอก พอเราไม่ไหวเอนลงไปนอน ก็ตะโกนแล้ว บางทีกำลังเคลิ้ม ๆ จะหลับ ก็มีเสียง ผ่าง ! สะดุ้งขึ้น ไก่มันไม่มีอะไรจะทำ มันเห็นเงาตัวเองในแท็งก์สแตนเลส ก็เลยกระโดดตีตัวมันเอง แล้วหันมาทางกุฏิเราพอดี มันจะหาจังหวะเล่นเราทุกที

แบบเดียวกับโทรศัพท์ เปิดไว้เถอะ เช้าถึงบ่ายไม่มีใครโทร พอเราเริ่มนอนมันก็จะมีเสียง ๔-๕ สายติด ๆ กัน ดังกริ๊ง ๆ จนต้องตื่น

เรื่องของบุญก็ส่วนบุญ ถึงเวลาวาระก็สนองให้ งานทุกอย่างสะดวกมีความคล่องตัวทำอะไรก็ได้อย่างใจ แต่ขณะเดียวกันเรื่องของกรรมก็สนองตามแบบของมัน เผลอเมื่อไหร่ก็โดนเมื่อนั้น "

เถรี
08-08-2009, 14:48
หลวงพ่อบอกว่า "ถ้ารู้จักพิจารณาว่ากรรมเป็นของน่ากลัว สนองทุกเวลาที่เขามีโอกาส ฉะนั้นการกระทำของเรามันไม่ได้สูญหายไปไหน จะดีหรือว่าชั่วก็ตาม มันจะรอวาระของมันอยู่ ถึงเวลาก็ให้ผลตามวาระนั้น ยถากัมมุตาญาณมีความดีหลายอย่าง ทำให้เห็นความน่ากลัวของกรรม ขณะเดียวกันก็รู้ว่าทำอะไรจะเกิดผลอะไร เมื่อเห็นอย่างนั้นจะได้รู้ว่า เราควรจะเลือกทำในส่วนที่ดีหรือชั่ว ซึ่งถ้าคนดี ๆ มีสติสัมปชัญญะทั่วไป ก็คงไม่มีใครหรอกที่เห็นกรรมมันสนองต่อหน้าต่อตาแล้วจะไปทำความชั่ว"

เถรี
08-08-2009, 15:42
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนอยู่บ้านสายลม มีโยมผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่จุดตรงขายสังฆทานถึงจุดที่หลวงพ่อท่านนั่ง เขาพนมมือกล่าวเสียงลั่นมาแต่ไกลเลย
"หลวงพ่อครับ ผมพยายามทำความดี สร้างศาลามากี่หลัง สร้างโบสถ์มากี่หลัง ถวายระฆังมากี่ลูก ทำไมจนป่านนี้ผมยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ละครับ"

หลวงพ่อก็หัวเราะ "โยมรู้จักอารมณ์พระโสดาบันไหม"
"ไม่รู้จักครับ"
"เออ..ซื้อหนังสือตรงข้าง ๆ นั่นนะ ถามเขาว่ามีเล่มไหนมีอารมณ์พระโสดาบัน กลับไปอ่านตรงจุดนั้นแล้วก็ทำเสียมันจะได้เป็น สิ่งที่โยมทำมันเป็นบุญ กำลังบุญมีส่วนเสริมในความดีเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรให้เราเป็นอย่างที่ต้องการได้หมด โดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าต้องทำด้วยตัวเองทั้งนั้น"

แกก็ดีนะ ได้ยินคำแนะนำ ก็หันไปซื้อหนังสือเลย ได้หนังสือก็กราบลาหลวงพ่อไปเลย

เดือนหน้ามาอีก"หลวงพ่อครับ ผมรู้จักอารมณ์พระโสดาบันแล้วครับ" รายงานตั้งแต่ประตูเหมือนเดิม
หลวงพ่อก็ถาม "แล้วเป็นอย่างไร ทำได้หรือเปล่า"
"ไม่ยากครับ ไม่ยาก"
"เออ พยายามทำเอาไว้"

"แต่ผมอ่านไปตรงที่ว่า ถ้าใครสามารถกล่าวถึงอะไรได้แสดงว่าคนนั้นต้องได้ด้วยใช่หรือไม่ครับหลวงพ่อ"
"อย่าเลี้ยวมาทางนี้สิวะ"
"ผมมั่นใจว่าหลวงพ่อต้องเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ"
"พอ ๆ ไม่ใช่หน้าที่ของโยมจะพยากรณ์"

คนฟังที่บ้านอนุสาวรีย์ฮากันมากมาย แล้วหลวงพ่อเล็กก็บอกว่า "เขาเป็นคนมีปัญญามากนะ แค่แนะนำนิดเดียวก็เข้าทาง"

เถรี
08-08-2009, 16:06
ถาม : หลวงพี่คะ มีปัญหาเลยต้องมาสอบถาม ก็คือแฟน หัวหน้าเขาจะหาเรื่องไล่ออก ?

ตอบ : ก็ไปเสียเลย


ถาม : เย้ย ! มีวิธีแก้ไหมคะหลวงพี่ ขอความเมตตาค่ะหลวงพี่ ?

ตอบ : ใช้คาถาหลวงพ่อแช่มวัดฉลอง พระอะระหัง สุคะโตภะคะวา นะเมตตาจิต เวลาท่องก็นึกถึงหน้าหัวหน้า ให้แฟนเขาท่องนะไม่ใช่ให้เราท่อง สักครึ่งชั่วโมง ให้กำลังใจทรงตัวแล้วค่อยไป ทำอย่างนั้นทุกวัน นึกถึงหน้าเขาแล้วท่องคาถานี้

เถรี
08-08-2009, 16:08
ถามเรื่องจิตเป็นอัตตา (คนเดิมกลับมาถามอีกครั้ง)
หลวงพ่อบอกว่า " จะไปเถียงกับมันทำซากอะไร มันขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าทำได้น้อยก็จะเห็นว่าเป็นอัตตามันยึดไม่ปล่อย แต่ถ้าทำได้มาก มันก้าวข้ามอัตตาไปแล้ว ก็จะเห็นว่า อ๋อ...ที่แท้มันเป็นอนัตตา เสียเวลาไปเถียงมัน เหมือนกับเด็กคนหนึ่งจบป. ๔ คนหนึ่งจบป. ๖ อีกคนหนึ่งจบปริญญา มุมมองมันเปลี่ยน"

เถรี
08-08-2009, 16:14
หลวงพ่อบอกว่า "เคยมีเด็กเขามาให้ตั้งชื่อ เกิดวันอาทิตย์เป็นผู้หญิง เขียนไปว่า "อนรรฆนง" (อ่านว่า อะ-นัก-นง แปลว่า หญิงผู้ประมาณค่าไม่ได้) เจ้าพนักงานเขาไม่ให้ใช้ชื่อนี้ บอกว่าใช้ไม่ได้ เขาบอกว่าเปิดพจนานุกรมแล้วหาไม่เจอ เปิดผิดเล่มนะสิ ถ้าเขาเปิดพจนานุกรมไทยบาลีสันสกฤตก็จะเจอ

จำไว้ว่าคำไหนที่เป็น ร หัน , พ.พาน , ษ.ฤๅษี มักจะเป็นสันสกฤต
ถ้าบาลีมักจะใช้ ว.แหวน , ส.เสือ
ถ้าใครมีลูกสาวเกิดวันอาทิตย์เอาชื่อนี้ไปให้เขาเลยนะ อนุญาต ดูสิว่าจะเจอเจ้าพนักงานใจกว้างไหม"

เถรี
09-08-2009, 02:38
ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูทุกข์มาก ๆ เลย จนถึงจุดหนึ่งโดยไม่ได้ภาวนา ไม่ได้พิจารณา แต่อยู่ดี ๆ แค่ชั่วลัดนิ้วมือเดียว ก็รู้สึกว่าหายไปค่ะ หายไปแล้วหนูก็ตกใจก็เลยไปดึงอารมณ์กลับมาใหม่ แล้วก็ไม่มา ทีนี้ไม่มาอีกเลย เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย เกิดอะไรขึ้นกับหนูหรือคะ ?

