View Full Version : เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๔
พูดถึงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัด "ธรรมดาของเด็กต้องดื้อกับซน แต่ก็เป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเด็ก เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่จะรับได้สักเท่าไรแค่นั้น
การที่ผู้ใหญ่ห้ามนั่นห้ามนี่ เพราะเคยมีประสบการณ์มาว่า ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะเสียหายอย่างไร แต่เด็กยังไม่เคยมีประสบการณ์ ก็เลยอยากรู้อยากลอง เรื่องของเรื่องก็เลยกลายเป็นปัญหา ถึงเวลาบวชเณรแต่ละที พระพี่เลี้ยงจึงต้องติดอาวุธ...!
ตอนนี้ที่กำชับไว้เลยก็คือ ห้ามเป็นหวัด เพราะว่าเณรจำนวนมากต้องพักอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นหวัดแล้วจะยุ่งมาก"
พูดถึงพระนักเรียนบาลีที่ท่านส่งไปเรียนที่นครปฐม "พวกมหาไบท์จะกลับวัดกันแล้ว ไม่เรียนต่อแล้ว มีใครบ้างนะ ? มหาไบท์ มหาเสริฐ มหาโตโต้ มหาหมึก ส่วนมหากว้างกลับไปบ้านที่หนองบัว ประเทศพม่าโน่น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ใครมาแถวบ้านเติมบุญก็ใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ไม่รู้ว่าจะติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เมื่อไร ? เพราะว่าสี่รายล่าสุดที่มีข่าวเมื่อวานซืน อยู่ข้าง ๆ บ้านนี่หมดเลย..! อาตมาอุตส่าห์ลุ้นว่าให้มีที่อื่นบ้าง แต่ก็ไม่มีเลย สรุปว่ารายที่ ๑ ก็เสาธงหิน รายที่ ๒ ก็เสาธงหิน รายที่ ๓ ก็เสาธงหิน รายที่ ๔ ก็เสาธงหิน ทั้ง ๆ ที่ตลาดเสาธงหินนี้เคยโดนปิดไปทีหนึ่งแล้ว เพราะว่ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แสดงว่าเอาไม่อยู่
เรื่องของเชื้อโรคต้องบอกว่าประมาทไม่ได้ ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็คือบราซิล ตอนนี้ตายมากที่สุด ในแต่ละวันตายกัน ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ศพ ดูอย่างเม็กซิโก ยอดติดเชื้อตูมเดียวขึ้นมาเป็นแสนเลย อินเดียวันหนึ่งตรวจเจอผู้ติดเชื้อเจ็ดหมื่นกว่าราย ก็ต้องบอกว่าบ้านเราที่อยู่ในระดับวันหนึ่งแค่หลักร้อยบ้าง หลักสิบบ้าง ต้องถือว่าน้อย แต่ถ้ามีความประมาทก็อาจจะทำให้เกิดพวกคลัสเตอร์ขึ้นมาอีก
คลัสเตอร์แต่ละที่ส่วนใหญ่คือปิดไม่อยู่แล้ว ผู้ติดเชื้อออกอาการจนกระทั่งรักษาเองไม่ไหวแล้วจึงไปหาหมอ กว่าจะถึงระดับที่รักษาเองไม่ไหวแล้ว ก็อาจจะแพร่เชื้อไปให้คนอื่นเป็นจำนวนมากแล้ว ใน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องบอกว่าแล้วแต่เวรแต่กรรม ก็คือดูแลรักษาตัวเองกันไปก่อนนะ"
"ประเทศเดียวที่เร่งฉีดวัคซีนแล้วได้ผลก็คืออิสราเอล เพราะว่าสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคลงได้ เนื่องจากเกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว ถ้าให้อาตมาวิเคราะห์ง่าย ๆ ก็คือ อิสราเอลเป็นทหารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ได้รับการฝึกหนักในระดับที่แกร่งมาก ในเมื่อฉีดวัคซีนก็เลยเกิดภูมิต้านทานเร็ว ทำให้สามารถระงับยั้บยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ลงได้ ส่วนประเทศอื่นก็แล้วแต่เวรแต่กรรมกันอยู่เหมือนเดิม
โดยเฉพาะทางด้านฝรั่งเศสและเยอรมันนี เจอการแพร่ระบาดรอบสามไปแล้ว และเป็นการแพร่ระบาดที่มีทีท่าว่าเอาไม่อยู่ด้วย เพราะส่วนใหญ่แล้วคนยุโรปและอเมริกาจะเคยชินกับสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล กระทั่งการให้ความร่วมมือกับราชการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดก็ไม่ทำ จนอาตมาบอกว่า "เขามีสิทธิ์ที่จะตาย โปรดอย่าได้ห้าม...!"
แล้วไม่น่าเชื่อว่าจนบัดนี้ บรรดาฝรั่งที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นผู้เจริญ เป็นผู้เฉลียวฉลาด ก็ยังมีจำนวนมากที่คิดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งนี้เป็นแค่ข่าวปลอม ในเมื่อเป็นถึงขนาดนี้ ภาษาอีสานเพิ่นว่า "เมิ้ดคำสิเว่า" ก็คงต้องปล่อยวาง แล้วแต่ดวงใครจะซวย..!"
ถาม : หนูค้นพบว่าหนูชอบนอนภาวนามาก ใจเบาสบายยิ่งตอนลืมตาตื่นแล้วภาวนาต่อสักพักก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เวลานอนหนูภาวนาจนหลับลึกมาก แต่ตื่นมาแล้วก็ยังรู้สึกร่างกายไม่มีแรง แต่กลับเหมือนมีแรงดึงดูดให้สะลึมสะลือตลอดเวลา กินกาแฟยังง่วงเลยค่ะ หนูอยากทราบว่า หนูทำสมาธิผิดวิธีตรงไหนคะ ? ทำไมใจเบาสบายแต่ร่างกายง่วงและอ่อนเพลียตลอดเวลาคะ ?
ตอบ : เกิดจากความที่ชอบมาก จึงทำบ่อย ๆ จนกำลังใจมีความชำนาญในการทรงสมาธิระดับนั้น ซึ่งอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ ที่ปกติจะต้องตัดหลับไปเลย แต่เป็นเวลาที่เราต้องตื่นไปทำงานพอดี ในเมื่อกำลังใจทรงอยู่ในระดับนั้นก็แทบจะหลับตาเดิน..!
ถาม : หนูแยกวิธีปฏิบัติได้สามแบบค่ะ แบบแรกคือ หนูนั่งสมาธิไม่ได้ จะอึดอัด กระสับกระส่าย ใจร้อนรน ถ้าไหว้พระสวดมนต์ หนูจะสวดพระคาถาเงินล้าน แต่ต้องสวดเร็ว ๆ ถึงจะจับลมหายใจได้ไม่สะดุด
แบบที่สองคือ ในระหว่างวันที่ใช้ชีวิตปกติทั่วไป ทำงานบ้าน เดินไปตลาด หนูจะเผลอภาวนาในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ บางทีก็แล้วแต่จิตจะเปลี่ยนคำภาวนาเอง ช่วงนี้อยู่ ๆ หนูก็สวดบท "ปะโตเมตัง ปะระชีวะนัง สุคะโตจุตติ จิตตะ เมตะ นิพพานัง สุคะโต จุตติ" เหมือนเวลาไม่มีสติจะหลุดภาวนาไปเอง บางครั้งถึงกับพูดออกเสียงมาเลย จนคนข้าง ๆ ก็มองค่ะ
แบบที่สามคือ นอนภาวนาหนูจะจับลมหายใจช้า ๆ หายใจเข้าภาวนาว่า พุท หายใจออกภาวนาว่า โธ หนูเคยพยายามเปลี่ยนมาภาวนาคาถาเงินล้าน และ นะ มะ พะ ธะ แต่อึดอัดทำลมหายใจสะดุดหมดเลยค่ะ
ทั้งสามแบบหนูทำโดยไม่ฝืน ใจเบาสบาย หนูควรจะปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามจิตใจและความรู้สึกพาไปแบบนี้ คือไม่มีแบบแผน หรือหนูควรบังคับใจสวดมนต์ นั่งสมาธิจับลมหายใจ เดินจงกรม ตามกำหนดเวลาแบบที่ครูบาอาจารย์ปฏิบัติกันคะ ?
ตอบ : การปฏิบัติธรรมต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร ไม่ใช่ปล่อยเป็นปลาตายลอยน้ำแบบนี้ เรื่องของจิตถ้าไม่บังคับก็เหมือนลิง กระโดดไปทางนั้นทางนี้ไม่มีหยุด แค่จะภาวนาแบบหนึ่งให้ได้ผลไปเลยก็ทำไม่ได้แล้ว ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วผ่อนสั้นผ่อนยาว จนกว่าจะบังคับได้อย่างที่เราต้องการ
ถาม : มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อยู่ ๆ จิตหนูภาวนา นะ มะ พะ ธะ จับลมหายใจตอนหลับเอง แล้วหนูรู้สึกว่าหนูหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้นประมาณ ๓ วินาที เหมือนถูกขังอยู่ในที่แคบเท่าร่างกาย อยากจะดิ้นรนออกไปสูดอากาศหายใจ ตอนนั้นตกใจ กลัวแต่พยายามตั้งสติคิดว่า เราไม่ได้ถูกขังจริง ๆ ใจหนูก็ภาวนา พุทโธ สลับกับสมองคิดว่าตายก็ตายขอไปนิพพาน ไม่ได้อยากไปด้วยใจ สักพักหนึ่งก็หายใจได้ หนูเหมือนคนจมน้ำที่โผล่มาหายใจเลยค่ะ เวลาตอนที่หยุดหายใจเหมือนยาวนานมาก หนูกลัวเลยภาวนา พอมีสติก็คิดตัดร่างกาย สลับไปมาด้วยความลนลานค่ะ
หนูคิดว่าหนูมีปัญหาสุขภาพเรื่องการหายใจ เพียงแต่ครั้งนี้หนูจับลมหายใจภาวนา นะ มะ พะ ธะ ขึ้นมาเอง และหยุดหายใจนานกว่าครั้งอื่น ปกติหนูภาวนา พุทโธ ก็หยุดหายใจแค่ ๑ วินาทีค่ะ ที่คำภาวนาเปลี่ยนเอง มีผลอะไรไหมคะ ? แล้วหนูควรภาวนา นะ มะ พะ ธะ หรือ พุทโธ ตอนหยุดหายใจคะ ?
ตอบ : เป็นแค่อาการปกติของสมาธิที่ทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจจะเบาลงหรือว่าหายไป ถ้าเราแค่กำหนดสติรับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่กลัว ไม่ตกใจ สมาธิจะทรงตัวแนบแน่นไปกว่านี้อีก แสดงว่ากำลังใจเพียงพอที่จะทรงสมาธิระดับสูงแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจวิธีในการทำเท่านั้น
ถาม : หนูไม่เข้าใจเรื่องที่บอกว่า ให้ตามดูอารมณ์ตัวเอง คือตามดูไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ต้องไประงับใช่ไหมคะ ? จะมากขึ้นหรือน้อยลงก็แค่ดู พอหนูปล่อยให้ถึงจุดที่เต็มที่ถึงที่สุดแล้ว หนูจะมาคิดว่าทั้งหมดไม่มีอะไรเลย แค่เรายึดตัวตนเราไว้ หนูดูตัวเองจนพอเข้าใจว่า หนูต้องเกิดอารมณ์นั้น ๆ ให้สุดก่อน ใจหนูถึงจะปล่อยวางตัวตนได้ แต่การที่ปล่อยให้ระเบิดสุด ก็จะไปสร้างกรรมกับคนรอบข้างขึ้นมาอีก เวลาโกรธหนูเคยลองภาวนา ก็พอผ่านเหตุการณ์นั้นได้ แต่ใจหนูจะไปไม่ถึงจุดที่ปล่อยวางตัวตน ควรทำแบบไหนคะ ?
ตอบ : เวลาขับรถถ้าจะตกเหว อันดับแรกก็คือเหยียบเบรก อันดับที่สอง พยายามหันหัวรถออกไปทางอื่น เวลาอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น อันดับแรกต้องหยุดให้ได้ก่อน ไม่ใช่ไปปล่อยให้ระเบิด อันดับต่อไปคือ พยายามเปลี่ยนจากอารมณ์ร้ายมาเป็นอารมณ์ดี ก็คือดึงมาภาวนาให้ได้ การตามดูอารมณ์ตัวเองนั้น ถ้าอารมณ์ร้ายเกิดขึ้น ก็ไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาได้อีก ถ้าอารมณ์ดีเกิดขึ้นก็รักษาเอาไว้ แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เขาดูและทำกันแบบนี้
ถาม : เวลาเกิดความรู้สึกต่าง ๆ จนถึงที่สุดหนูจะหาจุดคิดย้อนเข้ามา สุดท้ายจะมาหยุดที่เพราะมีเรามีตัวเรา แต่เรื่องกามราคะ พอหนูย้อนมาถึงตัวหนูแล้ว หนูกลับย้อนไปต่ออีกว่า เพราะพ่อแม่มีตัณหาราคะ จึงเกิดกาม เมื่อเกิดกามจึงเกิดหนูขึ้นมาวนเป็นวงกลม หนูใช้ปัญญาไปต่อไม่ได้ค่ะ หยุดอยู่ตรงพ่อแม่มีกามราคะ รู้สึกผิดด้วย หนูต้องทำอย่างไรต่อคะ ?
ตอบ : เลิกคิดโทษคนอื่น ให้กล่าวโทษโจทย์ตัวเองว่าเสือกโง่ที่เกิดมา..!
ถาม : หนูมีต้นโมกสูงประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง ใส่กระถางตั้งไว้ภายในตัวบ้านไว้กรวดน้ำ เวลาสวดมนต์หนูจะอุทิศบุญให้รุกขเทวดาที่ต้นโมกด้วย หนูสังเกตว่าผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ ต้นโมกก็จะแตกใบอ่อน หลังจากนั้นไม่เกินห้าวันจะยืนต้นตาย เป็นแบบนี้มาสามต้นแล้วค่ะ หนูสงสัยว่าเป็นที่หนูกรวดน้ำหรือเปล่าคะ เพราะหนูมีต้นโมกเล็กกว่านี้อยู่ในบ้านก็แค่แห้ง แต่ไม่มียืนต้นตาย แล้วรุกขเทวดาเขาได้รับบุญแล้วทำไมไม่ช่วยดูแลต้นไม้ให้งอกงามคะ วิมานเขาจะได้อยู่ดีด้วย ?
ตอบ : ได้บุญมากพอก็ไปรีบเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ใครจะมาโง่แปะอยู่กับต้นไม้วะ ?
ถาม : ระหว่างคิดว่าชีวิตเป็นทุกข์ คิดแค่อยากพ้นทุกข์ กับคิดว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อยากไปนิพพาน เหมือนกันไหมคะ ? ตอนนี้ใจหนูรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ การมีร่างกายเป็นทุกข์ อยากหลุดพ้นจากร่างนี้ ไม่อยากไปเกิดร่างใหม่แม้สวรรค์หรือพรหม แต่หนูก็รู้สึกเฉยกับนิพพานเหมือนกัน ใจไม่ได้คิดหรือรู้สึกอยากจะไปนิพพาน แต่ชอบความรู้สึกของนิพพาน หนูควรจะแก้ความคิดตรงไหนให้ถูกต้องคะ ?
ตอบ : คิดอยากพ้นทุกข์ เป็นสัมมาทิฏฐิ คิดถึงพระนิพพานเป็นอุปสมานุสติ อย่างแรกเป็นปัญญามองเห็นทางไป อย่างหลังเป็นวิธีในการไป จะคิดก็คิดตัดสินใจให้จบว่าจะเอาอย่างไร จะทำก็ทำไปให้จบจะได้พ้นทุกข์
ถาม : หนูมีคนรู้จักทำงานช่วยเหลือคนเจ็บจากอุบัติเหตุ คนป่วย คนตายที่ยากจน รายได้ได้มาจากชีวิตคนและก็ไม่ได้มาก บางครั้งพวกเขาก็ไม่มีเงินให้ เรายังต้องเสียเงินให้อีก การที่เราทำงานแบบนี้เราควรบูชาท่านใด หรือมีวิธีใดให้หน้าที่การงานเจริญ มีเงินทองคล่องตัวบ้างไหมคะ ทำอาชีพนี้มองไม่เห็นทางจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเลยค่ะ ทั้งสงสารพวกเขาและสงสารตัวเอง ?
ตอบ : ปกติก็เห็นบูชาท่านไต้ฮงกง เราก็เพิ่มให้เขาภาวนาพระคาถาเงินล้านแบบจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น กำลังใจพระโพธิสัตว์แบบนี้ไม่ต้องไปสงสารเขาหรอก สงสารตัวเองดีกว่าว่าเมื่อไรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนแบบพวกเขาบ้าง
ถาม : หนูนอนภาวนาแล้วชอบฝันว่าไปโลกของวิญญาณบ่อยมาก เหมือนตัวมีแรงโน้มถ่วง เดินก้าวขาไม่ค่อยออก แต่พวกวิญญาณเขาไปได้เร็วมาก หนูสงสัยว่าหนูไปได้อย่างไร ? ไปเพื่ออะไร ? เป็นการทดสอบเรื่องอะไรคะ ? บางครั้งตอนฝันคือรับรู้ทุกอย่าง ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่พอตื่นขึ้นมาความรู้สึกบางอย่างฝังอยู่ในใจลึกมากค่ะ เช่น ความรัก แต่บางครั้งคือในฝันโดนมีดแทง เจ็บเข้ากระดูกตั้งแต่ในฝันจนตื่นมาความเจ็บก็ยังอยู่ หนูคิดว่าอีกทางหนึ่งที่จะดูความก้าวหน้าในการปฏิบัติ คือมีวิญญาณมาทดสอบเราใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นลักษณะของอตีตังสญาณ ระลึกอดีตได้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในความฝันหรือความจริง ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา ใจเราต้องเกาะความดีได้
ถาม : ถ้าหนูชอบภาวนา พุท โธ แบบนี้คือ หนูเป็นสุกขวิปัสสโกแน่แล้วใช่ไหมคะ ? หนูควรจะทิ้งคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ไปเลย หรือควรภาวนาควบคู่กันไป แบบไหนจะก้าวหน้าเร็วกว่าคะ ?
ตอบ : ทำแบบไหนแล้วใจสงบก็ให้ทำแบบนั้นไป ถ้าพื้นฐานเดิมเป็นอภิญญา ภาวนาอะไรถ้าใจสงบได้ที่ก็เป็นอภิญญาได้ทั้งนั้น
ถาม : หนูนอนภาวนาพุทโธจนหลับ ในฝันหนูเดินไปเจอคนหนึ่ง ซึ่งในชีวิตจริงเขาเป็นคนปฏิบัติธรรมมีชื่อเสียง มีญาณเห็นผีได้ แต่หนูไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว เขาแค่บอกให้หนูนั่งสมาธิตรงนี้ ปกติหนูนั่งสมาธิแล้วใจไม่สงบเท่ากับนอนภาวนา หนูนั่งสมาธิตามที่คนนั้นบอก โดยไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกเข้าสมาธิได้ทันที หนูไม่เคยเกิดแบบนี้มาก่อน
ปกติที่เคยภาวนาจะรู้สึกร่างกายขยับตัวไม่ได้ เหมือนมีอะไรดูดทำให้หนูฝืนร่างกาย แต่ครั้งนี้ในฝัน หนูรู้สึกว่าร่างในฝันไม่มีผลกับร่างกายจริง ตัวหนูในฝันความรู้สึกคล้ายถ้วยน้ำแข็งที่เวลาไปแช่น้ำในถัง แล้วน้ำแข็งก้อนหลุดออกมาทั้งก้อน ไม่ได้ติดแน่นกับถ้วย แต่ยังอยู่ในถ้วยอยู่ หนูรู้สึกว่าสมาธิยังดิ่งลงไปได้ลึกกว่านี้ แต่หนูบอกกับเขาว่าพอแล้ว แค่นี้ก็พอ ทั้ง ๆ ที่เขาบอกให้ลองไปต่อได้อีก เหมือนก้อนน้ำแข็งค่อย ๆ เริ่มลอยขึ้นออกมาจากถ้วย ใกล้จะหลุดออกจากถ้วยทั้งหมด แต่หนูหยุดก่อน พอตื่นหนูจำรายละเอียดกับความรู้สึกได้คร่าว ๆ แต่สมองได้จดจำว่าเป็นสิ่งดีที่สุดของการปฏิบัติธรรมในชีวิตเลยค่ะ
หนูอยากทราบว่าอาการนี้คืออะไร หนูอยากทำได้อีก แต่ไม่รู้ว่าหนูทำได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : คือฝัน ถ้าอยากก็ไม่มีวันได้อีก..!
ถาม : คนที่บอกให้หนูนั่งสมาธิ ในชีวิตจริงไม่เคยเจอกันเลย การที่หนูฝันว่าเขามาบอกให้นั่งสมาธิ ชีวิตจริงเขาจะรู้เรื่องกับหนูด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ต้องไปถามเขาเอง
ถาม : หนูยังไม่ได้คิดตัดร่างกาย นั่งลงก็เป็นสมาธิทันที ในฝันหนูถึงหยุดไม่ไปต่อ เพราะหนูกลัวทำผิดวิธี และคนที่บอกให้นั่งสมาธิ ในชีวิตจริงหนูก็ไม่ถูกจริตกับคำสอนเขาบางส่วน หนูสับสนมาก ถ้าเขาดีจริงหนูจะกลายเป็นปรามาสพระอริยบุคคล แต่หนูก็รู้สึกว่าในเมื่อไม่ได้ร่วมบุญเป็นบริวารสายเดียวกันมา เขาจะมามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของหนูทำไม แบบนี้ใช่มารมาดลใจให้หนูเดินผิดทางหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อย่ายึดตัวบุคคล ให้ยึดวิธีการปฏิบัติ
ถาม : การทำความดีที่ไม่ต้องฝืน มีไหมคะ ?
ตอบ : มีมากด้วย
ถาม : พระพุทธรูปที่ไม่ได้ระบุว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ผ่านพิธีพุทธาภิเษกที่สมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาเสก พระพุทธรูป พระเครื่อง วัตถุมงคล ทั้งที่นำเข้าพิธีโดยตรง ทั้งที่ติดตัวผู้เข้าร่วมพิธี อย่างนี้จะถือว่าพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว คือ พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้
ถาม : พระคาถาป้องกันโรคระบาด ๒ พระคาถา คือ "ทุกขา ทุกขัง ปะติฎฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ" กับ "สัพพะโรคา วินาสสันติ โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เม" มีผลต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อย่างหลังป้องกันโรคและให้ลาภด้วย
ถาม : วัตถุมงคลที่เข้าพิธีพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์สงเคราะห์ สามารถภาวนาร่วมกับ พระคาถา "สัพพะโรคา วินาสสันติ โสตถิ ลาภัง ภวันตุ เม" ได้ผลแบบเดียวกับการภาวนาร่วมกับวัตถุมงคลที่เข้าพิธีที่วัดพุทธพรหมยานใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ให้ไปถามที่วัดพุทธพรหมยาน
ถาม : การสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๓ จบ ถวายสมเด็จองค์ปฐม หากไม่มีพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐม จะได้ผลเช่นเดียวกับการภาวนาโดยมีพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้านึกถึงพระองค์ได้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน
ถาม : คนสายอื่นที่ไม่รู้จักสมเด็จองค์ปฐม แต่สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๓ จบขึ้นไปทุกวัน จะมีผลเหมือนคนที่รู้จักสมเด็จองค์ปฐมเจตนาสวดถวายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้นึกถึงก็ไม่เหมือนกัน
ถาม : สมมติภาวนาถึงคำว่า "สุคะโต" ปรากฏว่า "สุ" กับ "โต" มั่นใจแต่ "คะ" ไม่แน่ใจว่าเผลอข้ามหรือไม่ ควรเริ่มสวดตรงคำว่า "คะ" เพื่อความมั่นใจอีกที หรือ สวดตั้งแต่คำว่า "สุ" ใหม่ครับ ?
ตอบ : ควรเริ่มใหม่ตั้งแต่ อิติปิ โส ฯ ทั้งบทเลยจะได้เข็ด..!
ถาม : ถ้าติดผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามไว้ประจำที่บังแดดรถยนต์ จำเป็นที่คนขับต้องอาราธนาเองถึงจะมีผลหรือไม่ ? หากคนที่นั่งไปด้วยหรือไม่ได้นั่งไปเป็นคนอาราธนา จะมีผลคุ้มครองรถยนต์รวมถึงทุกคนในรถยนต์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : คนที่อยู่บ้านกินอาหาร เราที่อยู่ในร้านอาหารจะอิ่มไปด้วยหรือไม่ ?
ถาม : ผมอาราธนาพระขุนแผน ตะกรุดทองคำ วัดท่าขนุนติดตัว ปรากฏว่าเวลาต้องเจรจาธุระกลับยิ้มออกมาเอง ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องดี หรืออารมณ์ดีพิเศษใด ๆ ก่อนหน้าที่จะเจรจา ผมสงสัยว่า วัตถุมงคลที่มีอานุภาพเมตตาทั้งหลาย ท่านจะสงเคราะห์ให้ผู้อาราธนาติดตัวเกิดความเมตตาในตัวเอง เมื่อแสดงความเมตตาออกไป ผู้อื่นรับรู้ความเมตตานั้นจึงได้รับความเมตตากลับมา ทำนองเดียวกับ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่แค่บางส่วน
ถาม : ตะกรุดเนื้อตะกั่วไม่ทราบว่าถูกอะไรทับทำให้ปลายแบน ผมไปบีบด้านข้างให้หายแบนกลับไปมีรูปร่างคล้าย ๆ เดิม แบบนี้ตะกรุดจะเสื่อมอานุภาพหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้คลี่ออกมาก็ไม่เป็นไร
ถาม : ถ้าเราร่วมซ่อมแซมบูรณะโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ที่ทรุดโทรมมากน้อยแล้วแต่ แต่ทางวัดนั้นเห็นควรบูรณะ จะได้อานิสงส์เท่ากับสร้างใหม่ทั้งหลังหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นอกจากได้อานิสงส์วิหารทานเหมือนสร้างใหม่แล้ว ยังได้อานิสงส์ความงามเพิ่มขึ้นมาด้วย
ถาม : มีสูตรยาสมุนไพรที่แก้โรคลมพิษบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ใบพลูตำละเอียดผสมเหล้าขาวแล้วทาให้ทั่ว
ถาม : ลูกขอสูตรยาหรืออาหารที่ช่วยลดอารมณ์ทางเพศในผู้หญิงหน่อยเจ้าค่ะ ลูกดื่มน้ำมะตูม งดอาหารเย็น และออกกำลังกายแล้วไม่ดีขึ้น รู้สึกว่าอารมณ์กามราคะกวนใจลูกในการปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องยุ่งกับอาหาร แค่เลิกคิดก็จบแล้ว..!
ถาม : หากดื่มเครื่องดื่มมอลต์ คล้ายเบียร์แต่สกัดแอลกอฮอล์ออกไป เหลือแอลกอฮอล์ศูนย์เปอร์เซ็นต์ จะผิดศีลข้อห้าหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีอะไรเหลวไหลไปกว่านี้ไหม ? ถ้าไม่มีก็ไม่ผิด แต่จะทำให้ผิดขึ้นมาจนได้ในวันใดวันหนึ่ง ถ้าเผลอไปดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้า
ถาม : ตามข่าวที่ได้พบเห็นมา บางทีก็มีกรณีที่เป็นเรื่องของการใช้คนรอบข้างให้เข้าไปตีสนิทกับเป้าหมาย โดยทำทีเป็นหวังดีต่าง ๆ แต่แท้จริงแล้วก็คือ ต้องการหาทางทำร้ายเป้าหมายอย่างแนบเนียนนั่นเอง
ถ้าไส้ศึกนั้นถูกใช้มาโดยผู้มีอิทธิพลหนุนหลังด้วย การกระทำนั้นก็จะยิ่งแนบเนียนและแยบยลมากยิ่งขึ้น แม้แต่คนในวัดก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเจอกับเรื่องแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ทำไมถึงอันตรายได้ถึงขนาดนี้
อยากทราบว่า เราต้องทำบุญแบบไหน ถึงจะป้องกันไส้ศึกประเภทนี้ได้ ในระหว่างที่เรายังไม่สามารถเข้าพระนิพพานได้ครับ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา
ถาม : คาถามหาลาภ
นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ
สุวัณณังวา ระชะตังวา มะณีวา
ธะนังวา พีชังวา อัตถังวา ปัตถังวา
เอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมีมา นะมามิหัง
คาถานี้มีอานุภาพเหมือนกับพระคาถาเงินล้านไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือน
ถาม : ครอบครัวผมชอบทำบุญแบบเกินตัว เช่น มีเงินติดตัว ๑,๐๐๐ บาท ก็จะทำบุญถวายทั้งหมดเลย ๑,๐๐๐ บาท จนทำให้ตนเองลำบากในการเป็นอยู่ใช้ชีวิต เพราะครอบครัวไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวย ผมจึงมักจะห้ามและบอกให้แบ่งทำบุญแค่บางส่วน อีกส่วนที่เหลือก็เก็บไว้กินไว้ใช้ แต่ก็มักจะเกิดการขัดใจทะเลาะกันเสมอ ผมทำแบบนี้ถือว่าผมทำถูกหรือผิดครับ และควรทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำถูกแต่ผิด เพราะว่ากำลังใจและปัญญาคนไม่เท่ากัน ก็เหลือแค่ปล่อยวางแล้วทนเอา..!
ถาม : ผมสามารถใช้กัญชาช่วยในการทำสมาธิได้ไหม ? ถ้าทำได้จะมีผลมากน้อยแค่ไหนครับ ?
ตอบ : ต้องลองใช้ดูถึงจะรู้ ถ้ามากเกินไปก็อาจจะเพี้ยนไปเลย..!
ถาม : คุณพ่อเป็นคนขี้โมโห ทั้งที่ปฏิบัติธรรมแต่คงหนักไปทางสมถะ หนูเป็นลูกจะไปบอกพ่อก็เป็นเรื่องมิบังควร จะเป็นการสอนผู้ใหญ่เอา พ่อขี้โมโหจนเป็นโรคหัวใจต้องผ่าตัด หลังผ่าตัดเคยพาไปหาหลวงปู่บุญส่ง ท่านก็เทศน์ว่าที่พ่อเป็นแบบนี้เพราะอารมณ์ร้อนแต่เล็ก ตอนเด็กร่างกายยังรับไหว แต่นานไปร่างกายรับไม่ไหว เลยสะเทือนเป็นโรคหัวใจ ความดันสูงแบบที่เป็นอยู่ แต่พ่อกลับไม่ได้ยินที่ท่านเทศน์เลย ทั้งที่เจาะจงมาที่พ่อ ประกอบกับพ่อไม่ใช่คนยอมรับว่าตัวเองขี้โมโห พยายามจะแซวเพื่อเตือนพ่อก็เห็นว่าจะไม่ค่อยเป็นผล
บางทีหนูก็ว่าตัวเองคิดมากไป ควรจะปล่อยวาง เพราะพ่อก็มีกรรมเป็นของตัวเอง ขนาดตัวเองเรายังเอาไม่รอดเลยบางที ส่วนหน้าที่ลูก เราเป็นลูกปฏิบัติความดีไปอย่างไรก็ถึงพ่อ แต่ก็อดคิดไม่ได้ที่จะปล่อยให้พ่อเป็นแบบนี้ จู่ ๆ วันหนึ่งถ้าหากพ่ออารมณ์เสียตายขึ้นไป โดยที่หนูไม่พยายามอะไรเลย หนูก็คงมาเสียใจภายหลัง จึงอยากขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่าหนูควรวางอารมณ์อย่างไรและจะช่วยพ่อได้อย่างไรบ้างเจ้าคะ ?
ตอบ : กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ช่วยไม่ไหวก็ต้องปล่อยวาง
ถาม : เราจำเป็นต้องแก้บนหรือไม่คะ หากเราได้ในสิ่งที่ขอไว้ แต่ได้ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่เรากำหนดตอนที่เราได้บนบานเอาไว้ ?
