View Full Version : เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓
ถาม : ขณะกระผมขับรถในยามวิกาลบนถนนที่ไม่มีแสงไฟช่วยส่องสว่าง เจอหมาสีดำในระยะกระชั้นชิด ผมหักหลบเพื่อรักษาชีวิตมัน แต่หากชนมันเสียชีวิต ผมควรรักษากำลังใจอย่างไรจึงสมควรครับ ?
ตอบ : รักษาใจไว้อย่าให้เศร้าหมองจึงเป็นการสมควร
ถาม : หากได้ทำการปรามาสสมเด็จองค์ปฐม จำเป็นหรือไม่ที่ต้องไปขอขมาหน้าพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม หรือพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐมครับ ?
ตอบ : จะให้ดีที่สุดก็ขึ้นไปกราบขอขมาต่อพระองค์ท่านบนพระนิพพาน
ถาม : ถ้าจะขอขมาพระรัตนตรัยโดยที่ขณะนั้นไม่อยู่ใกล้พระพุทธรูป รวมถึงไม่มีพระเครื่องติดตัวเลยจะทำแบบไหนได้บ้างครับ ?
ตอบ : ขึ้นไปกราบขอขมาบนพระนิพพาน
ถาม : เวลาสวดมนต์ฟุ้งซ่านมาก จึงได้นับการหายใจเข้าหรือเสียงหายใจเข้าด้วย แล้วพบว่าฟุ้งซ่านน้อยลง อย่างนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกแค่ตอนนั้น
ถาม : หากเงินวิระทะโยถูกขโมยหายไปจากที่เก็บ หรือจะไปทำบุญแทนคนอื่นแล้วเงินโดนขโมยไป ต้องหาเงินมาเติมให้ครบหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ขโมยเองก็ไม่ต้อง
ถาม : เวลาผมไปวัดใดก็ตาม มักจะเห็นคนนำเหรียญบาทมาวางบนหน้าตักพระพุทธรูป ถ้าเราหยิบเหรียญนั้นมาหยอดตู้ทำบุญในวัดนั้น เนื่องจากกลัวเหรียญจะทำให้ทองที่ปิดพระพุทธรูปลอก หรือสีที่พ่นพระพุทธรูปลอก ผมจะโดนโทษย้ายเจดีย์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา แล้วเราเอาไปทำบุญอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ก็จะมีโทษย้ายเจดีย์
ถาม : ระยะหลังมา เนื่องจากเห็นข่าวการโดนกลั่นแกล้งต่าง ๆ มากมาย เวลาที่ผมทำบุญถวายพระพุทธรูป ผมก็เลยมักจะอธิษฐานว่า ขอผลบุญนี้จงส่งผลให้ข้าพเจ้ามีอำนาจ ขอให้ไม่โดนกลั่นแกล้ง ไม่โดนละเมิดความเป็นส่วนตัว ไม่โดนแอบดู ไม่โดนดักฟังเวลาอยู่ในที่อยู่อาศัย ไม่โดนสะกดรอยตาม ทุกภพทุกชาติ ตราบจนข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพาน
ซึ่งเวลาสวดมนต์เสร็จผมก็มักจะอธิษฐานแบบนี้ทุกวัน และเมื่อนึกถึงบุญที่ได้ถวายพระพุทธรูปครั้งล่าสุดก็มักจะอธิษฐานซ้ำอีก แต่ผมไม่ได้ถวายพระพุทธรูปทุกวัน จึงนึกถึงการทำบุญถวายพระพุทธรูปที่เคยทำไปแล้วครั้งล่าสุดแทน
ไม่ทราบว่าถ้าเราทำบุญถวายพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานไปแล้ว เราต้องอธิษฐานซ้ำอีกหรืออธิษฐานครั้งเดียวก็พอ เมื่อได้มีโอกาสทำบุญถวายพระพุทธรูปอีกค่อยอธิษฐานใหม่อีกทีครับ ?
ตอบ : อธิษฐาน แปลว่า ตั้งใจมั่น ถ้ายังไม่รู้สึกว่ามั่น ก็ให้อธิษฐานซ้ำบ่อย ๆ
ถาม : ถ้าเราคัดลอกข้อความ คำสอน ธรรมะ จากหนังสือธรรมะของวัด เช่น ของวัดท่าซุง ที่เขียนว่า “สงวนลิขสิทธิ์” แล้วนำไปโพสต์ลงในกลุ่มธรรมะ หรือส่งต่อในกลุ่มไลน์ แบบนี้จะถือว่าผิดศีลข้อ ๒ ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาสงวนลิขสิทธิ์ไม่เพียงผิดศีลเท่านั้น แต่จะโดนความผิดทางโลกตามกฎหมายอีกด้วย
ถาม : การที่จิตเราฝันถึงพระองค์ใด ว่าท่านมาโปรดมาสอนเรา อยากทราบว่า ความฝันแบบนี้ เราคิดไปเองหรือท่านมาโปรดเราจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : ความฝันมีทั้งเกิดจาก ธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ต้องดูว่าตอนนั้นตัวเราจัดอยู่ในประเภทไหนถึงจะบอกได้ถูก
ถาม : ผมโดนเอาชื่อของผมไปโกงเงินเบี้ยเลี้ยง แล้วให้ผมเซ็นชื่อทุกเดือน แต่ผมไม่ได้เงินอันนี้ ถึงได้ก็ไม่เอา ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงิน ทั้งที่ในใจไม่ยินดี ไม่ยินยอม แต่ต้องเซ็นให้ เพราะผมเป็นลูกน้องเขา ถ้าไม่ยอมเซ็น กลัวจะอยู่ลำบาก หรือถูกกลั่นแกล้ง จะบาปไหมครับ ? เพราะผมก็ไม่เต็มใจ และไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้
ตอบ : เป็นการกระทำที่ขาดเจตนา ถึงบาปก็น้อยกว่าการกระทำที่มีเจตนา
ถาม : พระธุดงค์ท่านฉันอาหารมื้อเดียว แต่ตอนบิณฑบาต ได้กับข้าวมาเยอะ หลังจากฉันอาหารแล้ว จะต้องทำอย่างไรกับอาหารที่เหลือครับ แจกจ่ายต่อให้คนอื่นได้ไหมครับ ? หรือว่าให้ทานสัตว์ไปเลยครับ ?
ตอบ : พระธุดงค์ท่านออกธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลส ส่วนมากรับบิณฑบาตแค่พอฉันเท่านั้น จะไม่มีอาหารเหลือมากจนต้องลำบากในการจัดการ แต่ถ้าพระ "ถูดง" ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามักจะไม่รู้จักประมาณ ถ้าฉันเหลือถือเป็น "วิทาสาโท" สามารถแจกจ่ายให้กับผู้คนหรือเลี้ยงสัตว์ได้ แต่ไม่ควรทำ ควรรับแค่พอฉันเท่านั้น
ถาม : ผมซื้อบ้านใหม่ แล้วอยากจะตั้งศาล ควรจะตั้งทั้งศาลพระภูมิ และศาลอากาศเทวดา(๔ เสา) เลยไหมครับ ? เพราะจากที่อ่านและศึกษาจากกระทู้ "การบวงสรวง การตั้งศาล" ในกระดานสนทนาวัดท่าขนุน บอกว่า "ส่วนศาลอากาศเทวดา พระอาจารย์เล็กไม่ค่อยแนะนำให้ตั้ง แต่ถ้าตั้ง ท่านแนะนำทิศใต้และทิศตะวันตก ไปกราบถามหลวงปู่สุพัฒน์ ท่านก็ว่าถ้าตั้งศาลเดียว ให้เอาศาลพระภูมิไว้ก่อน เพราะอากาศเทวดาท่านไม่ค่อยอยู่หรอก เขตดูแลท่านกว้างมาก
หากจำเป็นต้องตั้งคู่กัน (หาทิศเอาเอง น่าจะเน้นทิศของพระภูมิมากกว่า) หลวงปู่ฤๅษีฯบอกว่า ต้องตั้งให้ศาลอากาศเทวดาสูงกว่าศาลพระภูมิอย่างน้อย ๑ เซ็นติเมตร (หนึ่งข้อนิ้วเรา)"
และทิพจักขุญาณของผมนั้นก็ยังอ่อนแอ จึงไม่สามารถรับรู้ถึงอากาศเทวดาได้ ดังนั้นผมควรตั้งคู่กันเพื่อแสดงความเคารพท่านด้วยไหมครับ
และถ้าต้องตั้งคู่กัน ที่บอกว่าศาล ๔ เสา ต้องสูงกว่าศาลพระภูมิ คือ พื้นสูงกว่า หรือ ยอดศาลสูงกว่ากันครับ ?
ตอบ: มีคำตอบให้ไว้มากมายแล้วสำหรับเรื่องนี้ อย่ามักง่ายเอาแต่ความสะดวกเฉพาะตนด้วยการถามใหม่ หัดไปค้นคว้าเอาเองบ้าง
ถาม : เม็ดเงินนอก คืออะไรครับ แตกต่างกับเม็ดเงินที่ขายตามร้านค้าทั่วไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : คือเม็ดเงินที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีต่างประเทศ ที่สูงกว่าเทคโนโลยีของบ้านเรา
ถาม : ถ้าซื้อเม็ดเงินตามร้านทองทั่วไปกิโลกรัมละ ๒๐,๐๐๐ บาท แลกพระกริ่งสะท้านไตรภพเนื้อเงินชนวนล้วนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าได้เม็ดเงินนอกมาก็แลกได้
ถาม : สอบถามร้านค้า ร้านค้าบอกว่าเม็ดเงินในร้านเป็นเม็ดเงินนอก สอบถามบางร้านเจ้าอื่น ๆ บางร้านก็ไม่รู้จักเม็ดเงินนอก เม็ดเงินนอก ที่นำมาแลกพระกริ่ง มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์หรือข้อห้ามเม็ดเงินนอกอย่างไรบ้างครับ ถึงจะเป็นเม็ดเงินนอกที่สามารถนำมาแลกพระกริ่งได้ครับ เม็ดเงินนอกกับเม็ดเงินที่ขายตามร้านค้า แตกต่างกันหรือไม่ครับ เราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าเม็ดเงินที่เราซื้อมา เป็นเม็ดเงินนอกครับ ที่สามารถนำมาแลกพระกริ่งได้ครับ ?