ตอบ : ต้องดูว่ากำลังใจของเราตอนนั้นทำอย่างไร ถึงก้าวข้ามไปได้ ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่เราทำบางทีเราไม่ได้นึกถึง กลายเป็นความบังเอิญที่โบราณเรียกว่า ขี้ตรงร่อง ไม่ได้เจตนา แต่บังเอิญพอดี เราต้องนึกย้อนหลังไปว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร ทำอย่างไร หรือไม่คิดเลย สำคัญตรงที่ไม่คิดเลย ทำได้ไหม ? เพราะว่าทุกวันนี้ส่วนใหญ่ทนทุกข์อยู่เพราะไปคิด

ตัวคิดนั่นก็คือจิตที่ปรุงแต่งเพิ่มขึ้นมา พอปรุงแต่งเพิ่มขึ้นมา ก็จะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง สร้างทุกข์ให้กับเรานั่นเอง แต่ถ้าหากว่าเราหยุดคิดได้ พวกนี้ก็ไม่สามารถงอกงามต่อได้ ก็จะหยุดไปตามสภาพเอง เราถึงรู้สึกว่า อ้าว..อยู่ ๆ หล่นหายไปไหน ฉะนั้น..เรามองย้อนกลับไป ตอนช่วงนั้นคิดอย่างไรทำอย่างไร แล้วลองทำ หรือถ้าหากว่ามองย้อนกลับไปแล้วรู้ว่าเราทุกข์เพราะอะไรก็ลองทำไปอย่างนั้น คิดไปอย่างนั้นอีก

เถรี
09-08-2009, 02:42
ถาม : หนูพยายามลองหัดเดินจงกรมดูค่ะ ก็พยายามให้ลมหายใจกับก้าวมันสอดคล้องกัน ถ้าทำได้ก็จับก้าวก็ได้จับลมก็ได้ใช่หรือไม่คะ
ตอบ : มันจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สติจะรู้รอบทุกอิริยาบถ ร่างกายจะมีส่วนไหนที่เคลื่อนไหวบ้าง มันจะรู้หมด แต่ว่ากว่าจะละเอียดถึงขนาดนั้นต้องใช้ความพยายาม

ถาม : ค่ะ เพราะหนูเดินจนเจ็บเข่า ไม่เห็นจิตมันจะรวมเลย
ตอบ : เวลาเราทำ บางทีเราอาจจะไปกังวลต้องการผล ต้องตัดกำลังใจว่า ณ ที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิด ไม่อย่างนั้นก็เจ็บเข่าต่อไป เพราะใจที่ไปกังวลกับผลของมันมันไปทำกำลังใจให้ฟุ้งซ่าน ไม่รวมตัว

ถาม : ค่ะ มันฟุ้งซ่าน หนูก็เลยเปลี่ยนไปเป็นพิจารณาด้วยค่ะ ปรากฏว่ามันก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกันค่ะ
ตอบ : อันไหนที่ทำแล้วได้ดีก็ทำไป

ถาม : แล้วพิจารณาไปเรื่อย ๆ มันจะเป็นฌานตัดกิเลสได้ไหมคะ เพราะว่าไม่ได้เริ่มจากสมาธิก่อนน่ะค่ะ
ตอบ : การพิจารณาไปเรื่อย ๆ สมาธิมันจะค่อย ๆ ทรงตัวกลายเป็นฌาน

เถรี
09-08-2009, 02:44
ถาม: หนูชอบพิจารณาไตรลักษณ์ค่ะ ถ้าพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดแต่ว่าไม่ตบท้ายว่าต้องไปพระนิพพาน จะไปพระนิพพานได้ไหมคะ
ตอบ : ถ้าหากว่ามันปล่อยวางจริง ๆ ต่อให้ไม่คิดไปนิพพาน มันก็ไปเอง

ถาม : ไปเองหรือคะ
ตอบ : ไปเอง แต่เพื่อความปลอดภัย เกาะท้ายไว้นิดหนึ่ง เพราะว่าท้ายสุดที่เราเกาะก็ต้องวาง ถ้าไม่วางไปไม่ได้หรอก มันเกาะเสาอยู่มันจะไปได้ไหม

เถรี
09-08-2009, 02:45
ถาม : วัตถุมงคลถ้าเอามาห้อยคอ กับพกติดกระเป๋าแล้วติดตัวตลอดเวลา.....
ตอบ : อาราธนาแล้วผลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าให้อยู่ใกล้เราไว้ ไม่ใช่ทิ้งไว้ที่บ้านแล้วตัวไปทำงานไกลเป็น ๕๐๐ กิโลเมตร

เถรี
09-08-2009, 02:46
ถาม : แล้วหนูจะนิมนต์วัตถุมงคลไว้หน้ารถ สามีเขาบอกว่าเอาพระไปตากแดดไม่ดี สามีหนูคิดมากไปหรือหนูคิดน้อยไปคะ

ตอบ : สองคนต้องรวมกัน นิมนต์เอามาไว้ที่ (ใต้) หลังคารถ จะได้ไม่ตากแดด หาองค์ไหนไปแปะหลังคาไว้หน่อย

เถรี
09-08-2009, 11:25
ในขณะที่โยมกำลังนั่งกอดอกเพราะความหนาวของแอร์ที่บ้านอนุสาวรีย์ หลวงพ่อก็บอกให้คนปิดแอร์ข้างหนึ่ง "ปิดแอร์เสียหน่อย มีคนหนาวมาก"

แล้วท่านก็บอกว่า "ความจริงจะแนะนำให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่มันยาก" หลังจากนั้นท่านก็เล่าเรื่องสมัยที่อยู่กับพี่ทิดตู่ให้ฟัง ว่าท่านขึ้นไปตัดกิ่งต้นประดู่เลือด ซึ่งมีความคันมาก แล้วท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างไร

ท้ายสุดท่านบอกว่า "การที่จิตมันห่วงร่างกายมาก ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นมันก็จะไปเกาะไปยึดไปใส่ใจ มันก็เลยทำให้ปลดออกจากมันยาก ตรงที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจมัน ถ้าหากว่าทำได้ ถึงเวลาแค่คิดต่อไม่นานมันจะปลดจากร่างกายได้ง่าย"

เถรี
09-08-2009, 12:30
หลวงพ่อเล่าว่า "มีญาติโยมจากอู่ล่อง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นไทยโบราณที่มาจากฝั่งพม่า เขามานิมนต์ให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ ไม่ได้รับนิมนต์เขาหรอกนะ

ก็นั่งคุยกัน เอาน้ำมาเลี้ยงกัน ปรากฏว่าคุณตาแก่ ๆ ท่านหนึ่ง ดื่มน้ำจนเหลือค่อนแก้ว แกก็สาดน้ำออกไปทางประตูกระจก เห็นกระจกมันใส ๆ ก็เลยสาดไป น้ำก็กระจายเต็มห้องเรา เพราะความเคยชินจากบ้านตัวเองที่มักสาดน้ำออกนอกชาน

เรื่องของความเคยชินบางทีมันใช้ไม่ได้ในบางสถานที่ ถ้าขาดสติระมัดระวัง มันอาจจะเกิดความเสียหายขึ้นได้"

เถรี
09-08-2009, 13:02
หลวงพ่อบอกว่า "งานวันที่ ๑๒ มีวัตถุมงคลแจก ถ้าเวียนหลายรอบอาจจะหมด เพราะมีแค่สองพันชิ้น เป็นเหรียญทำน้ำมนต์หลวงพ่อวัดสระเกศ อาตมาไม่ได้ทำนะ แต่อันนี้ของท่าน ในเมื่อรับมาสองพันก็จะแจกวันนั้นให้หมด ถ้าไม่หมดก็จะใส่ตู้ขายให้แพง ๆ ใครคิดว่าค่าน้ำมันไม่แพงก็รีบไปรับซะ"

เถรี
09-08-2009, 21:39
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พม่ามันแสบมาก มันเล่นร้องเพลง รักเก่าที่บ้านเกิด หลอกเรา เสียงมันดีเสียด้วย (เพลงนี้ร้องว่า พี่จากบ้านนาไปห้าหกปี มาเยือนคนดีด้วยความคิดถึง...)

