View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔
TXORZE5hKcE
วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันนี้อยู่วัดเฉย ๆ ก็จ่ายเงินไปเกือบ ๑ ล้านบาท เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าต้องเทปูนอ่างเก็บน้ำสำรอง ค่าคอนกรีต ๓๐๐,๐๐๐ บาท ทางโรงพยาบาลสนามทำห้องปลอดเชื้อ ๒๕๐,๘๐๐ บาท เอาแค่นี้พอไหม ? เอาแค่นี้ก็แล้วกัน บ่นมากเดี๋ยวคนจะรู้ว่ารวย..! ที่พูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่าบางท่านอาจจะคิดว่าอยู่วัดเฉย ๆ ไม่มีรายจ่ายอะไร...ไม่ใช่
ได้ฟังนายอนุชา นาคาศัย รองนายกรัฐมนตรี ผู้ที่รับผิดชอบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีคำสั่งให้ทุกวัดรับเผาศพที่ตายเพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ฟรี ก็เลยทำให้เห็นว่า การที่คนรุ่นเก่ากล่าวว่า "คนสั่งงานอยู่บนหอคอยงาช้าง มองไม่เห็นความเป็นจริงในพื้นที่" นั้นเป็นความจริงแท้
เพราะว่าการเผาศพผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ไม่ใช่ว่าจะเผาส่งเดชได้ จะต้องมีทั้งชุดป้องกันทางการแพทย์ มีทั้งหน้ากากอนามัย พูดง่าย ๆ ว่ามีกี่ชั้นก็ต้องใส่เข้าไปให้หมด แล้วของพวกนี้ไม่ใช่ของฟรี ไปหยิบเอาข้างทางที่ไหนก็ได้..ต้องซื้อทั้งนั้น
การเผาศพทั่วไป ถ้าตัวผอม ๆ อย่างอาตมภาพก็ใช้น้ำมัน ๔๐ ลิตร ถ้าหากว่าอ้วนหน่อยก็ ๖๐ ลิตร และถ้าหากว่าอ้วนพิเศษอย่างประเภทที่มักจะตายด้วยเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็อาจจะถึง ๘๐ ลิตร..! แล้วค่าน้ำมันใครเป็นคนจ่าย ? ออกปากว่าเผาฟรีทั่วประเทศ รู้หรือไม่ว่าแต่ละวัดฐานะทางการเงินไม่เหมือนกัน อาตมภาพเคยส่งพระไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท ๓ ปี มีกิจนิมนต์แค่ครั้งเดียว ได้เงินมา ๑๐๐ บาท ๓ ปีมีรายได้ ๑๐๐ บาท..! แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อน้ำมันเผาศพ ?
โดยเฉพาะในเรื่องของเมรุเผาศพ ก็ควรที่จะเป็นเมรุปลอดมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นเตาน้ำมันหรือเตาไฟฟ้าก็ตาม เอาแค่อำเภอทองผาภูมินี้ เมรุที่พร้อมจะเผาศพผู้ที่ตายเพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด ก็มีวัดท่าขนุน วัดเขื่อนวชิราลงกรณ วัดทองผาภูมิ วัดอู่ล่อง ก่อนหน้านี้มีวัดปรังกาสีของหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิอีกวัดหนึ่ง แต่ท่านรื้อเมรุแล้วทำใหม่ ก็เลยไม่เหลืออะไรให้เผาได้
ทองผาภูมิมีตั้ง ๕๒ วัด กับอีก ๒๑ สำนักสงฆ์ จะเห็นว่ามีวัดที่พร้อมที่จะเผาศพแบบนี้แค่ ๔ - ๕ วัดเท่านั้น แล้วท่านก็หลับหูหลับตาสั่งไปเรื่อย...! ไม่ได้ดูบริบทของพื้นที่ว่าเขามีความพร้อมหรือเปล่า ?
ขณะเดียวกันมีเตาไม่ใช่ว่าจะเผาได้ ถ้าชาวบ้านไม่เห็นด้วย หลายแห่งที่ชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่เจ้าอาวาส เพราะว่าไปเผาศพที่ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เขากลัวว่าจะเป็นการนำเชื้อเข้ามาในชุมชนของเขา หลายแห่งสัปเหร่อก็ไม่กล้าเผา เพราะว่ากลัวตัวเองติดเชื้อ บางวัดเจ้าอาวาสต้องสวมชุด PPE ลงไปเผาเสียเอง..!
