เหล็กไหล

[เถรี]

ถ้าหากจะหาเหล็กไหล เมืองกาญจน์ฯ หาง่ายที่สุด เนื่องจากเมืองกาญจน์ฯ เป็นป่าเบญจพรรณ แต่ว่าหนักไปทางป่าไผ่ ฉะนั้น..ป่าเบญจพรรณของเมืองกาญจน์ฯ เป็นพันธุ์ไผ่ไปเสียเกินครึ่ง พอหน้าแล้งจะทิ้งใบสีเหลืองฟางไปทั่ว ภูเขาลูกไหนที่เขียวชอุ่ม ฟันธงได้เลยว่ามีเหล็กไหลแน่นอน เพราะคุณสมบัติของเหล็กไหลอย่างหนึ่งก็คือ ดึงดูดความชื้นไปอยู่ในที่เดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็พยายามเสาะหาถ้ำให้เจอ จะมีถ้ำ มีร่อง มีซอก มีรู อยู่ที่ไหนก็ต้องสังเกตดู

ที่สำคัญเหล็กไหลจะอยู่ในที่สะอาด ถ้ำไหนที่มีค้างคาวหรือที่สกปรก เหล็กไหลจะไม่อยู่ วิธีตัดเหล็กไหลตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก ท่านให้ใช้คาถา แต่เท่าที่เจอ ๆ มาเขาใช้วัตถุอาถรรพณ์กัน

ตอนแรก ๆ ช่วงที่ไปวัดท่าซุง ตอนนั้นหลวงพ่อท่านยังงานไม่หนัก ช่วงเย็น ๆ ท่านจะเดินตรวจวัด เดินไปเรื่อย ๆ ตรวจวัดเสร็จท่านก็จะมานั่งตรงม้าหินข้างซุ้มประตูหน้าโบสถ์ ทีนี้ใครอยากจะถามเรื่องงี่เง่าเต่าตุ่นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเวลาอื่นนี่ถามไม่ได้ ถามได้แต่เรื่องธรรมะ

อาตมาก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่าครับ?"
"เอ็งเชื่อหรือเปล่าล่ะ ?"

"ผมไม่เชื่อหรอกครับ"
"ทำไมไม่เชื่อ ?"

"เพราะผมไม่เคยเห็นเลยครับ"
"ไอ้ควาย..!! ของเขามีจริงหรือไม่จริงก็พิสูจน์สิวะ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแล้วก็ไม่เชื่อ"

"หลวงพ่อเคยเห็นหรือเปล่าครับ ?"
"เคยเห็นหลายครั้ง"

ท่านบอกว่าครั้งแรกที่เจอ ท่านลงไปที่ทะเลซับ จังหวัดชุมพร (ทะเลซับ คือน้ำเอ่อขึ้นมาเป็นทะเลอยู่ในถ้ำ ตอนหลังเปลี่ยนเป็นคำว่าทรัพย์) ท่านบอกว่าเจออยู่ในถ้ำ ก้อนประมาณเท่ากำปั้น แต่ปีรุ่งขึ้นก็โดนคนตัดไป

ก่อนที่เขาจะตัด เขามาชวน หลวงพ่อก็เลยไปด้วย คนที่ตัดมีลักษณะเหมือนกับพวกนักปฏิบัติ ผมเผ้ารุงรัง ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าศรัทธาเท่าไร ท่านบอกว่าเขาไปยืนคลำ ๆ ลูบก้อนเหล็กไหล ว่าคาถางึมงำ ๆ หลวงพ่อก็ว่า "ไอ้นี่สงสัยจะบ้า ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง จะตัดมาได้อย่างไรวะ ?" พองึมงำไปสักชั่วโมง มีเสียงดังเหมือนกับมีใครเอาขวานมาฟัน เหล็กไหลหลุดติดมือออกมาเลย หลวงพ่อก็ว่า "เออ..ไม่บ้านี่หว่า เขาทำได้จริง.."