คราวนี้ต้องยอมรับว่า ถ้าสติสมาธิมันทรงตัว ความเป็นทิพย์มันรายงานหมด ทันทีที่ได้ยินมันรู้พร้อมหมด ว่าเขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เขาอยากจะพิสูจน์เรา ไม่กล้าลงมาถาม ใช้วิธีร้องเพลงไทย ถ้าเราหันขวับไป ใช่เลย โดนแน่

เพลงนี้ผู้หญิงโดนเขาหลอกไปขายตัว ผู้ชายก็เลยเสียใจหนีออกจากบ้าน กลับมาอีกทีแฟนบวชเป็นชีไปแล้ว (ได้ข่าวว่าสาวไปบวชเป็นชี สูญเสียความดีพี่น้องเมินหน้า ถูกมารสังคมหลอกขาย...)

ถ้าหากเราวิเคราะห์สภาพจิตใจของทั้งสองฝ่าย ผู้หญิงดีกว่าเยอะเลย พอผู้หญิงพ้นจากสภาพนั้น เขาก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงขนาดไปบวชเป็นชี และก็คงรู้ว่าผู้ชายเขาทิ้งไปแล้ว ถึงได้บอกว่า สามวันจากนารี (ผู้ชาย) เป็นอื่น

เรามาดูกำลังใจของเขาในเพลงนี้ ผู้ชายเขากลับมา เขารู้ว่าผู้หญิงบวชชีแล้ว อยากไปหา แต่กลัวว่าถ้าโผล่ไปแล้วจะทำให้แม่ชีฟุ้งซ่าน พยายามห้ามใจตัวเอง ลักษณะอย่างนั้นแหละ ถ้าห้ามใจตัวเองได้ มันก็คือกำลังใจในการห้ามรัก โลภ โกรธ หลง มีโอกาสละเมิดศีลแล้วไม่ละเมิด มีโอกาสทำในสิ่งที่ตนเองทำไปแล้วจะดีแก่ตน แต่เสียหายแก่ผู้อื่นก็ไม่ทำ"

เถรี
10-08-2009, 09:16
หลวงพ่อบอกว่า "ในส่วนของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นับแล้วมันเป็นอัตตาธิปไตย

พระพุทธเจ้ากล่าวถึงอธิปไตย ๓ อย่าง มีอัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ (ถือเสียงข้างมาก) แล้วก็ธรรมาธิปไตย ก็คือ ถือธรรมเป็นใหญ่ เราว่าอันไหนดี"

เถรีก็บอกว่า "ธรรมาธิปไตย"
หลวงพ่อบอกว่า "ไม่แน่ มันขึ้นอยู่กับคนใช้"

หลังจากนั้นท่านก็อธิบายว่า "อัตตาธิปไตย ถ้าได้พระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมอย่างสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะว่าขั้นตอนไม่มี สั่งการอย่างเดียวเลย ส่วนโลกาธิปไตยอย่างปัจจุบัน ทำอะไรได้ เพราะคนที่ทำหน้าที่อยู่ไม่มีศีลธรรม เพราะฉะนั้นถ้านับดูแล้วเรื่องของอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตยยังไม่มีความแน่นอนว่าจะดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่กับบุคคลที่ใช้ แต่ธรรมธิปไตยมีดีอยู่โดยส่วนเดียว

ธรรมาธิปไตยถ้าอยู่ในอัตตาธิปไตยก็ทำให้เจริญรุ่งเรืองได้ง่าย ธรรมาธิปไตยถ้าอยู่ในโลกธิปไตยก็ทำให้การปกครองทุกอย่างเป็นไปโดยราบรื่น"

เถรี
10-08-2009, 09:24
ท่านก็กล่าวต่อไปอีกว่า "แม้นหวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จักอาจสู้ริปูขยั้น

แบบเดียวกับแคว้นวัชชี ปกครองโดยสามัคคีธรรม พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นกษัตริย์แคว้นมคธ แคว้นมคธนี่ใหญ่โตมโหฬารมากกว่าแคว้นวัชชีหลายเท่า แต่แตะต้องแคว้นวัชชีไม่ได้ เพราะว่าแคว้นวัชชีนอกจากจะสามัคคีกลมเกลียวกันแล้ว ฝีมือในการรบก็นับว่าสุดยอด เขาบอกว่าเหล่ากษัตริย์แคว้นวัชชีสามารถขี่ม้าแล้วแผลงศรเข้าไปยังช่องดาลประตูได้ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ยิงปืนตอกหัวตะปูได้

แม้ว่าจะใช้ธรรมาธิปไตยแต่ก็ต้องเตรียมพร้อมลักษณะนั้น แบบเดียวกับพระเจ้าโกรัพยะ พระรัฐบาลบอกว่า โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน พระเจ้าโกรัพยะบอกว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น อย่างพระองค์เป็นกษัตริย์ก็เป็นใหญ่แล้ว พระรัฐบาลบอกว่า ดูกรมหาบพิตร ถ้ามหาบพิตรได้ข่าวว่า ข้างฟากมหาสมุทรแห่งโน้น มีบ้านเมืองที่อุดมสมบูรณ์อยู่ ด้วยช้างม้าวัวควาย ด้วยแก้วแหวนเงินทอง ปราศจากกำลังรบ พระองค์ท่านจะทำอย่างไร พระเจ้าโกรัพยะบอกว่า โยมก็ต้องเกณฑ์ไพร่พลไปเพื่อยึดบ้านเมืองนั้นมาเป็นของเรา พระรัฐบาลเถระบอก นั่นแหละ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่มีผู้เป็นใหญ่เฉพาะตน

ท่านบอกไว้หลายข้อ โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน อันนี้ชัดเจนเลย อนิจจัง ก้าวเข้าไปหาความแก่ ความตายตลอดเวลา ท้ายสุดท่านว่า โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นต่อไปในอนาคตข้างหน้า แม้ว่าสภาพบ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนก็ตาม แต่ว่ากิเลสคนยังเหมือนเดิม มันยังรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนเดิม ดังนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอกาลิโก ไม่โดนจำกัดด้วยกาลสมัย ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ถ้านำธรรมะของท่านไปใช้ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น เพราะว่ายุคใดก็ตาม เจริญสุดขีดขนาดไหนก็ตาม กิเลสมันก็หน้าตาเหมือนเดิม"

เถรี
10-08-2009, 09:28
ท่านกล่าวต่ออีกว่า "มันหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่หน้าตากิเลสมันเหมือนเดิม อย่างที่หนัก ๆ อยู่ ก็ไอ้ตัวแสบมันมา ตีกันจนคุ้น มันมาบอกว่า ที่ท่านไปสอน ๆ ไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบซ้ำไม่รู้ตั้งกี่ชั้นแล้วมันก็ทำให้ดู

(หลวงพ่อยกฝ่ามือขึ้นมา) นี่ท่านเรียกว่าอะไร สมมติก็เรียกว่ามือ นี่หลังมือ หน้ามือ นิ้วมือ มีนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย มีนิ้วโป้งข้อที่ ๑ นิ้วโป้งข้อที่ ๒ ฯลฯ
ไล่ไปเรื่อยจนกระทั่งเล็บ มันบอกว่าแค่มือข้างเดียวมันครอบตั้งกี่ชั้นแล้ว