อีกอย่างหนึ่งที่อาตมภาพมองอยู่ก็คือว่า แทนที่จะช่วยกันคิดหาทางว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้ชาวบ้านรอดมากที่สุด จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ท่านรัฐมนตรีกลับมองว่าคนจะตายเท่าไร แล้วสั่งให้พระทำหน้าที่เผา ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
แต่สถานการณ์ช่วงนี้ จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคของพวกเรา อย่างปีระกาห่าใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อนโน้น คนตายซ้ำตายซ้อน ตายจนไม่มีที่ให้เผา เอาศพไปกองทิ้งไว้ตามวัด จนกระทั่งกลายเป็นวลีติดปากว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" เพราะว่าฝูงแร้งลงมากินศพที่ทิ้งเอาไว้ที่วัดสระเกศ ส่วนคำว่าเปรตวัดสุทัศน์ ก็เพราะว่ามีคนตาดี มองเห็นบุคคลตัวสูงเท่าเสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์..! ซึ่งไม่มีใครสูงเท่าอย่างแน่นอน ก็เลยสรุปว่าต้องเป็นเปรตแน่ ๆ
ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็ต้องพยายามศึกษาเรียนรู้ ไม่ใช่ว่าต่อยเปะปะเหมือนกับมวยวัด สั่งงานไปแล้วผิดพลาด แค่ออกมาขอโทษสังคมนั้นไม่เพียงพอ เพราะว่าความผิดพลาดของพวกเรา อาจหมายถึงชีวิตของคนอื่น ทุกชีวิตก็มีคนที่เขารัก
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จะทำอะไรแต่ละอย่างต้องคิดให้รอบคอบ บุคคลที่จะคิดให้รอบคอบได้ สติ สมาธิ ปัญญาต้องทรงตัว ก็แปลว่าอย่างน้อยต้องเป็นบุคคลที่มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่นายหมู นายหมาก็ได้ ต้องเป็นบุคคลที่เขาพิจารณาแล้วว่าจะทำหน้าที่ตรงนั้นได้ดีที่สุด
ถ้าหากว่าเรามองตรงจุดที่ว่า โรคแบบนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน การบริหารจัดการต้องมีความผิดพลาดก็เป็นเรื่องปกติ แต่อย่าพลาดทุกครั้งได้ไหม ? พลาดทุกครั้งทำให้ชาวบ้านเขาหดหู่ใจ
เมื่อวานนี้ก็มีผู้ติดเชื้อแห่กันมา ๒๑ คน จะเข้ายึดโรงพยาบาลสนามวัดท่าขนุน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะเสร็จเรียบร้อย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล ต้องห้ามทัพกันอุตลุด ก็เพราะว่าทางกรุงเทพฯ และทางบ้านของท่าน ไม่มีเตียงที่จะรองรับผู้ป่วยแล้ว แล้ววันนี้ก็ยังมีญาติโยมที่เดินเปะปะหอบกระเป๋าผ้ามา บอกว่าไม่มีที่จะอยู่ ไม่มีที่จะไป ระยะนี้ก็เลยกลายเป็นว่า พระเจ้าญาติโยมที่อยู่ในวัดต้องขวัญหนีดีฝ่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีคนเอารางวัลใหญ่มาแจกให้ถึงที่ ซึ่งรางวัลแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากได้ด้วย..!
การบริหารของบ้านเราผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นที่เชื้อโรคระบาด เพราะว่าไปกดยอดให้เหลือน้อย คนก็เลยไม่กลัว ในเมื่อไม่กล้ว ก็ไม่ค่อยระวังป้องกันตนเอง ถึงเวลาจึงเกิดคลัสเตอร์ขึ้นที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง กลุุ่มใหญ่กลุ่มเล็ก แล้วแต่ดวง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ทำอย่างไรที่จะแก้ไขปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด ซึ่งอาตมภาพพูดไปตั้งแต่วันเข้าพรรษาบนธรรมาสน์เทศน์แล้วว่า ไม่ใช่ว่าเห็นว่าอะไรดี สามารถช่วยรักษาโรคนี้ได้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้ เราก็ไปกินล้นกินเกิน ก็จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะสิ่งที่เรากินเข้าไป คนจีนมีภาษิตที่ชัดเจนที่สุดว่า "โรคภัยเข้าทางปาก" ก็คือสิ่งที่กินเราเข้าไปนั่นแหละ ส่วนใหญ่นำโรคมาให้ และ "เภทภัยออกจากปาก" อย่างอาตมภาพกำลังจะโดน เพราะว่ามาพูดหาเรื่องให้เขาตีอีก..!
คราวนี้การที่จะแก้ไขเราต้องดูประเทศจีน ประเทศจีนไม่ได้เอาโควิด ๑๙ อยู่เพราะวัคซีน หมอทุกคนรู้ว่าวัคซีนช่วยไม่ให้ติดเชื้อไม่ได้ เพราะว่าวัคซีนไปสร้างภูมิคุ้มกันในเลือด แต่ไวรัสกลับลงไปทำลายปอด ไม่ได้เข้าไปในเลือด ประเทศจีนจึงใช้วิธีเข้มงวดกับผู้ติดเชื้อ มีคนติดเชื้อที่ไหน ปิดล็อกบริเวณนั้นตลอด ๕ ตารางกิโลเมตรทันที ตรวจคัดกรองแยกผู้ป่วยออกจากคนดีโดยเร็วที่สุด กักกันกลุ่มเสี่ยง บุคคลที่ถูกกักกันก็มีเจ้าหน้าที่รัฐเอาอาหารไปส่ง ไม่ใช่ให้โทรสั่งฟู้ดแกร็บ โทรสั่งฟู้ดแพนด้าไปส่งให้ นั่นมีแต่ยิ่งทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายหนักเข้าไปอีก..!