ตอบ : เม็ดเงินนอกขนาดค่อนข้างเล็กสม่ำเสมอ ร้านค้าในบ้านเราส่วนใหญ่มักง่าย เอาเม็ดเงินที่ผลิตเองปนลงไปเป็นจำนวนมาก สังเกตได้ง่ายว่า ถ้าอยู่ ๆ ก็มีเม็ดเงินขนาดใหญ่มากผิดไปจากเพื่อนปนมา ก็แปลว่าใช้ไม่ได้
ถาม : ตะกรุดต่าง ๆ ที่ถูกนำมาม้วนเอาไว้แล้ว ถ้าเราคลี่ออกมาอานุภาพยังเหมือนเดิมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตอนม้วนตะกรุด แทบทุกตำราต้อง "กรึง" ด้วยการว่าพระคาถากำกับ ถ้าคลี่ออกก็เป็นอันว่า "หมดราคา"
ถาม : พระกริ่งมหาพิชัยสงครามของวัดท่าขนุนบางองค์มีฐานเป็นเลข ๙๖ ด้วยใช่ไหมครับ มีความแตกต่างจากฐานที่เป็นตัวอุ และ ตัว นะ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่เป็นของทำเลียนแบบ
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน ตะกรุดมหาระงับ และตะกรุดอื่น ๆ เราสามารถห้อยข้างเอวได้หรือไม่ครับ ? จะเป็นการปรามาส หรือเปล่าครับ ? แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า แบบไหนควรห้อยอย่างไรครับ ?
ตอบ : รู้ได้ด้วยสามัญสำนึก..! โดยปกติแล้วก็ให้ห้อยไม่ต่ำกว่าเอว ท่านที่เคารพมากก็มักจะแขวนคอไปเลย
ถาม : การบอกบุญผู้อื่นรับบริจาคเงินเพื่อนำไปซื้อเม็ดเงินนอกเพื่อร่วมหล่อพระ ถึงเวลาเรานำเม็ดเงินนอกไปแลกพระกริ่งสะท้านไตรภพที่วัดแทน ได้ร่วมทำบุญหล่อพระเหมือนกัน ผิดไหมครับ ?
ตอบ : ผิดตรงที่เจตนาแอบแฝง ไม่บอกกล่าวให้ชัดเจน ถ้าเป็นพระมีสิทธิ์โดนอาบัติปาราชิก..!
ถาม : การบอกบุญผู้อื่นรับบริจาคเงินเพื่อนำไปซื้อเม็ดเงินนอกเพื่อร่วมหล่อพระและแลกพระกริ่งสะท้านไตรภพ โดยเขียนบอกคนอื่นไว้ว่า ถ้าได้รับวัตถุมงคลเราจะขอเป็นของเราเอง ได้รับพระกริ่งมา จะเป็นของเราไหมครับ ผิดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าบอกชัดขนาดนี้แล้ว ยังมีคนใจดีทำบุญด้วย ก็ไม่จัดเป็นความผิด
ถาม : เราใช้เงินของตัวเองซื้อเม็ดเงินนอกตั้งใจนำไปไปแลกพระกริ่งสะท้านไตรภพที่วัด แต่ไม่ทัน ๗๐๐ คนแรก เรานำเม็ดเงินนอกกลับมา ไม่ได้ทำบุญถวายวัดหล่อพระ จะถือว่าเป็นของกึ่งกลางสงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ของที่ตั้งใจถวายสงฆ์ นำเดินทางไปไม่ถึงแล้วนำกลับมา จึงจัดเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ ของที่ตั้งใจนำไปแลกเปลี่ยนไม่ถือว่าเป็นของกึ่งกลางสงฆ์
ถาม : คนเราสามารถที่จะนั่งเฉย ๆ ได้นาน ๆ หลายชั่วโมงโดยไม่เบื่อและไม่ทรงฌานได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าตายไปแล้ว..! ขนาดคนอกหักรักคุดยังต้องทรง "มิจฉาสมาธิ" เลย คนปกติถ้าไม่ขยับก็ต้องตายแล้วหรือหมดสติไปเท่านั้น..!
ถาม : ในระหว่างที่นั่งสมาธิเกิดอาการเหมือนตัวตรงโดยอัตโนมัติหลังจากที่นั่งตัวงอ โดยอาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก ความรู้สึกเหมือนสะดุ้ง แล้วจากนั้นตัวก็ตรงโดยอัตโนมัติ ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : เกิดจากสติที่ทรงตัวได้เป็นพัก ๆ พอขาดสติก็กลับไปสู่อาการเดิมอีก
ถาม : ผมเช่าตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นห้า (ตะกรุดฯ) จากวัดท่าขนุนโดยตรง แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตะกรุดฯ ได้หลุดไปตอนวิ่งออกกำลังกายบนถนน โชคดีที่เจอ แต่ตะกรุดฯ ที่เจอดันโดนรถทับไป มีรอยที่แผ่นเงินบ้าง ผมจึงนำกลับมาทำความสะอาดด้วยน้ำมนต์เสาร์ห้าของวัดท่าขนุนแล้วทำการคลี่ออกเพราะต้องม้วนใหม่ พอคลี่ออกมาก็พบว่าด้านในมีคราบสกปรกจึงขัดด้วยน้ำยาบรัสโซ และเมื่อทำความสะอาดเสร็จจึงม้วนกลับ (แต่ม้วนยากมาก ๆ) สุดท้ายก็ม้วนเสร็จ แต่ไม่ได้สวยงามเหมือนของเดิม ตรงยันต์ตะกรุดเมฯ มุมสี่เหลี่ยม พอคลี่ออกก็มีรอยแหกตรงสี่เหลี่ยมนิดหน่อยเกิดจากตอนที่ทำการม้วนใหม่...
ผมขอกราบเรียนถามว่า
๑. ตะกรุดมหาสะท้อนฯ จะเสื่อมไหมครับ?
๒. ถ้าผมปรามาสพลาดพลั้งไป มีวิธีแก้ไขอย่างไรไม่ให้เป็นโทษครับ?
๓. ขอคำแนะนำวิธีทำความสะอาดและม้วนที่ถูกต้องครับ (หากต้องมีพิธีกรรมใด ๆ)
ตอบ : ถ้าคลี่ออกก็จบกัน จะเอาเหมือนเดิมก็ทรงสมาบัติ ๘ ภาวนาพระคาถาตามตำรา แล้วม้วนกลับไปใหม่
ถาม : บรมครูโพโพอ่องท่านเป็นฤๅษีหรือเป็นพระครับ และตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : เคยบวชเป็นพระ แล้วละเพศไปเป็นฤๅษี ตอนนี้ท่าน "อยู่ข้างบน"
ถาม : การสวดคาถาแมลงภู่คำ "โอม..พญาแมลงภู่คำ งามเหลือล้นพอตา ในโลกาโลกใต้ ฯลฯ" ถ้าเราตายตอนสวดคาถาเราจะไปเกิดเป็นแมลงภู่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้านึกถึงพระก็ไม่เป็นไร ถ้านึกถึงแมลงภู่ก็ "สวัสดี"..!