ถ้าหากปัญญาญาณไม่แหลมคมจริง ๆ ไม่สามารถจะแทงทะลุได้หรอก มันมาเกลี้ยกล่อมเรา บอกว่าสอนไปก็เหนื่อยเปล่า ถ้าเชื่อมันก็โง่ตาย

เราต้องนึกท่านท้าวสหัมบดีพรหม ท่านมาอาราธนาพระพุทธเจ้า สัตว์โลกอันธุลีในจักษุมีน้อยนั้นมีอยู่ พึงจักรู้ทั่วถึงธรรมนั้น ขออาราธนาพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมเถิดพระเจ้าข้า

แล้วก็ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ปีหนึ่งท่านไปอเมริกา คนตามไป ๔๒ คน หลวงพ่อจ่ายค่าเครื่องบินไปสามล้านกว่า เราก็ว่า หลวงพ่อครับ มันคุ้มหรือครับ จ่ายเงินเป็นล้าน ๆ ท่านบอกว่า ถ้าหากมีคนรู้จักพระนิพพานแม้คนเดียวก็คุ้ม เงินล้านก็ซื้อพระนิพพานไม่ได้

แล้วก็ย้อนกลับมาคิดว่า หลวงพ่อคิดอย่างนั้นคนเดียว ท้าวสหัมบดีพรหมท่านบอกว่า สัตว์โลกอันธุลีในจักษุมีน้อยนั้นมีอยู่

เมื่อเห็นตรงจุดนี้ อย่างที่บอกกับโยมเมื่อเช้า เราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าได้ทุ่มเทความพยายามจนเต็มที่แล้ว ผลมันจะเกิดอย่างไรเราเอาทั้งนั้น ได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ไม่ได้ก็จะเอา "

เถรี
10-08-2009, 09:33
ท่านกล่าวต่ออีกว่า "จากที่ไปรบกับเขามา มันทำให้รู้ว่าคนจำนวนมากต่อมากด้วยกัน มีกำลังบารมีสูงมากแต่โดนเขาหลอกหลงทาง

ปัจจุบันนี้ถ้าเราศึกษาในเรื่องของสายการปฏิบัติต่าง ๆ มีหลายสายที่เริ่มมีนิพพานดำ นิพพานขาว มีต้นธาตุต้นธรรมของพระพุทธเจ้า มีภาคขาว มีภาคดำ ภาคขาวเป็นต้นธาตุต้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาคดำเป็นต้นธาตุต้นธรรมของมาร แล้วมันยังระบุอีกว่าฝ่ายมารสร้างบารมีมาเยอะกว่า ฟังแล้วท้อ

บังเอิญเราเป็นอย่างภาษิตจีนที่ว่า โคถึกน้อยไม่รู้จักกลัวพยัคฆ์"

เถรี
10-08-2009, 12:15
ถาม : แล้วที่ปฏิบัติในลักษณะที่ตึงจนเกินไป
ตอบ : อ๋อ ไม่ต้องห่วง สมัยนี้ไม่มีหรอกอัตกิลมถานุโยค

ถาม : แล้วพระจักขุบาลเถระ
ตอบ : อันนั้นของท่านมั่นคงกับอธิษฐานบารมี ยอมแลกด้วยชีวิต บุคคลที่ไม่ห่วงใยอาลัยร่างกายขนาดนั้นแล้ว กำลังใจที่พร้อมที่จะตัด มันก็เหลือแค่เข้าให้ถูกทางแค่นิดเดียว

เถรี
10-08-2009, 12:29
หลวงพ่อถามว่า "เคยดูมวยไหม บางทีคนที่แพ้ คนดูเขาปรบมือให้มากกว่าอีก เพราะเขาสู้"

"มันต้องลงทุนให้ได้อย่างนั้น ไม่เช่นนั้นมันจะสู้กิเลสไม่ไหว โดยเฉพาะสมัยนี้มันมาในรูปแบบล่อตาสารพัดต่าง ๆ เด็กสมัยหลังนี้น่าสงสารมาก มันโดนกระตุ้นให้เกิดความต้องการเทียมขึ้นมาสารพัดอย่าง ไปสังเกตดูโฆษณาได้เลย ๔ ใน ๑๐ จะเป็นของกิน อีก ๔ ใน ๑๐ จะเป็นของใช้ที่ไม่จำเป็น มีอย่างดีอยู่แค่ ๒ เท่านั้น มันก็แปลว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ได้เรื่อง แต่เขากระตุ้นไปว่าขาดไม่ได้ ต้องใช้ครีมไวท์เทนนิ่งนะ ยิ่งทายิ่งขาว คนไทยมันดำอยู่แล้ว ทาจนตายก็ไม่ขาว ในเมื่อมันสร้างค่านิยมขึ้นมาให้คิดว่าขาวแล้วดี มันไม่ได้คิดเลยว่าความดีมันอยู่ข้างในไม่ได้อยู่ข้างนอก ไปเจอพวกดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้ ก็เจ๊งไปเลย"

เถรี
10-08-2009, 13:24
หลวงพ่อบอกว่า "มีพระที่นิมนต์มา ๑ รูป เป็นพระสายวัดสังฆทาน

หลวงพ่ออุดม (พระอธิการอุดม ปทุโม) วัดป่าผาตาดธารสวรรค์
เป็นวัดที่อยู่ใกล้เกาะพระฤๅษีที่สุด ถ้าท่านไม่เกรงใจสามารถเดินลัดข้ามเขามาแป๊บเดียวก็ถึง ถ้าวิ่งรถก็หลายนาทีหน่อย

เราจะได้รู้ว่าสายการปฏิบัติมันไม่ได้สำคัญ สำคัญว่าทำจริงหรือเปล่า

วันก่อนเจอกันในงาน บอกหลวงพ่อว่าอย่าลืมงานผมนะ ท่านบอกว่าไม่ลืมหรอก เดี๋ยวผมจะพาเพื่อนไปอีกคน แสดงว่าจะมาอีกหนึ่ง"

เถรี
10-08-2009, 13:31
ถาม : หลวงพ่อครับ ถ้าเราถวายสังฆทานไป แล้วพระท่านเอาไปใช้เป็นของส่วนตัว ตรงนี้....

ตอบ : สมัยที่ผมอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อสอนผมว่า แม้สิ่งที่บอกว่าเป็นส่วนตัวก็ไม่ควรที่จะคิดว่าเป็นของเรา ท่านบอกว่าให้ใช้ในสิ่งที่สมควรแก่สมณสารูป หรือไม่ก็ผลักเข้ากองกลางร่วมเป็นกองทานการกุศลอื่นเพื่อเพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวาย ดังนั้นขนาดส่วนตัวท่านยังไม่ยอมให้คิดว่าเป็นส่วนตัวเลย อันนั้นมันส่วนรวมเป็นสังฆทาน กระจายได้เยอะเท่าไหร่ก็ปลอดภัยเยอะเท่านั้น

เถรี
10-08-2009, 13:34
ถาม : บุญกับกุศลต่างกันอย่างไร
ตอบ : บุญคือสิ่งที่ได้รับจากการกระทำของเรา กุศลถ้าว่ากันตามรากศัพท์ ก็คือ ความฉลาด มันเป็นความฉลาดที่รู้จักเลือกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
มักจะใช้คำพูดควบที่ว่า ทำบุญกุศล = ทำบุญด้วยความฉลาด

เถรี
10-08-2009, 17:54
ถาม : ลาพุทธภูมิ
ตอบ : การลาสำคัญที่ใจของเรา ถ้าใจไม่เอาแน่ มันขาดแน่ แต่ถ้าลาแล้วยังมาเสียดายอยู่ ลาอย่างไรก็ไม่ขาด เบื่อหรือยัง