ตอบ : ไม่มั่นใจก็ไปแก้ ถ้ามั่นใจว่าเราไม่ผิดสัญญาก็ไม่ต้อง
ถาม : ถ้าต้องการที่จะถวายของหอมกับพระพุทธรูปที่บ้านทุกวัน จะสามารถทำแบบไหนได้บ้างครับ ?
ตอบ : สรง พรม เช็ด
ถาม : การสรงน้ำพระพุทธรูป จะมีอานิสงส์เป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นของหอมก็มีเกียรติคุณขจรขจาย ถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ร่มเย็นเป็นสุข
ถาม : สมมติว่ามีคนทำสมาธิถึงระดับฌานได้ เมื่อออกจากฌานลงมาถึงระดับที่คิดได้แล้วอุทิศส่วนกุศลทันที กับยังไม่อุทิศทันที ไปทำธุระจนจิตกลับสู่ความวุ่นวายเหมือนปุถุชนทั่วไปแล้วอุทิศส่วนกุศลโดยเจตนาอุทิศจากครั้งที่สามารถเข้าฌานได้ ท่านที่โมทนาบุญจากทั้งสองกรณีจะได้รับผลต่างกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อานิสงส์เท่ากัน แต่การอุทิศช้าทำให้หลายท่านไม่ได้รับ
ถาม : มีพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งเทศน์ว่า พ่อของบ้านหนึ่งตายไป แล้วไปเกิดเป็นคนที่จังหวัดอื่น แต่ไม่สามารถจำชาติก่อนของตนได้ ต่อมาได้กลับมาพบครอบครัวเก่า ได้ช่วยงานครอบครัวนี้ตอนทำสังฆทานอุทิศประจำปีไปให้บรรพบุรุษแล้ว รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจตลอดวันตลอดคืนที่ทำบุญ ไม่ต้องรับประทานอาหาร ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดตามหลักดูเหมือนว่าถ้าเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ญาติทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้จะไม่ได้รับ ทำไมกรณีถึงเหมือนได้รับครับ ?
ตอบ : นี่เป็นแค่ผลข้างเคียงเท่านั้น ประกอบกับจิตอยู่ในช่วงที่เปิดรับพอดี ถ้าเป็นผลที่ได้รับโดยตรงจะต้องอิ่มตลอดไป
ถาม : ที่ผมได้อ่านในเรื่อง อัศจรรย์โลกใบนี้ ที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ไปห่มผ้าพระเจดีย์ ๙ องค์ เพื่อแก้กรรมเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ไม่ทราบว่าสามารถทำแบบเดียวกันได้ทุกคนหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ลองไปทำดู ถ้าได้ผลโปรดช่วยบอกต่อด้วย อาตมาจะได้รีบไปทำบ้าง..!
ถาม : ในบทสวดสัมพุทเธ ที่กล่าวถึงจำนวนพระพุทธเจ้าในอดีตที่ตรัสรู้ไปแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะถึงมีจำนวนมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาสร้างบารมียาวนานที่สุด แต่พระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะถึงมีจำนวนน้อยที่สุด ทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาสร้างบารมีสั้นที่สุดครับ ?
ตอบ : เพราะว่าผู้ที่มากด้วยปัญญามีน้อยกว่าผู้ที่มากด้วยศรัทธาและวิริยะ
ถาม : ในช่วง ๔ อสงไขยล่าสุดที่ผ่านมา ทำไมจึงมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียง ๒๘ พระองค์ ถ้าหากว่าย้อนกลับไปดูพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรกของภัทรกัปนี้ ท่านสร้างบารมีในช่วงปรมัตถบารมี ใช้เวลา ๘ อสงไขย และในช่วงนี้ท่านได้พบเจอกับพระพุทธเจ้าในอดีตมากถึง ๓๗,๐๐๐ กว่าพระองค์ ถ้าหากแบ่งช่วง ๘ อสงไขยล่าสุดเป็น ๒ ช่วง ช่วงละ ๔ อสงไขย ก็จะพบว่าช่วง ๔ อสงไขยแรกมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มากถึง ๓๗,๐๐๐ กว่าพระองค์ และในช่วง ๔ อสงไขยหลังมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง ๒๘ พระองค์ ทำไมจึงต่างกันมากขนาดนี้ครับ ?
ตอบ : ๘ อสงไขยกัปเป็นช่วงท้ายของการสร้างบารมี คุณไม่ได้นับช่วงต้นและช่วงกลางเข้าไปด้วย
ถาม : ในยุคปัจจุบันนี้เป็นภัทรกัป และในกัปถัดไปก็จะเป็นภัทรกัป ทำให้ ๒ กัปติดกันมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มากถึง ๑๐ พระองค์ แล้วในอนาคตจากนี้ไปจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ติด ๆ กันคราวละมาก ๆ แบบนี้อีกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าวาระครบถ้วนก็ต้องมีจนได้ จะรอดูไหม ?
ถาม : การสร้างบารมีแบบปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ หลวงพ่อเคยกล่าวว่า ถ้าชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเอง ก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ แล้วอีก ๒ แบบที่เหลือ มีจริตนิสัยเป็นอย่างไรครับ
ตอบ : มากด้วยศรัทธาและมากด้วยปัญญา
ถาม : การสร้างบารมีของพระอัครสาวกกับพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งใช้ระยะเวลา ๒ อสงไขยเท่ากัน แต่ท่านบำเพ็ญบารมี ยาก ง่าย ต่างกันอย่างไร ผลลัพธ์จึงต่างกันครับ ?
ตอบ : ฝ่ายที่อยากรู้ครบก็ต้องเรียนมากกว่า ทำให้เหนื่อยมากกว่า
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าจำเป็นจะต้องมีความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านฤทธิ์และปัญญาทั้งคู่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยากรู้ครบก็ต้องทำจนมีครบ
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จำเป็นต้องเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณทุกพระองค์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น แต่ต้องเป็นอภิญญาเป็นอย่างน้อย
ถาม : หลวงพ่อเคยกล่าวว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระวิชชา ๓ ผมอยากทราบว่า เหตุใดท่านจึงไม่ใช่พระปฏิสัมภิทาญาณ ที่ครอบคลุมทั้ง วิชชา ๓ และอภิญญา ๕ ไปเลยครับ แล้วพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ จำเป็นหรือไม่ว่า ท่านต้องเป็นพระวิชชา ๓ เช่นเดียวกัน ?
ตอบ : รู้ครบทุกเรื่องจำเป็นไหมว่าต้องจบหลักสูตรนั้นด้วย ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน ถ้าเป็นผู้หญิงก็เตรียมผ้าถุงไปบ้างนะ เพราะว่าทุกวันอาทิตย์เขามีโครงการ หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระ
ตอนช่วงนี้คนทองผาภูมิรื่นเริงกันมาก ถึงวันอาทิตย์ก็เอาผ้าสวย ๆ มาโชว์กันทีหนึ่ง"
"สงกรานต์ปีนี้ถ้าหากว่าใครไปวัด ก็ได้สรงน้ำอาตมารูปเดียว ปีนี้ไม่ได้ให้อุ้มพระสรงน้ำ เพราะกลัวว่าจะเอาโควิด-๑๙ ไปติดพระติดเณร โดยเฉพาะเณรเล็ก ๆ ๖๐ รูป ติดเข้าสักคนก็เป็นกันหมดนั่นแหละ เพราะว่านอนอยู่อาคารเดียวกัน
อาตมางดเว้นไม่มีการบรรพชาหมู่สามเณรภาคฤดูร้อนมาหนึ่งปีเพราะว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ระบาด ปีนี้ทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เอาประกาศของรัฐบาลมาแจ้งว่า ถ้าสามารถควบคุมได้ ก็อนุญาตให้ทำกิจกรรมที่มีคนมาก ๆ ได้ ทางวัดจึงจัดให้มีการบวชสามเณร
ตามโครงการที่วางไว้ก็คือ ๖๖ รูป เท่าพระชนมายุของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แต่คราวนี้ด้วยความที่เด็กยังติดสอบกันอยู่ ก็เลยได้มาแค่ ๖๐ รูป ความจริงน่าจะเป็น ๖๑ รูป แต่ว่ามีอยู่รายหนึ่งที่มาไม่ทัน พรรคพวกเพื่อนฝูงกล่าวคำขอบรรพชา จนกระทั่งแต่งองค์ทรงเครื่อง รับศีลเป็นเณรกันหมดแล้วค่อยมาถึง"
"การที่สามเณรอยู่ร่วมกันมาก ๆ ถ้าหากว่าใครเป็นหวัดเสียคนหนึ่ง ก็แทบจะเป็นกันหมด ที่วัดก็เลยต้องขอความร่วมมือทางโรงพยาบาลทองผาภูมิ ให้ส่งแพทย์พยาบาลมาประจำ ๒ คน จนกว่าจะสิ้นโครงการ แล้วก็ยังมีเจ้าหน้าที่ อสม. คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีคุณสายใจ สินค้าประเสริฐ ของชุมชนวังท่าขนุนเป็นหัวหน้า อสม. ส่งเจ้าหน้าที่ อสม.มาช่วยตรวจคัดกรองอยู่ทุกวัน จึงคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สามเณรชุดนี้เกือบทั้งหมดเป็นนักล่ารางวัล เพราะที่วัดกำหนดเอาไว้ว่า ผู้ที่จะสึกจากสามเณรต้องอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้ ถ้าใครว่าได้ ครบวันสึกหาลาเพศก็รับทุนการศึกษาไปคนละสองพันบาท ถ้าใครได้ไม่ครบก็ท่องไปเรื่อย ๆ ได้ครบเมื่อไรค่อยมาลาสึก
อนุญาตให้พ่อแม่ญาติพี่น้องมาเยี่ยมได้สองครั้ง คือวันที่ ๕ เมษายนครั้งหนึ่ง กับวันที่ ๑๐ เมษายนอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากว่าใครไปมากกว่านั้น จะโดนปรับตัดทุนการศึกษา ปล่อยให้พ่อแม่หาเงินค่าขนมให้ลูกเอง..!"
"ถ้าโยมเห็นจากรูปถ่าย อาจจะคิดว่า มีการนัดแนะกันหรือเปล่า ? ไม่ว่าจะยืน จะนั่ง จะคุกเข่า จะกราบ รู้สึกพร้อมเพรียงกันเหลือเกิน นั่นเกิดจากส่วนใหญ่เคยเจอไม้เรียวพระวัดท่าขนุนมาแล้วกันทั้งนั้น ต่อให้ไม่เคยเจอก็ต้องเห็นคนอื่นโดนมาแล้ว เพราะฉะนั้น..เมื่อถึงเวลาบอกให้ทำอะไร ก็สามารถทำพร้อมกันได้...น่าชื่นใจ
สามวันผ่านไปทุกอย่างก็จะเรียบกริบ เข้าสู่ระเบียบเดียวกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า เมื่อกลับบ้านไปแล้ว ทางบ้านไม่สามารถที่จะสืบต่อได้ ตอนอยู่ที่วัดสามารถกวาดวัด ถูศาลา ซักผ้าเอง ล้างจานเอง แต่พอกลับบ้านไปพ่อแม่ก็ไปทำให้อีก ก็เลยไม่รู้ว่าจะบ่นใครดี..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อากาศร้อนมาก หนาวมากผิดปกติ แต่จะว่าผิดปกติก็ไม่ได้ จริง ๆ แล้วเป็นปกติ เป็นปกติเพราะว่าธรรมชาติขาดสมดุลไปมาก จึงต้องเป็นอย่างนี้"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานหลวงพ่อพระครูสิริปัญญาเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดสัมพันธวงศ์ ฉีดวัคซีนโควิด-๑๙ แล้วมรณภาพ อาตมาอยู่ในงานที่วัดบางช้างเหนือ เพื่อนพระคุยกันเรื่องนี้ให้ "หึ่ง" ไปเลย เขาบอกว่าวัคซีน AstraZeneca เหมาะสำหรับคนอายุตั้งแต่ ๕๕ ปีขึ้นไป ถ้าหากว่าเป็นของ Sinovac เหมาะสำหรับคนอายุน้อย ปรากฏว่าเหมาะขนาดไหนก็ต้องมีคนที่สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้ จึงมรณภาพจนได้
ล่าสุดก็ยังมีที่หามส่งโรงพยาบาลไปอีกสามรูป จนมีแต่คนเป็นห่วง เพราะว่าหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม กับหลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี วัดไตรมิตรวิทยาราม ฉีดไปแล้วทั้งคู่ กังวลว่าบุคคลที่อายุมาก ๆ แล้ว ร่างกายจะรับไม่ไหว เพราะว่าเชื้อโรคนี้ไปถึงก็อุดไม่ให้ปอดทำงานเลย หายใจไม่ได้แค่สามนาทีก็ไม่รอดแล้ว..!"
ถาม : วันสึกของเณร ในวันที่ ๑๐ เมษายน ไม่ทราบว่าสึกกี่โมงครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็ฉันเพลแล้ว ก็คือช่วงบ่ายนั่นแหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระคาถาเงินล้านอย่าไปใช้คำว่า สวด ให้ใช้คำว่า ภาวนา ก็คือใช้เป็นคำภาวนาแทนคำภาวนาอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไปใช้คำว่าสวด ก็เลยทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าท่องกันส่งเดชอย่างไรก็ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมสงสัยว่า เปิดจองสมเด็จองค์ปฐมมหาสะท้อนเนื้อทองคำกันตอนไหน ? ก็เปิดในเว็บวัดท่าขนุนนั่นแหละ แต่ลงแค่องค์เดียว แล้วคนจองกันบานเบิกเลย เพราะฉะนั้น..สร้างได้กี่องค์ ก็ไล่ไปตามรายชื่อเลย
เขาจะทำเสร็จประมาณพรุ่งนี้ (วันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔) ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะได้ครบทุกองค์หรือเปล่า ? เพราะว่าต้องหล่อหลายครั้ง หล่อเป็นองค์พระ หล่อเป็นเหรียญด้านหลัง แล้วก็ทำแท่นติดองค์พระเข้าไป เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ใช้งานได้เลย
ถามว่า "ทำไมใช้งานได้เลย ?" ก็เพราะว่าในเรื่องของมหาสะท้อนนั้น เป็นตะกรุดที่ต้องฝึกจนเขียนเสร็จแล้วใช้ได้เลย หลายคนก็สงสัยว่า "ไม่ได้เสกอะไรเลยหรือ ?" ก็เลยบอกว่า "เสกในตัว" คำว่าเสกในตัวนี่ต้องทรงสมาธิระดับไหน ก็ตามแต่ตำราท่านจะบอกเอาไว้
ส่วนใหญ่ก็ให้ทรงสมาธิให้เต็มที่ แต่อาตมาเจอตำราเก่า ๆ จำนวนมาก ที่บอกว่าให้กลั้นหายใจ เสก ๙ คาบ ๗ คาบ ๕ คาบ ประมาณนั้น คำว่าคาบก็คือ ๑ จบ
การกลั้นหายใจนั้นทำให้จิตนิ่งสำหรับคนที่ฟุ้งซ่านทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่บุคคลที่ฝึกสมาธิสมาบัติมาอย่างดี ถ้าแบบหลังไม่ต้องเสียเวลาไปกลั้นใจหรอก เพราะว่าสมาธิทรงตัวอยู่แล้ว ถ้ากฎเกณฑ์กติกามีอยู่แค่นั้นนี่สบายมาก
ทางสายวัดท่าซุงของเราส่วนใหญ่แล้วขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ เพราะฉะนั้น..เวลาเขียนก็ต้องเข้าสมาธิ อาราธนาพระท่านคลุมลงมา สามารถใช้การได้เลย นี่กล่าวถึงเฉพาะในเรื่องของมหาสะท้อนอย่างเดียวนะ"
"อีกอย่างหนึ่งที่ใช้การได้เลย แต่คนไม่ค่อยมั่นใจก็คือเรื่องของยันต์ทำน้ำมนต์ เขียนเสร็จแล้วใช้ได้เลยเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็เสกตามกรรมวิธีก็คือ อิติปิ โสฯ สามห้อง ๗ จบ นะมะพะทะ ๑๕ จบ อันนี้หมายถึงว่าคนอื่นเขียนให้เราแล้วนะ เพราะว่าคนเขียนต้องผ่านการเสกอิติปิ โสฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ
ยันต์ทำน้ำมนต์เป็นยันต์ที่อาตมาใช้เวลาในการฝึกฝนนานที่สุด เพราะว่าต้องทำเพื่อสงเคราะห์คนอื่นโดยตรง ก็คือเรื่องของการรักษาโรค
ขนาดยันต์เกราะเพชรอาตมายังไม่ใช้เวลาฝึกนานขนาดนั้น เพราะว่าเป็นบารมีพระพุทธเจ้าท่านโดยตรง ที่จะสงเคราะห์คนตามที่พระองค์ท่านเมตตาลงมา แต่ว่าเรื่องของยันต์ทำน้ำมนต์นั้นต้องไปฝืนกฎของกรรม จึงต้องซักซ้อมอยู่หลายปี
โดยปกติแล้วเวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้วิชาอะไร ท่านก็มักจะบอกว่า "ให้ไปทำเอา ต้องให้ได้ภายใน ๓ เดือน..!" บางทีอาตมาทำไม่ถึง ๓ วัน ก็ไปบอกท่านว่า "เรียบร้อยแล้วครับ..ได้ตามที่หลวงพ่อต้องการ" แต่ว่ายันต์ทำน้ำมนต์ท่านไม่ได้สั่ง แต่อาตมาซ้อมเอง ที่ซ้อมเองเพราะว่าถ้าไม่ได้ทำเอาไว้ให้คล่องตัว เกรงว่าที่ตัวเองกรรมหนักอยู่แล้วจะโดนซ้ำหนักเข้าไปอีก เพราะว่าไปฝืนกฎของกรรมด้วยการช่วยคนอื่น เลยซักซ้อมอยู่หลายปี จนกระทั่งประเภทที่ว่าหลับตา กำหนดใจ เขียนยันต์ได้คล่องแคล่ว แม้แต่ตอนที่ละเมอก็ต้องเขียนถูก..!"
"วันก่อนแวะไปสงเคราะห์ท่านพระครูปฐมสาธุวัฒน์ (พระครูเทพ) เจ้าอาวาสวัดสี่แยกเจริญพร เพราะว่าให้ท่านติดต่อช่างทำเหรียญสมเด็จองค์ปฐมอีกหนึ่งรุ่น เพื่อที่จะใช้ในงานกฐินวัดท่าขนุน ท่านอาจารย์เทพทำแล้วขอรางวัล ท่านบอกว่า "ช่วยจารชนวนมหาสะท้อนให้ผมหน่อยครับ ที่หลวงพ่อให้มานั้นน้อยไป" ก็เลยต้องไปช่วย
ปรากฏว่าท่านเล่นจนอาตมาสะดุ้ง เพราะว่าท่านเอาทองคำมา ๒๐ บาท กับเงินอีก ๖ กิโลกรัม กะเอาทีเดียวให้คุ้มเลย...! ถามท่านว่า "แล้วทำอย่างไรต่อ ?" ท่านบอกว่า "เดี๋ยวผมไปรีดเป็นแผ่นแล้วปั๊มเป็นเหรียญเอาไว้ พอถึงเวลาก็เอาหลอมไปเป็นชนวน ทีละเหรียญ ทีละเหรียญ" ฟังแล้วเข้าท่า เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นให้ใส่ในเหรียญของผมไปด้วย"
ที่อาตมาสั่งทำคราวนี้เป็นเนื้อชิน คำว่า ชินะ หรือ ชิน ตัวนี้ก็คือเนื้อตะกั่วในภาษาไทย
ตะกั่วผสมปรอท เขาเรียกว่า ชินปรอท
ตะกั่วผสมเงิน ก็คือ ชินเงิน
ถ้าหากว่าเป็นตะกั่วผสมสังกะสี อันนี้ถ้าพลาดเมื่อไร ตกแตกเลย เพราะว่าจะออกไปในแนวของเมฆสิทธิ์ เมฆพัตร"
"บอกท่านว่าถึงเวลาแล้วทำเผื่อให้ด้วย อาตมาทำเนื้อชินกับเนื้ออลูมิเนียม ส่วนเนื้ออื่น ๆ ที่ทำมาก็ยกให้อาจารย์เทพท่านไป สงสารท่าน..ทำงานใหญ่เหลือเกิน สร้างศาลาหลังมหึมา ดันไปค่อย ๆ ตัดสเตนเลส ทำเป็นลายปั้นลม เชิงชาย อาตมาก็ดุไปว่า "ทำไมไปทำแพงขนาดนี้วะ ? ศาลาหลังขนาดนั้น เฉพาะปั้นลมเชิงชายใช้สเตนเลสทำก็หมดไปเป็นล้านแล้ว..!" ท่านส่งป้ายชื่อมาให้ บอกว่า "พระอาจารย์ดูก่อนว่าศาลาของใคร ?" ป้ายชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. อุปถัมภ์..อยากจะฆ่าท่านเลย..!
ถ้าเป็นอาตมาทำเอง ก็ใช้กระเบื้องแผ่นเรียบไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เปลืองด้วย ท่านบอก "ไม่ได้ครับ ครูบาอาจารย์ให้เงินมา ต้องทำให้สมเกียรติยศหน่อย" เออ..ถ้าอย่างนั้นเงินก็ไม่เหลือหรอก ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นกันแล้ว...!
จะว่าไปแล้วท่านยังอายุน้อยอยู่ แต่ว่าสุขภาพไม่ค่อยดี พูดง่าย ๆ ก็คือโรคภัยไข้เจ็บที่คนอ้วนพึงจะมี พระอาจารย์เทพท่านเป็นทุกโรค ท่านบอกว่า "อยากได้หุ่นอย่างอาจารย์" อาตมาบอกว่า "ข้าก็อยากได้หุ่นอย่างเอ็ง" นั่งลงไปแบบนี้เกือบจะเต็มเก้าอี้..ดูเท่ดี ส่วนอาตมานั่งแบบนี้ดูจ๋อง ๆ ตัวเล็กนิดเดียว ก็อย่างว่า...คนเราอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี อาตมาก็อยากอ้วน ท่านเองก็อยากผอม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเขาสงสัยอาตมาว่า จำคนได้อย่างไร เห็นแค่ลูกตาก็จำได้ ? ไม่รู้เหมือนกัน เป็นความสามารถพิเศษ ยิ่งถ้าใครเคยให้ชื่อให้นามสกุลไว้ ก็จำไปยันตายเลย ถามว่าจำมาก ๆ สับสนไหม ? ไม่ได้จำไว้เลยด้วย ไม่รู้ว่าไปเก็บไว้ตรงไหน รู้อยู่อย่างเดียวว่าพอเห็นหน้า จะนึกออกว่าคนนี้ ชื่อนี้ นามสกุลนี้
เพื่อนบางคนไม่ได้เจอกันสามสิบกว่าปี เจอกันก็ยังเรียกชื่อเขาถูก เขาก็งง ๆ เมื่อวานอาตมาไปงานที่วัดบางช้างเหนือ จังหวัดนครปฐม มีพระมาต้อนรับ ท่านก็คาดหน้ากากแบบนี้แหละ อาตมาก็ทักทายท่านไป บอกชื่อบอกเสียงของท่านเสร็จสรรพ ท่านก็ปลื้มใจว่า "พระอาจารย์..เป็นสิบปี ยังจำกันได้...!" ต้องบอกว่าสิบปีนี่ยังน้อยไป..!"
"พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ผู้มีสติตั้งมั่นจะระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมานานแล้วได้ ผู้ที่มีใจตั้งมั่นจะระลึกถึงเรื่องที่ทำ คำที่พูด สิ่งคิดที่ผ่านมานานแล้วได้ สิ่งที่ท่านตรัสนี้ไม่ใช่แค่ชาตินี้ด้วย ท่านรวมไปถึงในอดีตชาติที่ผ่านมา คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคน ใครทำมามากมาน้อย ท่านที่สร้างมามาก..สามารถระลึกชาติได้ไม่จำกัด ท่านที่ทำมาน้อย..ก็ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ร้อยชาติบ้าง ห้าร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง ครึ่งกัปบ้าง หนึ่งกัปบ้าง ไล่ไปเรื่อย ตามกำลังของตน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว..เรื่องของการแค่จำชื่อคนช่วงนี้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
กำลังรออยู่ว่าถ้าแก่กว่านี้จะมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ไหม ? คือจำนาน ๆ แล้วช็อต ข้อมูลตีกันให้มั่วไปหมด นี่คิดแบบทางโลกนะ เผื่อจะมีโอกาสเป็นบ้าง ถึงเวลาเดินมาเจอหน้าโยมก็ "ชื่ออะไรล่ะ ?" โยมก็นั่งน้ำตาเล็ดเลย..! แต่เท่าที่สัมผัสหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์มา ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นกัน โดยเฉพาะท่านที่เป็นนักเทศน์ นักสอน นักปฏิบัติธรรม"
"อาจจะเป็นไปได้ว่าความที่ใจสงบ ก็เลยทำให้จดจำได้ดีกว่า หลวงปู่สมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร) อาตมาเองไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับท่านตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ก็ตกประมาณ ๔๐ กว่าปีที่แล้ว โยมแม่เป็นกรรมการวัด ช่วยกันสร้างพระเจดีย์ พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ ศรีรัตนโกสินทร์ ที่วัดธรรมมงคล กรุงเทพมหานคร ออกแบบโดยคุณช่วง มูลพินิจ ศิลปินแห่งชาติ กลายเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ คือสูงถึง ๙๑ เมตร
เจอท่านครั้งสุดท้ายน่าจะประมาณ ๖ ปีที่แล้ว ที่วัดสระเกศ กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ยังจำผมได้ไหมครับ ?" ท่านบอกว่า "จำไม่ได้แล้ว" เพราะว่าเด็กในตอนนั้นโตขึ้นมาก และไอ้นี่ไม่ได้โตอย่างเดียว แก่ด้วย..! ก็เลยบอกชื่อโยมแม่ไป ท่านร้อง "อ๋อ" นึกออกทันที ตอนนั้นเด็กกำลังโตก็เลยเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แต่ว่าชื่อเสียงไม่ได้เปลี่ยน พอบอกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ท่านก็จำได้ คนอายุเกือบร้อยแล้ว ความจำยังดีขนาดนั้น แสดงว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมช่วยได้มากจริง ๆ"
"ยังดีที่ท่านอายุยืนเป็นร้อยปี จึงได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ สมเด็จพระญาณวชิโรดม รับสถาปนาได้ไม่นานก็มรณภาพ
ระดับสมเด็จพระราชาคณะหรือว่ารองสมเด็จพระราชาคณะ จะใช้คำว่า "สถาปนา"
ถ้าหากว่าเป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ จนถึงเจ้าคุณชั้นธรรม ใช้คำว่า "พระราชทานตั้ง"
ถ้าของเก่ามียศต่ำอยู่ รับพระราชทานยศชั้นสูงขึ้น ให้คำว่า "รับพระราชทานเลื่อน"
ก็จะมี "รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์" "รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์" แล้วก็มี "ทรงสถาปนาสมณศักดิ์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่วัดมีงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ อาตมาต้องควบคุมงานทางไลน์ เพราะว่าเปิดโครงการ "จิตอาสาทำดีด้วยหัวใจ" ถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็ทันสมัยหมด ตัวพระอาจารย์อยู่นนทบุรี แต่สามารถคุมงานที่วัดซึ่งอยู่ทองผาภูมิได้
๔๐ คนที่ทำงานจิตอาสาวันนี้จะเป็นเด็กวัด กินข้าวที่วัด แต่คราวนี้วัดท่าขนุนไม่เหมือนกับวัดอื่น ตรงที่พระวัดท่าขนุนฉันเพลตอน ๑๑.๓๐ น. แล้วจะไปเสร็จประมาณ ๑๑.๕๐ น. กว่าโยมจะได้กินข้าว บางทีก็รอกันนานเลย เหตุที่ต้องปรับเวลาให้ฉันเพลตอน ๑๑.๓๐ น. เพราะว่าบางช่วงอย่างฤดูหนาว ออกบิณฑบาตสาย เนื่องจากว่าฟ้ายังไม่สว่าง กว่าจะบิณฑบาตกลับมาก็ ๐๘.๐๐ น. ฉันเสร็จ ๐๘.๓๐ น. ยังไม่ทันจะย่อยเลย ๑๑.๐๐ น. ก็ฉันอีกแล้ว..! ก็เลยเลื่อนไปเป็น ๑๑.๓๐ น."
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงสงกรานต์ทางวัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นเวลา ๖ วัน แต่คราวนี้ระยะเวลาปฏิบัติธรรม ๖ วัน บางท่านในช่วงสงกรานต์ก็อยากจะกลับบ้านด้วย ก็เลยมีที่สมัครจริง ๆ ไม่เท่าไร แต่ที่จะไปปฏิบัติธรรมมีเยอะมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมกัน ๓ วัน แล้ววันที่เหลือก็จะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเอง เพราะฉะนั้น..ใครที่มั่นใจว่าอยู่จนจบโครงการก็ลงชื่อสมัคร ใครที่ไม่มั่นใจก็ไม่ต้องลง
สงกรานต์ปีนี้ไม่มีการอุ้มพระสรงน้ำ บรรดาเจ้าหน้าที่ ททท. ทำหน้าเซ็ง เพราะว่าวัดท่าขนุนนั้นมีงาน Unseen Thailand ของ ททท. อยู่อย่างหนึ่งก็คืออุ้มพระสรงน้ำช่วงสงกรานต์ ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวเปิดให้สรงเฉพาะเจ้าอาวาสก็แล้วกัน อย่างไรถ้าติดโควิด-๑๙ ก็ให้เจ้าอาวาสติดไปคนเดียว
ปกติปีอื่น ๆ มีอุ้มพระสรงน้ำแล้ว ก็เลยไม่ให้สรงน้ำเจ้าอาวาส ถึงเวลาก็อุ้มเจ้าอาวาสไปเข้าห้องสรง แล้วช่วยกันเทน้ำรดจนเป็นไข้ทุกปี เพราะว่าห้ามเรื่องการใช้น้ำแข็งรดไม่ได้ หลังสงกรานต์ทีไรอาตมาก็ไข้จับไป ๒ - ๓ วัน เพราะว่าเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน พวกที่เขาเชื่ออาตมาก็เอาน้ำธรรมดามารด พวกที่ไม่เชื่อก็เอาน้ำแช่น้ำแข็งมา แล้วห้องสรงต่อเป็นท่อยาว ๆ ออกไป เขาก็เทลงมาเป็นถังเลย กว่างานจะเลิกก็ไข้จับพอดี
ปีนี้สงกรานต์ของเรา ถ้าใครไปเริ่มบวชตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ก็จะมีวันที่ ๑๑ เมษายน ใส่บาตรทุกวันอาทิตย์ วันที่ ๑๒ เมษายน เปิดร้านค้าชุมชนของชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ซึ่งวันอาทิตย์ที่ ๔ เมษายนนี้ ทางด้านผู้ตรวจราชการจากกระทรวงวัฒนธรรม จะขึ้นไปตรวจงานด้านชุมชนคุณธรรมที่ทางกระทรวงสนับสนุนอยู่ แล้วทางกระทรวงก็ไม่หวังที่ไหนหรอก เอาวัดท่าขนุนเป็นหลัก เพราะว่าชาวบ้านรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นแน่นหนามาก"
"ที่ทางด้านผู้ตรวจราชการบ่น ๆ อยู่ก็คือ "ทำไมประธานชุมชน (คือตัวอาตมา) ไม่อยู่ ?" ต้องบอกว่า "คุณไปผิดธรรมเนียม ตรวจราชการก็ต้องไปวันปกติ แล้วนี่ไปวันอาทิตย์ ดังนั้น..ก็อย่าหวังเลยว่าจะเจอเจ้าอาวาส เพราะว่าเจ้าอาวาสสอนกรรมฐานอยู่ที่บ้านเติมบุญ" ต้องให้ชุมชนเขาจัดการกันเอง เขาจะได้รู้ว่าต่อให้ไม่มีเจ้าอาวาส งานชุมชนก็ไปได้
เนื่องจากว่าอาตมาเป็นแค่ผู้อำนวยการ ก็คือสั่งการผ่านทางไลน์ เหมือนกับงานวันนี้ ทุกอย่างไปได้ด้วยดี มีเทคโนโลยีแล้วต้องใช้ให้เป็น ถ้าสั่งการผ่านทางไลน์ยังไม่พอ ก็สั่งการผ่านวีดีโอคอล แล้วไม่ต้องห่วงนะ...ความดุของเจ้าอาวาสเป็นที่เลื่องลือ ถ้าสั่งแล้วไม่ทำ...ตวาดแว้ดเดียวเรื่องเงียบเรียบร้อย..! ของบางอย่างกับคนหมู่มากต้องเอาระเบียบเป็นใหญ่ จะมาผลุบซ้ายโผล่ขวาไม่ได้ ต้องช่วยกันทุบให้เรียบ คราวนี้พอทุบก็ต้องหนักหน่อย
ต่อจากนี้ก็จะไปทำความสะอาดที่ร้านค้าชุมชน เพื่อเตรียมจัดวางสินค้า เพื่อให้ผู้ตรวจราชการได้ตรวจ ต้องเปิดก่อนในวันที่ ๔ แล้วเปิดขายอย่างเป็นทางการวันที่ ๑๒
ส่วนวันที่ ๑๐ และ ๑๑ ใครจะซื้อสินค้าก็ขายให้ แต่อาตมาจะจัดงานเปิดเป็นทางการมีการเจริญพระพุทธมนต์ มีการเลี้ยงพระ ในวันที่ ๑๒ วันที่ ๑๓ ก็มีเทศน์วันสงกรานต์ มีทำบุญใส่บาตรตามปกติ วันที่ ๑๔ ก็มีการบังสุกุลอัฐิสำหรับผู้ตาย และก่อเจดีย์ทราย กำลังจะหารางวัลว่าจะเอารางวัลอะไรใช้ในการก่อพระทรายดี
วันที่ ๑๕ ก็ทำบุญและสรงน้ำ กว่าจะสรงน้ำเสร็จเจ้าอาวาสก็คงจะแขนโตแน่ เพราะว่าชาวบ้านมากันทั้งชุมชน...!"