ถาม : หากขอขมาพระรัตนตรัยหน้าพระพุทธรูปเป็นภาษาบาลีหรือภาษาไทยอย่างใดอย่างหนึ่ง จะได้ผลสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจมุ่งตรงต่อการแก้ไขความผิดนั้น ๆ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประจักษ์พยาน ก็มีผลสมบูรณ์
ถาม : ตะกรุดโสฬสมหามงคล ถอดปลอกห่วงออกจะเสื่อมไหมครับ
ตอบ : ไม่มีข้อกำหนดก็ไม่เสื่อม
ถาม : นำปลอกห่วงของตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๓ ออก น้ำหนักไม่ถึง ๑ บาท แล้วนำปลอกห่วงใส่เข้าไปใหม่จะเสื่อมไหมครับ ตะกรุดจะยังมีอานุภาพของมหาสะท้อนอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสมบูรณ์ตามกติกาก็มีอานุภาพเหมือนเดิม
ถาม : หนุมานมนต์พระกาฬที่พุทธาภิเษกที่วัดพุทธพรหมยานในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมานี้ จะถามว่ามนต์พระกาฬนี้ใช่วิชามนต์พระกาฬแบบเดียวกับที่หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามท่านใช้หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องไปถามคนสร้างเอง
ถาม : การวางกำลังใจในพรหมวิหารธรรมโดยเฉพาะข้อเมตตาและอุเบกขาระหว่างพุทธภูมิและสาวกภูมิเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : พุทธภูมิหนักในเมตตากรุณา เรียกว่าเมตตาจนตัวตาย สาวกภูมิไม่ถึงระดับนั้น มักจะวางอุเบกขาได้เร็ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากเดิมที่อาตมาวางแผนไว้ว่า ปีนี้หล่อพระพุทธรูปทองคำ ปีหน้าต้นปีหล่อพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเนื้อเงิน และปลายปีหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงิน ปรากฏว่าช่างขอเปลี่ยนแปลงเป็นปลายปีนี้ ก็คือ วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ หล่อพระพุทธรูปทองคำกับพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินพร้อมกัน ก็ถือว่าเร็วขึ้น เป็นการดี อาตมาก็ไม่ไว้ใจตัวเองเหมือนกันว่าอยู่ได้กี่วัน ทำอะไรที่เป็นบุญใหญ่สำเร็จลงได้ ภารกิจก็ลุล่วงไปอีกหนึ่งงาน
สำหรับท่านที่ซื้อหาเม็ดเงินเพื่อจะไปแลกพระกริ่งสะท้านไตรภพที่วัด ถ้าหากว่าเจอเม็ดเงินไทยปนมาเยอะ ก็คัดออกไปเลย โดยเฉพาะพวกเม็ดใหญ่ ๆ แบน ๆ บุบบิบบู้บี้นั่น ผลิตจากประเทศไทยทั้งนั้น ที่เขาปนเข้าไปมาก เพราะว่าขายเป็นเม็ดเงินนอกแล้วได้ราคาสูงกว่า เราก็แค่ไปซื้อเม็ดเงินมา แล้วคัดเอาเฉพาะเม็ดเงินนอกลงไปให้ได้น้ำหนัก ๑ กิโลกรัม ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าต้องสละทิ้งทั้งหมดก็น่าเสียดาย
ความจริงเม็ดเงินไทยที่คัดออกมาก็สามารถใช้หล่อพระได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าของวัดท่าขนุนที่พิถีพิถันใช้เม็ดเงินนอก เพราะว่าเนื้อเงินบริสุทธิ์กว่า บางคนบอกว่าถึงระดับ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ทราบว่าถึงหรือไม่ คราวนี้ถ้าหากว่าเอาปนกันไป ถึงเวลาหล่อพระออกมา เนื้อก็จะดูลาย ๆ ถ้าหากว่ามองไกล ๆ บางทีเห็นเหมือนกับมีเงาอยู่ในเนื้อ จึงต้องลำบากญาติโยมทั้งหลายที่ตั้งใจจะร่วมทำบุญด้วย"
"จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษทางร้านที่อยากได้กำไรมากแล้วเอาไปผสม ส่วนใหญ่แล้วสมัยนี้เอาเรื่องของผลประโยชน์เป็นใหญ่ ร้านค้าสมัยก่อนเอาชื่อเสียงเกียรติคุณ พูดง่าย ๆ ก็คือเดิมพันด้วยชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตัวเอง เขาถือว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน
ญาติโยมหลายท่านอาจจะสงสัยว่าร้านทองทั่วประเทศไทยมากมายมหาศาล แต่ทำไมฮั่วเซ่งเฮงยืนอยู่อันดับหนึ่ง ก็เพราะว่าเขารักษาชื่อเสียงเกียรติคุณ ทองของเขาบอกว่ากี่เปอร์เซนต์ก็ตามนั้น ไม่เคยมีการปนอะไรเพิ่มเข้าไป
อาตมาเคยนำเอาทองคำแผ่น จะเรียกว่าทองคำแท่งก็ไม่ได้ แผ่นละหนึ่งบาทบ้าง ห้าสิบสตางค์บ้าง สลึงหนึ่งบ้าง ครึ่งสลึงบ้าง ครึ่งสตางค์บ้าง เอาไปหลอมใหม่ (รีไฟน์) ได้ทองแดงและโลหะอื่นมาบานตะเกียงเลย โดยเฉพาะได้เม็ดเงินออกมาถุงใหญ่ แสดงว่ามีส่วนโลหะอื่นที่ปลอมปนเข้าไปเยอะมาก แต่ว่าก็อยู่ใน ๙๖.๕ เปอร์เซนต์ที่เป็นทอง โลหะอื่นอีก ๓.๕ เปอร์เซนต์นั้นแล้วแต่ ถ้าบริษัทไหนประเภทใจถึงหน่อยก็ใส่เงินเข้าไปมาก ใจไม่ถึงก็ปนทองแดงเข้าไปมาก"
คุณจารุนำเม็ดเงินนอกมาถวายร่วมหล่อพระ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “จำเอาไว้ว่า...เม็ดเงินนอกเม็ดจะเล็กสม่ำเสมอแบบนี้ ถ้ามีเม็ดใหญ่ ๆ ปนมาให้รู้เลยว่าเขาเอาเม็ดเงินไทยปนเข้าไป ของใครที่มีเม็ดใหญ่แทรกมาเยอะใช้ไม่ได้”
คณะจัดสร้างพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (จำลอง) ได้นำแบบเหรียญที่ขออนุญาตพระอาจารย์จัดสร้างในนามวัดท่าขนุน เพื่อหาทุนในการสร้างพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (จำลอง) มาให้พิจารณา
พระอาจารย์บอกว่า “งามดีแล้ว ทำเสร็จหรือยัง หรือว่ามีแต่แบบ ?”
ถาม : ตอนนี้เราช่วยกันเลือกอยู่ว่าจะมีเนื้ออะไรบ้าง จึงอยากกราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อในเรื่องนี้ ?
ตอบ : ถ้าออกแบบเหรียญเป็นลักษณะอย่างนี้ แม่พิมพ์จะชำรุดง่ายมากที่สุด
ถาม : แต่แม่แบบทำเสร็จแล้วครับ ?
ตอบ : ถ้าเช่นนั้นกำหนดยอดอย่าให้มาก
ถาม : หลวงพ่อจะอนุญาตให้จัดสร้างอย่างละประมาณเท่าไรครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง เพราะว่าไม่ได้เกี่ยวกับทางวัด แค่ทางวัดอนุญาตให้สร้าง จะจำหน่ายเท่าไรก็ว่าไป
ถาม : ในส่วนของวัตถุมงคลชุดนี้ เข้าพิธีวันที่ ๒๒ สิงหาคมนี้เลยใช่ไหมครับหลวงพ่อ ?
ตอบ : ขึ้นกับว่าจำนวนวัตถุมงคลของเรามากน้อยเท่าไร เพราะโบสถ์ที่วัดเล็กนิดเดียว
ถาม : สร้างไม่มากครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่กี่ลังก็พอได้ แต่ถ้ามาหลายสิบคันรถก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ตรงไหน แล้วกะจะไปถึงวัดวันที่เท่าไร ?
ถาม : วันที่ ๒๒ ครับ ตามที่หลวงพ่อให้กำหนดการมา
ตอบ : คือวันที่ ๒๒ ที่วัดมีงานอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณไปไม่ทันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่วัดจะจัดงานช่วงเช้ามาก
ถาม : ดังนั้นควรไปวันที่ ๒๑ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้ให้คุณจัดของเข้าไปในโบสถ์ให้ทันก่อน ๐๗.๓๐ น. ของวันที่ ๒๒ สิงหาคม
พระอาจารย์เล่าว่า “เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา มีการประชุมพระนวกะของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอก็มอบหมายให้พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นผู้กล่าวรายงาน เพราะว่าท่านเป็นคนเดียวที่สามารถกล่าวรายงานโดยไม่ต้องเปิดตำราได้ คนอื่นกล่าวรายงานแล้วต้องเปิดตำรา ประธานท่านจะรำคาญเพราะว่าอ่านไปเรื่อย ของอาตมานี่อยากจะยาวก็ยาว อยากจะสั้นก็สั้น พอถึงเวลาก็ “บัดนี้ได้เวลาสมควรแล้ว ขออาราธนาพระเดชพระคุณทำพิธีเปิด และให้โอวาทตามสมควรแก่เวลา ควรมิควรแล้วแต่จะเมตตา” ...จบ...
พอสิบโมงอาตมาก็กราบลา วิ่งรถมาสามชั่วโมง มางานพุทธาภิเษกที่วัดหนองม่วง อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี มีการเสกหุ่นพยนต์พรายมงคล อาตมานั่งลงก็อาราธนาบารมีพระตามแบบของเรา ปรากฏว่าคำว่า พรายมงคล ดูท่าว่าจะเจ๊งหมด กลายเป็นหุ่นพยนต์เทวฤทธิ์ไปหมด สายของเรานี่ลำบาก..ถ้าจะเล่นเรื่องไสยศาสตร์ ถึงเวลาคุณพระลงไปไสยศาสตร์ก็สลายตัวหมด
ที่อาตมาต้องรีบลงไปก็เพราะว่ามีงานเพิ่มขึ้นมา หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอท่านให้ไปเป็นประธานเปิดงานปฏิบัติธรรมของพระนวกะประจําปี ๒๕๖๓ ตอนห้าโมงเย็น สรุปก็คือต้องไปแทนท่านสองงาน ทั้งเช้าทั้งเย็น โดยมีงานพุทธาภิเษกแทรกอยู่ตรงกลาง โดยปกติถ้าไม่มีงานช่วงเย็นก็จบเลย แต่งานด่วนแทรกเข้ามาก็เลยต้องวิ่งไปวิ่งกลับให้ทันเวลา”
“ไปถึงทางด้านวัดหนองม่วงเกือบ ๆ จะบ่ายโมง ก็แจ้งกำนันหน่อย (นายวิริยะ กิตติกำจาย) กำนันตำบลหนองโพ ที่เป็นประธานคณะกรรมการจัดสร้างวัตถุมงคลว่า “ขออนุญาตนั่งเสกเลย” กำนันบอกว่า “วัตถุมงคลยังมาส่งไม่ครบครับ” อาตมาก็เลยต้องนั่งไปเรื่อย ครบไม่ครบเราก็ว่าของไปเรื่อย ของจะอยู่ใกล้จะอยู่ไกลพระท่านสงเคราะห์ได้อยู่แล้ว
ปรากฏว่าของมาก่อนเวลาที่ตั้งใจไว้ ก็เลยกลายเป็นเรียบร้อยดีทุกประการ ลืมตาออกมาเห็นคุณไก่ บ้านฆ้อง (คุณปริญญา นัทธี) ท่านเป็นเซียนพระ อาตมาก็เลยขอโทษขอโพยท่าน ขออภัยที่มาผิดเวลา เพราะว่าเขานัดเวลาพุทธาภิเษกไว้ตอน ๑๕.๑๙ น. แต่อาตมาต้องวิ่งกลับสามชั่วโมงให้ทันห้าโมงเย็น ถ้าเริ่มเสก ๑๕.๑๙ น. กว่าจะเสร็จก็สี่โมงกว่า กลับไปไม่ทันงานอย่างแน่นอน
เซียนไก่บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ แค่หลวงพ่อมาให้ ผมก็ดีใจแย่แล้ว” วิ่งกลับไปสามชั่วโมง กลับไปถึงก่อนห้าโมงเย็นไม่กี่นาที หายใจยังไม่ทันจะเต็มปอดก็ได้เวลาเปิดงาน
แต่ละวันงานก็เป็นอย่างนี้ วันไหนมีงานเดียวถือว่าดวงเฮงมากเลย ทำงานแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว เพราะฉะนั้น..ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะมีหรือไม่มีก็ไม่ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
ถาม : ขอปรึกษาว่า หนูไม่ค่อยถูกกับแม่ อยู่ใกล้กันไม่ได้เลย ?