[เถรี]

ท่านบอกว่ามีเจอครั้งที่สอง ตอนเดินธุดงค์ไปป่าหลังเมืองกาญจน์ฯ เวลาประมาณ ๕ โมงเย็นก็ปักกลด ท่านบอกว่ารัศมีเหล็กไหลออกมาเขียวจ้าไปหมด จีวรเห็นเป็นสีเขียวไปหมด สว่างอยู่เป็นชั่วโมงกว่ารัศมีก็หายไป

ท่านก็สงสัย ตั้งใจนึกถึงพระภูมิเจ้าที่ ท่านก็มาปรากฏ ก็ถามเจ้าที่ว่า "แสงอะไร ?"
ท่านบอกว่า "เหล็กไหลครับ"

หลวงพ่อถามว่า "ขอดูได้ไหม ?"
ท่านบอกว่า "ได้ครับ พรุ่งนี้ถ้าท่านฉันเช้าแล้วจะมาพาท่านไปดู" หลวงพ่อก็ตกลง

พอรุ่งขึ้นปรากฏว่าเขามา ดันกลายเป็นชาวป่า นุ่งกางเกงขาก๊วย ผ้าขาวม้าคาดพุงผืนหนึ่ง โพกหัวผืนหนึ่งมาถึงก็ "เอ้า..ท่านจะไปหรือยังล่ะ ?"
หลวงพ่อก็ถามว่า "ไปไหน ?"

"ก็ท่านบอกว่าดูเหล็กไหล ผมจะมาพาไป"
หลวงพ่อก็ว่า "โธ่..เนึกว่าจะมาเป็นเทวดา มาเสียซำเหมาขนาดนั้น ใครจะไปจำได้"

ปรากฏว่าพอไป ท่านก็ถาง ๆ ตีนเขาตรงนั้น ซึ่งมีซอกแตกขนาดตัวคนลอดไปได้ แล้วข้างในเป็นถ้ำใหญ่ สิ่งที่หลวงพ่อเล่าตรงกับที่ตำราคนอื่นว่ามา หลวงพ่อบอกว่าเป็นถ้ำกว้าง เย็นมาก มีน้ำหยดเปาะแปะเหมือนกับฝนตกเลย เพราะว่าเหล็กไหลจะดึงความชื้นมาทั้งหมด ท่านบอกว่าเหล็กไหลก้อนนี้ก้อนใหญ่มาก อาตมาถามหลวงพ่อว่าประมาณเท่าไร ท่านบอกว่าประมาณหม้อข้าว หม้อข้าวสมัยก่อนอย่างต่ำ ๆ นี่เบอร์ ๓๕ นะจ๊ะ

ท่านบอกว่าท่านลองเอาเทียนลนดู ก็ยืดตามเทียนมา ยืดมาจนถึงพื้น ท่านก็เลยเอานิ้วแตะ ก็หดเข้ารูปเหมือนเดิม ท่านก็เลยถามพระภูมิเจ้าที่ว่ามีวิธีตัดไหม ท่านบอกว่า "มี..ใช้คาถาครับ" หลวงพ่อถามว่า "คาถาว่าอย่างไร ?" ท่านบอกว่า "บอกไม่ได้ครับ เพราะผมเป็นคนเฝ้าเอง" หลวงพ่อท่านก็ว่า "ไม่ให้ก็ไม่เอาวะ.." แล้วท่านก็กลับ

เพราะฉะนั้น..เรื่องของเหล็กไหล เท่าที่รู้มาเหล็กไหลมีอานุภาพในการตัดประจุไฟฟ้าแทบทุกประเภท เพราะฉะนั้น..รัศมีที่เขาคลุมถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าจะดับหมดเลย ถ้าถ่ายรูปติดขอยืนยันว่าไม่ใช่เหล็กไหล ประการที่สองเหล็กไหลมีรัศมีในตัวเอง เรามองเมื่อไรก็สว่าง เรากำไว้ในมือมืด ๆ ก็สว่าง ถ้าไม่สว่างนี่ไม่ใช่ของจริง

สมัยหลังเขาเปลี่ยนชื่อมีเหล็กไหลหลายชนิด อาตมาเรียกว่าเหล็กเหลวไหล แต่ถ้าไปถามหลวงปู่บุดดาว่าเหล็กไหลมีอยู่ไหม ? ท่านบอกว่า "โอ๊ย..มีเยอะแยะไป แถวหัวลำโพง ไหลไปเหนือ ไหลไปใต้ ไหลอยู่ทุกวัน.."


เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