ถาม : โยมถวายทองคำร่วมสร้างพระด้วยครับพระอาจารย์
ตอบ : อนุโมทนา
ถาม : พระอาจารย์ยังขาดทองคำอีกเท่าไรครับ ?
ตอบ : ตอนนี้ยังขาดอีกประมาณ ๔ กิโลกรัมเศษ
ถาม : โอ้โห ?
ตอบ : แค่ ๔ กิโลกรัมเศษ ไม่ต้องตกใจหรอก พักเดียวก็ได้แล้ว กลัวว่าจะได้เกิน ถ้าได้เกินเดี๋ยวต้องหาเรื่องทำอีก
ถาม : พระอาจารย์ครับ องค์ปฐมมหาสะท้อนเนื้อทองคำหมดแล้วหรือยังครับ ?
ตอบ : ตอนนี้ที่เขาบอกว่าเสร็จพร้อมส่งให้แน่ ๆ หมดแล้ว กำลังรอว่า ส่วนที่เวลาเราหลอมแล้วมีส่วนที่เป็นก้านชนวนกับโคน ดูว่าจะหล่อเพิ่มได้อีกหรือเปล่า ? ถ้าหล่อเพิ่มได้ก็น่าจะมีอีกสักองค์สององค์
ถาม : แล้วคราวที่แล้วพระอาจารย์ให้จองที่ไหนครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ในเว็บวัดท่าขนุนนั่นแหละ เพียงแต่ว่าพวกเราไม่ได้สังเกตกัน เอาลงไปเหมือนอย่างกับให้บูชาในกระทู้ร่วมบุญตามปกติ
ถาม : อ๋อ...ผมก็นึกว่าผมมองไม่ทัน แล้วรอบหน้าพระอาจารย์จะลงเว็บอีกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเหลือก็จะลงให้ ก็ลงอยู่ในนั้นแหละ ประเภทที่ว่าร่วมบุญหล่อพระ หรือว่าอะไรประมาณนั้น ไปคอยเปิดดูเอา
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมพยายามที่จะถามปัญหาในการปฏิบัติธรรม แต่คราวนี้สิ่งที่ถาม บางทีตัวเองก็จับประเด็นไม่ถูก จากที่เคยพูดเอาไว้ว่า ปัญหาในการปฏิบัติธรรมเกือบทั้งหมด คำตอบอยู่ตรงสมาธิ คือถ้าพากเพียรทำไป จะช้าจะเร็วก็จะได้คำตอบเอง แต่ว่าหลายท่านก็สงสัยไม่เลิก ในเมื่อสงสัยไม่เลิก แต่กลับจับประเด็นไม่ได้ว่าตนเองติดขัดตรงไหน แล้วก็พยายามตั้งคำถาม จึงเกิดปัญหา
บางท่านก็อยู่ในลักษณะอวดรู้ ถามคำถามยาวเหยียดแล้วไปขมวดท้ายว่าใช่ไหมครับ ? ก็คืออุตส่าห์ถามเสียมากมาย แต่คำตอบเหลือแค่ใช่หรือไม่ใช่แค่นั้น ก็ต้องบอกว่าเป็นที่น่าเสียดายมาก แต่ก็อย่างว่า...คนเราย่อมอดไม่ได้ที่อยากจะพูดอยากจะอวดในสิ่งที่ตนเองทำได้ โดยเฉพาะไปอวดต่อหน้าครูบาอาจารย์ ซึ่งสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงก็มีตัวอย่างพวกช่างอวด โดนด่าผ่านเสียงตามสายมาแล้ว แล้วก็วิ่งไปหาว่าเทปม้วนนั้นว่ามีจำหน่ายที่ไหน ? พออธิบายเนื้อหาไปเจ้าหน้าที่เปิดเสียงตามสายก็งง ๆ ว่าตอนช่วงเช้านั้นเป็นการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่ได้มีคำด่าอะไรญาติโยมเลย..!"
"คราวนี้ในสิ่งที่พวกเราทำมา ถ้าตัวเองยังจับจุดไม่ได้ว่าขาดตกบกพร่องตรงไหน ขอให้ใช้ความอดทนและความพากเพียรทำไป อีกเล็กน้อยก็จะได้ผลแล้ว แต่บางท่านก็ต้องบอกว่านอกเหตุเหนือผล เพราะว่าบางคำถาม อาตมาก็รู้คำตอบตอนนั้นเหมือนกัน อย่างเช่นว่ามีบางท่านก่อนหน้านั้นปฏิบัติธรรมดีมาก แต่ระยะหลังนั่งลงไปเมื่อไรก็หลับเมื่อนั้น
พอได้คำตอบมา อาตมาเองก็ยังอดขำไม่ได้ ว่าเป็นการตั้งระบบของตัวเอง เนื่องจากว่าบางวันร่างกายเพลียมาก ไม่อยากที่จะปฏิบัติธรรม ก็ตัดใจว่าจะนอน กำลังใจก็ตัดหลับไปเลย แต่คราวนี้ไม่ได้เปลี่ยนกำลังใจ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพอถึงเวลานั่งกรรมฐานใหม่เมื่อไร กำลังใจก็คงยึดเอาคำสั่งเดิม ก็คือจะหลับ จึงตัดหลับไปเลย"
"อย่างวันนี้ที่มีคำถาม ก็คือปฏิบัติธรรมแล้วง่วงอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกินกาแฟแล้วก็ยังง่วงอยู่ นั่นก็ลักษณะเดียวกัน เนื่องจากว่าเป็นคนที่ถนัดในการปฏิบัติธรรมในท่านอน จนเกิดความเคยชิน สภาพจิตก็จะทรงอารมณ์อยู่ตรงปฐมฌานหยาบ ซึ่งโดยปกติแล้วต้องตัดหลับ แต่เนื่องจากว่าต้องไปทำการงาน ก็เลยสะลึมสะลือตลอดเวลาเพราะว่าอยู่ในช่วงของปฐมฌานหยาบ เนื่องจากตัวเองเข้าสมาธิในระดับนั้นจนกระทั่งมีความคล่องตัวแล้ว นึกถึงเมื่อไรสมาธิก็จะอยู่ในช่วงปฐมฌานหยาบก็เลยง่วงไม่เลิก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็แก้ง่ายมาก
อย่างรายแรกก็แค่ตั้งกำลังใจใหม่ว่าเราจะเจริญกรรมฐาน เราจะไม่นอนแล้ว พอร่างกายได้รับคำสั่งใหม่ก็จะปฏิบัติตาม ส่วนรายหลังนี้ก็ต้องใช้ความเพียรพยายามสักเล็กน้อย ให้เข้าสู่ปฐมฌานละเอียด สภาพจิตก็จะสว่างโพลงแล้วก็ไม่หลับอีก ซึ่งบางปัญหาในลักษณะอย่างนี้ก็ต้องบอกว่า อาตมาเองก็ได้ความรู้มาพร้อม ๆ กับที่ตอบญาติโยมไป"
"แต่ว่าหลายปัญหาคนถามก็หลงประเด็นออกทะเล ประมาณว่าเมื่อตอนเด็กอายุ ๑๔ ปี เคยทรงฌานได้ กี่ครั้งกี่ครั้งก็ตอนเด็กอายุ ๑๔ เคยทรงฌานได้ แต่ตอนนี้พังบรรลัยหมดแล้ว จะอ้างไปทำไมให้เสียเวลาวะ ? ก็ขอกล่าวเอาไว้ในช่วงก่อนเจริญกรรมฐานนี้พอเป็นอุทาหรณ์ว่า บางคำถามก็น่าสนใจ แต่ขณะเดียวกันคำถามในลักษณะอวดการปฏิบัติของตนเองต่อครูบาอาจารย์นั้น เสียเวลามาอวด เหมือนกับคนซื้อจักรยานได้ แล้วก็ไปขี่อวดคนซึ่งขับรถสปอร์ต ก็คงจะได้รับความสนใจมากอยู่หรอก..! ประมาณว่าคนขับรถสปอร์ตราคาคันละ ๔๐ ล้านบาท ก็คงอยากจะขี่จักรยานเหมือนกัน"
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้เป็นช่วงคัดเลือกทหารเกณฑ์ ซึ่งมักจะมีทหารสวย ๆ เยอะมาก เมื่อวานมีคนส่งรูปน้องลูกเม่น (นายณริศรา โอนวัง) มาให้ดู นายคนนี้สวยจริง ถามว่าทำไมสวยจริง ? เพราะว่าเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เสริม ไม่ได้แต่ง ไม่ได้สวยด้วยมีดหมอ
สมัยนี้ส่วนใหญ่ของการคัดเลือกทหาร มักจะมาสมัครกันเต็ม เพราะว่าตอนนี้เงินเดือนทหารไม่ขี้เหร่แล้ว พลทหารเริ่มต้นที่ ๙,๐๐๐ บาท ทหารใหม่ปีแรกเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท รุ่นของอาตมานี่ขนาดเป็นนักเรียนนายสิบยังแค่ ๗๐๐ บาท จบมาแล้วเงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท แล้วก็มีช่วยเหลือค่าครองชีพเพิ่มอีก ๒๗๐ บาท รวมได้ประมาณ ๒,๒๕๐ บาท นั่นขนาดติดยศนายสิบรับราชการไปแล้ว
แต่ว่าเงินเดือนสมัยนั้นกับเงินเดือนสมัยนี้ต่างกันมาก เพราะว่าสมัยโน้นเงินเดือน ๒ พันกว่าบาทซื้อทองได้หนึ่งบาท จำได้ว่าเงินเดือนออกครั้งแรก อาตมาซื้อทองให้แม่ ๑ บาท ยังเหลือเงินอีก ๒๐๐ กว่าบาท"
"สมัยนี้ถ้าจะให้เงินเดือนพอที่จะซื้อทองได้หนึ่งบาท ก็ต้องเกือบ ๓๐,๐๐๐ บาท แต่สมัยนั้นแค่ ๒,๐๐๐ กว่าบาท สมัยโน้นพอเป็นจ่าสิบเอกเต็มขั้นก็ได้เงินเดือน ๔,๘๐๐ บาท ก็เลยไม่มีใครอยากจะเป็นนายร้อยกัน เพราะว่าจ่าสิบเอกขั้น ๑๘ เป็นนายสิบอาวุโส ทำหน้าที่นายทหาร ได้เงินเดือน ๔,๘๐๐ บาท แต่พอขึ้นเป็นร้อยตรีต้องมารับเงินเดือนร้อยตรีขั้น ๓ ซึ่งอยู่ที่ ๒,๒๐๐ บาท ก็เลยไม่มีใครอยากจะเป็นนายร้อยกัน
ยกเว้นแค่ ๖ เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ ประมาณช่วงเดือนเมษายน ก็จะทำเรื่องขอยศร้อยตรีเพื่อที่จะได้เป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล คือเงินเดือนไม่อยากได้แล้ว คราวนี้อยากได้กระบี่พระราชทาน เพราะว่านายร้อยจะต้องมีกระบี่พระราชทาน เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่วงศ์ตระกูลว่าเป็นนายทหารสัญญาบัตรเหมือนกัน ตอนนั้นจะเกษียณแล้ว จึงยอมรับเงินเดือนสองพันกว่าบาท
คนที่เป็นนายสิบอาวุโสเงินเดือนเต็มขั้น ๔,๘๐๐ บาท ไม่มีใครอยากที่จะลงมาเป็นนายร้อย เพราะว่าส่วนใหญ่มีครอบครัว มีลูกมีเมีย ถ้าเงินเดือนหายไปตั้งครึ่งตั้งค่อน จะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ? ก็เลยตัดสินใจเป็นแค่จ่าแก่ ๆ ไปก่อนดีกว่า"
"อย่างเพื่อนของอาตมาก็เหมือนกัน พรรคพวกไปพันโท พันเอกกัน จ่าสุรสิทธิ์ พอใจอยู่แค่จ่า บอกว่า "ผมส่งลูกสาวจบปริญญาโทแล้วครับหลวงพี่ ตอนนี้เกษียณแล้ว สบายใจแล้ว ลูกเขาหากินเองได้แล้ว" งวดก่อนมาชวนไปพบปะเพื่อนร่วมรุ่น อาตมาถามว่า "กี่โมง ?" คำตอบคือ "ห้าโมงเย็น" ก็บอกไปว่า "กูไม่ไปหรอก ชวนไปดูมึงกินกันนี่หว่า..!"
เพื่อนในรุ่นเดียวกันก็สูงสุดอยู่ที่พันเอก เพราะว่ามาจากนายสิบ ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยมีตำแหน่งว่างให้ ตำแหน่งว่างมาเมื่อไร ก็จะให้นายร้อย จปร. ก่อน หลังจากนั้นก็ให้นายร้อยสำรอง หลังจากนั้นถึงมาให้ นป. ซึ่งคือนายทหารที่มาจากชั้นประทวน (นายสิบ) ก็เลยทำให้ขึ้นไปตำแหน่งสูง ๆ กันยาก
ฉะนั้น..ถ้าหากว่าขึ้นพันโทพันเอกแล้ว ส่วนใหญ่ก็ขอเกษียณอายุก่อนกำหนด เพื่อนคนหนึ่งก็คือพันโทประสิทธิ์ พุฒตาล ขอเกษียณอายุก่อนกำหนดตอนอายุ ๕๘ ปี ตอนนี้ก็สบายใจ มีบำนาญ มีสวัสดิการรักษาพยาบาล ครอบครัวก็สบาย เพราะว่าทางด้านภรรยาก็รับราชการ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่ข่าวหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ การที่เรือยักษ์เอเวอร์ กิฟเว่น ของบริษัทเอเวอร์กรีน ไปโดนพายุแล้วขวางคลองสุเอซอยู่ ซึ่งเท่ากับว่าปิดคลองไปโดยปริยาย
เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยได้เรียนภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ บางทีไม่รู้ว่าคลองสุเอซคืออะไร ? คลองสุเอซเป็นคลองที่มนุษย์ขุดขึ้นมาเพื่อเป็นทางลัด ทำให้เรือสินค้าไม่ต้องอ้อมแหลมกู๊ดโฮปทั้งแหลม ที่จะทำให้เสียเวลาในการเดินทางอีกครึ่งค่อนเดือน ยิ่งถ้าหากว่าเป็นเรือสมัยโบราณก็จะเสียเวลาไปอีกหลายเดือน
ฟังแล้วก็ "น้ำตาจิไหล" เพราะว่านอกจากจะไม่รู้ว่าคลองสุเอซอยู่ที่ไหน ? ก็ยังไม่รู้อีกว่าแหลมกู๊ดโฮปคืออะไร..!??"
"เรือลำนี้ใหญ่มาก ความกว้าง ๔๙ เมตร ความยาว ๔๐๐ เมตร น้ำหนักบรรทุกเกือบ ๒๒๐,๐๐๐ ตัน เป็นเรื่องแปลก ตรงที่ว่าบริษัทญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ บริษัทไต้หวันเช่าดำเนินการ จดทะเบียนเป็นเรือสัญชาติปานามา ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่เยอรมัน ลูกเรือเป็นอินเดีย ฟังแล้วกูจะบ้า..! ถ้าไม่ใช่ความจำขนาดพระอาจารย์เล็ก จะจำได้ไหมว่ายุ่งขนาดไหน ?
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าทางด้านปานามานี่เขาเก็บภาษีน้อย เพราะฉะนั้น..เรือสินค้าส่วนใหญ่จะไปจดทะเบียนเป็นเรือสัญชาติปานามากัน จะชักธงปานามาขึ้น แต่ให้รู้ว่าเจ้าของเรือจริง ๆ เป็นญี่ปุ่น บริษัทที่เช่าเรือเพื่อเอาไปใช้งานก็คือบริษัทของไต้หวัน ก็คือเช่าเรือญี่ปุ่นเอาไปขนสินค้าหากำไรให้ตัวเอง
ปรากฏว่าตอนนั้นเป็นช่วงจังหวะที่พายุทรายพัดเข้ามาพอดี แล้วเรือก็บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เต็มเรือ ทำให้ต้านลมมาก ถูกพายุทรายพัดเอียง ขวางคลองเพราะว่าหัวท้ายไปเกยกับสันดอนทราย คราวนี้การที่คลองสุเอซอยู่ ๆ โดนปิดจนเรือสินค้าอื่น ๆ ผ่านไม่ได้ เขาบอกว่าค่าเสียหายในแต่ละวันเป็นหมื่นล้านดอลลาร์..!
แล้วก็เกิดนักเลงดีสองประเทศ ก็คือจีนกับรัสเซีย แนะนำว่าให้ไปใช้เส้นทางทะเลเหนือดีกว่า ทะเลเหนือนี่ส่วนใหญ่แล้วเป็นน้ำแข็ง แต่ว่าช่วงปีที่ผ่านมาด้วยภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งละลาย ทางด้านเรือสินค้าของจีนกับรัสเซียวิ่งผ่านทะเลเหนือ เร็วกว่าผ่านคลองสุเอซมาก ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ก็เลยมีการโปรโมทเส้นทางทะเลเหนือกันขึ้นมา"
"พวกเราก็ไม่รู้อีกว่าทะเลเหนือ ทะเลบอลติกคืออะไร ? อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วว่ะ..! รุ่นอาตมานี่เด็กต้องหลับตาวาดแผนที่โลกได้ รุ่นนี้ไม่ได้ทำกัน..!
ที่พูดนี่เพราะว่าบ้านเราน่าจะขุดคอคอดกระมานานแล้ว ถ้าขุดคอคอดกระก็ไม่ต้องอ้อมแหลมมะละกา แบบเดียวกับที่ขุดคลองสุเอซก็ไม่ต้องอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ประหยัดค่าใช้จ่ายไปมาก โดยเฉพาะการขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากตะวันออกกลางเข้าทะเลจีนใต้ ไม่ว่าจะไปจีน ไปญี่ปุ่น ไปเกาหลี ประหยัดระยะเวลาไปเป็นอาทิตย์
แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บค่าผ่านทางอย่างเดียวพอ แบบเดียวกับที่อียิปต์เก็บค่าผ่านทางคลองสุเอซ ปีหนึ่งเก็บได้หกแสนกว่าล้านดอลลาร์..! ของไทยเราไม่ต้องถึงระดับดอลลาร์หรอก ถ้าเป็นหกแสนล้านเงินบาทก็พอแล้ว ช่วยพัฒนาประเทศได้เยอะมาก"
"ประเทศจีนเต็มใจจะขุดให้ฟรี ๆ เพียงแต่ขอสัมปทานกี่ปี ๆ เพื่อที่จะเก็บค่าต๋ง อันนั้นก็แล้วแต่เขา แต่ว่าไทยเรามี ๒ สาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรกก็คือ กลัวว่าเป็นปัญหาแบ่งแยกดินแดน เพราะว่าพอขุดคอคอดกระแล้วพื้นที่ช่วงล่าง ตั้งแต่ระนองลงไปก็เท่ากับว่าขาดลอย แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้ขาดหรอก ถ้าเป็นอาตมาก็ขุดอุโมงค์ใต้ดินเลย ประเภททำทางรถลอดใต้ทะเลไปสัก ๓ - ๔ เส้น แต่ละเส้นมี ๑๒ เลน ๑๘ เลนก็ไม่มีใครว่า ก็เท่ากับเชื่อมแผ่นดินเอาไว้
ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ มีคนอยากได้ผลประโยชน์มากกว่าที่เขาเสนอให้ แล้วส่วนใหญ่ผู้มีอำนาจในแผ่นดินของเรา ถ้าไม่คอรัปชั่นแล้วจะครั่นเนื้อครั่นตัว ไข้จะกิน...! ก็เลยตกลงกันไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย นอกจากให้สัมปทานเขา ซึ่งตกลงต่อรองกันได้ อย่างเช่นว่าเขาต้องการสัก ๓๐ ปี เราก็ต่อรองลงมาให้เหลือสัก ๒๐ ปี ให้เก็บสัมปทานไป ๒๐ ปี แล้วต่อมาถ้าหากว่าดำเนินการเก่ง ถึงเวลาเราอาจจะให้เขาเก็บสัมปทานส่งเรา แล้วเราค่อยตัดเปอร์เซ็นต์ให้เขา หรือเราจะเข้าไปเก็บเองก็ไม่มีใครว่า
แต่บ้านเราอะไรที่สร้างความเจริญให้ เขาไม่ค่อยจะทำกัน เพราะว่าทำแล้วไม่มีเงินเข้ากระเป๋า ส่วนอะไรที่ทำแล้วมีเงินทอน เขาใช้คำว่าเงินทอน ซึ่งไม่น่าใช่ ต้องใช้คำว่ามีเงินเหลือ มีเงินเหลือเข้ากระเป๋ามาก ๆ เขาถึงจะทำกัน"
"เมื่อไปนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ บุคคลที่มีกำลังใจทุ่มเทเพื่อประชาชนจริง ๆ แบบพระองค์ท่านมีน้อย ไม่ใช่ไม่มีนะ มีน้อย..ยังน้อยเกินไป ที่พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสว่า ให้สนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในการปกครองมากกว่า ก็จะช่วยให้ประเทศชาติเจริญได้ คราวนี้คนดีที่สนับสนุนขึ้นมา ก็เป็นดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา และไม่ใช่ดีของพระพุทธเจ้า ถ้าคนดีของพระพุทธเจ้านี่จะดีที่สุด
ก็เลยกลายเป็นปัญหาคาราคาซังกันอยู่ แม้กระทั่งการซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-๑๙ ก็ต้องมีการผูกขาด มีการเจรจาเก็บค่าต๋ง ซื้อวัคซีนของคุณกี่แสนโด๊ส ต้องให้ผมเท่าไร ? ถ้าบ้านเราปล่อยให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้ ป่านนี้วัคซีนท่วมประเทศไปแล้ว และก็อาจจะฉีดกันจนตายไปมากมายหลายศพแล้ว ไม่ใช่เอามาลองกับพระ ให้พระตายก่อน คุยมากแล้วเครียด.. เอาแค่นี้แหละ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาส่งคลิปแฉกลโกงขโมยเงินในบัญชีจากสลิปธนาคารมาให้ดู พระอาจารย์เล็กสั่งปิดบัญชีทุกบัญชีที่ใช้บัตรเอทีเอ็ม ยกเลิกการใช้บัตรเอทีเอ็ม บอกทางธนาคารว่าจะไปเบิกเงินด้วยตัวเองอย่างเดียว
เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่า "ไม่สะดวกนะครับ" "ไม่สะดวกนะคะ เพราะว่าหลวงพ่อจะใช้ไอแบงกิ้งไม่ได้" อาตมาบอกว่า "โยมทำมา ให้อาตมาใช้ไอแบงกิ้งให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะย้ายไปฝากธนาคารอื่น" ก็เห็นว่าทำให้ได้..! ตอนแรกเขาบอกว่าไม่มีบัตรเอทีเอ็มแล้วจะใช้ไอแบงกิ้งไม่ได้ แต่พอจะย้ายธนาคารก็ทำได้เลย แสดงว่าที่เขาว่ามานั้นไม่จริง
อาตมาก็แค่เข้าไปเช็คดูแค่นั้นเองว่า เงินเข้าเท่าไร เงินออกเท่าไร เวลาโยมโอนเงินเข้าบัญชีแล้วแจ้งยอดมา จำนวนเงินตรงหรือไม่ตรงกันอย่างไร ก็เท่านั้น ไม่ได้เบิก ไม่ได้โอน ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ถ้าอยู่ ๆ เงินหายแสดงว่าธนาคารมีปัญหา ไม่ใช่อาตมา เพราะว่าทุกครั้งที่เบิกเงินจะไปเบิกด้วยตัวเอง"
"ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? เพราะว่าอาตมาบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า บ้านเรายังไม่มีความพร้อมในเรื่องของการใช้ไอแบงกิ้ง ยังสามารถที่จะขโมยเงินกันได้ง่าย ๆ เพราะว่าระบบป้องกันยังไม่ดีพอ
ล่าสุดที่ผ่านมาที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสฝากเงินไว้ ลูกศิษย์เบิกไปเป็นล้าน ๆ เหลือให้หลวงพ่อ ๗๐ บาท..! ถามว่า "ทำไมทำได้ ?" ก็เพราะว่าตอนที่เปิดบัญชี ลูกศิษย์เอาบัตรประชาชนของหลวงพ่อไป ไปทำบัตรเอทีเอ็มและไอแบงกิ้ง แต่ไม่ได้บอกหลวงพ่อ บอกแค่ว่าใช้บัตรประชาชนเพื่อเปิดบัญชี พอได้บัตรมา ได้รหัสมา ลูกศิษย์ก็จัดการเองหมด หลวงพ่อมารู้ตอนจะจ่ายค่าแรงคนงาน เหลือเงินในบัญชีตั้ง ๗๐ บาท..!
เรื่องแบบนี้ต้องบอกว่า เผชิญสถานการณ์แล้วสามารถระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาอย่างแท้จริง ถ้าเจอสถานการณ์แล้วไม่สามารถระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ ก็ยังไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาอย่างแท้จริง เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่อาตมาเพิ่งจะเซ็นสัญญาจ้างบริษัทรับเหมา ทำทางเดินรอบทางรถไฟสายมรณะ พูดง่าย ๆ ว่าทางเดินชมนั่นแหละ เป็นเงิน ๕ ล้านบาท ตกตารางเมตรละ ๑๓,๐๐๐ บาท"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้บ้านเราเข้าฤดูร้อน ซึ่งโดยปกติแล้วเขาบอกว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ไม่ชอบอากาศร้อน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ดูท่าจะไม่จริง เพราะว่าประเทศในตะวันออกกลางที่ร้อนกว่าเรามาก ก็ยังมีเชื้อไวรัสแพร่ระบาดกันเป็นวงกว้าง
ในปัจจุบันมีวัคซีนหลายยี่ห้อที่ฉีดเพื่อป้องกันไวรัส แต่ปรากฏว่ายิ่งฉีดมากก็ยิ่งตายมาก เพราะว่าวัคซีนก็คือการรับเอาเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค ถ้าภูมิคุ้มกันแข็งแรงกว่า เชื้อโรคก็ต้องถอยไป
แต่เนื่องจากว่าวัคซีนได้รับการคิดค้นมาแบบเร่งด่วน ไม่ได้ผ่านขั้นตอนที่ควรจะเป็น ก็เลยทำให้มีข้อผิดพลาด ฉีดไปแล้วก็มีผู้เสียชีวิต และอาจจะเป็นสาเหตุให้โรคแพร่ระบาดหนักขึ้น เพราะไปเข้าใจผิดคิดว่าฉีดไปแล้วจะไม่ติดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙"
"ในเรื่องของวัคซีน ถ้าจะให้มีผลก็ต้องฉีดให้ได้อย่างน้อย ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากร ซึ่งถ้าหากว่าเป็นวัคซีนปัจจุบัน ก็คงจะตายกันอีกเยอะ โดยเฉพาะบ้านเราจะเปิดประเทศให้คนเข้ามาเที่ยวแล้ว ในขณะที่เชื้อโรคกลายพันธุ์ มีทั้งสายพันธุ์แอฟริกัน สายพันธุ์อเมริกา สายพันธุ์ญี่ปุ่น และปัจจุบันนี้คือสายพันธุ์ฟิลิปปินส์
ส่วนที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือความที่ยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ไปเรียกไวรัสอู่ฮั่นบ้าง ไวรัสจีนบ้าง ก็เลยทำให้กระแสรังเกียจคนเอเชียพุ่งขึ้นแรงมาก โดยเฉพาะในอเมริกา"
"ญาติโยมหลายท่านอาจจะรู้ว่า ช่วงที่อาตมาไปดูงานที่ยุโรป เคยอัดฝรั่งกองกับพื้นมาแล้ว ตอนแรกคิดว่าเขาล้อเล่น เหมือนกับหลายแห่งที่เห็นพระไทยเป็นพระวัดเส้าหลิน แต่อาตมาดูท่าแล้วว่าไม่ใช่ เพราะคนนี้ทำท่าเอาจริงแน่ อาตมามีเวลาตัดสินใจแค่ ๒ - ๓ วินาทีเท่านั้น โชคดีที่ตัดสินใจถูก ก็คือแทนที่จะลงมือยับยั้งเฉย ๆ ก็เอาจริงเลย แล้วมาเห็นชัดเจนตอนที่ว่า พอเขาลุกขึ้นมาได้แล้ว เขาวิ่งหนีเลย ถ้าหากเป็นคนที่ตั้งใจจะล้อเล่นจะไม่ทำอาการอย่างนั้น
ซึ่งความจริงในเรื่องกระแสรังเกียจคนเอเชียหรือว่าต่างชาติ มีมานานเนกาเลแล้ว เพราะว่าคนผิวขาวมักจะเห็นคนผิวดำหรือผิวเหลืองเป็นแค่ทาสเท่านั้น จนกระทั่งสมัยก่อนมีการค้าขายทาสกันเป็นปกติ จนกระทั่งมาถึงสมัยประธานาธิบดีลินคอล์น จึงสามารถที่จะเลิกทาสได้ แต่ก็เกิดสงครามกลางเมือง รบกันจนตายไปเป็นจำนวนมาก เพราะว่ามีคนรวยที่ไม่ต้องการจะเลิกทาส เนื่องจากว่าได้ประโยชน์จากบรรดาแรงงานทาสต่าง ๆ"
"เมื่อคนผิวขาวเห็นว่าตนเองเจริญกว่า ก็มักจะเห็นบุคคลอื่นล้าหลัง ต่ำต้อยกว่า แต่ว่าปัจจุบันนี้บุคคลที่ล้าหลังในความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะบรรดาคนผิวดำ ประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะว่ามีน้ำอดน้ำทน มีความขยันขันแข็งในการทำงานมากกว่า
แล้วพอทางด้านผิวเหลืองเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นจีน เป็นเวียดนาม เป็นฟิลิปปินส์ หรือแม้กระทั่งคนไทย เข้าไปบ้านเขาแล้วไม่เกี่ยงงาน หนักเอาเบาสู้ โดยเฉพาะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นปกติ ก็ทำให้นายจ้างรักแล้วก็มักจะจ้างงานมากกว่า ทำให้พวกเขารู้สึกว่าโดนแย่งงาน ก็เลยเกิดความรังเกียจ ถึงขนาดมีการลงมือทำร้ายกันอยู่เนือง ๆ
เพียงแต่ว่ามาปะทุขึ้นในระยะนี้ โดยมีข้ออ้างว่าคนเอเชียเป็นคนแพร่เชื้อไวรัส ทั้ง ๆ ที่หลักฐานความชัดเจนยังไม่มี ว่าเชื้อไวรัสนี้เกิดขึ้นจากที่ใด ? จากการตรวจสอบพบว่า คนอเมริกันจำนวนมากมีภูมิคุ้มกันไวรัสตัวนี้อยู่ก่อนแล้ว แปลว่าอาจจะมีเชื้อโรคเกิดขึ้นทางด้านโน้นก่อนก็เป็นได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ เป็นเรื่องอัศจรรย์ เพราะนอกจากข่าวที่พระครูสิริธรรมภาณ เจ้าอาวาสวัดละหาร ติดเชื้อไวรัสแล้ว ก็ไม่มีข่าวว่าพระติดเชื้อไวรัสที่ไหนเลย แต่มามีข่าวว่าพระฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ แล้วมรณภาพ และตอนนี้ก็ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลอีก ๓ ราย
พระในบ้านเราที่ติดโควิด-๑๙ มีน้อยมาก ไม่ได้แปลว่าที่อื่นจะไม่มี อย่างวัดไทยที่ลาสเวกัสติดเชื้อป่วยไปทั้งวัด แต่นั่นเป็นที่อเมริกา บ้านเราอยู่ในขนาดที่ว่ามีข่าวอยู่รายเดียวคือหลวงพ่อวัดละหาร
ก็ต้องถือว่าค่อนข้างเป็นเรื่องอัศจรรย์ เพราะว่าประชากรพระไม่ใช่น้อย ๆ และโดยเฉพาะพระส่วนมากต้องไปอยู่ท่ามกลางผู้คน โอกาสติดเชื้อก็มีมาก แต่ก็ยังรักษาตัวรอดกันมาได้ จนมามรณภาพเพราะวัคซีน ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก"
ถาม : เมื่อเช้านี้โซ่ยกู๋เป็นสโตรก หนูก็เลยเอาปัจจัยมาถวายอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของโซ่ยกู๋ แต่คราวนี้หนูมีความรู้สึกว่าที่โซ่ยกู๋เจ็บก็เป็นกรรมของโซ่ยกู๋ แล้วหนูรู้สึกสงสารเจ้ากรรมนายเวรของโซ่ยกู๋
หนูก็เลยตั้งใจมาทำบุญ หนูไม่ได้อยากให้โซ่ยกู๋หายหรือไม่หาย แต่หนูอยากทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเขามากกว่า หนูไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงได้รู้สึกแบบนี้ แปลก ๆ หน่อย ๆ
โซ่ยกู๋เป็นญาติที่เคารพกันอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรผิดพ้องหมองใจกัน แต่หนูรู้สึกเฉย ๆ กับโซ่ยกู๋ ห่วงแต่ไม่ได้รู้สึกอยากให้หายหรือไม่อยากให้หาย หนูรู้สึกห่วงเจ้ากรรมนายเวรเขามากกว่า แปลกไปไหมคะ ?