ถาม : เบื่อแล้วเจ้าค่ะ
ตอบ : เบื่อแล้วก็ลา บอกว่าไม่เอาแล้ว เดินทางไกลมาพอแล้ว ขอแวะพักบ้าง จุดธูป ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ดอกบัวขาว ๕ ดอก กราบขออนุญาตลา อธิษฐานต่อหน้าพระว่า ถ้าข้าพเจ้าเคยปรารถนาพระโพธิญาณมาตั้งแต่ชาติใดภพใดก็ตาม บัดนี้ขอละซึ่งความปรารถนานั้น ขอปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้

เถรี
13-08-2009, 08:07
มีคนถามหลวงพ่อถึงเรื่องการสวดให้พรญาติโยม เวลาที่เขาถวายสังฆทาน ว่า "สวดกับไม่สวดมีค่าเท่ากันหรือเปล่า"

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ไม่เท่ากัน บางคนเขากำลังใจเขาต้องการตรงนั้น ไม่มีให้เขา บางคนนี่เฉาไปเลย เพราะฉะนั้นก็สวดให้เสียหน่อย"

เถรี
13-08-2009, 18:29
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนชอบคุยกับผู้หญิงท้อง จนโดนเขาประท้วง ตอนที่อยู่โรงพยาบาลทหารเรือ มีเรือเอกหญิงคนหนึ่ง กำลังท้อง(ใหญ่มาก) ว่างเวรเมื่อไหร่เขาก็แวะมากราบหลวงปู่มหาอำพัน เราก็ชวนเขาคุยทั้งวัน

พวกสาว ๆ ก็มาประท้วงว่า 'ทีคนมีผัวคุยอยู่นั่นแหละ' ก็บอกเขาว่า รู้ไหมทำไมถึงคุยกับคนท้อง พวกเธอก็บอกว่าไม่รู้ เลยบอกไปว่า ประการแรก มั่นใจเลยว่าเธอมีผัวแล้ว ฉันไม่เผลอไปจีบเธอแน่ ประการที่สอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร พอเห็นคนท้องแล้วมันเกิดความหวังดี ปรารถนาดีเสมอ เหมือนกับบุญของเด็กที่กำลังจะเกิดมา เห็นแล้วรู้สึกน่าเมตตา น่าสงเคราะห์ มีอะไรพอแนะนำได้จะแนะนำ เท่านั้นแหละโดนบรรดาเขี้ยวลากดินแยกเขี้ยวมารอบข้าง แม้กระทั่งคนท้องด้วย หาว่า 'ดูถูกคนท้อง เดี๋ยวก็ปล้ำเสียหรอก' พวกพยาบาลนี่น่ากลัว เพราะเรื่องพวกนี้เขาเห็นเป็นเรื่องปกติของเขา เขาก็เลยพูดเปิดเผย

พี่ทิดตู่เลยเปรย ๆ กับหลวงพ่อว่า "พวกหมอ พวกพยาบาลเขามีความรู้เกี่ยวข้องกับร่างกาย คลุกคลีอยู่กับความทรมาน"
หลวงพ่อกล่าวต่อว่า "ถ้าหากเข้ามาศึกษาธรรมจะได้เร็วมาก น่าเสียดายว่าทุกวันนี้ที่เขาเป็นอยู่ มันเป็นความชาชิน ไม่ใช่เคยชิน เคยชินมันยังทรงฌานได้ แต่นี่มันชาชิน ชินจนมันไม่ได้นึกอะไรเลย"

เถรี
13-08-2009, 20:28
หลวงพ่อกล่าวว่า "คนยุคใหม่ขาดความอดทนในชีวิตคู่ เวลากระทบกระทั่งกัน ก็ขาดขันติและทมะ

ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น ทมะ คือ ความข่มใจไว้ไม่ให้ระเบิด ในเมื่อขาดตรงจุดนี้ก็ไม่สามารถจะใช้ชีวิตคู่ได้ แต่ด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่คนเดียวถ้าไม่ใช่คนรักสงบจริง ๆ จะอยู่ยาก เขาก็เลยต้องหาเพื่อน ท้ายที่สุด เพื่อนที่ดีที่สุดก็เพื่อนสี่ขา เพราะพวกนี้มันรักจริง ถึงเวลาก็มองเราตาแป๋ว เจ้านายจะทำอย่างไรก็ได้ จะตีก็ได้ จะฆ่าก็ได้ ในเมื่อเป็นดังนั้น คนเวลารักเขา เมื่อเขาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องพาไปหาหมอ "

เถรี
14-08-2009, 08:46
หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงคำสอนของหลวงปู่มหาอำพันว่า
"ถ้าพิจารณาว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีอะไรได้อย่างใจ เราก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ต้องได้อย่างใจ เราจะมีแต่ความทุกข์"

เถรี
14-08-2009, 08:51
ถาม : หลวงพ่อคะ คนเป็นพุทธภูมิจำเป็นไหมที่จะต้องมีคนรักเยอะ ๆ
ตอบ : ไม่ต้อง อยู่คนเดียวก็ได้

ถาม : แล้วพวกที่มีแฟนคลับเยอะ ๆ พวกสาวก ลูกศิษย์ อะไรพวกนี้
ตอบ : นั่นเขาตามมาเอง เห็นความดีก็เลยอาสาจะมาขอติดตามกัน

ถาม : บางคนเขาก็บอกว่าตามเก็บบริวาร สร้างบริวาร
ตอบ : ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็แสดงว่ายังห่างไกลพุทธภูมิ เขาไม่ต้องไปสร้าง คนถ้าเห็นดีเห็นงามเขาตามมาเอง

ถาม : แล้วอย่างพวกดาราที่มีแฟนคลับมาก ๆ
ตอบ : เขาก็ต้องเคยสร้างบุญสร้างกรรมกันมา ถ้าไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมกันมา เขาจะมีแฟนคลับได้อย่างไร

เถรี
16-08-2009, 13:47
ถามเกี่ยวกับการบนในหน้าที่การงาน
หลวงพ่อบอกว่า "บนพระวิสุทธิเทพ พระวิสุทธิเทพ คือ พระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ท่านเคยบอกไว้ว่าถ้าเรื่องเกี่ยวกับงานให้บนท่านได้ ถ้าหากสำเร็จแล้วให้แก้บนด้วยการรักษาศีลแปดพร้อมกับเจริญกรรมฐาน ๗ วัน

ในเรื่องกรรมฐานไม่ต้องหนักใจ อาจจะทำกรรมฐานช่วงเช้าสัก ๑ ชั่วโมง แล้วนอกจากนั้นก็รักษาศีลแปดทั้งวัน ไปจุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอก บอกท่านถ้าลูกหลานได้งานมีความคล่องตัว ก็จะได้ทำบุญช่วยงานพระพุทธศาสนาได้โดยง่าย"

เถรี
16-08-2009, 15:43
หลวงพ่อกล่าวถึงการแผ่เมตตาว่า "การแผ่เมตตาในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่เป็นการแผ่เมตตาด้วยปาก ผลที่เกิดมันจะน้อยมาก เมตตาต้องออกจากใจจริง ๆ ทำอย่างไรในช่วงแผ่เมตตาที่เราจะกำหนดกำลังใจให้เป็นไปตามที่ปากว่าจริง ๆ

ตั้งความหวังดีปรารถนาดีให้เขาพ้นทุกข์ ขอให้เขามีความสุข ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใครยินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วทั้งโลก ไม่อย่างนั้นแล้วก็แผ่แต่ปาก ท่องไปให้คล่องแค่นั้นเอง"

เถรี
16-08-2009, 15:53
ถาม : คุณแม่เขาเป็นเจ้าหญิงนิทรามา ๒-๓ ปี แล้ว มีทางแก้ไขไหมครับ
ตอบ : บางทีก็ต้องยอม ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ โอกาสแก้ไขมันไม่มี ถ้าหากเราหยุด ดีไม่ดีท่านจะไปเลย มันจะกลายเป็นว่าเราเสี่ยงต่ออนันตริยกรรม ถ้าไม่ทำ...ก็ไม่ทำแต่แรกเลย แต่ถ้าทำแล้วต้องปล่อยเป็นหน้าที่หมอ หมอเขาจะวินิจฉัยอย่างไรก็เรื่องของหมอ เราอย่าไปออกคำสั่งก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเฮงโดยไม่รู้ตัว อนันตริยกรรมนี่ปิดมรรคปิดผลโดยไม่รู้ตัว