ตอบ : แม่อย่ายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของลูกก็พอ
ถาม : ก็เลยใช้วิธีโอนเงินให้แม่ทุกเดือน พอใช้ได้ไหมคะ ? เพราะก็ยังรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
ตอบ : ได้..พอเด็ก ๆ เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว เขาต้องการความเป็นส่วนตัว
ถาม : คือหนูนี่แหละค่ะ ที่ทะเลาะกับแม่ ?
ตอบ : นั่นแหละ..ก็แปลว่าเราเพิ่งเริ่มจะเป็นวัยรุ่น..!
พระอาจารย์ประกาศเวลาทำบุญของรอบนี้ “เหลือเวลาอีกหกนาทีครึ่ง หกนาทีครึ่งนี่นานมากนะ ถ้าเราต้องรออะไรสักอย่างหนึ่ง แค่ ๒-๓ นาทีก็นานมากแล้ว แต่ตอนที่เรามีความสุขเวลาจะผ่านไปเร็วมาก
เราจะสังเกตว่าเวลาของอบายภูมิ อย่างเช่นนรกขุมที่ตื้นที่สุด คือ สัญชีวนรก หนึ่งวันของเขาเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ คือเวลาทุกข์ยากลำบากจะนานมาก แต่เวลาของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หนึ่งวันเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ อะไรที่มีความสุขเวลาช่างน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกันเราจะเห็นว่า ๙ ล้านปีกับ ๕๐ ปีต่างกันมากเหลือเกิน”
พระอาจารย์เล่าว่า “เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ตั้งแต่ช่วงค่ำไปจนสว่างเช้าวันที่ ๒๙ มีแต่ขีปนาวุธบินว่อน พอ ๆ กับอิสราเอลรบกับเฮซบุลเลาะฮ์
เนื่องจากว่าเป็นวันอังคารและตรงกับวันพระด้วย พวกไสยศาสตร์เขาชอบมาก ยิ่งถ้าเป็นวันพระเดือนดับยิ่งชอบใหญ่ ก็เลยมีการทำของไสยศาสตร์กันอย่างครึกครื้น เล่นเอาหมูหมากาไก่ทั้งวัดท่าขนุนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ส่งเสียงเอ็ดตะโรกันทั้งคืน ส่วนอาตมาเองนอนสบายใจเฉิบ ทั้งนี้ทั้งนั้นและทั้งโน้นก็ต้องขอบคุณ "ท่านพี่" ที่ช่วยจัดการเจ้าพวกนี้จนเดี้ยงหมด เหมือนอย่างกับเด็กมาเกาคันให้ผู้ใหญ่ อาตมาจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร และพวกนี้ก็คงหมดสภาพไปอีกหลายเดือน ได้แต่บอกว่าสมน้ำหน้า..!”
พระอาจารย์เล่าว่า “เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ไปบวงสรวงพุทธาภิเษกวัตถุมงคลให้ด็อกเตอร์พระครูโรจน์ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว กำลังบวงสรวงอยู่ หลวงพ่อวัดท่าซุงมายืนประกบหลัง แล้วท่านก็ถอยไปนั่งที่โซฟา คนที่มองไม่เห็นก็จะเอาข้าวเอาของไปวาง อาตมาก็เลยต้องให้เอาอาสนะมาปู จะได้เป็นเครื่องหมายไม่ให้ใครมานั่ง ด็อกเตอร์พระครูโรจน์จึงเอารูปหลวงพ่อมาวางด้วย หมดเรื่องหมดราวไปเลย
ความจริงเรื่องของครูบาอาจารย์ที่ท่านมาสงเคราะห์ ก็ต้องบอกว่าด้วยความเนื่องกันมาอย่างหนึ่ง ด้วยความเมตตาของท่านอย่างหนึ่ง และบางทีก็เป็นคำสั่งของพระท่าน ว่างานนี้ให้ครูบาอาจารย์ท่านใดมาสงเคราะห์ เป็นต้น เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าพวกเรามีประสบการณ์บ่อย ๆ ความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ”
“เหมือนอย่างกับวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ไปบวงสรวงพุทธาภิเษกที่วัดพุทธพรหมยาน พระอาจารย์เอกลักษณ์ท่านมารายงานว่า “หลวงพ่อครับ เบี้ยแก้ที่ทำไป ทางด้านเซียนพระที่ท่าพระจันทร์เขาเอาไปผ่าดู แล้วก็ถามว่า สมัยนี้ยังมีคนดักปรอทป่ามาเพื่อใช้งานอีกหรือ ?” พระอาจารย์เอกลักษณ์บอกว่า “ผมบอกไปว่าผมใช้ปรอทวิทยาศาสตร์ครับ แต่ปรากฏว่าเซียนพระบอกว่าอย่าหลอกเขา เขาอยู่กับปรอทมาทั้งชีวิต เขารู้ว่าอะไรเป็นปรอทป่า อะไรเป็นปรอทวิทยาศาสตร์”
ก็เลยเป็นที่ยืนยันได้ว่า ที่หลวงปู่บุญท่านมา แล้วท่านช่วยเสกในส่วนของเบี้ยแก้ให้ แล้วท่านก็ยืนยันว่าเบี้ยแก้ทั้งหมดนั้นเหลือแค่สายวัดกลางบางแก้วเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเอาเบี้ยแก้สายอื่นมา อานุภาพอย่างอื่นจะโดนท่านล้างเกลี้ยงไปเลย
ในส่วนที่ท่านล้างหมดก็ไม่นึกว่ากระทั่งปรอทวิทยาศาสตร์ท่านก็ล้างทิ้งไปด้วย เหลือแต่ปรอทธรรมชาติอย่างเดียว จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า สิ่งที่อาตมารับรู้ รับทราบ และนำมาบอกกล่าวพวกเราเป็นจริงตามนั้น เพราะว่าเขามีการผ่าพิสูจน์มาแล้ว แต่ต้องบอกว่าทำให้เสียของไปเปล่า ๆ”
“เอาไว้สอบถามผู้เชี่ยวชาญก่อนว่ามีเวลาทำให้วัดท่าขนุนไหม ? เพราะว่าเบี้ยแก้จะต้องมีฟัน ๓๒ ซี่ ต้องกรอกน้ำปรอทหนัก ๑ บาท ส่วนอาตมาเองนี่ชอบใจการทำเบี้ยแก้สายหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ เพราะเบี้ยแก้ของท่านมีเอกลักษณ์แยกแยะง่ายมาก คือเวลาเขย่าแล้วมีเสียงดังไม่เหมือนใคร เพราะว่าท่านเสกเป็นปรอทสำเร็จ คือจับตัวเป็นเม็ดเลย ซึ่งตรงนี้ไม่ยาก ในเมื่อไม่ยาก เดี๋ยวถ้าหาคนทำได้แล้ว ค่อยทำตามแบบของวัดท่าขนุนดู
แต่ว่าลำบาก..ลำบากตรงที่ว่าเบี้ยแก้หุ้มชันโรงใต้ดิน อาจจะต้องปิดปากเบี้ยด้วยชันโรงใต้ดิน ถ้ามีเวลาก็ต้องมีตะกรุดด้วย หลังจากนั้นก็หุ้มตะกั่วแล้วจาร หุ้มตะกั่วแล้วจารไม่พอ ถ้าหากว่ามีคนทำให้ก็ต้องถักอีก แต่ว่าจะมีเอกลักษณ์ตรงที่ว่าเขย่าแล้วมีเสียงดังเหมือนของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ นี่เป็นแค่แนวคิดเฉย ๆ เบี้ยแก้ทำเยอะไม่ได้ เพราะว่าลำบากในการหาปรอท”
“แล้วถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะทำตัวครูทิ้งไว้สัก ๓ ตัว ๕ ตัว เผื่อถึงเวลาใครศึกษาสายนี้มาก็จะได้มีไว้ใช้งาน เพราะว่าที่วัดพุทธพรหมยานอาตมาก็เอาเบี้ยตัวครูที่หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วท่านทำเอาไว้ ในเมื่อมีตัวครูอยู่ก็อาราธนาท่านมาสงเคราะห์ได้ ส่วนตัวครูที่หลวงปู่เจือทำให้ อาตมาถือว่ามีของระดับ "ซือโจวกง" อยู่แล้วก็เลยเอาของหลวงปู่เจือลงเว็บให้คนร่วมบุญไปเรียบร้อย ต้องบอกว่าเจอลูกศิษย์ทรยศ อาตมาเก็บตัวเล็กของหลวงปู่เจือไว้แค่ ๒ ตัวเท่านั้น
เบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือมีความน่ากลัวมาก เพราะว่าคนที่ทำให้ท่านก็คือคนที่ทำของขายเองด้วย ดังนั้น..จึงเหมือนทุกอย่างทุกประการ ยกเว้นไม่ได้เสกแค่นั้น หลวงปู่เจือท่านเตือนตั้งแต่แรก ๆ ที่เจอท่านแล้วว่า ถ้าอยากได้ของดีให้มารับจากมือท่าน อย่าไปเอาที่เขาวางขายหน้ากุฏิ นั่นท่านเมตตาเขาถึงขนาดนั้น รู้ว่าวางขายอยู่หน้ากุฏิ ท่านก็ปล่อยให้ขายไป”
“เบี้ยแก้ตัวเล็กที่พกติดตัวอยู่ตลอด ก็คือตัวเล็กที่เลี่ยมเงินลงยา มีจารของท่าน และอีกตัวหนึ่งก็ที่ท่านชุบรักให้ หนาปึ๊ก เงาวับเลย ตอนแรกก็คิดว่า “เอ..ทำแบบนี้คนจะตีเป็นของหลวงปู่บุญมากกว่าหรือเปล่า ?” แต่ท่านบอกว่าไม่เหมือน เพราะว่าดูอายุที่ห่วงและก็ดูรักได้ รักยิ่งเก่าจะยิ่งเงา อย่างที่ภาษาเซียนบอกว่า ‘รักมันมาก’ ก็คือเงามันวับเลย”
ถาม : เป็นที่อายุหรือคะ ?