ตอบ : ว่าไปแล้วก็ปกติ เมื่อถึงเวลาเห็นเขาทวงหนี้ คนส่วนมากก็มักจะว่าเจ้าหนี้หน้าเลือด ทวงไม่เป็นเวล่ำเวลา ไม่ค่อยมีคนนึกถึงเจ้าหนี้หรอกว่าลำบากขนาดไหน ที่จะต้องไปทวงเงินคนที่ยืมแล้วไม่จ่าย ทีนี้ของเรามองไปถึงจุดนั้น ก็เลยกลายเป็นห่วงเจ้าหนี้ แทนที่จะห่วงลูกหนี้
ถาม : หนูเพิ่งเคยรู้สึกเป็นครั้งแรกก็หนนี้แหละค่ะ ?
ตอบ : เป็นเรื่องธรรมดา ใครทำใครได้ เมื่อเขาทำเอาไว้เขาก็ต้องรับ ถ้าเรายอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ ก็จะเกิดอารมณ์อย่างนี้
ถาม : (รายงานเรื่องน้ำหนักพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องจักรพรรดิเนื้อทองคำเเละเนื้อเงิน) คำนวณออกมาแล้วว่าเนื้อทองคำ ๓๕ กิโลกรัม เนื้อเงิน ๑๔๐ กิโลกรัมครับ
ตอบ : น้อยกว่าที่คิด ผมกะไว้ที่ ๓๖ กิโลกรัม สำหรับเนื้อเงินมีเกินแล้ว ส่วนทองคำยังขาดอยู่นิดเดียว ไปนึกถึงตอนหล่อพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เล่นไปตั้ง ๗๐๐ กิโลกรัม พอคราวนี้บอกว่า ๑๔๐ กิโลกรัม เลยรู้สึกว่าหน่อยเดียว
ถาม : หล่อวันลอยกระทง ?
ตอบ : วันก่อนลอยกระทง ดูฤกษ์แล้ว..ดีจริง ๆ เป็นมหัทธโนฤกษ์ เหมาะมาก
พระอาจารย์มหาเอ กราบอาราธนานิมนต์พระอาจารย์ไปอธิษฐานจิตปลุกเสกที่วัดท่ามะขาม
ตอบ : วัดท่ามะขามจริง ๆ แล้วเคยเสกของครั้งเดียว เสกหลวงพ่อพระพุทธมิ่งเมือง
ถาม : พระพุทธมิ่งเมืองที่เป็นพระประธาน ?
ตอบ : ใช่..พระประธานในโบสถ์ สมัยหลวงพ่อวัดท่ามะขามยังอยู่ ท่านปรารภว่าพระพุทธมิ่งเมืองเป็นพระสำคัญ ประมาณว่าคู่บ้านคู่เมืองเลย แล้วทำไมถึงทำให้ดังไม่ได้ ท่านก็เลยอยากจะสร้าง
ถาม : แล้วเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนเดิม
ถาม : ผมว่าจะให้เสกในโบสถ์เก่า ถือว่าเป็นการส่งงานบูรณะโบสถ์เก่าหลังนี้ไปในตัวเลยนะครับ ?
ตอบ : เห็นด้วย กรกฎาคมใช่ไหม (พระอาจารย์ดูปฏิทิน) วันที่ ๑๑ ดีกว่า เป็นวันอาทิตย์
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเศรษฐกิจโลกกำลังจะไปได้ดี ก็เจอสหรัฐของขึ้น เที่ยวไปวางอำนาจใหญ่โต ยุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องในบ้านตัวเอง ต้องบอกว่าสหรัฐยังยึดติดอยู่กับภาพพจน์ความเป็นตำรวจโลกของตัวเอง ประเภทที่ตัวเองทำเท่าไรไม่ผิด แต่ถ้าคนอื่นทำแล้วจะผิด คล้าย ๆ รัฐบาลประเทศไหนใกล้ ๆ แถวนี้..!
เราจะเห็นว่าตอนนี้จีนก็ไม่ได้ลดราวาศอก การเจรจาช่วงที่ผ่านมา สหรัฐกล่าวหามาเมื่อไร จีนก็สวนกลับแค่นั้น แล้วยังมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศสหรัฐเอง เพื่อแจงต่อชาวโลก ตอกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า สหรัฐเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้น้อยกว่าประเทศอื่นที่โดนกล่าวหา
ลักษณะอย่างนี้แปลว่าจีนพร้อมรบ เพราะฉะนั้น..พวกเราก็แค่ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา มีวัตถุมงคลอะไรที่มั่นใจก็พกพาเอาไว้ เรื่องแบบนี้จะช้าจะเร็วก็ต้องเกิด
เพราะสหรัฐรู้ดีว่า นอกจากสงครามแล้วไม่มีอะไรหยุดประเทศจีนได้ แต่ว่าการที่รบกับจีนโดยตรงนั้น สหรัฐรับการสูญเสียไม่ไหว ก็เลยต้องอาศัยสงครามตัวแทน อย่างเช่นว่า ยุยงเกาหลีบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง ไต้หวันบ้าง ให้สร้างปัญหา ถึงเวลาถ้ารบราฆ่าฟันกัน ก็จะได้ห่างไกลบ้านตัวเอง ความสูญเสียก็น้อย แถมยังขายของซึ่งก็คืออาวุธได้อีกด้วย
เรื่องราวพวกนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องสร้างเรื่อง เพื่อที่จะเอาตัวรอดจากสภาพเศรษฐกิจที่ทรุดหนักของตัวเอง แต่ถ้าหากว่ามัวแต่จ้องประเทศจีนกับรัสเซียอยู่ แล้วลืมตะวันออกกลางไป ก็อาจจะโดนฉกฉวยโอกาสได้ เมื่อถึงเวลานั้น ต้องบอกว่านั่งร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่จะไปปฏิบัติธรรมช่วงสงกรานต์ วันที่ ๑๑ เมษายน เรามีโครงการใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์ เอาเฉพาะสุภาพสตรีแล้วกัน...ช่วยติดผ้าถุงไปด้วย จะได้ไปเข้าโครงการนุ่งผ้าซิ่น ใส่บาตรพระกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนอาจจะเบื่องาน ลองนึกถึงใจของคนตกงานบ้าง บางคนอาจจะเบื่อบ้าน ลองนึกถึงใจของคนไม่มีบ้านบ้าง บางคนอาจจะเรียกร้องทุกอย่างจากพ่อแม่พี่น้องคนรอบข้าง ลองนึกถึงใจเด็กกำพร้าดูบ้าง
ถ้าสามารถนึกถึงอกเขาอกเรา อย่างน้อย ๆ เราก็มีหลักธรรมข้อหนึ่ง คือ สมานัตตตา ในสังคหวัตถุ ซึ่งสมานัตตตานี้ไม่ใช่ว่าความเสมอต้นเสมอปลาย ความหมายจริง ๆ ก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์แบบนั้น
เพราะฉะนั้น..เราไม่ชอบสิ่งไหน อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ขณะเดียวกันเราชอบสิ่งไหน ไม่ใช่ว่าเราจะทำสิ่งนั้นกับคนอื่นได้ทุกคน ต้องดูกาละคือเวลาที่เหมาะสม ดูเทศะคือสถานที่อันเหมาะสมด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนอาจจะคิดว่าพระอาจารย์เล็กพกวัตถุมงคลอะไรวิลิศมาหรา ที่เห็นนี่เพราะว่าใส่ถุงพลาสติก ก็เลยต้องพับปากถุงแล้วซีลกันน้ำ ภายในถุงก็มีผ้ายันต์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็คือยันต์เกราะเพชรนั่นแหละ น่าจะรุ่นสร้างประมาณพ.ศ. ๒๔๗๔-๒๔๗๕ แล้วก็มีรูปหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณี ซึ่งเป็นอาจารย์ปู่ เพราะว่าท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สาย กับเหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณเนื้อเงิน
อาตมาก็บูชามาราคาเดียวกับโยมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเหรียญก่อนหน้านี้ให้รองฯ สมเกียรติ ซึ่งเป็นรองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ท่านไปขับรถชน ๒ ครั้งติด ๆ กัน บอกว่ากำลังดวงตก ตั้งแต่ได้เหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณของวัดท่าขนุนไปก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ปัจจุบันนี้ก็น่าจะต้องลาออกจากผู้ใหญ่บ้าน เพราะว่าไปลงสมัครตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าขนุน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราถ้าไม่รู้จักพอก็ต้องดิ้นรนเรื่อยไป อย่างที่เมื่อครู่ได้บอกแล้ว ไม่อยากอยู่บ้านเลย...นึกถึงพวกไม่มีบ้านดูบ้าง ไม่อยากทำงานที่นี่เลย...นึกถึงคนตกงานบ้าง ถ้าเรารู้จักพอ ทุกอย่างจะดีหมด เพราะว่าสภาพจิตจะดิ้นรนน้อยลง
หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า "ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล" คนไม่พอมักจะให้อะไรใครไม่ได้ ก็เท่ากับเป็นคนจน แต่คนรู้จักพอ มีอะไรก็ให้คนอื่นได้เท่ากับเป็นคนรวย "จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ" พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน ทำงานอะไร ฐานะแบบไหน พยายามให้มีความสุขกับสิ่งที่ตนเองมี
ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เป็นแค่วณิพกในเรือนเศรษฐี อันนี้หลวงปู่จันทร์ หรือหลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง สมัยยังอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านบอกกับอาตมาเอง เพราะว่าตอนนั้นอยู่วัดเทพศิรินทราวาส พระธรรมยุตเขาไปถึงกันหมด ตอนนั้นท่านยังเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าดาราภิรมย์อยู่ ตอนนั้นท่านเป็นชั้นเทพ
ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้า เราก็มีความสุขได้ อาตมาเองโหนรถมาเสียเยอะแล้ว ถึงเวลาเห็นคนแก่ เห็นผู้หญิง เห็นคนท้องขึ้นรถมาก็รีบลุกให้นั่ง เห็นเด็กบางทีก็จับนั่งใส่ตักเลย...ไปด้วยกัน แล้วเด็กทุกคนไม่กลัวอาตมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว"
"มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นก็กำลังจะกลับฐานที่ตั้งเพราะว่าอยู่แนวหน้า เขาให้ลาได้ ๑๐ วัน ก็แต่งชุดทหารเต็มยศนั่นแหละ ขึ้นรถที่หมอชิตเก่าเพื่อที่จะกลับไปอรัญประเทศ ตอนนั้นยังเป็นจังหวัดปราจีนบุรีอยู่ ไม่ใช่จังหวัดสระแก้ว แล้วสมัยนั้นถนนที่ไปสระแก้วโดยตรงที่ออกทางด้านตะวันออกก็คือระยองนั้นยังไม่มี ต้องนั่งรถผ่านฉะเชิงเทรา พนมสารคาม ขึ้นไปปราจีนบุรี ออกจากหมอชิตประมาณ ๐๘.๓๐ น. ต้องไปแวะกินข้าวเที่ยงที่ปราจีนบุรี เขาจะมีที่ให้จอดรถพัก
ก็ปรากฏว่ามีสามแม่ลูกขึ้นมา ตัวเล็กก็อุ้มอยู่ น่าจะประมาณสักขวบหนึ่งได้ ตัวโตประมาณ ๕ ขวบ สงสัยว่าแม่จะตีตั๋วใบเดียว สมัยโน้นเขายังใจดี เด็ก ๆ ให้ขึ้นฟรี ก็เลยมีที่นั่งเดียว อุ้มลูกคนเล็กแล้วลูกคนโตจะทำอย่างไร ? อาตมาเองเห็นแล้วชั่งน้ำหนักตัวเอง ถึงกูจะเป็นทหารแข็งแรงขนาดไหน ถ้าแปดโมงครึ่งยืนยันเที่ยงก็แย่เหมือนกัน..! ก็เลยดึงตัวโตมา "มา..นั่งตักอานี่" ไอ้เจ้าเด็กนั่งได้ปุ๊บก็หลับเลย ไว้วางใจมาก..! แล้วจะทำอย่างไร อาตมาก็กระดิกไม่ได้ ต้องนั่งให้เขาได้นอนในท่าที่สบายที่สุด ไปถึงปราจีนบุรีคนขับก็จอดรถเพื่อให้ลงไปกินข้าวกลางวัน อาตมาก็ปลุกเจ้าเด็กนั่นขึ้นมา แต่ตัวเองลุกไม่ได้ รู้สึกว่าท่อนล่างหายไปเลย...ชาหมดทั้งตัว ...(หัวเราะ)... ให้เขานั่งตั้งแต่ประมาณแปดโมงครึ่งยันเที่ยง
ถึงได้บอกว่าบางทีนั่งรถเมล์เราก็มีความสุขได้ ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ไม่มีอะไรก็ดูคน ดูวิว นั่งรถไฟฟ้าก็พยายามฟังเสียงภาษาอังกฤษ อย่าไปฟังเสียงภาษาไทย จะได้ซ้อมภาษาไปด้วย "Next station, Bangrak Yai" ...(หัวเราะ)... ฟังให้ชิน ไปต่างประเทศจะได้คุ้นหู ถ้าไปต่างประเทศอาตมาก็ถนัดเดิน ถึงจะขึ้นตึก ๕ ชั้น ๑๐ ชั้น ก็ขึ้นบันไดเอา"
"วันก่อนไปชี้แจงเพื่อยกห้องเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงครามเป็นวิทยาลัยสงฆ์ อาตมาก็เดินขึ้นบันไดลงบันไดตึกอธิการบดี ทางด้านหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดลงลิฟท์ ปรากฏว่าอาตมาลงมาถึงไล่ ๆ กัน ก็คือพอลิฟท์ของท่านเปิด ท่านเดินออกมาได้ยังไม่ทันที่จะพ้นประตู อาตมาก็ลงมาถึงชั้นล่างพอดี
เพราะฉะนั้น..ถ้ายินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี เราทำอะไรเราก็มีความสุขได้ อะไรที่สามารถแก้ไขได้ ทำสุดความสามารถแล้ว ถ้าแก้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับว่าความจริงเป็นอย่างนั้น
พยายามแยกความฝันกับความจริงให้ออก ความฝันเราอยากมีอยากได้อยากเป็นอะไร พยายามทำความจริงให้เป็นอย่างนั้น ยอมรับสภาพของตนเอง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ความก้าวหน้าจะมาเอง
อาตมาเองก็ไม่เห็นมีอะไร แค่ทำงานไปเรื่อย ไม่ต้องดิ้นต้องรนอะไร ทั้งยศทั้งตำแหน่งก็ไหลมาเทมา ให้ก็รับไว้ ไม่ให้ก็ไม่เอา ไม่ไปดิ้นรนไขว่คว้าหาเหมือนคนอื่นเขา ทำงานถ้าหากว่าเราทำเต็มที่ ก็จะอยู่ในสายตาของเจ้านาย ท่านจะรู้เองว่าคนนี้มีใจให้กับงาน เดี๋ยวท่านก็มอบหมายหน้าที่มาให้ แล้วหน้าที่ก็มักจะมาพร้อมกับตำแหน่งไปเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศร้อน คนหงุดหงิดง่าย พยายามตั้งสติรักษากำลังใจให้ดี อย่าไประเบิดใส่ใคร สมัยนี้น่ากลัวมาก ขับรถอยู่ยังไปไล่ชนกัน ไล่ยิงกัน ลงไปเอามีดไล่ฟันกัน ใจเย็น ๆ หน่อย...กว่าจะเกิดมาได้ กว่าจะรักษาตัวเองรอดมาจนถึงปัจจุบันได้ ใจร้อนหน่อยเดียวอาจจะตายได้เลย
อย่างวันก่อนลูกชายเจ๊เกียวเจ้าของบริษัทเชิดชัยทัวร์ เจ้าแม่รถทัวร์ ถ้าหากว่าใครขึ้นรถสายอีสานไม่รู้จักเจ๊เกียว ก็แปลว่าไม่เคยขึ้นรถที่หมอชิต ...(หัวเราะ)... ลูกชายเจ๊เกียวไปรถมอเตอร์ไซค์คว่ำ กระเด็นตกน้ำเสียชีวิต แล้วเจ้าหน้าที่ดับเพลิง เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ไปช่วยบ้านไฟไหม้แถว ๆ บรมราชชนนีซอย ๑๐๕ ตึกถล่มทับเสียชีวิต เราจะเห็นว่าเผลอนิดเดียวก็ตายแล้ว
เพราะฉะนั้น..ชีวิตเป็นของน้อย พยายามตั้งสติ ละเว้นการทะเลาะเบาะแว้ง สร้างความดีในทาน ในศีล ในภาวนาให้มากเข้าไว้ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้การเวียนว่ายตายเกิดของเราสั้นลง ต้องเกิดมาทุกข์น้อยลงกว่าคนอื่นเขา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจะร่วมบุญกฐินปลดหนี้ ให้ลงไปบูชาของแพงได้ ยังมีพระกริ่งสะท้านไตรภพอยู่ แล้วก็ยังมีเหรียญพญาเต่ามังกรเงินล้านเนื้อเขียวเหล็กไหล หน้ากากเงิน ขา หาง และหัวเป็นฝาบาตร เป็นเหรียญขนาดกลาง เหมาะสำหรับผู้หญิง แต่ผู้ชายจะใส่ก็ดี ไม่ต้องเสียเงินเลี่ยมมาก อาตมาค่อนข้างจะหวงเสียด้วย นาน ๆ ก็เอาออกมาหน่อยหนึ่ง
ท่านใดถ้าหากว่ารอบูชาวัตถุมงคลที่เข้ากรรมฐานสามวัน โดยมีพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ท่านเมตตาสงเคราะห์ แล้วอาตมาก็ไม่ค่อยจะเอาออกมา ถ้าต้องการก็ไปบูชาได้ที่วัดสี่แยกเจริญพร ที่อาตมาแบ่งให้ท่านไปจำนวนหนึ่ง ต้องบอกว่ามากทีเดียวแหละ รวมทั้งวัดท่ามะขาม
วัดสี่แยกเจริญพรอยู่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม วัดท่ามะขามอยู่อำเภอเมืองกาญจนบุรี โดยเฉพาะผ้ายันต์พญาเต่ามังกรเงินล้านเปิดโลกพลิกชีวิต ส่วนใหญ่จะอยู่ที่วัดท่ามะขาม ไปหาเอามาติดบ้านไว้ เกิดศึกเกิดสงครามอะไรขึ้นมาจะได้ปลอดภัย หรือไม่ก็เกิดภัยธรรมชาติอะไรขึ้นมาจะได้ปลอดภัย ส่วนพวกเหรียญส่วนใหญ่ทำเน้นหนักไปทางลาภผล ใครทำมาหากินค้าขายอะไร ต้องการความสะดวกคล่องตัวก็ไปบูชาเอาได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัญหาเรื่องการปะทะกันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เริ่มแบ่งข้างอย่างชัดเจน เกิดจากสหรัฐฯ ยังอยากจะเป็นใหญ่ในโลก แต่โดนจีนทำท่าจะแซง ก็ต้องหาทางสกัดกั้น แต่คราวนี้ด้วยความที่สหรัฐฯ เป็นอเมริกัน คิดแบบอเมริกัน ไม่เข้าใจหลักปรัชญาตะวันออกที่ว่า "หาเพื่อนดีกว่า" ต้องบอกว่าคนที่เข้าใจหลักปรัชญานี้ดีที่สุดอยู่ในเมืองไทยและตายไปแล้ว ก็คือ "น้าชาติ" พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า นั่นแหละชัดที่สุดเลย
ประเทศจีนก็พยายามทำแบบเดียวกัน สร้างโครงการ One Belt One Road ขึ้นมา เพื่อที่จะเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน ตอนนี้รถไฟความเร็วสูงจากประเทศจีน สามารถขนสินค้าส่งถึงปารีสได้ภายในหนึ่งเดือน ไปทีเป็นร้อย ๆ ตู้เลย ตู้รถไฟยาวที ๒-๓ กิโลเมตร คนไทยแปลว่า หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ก็คือลักษณะของเส้นทางสายไหมยุคใหม่
คราวนี้สหรัฐฯ ทนดูคนดีกว่าไม่ได้ ขาดหลักธรรมข้อมุทิตา มีแต่อธรรมในข้ออิจฉา ก็เลยพยายามสกัด แล้วคราวนี้ถ้าหากว่าปะทะกันโดยตรง รู้ว่าเทคโนโลยีหลายอย่าง จีนล้ำหน้าตัวเองไปเยอะแล้ว ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงสุดชื่อเทียนกงเป็นของประเทศจีน เทคโนโลยี ๕G ที่ดีที่สุดเป็นของประเทศจีน แล้วตอนนี้จีนก้าวหน้าไปถึง ๖G แล้ว ก็เลยทำให้สหรัฐฯ ต้องหาผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี เพื่อช่วยสกัดกั้นจีน โดยที่ตัวเองไม่ต้องไปปะทะเองโดยตรง ก็เลยทำให้ภาวะตึงเครียดเกิดขึ้นทั่วไปหมด
แต่สหรัฐฯ น่าสงสารตรงที่ไม่ได้ดูปัญหาในบ้าน ก็คือเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาด เรื่องของการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติในบ้านตัวเอง ตลอดจนกระทั่งปัญหาที่ไปรังแกคนอิสลามไว้มาก เรื่องพวกนี้ปะทุขึ้นมาเมื่อไร สหรัฐฯ ก็ปวดหัว ถ้าหากปะทะกับจีนแล้วมีปัญหานี้ขึ้นมาก็จะเดือดร้อนกันทั้งประเทศ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังชวนคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของเอ็นซีทัวร์ เอ็นซีก็คือนวลจันทร์นั่นแหละ นั่งรถไฟจากประเทศจีนทะลุไปรัสเซีย แหม..เริ่มวางแผนหน่อยเดียวเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาดเสียนี่ เดี๋ยวต้องฉีดวัคซีนซิโนแวคหรือไม่ก็สปุตนิกก่อนถึงจะไปได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รายการทำบุญหลายอย่างที่ญาติโยมร่วมกันทำบุญไปในเว็บวัดท่าขนุน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างห้องประชุมที่เรียกว่าเธียเตอร์ ที่อาคารเอนกประสงค์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (วังน้อย) การสร้างห้องประชุมอาคารเรียนรวม วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี การร่วมบุญสร้างวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ การร่วมสร้างอาคารบ้านพักเด็ก โรงเรียนหมู่บ้านเด็กวังด้ง การร่วมบุญสร้างอาคารโดม ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลวังด้ง อาตมาจัดการให้กับทุกท่านเรียบร้อยแล้ว
ระยะหลังส่วนใหญ่อาตมาจะใช้วิธีซื้อเป็นเช็คเงินสด เพื่อที่จะได้มีหลักฐานยืนยันว่าเราร่วมบุญไปแล้วจริง ๆ แต่ว่าส่วนอื่นอีกหลายรายการ อย่างเช่นว่า การร่วมสร้างหลวงพ่อสมใจ วัดปรังกาสี ท่านจะหล่อในวันที่ ๒๘ เมษายนนี้ ก็จะเอาเงินไปให้วันนั้นเลย เงินที่โยมทำบุญมาเพียงพอแล้วจึงปิดกระทู้ไป
ตอนนี้ก็เริ่มกฐินปลดหนี้วัดท่าโขลง ซึ่งหลวงพ่อหนึ่ง (ท่านพระครูนาคดิตถ์วรรักษ์) ได้สร้างโรงเรียนให้เด็กชาวเขา ก็เป็นหนี้หัวโตอยู่ ...(หัวเราะ)... ขอความช่วยเหลือมาประมาณ ๕ ปีแล้วเพิ่งจะถึงคิว ยังดีที่ยืนหยัดอยู่ได้โดยที่ไม่โดนหนี้ทับตายไปเสียก่อน..! แต่ว่ามีอาการเครียด ลักษณะเส้นเลือดตีบ บางช่วงมือเท้าไม่ค่อยอยากจะทำงาน อาตมาก็ต้องคอยโวยวายไว้ว่า "อายุน้อยกว่าผมตั้งเยอะตั้งแยะ คุณจะเครียดไปถึงไหนวะ ? งานคุณก็ทำน้อยกว่า มีแค่เรื่องโรงเรียนอย่างเดียว"
บางท่านนี่ชิงแก่แซงอาตมาไปหมดทั้ง ๆ ที่เป็นรุ่นน้อง อย่างครูบาเหนือชัย ครูบาเหนือชัยอายุน้อยกว่า ๓ ปี อย่างของท่านเจ้าคุณทองดี (พระพิศาลญาณวงศ์) วัดใหม่ปลายห้วย เมื่อเดือนที่แล้วก็ไปร่วมงานกันที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็ก...ผมขึ้นไม่ไหวนะ นิมนต์อาจารย์ขึ้นไปคนเดียวแล้วกัน" เพราะว่าเจ้าภาพก็คือหลวงพี่นิล (ท่านพระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม) ท่านนิมนต์เป็นประธานคู่กัน ต้องขึ้นไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระเกศสมเด็จองค์ปฐม สูงจากพื้นไม่มากหรอก ประมาณ ๕ เมตรกว่า ๆ..! ท่านบอกว่าขึ้นไม่ไหว
ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เห็นอาตมาไม่แก่..ว่าอย่างนั้น เจ้าคุณทองดีก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับครูบาเหนือชัยนั่นแหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมไปตรวจเยี่ยมที่วัดท่าขนุน ต้องสั่งงานทางไลน์ตลอดเวลา ...(หัวเราะ)... โดยเฉพาะต้องติดต่อเครือข่ายของชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุนทั้ง ๒๖ แห่ง เอาสินค้าชุมชนของตัวเองมาลงให้เขาดู ว่าเรื่องการพึ่งพาตนเองของเราเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ทางชุมชนเขาพร้อมกันหมดแล้ว ซาเล้งพร้อม จุดคัดกรองพร้อม คำกล่าวต้อนรับพร้อม มีพวกเครื่องไม้เครื่องมือแบบนี้ก็ดี อาตมาอยู่ถึงบ้านเติมบุญ สามารถควบคุมการทำงานที่ทองผาภูมิได้
อันนี้โทษอาตมาไม่ได้ว่าไม่ให้เกียรติผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ก็ท่านเล่นกำหนดมาไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา ตรวจราชการก็ต้องวันราชการ ไม่ใช่วันหยุด มาขยันผิดปกติ แล้วอาตมาเป็นคนที่ถ้าหากว่ามีงานที่ไหนแล้วจะไม่รับงานซ้ำ ยกเว้นอย่างเดียวว่าเป็นงานหลวง คืองานของในหลวงพระราชินี หรือพระญาติพระวงศ์อย่างหนึ่ง กับงานคณะสงฆ์ที่สำคัญจริง ๆ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใช่สองงานนี้อย่าหวังเลยว่าจะไปให้ เพราะฉะนั้น..ท่านผู้ตรวจก็กรุณาอยู่กับชาวบ้านไปก็แล้วกัน ...(หัวเราะ)..."