ในเมื่อมีตัวอย่างชัดเจนแล้ว เราก็น่าที่จะบริหารบ้านเมืองในระยะนี้ตามเขาไปได้ โดยเฉพาะบ้านเรา การประกาศล็อกดาวน์ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากทำให้ชาวบ้านออกจากบ้านยากขึ้นนิดหน่อย แล้วเชื้อไวรัสก็ไม่ได้มาเฉพาะตอนกลางคืน จะได้ประกาศเคอร์ฟิวแล้วได้ผล..!
การล็อกดาวน์ที่ได้ผลก็คือ ทันทีที่ล็อกดาวน์ เราต้องทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมด ในการตรวจคัดแยกผู้ป่วยออกจากคนดี แล้วคนปกติ กลุ่มเสี่ยงมากเสี่ยงน้อย ต้องรีบจัดการกักกันตัวให้ไวที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็เจ็บทีเดียวแล้วจบ ไม่ใช่เจ็บซ้ำเจ็บซากอย่างทุกวันนี้..!
แล้วช่วงนี้สิ่งที่มาซ้ำเติมสถานการณ์ก็คือ ฝนฟ้าที่ตกหนักมากกว่าปกติ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นเรื่องของ "ลานีญา" ซึ่งจะมีฝนล้นเกิน ถ้าเป็น "เอลนีโญ" นี่ก็จะแล้งเกิน
ประเทศจีนก็โดนหนักไปแล้ว ประเทศเยอรมันโดนหนักไปแล้ว เบลเยี่ยมโดนหนักไปแล้ว น้ำท่วมสาหัส บ้านเราถ้าหากว่าน้ำมาท่วม สิ่งที่อาตมภาพไม่อยากเห็นที่สุด ก็คือท่วมโรงพยาบาลสนาม..! ใครที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลสนาม ดูแลป้องกันไว้อย่างรีบด่วน อย่างน้อย ๆ บริเวณนั้นก็ต้องระบายน้ำได้ดี ป้องกันน้ำไม่ให้เข้าไปได้ ไม่อย่างนั้นแล้วลองนึกดูว่า ถ้าผู้ป่วยเต็มโรงพยาบาลสนามแล้วน้ำท่วมจะเกิดอะไรขึ้น ?!!
เรื่องพวกนี้ต้องมองล่วงหน้าให้เป็น ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า vision คนไทยบัญญัติว่า วิสัยทัศน์ ภาษาบาลีพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า จักขุมา มีสายตาที่ยาวไกล ประมาณการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้องและแม่นยำ แล้วยังมีหลักวิธุโร การบริหารงานอย่างวิเศษ ก็คือใช้คนให้ถูกกับงาน แล้วยังมีนิสสยสัมปันโน ถึงพร้อมด้วยเส้นสาย ถ้าบาลีเขาแปลว่า ถึงพร้อมด้วยที่พึ่ง อาตมาใช้คำว่าเส้นสาย บางทีเขาใช้คำว่า คอนเน็กชั่น
คอนเน็กชั่นตัวนี้อย่างเช่นอะไร ? อย่างเช่นยกหูโทรศัพท์ได้ก็ "อาเฮีย..ขอวัคซีน ๑๐ ล้านโดส ๓ วันต้องได้นะ" แล้วอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า "ฮ่อ" ก็จบ ไม่ใช่ว่าไตรมาสที่ ๓ วัคซีนจะท่วมประเทศ จะเต็มแขนประชาชน เสร็จแล้วก็โดนยกเลิกการนัดฉีดวัคซีน ไอ้แบบนี้ไม่ใช่น้ำตาจิไหล แต่ว่าไหลจริง ๆ...!
หลักธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ถ้าหากว่าเราค้นคว้าในพระไตรปิฎก จะมีให้ใช้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ กรุณาเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา หยิบพระไตรปิฎกมาอ่านบ้าง จะได้บริหารประเทศชาติให้ดีกว่านี้
พูดมากไปเดี๋ยวก็โดนลากไปปรับทัศนคติอีก จึงขอหาเรื่องใส่ตัวแต่เพียงเท่านี้ ขอเจริญพรญาติโยมทางบ้าน ขอให้ปลอดภัยทุกคน "นะจ๊ะ..!"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.