ตอบ : เป็นธรรมชาติของรักเอง ยิ่งอายุเก่าเท่าไรก็ยิ่งเงามันมากเท่านั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมณศักดิ์ ‘พระครูวิลาศกาญจนธรรม’ ของอาตมา เพื่อนฝูงเขียนผิดตลอด ก็คือ ‘วิลาศ’ ตัวนี้ถ้าเป็นบาลีจะต้องใช้ ส.เสือ สะกด เป็น ‘วิลาส’ แต่สมณศักดิ์ของอาตมาเขียนเป็น ‘วิลาศ’ ที่ใช้ ศ.ศาลา สะกดตามแบบสันสกฤต
สมณศักดิ์ของอาตมาจึงผิดทั้งชื่อ ผิดทั้งการเขียน ชื่อผิดเพราะว่าสลับกับพระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์ วัดถ้ำเสือดาว การตั้งสมณศักดิ์นั้นมีเกณฑ์อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตั้งตามฉายา ของอาตมาฉายา ‘สุธมฺมปญฺโญ’ สมณศักดิ์ที่แท้จริงคือ ‘พระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์’ ของพระอาจารย์บูรพา วัดถ้ำเสือดาว ฉายา ‘กาญจนธโร’ สมณศักดิ์ที่แท้จริงของท่านคือ ‘พระครูวิลาศกาญจนธรรม’
ปรากฏว่าคู่นี้ไปเจอช่วงน้ำท่วมใหญ่ เจ้าหน้าที่ขนย้ายเอกสารให้มั่วไปหมด ประวัติเลยสลับกัน พระครูวิลาศกาญจนธรรมจึงกระเด็นไปอยู่วัดท่าขนุน พระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์เลยหล่นไปอยู่กับวัดถ้ำเสือดาว แล้วแถม ‘วิลาศ’ ตัวนี้เจ้าหน้าที่พิมพ์เพลินเขียนเพลิน ลืมหลักบาลีไปว่าต้อง ส.เสือ สะกด ในสัญญาบัตรตราตั้งก็เลยลงมาเป็น ศ.ศาลา สะกด ก็แปลว่าผิดฝาผิดตัวมาตั้งแต่ต้น ถ้าหากว่าไม่มีการเปลี่ยนสมณศักดิ์ใหม่ ก็จะติดตัวไปจนวันตาย เพราะว่าสมณศักดิ์ตั้งอิงความรู้ อิงสถานที่ อิงชื่อฉายา”
“อิงความรู้อย่างเช่นว่า ถ้าเป็นเปรียญธรรม ๓ ประโยคก็จะมีคำว่า ‘ปริยัติ’ อยู่ในสมณศักดิ์ อย่างเช่น พระครูกาญจนปริยัติคุณ พระครูปริยัติชัยกาญจน์ พระครูปริยัติกาญจนโชติ ถ้าเป็นเปรียญธรรม ๔ ประโยคก็จะมีคำว่า ‘สุต’ (ออกเสียง สุ-ตะ) อยู่ในสมณศักดิ์ อย่างเช่น พระครูสุตกาญจนรัตน์ ถ้าเป็นเปรียญธรรม ๕ ประโยคก็จะมีคำว่า ‘สิริ’ อยู่ในสมณศักดิ์ อย่างเช่น พระครูสิริกาญจนาภิรักษ์ ถ้าเป็นเปรียญธรรม ๖ ประโยค ก็จะมีคำว่า ‘ศรี’ นำหน้า อย่างเช่น พระครูศรีกิตติสุนทร พระครูศรีกาญจนวิสุทธิ์ พระครูศรีธรรมวราภรณ์ แบบนี้เป็นการตั้งสมณศักดิ์โดยอิงความรู้
ถ้าเป็นการตั้งอิงสถานที่ อย่างเช่น พระครูวรดิตถานุยุต คำว่า ‘ดิตถ์’ หรือ ‘ดิตถะ’ แปลว่าท่าน้ำ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าพูด ก็เลยมีคำว่า ‘ดิตถะ’ หรือ ‘ดิตถ์’ อยู่ในสมณศักดิ์ของท่าน เป็นต้น
อาตมาก็เลยกลายเป็นพระครูวิลาศกาญจนธรรม ผิดทั้งสมณศักดิ์ ผิดทั้งการเขียน แต่คราวนี้เนื่องจากว่าโดยหลักคณิตศาสตร์แล้ว ผิดกับผิดรวมกันจะเป็นถูก ลบกับลบรวมกันจะเป็นบวก พระครูวิลาศกาญจนธรรมก็เลยดังกว่าพระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์หลายเท่า ...(หัวเราะ)... นี่อาตมาสรุปแบบเข้าข้างตัวเองนะ..!”
“ท่านอาจารย์บูรพาเป็นลูกศิษย์พระอุปัชฌาย์เดียวกัน คำว่าพระอุปัชฌาย์เดียวกันก็คือว่า อาตมาเองเคยไปญัตติใหม่รอบหนึ่ง ตอนช่วงที่มีเหตุที่ท่านชาติชายโดนมาลาเรียกินจนเพี้ยน ขอให้อาตมาลดศีลลงไปเป็นเณร นุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรม เพื่อเอาใจท่านไม่ให้อาการกำเริบมาก อาตมาจึงยอมทำตาม
พอไปเล่าถวายให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นพระราชธรรมโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านก็บอกว่า “ไปห่มเหลืองได้เลย” อาตมากราบเรียนว่า “คนเขาเห็นผมอยู่ในชุดนี้หลายคน อย่าให้เขาสงสัยดีกว่าครับ กราบรบกวนหลวงพ่อทำพิธีบวชให้หน่อยครับ” หลวงพ่อท่านก็เลยเมตตาเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ มีท่าน ดร.พระครูวิวิธกาญจนคุณ ตอนที่ยังเป็นพระมหาสมพร สุภาจาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีท่านพระครูธรรมธรเสนาะ ธัมมธีโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
คราวนั้นทั้งสองท่านได้รับการเรียกตัวกระทันหัน ไม่ได้ซักซ้อมเอาไว้ และฉายาของอาตมาก็ยาวมากคือ สุธมฺมปญฺโญ ท่านก็เลยสวดผิดสวดถูก อาตมาก็ต้องคอยกระซิบบอก ยิ่งบอกท่านก็ยิ่งสั่น กลายเป็นว่านาครู้มากกว่าคู่สวด พอบวชเสร็จหลวงพ่อจังหวัดฯ ท่านก็บอกว่า “เอาละ..เรียบร้อยแล้ว ให้ใช้อายุพรรษาเท่าเดิม” ก็เลยกลายเป็นลูกศิษย์พระอุปัชฌาย์อาจารย์เดียวกัน”
“พอถึงเวลาท่านก็ตั้งให้เป็นพระครูวินัยธรรูปหนึ่ง อีกรูปหนึ่งเป็นพระครูธรรมธร ก็ได้คู่กันมา พอได้สัญญาบัตรก็ได้ปีเดียวกันอีก เป็นเหมือนอย่างกับเป็นคู่เขยกันมา คราวนี้พอหลวงพ่อวัดท่ามะขามเริ่มส่งไปทำงาน อาตมาก็ทิ้งห่างพระอาจารย์บูรพาท่านไปเรื่อย พอท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือดาว อาตมาไปเป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ไล่ท่านไม่ทัน แต่ปรากฏว่าจากรองเจ้าอาวาส อาตมาโดดตูมไปเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ ในขณะที่พระอาจารย์บูรพาท่านเป็นเจ้าอาวาสตามเดิม
หลังจากนั้นอาตมาขึ้นเป็นรองเจ้าคณะอำเภอ ท่านก็ยังเป็นเจ้าอาวาสเท่าเดิม ล่าสุดอาตมาเลื่อนสมณศักดิ์จากพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโทเท่ากับท่าน พรวดเดียวไป ๑๕-๑๖ ขั้น ไปเป็นเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เจอหน้าท่านบอกว่า “หลวงพี่..ผมไม่ไล่หลวงพี่แล้วนะ..ไล่ไม่ทันว่ะ” อาตมาก็เลยขำ ๆ “แล้วไล่ผมทำไม..? ถ้าหากว่าจะไล่ตาม ก็ไล่ทำงานตามมา ไม่ใช่มาไล่เรื่องยศตำแหน่งกัน”
เจอหน้าล่าสุดท่านห่มสีกรักแบบพระสายวัดป่า เลยถามว่า “วัดถ้ำเสือดาวเปลี่ยนเป็นสายวัดป่าแล้วใช่ไหม ? จะได้กลายเป็นวัดถ้ำจริง ๆ” ท่านบอกว่า “ไม่ใช่หรอก โยมเขาป่วยหนัก ถวายผ้าไตรให้ห่มช่วงเข้าพรรษาเพื่อต่ออายุ แล้วดันถวายสีนี้มา จะเปลี่ยนก็ไม่ทัน”
“ท่านอาจารย์บูรพาท่านเป็นพระเอกลิเกเก่า แม่ยกเยอะมาก เรียกว่าสร้างวัดด้วยอิทธิฤทธิ์แม่ยกเลย แค่นั้นยังไม่พอ แม่ยกมนุษย์ยังไม่พอ ท่านยังมีแม่ยกนางฟ้าอีก ก็คือแม่นางกาหลง ท่านบูรพาไปปฏิบัติธรรมในป่า แล้วไปเจอว่า “ทำไมตรงนี้นกกาตายเกลื่อนกลาดไปหมด ?” ปรากฏว่าเป็นต้นกาหลง ซึ่งมีอิทธิพลในการดึงดูดนกกาให้มาแล้วไม่อยากไปไหน จนอดตายเกลื่อนเลย ท่านจึงขอพลีมาสร้างเป็นวัตถุมงคลพวกเมตตามหานิยม ดังระเบิดเถิดเทิง
แต่ผ่านมาหลายปีเต็มทีแล้ว ประมาณ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว ของไม่เหลือแล้ว ใครอยากได้ให้ไปหาของเก่า ๆ หรือไม่ก็ไปไถท่านเอา อาตมาไม่ได้ขอท่านหรอก เพราะว่าถึงเวลาก็ขอพระท่านเสกเองได้ ตอนนี้ท่านยอมแพ้อยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือเรื่องตำแหน่งเรื่องสมณศักดิ์ที่ท่านไล่ไม่ทัน อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของการปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านบอกว่าของท่านถ้าแม่กาหลงไม่ช่วย ท่านก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาขลัง ส่วนของอาตมามีพระ มีครูบาอาจารย์ช่วย ตรงนี้ท่านเลยไล่ไม่ทัน”
ถาม : พระที่เป็นโลหะมีพลังอะไรที่แรงกว่าพระผงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : โลหะบางอย่างเก็บพลังได้ดี อย่างเช่น ตะกั่ว ทองคำ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการประจุพลังก็จะได้มากกว่า ซึ่งเกิดจากการเรียงตัวของโมเลกุลที่ต่างกัน ส่วนในเรื่องของผงนั้น ต้องใช้เวลาในการทำและต้องใช้กำลังสมาธิที่สูงมาก