พูดถึงข่าวไฟไหม้บ้านถล่มทับอาสากู้ภัยเสียชีวิต "ว่าแต่ว่าเจ้าของบ้านเขายังจะกล้าไปสร้างบ้านทับที่เดิมไหมนี่ ? เพราะอย่างน้อยก็ ๕ ศพไปแล้ว วันดีคืนดีก็มีคนวิ่งตึงตังกู้ภัยอยู่ในบ้านละสนุกแน่ ...(หัวเราะ)... คือท่านทั้งหลายเหล่านี้เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติงาน หลายคนบางทีไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว ใจยังมุ่งอยู่กับงานเดิมของตัวเอง
สมัยอาตมาเป็นทหารอยู่ที่กองพลที่ ๙ ค่ายสุรสีห์ สมัยโน้นยังเป็นค่ายกาญจนบุรีอยู่ วันดีคืนดีก็มีเสียงกองทัพปะทะกัน เสียงช้าง เสียงม้า เสียงดาบ เสียงหอก กระทบกันเหมือนอย่างกับรบกันอยู่ใกล้ ๆ เลย ลักษณะนั้นก็เหมือนกัน เพราะว่าตรงนั้นก็คือสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า ที่ไทยเราไปปะทะกับกองทัพพระเจ้าปดุงในสงครามเก้าทัพ แล้วบริเวณไม่ไกลจากนั่น ห่างประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ก็ยังเป็นจุดที่พระนเรศวรทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราช ท่านทั้งหลายที่เสียชีวิตอยู่ ต้องบอกว่าใจยังมุ่งมั่นอยู่กับงานตัวเอง ก็เลยไม่ได้ไปไหน พอโอกาสดี ๆ ก็หลุดเข้ามาในเขตให้เราได้รู้ได้เห็นกันบ้าง
ถ้าเป็นอาตมาก็คงขายทิ้งเลย ไปหาซื้อที่สร้างบ้านที่อื่นดีกว่า ...(หัวเราะ)... คือตัวเองแก้ไขได้นะ แต่คงไม่ไปแก้หรอก เพื่อความสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย คนอื่นมาอยู่จะคิดอย่างไร เพราะฉะนั้น..ของเราเองก็ขายทิ้งไปเถอะ หาซื้อที่อื่นดีกว่า ไม่ต้องหลังใหญ่ขนาดนั้นก็ได้
เรื่องของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่เป็นกรรมเก่าจากการฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่เอาไว้ ถึงวาระเคยทำร่วมกันมาก็มาตายร่วมกัน อย่างท่านองคุลีมาลฆ่าคนไปเป็นพันเลย ที่ฆ่าคนนั่นเพราะว่า ในอดีตมีอยู่ชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นควายป่า แล้วโดนชาวบ้านล้อมล่า พูดง่าย ๆ ก็คือสมัยก่อน รุ่นพวกเรามีใครเกิดทันไหม ? รุ่นอาตมานี่ทัน เขาเรียกไล่ราวหรือไล่เหล่า พอถึงเวลาก็คนเกือบทั้งหมู่บ้านล้อมป่าแล้วก็ตีเกราะเคาะไม้ สัตว์ป่าจะเตลิดไปตามทางที่นายพรานเขาซุ่มอยู่แล้วก็ยิง
แต่อันนี้ของเขาไล่ฆ่ากันเลย ใช้หอก ใช้แหลน ใช้หลาว รุมแทงควายป่าจนตาย ก่อนตายก็อาฆาตไว้ว่าจะกลับมาฆ่าพวกนี้คืนบ้าง พอเกิดมาชาตินี้ก็มาเป็นอหิงสกกุมารหรือองคุลีมาลเถระในระยะหลังนั่นแหละ มาฆ่าคืนไปทีละศพสองศพ ล่อไปเป็นพันเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศอียิปต์จัดขบวนเคลื่อนศพมัมมี่ ทั้งฟาโรห์และพระราชินี ๒๒ พระองค์ ทำไม่ดีก็คงได้เจริญกันบ้างแหละ..! เพราะว่าเจ้าพระยามหากษัตริย์หรือพระราชินีสมัยก่อนมีอำนาจสิทธิ์ขาดทุกอย่าง ทำอะไรไม่ถูกพระทัยก็โปรดระวังเอาไว้ด้วย ...(หัวเราะ)..."
พระอาจารย์สนทนากับโยมคนหนึ่ง "เป็นอย่างไรบ้าง ? (ตอนนี้ดูแลแม่ที่นนทบุรีครับ) อ๋อ..กลัวแม่ติดโควิด ...(หัวเราะ)... จะว่าไปแล้วไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็สะดุดไปหมด เจอฝีมือโควิดเข้า ฉวยโอกาสกตเวทิตาแม่ก็ดี กตัญญูแปลว่ารู้คุณท่าน กตเวทิตาแปลว่าทำการตอบแทน กตะ ก็คือย้อนกลับ คืนให้
บางทีรู้บาลีก็ได้เปรียบชาวบ้านเขา แต่บางทีรู้เกินไปก็เครียด เพราะว่าชื่อบางคนแปลเป็นภาษาบาลีแล้วหมดสภาพเลย วันก่อนเจอคนชื่อ นิลมล นิล ตัวแรกก็คือดำ มล ตัวหลังคือสกปรก ...(หัวเราะ)... ต้อง นิรมล นิร แปลว่าไม่ นิรมล ไม่สกปรก ก็คือสะอาด บางทีคนเขียนไม่มีความรู้ก็คิดว่าชื่ออย่างนี้ดีแล้ว นิรมล แต่กลายเป็น ล.ลิง ไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมาลุ้นลูกสาว ยื่นเข้าเรียนปริญญาโทที่ London Business School ที่ลุ้นไม่ได้ลุ้นเรื่องภาษาเพราะว่าลูกเขาเก่งอยู่แล้ว แต่ลุ้นว่าจะรอดจากโควิดไหม ? ...(หัวเราะ)...
ตอนนี้กำลังเงี่ยหูฟังข่าวทั่วโลก ว่าใครพกวัตถุมงคลวัดท่าขนุนแล้วติดโควิดบ้าง ? ติดขึ้นมาเมื่อไรอาตมาจะอาละวาด..! ในเมื่อรับปากว่าจะช่วยก็ต้องช่วยกันสิ คือความจริงเรื่องของพระเรื่องของเทวดาท่านพูดครั้งเดียว แต่ด้วยความที่อาตมาเป็นโรคหวาดระแวงก็ต้องคอยเช็คข่าว ว่าใครพกวัตถุมงคลวัดท่าขนุนแล้วมีติดโรคบ้าง
ตอนนี้ก็ยังเมตตานะ ทองผาภูมิยังเป็นอำเภอสะอาด ยังไม่มีใครติดโควิดแม้แต่คนเดียว อาตมาก็เอาแค่อำเภอเดียวนั่นแหละ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่นทั้งจังหวัด อุทัยธานียังไม่มีใครติดโควิดแม้แต่คนเดียว ...(หัวเราะ)... หลวงพ่อท่านเล่นทั้งจังหวัด หลวงลูกได้แค่อำเภอเดียว..! เพราะว่าในตัวจังหวัดกาญจนบุรีตั้งแต่ต้นมาติดโควิดไป ๘ คน มาจากที่อื่นทั้งนั้นเลย
เรื่องของพระ เรื่องของพรหมเทวดา ถ้าท่านตั้งใจสงเคราะห์ ตั้งใจช่วย ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงท่าน เพียงแต่ว่าของท่านส่วนใหญ่แล้วก็คือยอมรับกฎของกรรม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กเล็ก ๆ บางคนมีความเป็นผู้ใหญ่จนกระทั่งเราคิดไม่ถึง ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะมีอดีตที่ข้ามชาติข้ามภพมา เคยชินกับความเป็นผู้ใหญ่ก็คิดพูดทำแบบผู้ใหญ่ ในวงการพระตัวอย่างชัด ๆ ก็ท่านเจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ หรือหลวงปู่ทองดี วัดใหม่ปลายห้วย กับอดีตหลวงตาจันทร์ วัดป่าชัยรังสี รายนั้นมรณภาพแล้วเกิดใหม่เลย ก็เลยติดความเป็นคนแก่มาด้วย
ส่วนเด็ก ๆ ที่ติดความเป็นผู้ใหญ่มาก็เพราะว่าชาติก่อนเป็นผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่พวกตายแล้วเกิดใหม่เลยไม่ต้องไปคั่นชาติอื่น หรือว่าไม่ต้องไปเสวยสุขเสวยทุกข์อยู่ในภพภูมิอื่น ก็จะจดจำสิ่งเก่า ๆ ได้ เหมือนกับคนหลับแล้วตื่น หรือไม่ก็ปฏิกิริยาเคยชินในความเป็นผู้ใหญ่ ก็พูดแบบผู้ใหญ่ ทำแบบผู้ใหญ่ บางคนอย่างท่านเจ้าคุณเล็ง เรียกแม่ว่าน้อง ...(หัวเราะ)... เพราะว่าท่านตายแล้วมาเกิดเป็นลูกน้องสาว ไม่ยอมเรียกแม่กับใครหรอก เจอแม่เรียกน้องอย่างเดียว"
พระอาจารย์กล่าวถึงการปล่อยสัตว์ประจำเดือน "การปล่อยนกนั้น ส่วนใหญ่นกที่โดนจับมาเป็นนกกระติ๊ดสีอิฐ แล้วนกพวกนี้จะหากินเป็นฝูง พอลงนาข้าวก็ลงเป็นฝูง เป็นร้อย ๆ ตัว พวกคนที่ดักนกก็จะไปดักดูอยู่ ๒-๓ วัน คือฝูงนกเวลาลงหากินจะมีทิศทางลงของตัวเอง ถึงเวลาจะขึ้นทิศไหน จะลงทิศไหน เขาจะดูอยู่ ๒-๓ วัน หลังจากนั้นก็เอาตาข่ายไปขวางทิศที่ขึ้น พอนกลงหากินก็ตะเพิดให้บินขึ้น เท่านั้นก็ไปติดตาข่ายกันหมด
ถ้าถามว่าทำไมรู้ ? เด็ก ๆ อาตมากินมาเป็นร้อยเป็นพันแล้ว ...(หัวเราะ)... ล่ามาทุกวิถีทางแล้ว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมตอนนี้ถึงป่วยแหง็ก ๆ อย่างนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เลขาฯ ส่วนตัวส่งข้อความมาบอกว่า คุณโชติธัชอยากได้พาลีงาแกะของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ต้องกลับไปดูก่อนว่ามีเหลือไหม ? เพราะว่าค่อนข้างจะหายาก ในชีวิตอาตมาก็ได้มาแค่ ๓ ตนเท่านั้น โบราณเขาสร้างพาลีมาจากตรงที่ว่า พาลีไม่เคยแพ้ใคร โดยเฉพาะได้พรจากพระอิศวร รบกับใครกำลังของคู่ต่อสู้จะหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วมาเพิ่มให้กับพาลี ก็มีแต่ชนะอย่างเดียว ...(หัวเราะ)...
แต่คราวนี้ไปโดนพระรามยิงด้วยศรสะกิดผิวแค่เลือดออกหยดเดียว ยอมฆ่าตัวตายดีกว่า ในพาลีสอนน้องบอกว่า เลือดพี่มีค่ากว่าตน เสียเลือดเสียชนม์ดีกว่า โลหิตติดปลายโลมา อับอายขายหน้าฟ้าดิน พูดง่าย ๆ ก็คือศักดิ์ศรีค้ำคอ เกิดมาเป็นยอดแชมป์ไม่เคยแพ้ใคร โดนพระรามยิงด้วยศรสะกิดเลือดออกมาหนึ่งหยด รับไม่ได้ ...(หัวเราะ)..."
"คนไม่เคยแพ้นี่ลำบาก ทำใจยาก ถ้าคนแพ้เป็นนี่ยกขึ้นวางลงได้ มีภูมิคุ้มกัน ทนแรงเสียดทานในสังคมได้มากกว่า ดังนั้น..พาลีไม่เคยแพ้ ก็เลยไม่สามารถที่จะทนต่อความอับอายขายหน้าของตัวเองได้ ความจริงรบกันตรง ๆ ก็ไม่แน่ว่าจะแพ้ แต่ด้วยความที่ว่าเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี เกิดมาไม่เคยเสียเลือดให้ใคร มาโดนปลายศรพระรามสะกิดเข้าหน่อยหนึ่งก็ถือว่าแพ้แล้ว ก็เลยฝากฝังเมืองขีดขินให้กับสุครีพผู้เป็นน้อง แล้วก็ฆ่าตัวตาย
ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครดูโขนบ่อย ๆ จะเห็นมีพญาลิงอยู่ ๒ ตัว สีเขียวใส่มงกุฎกับสีแดงใส่มงกุฎ สีเขียวคือพาลี สีแดงคือสุครีพ เหตุที่ลิง ๒ ตัวทรงมงกุฎยอดแหลมเพราะว่าเป็นเจ้าเมือง คือเจ้าเมืองขีดขิน ลิงอื่น ๆ อย่างเก่งก็มีแค่รัดเกล้า หรือไม่ก็อย่างองคตก็จะเป็นมงกุฎทรงเตี้ย เพราะถือว่าเป็นเจ้าชาย องคตเป็นลูกพาลีกับนางมณโฑ ฤๅษีโคบุตรดึงเอาองคตออกจากท้องนางมณโฑไปใส่ไว้ในท้องแพะ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คืออุ้มบุญ แต่ว่าเก่งกว่าสมัยนี้เยอะเลย ...(หัวเราะ)... สมัยนี้อุ้มบุญยังต้องใช้แม่คน...ใช่ไหม ? แม่เป็นคน สมัยโน้นเขาอุ้มบุญใส่ไว้ในท้องแพะ แล้วก็โตขึ้นมาได้เหมือนกัน"
"พวกวิชาการเหล่านี้ ถ้าอ่านในพระไตรปิฎกแล้วจะงง ๆ เขาจะมีเวชกรรม โวสกรรม โวสกรรมนี่ต้องบอกว่าเก่งเกิน เพราะว่าแปลงเพศได้ ก็แปลว่าวิชาการแพทย์สมัยก่อนนี่เจริญกว่าสมัยนี้อีก เพราะสมัยก่อนเขาเปลี่ยนเพศไปเลย สมัยนี้เปลี่ยนแล้วก็ยังตรวจดีเอ็นเอได้ ยังเก่งสู้โบราณเขาไม่ได้
ตำราแพทย์แผนอินเดีย ที่เขาเรียกว่าอายุรเวชแผนอินเดีย กับตำราแพทย์แผนจีน ก็คืออายุรเวชแผนจีน ก้าวหน้ากว่าสมัยปัจจุบันนี้มหาศาล อย่างของจีนสมัยหมอฮัวโต๋ ที่จีนกลางเขาเรียกฮัวถัว ฮกเกี้ยนเรียกหมอฮูโต๋ สามารถผ่าตัดสมองได้ สมัยนี้ผ่าตัดสมองยังใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าจะรอดไหม..?!
หลายอย่างของโบราณเขาศึกษาลึกซึ้งกว่า เพราะว่าเอาจิตศาสตร์ควบเข้าไปด้วย สมัยนี้ศึกษาแต่แพทยศาสตร์อย่างเดียว ในเมื่อศึกษาแพทยศาสตร์อย่างเดียว ไม่ได้เอาส่วนอื่น ๆ เข้ามาควบก็รู้ไม่จริง
แล้วที่น่าสงสารก็คือต่อไปหมอจะตกงาน เพราะว่าคุณหมอ AI เก่งกว่า ถึงเวลา AI ตรวจโรคให้เราและประมวลอาการ เขาทำวิจัยได้ผลว่าหมอปัจจุบันใช้เวลา ๑๒ นาที หมอหุ่นยนต์หรือหมอ AI ใช้เวลา ๓ นาที หมอปัจจุบันสามารถระบุสมุฎฐานโรคได้ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ หมอ AI ระบุได้ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ สามนาทีบอกได้ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วสามารถสรุปได้ด้วยว่าใช้ยาตัวไหนดีที่สุด เพราะว่าผ่านซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประมาณพวกเทียนกงนี่แหละ ถึงเวลาเขาประมวลผลออกมาเก่งกว่าหมอเยอะเลย เพราะฉะนั้น..ต่อไปหมอที่เรียนแทบตายถ้าตกงานก็เข้าวัดไปบวชก็แล้วกัน..!"
พระอาจารย์สนทนากับเด็ก "ปิดเทอมหรือยัง ? เตรียมจะอยู่ป่วนบ้านแล้วใช่ไหม ? ส่งไปบวชเณรที่วัดก็ได้นะ ตอนนี้เณรที่วัด ๖๐ รูปเรียบร้อยมาก โดนไม้ซะ..! คนไหนที่พ่อแม่ไม่กล้าตี ส่งไปเลย..เดี๋ยวที่วัดจัดการให้..!
ปีก่อนอาตมาลงทุนตีเองเลย เพราะว่าเณรต่อยกัน ถามถึงสาเหตุที่ต่อยกัน เขาไม่บอก เบี่ยงซ้ายเบนขวาไปเรื่อย ประเภท "มันมองหน้าผม มันไม่ชอบหน้าผม" อันนั้นไม่ใช่ประเด็น "มันไม่ชอบหน้ามึงก็เป็นเรื่องของมัน แล้วมึงไปต่อยมันทำไม ?"
ส่วนปีนี้มีประเด็นแปลก ๆ มีเด็กฝรั่งไปด้วย ก็เลยโดนเด็กไทยแอบดูว่าของฝรั่งเหมือนของไทยไหม..! ก็ว่าฝรั่งหน้าตาไม่เหมือนไทยเลย เณรหนอเณร...หาเรื่องโดนไม้แท้ ๆ
แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเด็กชอบอยู่วัด เพราะว่ามีกินไม่อั้น เดี๋ยวอาหารมื้อหลัก เดี๋ยวปานะ แต่ก็อย่างว่าแหละ เด็ก ๆ ก็หิวมาก ตอนกินก็ยิ้มแย้มแจ่มใส "กูบอกมึงแล้ว ที่นี่เขาเลี้ยงไม่อั้น" พอตอนเช้าจะทำวัตร นั่งหน้าเหี่ยวเลย "หิวมากเลยครับ พุทโธก็เอาไม่อยู่แล้ว..!"
"คนทรงฌานไม่ได้นี่ลำบากจริง ๆ คือถ้าทรงฌานได้ เข้าฌานปุ๊บก็จบเลยใช่ไหม ? ทุกอย่างก็ไม่เหลืออะไร แต่เจ้านี่พุทโธก็เอาไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะสงสารอย่างไร มีใครเคยมีประสบการณ์นี้บ้างไหม ? พุทโธก็เอาไม่อยู่ เด็ก ๆ เขายังไม่รู้ว่าการทรงอารมณ์ภาวนาแล้วต้องรักษาไว้ พอภาวนาได้ ถึงเวลาก็ทิ้งหมด ทิ้งหมดก็หิวไส้แขวน
นี่ติดต่อมาอีก ๒ คน บอกหลวงพ่อกลับไปแล้วรีบบวชให้ด้วย เผื่อจะทันรุ่นนี้....ไม่ทัน เพราะว่าเขาบวชตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม กว่าอาตมาจะกลับไปวันที่ ๕ เมษายน แปลว่าจะต้องบวชมากกว่าคนอื่นอีกอาทิตย์หนึ่ง ไม่อย่างนั้นอาตมาไม่ให้ทุนหรอก คนเอาเปรียบ..มาทีหลังได้ทุนเท่าเขาก็เกินไป
เณรบางคนก็ประมาณมือปืนรับจ้างเลย ถึงเวลาบวช...ถึงเวลาบวช...อาราธนาศีล...อาราธนาธรรม...อาราธนาพระปริตร...
"ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้หรือยัง ?"
"ได้แล้วครับ ปีที่แล้วผมได้ทุนไปแล้วด้วยครับ"
"แล้วบอกเพื่อนหรือยัง ?"
"ไม่บอกครับ"
"อะไรวะ ? เขาไม่ได้มาแย่งเงินเอ็งสักหน่อย ก็ช่วยบอกเพื่อนหน่อยสิว่าต้องท่องอะไรบ้าง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนคนไทยเราส่วนใหญ่นุ่งผ้าถุง ที่เราเรียกว่าผ้าซิ่น แต่ปรากฏว่ามีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ไทยนุ่งโจง ลาวนุ่งซิ่น" ต้องโจงกระเบนถึงจะไทย ถ้าผ้าซิ่นนี่คนลาว แต่คราวนี้สองเผ่าพันธุ์นี้แยกกันอย่างไร ? แยกไม่ได้ เป็นชาวอุษาคเนย์เหมือนกัน (southeast asia)
ไปนึกถึงเนื้อเพลงเก่า ๆ สมัยก่อน "น้องนุ่งซิ่นไหม ไว้ผมมวยสวยเพริศพริ้ง" นั่น...เล่นซิ่นไหมเลย หรือไม่ก็ "ว่างจากงานหว่านไถ จะร้อยมาลัยใบข้าว ห้อยคอสาวจำปา เจ้าเป็นเทพธิดาของบ้านนาบ้านทุ่ง นุ่งผ้าถุงไทยเดิม" แสดงออกวัฒนธรรมของเราชัด ๆ แล้ววัฒนธรรมบ้านเราเขาบอกว่า "จ.ป.ล." เจ๊กปนลาว
คำว่า "ไท" สมัยก่อน ไม่ได้แปลว่าคนไทย แล้วก็ไม่ได้อยู่ในความหมายว่าเป็นอิสระ คำว่า ไท สมัยก่อนแปลว่า คน อาตมาไปตามบ้านเก่า ๆ สมัยก่อน เขาถาม "มึงเป็นไทบ้านไหน ?" ก็คือมึงเป็นคนบ้านไหน
ส่วนคำว่า ลาว หมายถึงเป็นนาย แล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็น ข้า ก็คือเป็นทาส ลาวแปลว่านาย แล้วก็มีข้า อันนี้เป็นไท เราเพิ่งจะมาแยกกันสมัยหลังนี้เอง
อย่างเช่นว่า ปกากยอ ออกเสียงได้ไหม ? ภาษากะเหรี่ยง แปลว่า ข้าคือคน ถ้าพวกมอแก็นก็เรียกตัวเอง อุรักลาโว้ย ข้าคือคน"
"ที่บอกชัด ๆ อย่างนี้ เพราะว่ายุคโบราณผีกับคนถึงกันหมด สามารถที่จะเห็นกันได้เป็นปกติเลย เนื่องเพราะว่าสภาพจิตยังสงบอยู่ ทิพจักขุญาณเกิดเองโดยธรรมชาติ ในเมื่อพวกผี ผีฟ้า คน สามารถติดต่อสัมพันธ์ถึงกันได้ พอถึงเวลาเขาสอบถาม ก็ต้องบอกว่า "ข้าคือคน" ส่วน "เอ็งเป็นผี" "เอ็งเป็นผีฟ้า" คือเทวดานางฟ้า คนไม่รู้ที่มาก็จะสงสัย ทำไมชื่อของแต่ละเผ่าพันธุ์ แปลความหมายเดียวกันว่า ข้าคือคน เอ้า..วันนี้เข้าใจแล้วนะ พอถึงเวลาเขาถามก็ตอบกันให้ชัด ๆ"
ถาม : แล้วผีแถนล่ะครับ ?
ตอบ : ผีแถนเป็นภาษาลาวเก่า คำว่า แถน ก็คือฟ้า คราวนี้พอสลับไปสลับมา มาบ้านเราก็กลายเป็น แมน ผีแมนก็ผีฟ้าเหมือนกัน อย่างเช่นเมืองแมนแดนสวรรค์
เรื่องพวกนี้เสียดายหลวงปู่อ่ำ (พระราชกวี วัดโสมนัสวรวิหาร) ถ้าหลวงปู่อ่ำไม่มรณภาพ นั่งฟังไปเถอะ ๗ วัน ๗ คืน ท่านเล่าไปได้เรื่อย ท่านเล่าจนถึงต้นตระกูลไทยเลย
คนไทยเราพอถึงเวลาก็ไปเปลี่ยนของเขาเสียเพี้ยนหมด ตำบลสารจิตร อำเภอศรีสัชนาลัย มี "บ้านป่าคะยาง" ก็คือปกากยอ คนไทยอ่านไม่ออก มึงอยู่ในป่าก็เอาชื่อว่าป่าก็แล้วกัน แล้วเป็นกระเหรี่ยง ก็เป็น "ยาง" มาจากคำว่าปกากยอนั่นแหละ เปลี่ยนเป็นป่าคะยาง ฟังแล้วเครียด...!
ถาม : แต่ยางก็เป็นชื่อพันธุ์กะเหรี่ยง ?
ตอบ : เขาเรียกกันแบบดูถูก พอ ๆ กับที่เราเรียกเจ๊กเรียกแกวนั่นแหละ
วันนี้เล่นมานุษยวิทยาไปเสียเยอะ อย่าเอาไปอ้างนะ ถ้าไปอ้าง อิงบอกที่มาว่า พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เขาจะว่าอาตมาเพี้ยน ถือเป็นมุขปาฐะ เล่าสู่กันฟังไปเรื่อย ๆ มุขปาฐะ แปลว่ากล่าวกันลักษณะปากต่อปาก
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่แล้วไปงาน รถติดพอ ๆ กับวันธรรมดาเลย ปกติวันเสาร์ ราชการก็หยุดมากแล้ว ทำไมถึงยังติดได้ขนาดนี้ ? แสดงว่าบ้านเรา จำนวนรถมากเกินคนไปแล้ว แล้วก็มีปัญหาใหญ่ตรงที่ว่า ถ้ารถใช้ไฟฟ้าเข้ามา แล้วไอ้ซากรถน้ำมันจะไปอยู่ที่ไหน ? หรือว่าชั่งกิโลขาย ให้เขาถอดเป็นชิ้น ๆ"
ถาม : โยมจะพาแม่ไปปฏิบัติธรรมที่วัด ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ไปที่โน่นแล้วจะเข็ด เจ้าอาวาสดุ ประเภทนั่งคุมไม่ให้กระดิกเลย แทนที่จะกลัว โยมกลับชอบอีก อ้าว...เป็นเสียอย่างนั้น อาตมาก็นั่งนานไม่ได้ เพราะว่าเจ็บเส้นหลัง
มีคนแนะนำดีมาก "ช่วงกรรมฐานหลวงพ่อต้องนั่งสอน แล้วคนจะชอบมาก" เออ...ใช่ แล้วก็สิ้นชีวิตเอง ไม่ต้องฉีดวัคซีนก็มรณภาพได้...!
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "จะบูชาอะไร ก็เลือกที่ผ่านศึกผ่านสงครามได้ไว้นะ เดี๋ยวสหรัฐอเมริกากับจีนเขาตีกัน มีรัสเซียมาช่วยเฮ แล้วก็แขกซ้ำอีก อาตมามักจะบอกล่วงหน้านานเกินไป...!"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล ปรากฏว่าของเทศบาลทองผาภูมิได้ยกชุด ก็คือทั้งตัวนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลทั้ง ๑๒ คนกวาดเรียบทุกเก้าอี้ ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะว่าท่านดูแลวัดท่าขนุนมาตลอด
ส่วนของเทศบาลตำบลท่าขนุน มีทั้งรายการหาเสียง ทั้งเล่นของ ทั้งอะไร แล้วท้ายที่สุดคู่แข่งก็วิ่งมา
"ขอเวลาพระอาจารย์เล็ก ๑๐ นาทีครับ"
"ขอทำไม ?"
"ขอพรหน่อยครับ สู้เขาไม่ได้ เขาทั้งหาเสียง ทั้งเล่นของ พวกผมไม่มีอะไรเลย"
"เอ้า...โอเค"
ก็อวยพรให้ได้คะแนนเยอะ ๆ ปรากฎว่าดันกลับไปล้มช้าง คราวนี้พระอาจารย์เล็กยังกลัว ๆ อยู่ ว่าจะโดนเจ้าถิ่นเขาหมั่นไส้แล้วตื้บเอาวันไหน...!
คนเก่าเขาเป็นมาหลายสมัย พูดง่าย ๆ ว่าคุมคะแนนเสียงหมดเลย แต่ด้วยความไม่ประมาท เขาก็มีการทำพิธีเสริมดวง มีพิธีข่มศัตรู พิธีไพรีพินาศอะไรให้ยุ่งไปหมด คราวนี้คู่แข่งมาหาอาตมา ก็บอกไปว่า
"พิธีอย่างนี้ไม่ทำโว้ย ต่อให้ทำเป็นก็ไม่ทำ ไม่ใช่เรื่องของพระที่จะไปยุ่งเรื่องของการเมือง"
"ถ้าอย่างนั้นขอพรพระอาจารย์หน่อยครับ"
"ได้..ถ้าแค่ขอพรก็เอาไปเลย" ปรากฏว่าดันไปชนะเขาอีก
แต่คราวนี้จะทำงานยาก เพราะว่าได้นายกฯ รองนายกฯ แล้วก็สมาชิกสภาอีกคนเดียว ที่เหลือเป็นของคนเก่าเขา แต่กลายเป็นการล้มช้าง ตัวนายกฯ หลุด ถ้ารู้อย่างนี้คงมาขอพรพระอาจารย์เล็กนานแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ศาลปกครองยกฟ้องคดีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์จำนำข้าว ที่มีการกล่าวหากันว่าทุจริต โดยศาลปกครองวินิจฉัยว่าเป็นการทุจริตในระดับล่าง ไม่ได้เกี่ยวกับนายกฯ แต่เชื่อเถอะ...น่าจะเล่นไม่เลิก เดี๋ยวไม่ผิดอย่างนี้ก็ต้องผิดอย่างอื่นจนได้ คล้าย ๆ กับคดีพระเถระชั้นพรหม ๓ รูป ศาลยกฟ้องคดีนี้ ก็ไปเล่นคดีโน้น ต้องเอาสักคดีนั่นแหละ ไม่นึกเลยว่าถ้าถึงเวลาตัวเองแล้วจะโดนอะไรบ้าง ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีคนส่งคลิปสั้น ๆ มาให้ เป็นการ์ตูนเรื่องดาบพิฆาตอสูรที่กำลังฮิต คราวนี้มีคำว่า อาซูร่า นั่นไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นนะ แต่คือบาลีเลย คืออสูรนั่นแหละ
อาซูร่า....อสุระ อมร แปลว่าไม่ตาย อสุระ แปลว่า ไม่กล้า ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปเสกวัตถุมงคลที่บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ตรงนั้นเขาเรียกบ้านหนามตะเข้ พระอาจารย์เอกไปสร้างสำนักสงฆ์อยู่ เรียกว่าที่พักสงฆ์เขาธัมมสรณ์
คราวนี้ด้วยความที่ไกลมาก จากทองผาภูมิวิ่งไปเกือบ ๕ ชั่วโมง ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปหรือไม่ไป ท้ายสุดก็ เอ้า...คำนวณเวลาแล้ว น่าจะกลับมางานทัน..จึงไป ปรากฏว่าเป็นวันอาทิตย์ รถขึ้นก็มาก รถลงก็มาก แซงใครไม่ได้เลย ต้องคลานตามเขาไป กลับไปไม่ทันงานจนได้
อาจารย์เอกเขาทำพระพิฆเณศวร์ คือพอท่านให้พรอาตมาว่าจะมาช่วย ก็มีคนรีบทำรองรับไว้เลย สรุปว่าท่านช่วยใครกันแน่วะ ? ช่วยอาตมาตามที่รับปาก หรือว่าช่วยคนอื่นก็ไม่รู้ ?
อาจารย์เอกท่านชอบออกไปทางสายเสน่ห์ ไอ้โน่นก็อกแตก ไอ้นี่ก็รัญจวน ไอ้นั่นก็คิดถึง อาตมาเองประเภทห่วงก็ห่วง แต่ไม่รู้ว่าจะเตือนอย่างไร เพราะว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่ พอทำแล้วจะเกิดผลกับตัวเองก่อน ถ้าเกิดผลกับตัวเองแล้วสมาธิไม่มั่นคงนี่พังเลย เพราะว่าเพศตรงข้ามจะไหลมาเทมา"
"สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาขอวิชาได้ทุกอย่าง ยกเว้นสายเสน่ห์ ท่านไม่มีให้ ถามว่าทำไมครับ ? ท่านบอกว่า "สมัยก่อนข้าเกลียดที่สุด เจอวิชานี้อยู่ที่ไหน ถ้าฉีกทิ้งได้ฉีกทิ้ง เผาได้ข้าเผาเลย" ถามว่าทำไมละครับ ? ท่านบอกว่า "จำไว้ว่าเพศตรงข้ามนั้น เราคิดดี พูดดี ทำดีกับเขา เขาก็หลงเราจะแย่แล้ว ยังต้องไปทำเสน่ห์อีกทำไม ?" เออใช่...สรุปว่าอาตมาเรียนมาทุกอย่าง ยกเว้นสายเสน่ห์ไม่ได้เรียน ก็เลยทำเสน่ห์ใครไม่เป็น มีแต่ไล่เตลิดเปิดเปิง..!
