View Full Version : เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
oS8DU2b5erY
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ สิ้นเดือนอีกแล้ว ซึ่งถ้าหากว่ากันตามที่พวกเราได้พิจารณาก็คือ วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ?
ตรงจุดนี้ทุกท่านต้องไม่ลืมเป้าหมายของเรา ก็คือการบวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติตนให้ถึงความพ้นทุกข์ ส่วนญาติโยมทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เพราะว่าเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมก็คือเพื่อความพ้นทุกข์ แต่เรามักจะโดนสิ่งล่อ หลอก ลวง จนหลงลืมเป้าหมาย หรือเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายของเรา เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าขาดหลักธรรมในข้อวิมังสา
อิทธิบาท คือหลักธรรมที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ประกอบไปด้วย
ฉันทะ ยินดีและพอใจในสิ่งนั้น ๆ
วิริยะ พากเพียรทำไปเพื่อที่จะเข้าถึงให้ได้
จิตตะ กำลังใจจดจ่อปักมั่นกับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง
วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหน ? ยังห่างจากเป้าหมายใกล้ไกลเท่าไร ? จะต้องใช้วิธีใดในการเข้าให้ถึงเป้าหมายนั้น ?
ปัจจุบันนี้บรรดานักทฤษฎีโดยเฉพาะฝรั่ง สรุปลงมาเป็นวิธีการประเมินผล ซึ่งความจริงก็คือหลักวิมังสาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว แต่คราวนี้หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงตรัสไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วก็มีพวกที่ฉลาดเกิน พยายามที่จะศึกษาให้ครบ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บุคคลที่จะศึกษาและรู้ได้ครบถ้วนมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้บทใดบทหนึ่ง ถ้าตั้งใจนำมาพินิจพิจารณา นำมาปฏิบัติตามจริง ๆ สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ทั้งนั้น ก็แปลว่าสิ่งที่พวกเราทั้งหลาย ตลอดจนทั้งญาติโยมที่ฟังอยู่นี้ได้ทำนั้น เกินความต้องการไปมาก โดยเฉพาะบุคคลที่จับจด ไม่ปักมั่นต่อเป้าหมายของตนเอง ถึงเวลาทำไปแล้วยังไม่ทันเกิดผล ก็เปลี่ยนกองกรรมฐานใหม่ ทำอย่างนี้ไปได้ระยะหนึ่ง พอเขาบอกว่าอย่างโน้นดี เราก็เปลี่ยนตามไป
อาตมาเคยเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนอย่างกับคนขุดบ่อหวังจะเอาน้ำ เมื่อขุดลงไปได้ ๓ เมตร ๕ เมตร เขาบอกว่าตรงโน้นน่าจะมีน้ำ ก็ย้ายที่ไปขุดใหม่ ขุดลงไปได้อีก ๓ เมตร ๕ เมตร มีผู้มาชี้บอกว่าตรงโน้นน่าจะมีน้ำดีกว่า ก็ย้ายที่ขุดใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็ไม่มีความหวังที่จะได้น้ำอย่างที่ต้องการเลย
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้ศึกษาคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จะเห็นในสิ่งที่ท่านกล่าวถึงอยู่เสมอว่า ทำกรรมฐานอะไร ให้ได้ไปเลยกองหนึ่ง เมื่อได้แล้วกองอื่นจะเป็นของง่าย เพราะใช้กำลังใจในการปฏิบัติเท่ากัน แต่ถ้าหากว่าเราปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ ไม่ว่ากรรมฐานกองไหนก็ยากพอกัน
คราวนี้โดยหลักเลยก็คือ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้มาก แล้วเราจะเลือกปฏิบัติอย่างไร ? อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปคำสอนไว้เป็นไตรสิกขา คือสิ่งที่เราต้องศึกษา ๓ อย่าง ได้แก่
สีลสิกขา การศึกษาและปฏิบัติในศีลของตน
จิตตสิกขา การพยายามรักษากำลังใจให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปใน รัก โลภ โกรธ หลง
ปัญญาสิกขา การใช้ปัญญามองให้เห็นความเป็นจริงในโลกนี้ว่า มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด
ฉะนั้น..ในส่วนของสีลสิกขาก็คือ เราพยายามรักษาศีลตามเพศภาวะของตน บุคคลทั่วไปรักษาศีล ๕ อุบาสกอุบาสิการักษาศีล ๘ สามเณรรักษาศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์รักษาศีล ๒๒๗ พยายามไม่ทำให้ศีลขาดด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำศีลขาด และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นทำศีลขาด
ข้อต่อไปก็คือเจริญสมาธิภาวนา โดยมีลมหายใจเข้าออกเป็นบาทฐาน การปฏิบัติธรรมถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก ไม่ว่าจะหมวดใดข้อใดก็ไม่สามารถเข้าถึงอย่างแท้จริงได้ พยายามภาวนาทรงฌานให้ได้อย่างน้อยเป็นปฐมฌานละเอียด เพื่อที่จะได้มีกำลังเพียงพอในการตัดกิเลสเบื้องต้น
ถ้าสามารถทรงฌานได้แล้ว ก็ยังต้องซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ก็คือต้องการจะเข้าฌานเมื่อไร ต้องการจะออกฌานเมื่อไร ต้องทำได้ทันที ต้องหัดเข้าฌานสลับฌาน ต้องหัดเข้าฌานตั้งเวลา ถ้าสามารถทำได้คล่องตัวแบบนี้ กิเลสก็จะกินเราได้น้อย เพราะว่าทันทีที่รู้ตัว เราก็วิ่งเข้าไปหาฌานสมาบัติ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อกำลังของสมาธิทรงตัว สภาพจิตนิ่งสงบ เราก็เอากำลังสมาธินั้นมาพินิจพิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ มีความทุกข์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน
แล้วเอากำลังใจสุดท้ายเกาะภาพพระ หรือว่าเกาะพระนิพพานเอาไว้ ซักซ้อมไว้อย่างนี้ทุกวันก็คือ ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์ ซักซ้อมการเข้าออกของฌานสมาบัติให้คล่องตัว และใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้และโลกนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือช่วงท้าย เราต้องมีวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหน ? ห่างจากเป้าหมายใกล้ไกลเท่าใด ? ปัจจุบันนี้ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ? ถ้าท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติแบบนี้ ก็จะมีความก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ดังนั้น...ในส่วนที่มาบอกกล่าวในวันนี้ ก็คือญาติโยมมักจะขาดสติ ลืมไปว่าเราตั้งใจทำความดีเพื่ออะไร ? มีเป้าหมายอย่างไร ? จึงต้องมาทบทวนให้ทุกคนได้ทราบ และขณะเดียวกัน ก็กล่าวถึงวิธีการที่เราจะไปถึงเป้าหมายเหล่านั้น เป็นการตอกย้ำให้ท่านทั้งหลายที่ทำถูก ได้มั่นใจในหนทางของตน ส่วนท่านที่ทำผิด ก็จะได้ปรับแก้ให้เข้ามาสู่หนทางที่ถูกต่อไป
ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณร และเจริญพรแก่ญาติโยมทุกท่านไว้แต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.