ถาม : ตอนจัดพระที่บ้าน เวลาเจอพระที่เป็นโลหะ รู้สึกเหมือนมีแรงดูดค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไปเจอพระที่ท่านเสกด้วยกำลังสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระผงหรือพระโลหะก็จะเหมือนกัน ถ้าหากว่าไปเจอท่านที่พลังงานน้อยหน่อย ได้โลหะหรือผงที่เหมาะสมกว่าก็รับพลังได้จะดีกว่า
พระอาจารย์แจ้งว่า “วันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ ปกติอาตมภาพจะนิมนต์พระสุปฏิปันโน ไม่ว่าจะมาในสายพุทธภูมิหรือว่าสาวกภูมิก็ตาม มาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทำบุญกับเนื้อนาบุญ แต่ว่าปีนี้เนื่องจากสถานการณ์โควิด-๑๙ ที่แพร่ระบาด ยังไม่ดีขึ้น จึงไม่ได้นิมนต์พระทั้งหลายเหล่านี้มาให้ทำบุญเหมือนกับทุกปี แต่ว่าจะทำบุญเป็นการภายใน ก็คือเจริญพระพุทธมนต์โดยพระวัดท่าขนุนเท่านั้น
งานทำบุญวันแม่ยังมีเป็นปกติ แต่เป็นการทำบุญโดยอาศัยเฉพาะพระวัดท่าขนุน ในส่วนของพระวัดท่าขนุนนั้น เมื่อถึงเวลาพวกเราก็สวดมนต์ ทำวัตร เจริญกรรมฐานกันเป็นปกติ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อตอนบ่ายสองโมงพระอาจารย์มหาเอมาแจ้งให้ทราบว่า ท่านอาจารย์สุชาติ เลิศภูมิปัญญา ซึ่งเป็นผู้ปั้นรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าที่อาตมภาพจะหล่อด้วยเนื้อเงินแท้ บอกว่าควรที่จะหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินพร้อมกับพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำในวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นี้เลย ซึ่งอาตมาก็เห็นด้วย
ก่อนหน้านี้ที่ตั้งใจจะให้หล่อปีหน้า ก็เพื่อให้ท่านอาจารย์สุชาติได้มีเวลาในการทำงาน แต่ปรากฏว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่ทางวัดท่าขนุนต้องการ ส่วนใหญ่ท่านอาจารย์สุชาติท่านจะรู้ก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าท่านปั้นแบบเอาไว้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ตกแต่งแก้ไขนิดหน่อย ทางด้านช่างหล่อก็คือช่างหนึ่งก็บอกว่า ถ้าทำงานพร้อมกันก็เป็นการสะดวก และประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทางไป ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง
ดังนั้น..จึงขออาศัยโอกาสนี้แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบว่า วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ ทางวัดท่าขนุนจะหล่อพระสององค์ก็คือ พระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำ และพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๔๐ นิ้วเนื้อเงิน พร้อมกันในเวลา ๑๑.๐๐ น. ก็แปลว่าวันนั้นจะฉันเพลกันช้าหน่อย
ที่อาตมาเห็นด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ระยะหลังนี้อาการโรคภัยไข้เจ็บหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ญาติโยมก็จะเห็นอาตมาทำงานไปตามปกติ เพราะว่าทำงานกันแบบคนมีวันนี้วันเดียวเท่านั้น ถ้าสามารถหล่อพระที่ตั้งใจเอาไว้ให้เสร็จภายในระยะเวลาที่เร็วเท่าไร ก็ถือว่าเป็นคุณแก่ตัวเท่านั้น เพราะว่าอาตมาไม่ไว้ใจสภาพสังขารของตน ซึ่งตอนนี้ก็ย่างเข้า ๖๒ ปีแล้ว ถือว่าเกินอายุขัยมาเป็นเท่าตัวแล้ว การที่จะได้อยู่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและพระพุทธศาสนาก็ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ ในเมื่อผู้ปั้นองค์พระและช่างพร้อม สามารถทำพร้อมกันไปได้เลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง ”
“สำหรับท่านที่นำเม็ดเงินเพื่อจะไปแลกพระกริ่งสะท้านไตรภพเนื้อเงินนั้น เม็ดเงินที่ต้องการเป็นเม็ดเงินนอก ซึ่งค่อนข้างจะหายาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดเงินนอกปนเม็ดเงินไทยเสียมาก มีคำแนะนำว่า ถ้าท่านมีเวลา ให้เลือกเม็ดเงินที่เม็ดใหญ่ ๆ บิด ๆ เบี้ยวออก ให้เหลือแต่เม็ดเล็ก ๆ ที่มีขนาดสม่ำเสมอกัน แล้วซื้อเม็ดเงินนอกมาเติมให้ครบกิโลกรัม ก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นแล้วท่านเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก แต่ได้ของที่ปะปนมาแล้วใช้ไม่ได้ ก็จะทำให้เสียเงินไปโดยใช่เหตุ
ร้านที่รักชื่อเสียงตนเองจะขายเม็ดเงินนอกแท้ แต่พวกเราส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ก็อาจจะไม่สามารถที่จะซื้อหาได้ ราคาเม็ดเงินนอกแท้ก็ค่อนข้างจะแพงกว่าเม็ดเงินในบ้านเราที่ใช้เทคโนโลยีในการทำต่ำกว่า ในเมื่อราคาเม็ดเงินภายในต่ำกว่า เขาเอามาปนใส่กันไป แล้วขายเป็นราคาเม็ดเงินนอก เขาก็จะได้ราคาที่สูงกว่า ถือว่าเป็นการกระทำที่ปกติของพ่อค้า
พวกเราก็พยายามแก้ไข ในเมื่อซื้อหามาแล้วคืนไม่ได้ ก็ทำให้ดีที่สุด ด้วยการคัดเลือกเอาส่วนที่เป็นเม็ดใหญ่มีสภาพหยาบออกมา ส่วนที่ขาดก็หาทดแทนกลับเข้าไป ก็น่าจะที่จะพอใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วหลายท่านบางทีฝากซื้อกันที ๒๐-๓๐ กิโลกรัม ถ้าบอกว่าใช้ไม่ได้เลยก็เป็นลมตายกันพอดี..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “หน้ากากอนามัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์สามารถป้องกันไวรัสได้ดีกว่าหน้ากากผ้า ถ้าไม่ลำบากหรือว่าติดที่ราคาแพง ใช้แล้วทิ้ง ให้หาหน้ากากอนามัยมาใช้จะทำให้ปลอดภัยกว่า
เพียงแต่ว่าหลายท่านเมื่อใส่หน้ากากแล้วก็อึดอัดหายใจไม่ออก บางท่านเหมือนกับเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำท่าจะนั่งหลับอย่างเดียว นั่นเป็นอาการปกติของสมองที่ได้รับออกซิเจนน้อย แสดงว่าปอดทำงานได้ไม่เต็มที่
บุคคลที่ปอดทำงานดีที่สุดในโลกก็คือชาวทิเบต เนื่องจากบ้านเรือนเขาอยู่ในที่ที่ความสูงเกินกว่า ๕,๐๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง อากาศเบาบางมาก ทำให้ต้องมีปอดที่มีคุณภาพ สามารถกรองออกซิเจนที่มีอยู่น้อยอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหากว่าใครไปทิเบต ลงจากเครื่องบินแล้ว เห็นคนเดินฉับ ๆ ๆ เลย ให้รู้ว่านั่นคือชาวทิเบต ส่วนคนทั่ว ๆ ไปอย่างพวกเราก็ต้องค่อย ๆ ย่อง แค่เดินไม่กี่ก้าวก็หอบแล้ว หายใจไม่ทัน
พอสมองขาดออกซิเจนมาก ๆ อาการหนึ่งที่ปรากฏชัดที่สุดก็คือปวดหัวมาก ซึ่งความจริงเป็นสัญญาณชีพอย่างหนึ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่า อันตรายเกิดขึ้นกับสมองแล้ว ก็คือได้รับออกซิเจนน้อย ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ถ้าจะไปในสถานที่แบบนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือฝึกหายใจแบบโยคะ ซึ่งการฝึกหายใจแบบโยคะนั้น มีการหายใจด้วยปอดช่วงบน หายใจด้วยปอดช่วงล่าง หายใจด้วยท้อง ทำให้ได้รับออกซิเจนมากขึ้น เมื่อเจอกับสภาพอากาศน้อย เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนมา ก็จะไม่มีปัญหามากนัก”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อิติปิ โส.. ‘อิติ’ เป็นหนึ่งคำ ‘โส’ เป็นอีกหนึ่งคำ ส่วนใหญ่เขียน ‘อิติปิโส’ ติดกัน เป็นคำเดียวกันนั้นไม่ถูกต้อง ต้องเว้นวรรคให้แยกกัน”
ถาม : เวลาถวายสังฆทานควรวางกำลังใจอย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : เอาพระนิพพานเป็นหลัก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระนิพพานเหมือนกับยอดเขาสูงสุด ถ้าเราตั้งใจจะขึ้นให้ถึงยอดเขาสูงสุด ตลอดทางมีอะไรก็ต้องพบต้องเจออยู่แล้ว
พระอาจารย์เตือนโยมท่านหนึ่งว่า “จะทำบุญหรือแสดงความเคารพให้ถอดหมวกก่อน แสดงว่าไม่เคยรู้ธรรมเนียมสินะ ระวังนะ..ใส่หมวกไหว้พระคนโบราณเขาบอกว่าโทษจะทำให้หัวล้าน..!