สายเสน่ห์ที่เพิ่งจะโดนเล่นงานไป อะไรนะ..สาลิกาตาหวานใช่ไหม ? อาตมาว่าเรียนวิชามาเยอะแล้ว แต่วิชานี้ยังไม่เคยได้ยิน น่าจะเป็นการประยุกต์ขึ้นมา คราวนี้เขาแหกคอกจนเกินไป จะทำชาวบ้านตาบอด เรื่องของวิชาการต่าง ๆ ถ้าไม่เก่งจริงแล้วไปประยุกต์ส่งเดชนี่ มีสิทธิ์ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนได้
ต้องโน่น...ฝึกสายเข็มทองมา เออ...ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เพราะว่าเสกเข็มทองเข้าตัว แต่ว่าวิชาเข็มทองมีจุดอ่อน ก็คือถึงเวลาถ้าจะเกิดอันตรายหรือโดนอาวุธส่วนไหนของร่างกาย เข็มทองจะวิ่งออกมาต้านตรงนั้น จนมีนักเลงดีแก้ตก ก็คือจิ้มลูกตามัน พอจิ้มตาเข็มทองก็วิ่งออกมาต้าน คนนั้นตาบอดไปเลย
คราวนี้ทางด้านสายเข็มทอง ต้องหลวงพ่อพิมพ์มาลัย วัดหุบมะกล่ำ บรรดาลูกศิษย์ที่ไปเรียนมามีใครบ้าง อาตมาก็ไม่ได้ศึกษาติดตาม แต่ว่าของที่มีจุดอ่อนแบบนี้ต้องระวังเป็นอย่างสูง
เคยมีอยู่รายหนึ่งฝังเข็มทอง ผ่านเครื่องตรวจสนามบินไม่ได้ เขาเอาเครื่องปาดตรงมุมไหนของตัว ก็ดังหมด เพราะว่าเข็มวิ่งตาม ไม่ต้องไปไหนแล้ว ในเมื่อเครื่องตรวจดัง เขาก็ไม่ให้ผ่าน"
"อาตมาไปสกลนครมา ถึงเวลาก็ส่งกระเป๋าให้เขาไป บรรดาวัตถุมงคลก็ยัดอยู่ในกระเป๋าแล้ว เขาถามว่า "มีโทรศัพท์ มีเพาเวอร์แบงค์อะไรไหมครับ ?" "ไม่มีจ้ะโยม" ว่าแล้วก็เดินผ่านไป รอกระเป๋า พอตอนที่จะหยิบพระมาใส่กลับไปตามเดิม ปรากฏว่าพวงกุญแจพวงเบ้อเร่อเลยยังเหน็บเอวอยู่เลย ลืมไป..นึกว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ด้วยความที่คิดว่าไม่มี...ก็เลยไม่มี ผ่านเครื่องไป ไม่มีเสียงอะไรเลย
มีครั้งหนึ่งที่ไปประเทศจีน อากาศหนาวมาก โยมเขาถวายอะไรที่เป็นผงเคมี พอถึงเวลาแล้วช่วยให้อุ่นได้ เขาถวายไปประมาณ ๗ - ๘ ถุง ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า ปรากฏว่าส่งไปพักหนึ่ง เขาวิ่งมาตาม บอกว่าให้ไปเป็นพยานหน่อย เขาขอเปิดกระเป๋าค้น สงสัยว่าเป็นอะไร เขากลัวว่าจะเป็นพวกผงดินปืน เนื่องจากว่าเป็นเม็ด ๆ เหมือนกับผงดินปืนสมัยใหม่ ก็เลยหยิบออกมาให้เขาดูว่า เป็นผงเคมีที่ทำให้อุ่น ถึงได้รอดตัวไปที
ก็ไม่นึกว่าเขาจะตรวจละเอียดขนาดนั้น สแกนแล้วไม่ยอมปล่อยให้ผ่าน ทั้ง ๆ ที่เป็นกระเป๋าแล้วใส่ไว้ที่ใต้ท้องเครื่อง ปกติกระเป๋าใส่ใต้ท้องเครื่อง ต่อให้มีปืนมีมีดเขาก็ยังปล่อยผ่าน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ ส่วนใหญ่เอาแต่เล่นสนุก ลืมคิดถึงเรื่องอันตราย ลืมคิดถึงเรื่องอื่น ๆ บางทีพ่อแม่ก็ปวดหัวจะแย่ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็โน่น..กลับจากโรงเรียนก็แวะเล่นน้ำก่อน ครูตามไปตีข้างบ่อเลย ยังไม่ถึงบ้านถือว่าเป็นภาระของครู
ครูสมัยก่อนสปิริตสูงมาก กลางทางจะถึงบ้านอยู่แล้ว ถ้ายังไม่ถึงบ้านยังถือเป็นภาระของครู "ถ้าเธอเป็นอะไรไป ทางพ่อแม่จะไปเล่นงานครู เพราะฉะนั้น..ครูตีเธอตรงนี้เลย" ให้ไปตัดกิ่งสนมา ฟาดทีเดียวแตกสองแผลเลย ส่วนใหญ่จะตีน่อง แล้วไอ้เด็กแก้ผ้าโดดน้ำก็ไม่มีอะไรเหลือติดตัว ตีตรงไหนก็แตกตรงนั้น
ถ้าเป็นไปได้ อาตมาอยากให้ทางกระทรวงคืนไม้เรียวให้ครู อะไรที่โบราณเขาว่า ก็คือประสบการณ์ที่ตกผลึกแล้ว จัดเป็นภูมิปัญญาที่เถียงได้ยาก "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" การที่เราจะเลี้่ยงลูกแบบเพื่อนได้ เด็กจะต้องสั่งสมบุญในอดีตมามากพอ ในระดับที่จะมีจิตสำนึกด้วยตนเองเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง ถ้าเห็นพ่อแม่เป็นเพื่อน ไม่มีที่ให้เกรงใจ ก็มักจะออกมาเป็นเด็กนรกอย่างที่เห็น แล้วส่วนใหญ่สมัยนี้พ่อแม่ก็ไม่กล้าตีลูก ต่างประเทศหลายประเทศมีกฎหมายเลย ตีลูกเมื่อไร พ่อแม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย"
"วัดท่าขนุนรับบวชสามเณรภาคฤดูร้อนแต่ละที โยมยัดไปชนิดที่ล้นวัดเลย ปีนี้ขนาดแอบ ๆ บวช ยังปาไปตั้ง ๖๐ รูป เพราะว่าพ่อแม่ไม่กล้าตี แต่รู้ว่าถ้าไปอยู่วัดท่าขนุนโดนไม้แน่นอน ที่นี่ประกาศชัดตั้งแต่แรกแล้ว "ถ้าแหกระเบียบโดนตีทุกคน"
ถ้าโยมเห็นรูปแล้วจะชื่นใจมากเลย ไม่ว่าจะลุก จะนั่ง จะกราบ พร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด เพราะถ้าพลาดขึ้นมา บางทีพี่เลี้ยงตียกชุดเลย..! ไม่ได้ตีคนเดียว ต้องช่วยกัน ถือว่ารับผิดชอบร่วมกัน โดนหมด บางคนเขาก็สงสัย อะไรวะ..เด็กเพิ่งจะบวช ทำได้ขนาดนี้เลยหรือ ? อ๋อ..เขาบวชหลายครั้งแล้ว เขารู้ดีว่าถ้าพลาดแล้วจะโดนอะไร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อพระครูสันตยาภิรัต เจ้าอาวาสวัดคงคาราม จ.ราชบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์เรียนปริญญาตรีของอาตมา นิมนต์ไปนั่งปรกงานอธิษฐานจิต งานหล่อพระวันที่ ๑๗ เมษายน อันนี้ท่านรู้ดีว่าพระอาจารย์ไม่ค่อยจะมีเวลา ท่านจึงนิมนต์ตั้งแต่ปีที่แล้ว นิมนต์ปีกว่าเลย ก็คือให้มีเวลาลงให้ท่าน บอกว่าจะขออนุญาตนำวัตถุมงคลเข้าพิธีด้วย และขอทำป้ายประชาสัมพันธ์ ก็เลยบอกว่า เอาไปไว้ข้างที่นั่งตอนหล่อพระเลย เดี๋ยวจะเสกให้
อย่าลืมว่าวัดคงคารามนี่เป็นวัดของเจ้าเมือง ต้นตระกูลเจ้าเมืองมอญ ๗ หัวเมือง สายนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะว่าสายมอญนั่นก็คือสายของหลวงพ่อมหาเถรคันฉ่อง หลวงพ่อมหาเถรคันฉ่องก็คือสมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว ท่านโกยเอาวิชาสารพัดของทางด้านโน้นติดมาเมืองไทย เผยแพร่ให้คนไทย"
"ถ้าโยมสังเกตดู พวกเบี้ยแก้ ตะกรุดหนังเสือ ตะกรุดมหาจักรพรรตราธิราช สายโน้นทั้งนั้น ตะกรุดมหาโสฬส พวกลบผง อิทธิเจ ปถมัง มหาราช ตรีนิสิงเห มาจากสายนั้นทั้งนั้น ก็คือทางด้านโน้นเขาจะมีวิชาการสำเร็จยันต์ นั่งปลุกเสกเลขยันต์ เขียนยันต์ ชักยันต์ ลบผงไปเรื่อยจนกว่าจะทรงฌาน ๔ สมาบัติ ๘ หรือไม่ก็บรรลุมรรคผลกันไปเลย
พวกสำเร็จปรอท นั่งภาวนาหลอมปรอทกันเป็นเดือนเป็นปี สำเร็จประคำ ก็ภาวนานับลูกประคำขาดกันชนิดไม่ต้องนับสายเลย อย่างหลวงพ่ออุตตมะท่านสำเร็จประคำ สำเร็จยา พวกนี้จะหลอมยา ถ้าทำถึงที่สุดท่านบอกว่าจะได้ยาอายุวัฒนะ แต่อาตมาไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร ทุกวันนี้อาตมาก็เบื่อชีวิตเต็มที่แล้ว อยู่วันหนึ่งก็ลำบากมากขึ้นวันหนึ่ง
ทางด้านโน้นวิชาการเขาแบ่งเป็นสาย ๆ แบบนี้ พวกเบี้ยแก้ ปรอทสำเร็จอะไรมาสายนั้นหมด ท่านคือต้นตระกูล ต้นสายวิชา แต่กลายเป็นว่าพระอาจารย์เล็กน่าจะเก่งกว่า ก็เลยนิมนต์ไปเสกของให้หน่อย
คราวล่าสุดที่ไปงานศพท่านอาจารย์กามเทพ มิ่งสำแดง ที่มาทรงเจ้าเมืองให้ที่วัดท่าขนุน โห...คนมอญล้นวัดเลย มากันเป็นหมื่น ๆ คน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ร้านทองจินฮั่วเฮง อันนี้ต้องบอกว่าเป็นภาษาจีนกลางบวกแต้จิ๋ว คำว่า จิน เป็นจีนกลาง ฮั่วเฮง นี่แต้จิ๋ว ฮั่วเซ่งเฮงนี่แต้จิ๋วล้วน ๆ
บางทีอาตมาก็รู้มากไป บางทีอ่านเรื่องที่เจ๊ซกลั้งแกเขียน ก็เลยขำ ๆ ว่าเจ๊แกเขียนมาได้อย่างไร พระเอกชื่อเม้งจู เม้งจูเป็นชื่อผู้หญิง คงพอ ๆ กับที่ผู้หญิงชื่อสมศักดิ์นั่นแหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม่น้ำยมแห้งสนิท แม่น้ำปิงสันดอนโผล่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แม่น้ำมูลสันทรายโผล่ สรุปก็คือจะไม่มีน้ำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..ตอนนี้พายุฤดูร้อนจะเข้ากี่ลูกก็เข้ามาเถอะ อาตมาก็เตือน ๆ แค่ที่พูดได้นะ โยมก็พยายามตีความเอาหน่อยก็แล้วกัน ที่บอกไว้ตั้งแต่ปีใหม่ที่ว่าให้ระวัง มีกระทั่งไฟใต้ดิน ตอนนี้มาเยอะเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกนามสกุล ณ เชียงใหม่ ณ ลำปาง ณ แพร่ ณ น่าน เป็นตระกูลเจ้าเจ็ดตนทั้งหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมจะไปตรวจงานชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน อาตมาก็เพิ่งรู้ว่าชุมชนคุณธรรมต้นแบบนี่ จังหวัดเขาต้องประเมินทุกปี เพราะว่าเพิ่งได้รับประกาศนียบัตรมาอีก แสดงว่าจะได้ปีละใบ
ของกาญจนบุรีนั้น อำเภอทองผาภูมิได้ต้นแบบอยู่ ๙ วัด ส่วนที่เหลือมีระดับส่งเสริมคุณธรรม ระดับคุณธรรม ระดับคุณธรรมส่วนใหญ่ก็จัดกิจกรรมตามปกติ ระดับส่งเสริมคุณธรรมนี่มีจัดโครงการต่าง ๆ ส่วนพวกต้นแบบอย่างของอาตมานี่ก็สารพัดงาน ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ชาวบ้านเขาอยู่ดีกินดี"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเช้าอ่านข่าวภาคภาษาอังกฤษ แต่มาจากประเทศจีน ตัวเอกชื่อซื่อหยุน ไปคุนหมิงแล้วก็ซื้อลูกหมามาหนึ่งตัว คนขายบอกว่าเป็นหมาทิเบต กินอาหารจุมาก แล้วก็ดุมาก ถ้าคุณคิดว่าคุมไม่ไหวก็อย่าซื้อไปเลย เขาก็ยังอุตส่าห์ซื้อมา ปรากฏว่ากินแหลกจริง ๆ เขาบอกว่ากินบะหมี่วันละ ๒ ถัง คราวนี้ก็โตเอา ๆ แกก็ว่า เออ...ตัวโตจริง ๆ ตั้งชื่อว่า little black คาดว่าภาษาจีนเรียก "เสี่ยวเฮย" คราวนี้เป็นภาษาอังกฤษก็เลยแปลมาอย่างนั้น
เขาบอกว่า วันนั้นพอเข้าไปในครัว เห็นเสี่ยวเฮยยืน ๒ ขา ก็เลยแปลกใจ บอกกับสามี สามีบอกว่าไม่เคยเห็นหรือ..? ไอ้พวกหมาตัวเล็ก ๆ ยืน ๒ ขาเยอะแยะไป ก็โอเค ปรากฎว่าเลี้ยงผ่านไปหนึ่งปี กรงไม่พอใส่ ตัวใหญ่จนต้องให้ไปอยู่ในสวนหลังบ้าน แล้วไอ้เจ้านี่ก็กินทั้งผัก กินทั้งเนื้อ กินทั้งผลไม้ เวลาผ่านไป ๑ ปี น้ำหนัก ๑๘๐ กิโลกรัม เขาก็บอก เอ..เสี่ยวเฮยหน้าตาดูแปลก ๆ นะ ท้ายสุดก็เลยเข้าไปหาข้อมูล จนมั่นใจแล้วว่าไม่ใช่หมาทิเบต เพราะว่าหมาทิเบตทุกตัว หน้าตาไม่ใช่อย่างนี้ ก็เลยโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาดู
ตำรวจเห็นแล้วช็อก เขาบอกว่า ไอ้ตัวนี้เขาเรียกว่าหมีควาย ตอนแรกเขาก็โทรไปหาคนขาย บอกว่าเสี่ยวเฮยฟันใหญ่มาก คนขายบอกว่า "โอ๊ย...ธรรมดา หมาตัวใหญ่ ฟันก็ต้องใหญ่" คนเอามาขายก็คงเข้าใจว่าเป็นลูกหมาทิเบต หรือไม่ก็หมาทิเบตนั้นแพง จึงเอาลูกหมีควายมาขายแทน ซื้อลูกหมีควายราคาถูก ๆ มาขายเป็นหมาทิเบต"
"อ่านไปก็หัวเราะไป เขาบอกว่าเห็นเสี่ยวเฮยยืน ๒ ขาอยู่ในครัว ค้นอาหารกิน ก็เลยโทรไปหาสามี สามีบอกว่าหมาเล็ก ๆ ยืน ๒ ขากันเยอะแยะไป ไอ้นี่ตัวใหญ่ก็เลยเกาะครัวถึง ขำก็ขำ ยังดีว่าถ้าโตกว่านั้น สงสัยว่าคงได้กินคนแน่ ๆ น้ำหนักตั้ง ๑๘๐ กิโลกรัม
สมัยอาตมายังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ชาวบ้านเขาเอาลูกหมีควายมาให้เลี้ยง เวลายืน ๔ ขาก็ประมาณหมาตัวใหญ่ ๆ แต่พอยืน ๒ ขานี่ สูงเกือบถึงไหล่ของอาตมา ตอนแรกก็เอากล้วยกับนมไปเลี้ยง ปรากฏว่าเดินเข้าไปใกล้ โดนตบขันใส่นมกระจายเลย ตอนแรกก็ เอ๊ะ..ตบตอนไหนวะ ? ทำไมดูไม่ทัน พอมาดูตัวเอง หนักเข้าไปอีก แขนตัวเองมีรอยเล็บ ๔ รอย อยู่ ๒ แถว คือ ๘ รอย แสดงว่าโดนตบ ๒ ที แต่ดูไม่ทันเลย ทำไมถึงได้เร็วขนาดนั้น โชคดีที่หนังเหนียว โดนตบแล้วไม่เข้า ไม่อย่างนั้นได้แหว่งเป็นแถบแน่ เป็นรอยขีดแดง ๆ อยู่ ๒ แถว ๆ ละ ๔ รอย
ปรากฏว่าเลี้ยงเอาไว้ในหอฉัน ก็คือให้อยู่ที่กว้าง ๆ หน่อย ตื่นเช้าขึ้นมา..หาย แหกหน้าต่างออกไป มุ้งลวดพังบรรลัยหมดเลย อย่างว่าแหละ..เล็บหมีตะกายไม่กี่ที มุ้งลวดก็พังแล้ว"
"สมัยที่ยังอยู่เกาะพระฤๅษี พวกสัตว์ป่าเยอะ เพราะว่าพื้นที่ก็คือ ป่าสงวนเขาพระฤาษี-เขาบ่อแร่ แปลง ๑ ต่อเนื่องกับอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อยู่กลางป่าดี ๆ นี่เอง วันดีคืนดีนั่งรถป่าไม้ออกไป ปรากฏว่าผู้ใหญ่พงศ์ ตอนนั้นยังเป็นคนงานอยู่ ยังไม่ได้สมัครผู้ใหญ่บ้าน มองไปไกล ๆ "หมา" "หมาพ่อมึงสิ...! หางยาวเท่าตัว นั่นเขาเรียกเสือดาวโว้ย..!" เสือดาวออกมานอนกลิ้งเล่นฝุ่นอยู่บนถนน เขาคิดว่าเป็นหมาดัลเมเชี่ยน..! หัดดูหางไว้บ้าง หางยาวเท่าตัวมีหรือจะเป็นหมา ? พอมาตอนหลัง เวลาไปไหน ผู้ใหญ่พงศ์นั่งทับปืนไปด้วย ถามว่าจะเอาไปทำอะไรวะ ? "อุ่นใจหน่อยครับ เจอเสือเจออะไรจะได้ยิงไล่"
วันดีคืนดีหมาก็ไล่เก้งวิ่งเตลิดเข้ามาในเกาะ เณรก็ช่วยกันจับเก้งไว้ บอกให้เอาไปปล่อย ก็ต้องรอแล้วรออีก กว่าที่หมาจะยอมไป ไม่อย่างนั้นหมาก็ยืนรี ๆ รอ ๆ ไม่ไปไหน ที่เกาะพระฤๅษีมีลำห้วยล้อมรอบอยู่ พอเก้งหนีหมาก็กระโจนลงห้วย แล้วก็ว่ายน้ำขึ้นมาในเกาะ"
"ที่เยอะที่สุดคืองูจงอาง เดี๋ยว ๆ ก็มาตัวหนึ่ง เดี๋ยว ๆ ก็มาตัวหนึ่ง แต่ว่าที่ไหนมีงูจงอางนั้นดีอยู่อย่างหนึ่ง คืองูอื่นไม่มี เพราะว่าโดนกินหมด งูจงอางมีหลายแบบ แบบตัวสีน้ำตาล เขาเรียกว่าจงอางลายลูกหวาย ถ้าใครเคยเห็นลูกหวาย จะเห็นว่าเป็นลักษณะเหมือนกับเกล็ดงู แล้วก็สีดำที่เป็นจงอางดำ ยังมีแบบสีดำหลังลายเป็นบั้ง ๆ ที่อาตมาเจอตัวใหญ่ที่สุดก็สีดำหลังบั้งนี่แหละ ตัวเกือบเท่าบาตรพระ..!
ต้องบอกว่าปู่งูตัวนี้คงจะอยู่มานานแล้ว แต่ถึงที่ตาย ก็คือไฟเพิ่งจะไหม้ป่าไปไม่นานแล้วฝนตก เจ้านั่นก็เลื้อยออกมาหากิน คุณมานิตย์ วรรณโพธิ์ หัวหน้าคนงาน อยู่บนรถหกล้อ มองเห็นเลื้อยเข้าไปในโพรงไม้ใหญ่ ก็บอกลูกน้อง "เฮ้ย..งูเหลือมเลื้อยไปตรงนั้น ไปยิงเอามาแบ่งกันกิน" เจ้าลูกน้องก็อัดปืนแก๊ปอย่างดีแล้วเดินเข้าไป"
"คราวนี้งูใหญ่โดยเฉพาะงูดุแบบจงอางมักจะไม่กลัวใคร พอได้ยินเสียงคนเดิน ก็ยื่นหน้าออกมาคารู มาดูว่าเป็นใคร เจ้านี่พอเห็นก็เอาปืนทิ่มเข้าจมูกแล้วยิงเลย โห..พอดิ้นป่าแตกออกมา คนยิงก็เข่าอ่อนกองอยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่เป็นเลย เพราะเพิ่งเห็นว่าเป็นงูจงอาง ด้วยความที่หลังงูลายเป็นบั้ง ๆ แล้วยังติดขี้เถ้าที่เปียกฝนมา คุณมานิตย์เห็นตัวใหญ่ขนาดนั้นเลยนึกว่างูเหลือม ถ้ารู้ว่าเป็นจงอางใหญ่ขนาดนั้น ไอ้นั่น..จ้างเป็นล้านก็ไม่ไปหรอก ลากออกมา ยาว ๔ เมตรกว่า วัดตรงกลางตัวใหญ่เกือบ ๘ นิ้ว
คราวนี้ไอ้แจ๊คคนงานไปเอาปลายหางมา เอามาขึงตากแดดไว้ อาตมาเห็นก็ตกใจ "มึงเอามาทำอะไรวะ ?" "ผมจะเอามาทำเข็มขัดครับ" "มึงรีบเอาไปทิ้งไกล ๆ เลย งูใหญ่ส่วนมากจะมีคู่ ทะลึ่งไปเอาหนังคู่ของมันมาไว้ที่นี่ เดี๋ยวคู่ของมันตามมา ก็ได้ตายกันยกสำนักงาน...!" ปรากฏว่าคู่เจ้าตัวนี้มาช้าไป ๒ ปี อีก ๒ ปีให้หลัง ตอนที่ยิงได้ น่าจะประมาณปี ๒๕๓๗ คู่คงมาราว ๆ ปี ๒๕๓๙ กัดวัวตายไปตัวหนึ่ง ควายตายไปตัวหนึ่ง รอยเขี้ยวห่างขนาดนี้ (ทำมือให้ดูประมาณสี่นิ้วฟุต) ลองนึกถึงถ้าฟันขนาดนี้ แล้วหัวงูจะใหญ่แค่ไหน ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ที่วัดมีตำรวจประจำการอยู่ประมาณ ๓๐๐ นาย ไม่ได้ไปเฝ้าวัดหรอก แต่ไปอารักขาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา กับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ คราวนี้ไม่มีที่พัก ตำรวจก็มาขออาศัยที่วัด ดีมากเลย..มาเยอะกว่านี้ก็ได้ ดูสิว่าใครจะกล้าอุ้มหลวงพ่อทองคำบ้าง เจอตำรวจ ๓๐๐ นาย ไม่รู้ว่าจะเดินหลบไปทางไหน
ระยะหลังพอมีงาน ทางด้านผู้กำกับก็ "หลวงพ่อครับ...ขอที่พักให้กำลังพลหน่อยครับ" แล้วเขาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา มีอยู่ชุดหนึ่งอยู่ถึงประจวบคีรีขันธ์โน่นยังมาเลย "แล้วคุณมาได้อย่างไร ? "พอดีถึงคิวพวกผมครับ" อาตมาก็นึกว่าเอาเฉพาะในพื้นที่หรือในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ความจริงแล้วเขาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา
แล้วจะรู้ว่าทองผาภูมินั้นไกลแค่ไหน ถ้าบอกว่ากาญจนบุรี ส่วนใหญ่คนเขาคิดว่าใกล้ ลองนึกดูว่าจากกรุงเทพฯ ผ่านนครปฐม ราชบุรีในส่วนของบ้านโป่ง แล้วถึงจะเป็นกาญจนบุรี ๔ จังหวัด ๑๒๖ กิโลเมตร แต่จากกาญจนบุรีไปทองผาภูมิ อำเภอเดียว ๑๔๐ กิโลเมตร..! ไกลกว่า ๔ จังหวัดอีก"
"สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา จำพระนามของพระองค์ท่านกันได้หรือยัง ?
กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลใช่ไหม ? ออกมาแล้วเข้าไปใหม่ นึกว่าพระองค์ท่านหายเป็นปกติแล้ว
ส่วนกรมพระศรีสวางควัฒน ต้องบอกว่าร่างกายของพระองค์ท่านไม่แข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอพระชนมายุมากก็เลยหมดเรี่ยวหมดแรงหนักเข้าไปใหญ่
ทางด้านคณะสงฆ์กาญจนบุรี พระครูกาญจนสุตาคม เจ้าคณะอำเภอท่าม่วง พระครูวุฒิกาญจนวัตร รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เส้นเลือดในสมองแตกทั้งคู่ ตอนนี้ก็กึ่ง ๆ อัมพาต กำลังกายภาพบำบัดกันอยู่ ยังดีว่าเป็นเส้นเลือดเส้นเล็ก ถ้าเป็นเส้นใหญ่นี่คงแย่เลย"
พูดถึงเหรียญสมเด็จองค์ปฐมมหาสะท้อนเนื้อทองคำ หลังจากที่จาร "ตอนที่ให้พรโยม ต้องรีบคืนพลังให้พระท่าน อยู่นานไปร่างกายจะรับไม่ไหว อาตมาแก่แล้ว เวลาโดนกดลงมา รู้สึกตึงไปหมด บางทีก็เกิดอาการปวดหัวเหมือนกัน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้แนะนำว่า "วัตถุมงคลของข้า ให้หารุ่นสุดท้ายเอาไว้ ใครอยากได้รุ่นแรกให้เขาไป เพราะเวลาที่พระท่านสงเคราะห์ ถึงเวลาท่านให้อะไรเพิ่ม ต่อไปพระองค์ท่านก็จะเพิ่มไปเรื่อย ฉะนั้น..พระองค์ท่านเคยให้เท่าไรก็ให้แค่นั้น ถ้ามากขึ้่นก็จะบอก ก็เลยหารุ่นสุดท้ายไว้จะดีกว่า"
พกวัตถุมงคลภาวนาทุกวันนะ ตอนนี้เรือดำน้ำรัสเซียกำลังซ้อมทะลวงน้ำแข็งอยู่ เอาไปซ่อนไว้ใต้ผิวน้ำแข็ง ฝ่ายตรงข้ามจะได้ตรวจการณ์ไม่เจอ
ตอนนี้ถ้าหากว่ามีการปะทะกัน เทคโนโลยีของอเมริกาสู้จีนไม่ได้ อเมริกาก็เลยต้องหาตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี พูดง่าย ๆ ก็คือให้พวกนี้ออกหน้าแทน ถึงเวลาจะได้โดนแทน ต้องบอกว่าชั่วร้ายมาก..!"
ถาม : เวลาเราถือศีล ๕ หรือศีล ๘ บางครั้งจิตเราชอบคิดว่าเราดีกว่าคนไม่มีศีล อย่างนี้ต้องแก้ไขอย่างไรให้ถูกต้องคะ ?
ตอบ : อันนี้เป็นกิเลสละเอียด เขาเรียกว่ามานะ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ เห็นทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด ต่างคนต่างก็ดิ้นรนอยู่ในกองทุกข์ ตราบใดที่ยังพ้นไปไม่ได้ ไม่มีใครดีกว่ากันหรอก ท้ายสุดก็ตายเหมือนกัน
ถาม : เวลามีข้อสงสัย หนูชอบไปนั่งสมาธิหน้าพระประธานที่วัดพระแก้วหรือที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ ตั้งใจว่า หนูถามพระพุทธองค์ คราวนี้ก็จะมีเสียงแว่วมา ตอนแรกก็จะเป็นคำพูดสั้น ๆ หลัง ๆ ก็จะเริ่มยาวขึ้น ทำให้หนูไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งเอาเป็นสาระ เอาไว้ให้แน่ใจก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนหลอกเตลิดเปิดเปิงได้ง่าย ๆ
ถาม : ในฝัน ถ้าเราด่าใครได้ก็ด่าเลย ถ้าใครทำร้ายเรา เราทำกลับได้เลย อยากรู้ว่า...?
ตอบ : ให้รู้ว่าในฝัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นน้ำใสใจจริงของเรา ในฝันเราห่วยแค่ไหน แปลว่ากำลังของใจเราห่วยแค่นั้น เพราะฉะนั้น..มีอย่างเดียวก็คือเร่งการปฏิบัติของเราให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ระงับยับยั้งให้ได้ ไม่ว่าในฝันหรือนอกฝันเราไม่ทำก็จบแล้ว ส่วนใหญ่ในฝันเราจะบังคับไม่ได้ เพราะว่ากำลังใจที่แท้จริงของเราเป็นอย่างนั้น
ถาม : ถ้าเราจะแบ่งกำลังใจส่วนหนึ่งไว้เกาะพระนิพพาน ทำอย่างไรถึงจะได้ผลดีที่สุดครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาแบบนั้นก็แบ่งไปเยอะ ๆ เหลือไว้ข้างล่างสัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็พอ เดินตกหลุมตกร่องก็เป็นเรื่องของร่างกาย
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมา พระเถระสมณศักดิ์สูง ๆ มรณภาพหลายรูป ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อวัดโพธิ์ หลวงพ่อวัดระฆัง หลวงพ่อวัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบุรี แล้วก็มาล่าสุด หลวงพ่อวัดปรมัยยิกาวาส ล่าสุดต้องบอกว่าน่าใจหาย เพราะว่าไปพุทธาภิเษกมาด้วยกัน นั่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ผ่านไป ๓ วันมรณภาพ ไปพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่วัดสะพานสูง จังหวัดนนทบุรี คือวัดหลวงปู่เอี่ยม เสกเสร็จไม่นานท่านก็มรณภาพ ยังดีที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนกันโควิดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะโทษว่ามรณภาพเพราะวัคซีนอีก..!