ถาม : แล้วจิตของแม่เขาไปอยู่ไหน
ตอบ : ในลักษณะอย่างนี้ บางท่านก็ไปนานแล้ว บางท่านก็ยังอยู่ แต่อยู่ในลักษณะขาดสติ ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ฉะนั้นถ้าไม่ใช่คนรู้จริงแล้วไปแตะต้องตรงนี้เสี่ยงต่ออนันตริยกรรม

เถรี
16-08-2009, 15:55
ถาม : หนูภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๑,๐๐๐ จบ มาสองเดือนแล้วค่ะ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะแสดงผล
ตอบ : ถ้าสงสัยอย่างนี้อยู่เกิดผลยาก เราต้องตัดตรงส่วนนั้นไปเลย คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องของมัน

ถาม : หนูรู้สึกว่าเกิดแล้วค่ะ เพราะว่ายอดขายเพิ่มขึ้นเยอะ มาขอความมั่นใจเพิ่มขึ้นเฉย ๆ ค่ะ
ตอบ : เดี๋ยวโบ๊ะเสียเลย

เถรี
16-08-2009, 19:34
หลวงพ่อเล็กบอกว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อในตลาดที่ราคายังไม่แพง เพราะเล่นกันอยู่ในหมู่ของลูกศิษย์ ออกนอกจากหมู่ลูกศิษย์ไปแล้วตลาดเขาไม่เล่นกัน เพราะว่าสมัยนั้นหลวงพ่อท่านไม่คบพวกนี้"

เถรี
16-08-2009, 22:21
หลวงพ่อบอกว่า "เท่าที่สังเกตมาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่เรียนหนังสือเก่งมันหาที่สม่ำเสมอยาก ไประยะหนึ่งมันจะตก ล่าสุดบรรดาเพื่อนที่ถือว่าเป็นคู่แข่ง คือ เรียนเก่งเหมือนกัน มีอยู่ด้วยกัน ๔-๕ รูป มาถึงเทอมท้าย ๆ นี่ตกหมดเลย ไม่รู้ว่าเกิดความประมาทหรืออย่างไร ไม่เช่นนั้นบี้ติดกันชนิดที่ว่า เราได้ a เขาก็ a เรา b เขาก็ b

ก็เลยนึกที่หลวงพ่อสมเด็จ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า การเรียนบาลีอย่าทิ้งกรรมฐาน ทิ้งแล้วมันจะท้อ จะไปไม่รอด เราเลยมาสรุปลงตรงที่ว่าเรียนอะไรก็ตามอย่าทิ้งกรรมฐาน"

เถรี
17-08-2009, 08:47
ถาม : วันที่กลับจากวัด ดิฉันได้ยินคนในรถเอ่ยคำว่า อรูปฌาน เท่านั้นแหละ เหมือนตัวเองวืดไปเลยค่ะ แล้วได้ยินคนในรถเตือนบอกว่า ไฟแดง ๆ แต่ตอนได้ยินมันเบามากเลย เหมือนออกจากขอบโลก ตานี่เห็นไฟแดงนะคะ แต่มันบังคับร่างไม่ได้ เลยเหยียบเบรกไม่ทัน ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอบ : สมาธิมันลึกเกิน ต่อไปพยายามหัดอย่าให้มันลึกขนาดนี้ ซ้อมเข้าออกให้ชำนาญ

ถาม : แล้วดิฉันจะต้องแก้อย่างไรคะ
ตอบ : พยายามทำสมาธิในลักษณะใช้งานให้มากขึ้น อย่างเช่นเดินจงกรมภาวนา เพื่อให้มันเคยชินกับการทรงสมาธิด้วยและทำงานด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นถ้ามันเผลอเข้าลึกเกินไป แล้วจะบังคับร่างกายไม่ได้ มันจะเป็นอย่างนั้น ยังดีของอาตมาไม่เจอในลักษณะบังคับรถ แต่เจอในเวลาอื่น


ถาม : มันไม่รู้ตัวค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : พอสมาธิมันทรงตัว พรึ่บเดียวมันไปเลย พอมันไปเต็มที่ของมันนี่เราแย่เลย ตอนนั้นถ้ารถชน เราไม่เป็นไรหรอก แต่คนในรถจะน่วม เพราะตอนนั้นสมาธิคุ้มเราได้

เถรี
17-08-2009, 08:51
ถาม : หลวงพ่อคะ เวลานอนภาวนาคาถาเงินล้าน ดิฉันใช้เครื่องกดนับ ภาวนาอยู่สองชั่วโมงมันกดได้แค่ ๕๐ ครั้งเองค่ะ เพราะว่ามันไม่มีความรู้สึกที่นิ้ว แต่เมื่อเราต้องกด มันกลายเป็นว่าเราต้องส่งกำลังใจไปอย่างมากในการที่จะไปบังคับนิ้ว
ตอบ : เพราะสมาธิมันลึกไป เมื่อสมาธิมันลึกไปจิตกับประสาทมันแยกกัน ในตอนนั้นความแหลมคมมันมีเยอะ นับในใจก็ได้ เมื่อคลายสมาธิออกมาแล้วค่อยมากดไล่ตามที่เรานับ


ถาม : ดิฉันอ่านหนังสือกระโถนที่หลวงพ่อบอกว่า การใช้มโนฯ เป็นการใช้งานอยู่แล้ว แต่ว่าการหัดทรงฌานก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วยใช่หรือไม่คะ
ตอบ : ต้องซ้อมจนชิน
ถาม : หนูก็นึกว่าสมาธิอ่อนไปค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : อันนี้ไม่ได้อ่อน แต่เยอะเกิน ไม่พอใช้งานแต่เยอะเกินสภาพปกติ กำลังไม่พอใช้งาน ก็คือ เราจะเอากำลังไปใช้ในการตัดกิเลสบางส่วนมันไม่พอ

เถรี
17-08-2009, 08:54
ถาม : หลวงพ่อคะ เคยนั่งรถไปกับพี่คนหนึ่งแล้วเขาทำน้ำรดใส่เกียร์ แล้วดิฉันก็โทสะขึ้น เห็นเหมือนเป็นควันขึ้นมา
ตอบ : อย่าให้มันเป็นเปลว

ถาม : มันเป็นควันแล้วมันก็หายไปในอากาศค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : ถ้ามันเป็นเปลว คราวนี้มันจะไหม้ท่วมฟ้า ลักษณะเป็นอย่างนั้นแหละ เขาถึงได้บอกว่า โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ราคัคคิ ไฟคือราคะ

เถรี
17-08-2009, 08:56
ถาม : หลวงพ่อคะ เวลารัก โลภ โกรธ หลงเกิดมา เราจับได้ แต่ว่ามันเป็นกิเลสหยาบกว่าตัวยินดียินร้ายหรือเปล่าคะหลวงพ่อ
ตอบ : จริง ๆ แล้วตัวยินดียินร้าย มันเป็นสาเหตุที่ลึกเข้าไปกว่านั้น ถ้าหากเราไม่ยินดียินร้าย รัก โลภ โกรธ หลงมันก็ไม่เกิด ฉะนั้นถ้าถามก็คือมันบางกว่า แต่มันยังมีที่แย่กว่านั้นอีก สาวไป ๆ มันมองอะไรไม่เห็นเลย แต่รู้ว่านี่คือต้นเหตุ มันละเอียดขึ้น