วัดสะพานสูงโด่งดังตั้งแต่สมัยหลวงปู่เอี่ยม เพราะว่าท่านทำตะกรุดมหาโสฬสกับพระปิดตามหาโสฬส จากหลวงปู่เอี่ยมก็มาถึงยุคหลวงปู่กลิ่น ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง แล้วก็มาหลวงพ่อทองสุข หลวงปู่วาส สามารถสืบสายลงมาได้ ๔ ชั่วคน ก็ถือว่ารักษาชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ได้ดีมาก"
"ตอนที่ไป เจ้าอาวาสท่านพาไปกราบอัฐิหลวงปู่เอี่ยมและหลวงปู่กลิ่น ปรากฏว่าของหลวงปู่ทองสุขแยกไปอยู่ต่างหาก ก็สงสัยว่าเพราะเหตุใด ? ได้รับคำอธิบายว่าหลวงปู่ทองสุขไม่ใช่คนสะพานสูง อ้าว..มีอย่างนี้ด้วย..!? ถ้าเป็นวัดท่าขนุนนี่ตายเลย เพราะว่าวัดท่าขนุน เจ้าอาวาสรูปแรกที่ปรากฎนามก็คือหลวงปู่พุก ท่านเป็นมอญโพธาราม ไม่ใช่คนท่าขนุน
เจ้าอาวาสรูปที่ ๒ คือหลวงปู่เต๊อะเน็ง เป็นกะเหรี่ยงนอกจากประเทศพม่า เจ้าอาวาสรูปที่ ๓ หลวงปู่สาย มาจากวัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ แล้วจะเอาคนท่าขนุนที่ไหนมา ? ก็มีท่านอาจารย์สมเด็จ ท่านอาจารย์สมพงษ์ สองรูปต่อมาที่เป็นคนท่าขนุน ก็สึกไปแล้วทั้งคู่ ปัจจุบันนี้พระอาจารย์เล็กยิ่งไกลใหญ่เลย มาจากนครปฐม
ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องแปลก ๆ ถ้าท่านทำไม่ดีไม่งามอะไรก็ว่าไปอย่าง ปรากฏว่าในหอเก็บอัฐิไม่มีอัฐิหลวงปู่ทองสุข เพราะว่าหลวงปู่ทองสุขไม่ใช่คนสะพานสูง อาตมาฟังแล้วตลก"
"วัดสะพานสูงสร้างวัตถุมงคล ๑๒๕ ปีมรณภาพหลวงปู่เอี่ยม สรุปว่าหลวงปู่เอี่ยมมีหลายองค์ และดังมากทุกองค์ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง วัดหนังนั่นระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสด็จเป็นปกติ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลที่ ๕
หลวงปู่ทองสุขท่านดังตะกรุดมหาโสฬส เพราะว่าเสกด้วยโองการมหาทมื่น วันละ ๙ จบ ต้องเสกให้จบ ๑๐,๐๐๐ จบ ก็ใช้เวลาประมาณ ๓ ปี ตะกรุดแต่ละดอกกว่าจะออกมาได้นี่ต้องเสกอย่างน้อย ๓ ปี เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงดัง เสกวันละ ๙ จบอย่างน้อย ๓ ปี
ถ้าหากว่าใครมีโอกาส ก็ศึกษาพวกของยากอย่างโองการมหาทมื่นดูบ้าง แต่ว่าสมัยนี้คนเขาไม่ชอบของยากกัน รุ่นอาตมาว่าขี้เกียจแล้วก็ยังศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีโยมถวายสร้อยคอทองคำ น่าจะหนัก ๑ บาท แต่คงใช้จนเก่าคร่ำเลย เพราะว่าเหลือแค่ ๑๒ กรัมกว่า ๆ น่าจะใส่อยู่เป็น ๑๐ ปี ไม่น่าเชื่อว่าเนื้อคนจะกินทองไปได้ขนาดนั้น แต่ก็ลงบัญชีให้โยมไปว่าหนักหนึ่งบาท จะขาดนิดขาดหน่อย อย่างไรอาตมาก็ต้องเติมจนเต็มอยู่แล้ว
พระอาจารย์มหาเอเพิ่งจะให้ช่างหลอมหุ่นขี้ผึ้งเพื่อตรวจสอบดู ปรากฏว่าหลวงพ่อปางห้ามสมุทรเนื้อเงินใช้เม็ดเงินในการหล่อ ๑๔๐ กิโลกรัม เนื้อทองคำใช้ทองคำในการหล่อ ๓๕ กิโลกรัม ตอนนี้อาตมาขาดทองคำอยู่แค่ ๔ กิโลกรัม อีกไม่กี่เดือนต้องได้แน่นอน ถ้าไม่ได้ก็ซื้อเพิ่ม
เดือนก่อนมีโยมถวายไปคนเดียว ๑ กิโลกรัมกับ ๒๐ บาท ถวายในนามบริษัทสุวรรณวิศว์ แต่คราวนี้ถ้าโยมทำลักษณะนี้ คนที่มีโอกาสได้ทำก็จะมีน้อย แต่ว่าก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คนมีมากก็ทำมาก คนมีน้อยก็ทำน้อย คนไม่มีก็โมทนาเอา
สมัยที่อาตมาไปสร้างกุฏิแม่ชีในแดนสงบใหม่ ๆ ก็มีแม่ชีอยู่ท่านหนึ่ง ฟังหลวงพ่อฤๅษีฯ คุยถึงเมณฑกเศรษฐีว่าทำบุญปิดทองส้วมด้วยแผ่นทองเท่าปีกริ้น น่าจะเป็นทองคำเปลว แล้วรวยจนนับเงินไม่ได้ พออาตมาสร้างห้องน้ำ ก็คอยวิ่งไปปิดทองก้นหลุมส้วม จนต้องด่าให้ได้สติว่า เมณฑกเศรษฐีสองคนผัวเมีย ทำบุญด้วยศรัทธาสูงสุดในคุณพระศรีรัตนตรัย แม้ไม่มีที่เหลือให้ทำบุญแล้ว เอาทองไปปิดก้นหลุมส้วมก็ยังยินดีที่ได้ทำบุญตรงจุดนั้น ไม่ใช่ทำเพราะโลภมากอยากรวย..!"
ถาม : จะถวายพระไตรปิฎก ไปที่ไหนดีคะ ?
ตอบ : ถามวัดอื่นก็แล้วกัน วัดท่าขนุนมีตั้ง ๗ - ๘ ชุดแล้ว ที่วัดท่าขนุนยังดีว่าพระเราเรียน มจร. ต้องใช้พระไตรปิฎกเป็นประจำ ขนาดนั้นยังรู้สึกว่ามีมากแล้ว แล้ววัดที่ท่านไม่เคยสนใจที่จะเปิดเลย ตู้โดนฝุ่นจับเขรอะอยู่น่าจะมีเยอะมาก
ถาม : แล้วที่วิทยาลัยสงฆ์ ?
ตอบ : ของเขาก็มีประจำห้องสมุดอยู่แล้วตั้ง ๑๐ กว่าชุด ทำอย่างอื่นไปเถอะ พระไตรปิฎกราคาแพงด้วย หรือไม่ก็โน่น..ถวายเงินร่วมสร้างวิทยาลัยสงฆ์ ตั้งใจว่าสร้างในส่วนของห้องสมุด แต่จริง ๆ แล้ววิทยาลัยสงฆ์เป็นที่เรียนของพระ ถือว่าเป็นวิหารทานด้วย เป็นธรรมทานด้วย ไม่จำเป็นต้องไปเน้นแค่ห้องสมุดก็ได้
ตอนนี้การยกห้องเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงครามเป็นวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีก็ต้องบอกว่าผ่านแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนสุดท้ายคือรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น ถ้าหากว่าทัน ปีนี้ก็จะเปิดปริญญาโทไปด้วยเลย ถ้าหากว่าไม่ทัน เราก็จะเอานักเรียนที่จบปริญญาตรีมาเรียนพื้นฐานรอปีต่อไป เพราะว่าปริญญาโทนั้น พื้นฐานภาษาอังกฤษกับงานวิจัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เรื่องนี้ต้องถามพระครูกาญจนปริยัติคุณ (พระครูบ่าว) เรียนปริญญาโทบอกว่าสบายมาก ขณะที่คนอื่นน้ำตาจะเล็ด ไอ้ที่สบายมากเพราะว่าตอนเรียนอยู่ห้องเรียนวัดใต้ ท่านอาจารย์ด็อกเตอร์อัมพร บังคับเขียนงานวิจัยตั้งแต่ชั้นปริญญาตรี คราวนี้พอทำไป ๒ รอบ ๓ รอบ เคยชินกับรูปแบบงานวิจัย พอไปเรียนปริญญาโทก็ง่ายเลย ก็เหมือนอย่างกับทำรายงานเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง
ส่วนที่ยากของงานวิจัย ไม่ใช่การเขียนงานวิจัย แต่เป็นการเขียนบทความประกอบงานวิจัย ใครฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องฟังนะจ๊ะ การเขียนบทความทางวิชาการ อาตมาว่าเป็นคนเขียนหนังสือเก่งมากนะ...ต้องชมตัวเอง ปรากฏว่าเขียนไปแล้วไม่ผ่าน เพราะไปแทรกความคิดส่วนตัวเข้าไป เขาไม่เอาเลย พอถึงเวลาก็มีวงแดง ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจบทความมาเลย แถมเขียนกำกับมาด้วยว่า "ความคิดส่วนตัว โปรดเปลี่ยนเสียใหม่"
เขาจะเอาตามหลักทฤษฎีหรือหลักวิชาการเท่านั้น ก็เลยกลายเป็นของยากไปได้ ไม่อย่างนั้นบทความวิชาการงานไม่กี่หน้า อาตมาควาน ๆ หาครึ่งวันก็ได้เหลือเฟือแล้ว ปรากฏว่าส่งไป แก้แล้วแก้อีกกว่าจะผ่าน ตอนเรียนปริญญาโท ถ้าจำไม่ผิดต้องแก้อยู่ ๓ ครั้ง
ตอนเรียนปริญญาเอกนี่รู้แล้ว ไม่ต้องแก้เลย ส่งต้นฉบับ pdf.file เข้าไปในไลน์กลุ่มของมหาวิทยาลัย ท่านอาจารย์ผู้ดูแลบทความตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วแจ้งว่า "ส่งตัวจริงมาได้เลยครับ...ผ่านแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมาเพิ่มบัญชีกฐินปลดหนี้มาอีกหนึ่งบัญชี ยังไม่รู้ว่าจะหาให้ท่านอาจารย์หนึ่งได้สักเท่าไร
ปีที่แล้วมีแต่เพื่อนพระสังฆาธิการบ่นว่า เจ้าภาพรับปากไว้ว่าจะทอดกฐินแล้วก็มาบอกคืนหมด คำว่า "มาบอกคืน" ก็คือขอยกเลิกการเป็นเจ้าภาพ ก็ต้องเห็นใจญาติโยมว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ อาละวาดหนักจริง ๆ พอเศรษฐกิจไม่ดีอย่างอื่นก็ไม่ดีไปหมด"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่พาลูกมาทำบุญว่า "ลูก ๆ อายุเท่านี้แม่ต้องวิ่งไล่ทั้งวัน ความจริงมีเคล็ดลับอยู่นิดเดียวว่าอย่าไปไล่ นั่งอยู่เฉย ๆ ลูกไปไม่ไหนไกลพ่อแม่หรอก เดี๋ยวเขาก็วิ่งกลับมา เพียงแต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่ไปห่วงมาก ถึงเวลาก็ต้องวิ่งไล่จับกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ถ้าหากว่าเป็นโบราณ จะเป็นช่วงของฝนชะลาน หรือฝนชะช่อมะม่วง แต่คราวนี้เลยมาจนจะเข้าสงกรานต์แล้ว โบราณเขาจะบอกกันเลยว่า สงกรานต์ฝนฟ้าแรงให้ระมัดระวัง
คำว่า ฝนฟ้าแรง หมายถึงจะเกิดพายุฤดูร้อน เนื่องจากว่าสภาพอากาศร้อน พอฝนตกอากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้เกิดลมแรง
คราวนี้โลกเราเสียสมดุลมาก ก็เลยทำให้ลมแรงมากกว่าปกติ เรือนชานบ้านช่องเสียหายกันเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าเป็นของพวกเราเองก็หาผ้ายันต์ของครูบาอาจารย์ติดบ้านไว้ ว่าอิติปิ โสฯ สักวันละ ๓ จบ ขอบารมีพระ พรหม หรือเทวดา ท่านช่วยสงเคราะห์ให้ปลอดภัย ที่อาตมาทำไปช่วงเจริญกรรมฐานสามวัน แล้วพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ท่านสงเคราะห์ สามารถใช้งานได้ทั้งหมด แม้ว่าจะเน้นในเรื่องของลาภผล แต่ว่าการป้องกันนี่ท่านให้ทุกด้าน
เพราะว่าสภาวะสงครามก็จะเกิด ดินฟ้าอากาศก็วิปริต ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีติดบ้านติดตัวเอาไว้ อธิษฐานขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ให้เรือนชานบ้านช่อง ตลอดจนกระทั่งตัวบุคคลหรือทรัพย์สินของเราปลอดภัย เพียงแต่ว่าให้ภาวนาอิติปิ โสฯ เอาไว้ทุกวัน เพราะว่าอิติปิ โสฯ เป็นบทสรรเสริญพระพุทธคุณ สวากขาโตฯ เป็นบทสรรเสริญพระธรรมคุณ สุปฏิปันโนฯ เป็นบทสรรเสริญพระสังฆคุณ"
"ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะขาดความเชื่อมั่น เพราะว่าไม่ได้เห็นมาด้วยตนเอง อาตมาเองตั้งแต่เล็ก ๆ ก็เห็นมาด้วยตนเองหลายครั้ง บางทีพายุมา หลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาสยืนอยู่กลางลานวัด เอาผ้าอาบโบกซ้ายขวาทีสองที พายุออกข้างไปหมดเลย เมื่อเห็นดังนั้น..เวลาท่านถ่ายทอดวิชาอะไรมาก็มีความศรัทธาเชื่อมั่นมาก เพราะว่าเห็นผลมาเองแล้ว ตัวศรัทธาเชื่อมั่นก็ทำให้กำลังใจมั่นคง พอกำลังใจมั่นคงก็จะเกิดพลังอำนาจขึ้นมา
เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วเป็นเหตุเป็นผลกันหมด เพียงแต่ว่าบางทีเราก็ศึกษากันไปไม่ถึง บางคนก็นั่งหัวเราะ ท่านพระครูปฐมสาธุวัฒน์ หรือพระอาจารย์เทพ วัดสี่แยกเจริญพร เห็นอาตมาติดผ้ายันต์พญาเต่ามังกรเงินล้านในกุฏิ ถามว่า "พระอาจารย์ใช้เองด้วยหรือครับ ?" บอกว่า "เอ้า..รู้ว่าดีก็ต้องใช้สิวะ" แล้วถามว่า "แล้วพระอาจารย์ซื้อหรือเปล่า ?" ก็บอกไปว่า "ซื้อ..จ่ายเงินเท่ากับโยมนั่นแหละ" โดยเฉพาะถ้าหากว่ามีลายเซ็นก็จ่ายพิเศษตามราคา ลายเซ็นตัวเองแท้ ๆ อาตมายังต้องซื้อเลย..!
อาตมาอยากจะบอกว่า ในทัศนคติเฉพาะของตัวเอง เสกของมาแล้วถ้าไม่ดีพอที่จะใช้งานเอง ก็อย่าไปให้คนอื่นเขาใช้เลย เพราะว่าตัวเองยังไม่มั่นใจแล้วจะไปคุ้มครองคนอื่นได้อย่างไร ? แต่ว่าทัศนคติแบบนี้ สมัยนี้เขาไม่ค่อยเอากัน อาตมาทำตามแบบโบราณ ลองแล้วลองอีก ลองจนกว่าจะมั่นใจ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถ่ายทอดอะไรให้ก็ทำแล้วทำอีก ซักซ้อมจนมั่นใจก็ไปรายงาน ถามว่าทำไมต้องซักซ้อมจนมั่นใจ ? เพราะว่าเดี๋ยวท่านบอกให้ทำให้ดู ถ้าไม่มั่นใจแล้วอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ เกิดตื่นเต้นประหม่าขึ้นมาทำไม่ได้ มีหวังโดนไม้เท้าแน่ ๆ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครอบครัวของคุณนพดลถวายข้าวของ โดยเฉพาะของในโรงครัวเป็นจำนวนมาก ๆ ทุกเดือน ทางวัดถ้าเหลือใช้ระยะนี้ ฝ่ายที่รับช่วงต่อส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง)
โรงเรียนหมู่บ้านเด็กอยู่ตรงวังด้ง จะรับเด็กที่ครอบครัวล่มสลาย หรือว่าเด็กพิเศษไปดูแลเป็นร้อย ๆ คน ปีนี้อาตมาเพิ่งจะไปทอดผ้าป่าสร้างอาคารที่พักเด็ก และอาคารเรียนสำหรับเด็กพิเศษ แล้วก็ซื้อเครื่องมือประกอบการศึกษาให้เขา ทำไปหลายครั้งหมดไปประมาณล้านกว่าบาทแล้ว
ส่วนเรื่องข้าวปลาอาหารนั้น ประมาณ ๒ เดือนเขาจะเอารถหกล้อไปขนที่วัดท่าขนุนทีหนึ่ง พอถึงเวลาก็โทรไป บรรดาแม่ครูจะพาเด็ก ๆ มาประมาณช่วงเที่ยง พอมาถึงวัดจะได้กินข้าววัดก่อน ...(หัวเราะ)... คุณครูดูแลเด็กดีมาก อะไรที่เป็นโทษไม่ค่อยยอมให้เด็กกินกัน ดังนั้น..ส่วนใหญ่ก็ให้กินพวกผัก ผลไม้ ปลา แล้วก็สอนให้เด็กปลูกผัก เลี้ยงปลา
ปรากฏว่าเลี้ยงหมูไปตัวหนึ่งน้ำหนักจะ ๒๐๐ กิโลกรัมอยู่แล้ว ก็ยังเลี้ยงอยู่นั่นแหละ ถามว่าทำไม ? ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะว่าเลี้ยงตั้งแต่เล็ก ๆ เจ้าหมูตัวนั้นก็เลยกลายเป็นพระราชา มีเด็ก ๆ เป็นร้อยช่วยกันเลี้ยง ...(หัวเราะ)... วัตถุประสงค์ตอนแรกคือเลี้ยงไว้ทำอาหาร แต่พอเลี้ยงแล้วไม่มีใครกล้าทำอะไร เจ้าหมูก็เลยโตขึ้นทุกวัน ๆ
ความจริงเขามีเจ้าภาพทอดผ้าป่าของปีนี้อยู่แล้ว แต่ที่กลายเป็นวัดท่าขนุนก็เพราะในเรื่องของเชื้อไวรัสโควิดระบาดนี่แหละ เขาบอกว่า "เจ้าภาพถอนตัวกันหมด ไม่มีใครมาทอดผ้าป่า ก็เลยต้องรบกวนหลวงพ่อหน่อย" อาตมาก็บอกว่ารบกวนก็รบกวน รบกวนหลวงพ่อ หลวงพ่อก็รบกวนโยมต่อ..! เลยบอกให้ไอ้ตัวเล็กไปเปิดกระทู้ให้โยมได้ทำบุญกัน ...(หัวเราะ)..."
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในชีวิตของอาตมาเห็นอยู่รายสองรายเท่านั้นที่อายุ ๘๐-๙๐ ปีแล้วหลังยังตรงเป๊ะเลย หมอบอกว่าเป็นกระดูกสันหลังเสื่อม แต่ว่าเสื่อมด้านหลัง ก็เลยเอนไปแล้วตัวตรงเป๊ะพอดีเลย
แต่ว่าสำหรับพระนักปฏิบัติ ถ้าเป็นรุ่นเก่า ๆ ครูบาอาจารย์สอนตามหลักวิสุทธิมรรค อายุมากแค่ไหนก็ต้องนั่งตัวตรง พวกเราจะสังเกตรูปถ่ายอย่างหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า กระทั่งรุ่นหลัง ๆ อย่างหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม อายุ ๙๐ กว่าแล้วยังนั่งตัวตรงเป๊ะเลย
บาลีเขาบอกไว้ว่า อุชุง กายัง ก็คือตั้งกายให้ตรง
ปะริมุขัง สะติง ดำรงสติไว้ข้างหน้า กำหนดความรู้สึกไว้ที่ลมหายใจเข้า กำหนดความรู้สึกไว้ที่ลมหายใจออก
ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ พึงสำเหนียกว่าขณะนี้เราหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว
รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ หายใจเข้าสั้นก็รู้อยู่ว่าหายใจเข้าสั้น
ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ พึงสำเนียกว่าตอนนี้เราหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว
รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ หายใจออกสั้นก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจออกสั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ติดวัตถุมงคลไว้อย่าลืมอธิษฐานให้รักษาบ้านรักษาทรัพย์สมบัติเราด้วยนะ พยายามทำไว้บ่อย ๆ ตื่นนอนขึ้นมาให้ภาวนานึกถึงพระจนกำลังใจมั่นคง แล้วอาราธนาวัตถุมงคลรักษาตัวเรา รักษาคนที่เรารัก รักษาทรัพย์สินของเรา ก่อนนอนภาวนานึกถึงพระ อาราธนาวัตถุมงคลรักษาตัวเรา รักษาคนที่เรารัก รักษาทรัพย์สินของเรา ทำบ่อย ๆ ให้ใจเกาะความดีไว้ตลอดเวลา
ถึงจะห่วงทรัพย์ห่วงสมบัติอย่างไร อย่าลืมว่าวัตถุมงคลก็คือรูปพระพุทธเจ้า รูปของพระสงฆ์ผู้เป็นครูบาอาจารย์ อย่างน้อยระลึกถึงพุทธานุสติ สังฆานุสติ ตั้งใจว่าเรานอนลงก็เหมือนกับคนตาย ก็คือเหยียดยาวลงไปแล้ว จะได้ตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นหรือไม่ก็ช่าง ถ้าตายลงไปคืนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า
ทำกำลังใจแบบนี้ให้ได้ทุกวัน ไม่อย่างนั้นแล้วก็ยังใช้วัตถุมงคลกันไม่ค่อยจะเป็น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมท่านใดถ้ามีรถเก่าอยู่ให้ทนใช้ไปก่อน อีกสัก ๓ ปี รถไฟฟ้าบ้านเราจะได้รับความนิยมมากขึ้นแล้วเราค่อยเปลี่ยนรถใหม่ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ถ้าไปซื้อรถน้ำมันจะใช้ได้แค่ไม่นาน แล้วรถไฟฟ้าเข้ามาก็นั่งร้องไห้กัน อาตมาเองก็รอ รอจนกว่ารถไฟฟ้าจะมา
ความจริงถ้าใจร้อนจะสั่งนอกเลยก็ได้นะ แบบเดียวกับประเทศเขมร รถไฟฟ้าวิ่งกันเกลื่อนเลย สั่งกันเข้ามาเอง ขายกันเองสนุกสนาน ดีลเลอร์ไม่ต้องยุ่งเลย ...(หัวเราะ)...
ประเทศเขมรจะว่าไปแล้วก็ก้าวหน้ามาก ช่วงที่อาตมาไป บนถนนรถวิ่งมา ๑๐ คัน เป็นเลกซัส ไป ๔-๕ คัน เขาเรียกว่ารถจ่ายตลาด ...(หัวเราะ)... คำว่า รถจ่ายตลาด คือทุกคนมีใช้ แล้วราคาถูกมาก รุ่นล่าสุดอย่างแพงที่สุดก็แค่ ๙๐,๐๐๐ ดอลลาร์ เป็นเงินไม่เท่าไรเอง บ้านเราเลกซัส ๓.๕ ล้านบาทขึ้นไป ทางด้านโน้นของเขารถราคาถูก แต่ว่าน้ำมันแพง ขนาดตอนที่อาตมาไป น้ำมันเขาลิตรละ ๕๗ บาทกว่า แล้วลองคิดดูว่าเลกซัสใหม่เอี่ยมรุ่นล่าสุดของเขาแค่ ๙๐,๐๐๐ ดอลลาร์ คิดเป็นเงินบ้านเราไม่ถึง ๓ ล้านบาท"
"เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนบ้านเรากลัวเขมรขโมยรถ ก็คือเขาจะขโมยรถยนต์ไปขายฝั่งเขมร พอตอนนี้เขมรกลัวไทยขโมยรถ เพราะว่ารถเขาดีกว่า ...(หัวเราะ)... อาตมาเข้าไปในคอนโด โยมเขาซื้อไว้ ให้ไปดูหน่อยว่าตรงกับภูมิสถาปัตย์ (ฮวงจุ้ย) ที่ดีหรือเปล่า ?
เดินเข้าไป โอ้โฮ...ที่จอดรถมีแต่เลกซัส เรียงเป็นตับเลย...! ต้องบอกว่าเขมรบ้ายี่ห้อเลกซัส เหมือนกับที่จีนบ้ายี่ห้อโฟล์ค แต่ตอนหลังรถจีนออกแบบรถสวย ๆ เยอะแยะไปหมด ถ้าอาตมาบอกว่า MG ที่กำลังฮิตในบ้านเราเป็นรถจีนนี่จะมีใครเชื่อไหม ? ...(หัวเราะ)... ปกติ MG เป็นรถอังกฤษ แต่ว่าโดนจีนเทคโอเวอร์ไปแล้ว
จะว่าไปอาตมาก็ใช้เลกซัสนะ ก็คือฟอร์จูนเนอร์รุ่นนี้อยู่ที่ประเทศจีนเขาติดยี่ห้อเป็นเลกซัส เพราะว่าเป็นโตโยต้าเหมือนกัน แค่เอาบอดี้เมืองไทยไปใช้ที่โน่นแล้วเปลี่ยนเป็นเลกซัส ก็เท่ากับเป็นรถอีกยี่ห้อหนึ่งแล้ว
เรื่องของรถเป็นพาหนะอำนวยความสะดวก สำหรับอาตมาแล้วไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สมัยก่อนนั่งรถเมล์ นั่งสองแถวก็มีความสุขดี ยิ่งสมัยนี้ถ้าวันไหนได้นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะมีความสุขมาก แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยได้นั่งแล้ว ขยับเดินเข้าตลาดหน่อยเดี๋ยวก็มีรถจอดรับ เดี๋ยวก็มีรถจอดรับ ต้องบอกว่าไปเถอะ...จะเดิน เอะอะจะไม่ยอมให้อาจารย์เท้าติดดินเลย..! เดี๋ยวคันโน้นจอด เดี๋ยวคันนี้จอด...ผมจะไปส่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มนุษย์เราสร้างความเจริญขึ้นมา แต่ก็มีผลกระทบต่อบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกอย่างมาก อย่างเช่นว่าการสร้างถนน บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ที่ข้ามถนน ด้วยความไม่เคยชิน เพราะว่าเคยเดินแต่ด่านสัตว์ในป่า ก็มักจะโดนรถชนตายหรือบาดเจ็บ สร้างตึกสูง ๆ บรรดานกต่าง ๆ ก็บินชนตึกตายกันมาก
ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่าทำไมนกบินชนตึก พอดูที่วัดตอนนกบินชนกระจกแล้วตกลงมาตาย เพิ่งจะรู้ว่าในสายตาของนกก็คือเห็นเป็นป่าเขียว ๆ อยู่ในกระจกไกลมาก ก็บินไปเต็มที่ ปรากฏว่าไม่ใช่ป่า แต่เป็นกระจกที่สะท้อนป่าเข้าไป ส่วนตึกสูงก็สะท้อนเห็นเป็นท้องฟ้า นกคิดว่าท้องฟ้าไกล ๆ ก็บินเข้าไป เหมือนกับที่หลายท่านเวลาเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วจะชนกระจกเขาแตก เพราะว่าร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่เล็ก ๆ แคบ ๆ แต่ว่าตกแต่งร้านด้วยกระจกเพื่อให้ดูกว้างขวางขึ้น"
"เราเป็นคนมีวิจารณญาณ มีสมองที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ยังหลงจนเดินชนกระจกกันได้ พวกสัตว์ก็เหมือนกัน โดยเฉพาะบรรดาคลื่นความถี่วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดก็คือพวกปลาวาฬ ปลาโลมา เพราะว่าระบบนำร่องโดนคลื่นหลอก คิดว่าเป็นคลื่นของพวกเดียวกัน หรือคลื่นที่ตัวเองส่งสะท้อนกลับมาบอกว่ายังอีกไกล ก็ว่ายน้ำตรงเข้าไปแล้วก็ไปเกยตื้น แล้วคนก็มาสงสัยกันว่าเป็นเพราะอะไร อาตมามั่นใจว่าบรรดานักวิจัยรู้กันหมดแล้ว แต่พูดไม่ได้ว่าเป็นผลจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ เพราะว่าถ้าพูดไปโทรศัพท์มือถือขายไม่ได้ ตัวเองอาจจะโดนเหยียบจมธรณี..!
เพราะฉะนั้น..สิ่งที่เราทำกันอยู่นอกจากกระทบกับเพื่อนร่วมโลกอย่างสัตว์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีผลกระทบต่อดินฟ้าอากาศต่าง ๆ ไปด้วย อย่างเช่นการเผาป่า เมื่ออากาศร้อนยกตัวสูงขึ้น อากาศเย็นจากที่อื่นก็จะไหลเข้ามาแทน ถ้าเผาป่าเป็นจำนวนมาก อากาศที่ไหลเข้ามามีมวลอากาศกว้างมากและแรงมาก ก็เกิดเป็นพายุฤดูร้อน เราจะเห็นว่าบรรดาพายุเฮอร์ริเคน ไซโคลน ไต้ฝุ่น ดีเปรสชัน โซนร้อนต่าง ๆ เกิดถี่ขึ้นมากขึ้นทุกที ต้องบอกว่าพวกเรากำลังทนรับในสิ่งที่พวกเราทำกันเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาเล่าว่าท่านอาจารย์เซ็นคุยกับลูกศิษย์ที่ชายหาด ท่านอาจารย์เอาไม้เท้าขีดเส้น ๒ เส้นลงบนพื้นทราย ให้เส้นที่สองสั้นกว่าเส้นแรก แล้วบอกกับลูกศิษย์ว่า ทำอย่างไรจะให้เส้นที่สองยาวกว่าเส้นแรก ? ลูกศิษย์ก็เอาเท้าลบเส้นแรกออกไปเสียครึ่งหนึ่ง ท่านอาจารย์บอกว่าใช้ได้ แต่ในชีวิตนี้อย่าไปทำแบบนี้กับใครอย่างเด็ดขาด ถ้าอยากให้เส้นที่สองยาวกว่าเส้นแรก คุณก็ขีดเส้นที่สองต่อออกไปเท่านั้นเอง เหมือนกับการดำเนินชีวิตของเรา อย่าไปทำลายคนอื่นเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้ากว่า แต่ให้เพิ่มความสามารถของตัวเองให้มากกว่าเพื่อที่จะแซงหน้าเขา
ฟังดูแล้วรู้สึกว่าท่านอาจารย์ก็ให้อะไรลูกศิษย์มหาศาลมาก โดยปกติของคนทั่ว ๆ ไปก็มักจะทำแบบนั้น ก็คือเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป แต่ว่าบุคคลที่มีใจคอที่กว้างขวาง ไม่สกัด ไม่ขัดขวาง ไม่เหยียบย่ำคนอื่น มีแต่จะเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองเพื่อให้เหนือกว่าคนอื่นไปเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่ากับโยมคนหนึ่ง "บางทีอย่างท่านเจ้ากรมฯ อาจจะรู้สึกว่าตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งช้าไปนิดหนึ่ง ก็คือจะต้องมีเด็กเส้น จะต้องมีพวกประเภทโฉบมาตัดหน้าเราไปหลายยก เรื่องพวกนี้อาตมาเองไม่เห็นความสำคัญมาตั้งแต่ตอนเป็นทหารแล้ว เพราะว่าอะไรที่เป็นของเรา ถ้าถึงวาระก็ต้องมา ที่เมื่อครู่ได้กล่าวไปว่า อย่าไปเหยียบย่ำใคร อย่าไปสกัดใคร แต่ให้เพิ่มความสามารถของตัวเองให้เหนือกว่าคนอื่นเขา เดี๋ยวผู้บังคับบัญชาเขาก็จะเห็นเอง
ตั้งแต่เจ้าคณะอำเภอด่านมะขามเตี้ยว่างลง ทางหลวงพ่อวัดท่ามะขามที่เป็นเจ้าคณะจังหวัดจะให้อาตมาเป็นแทน อาตมาบอกว่ายังไม่เอา พอเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิว่างลงครั้งแรก ท่านจะให้อาตมารักษาการ ก็บอกว่าไม่เอา จนกระทั่งท่านอื่นเป็นเจ้าคณะอำเภอแซงหน้าไป ๒ ท่านแล้ว ตำแหน่งรองฯ อำเภอมาถึงก็ยังไม่เอาอีก มีคนถามว่า "ทำไมพระอาจารย์เล็กไม่เอา ?" ก็บอกไปว่า "รองฯ อำเภอท่านอายุตั้ง ๗๐ ปีแล้ว ท่านเป็นจนเกษียณคือ ๘๐ ปี ผมยังอายุไม่เท่าท่านตอนนี้เลย แล้วผมจะรีบไปแย่งท่านทำไม ? เพราะว่าตำแหน่งมาพร้อมกับหน้าที่ คือภาระงานที่เพิ่มขึ้น ผมไม่ได้อยากจะเหนื่อยเร็ว"
แล้วอีกอย่างหนึ่งพอเราเปิดทางให้คนอื่นเขาเป็น ก็เกิดความรักใคร่สามัคคีกันขึ้น เพราะว่าไม่แย่งตำแหน่งกัน ทุกวันนี้เวลาคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิไปไหน อำเภออื่นเขาอิจฉาทั้งนั้น เพราะว่าอำเภอ รองฯ อำเภอ เจ้าคณะตำบล ไปกันชนิดที่เรียกว่าดาหน้ากันไปรักใคร่กลมเกลียว มีแต่คนถามว่าทำไมรักกันขนาดนี้วะ ? อ๋อ..อะไรถ้ารู้จักแบ่งกัน ไม่แย่งกันก็รักกันได้
แต่ว่าเรื่องแบบนี้สำหรับคนบางประเภทเขาเห็นว่าเราโง่ แต่อาตมาบอกว่าขอโง่แบบนี้แหละ จะได้เหนื่อยช้าหน่อย เพราะว่าถ้ารีบเป็นก็ต้องรีบไปรับภาระ รับภาระเร็วขึ้นกี่ปีก็เหนื่อยมากขึ้นเท่านั้นปี เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็จะพยายามหนีให้ไกลที่สุด จนกว่าจะปฏิเสธไม่ได้นั่นแหละแล้วค่อยว่ากัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีผู้แจ้งจับพระบิณฑบาต โดยบอกกับโยมว่ารับเป็นเงินอย่างเดียว ปรากฏว่าพอเจ้าหน้าที่ไปถึงก็แกล้งทำเป็นชักดิ้นชักงอ สลบไสล ไม่พูดไม่คุยด้วย แม้กระทั่งโดนจับสึกใส่ชุดขาวแล้วก็ยังแกล้งทำสลบให้เขาหามไป พิสูจน์ยืนยันแล้วปรากฏว่าเป็นพระสังกัดวัดหนองกุ่ม อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ตอนนี้ในไลน์ของคณะสงฆ์เมืองกาญจน์เขาก็แจ้งกันทั่วแล้ว ว่ารายนี้ประมาณว่าดื้อด้าน ว่ายากสอนยาก ไม่เคยฟังพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่เคยฟังเจ้าอาวาส ดังนั้น..ถ้าหากว่าไปขอบวชใหม่ที่วัดไหน พระอุปัชฌาย์อาจารย์ในเขตจังหวัดกาญจนบุรีอย่าได้ทำการบวชให้อีก
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า เรื่องของการบัญญัติศีลนั้นเพื่อกดข่มบุคคลผู้เก้อยาก ภาษาบาลีท่านว่า ทุมมังกูนัง ปุคคะลานัง นิคคะหายะ แล้วก็ต่อด้วยว่า เปสะลานัง ภิกขูนัง ผาสุวิหารายะ แปลว่า นอกจากกดข่มบุคคลผู้เก้อยากแล้ว เจตนาการบัญญัติพระวินัยก็เพื่อความอยู่เป็นสุขของพระสงฆ์ทั้งหลายผู้มีศีลอันเป็นที่รักด้วย
คำว่า ผู้เก้อยาก เป็นการแปลไทยแบบบาลีเลยฟังยาก ถ้าแปลไทยเป็นไทยก็คือ ไอ้พวกหน้าด้าน..! ...(หัวเราะ)... ก็คือบุคคลประเภทนี้ไม่สามารถที่จะใช้คำพูดหรือการกระทำใด ๆ ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้ เขาก็ถือว่าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย ถ้าหน้าด้านทำไปก็คือได้เงินได้ทองมา โดนจับสึกโดนอะไรเดี๋ยวก็บวชใหม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่อาบัติหนักถึงขนาดขาดความเป็นพระแล้วบวชใหม่ไม่ได้ บุคคลประเภทนี้อยู่ที่ไหนก็สร้างความเสียหายให้กับคณะสงฆ์ที่นั่น เหมือนกับสนิมเหล็กที่กินจากเนื้อใน ก็จะทำให้โครงสร้างหลักที่เป็นเหล็กโดนทำลายลงได้ในระยะเวลาอันไม่นาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้พี่น้องชาวจีนไปทำบุญให้บรรพบุรุษ ที่เรียกกันตามภาษาแต้จิ๋วว่า เช็งเม้ง หรือถ้าจีนกลางเรียกว่า ชิงหมิง
คราวนี้วันเช็งเม้งที่เป็นประวัติศาสตร์เลย ก็คือเช็งเม้งของปีพ.ศ. ๒๕๑๙ นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของประเทศจีนถึงแก่อสัญกรรม ที่จำได้แม่นเพราะว่าหลังจากท่านถึงแก่อสัญกรรมประมาณเดือนเศษ ๆ อาตมาก็จบชั้นมัธยมศึกษา นักเรียนสมัยนั้นต้องเรียนภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ แล้วต้องโดนบังคับให้ท่องจำรายชื่อของบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ ในช่วงนั้น แม้กระทั่งเลขาธิการสหประชาชาติในยุคนั้นคือนายเคิร์ท วัลไฮม์ ก็ยังต้องท่องจำด้วย
นายเคิร์ท วัลไฮม์ ประกาศให้สหประชาชาติลดธงครึ่งเสา เพื่อไว้อาลัยและแสดงความเคารพต่อนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของประเทศจีน โดยให้เหตุผลว่าประเทศจีนมีประชากรเป็นพันล้าน ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศอื่นก็คงจะร่ำรวยกันจนกระทั่งนับเงินไม่ไหว แต่นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลถึงแก่อสัญกรรมโดยไม่มีเงินฝากแม้แต่หยวนเดียว และท่านนายกรัฐมนตรีไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว..!
นายเคิร์ทบอกว่า ถ้าผู้นำประเทศไหนคิดว่าตนเองถึงเวลาเสียชีวิตแล้ว ต้องการให้สหประชาชาติลดธงครึ่งเสาให้ ก็ทำตามกติกาสองข้อนี้ ถ้าทำได้ยินดีลดธงครึ่งเสาให้ทันที ก็คือไม่มีเงินฝากแม้แต่บาทเดียว และไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว ทำงานเพื่อประเทศชาติจนไม่มีเวลาที่จะมีครอบครัว..!"
"เพราะฉะนั้น..การที่คนจีนแสดงความไว้อาลัยต่อผู้นำในเทศกาลเช็งเม้งปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จึงเป็นเช็งเม้งที่ยิ่งใหญ่มาก ส่วนบ้านเราเช็งเม้งคือเทศกาลรถติด โดยเฉพาะชลบุรีและสระบุรี เนื่องจากว่ามีสุสานที่คนจีนเชื่อว่าฮวงจุ้ยดี ฝังศพอยู่ที่นั่นแล้วลูกหลานจะเจริญรุ่งเรือง แล้วบรรดาลูกหลานก็น่าจะเจริญรุ่งเรืองจริง ๆ พอถึงเวลาต่างคนต่างก็ขับรถไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ รถติดกันยาวหลาย ๆ กิโลเมตร..!
ช่วงนั้นประเทศต่าง ๆ ในโลกยังมีไม่มากเท่าทุกวันนี้ แม้แต่รัสเซียก็ยังเป็นประเทศเดียวกัน ไม่ได้แบ่งออกเป็นรัสเซีย ยูเครน ลัตเวีย ลิทัวเนีย คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน อย่างทุกวันนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้หลายประเทศชื่อเก่า ๆ ก็สาบสูญไปแล้ว อย่างโรดีเซีย คองโก เปลี่ยนชื่อประเทศกันไปเลย ซึ่งอาตมาเคยบอกเกี่ยวกับคนที่เปลี่ยนชื่อตัวเอง ว่าให้เปลี่ยนความประพฤติแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่ใช่เปลี่ยนชื่อ บรรดาผู้นำประเทศที่เปลี่ยนชื่อประเทศโดยหวังว่าประเทศจะดีขึ้นก็เหมือนกัน ถ้าคนในประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงความประพฤติได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
ทุกวันนี้ถ้าบอกเด็กรุ่นใหม่ว่าประเทศโรดีเซีย เชื่อเถอะ..ไม่เคยได้ยินหรอก โรดีเซียตอนหลังเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นซิมบับเว"
ถาม : พี่สาวผมที่อยู่เมืองนอกได้ฉีดยาป้องกันโควิดแล้วนะครับ บ้านเรายังไม่ถึงไหนเลย ?
ตอบ : บ้านเรามัวแต่ต่อรองว่า "ถ้าซื้อของคุณแล้วผมจะได้เท่าไร ?" ถ้าหากว่าปล่อยให้เอกชนเขาซื้อ ป่านนี้ท่วมประเทศไปแล้ว..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บ้านใกล้เรือนเคียงของเราคือประเทศพม่า กำลังมีการปราบปรามชาวบ้านที่ออกมาประท้วงรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการปฏิวัติของทหาร มีการเข่นฆ่ากันตายเป็นร้อย ๆ ศพ ต้องบอกว่าตายจนโลกตะลึง เพราะว่าพม่าไม่ได้สนใจโลก เนื่องจากว่าเคยปิดประเทศ ไม่คบค้าสมาคมกับใครอยู่หลายสิบปีก็ยังอยู่มาได้
คราวนี้ในการที่ไล่ฆ่าไล่ฟันกัน ก็จะมีประชากรจำนวนหนึ่งทะลักไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหลบภัย เพื่อนบ้านที่เขาหนีมามากที่สุดก็ประเทศไทยของเรานี่เอง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นความละเอียดอ่อนทางการเมือง ก็คือถ้าไม่รับไว้ก็ขาดมนุษยธรรม ถ้าหากว่ารับเอาไว้ก็ขัดใจกับเพื่อนบ้าน แต่ว่าโดยมนุษยธรรมแล้วก็ต้องรับไว้ อนุเคราะห์สงเคราะห์กันไปตามกฎบัตรสหประชาชาติและมนุษยธรรม ก็คือดูแลให้มีที่อยู่ที่กิน มีการรักษาพยาบาลในระดับหนึ่ง แต่คราวนี้เชื้อโควิดในประเทศพม่าระบาดรุนแรง เกรงอยู่อย่างเดียวว่า จะตามชาวบ้านมาด้วย..!
ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีค่ายกักกันผู้อพยพก็จำเป็นที่จะต้องตรวจคัดกรองกันอย่างเข้มงวด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็จะเหมือนสถานที่กักตัวของบ้านเรา ที่ติดเชื้อกันเกือบหมด ...(หัวเราะ)... ต้องบอกว่าขายขี้หน้าจริง ๆ เอาเขามากักกันเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ปรากฏว่าแพร่จนกระทั่งคนที่โดนกักกันติดเชื้อกันเกือบทั้งหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเวลาปฏิบัติธรรม ก็ต้องบอกว่าช่วงตั้งแต่วัยรุ่น ด้วยความที่ต่อสู้กับกิเลสใหม่ ๆ ส่วนมากก็จะแพ้ พยายามอย่างไรก็เอาชนะไม่ได้ บางวันก็ใช้วิธีขี้โกง ก็คือนอนหลับไปเลย ตื่นขึ้นมาแล้วค่อยมาลุยกันใหม่
ประมาณว่าไหน ๆ ก็แพ้แล้ว เพราะฉะนั้น..ก็อาศัยเวลาพักผ่อน จะได้มีเรี่ยวมีแรงมาตีกับกิเลสต่อ ดูสิว่าจะแพ้อีกไหม ? ญาติโยมท่านใดจะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ไม่รังเกียจนะ เพียงแต่ว่าต้องตัดใจได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ ...(หัวเราะ)... อาตมาตัดใจเลย สู้ไปก็แพ้...นอนดีกว่า ว่าแล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาค่อยสู้กันใหม่ ไม่อย่างนั้นตื๊อต่อไปเราก็จะหมดเรี่ยวหมดแรง ยิ่งแพ้หนักเข้าไปอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ประเทศจีนกำลังรณรงค์กันอย่างหนักในเรื่องของการกินอาหารให้หมด อย่าให้เหลือ เพราะว่าคนจีนรุ่นใหม่ที่ร่ำรวยมีฐานะ มักจะอวดฐานะกันด้วยการสั่งอาหารชุดใหญ่เต็มโต๊ะ แล้วก็กินเหลือกันเป็นครึ่ง ๆ
จากการคำนวณของทางรัฐบาล เขาบอกว่าอาหารที่คนจีนกินเหลือในแต่ละวัน สามารถเลี้ยงคนได้ถึง ๕๐ ล้านคน..! ก็เลยมีการรณรงค์ในการที่จะกินอาหารให้หมด ไม่ให้เหลือ แล้วก็ถ่ายรูปลงเว่ยป๋อ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของประเทศจีนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือไม่ก็ลง TikTok อาตมาอยากจะเรียกติ๊งต๊องมากกว่า..! ก็เพื่อที่จะได้กระตุ้นจิตสำนึกให้คนรู้จักประหยัด
อาตมาไปประเทศจีนบางทีก็รู้สึกเบื่อ อย่างเช่นว่าเราสั่งอาหารธรรมดา ปรากฏว่าโต๊ะธรรมดาของเขาก็คือกับข้าว ๑๘ อย่าง น้ำแกง ๑ อย่าง ได้ยินแล้วตกใจไหม ? นั่นคือโต๊ะธรรมดาของเขา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า แล้วถ้าโต๊ะไม่ธรรมดาจะเป็นอย่างไร ? บอกเขาว่าไม่ต้องมากขนาดนี้ก็ได้ เพราะว่ากินไม่หมด เขาบอกว่าปกติเขาทำขนาดนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างไร ก็คือพอเราจองโต๊ะ แปลว่าให้รู้เลยว่าจะโดนกับข้าว ๑๘ อย่าง ...(หัวเราะ)..."
"คราวนี้เรามาดูว่าในแต่ละประเทศ แม้กระทั่งประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา ก็มีพวกไร้บ้าน ไม่มีอาหารจะกิน อาตมาไปฝรั่งเศสไล่แจกเงินยิปซี มีแต่คนเขาโวยวาย "พระอาจารย์...ระวังเขาล้วงกระเป๋า" อาตมาตอบว่า "ถ้าเขามีปัญญาให้เขามาล้วง..!" ที่ล้วงกระเป๋าเพราะคุณไม่ให้เขานั่นแหละ ...(หัวเราะ)... อาตมาไปไล่แจกเงินเขาคนละ ๕ ยูโร ๑๐ ยูโร ได้เงินแล้วเขาจะล้วงไปทำอะไร ?
แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็ยังมีคนอด แล้วอดถึงขนาดเสียชีวิตเลยก็มี เพราะว่าเขาขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โดยเฉพาะระยะนี้ทางอเมริกามีกระแสเหยียดเชื้อชาติ ตอนสมัยอาตมาไปก็มีอยู่แล้ว ที่ไปอัดฝรั่งนักเลงดีเสียจนหมอบคาเท้า..! จนกระทั่งท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ทั่งโต บอกว่าสมควรทำ ...(หัวเราะ)... ก็เพราะเขาเห็นว่าพวกเราผิวเหลืองไปแย่งงานเขา โดยเฉพาะพระไปที่ไหนก็เป็นจุดเด่น สารพัดกล้องหันมา ก็เลยมีรายการหมั่นไส้ โชคดีที่ตอนอาตมาเตะเขาชักไปไม่มีใครถ่ายคลิปไว้ ไม่อย่างนั้นจะดังกว่านี้อีกเยอะ..! ...(หัวเราะ)..."
สนทนากับพระ "ไม่ว่าจะวัดท่าซุงหรือวัดท่าขนุน ทางราชการเขาวิ่งยันวัดเลยนะ บอกเลยว่าห้ามจัดงาน ...(หัวเราะ)... มางวดนี้ที่สงกรานต์ผมจัดปฏิบัติธรรมได้ เพราะว่าทางราชการเขาเอาหนังสือมา บอกว่าตอนนี้มีการผ่อนผัน ถ้ามีการคัดกรองที่เข้มงวดพอ ก็อนุญาตให้จัดงานที่มีคนมากได้ แต่ขนาดนั้นผมก็ยังไม่ให้อุ้มพระสรงน้ำหรอก เดี๋ยวพระเณรติดโควิดไปก็ยุ่งตายชัก..! ปีนี้ก็น่าจะสรงผมคนเดียวนั่นแหละ ถ้าติดก็ติดอยู่คนเดียว ...(หัวเราะ)..."
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยิ่งเชื้อโรคระบาดทำให้พวกเรายิ่งห่างวัด ยิ่งต้องเร่งรัดการปฏิบัติให้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะห่างความดีไปเรื่อย โดยเฉพาะท่านที่ความดียังไม่ทรงตัว ถึงเวลาถ้าห่างแล้วจะเอาคืนยากมาก หลายท่านก็น่าจะมีประสบการณ์มาแล้ว
เรื่องของการที่จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก พังไปเป็นเดือน ๆ ขอให้เข้าใจว่านั่นเป็นเรื่องปกติในการปฏิบัติช่วงระยะแรกเริ่ม เป็นเรื่องที่ต้องเจอทุกคน ไม่ใช่แค่เราคนเดียว ถึงเวลากรรมฐานตกก็ปล่อยไป แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำใหม่ เสียเวลาไปนั่งคร่ำครวญ อุตส่าห์ทำมาได้แล้วตั้งเดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน ไม่น่าจะมาพังเลย ต้องบอกว่าเสียเวลาทำความดี ลุยใหม่เสียยังได้เร็วกว่า เสียเวลาไปนั่งคร่ำครวญอยู่ก็ไม่ได้อะไร
หลังจากนั้นก็ต้องรู้จักระมัดระวังด้วย คราวที่แล้วตกเพราะอะไร คราวหน้าอย่าให้เป็นเพราะเหตุนั้น ก็คือโดนมาทีหนึ่งแล้วต้องรู้จักจำ"
พูดถึงลาพิส "อันนี้ลาพิสปลอม เพราะว่าไม่เย็น หินลาพิสจะเย็นโดยธรรมชาติ อันนี้อุ่น ๆ แสดงว่าเป็นเรซิ่น อาตมาไปซื้อที่ปากีสถาน คนขายก้มลงไปห่อ ซุกอยู่ใต้โต๊ะ เสร็จแล้วใส่ลังมา พอเขาส่งมาให้ อาตมาเปิดลังแกะดูเดี๋ยวนั้นเลย กลัวได้อย่างอื่นมาแทน
หินลาพิสนี้ พวกนักบวชทางยุโรปนิยมใช้กัน เพราะว่ารับพลังได้ดี ส่วนใหญ่ก็เอามาทำเป็นเครื่องราง เอามาเป็นส่วนประกอบหัวไม้เท้า บางคนก็เอามาเป็นส่วนของวงเวท เขาจะมีการเขียนอักขระ แล้วก็ร่ายเวทร่ายคาถากัน
อาตมารู้ตอนที่ไปประเทศอังกฤษ ไปที่หมู่หินสโตนเฮนจ์ อยากรู้ว่านั่นคืออะไร มี "เจ้าถิ่น" บอกว่านี่คือวงเวทของนักบวชดรูอิด เขาเอาไว้ทำพิธีเพื่อช่วยให้กษัตริย์ของตนชนะในการรบ เขาบอกว่าบรรดานักบวชที่เก่ง ๆ ถึงขนาดสามารถย้ายคนเป็นร้อย ๆ ไปได้ด้วยวงเวทนี้...เขาเก่งนะ ฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมหินหนักเป็นตัน ๆ เขาถึงเอาขึ้นไปวางบนนั้นกันได้
คนที่เล่าให้ฟังเป็นนักบวชดรูอิดชื่อดังที่สุด ชื่อเมอร์ลิน ที่เคยเป็นอาจารย์ของกษัตริย์อาเธอร์ "ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ?" "อยู่ที่พรหมชั้นที่ ๖" เก่งโว้ย...เป็นพรหมด้วย ของพวกนี้ถ้าไปไม่ถึงที่ บางทีอยากรู้ เขาก็ไม่บอกให้รู้ พอไปถึงที่ก็เหมือนกับว่าเราสนใจจริง ๆ เขาก็ เออ..บอกให้รู้หน่อยก็ได้"
ถาม : นอกศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่ไปได้แค่พรหมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะไปประมาณนั้น เรื่องของเวทมนตร์คาถาอะไรก็ต้องอาศัยสมาธิ ศาสนาพราหมณ์ไปไกลที่สุดถึงขนาดสมาบัติ ๘ ได้ มีพระพุทธเจ้าของเรานี่แหละที่เอาเพชรยอดมงกุฎมา ก็คือวิปัสสนาญาณ ประดับเข้าไป...จบเลย
ศาสนาอื่นเขาเห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง แต่ไม่เห็นอนัตตา ขาดไปตัวหนึ่ง แล้ววิธีออกจากทุกข์ของเขาก็สารพัดวิธีคิด แต่ไม่ใช่ทั้งนั้น แม้กระทั่งเรื่องของอรูปฌาณ ก็คือวิธีออกจากทุกข์นั่นแหละ แต่เป็นการออกจากทุกข์ในแบบของเขา
ถาม : แสดงว่าปรมาตมันของเขา ยังเป็นอัตตาอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ปรมาตมันของเขา ในความรู้สึกของเราก็คือแค่พรหม
ถาม : แล้วอาตมันละครับ ?
ตอบ : เหมือนกันนั่นแหละ ก็คือตัวตน คือดวงจิตของเรา ไปรวมกับปรมาตมัน ก็คือลักษณะเป็นแดน ก็ประมาณว่าแดนพรหม ของเขารู้จักแค่นั้น
ถาม : แล้วสุขาวดีพุทธเกษตรละครับ ?
ตอบ : ถ้าเปรียบไปแล้วก็สวรรค์ชั้นดุสิตของเรานั่นเอง
ถาม : ในส่วนของอรูปฌาน มีวิปัสสนาญาณปนอยู่แล้วหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าวิปัสสนาญาณก็ไม่ใช่ แค่เป็นการคิดเพื่อโยงจิตของตัวเองไปให้ถึงตรงนั้น คล้าย ๆ กับค่อย ๆ ตะล่อมให้ไปตามทางที่เราต้องการ
ถาม : การฝึกสติ คือการอยู่กับลมหายใจ วิธีนี้เป็นทางลัดที่สุดแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : การฝึกทุกประเภทไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรง แบบนี้คือตรงที่สุดแล้ว ถ้าหากว่าอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า สติสมาธิก็จะแหลมคมว่องไว ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง อะไรจะเกิดขึ้น ก็จะรู้ทันแล้วก็ตัดไปตั้งแต่ต้น ก็คือมีสติรู้อยู่ว่า ถ้าคิดแบบนี้แล้วจะดี คิดแบบนี้แล้วจะไม่ดี ก็คิดแต่ในด้านดี เพื่อสร้างความดีให้เจริญขึ้น ตัดในด้านที่ไม่ดีออกไป จนกระทั่งท้ายสุด ถ้าสามารถหยุดความคิดไม่ปรุงไม่แต่งได้ ทุกอย่างก็ดับหมด จบแค่นั้น
ถาม : แล้วถ้าเทียบกับการที่อยู่กับอารมณ์ภาวนาหรือกับเทียบอารมณ์ฌาน จะเบากว่าหรือไม่คะ ?
ตอบ : เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถใช้ได้แค่ไหน ถ้าใช้ได้คล่องตัวระดับฌานใช้งาน สามารถใช้ได้ทุกอิริยาบถก็จะเบากว่า ถ้าทำได้เฉพาะตอนนั่ง ก็จะหนักหน่อย
ถาม : เวลาจับลมหายใจจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ถ้าจับภาพพระ จะทำได้ดีกว่าครับ ?
ตอบ : วิธีไหนก็ได้ที่ทำให้ใจเราห่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำไปเถอะ...ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าคนอื่นชอบกินข้าว แล้วเราจะไปกินข้าวตามเขา ถ้าเราชอบขนมปังแล้วจะทำอย่างไร ? ก็ต้องฝืนใจ..ใช่ไหม ? ฉะนั้น..อะไรที่ทำให้ใจสงบได้ ก็ให้ทำอย่างนั้นแหละ
ถาม : หลวงพ่อเคยบอกว่าอานาปานสติทิ้งไม่ได้ เป็นพื้นฐานทิ้งไม่ได้ ?
ตอบ : ก็ถ้าไม่มีอานาปานสติ ภาพพระก็ไม่มั่นคง
ถาม : ความเคยชินคือเราต้องจับลมหายใจ พอจับภาพพระ ใจก็ไปนั่งอยู่หน้าพระ ก็จะลืมเรื่องลมหายใจเลย ?
ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้น ไปไกลเกินกว่าที่จะจับลมหายใจแล้ว
ถาม : ไม่จำเป็นต้องกลับมาจับใหม่ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น กระโดดข้ามขั้นไปได้เลย
ถาม : เวลาเราจับภาพพระ ถ้าเราเกิดความรู้สึกถึงความศรัทธากับความเมตตาของพระท่าน เมื่อก่อนผมจะมีปีติด้านอารมณ์และร้องไห้ตลอด แล้วสักพักหนึ่งก็หายไป แล้วตอนนี้ก็กลับมาใหม่ เป็นการบอกอะไรไหมครับ ?
ตอบ : บอกว่าหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย ถ้ามีความก้าวหน้าจะก้าวพ้นไปแล้ว คุณความดีทุกอย่างจารึกอยู่กับใจเท่านั้น ก็คือยึดพระองค์ท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึก ขณะเดียวกัน ก็ตั้งใจทำตามสิ่งที่พระองค์ท่านสอน ส่วนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง คิดว่าชีวิตนี้มอบกายถวายชีวิตให้พระองค์ท่านไปแล้ว ทำไปแล้วจะได้ไปพระนิพพาน ไม่ได้ไปพระนิพพานก็ช่าง ขอทำเต็มความสามารถของเราก็แล้วกัน
ถาม : ดูใจที่เป้าหมายเป็นหลัก ?
ตอบ : เรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ ก็คือเลิกปรุงแต่งเรื่องอื่นแล้ว มุ่งตรงไปสู่เป้าหมายอย่างเดียว
ถาม : สมัยก่อนคือจับภาพพระ เห็นตัวเองให้อยู่ใต้พระบาท ช่วงหลังพอนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เหมือนกับเราไม่มีตัวตน กลายเป็นว่าเราอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าเยอะแยะไปหมด นี่คือก้าวหน้าหรือไม่คะ ?
ตอบ : จะก้าวหรือไม่ก้าวก็ช่าง บอกแล้วว่าสำคัญตรงใจเราว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดได้ไหม ? ถ้าไม่เกิด ก็ก้าวหน้าแล้ว
ถาม : แล้ววิธีวัดว่าเราทรงฌาณระดับไหน นี่คือให้สังเกตที่ลมหายใจใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ต้องฝึกให้คล่องตัวจริง ๆ แล้วจะรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ระดับไหน ถ้าไม่มีความคล่องตัว บางทีก็คลำไม่ออก ทำได้แต่แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
ถาม : รู้แต่ว่ามันค่อย ๆ เปลี่ยนอารมณ์ไป แต่จับไม่ได้ว่าตรงไหนเป็นอะไร ?
ตอบ : ในเรื่องของสมาธิ ถ้าเราต้องการตัดกิเลสจริง ๆ ต้องการเข้าเมื่อไรต้องเข้าได้ ออกเมื่อไรต้องออกได้ รักษาระยะเวลาได้ตามที่ต้องการ จะเข้าฌานไหนก็ได้ แล้วขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาพบเจอเห็นเหตุการณ์จริงที่ก่อให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง ขึ้น เราสามารถใช้กำลังสมาธิในการดับรัก โลภ โกรธ หลง นั้นได้หรือไม่ ?
ต้องซักซ้อมหลายขั้นตอน เอาให้คล่องจริง ๆ ส่วนใหญ่อย่างเดียว พวกเราก็แย่แล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งานที่วัดท่าขนุน ส่วนที่เริ่มทำก็คือ ปรับภูมิทัศน์รอบทางรถไฟสายมรณะ โดยทำเป็นทางเดินรอบสำหรับนักท่องเที่ยว มีรั้วกั้น ทำเป็นจุดชมวิว จุดถ่ายรูป แล้วก็จะเปิดเป็นแหล่งเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของชุมชน เพิ่งจะเซ็นสัญญาจ้างบริษัทรับเหมาทำตรงส่วนนั้น พรุ่งนี้ต้องจ่ายเงินงวดแรก ๑,๒๕๐,๐๐๐ บาท ให้เดาว่าต้องจ่ายกี่งวด ?
หลังจากนั้นก็จะรีบทำแหล่งเก็บน้ำสำรอง เท่าที่ดูแบบแล้วก็กว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๔ เมตร ความสูงต้องดูความลึกของลำห้วย แต่คาดว่าน่าจะบรรจุน้ำได้ประมาณ ๔๐๐ กว่าคิวบิกเมตร พูดง่าย ๆ ว่าถ้าน้ำไม่มี อย่างน้อยเราก็อยู่ได้เป็นเดือน
เรื่องพวกนี้ทำเอาไว้แล้ว จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ ก็ปลอดภัยกว่าไม่มี ตั้งใจไว้ว่าเมื่อทำเสร็จแล้ว จะชักน้ำจากแม่น้ำขึ้นมา เพื่อที่จะแช่เอาไว้เพื่อให้คอนกรีตจืด ทิ้งไว้สักครึ่งค่อนเดือนแล้วเปิดทิ้ง จากนั้นค่อยเอาน้ำสะอาดที่เราจะใช้ใส่ลงไปเก็บกักไว้"
"คราวนี้น้ำสะอาดทางเราไม่กล้ว เพราะน้ำสะอาดของวัดท่าขนุนใช้ฟรี เนื่องจากได้ทำหนังสืออนุญาตให้ทางด้านการประปาเดินท่อผ่านสะพานแขวนหลวงปู่สาย ทำให้เขาประหยัดไปได้หลายกิโลเมตร เขาก็เลยอนุญาตให้ทางวัดใช้น้ำฟรี แต่อาตมาก็ต้องคอยดุพระดุเณรไว้ว่า ไม่ใช่เห็นว่าใช้น้ำฟรีก็ถลุงกันจนเคยชิน เดี๋ยวกลับบ้านไปก็ได้จ่ายกันหูตาลาย..!
ทางวัดมีถังประปา ๑๒๐ คิวบิกเมตรอยู่แล้ว ทางเทศบาลมาขอติดตั้งหัวท่อดับเพลิง ถ้าหากว่ามีไฟป่าหรือว่าอัคคีภัยขึ้นมา ทางด้านวังท่าขนุนที่ไม่ได้อยู่ในเขตฝั่งเทศบาลโดยตรง จะได้ไม่ต้องวิ่งรถอ้อมหลายกิโลเมตรเพื่อไปเอาน้ำ สามารถดูดน้ำจากแทงค์ของวัดได้เลย
หลายอย่างอยู่ในลักษณะของการร่วมมือกัน ระหว่างบ้าน-วัด-ราชการ หรือบ้าน-วัด-โรงเรียน ท้ายสุดวัดก็จะกลับมาเป็นศูนย์กลางชุมชนเหมือนเดิม งานพรุ่งนี้ก็คืองานต้อนรับผู้ตรวจการราชการกระทรวงวัฒนธรรมที่ไปดูงานอยู่ เขาจะได้รู้ว่า ต่อให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไม่อยู่ งานทุกอย่างก็ยังไปได้สวย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้หลายประเทศกำลังอยู่ในลักษณะของการแข่งกันไปดาวอังคาร น่าเสียดาย..ถ้าไปถูกที่ ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปทำอะไร เพราะว่าสามารถที่จะลงไปแล้วก็อยู่อาศัยได้เลย แต่ดันไปดาวอังคาร
อย่างถ้าไปดาวศุกร์ สภาพใกล้เคียงกับโลกของเรา เพียงแต่ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ ก็เพราะว่าดาวศุกร์อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า ด้านที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ร้อนจนมนุษย์อย่างเราอยู่ไม่ได้ แต่ดาวศุกร์หมุนกลิ้งด้านเดียวเข้าหาดวงอาทิตย์ ก็เลยทำให้ฝั่งตรงข้ามเป็นเขตหนาว ช่วงค่อนข้างกึ่งกลางเป็นเขตอบอุ่น มีมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ แต่อยู่ในเงามืด ก็เลยทำให้พวกเราที่ถ่ายรูปผ่านกล้องโทรทัศน์บ้าง ผ่านยานอวกาศบ้าง ไม่สามารถที่จะเห็นเขาได้
แต่คราวนี้พวกเราพูดไปก็กลายเป็นเพ้อเจ้อ เพราะว่าวิทยาศาสตร์เขาก้าวหน้าขนาดนั้น เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย"
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.