ถาม : มันเหมือนเป็นควันเบา ๆ หรือเปล่าคะหลวงพ่อ
ตอบ : เปรียบเทียบกับคำพูดมนุษย์ไม่ได้หรอก มันละเอียด เอาเป็นว่ารู้แล้วก็พอ

เถรี
17-08-2009, 09:07
ถาม :ไม่รู้จะวางกำลังใจอย่างไร
ตอบ : บอกแล้วว่าทนเอา พิจารณาไปเลยว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สภาพที่ต้องมาทนทั้งหลายเหล่านี้คือความทุกข์ ในเมื่อมันเป็นความทุกข์อย่างนี้แล้วเราต้องการไหม

ถาม : พิจารณาอยู่แต่มันก็ทุกข์ค่ะหลวงพ่อ แล้วเราอุเบกขาได้ไหมคะ
ตอบ : ถ้าหากทรงสังขารุเปกขาญาณมันจะเป็นตอไม้

ถาม : หลวงพ่อคะ แล้วอย่างนี้ดิฉันจะปรับสมาธิอย่างไรให้มันแก้ได้
ตอบ : ไม่ยินดี พยายามทำอย่างไรไม่ให้ยินดียินร้ายและปรุงแต่งตามมัน คือในแง่ที่ว่าสภาพจิตตอนนั้นอย่าให้อยู่ในร่างกายได้ยิ่งดี ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่คนอื่นไม่มี เพราะว่าเราจะได้ฝึกในการแยกกาย แยกจิต เราอาจจะไปสนใจอย่างอื่นก็ได้ ไม่ต้องอยู่ตรงนั้น หรือว่าเราจะมาพิจารณาตรงนั้นก็ได้ แต่ว่าใหม่ ๆ มันก็คงทำยากหน่อย ประสาทร่างกายมันก็ทำงานอัตโนมัติเหมือนกัน

ถาม : แต่ถ้าตัววิญญาณเกิด แล้วเราก็ไม่ปรุง มันก็จะอยู่นิ่งใช่ไหมคะหลวงพ่อ มันอยู่ลึกลงไป อย่างนี้ถ้าเราปล่อย
ตอบ : ปล่อยได้ ไม่รู้ไม่ชี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีได้ฝึกในสิ่งที่คนอื่นฝึกได้ยาก
ถาม : ไม่ต้องฝึกก็ได้หลวงพ่อ
ตอบ : อ้าว ไม่ฝึกแล้วมันจะรู้ได้อย่างไรว่าสู้ได้หรือเปล่า

เถรี
17-08-2009, 09:17
ถาม : หลวงพ่อคะ ช่วงนี้หนูจะมีอารมณ์อย่างหนึ่ง ก็คือ มองเข้าไปในจิตตัวเอง มันเห็นเป็นอารมณ์ว่าง ไปลงตรงนี้ตลอด และหนูก็พอใจที่จะจับอารมณ์ตรงนี้ด้วยค่ะ หนูก็ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปอย่างนี้ดีหรือเปล่า
ตอบ : พอเราไปถึงตรงนั้นแล้วให้ตั้งใจว่า เราตายเมื่อไหร่เราจะไปนิพพาน บวกไปอีกนิด เพราะในส่วนสมาธิไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนก็ตามมันจะมีกำลังแค่ไม่เกินพรหม

ถาม : อารมณ์ว่างในจิตของหนู มันเป็นการดูจิต หรือมันเป็นความว่างกันแน่
ตอบ : มันเป็นสมาธิ แต่ขณะเดียวกันมันก็มีปัญญาในสมาธิ ในเมื่อมันมีปัญญาสมาธิ มันก็ย่อมมีความรู้รอบของมันอยู่แต่เพียงว่ามันจำกัด

ถาม : ปกติหนูก็ทำในส่วนที่เป็นธาตุ ๔ ตลอด แต่ทีนี้เราก็ต้องย้ำธาตุ ๔ ของเราไปด้วยตลอดใช่ไหมคะ
ตอบ : อย่าลืมปิดท้ายด้วยเพชรยอดมงกุฎ (ปิดท้ายด้วยอารมณ์นิพพาน)

ถาม : หลวงพ่อคะมันเป็นไปได้ไหมคะที่มันมีอารมณ์ตัด ตัดในที่นี้ก็คือการตัดสินใจของเราค่ะ ถ้าตัดแล้วก็พร้อมที่จะไปเลย หนูก็มาคิดมันเป็นไปได้หรือ เพราะหนูยังทำไม่ถึงตรงจุดนั้นเลย
ตอบ : มีจ้ะ

ถาม : แต่ว่านาน ๆ มาโผล่ทีนะคะ ถ้ามันมาแบบนี้อีกทำอย่างไรคะ
ตอบ : ก็ตัดใจไปเลย ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์

ถาม : หนูไม่อยากตายตอนนี้ค่ะ นี่ก็หลบพ่อแม่มา ตายตอนนี้เดี๋ยวเขาก็รู้ว่าหนูหลบมา
ตอบ : ทำไมต้องไปกลัวเขารู้ด้วย แน่จริงก็ให้เขาตามไปว่าสิ

ถาม : ตรงนี้มันเป็นอะไร อารมณ์มันตรงร่องหรือคะ
ตอบ : อะไรประมาณนั้น

เถรี
17-08-2009, 09:22
ถาม : หนูรู้สึกว่าในจิตมันไม่มีอะไรเหมือนกับว่างงาน
ตอบ : แล้วไม่ดีหรือ

ถาม : มันเหมือนกับว่าเหลืออารมณ์แค่ตัดสินใจ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินใจ

ถาม : ไม่เอา
ตอบ : กลัวสบาย เพราะว่าลำบากยังไม่พอ

ถาม : หลวงพ่อมีวิธียั้งใจไม่ให้ไปไหมคะ
ตอบ : ก็แค่ไม่ไป

ถาม : หนูไม่อยากไป อยากอยู่ต่อ
ตอบ : กลัวได้ดี

ถาม : มันเหลือแค่ตัดสินใจ
ตอบ : เหลือแค่ตัดสินใจ เราก็หยุดแค่นั้น จะไปยากอะไร

ถาม : มันจะบีบให้ไปตลอด
ตอบ : ก็บอกไปสิว่า ใจเย็น ๆ ขออีกวันหนึ่ง พอวันถัดไปใจเย็น ๆ ขออีกวันหนึ่ง แล้วจะรู้สึกเสียดายที่ไปขอ

เถรี
17-08-2009, 09:30
หลวงพ่อบอกว่า "มีเด็กบางคนมาคุยกับเรา แล้วเขาก็ชอบใจเหลือเกิน แม่ก็ถามว่าหลวงพ่อคุยอะไรให้ฟัง เราก็บอกแม่เด็กไปว่าเด็กเขาไม่รู้หรอก อย่าไปถามลูกเลย ลูกบอกไม่ได้หรอก เพราะสิ่งที่คุยกับเขา เขาเข้าใจ แต่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ในเมื่อมันเข้าใจมันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก เอาออกมาโชว์คนอื่นยาก

ถ้าไม่ได้มีวิสัยที่เกิดมาเพื่อนำไปแสดงต่อคนอื่นเขา มันก็จะอยู่ในใจเท่านั้น รับรู้ไว้เต็ม ๆ คำพูดหรือตัวหนังสือไม่สามารถอธิบายได้"

เถรี
18-08-2009, 00:57
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะที่ละสักกายทิฏฐิได้ แต่ว่ายังตัดอวิชชาไม่ได้
ตอบ : ถ้ามันขาดมันจะไม่มีความยินดีในร่างกายเลย ในเมื่อมันไม่มีความยินดี ความอยากได้ อยากมีในร่างกายมันก็ไม่มี แล้วมันจะเอาอวิชชาที่ไหน ยกเว้นเสียว่ามันขาดในความเข้าใจของเรา แต่มันไม่ใช่ขาดจริง ๆ

ถาม : แล้วถ้าจิตกับกายมันแยกกันชัดเจนมาก ๆ ละคะ แล้วมันยังเหลืออะไรที่จะต้องตัด
ตอบ : โห บานเบิกเลย จิตกับกายแยกออกจากกัน เพิ่งจะ ป. ๑

ถาม : แล้วต้องทำอะไรต่อ
ตอบ : ก็พิจารณาให้เห็นจริงสิ ว่าสภาพจิตของเรากับกายของเรามันเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า หรือว่ามันมีอะไรที่เป็นเรา เป็นของเราบ้างไหม หรือว่ามันสักแต่เป็นรูปเป็นธาตุที่มันอาศัยอยู่แต่เพียงชั่วคราวตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมาและท้ายสุดเรายังมีความยินดีอยากมีอยากได้มันหรือเปล่า ถ้าหากจิตมันยอมรับเห็นชัดเจน มันปลดได้เลย แต่ถ้าจิตมันไม่ยอมรับ ต่อให้กายกับจิตมันแยกออกจากกัน ท้ายสุดมันก็กลับเป็นเหมือนเดิม มาปรุงแต่ง

เถรี
18-08-2009, 01:00
หลวงพ่อบอกว่า "นักปฏิบัติพอทำถึงระดับหนึ่งจริง ๆ เขาจะพูดน้อยโดยอัตโนมัติ เพราะจะต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไว้ แต่ว่าการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปมันยังต้องมีอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีอยู่ในลักษณะที่ประกอบไปด้วยสติ เพื่อไม่ให้หลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าของตน"

เถรี
18-08-2009, 01:06
หลวงพ่อบอกกับพี่คนหนึ่งว่า "พยายามสู้ให้ได้นะ มันมีอยู่สองวิธี วิธีแรกก็ตั้งหน้าตั้งตาประจัญบานกับมัน วิธีที่สองก็นอนเฉย ๆ ไม่สู้ ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่าย

บางอย่างกำลังใจถ้าดิ้นรนจนถึงที่สุดแล้วจะรู้ว่า ดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะวาระยังไม่ถึง ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราสั่งสมยังไม่เพียงพอ
เมื่อหยุดดิ้น ทีนี้จะสบายขึ้นเยอะ แต่ว่าหยุดแล้วอย่าประมาท มีโอกาสก็สร้างต่อ เพราะฉะนั้นก่อนตายก็จะบอกก่อน ไป ๆ เลิกกลัวได้แล้ว"

เถรี
18-08-2009, 01:09
ถาม : ในขณะที่อ่านหนังสือก็รู้สึกว่าเรามีการภาวนาไปด้วย ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นการฟุ้งซ่านหรือเปล่า เป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่า
ตอบ : ถ้าสามารถทำพร้อมกันได้เป็นสิ่งที่สมควรทำ เพราะว่าเวลาเราทำสิ่งอื่น ๆ เราจะได้รักษาอารมณ์ใจของเราได้

ถาม : อย่างหนูสวดมนต์ภาวนา แล้วไปอ่านการ์ตูนก็ยังจับคำภาวนาไปด้วย เราทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่า
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวล เราควรจะทำ เพื่อเวลาที่เราทำกิริยาอาการอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการกำหนดภาวนาเราจะได้รักษากำลังใจได้อีกทาง ต้องทำให้ได้จ้ะ

เถรี
18-08-2009, 01:17
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "ก่อนงานพุทธาภิเษกพระขรรค์โสฬส โทรไปบอกแม่ชีว่าให้สั่งน้ำมาเข้าพิธีด้วย จะได้ทำเป็นน้ำมนต์ แม่ชีก็บอกว่าตอนงานเป่ายันต์ก็มีเป็นคันรถแล้ว จะมีใครที่ไหนเอาน้ำมนต์อีก สรุปแล้วหลังงานโสฬสแม่ชีเองไม่ได้สักขวด รถที่เขาเอาน้ำมาส่งเรานั้น น้ำมากกว่าที่เขาส่งในอำเภอเสียอีก"

เถรี
18-08-2009, 01:20
หลวงพ่อเล่าว่า "สมัยก่อนทำบุญกับหลวงพ่อครั้งหนึ่งก็ได้สมเด็จพระคำข้าว พระหางหมาก ทีละร้อยองค์ สองร้อยองค์ ห้าร้อยองค์ เพื่อนพระเขาว่าบ้า เก็บไปทำไมเยอะแยะ

ตอนนั้นองค์ละสิบบาท ทำบุญ ๑๐๐ บาท หลวงพ่อให้สิบองค์ พอสิ้นหลวงพ่อเขาขึ้นราคาพรวด องค์ละร้อยบาท สองร้อยบาท สี่ร้อยบาท พวกที่ว่าเราบ้ามันมาเอาจากเราองค์ละสิบบาท กำไรสักบาทยังไม่ให้เลย ตอนนั้นก็มาว่าเรา"

เถรี
04-09-2009, 23:30
ถาม : (ได้ยินไม่ชัด)

ตอบ : เฉย มันมีสองอย่าง มันเฉยเพราะมีกำลังของสมาธิกดไว้ มันจะมีความหนักของมันอยู่ แต่ถ้าเฉยเพราะรู้เท่าทันแล้วปล่อยวางได้ มันจะเบา แต่ว่าทั้งสองสภาวะก็คือ มันไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า

เถรี
04-09-2009, 23:37
ถาม : ถามเรื่องแสงสว่าง เมื่อก่อนมันเกิดเป็นตาข่ายเหมือนตาข่ายแมงมุม สักพักมันก็เกิดเป็นประกายที่ตาข่ายด้วย แล้วตอนนี้ตาข่ายมันเริ่มหมุน เราควรจะกำหนดจิตอย่างไร หรือทำอย่างไรคะ
ตอบ : ถ้ามีลมหายใจให้ดูลมหายใจ ถ้ามีคำภาวนาให้อยู่ที่คำภาวนา ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น แต่มันยิ่งแปลก พอเราไม่ใส่ใจมันยิ่งชัดเจน มันยั่วให้เราสนใจผิดทิศ

ถาม : แล้วสามารถบริกรรมได้หรือคะ
ตอบ : ถ้ามันไม่บริกรรมก็ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ามันไม่มีลมหายใจก็รับรู้ไว้เฉย ๆ กำหนดใจให้มันรู้ว่าอาการมันเป็นของมันอย่างนั้น มันอยากจะหมุนก็ให้หมุน ก็รู้ว่ามันหมุน

ถาม : มันเป็น ๑ ใน ๑๐ ที่เราจะต้องผ่านไปหรือเปล่าคะ
ตอบ : .........(เงียบ).......

เถรี
04-09-2009, 23:43
ถาม : หลวงพี่ครับ หลวงพี่ครับ
ตอบ : ก็ว่ามาสิวะ

ถาม : คือ ผมช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีวิบากเข้ามา หลวงพี่พอจะมีคำแนะนำให้ผมหรือเปล่าครับ
ตอบ : เร่งทาน ศีล ภาวนาให้มาก โดยเฉพาะตัวภาวนา

ถาม : ตัวภาวนานี่คือสวดมนต์หรือเปล่าครับ
ตอบ : นั่งสมาธิ ถ้าทรงฌานได้เมื่อไหร่ วิบากก็ไปคนละทิศเลย

เถรี
05-09-2009, 00:34
หลวงพ่อท่านบอกว่า "ตะกรุดเมที่รับตั้งแต่งวดนี้ขึ้นไป ได้เปรียบตรงที่ว่าเอาไปเข้าพิธีโสฬสมาด้วย จริง ๆ แผ่นเงินมีอยู่แล้วแต่ไม่มีเวลาเขียน ไม่มีเวลาม้วน ใครที่เห็นเมื่อเช้าก็พอจะรู้ได้ว่ามันยากแค่ไหน กว่าจะม้วนได้แต่ละอัน"