การเข้าไปในสถานที่เคารพ เขาให้ถอดรองเท้า ลดร่ม ถ้าเป็นพระห่มคลุมอยู่ก็ให้ห่มเฉวียงบ่า ถ้าใส่หมวกก็ให้ถอดหมวก เราจะเห็นว่าแม้แต่ฝรั่ง เมื่อถึงเวลาจะแสดงความเคารพ เขาก็จะถอดหมวกก่อน เพราะฉะนั้น..จะบอกว่าใส่หมวกเป็นธรรมเนียมฝรั่งก็ไม่ได้
การใส่หมวกเป็นแฟชั่น เพราะว่าทางยุโรป อเมริกา เป็นเมืองหนาว โอกาสเจอแดดมีน้อย ดังนั้น..เขาไม่เสียเวลาใส่หมวกเพื่อกันแดดกันหรอก เพียงแต่ว่าช่วงนั้นแฟชั่นการใส่หมวก ถือไม้เท้า เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ส่วนผู้หญิงจะใส่หมวก มือถือผ้าเช็ดหน้า ห้อยตะกร้าหรือกระเป๋าถือ พอแฟชั่นแพร่หลายออกไป ก็ใส่กันไปทั่ว โดยไม่รู้ว่ามาจากแฟชั่นตรงนี้เอง”
“ส่วนบ้านเราที่ใส่หมวก ส่วนใหญ่เพราะว่าทำงานกลางแจ้ง ดังนั้น..คนไทยเราจะมีงอบ คนจีนมีหมวกกุยเล้ย ซึ่งจะเป็นหมวกใบใหญ่ กันแดดกันฝน แล้วคนไทยเรายังเก่งตรงที่ว่า ทำรองในสำหรับสวมศีรษะ แล้วถึงจะเป็นตัวงอบอยู่ด้านบนเพื่อกันแดดกันฝน การทำเช่นนี้ทำให้ไม่อบจนกระทั่งเหงื่อออกเปียกไปทั้งหัว แบบนี้เป็นการใส่หมวกเพื่อประโยชน์จริง ๆ ที่ไม่ใช่หมวกแฟชั่น
ส่วนของทหารที่ใส่หมวก เป็นหมวกเหล็ก เอาไว้กันสะเก็ดระเบิด หรือกระสุนปืนที่ไม่ได้โดนจัง ๆ เวลากระทบหมวกเหล็กก็จะแฉลบไป แต่ถ้าโดนตรง ๆ หมวกเหล็ก ๒ ใบ ๓ ใบก็กันไม่ได้ อาวุธสงครามยิงด้วยความเร็วสูง ๒,๕๐๐ ฟุตต่อวินาที อาตมาเคยทดลองกับหมวกเหล็ก ๓ ใบ ทะลุหมดเลย..! เพียงแต่ว่าถ้าโดนเฉียด ๆ ประมาณว่าหัวจะแหว่ง ก็ช่วยกันให้ไม่ถึงตาย แค่บาดเจ็บสาหัส ถ้ามีหมวกเหล็กอยู่ กระสุนหรือสะเก็ดระเบิดก็จะแฉลบ ไปไม่เข้าเนื้อ ไม่โดนหัว
พอใส่หมวกเหล็กออกรบ ด้วยความเคยชิน พออยู่ในที่ตั้งก็เอาหมวกเหล็กออก เหลือแต่รองใน แล้วคราวนี้การที่จะใส่หมวกรองในก็ไม่ค่อยสะดวก เขาก็เลยเปลี่ยนเป็นหมวกผ้าที่เรียกว่าหมวกแก๊ป ซึ่งก็คือหมวกปีก คนไทยเราบางทีก็ลืมคำเรียกเก่า ๆ กันหมดแล้ว ไปเรียกตามฝรั่งว่าหมวกแก๊ป ซึ่งก็คือหมวกสวมหัวที่มีปีกไว้กันแดดส่องเข้าตา ดังนั้น..การที่จะใช้หมวกเพื่อประโยชน์ในการกันแดดกันฝนจริง ๆ ก็จะเป็นทางด้านเอเชียของเราที่ฤดูร้อน-ฤดูฝนดุเดือดหน่อย ส่วนฝรั่งเขาใส่หมวกกันเป็นแฟชั่น หรือใส่กันหนาว”
“สมัยนี้หาคนที่มีฝีมือ ทำงอบทำหมวกกุยเล้ยดี ๆ ยากแล้ว แม้กระทั่งหมวกกุบอย่างของพวกญวนก็หาคนทำยาก วัสดุง่าย ๆ อย่างใบไผ่ หรือว่ากาบใบเลี้ยงของต้นไผ่ เอามาทำเป็นหมวก โดยการสานตอกไม้ไผ่ซ้อนอยู่สองชั้น ก็คือสานชั้นใน สอดไส้ด้วยใบไผ่หรือไม่ก็กาบเลี้ยงของต้นไผ่ แล้วสานชั้นนอกทับ ถ้าหากว่าสอดไส้ดี ๆ จะใช้ได้หลายปี กันแดดกันฝนได้ดีมาก”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในวงการสงฆ์ของเรากล่าวกันว่า พระภิกษุสามเณรของเราโชคดี ยังไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไวรัสโควิด-๑๙ แต่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา วัดไทยที่ลาสเวกัส เสียพระระดับเจ้าอาวาสไปด้วยโรคนี้ ส่วนพระลูกวัดอีก ๓ รูปก็อาการหนักจนเขาต้องนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งทางสหรัฐอเมริกานั้น ถ้าไม่ใช่อาการหนักจริง ๆ เขาก็ปล่อยให้รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ให้โทรถามหมอเอาเองว่าอาการแบบนี้จะรักษาอย่างไร..? แล้วหมอก็จะแนะนำให้ไปหายากินเอาเอง ปรากฏว่ามีการหามพระไทยใส่เปลขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล แสดงว่าอาการหนักมากแล้ว
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเสรีจนเกินเหตุ แม้กระทั่งเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บก็ยังไม่ยอมระวังป้องกัน เพราะเขาถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งอาตมาใช้คำพูดกับเพื่อนพระสังฆาธิการด้วยกันว่า “ไปละเมิดสิทธิที่เขาจะตาย เพราะฉะนั้น..ปล่อยให้ตายไปตามสิทธิ์ของเขาก็แล้วกัน..!”
“ในเรื่องของโรคระบาดเท่าที่ดูสถิติ ในแต่ละรอบ ๑๐๐ ปีจะเกิดโรคระบาดหนัก ไม่ว่าจะเป็นกาฬโรค ไข้เหลือง ไข้หวัดสเปน มายุคนี้ก็เป็นโควิด-๑๙ แต่ละครั้งที่ระบาดในอดีตก็ตายกันเป็นล้าน ๆ คน ปัจจุบันของเราตัวเลขคนตายอยู่ที่หลักแสน แต่ว่าของสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว เขาบอกว่าเฉลี่ยตายวันละ ๑,๕๐๐ คน ก็คือประมาณนาทีละ ๑ คน ขนาดนั้นก็ยังมีคนเชื่อว่าเป็นข่าวหลอก..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะนี้ญาติโยมจะเห็นว่าทองคำราคาขึ้นไปมาก เกิดจากสงครามที่ทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย สงครามที่เปิดเผยก็คือสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่สหรัฐพยายามกดดันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้จีนตบะแตก ตอบโต้แรง ๆ แล้วตนเองจะได้โหมฟืนโหมไฟให้คนอื่นตระหนกตกใจ จะได้ช่วยกันซื้ออาวุธ ซึ่งสหรัฐเป็นพ่อค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่จีนก็พยายามอดทน อดกลั้น อดออม ผ่อนปรนจนถึงที่สุด แม้ว่าจะโดนรุมตีแบบไม่ยุติธรรมเลยก็ตาม จีนรู้ว่าถ้าหากว่ามีสงครามขึ้นมาในยุคนี้ ระดับความเสียหายจะมากมายมหาศาล
ส่วนสงครามที่ไม่เปิดเผยนั้น เราจะเห็นว่าอยู่ ๆ เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐก็เกิดไฟไหม้ สถานที่สำคัญหลายแห่งของสหรัฐก็เกิดไฟไหม้ไล่ ๆ กัน แล้วเป็นเรื่องที่น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ ทำไมไฟไหม้ข้ามวันข้ามคืน ทั้ง ๆ ที่น่าจะใช้วัสดุเคมีดับไฟได้อย่างง่ายดาย”
“แล้วก็ยังมีสงครามในบริเวณตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะระหว่างตุรกีกับซีเรีย ไม่ว่าจะเป็นยิวกับปาเลสไตน์ ไม่ว่าจะเป็นเยเมนกับซาอุดิอาระเบียก็ตาม เรื่องพวกนี้ทำให้บรรดาผู้ที่มองการณ์ไกลต้องการตุนทองคำ ซึ่งถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด เพราะไม่ว่าค่าเงินจะลดจะเพิ่มอย่างไรก็ตาม ค่าของทองคำจะคงอยู่ตัวเสมอ
ประกอบกับที่แม้ว่ารัฐบาลทหารของบ้านเรา จะนำผู้มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจมาช่วยทำงาน แต่ก็ไม่สามารถที่จะตอบโจทย์ได้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะว่าอันดับแรก..ทุนสำรองของบ้านเรามีมาก ทำให้อัตราเงินแข็งมากเป็นพิเศษ แทนที่จะนำทุนสำรองไปใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ รัฐบาลก็เปลี่ยนมาเป็นกู้เงิน ซึ่งการกู้เงินนั้น บรรดาโครงการต่าง ๆ ก็ไม่ได้ตอบโจทย์อะไร ไม่ว่าจะเป็น ‘ชิม ช็อป ใช้’ หรืออะไรก็ตาม เพราะว่าโจทย์ที่แท้จริงก็คือ เรื่องของการได้ดุลการค้า”
“เพราะเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ทำให้เราสั่งสินค้าเข้าน้อย แต่การส่งออกขายยังต้องส่งไปตามอัตราปกติที่เขาเคยสั่งกันอยู่ เพราะว่าทางต่างประเทศสั่งซื้อสินค้าจากไทยเป็นการล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ระยะเวลาก็คือ ๓ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน เป็นต้น ในเมื่อมีการสั่งซื้อกันล่วงหน้า ถึงเวลาก็ต้องส่งให้เขา กลายเป็นว่าขายออกมาก แต่ซื้อเข้าน้อย เมื่อได้ดุลการค้า ค่าเงินบาทก็แข็ง
เชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีคนมองออก แต่ว่าไม่เคยประสบปัญหาตรงนี้ ก็เลยไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงอัตราเงิน เพื่อให้อยู่ในระดับที่สามารถส่งออกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เลยทำให้บ้านเราเงินฝืด ขณะที่ต่างประเทศเงินเฟ้อ คนก็เลยหันไปถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกันมากขึ้น ประกอบกับบรรดาสงครามทั้งที่ประกาศและไม่ประกาศ ตลอดจนกระทั่งภัยธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ก็เลยส่งผลให้การถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมีมากขึ้น ราคาก็พุ่งขึ้นไปสูงมาก”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอแจ้งให้ญาติโยมทราบว่า งานวันแม่ที่วัดท่าขนุน แม้ว่าจะจัดเป็นปกติ แต่ก็จัดเป็นการภายใน ไม่ได้นิมนต์พระสุปฏิปันโนมาให้พวกเราทำบุญเหมือนกับทุกปี เพราะว่าทางทองผาภูมิยังค่อนข้างจะเข้มงวดอยู่ เนื่องจากว่ายังไม่มีใครติดเชื้อโควิด ๑๙ เขากลัวเสียสถิติ งานวันแม่จึงจัดเป็นการภายใน ให้พระวัดท่าขนุนสวดมนต์กันเอง
ส่วนวันงานบูรพาจารย์หรืองานทำบุญถวายหลวงปู่สาย กำลังดูทางจังหวัดเขาอยู่ เพราะว่าจะมีงานประจำตามมาในช่วงบ่าย ก็คืองานประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีทั้ง ๓๓ แห่ง เหตุที่ต้องประชุมที่วัดท่าขนุน เพราะว่าพระครูวิลาศกาญจนธรรมท่านเป็นประธานศูนย์ประสานงาน น่าจะตำแหน่งที่ ๒๓ จำไม่ได้ว่าตัวเองมีกี่ตำแหน่ง ถึงเวลาจังหวัดมีอะไรก็มาลงที่วัดท่าขนุน รับได้ทุกรูปแบบ สั่งวันนี้อีกสองชั่วโมงจะเอา ก็ยังอุตส่าห์ทำทัน
งานที่เร็วที่สุดที่สั่งมาก็คือ จัดรดน้ำพระศพหน้าพระรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ปัจจุบันก็คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร สั่งการตอนเที่ยง บ่ายสองโมงต้องพร้อม ทุกหน่วยราชการต้องมาหมด วัดท่าขนุนทำได้ หลังจากทำให้เขาดูมาทีหนึ่ง ทุกอย่างก็มากันหมด มีอะไรใครทำไม่ทันก็มาลงวัดท่าขนุนทั้งหมด"
ถาม : ผมคลี่ตะกรุดมหาสะท้อนออก ผมไม่มีเจตนา พยายามม้วนกลับไปใหม่ อย่างนี้ตะกรุดจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : ทันทีที่คุณสงสัยก็เสื่อมแล้ว เพราะว่าขาดความมั่นใจ
ถาม : ตะกรุดจะกลายเป็นโลหะธรรมดาไหมครับ ?
ตอบ : เอาไปหล่อพระก็แล้วกัน คือปกติของไม่เสื่อมหรอก แต่คราวนี้เราหมดความมั่นใจเอง จะไปโทษใครไม่ได้
ถาม : ถ้ามั่นใจอยู่ ห้อยไปอย่างนี้ ตะกรุดยังเต็มร้อยไหมครับ ?
ตอบ : จะไปเอาอะไรเต็มร้อย ? ห้อยไปก็หวาดระแวงอยู่ไปทุกวัน คุณคิดหรือที่บอกว่ามั่นใจ ๆ นั้นจะใช่ ? ทันทีที่ตั้งคำถามก็แปลว่าความลังเลสงสัยเกิดขึ้นแล้ว
ถาม : หลวงพ่อจะสร้างอีกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้รับคำสั่งให้สร้าง อาตมาจะไม่ทำ โดยเฉพาะพวกเอาไปเล่นเขาจนตาย ๒ คนเห็น ๆ อยู่ ในเมื่อใช้ผิดวัตถุประสงค์ อาตมาก็เลยโดนสั่งห้ามให้ทำอีก ของทำเอาไว้ป้องกันตัว นี่ดันตั้งใจไปเล่นงานคนอื่น ต้องบอกว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่หาเหตุดี ๆ มาให้ทั้งนั้น..!
ตะกรุดแทบทุกสำนัก ส่วนใหญ่ตอนม้วนเขาจะมีคาถากำกับเอาไว้ด้วย แล้วบางทีก็ยังมีเคล็ดลับอื่น ๆ อย่างเช่นว่า ตอนม้วนต้องกลั้นหายใจ ตอนม้วนต้องหันหน้าไปทิศไหน บางรายถึงขนาดต้องดำน้ำลงไปม้วน เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่รู้จริง โปรดอย่าไปคลี่ออกมา คลี่ออกมาเมื่อไรก็เสียของไปเลย
ยิ่งถ้าเจอตะกรุดของท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ นี่ก็หายไปเป็นล้านเลย ตะกรุดมหาจักรพรรดิเนื้อทองคำ ของอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ดอกหนึ่งราคาเป็นล้าน ไปคลี่ออกมานี่หมดราคาเลย สลึงเดียวเขาก็ไม่เอา
ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมก็มักจะบอกว่า ผมมั่นใจว่ายังดีอยู่ แต่ขอให้เชื่อเถอะ..ถ้ามั่นใจจะไม่มาถามหรอก มาถามเมื่อไรแปลว่าไม่มั่นใจแล้ว
ถาม : ถ้าโดนพวกเสน่ห์เล่นงาน ควรแก้ไขเฉพาะหน้าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าโดนอะไร ถ้าโดนน้ำมันพรายก็แก้ไขยาก เพราะว่ากินอาหารที่มีน้ำมันเมื่อไรก็กำเริบเมื่อนั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ ส่วนใหญ่พอเราภาวนาจนกำลังใจทรงฌานได้ ก็สลายหมดแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนสมัยคุณเลิศยังไม่ได้ไปปักหลักอยู่ที่พุทธคยา เวลาทำอะไร แกจะคอยแอบดู ถึงเวลาแกก็บอกว่า เห็นหลวงพ่อให้พรทีไร กำลังใจพุ่งขึ้นข้างบนตลอด อ้าว..ไม่ขอพระสงเคราะห์ แล้วจะขอใครวะ ?
ตอนไปเจอที่พุทธคยา โห..สุดยอดพลังงานเลย จึงไปอยู่ที่นั่นหลายปีแล้ว แต่แกลืมไปว่าเหมือนอยู่บนกองมหาสมบัติ ถ้าใช้ไม่เป็นก็เท่านั้น คือ สมาธิจิตอย่างเก่งก็ระงับกิเลสได้แค่ชั่วคราว ต้องใช้วิปัสสนาญาณควบไปด้วย ถึงจะช่วยให้ตัดกิเลสได้จริง ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โรคภัยไข้เจ็บขึ้นอยู่กับกรรมเก่า แต่ถ้าป้องกันได้ เราก็ไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรกับเขามากนัก ของบางอย่างวาระกรรมยังไม่เต็มที่ แต่เราดันไปรับมาก่อนก็ถือว่าขาดทุน ผ่อนหนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าหมดท่าขึ้นมาก็ "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" มีปัญญาก็ทวงไปสิ..!
อย่างอาตมานี่ถือว่าจนมุมแล้ว หนีไม่ได้ แต่ละชาติที่ผ่านมาเป็นทหารมาทุกชาติ ถ้าถามว่าฆ่าเขามาเท่าไร ? ก็นับศพไม่ถ้วน เวลาป่วยหนัก ๆ แต่ละครั้ง พอใกล้จะหาย จะมีนิมิตบอกว่างานนี้ที่ป่วย เป็นเพราะไปทำอะไรมา
มีบางงานไปซุ่มโจมตีเขา ทัพหน้า ๓,๐๐๐ คน ตลอดจนช้างม้า กวาดเรียบไม่เหลือเลย..! ขนาดนั้นแล้วจะไม่ป่วยได้อย่างไร ? หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านช่วยย้ำความมั่นใจ บอกว่า "แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาไว้มาก จะป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าสักเดือนละตัวสองตัว จะช่วยบรรเทากรรมส่วนนี้ได้"
ด้วยความเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ อาตมาก็ทำตามมา ๓๕ ปีแล้ว บรรเทากรรมลงไปสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ ไม่ได้ปล่อยเดือนละตัวสองตัวตามที่ท่านสั่ง ส่วนใหญ่ไปถึง เห็นตาปริบ ๆ ก็เหมาหมดตลาด ล่าสุดนี่ก็ไปเหมาหมด ตลาดหน้าวัดแก่นเหล็ก จังหวัดชัยนาท ปล่อยเสร็จตัวเองก็ลงไปแช่น้ำกับปลาด้วย ตลิ่งพัง..! เหยียบอยู่ชายตลิ่ง ยงโย่ยงหยก ปล่อยปลาเสร็จ ตลิ่งพังโครม เลยลงน้ำไปด้วย..! อยากจะบอกกับเจ้ากรรมนายเวรว่า วันนี้กูปล่อยแต่ปลา ดันเอาตัวกูลงไปด้วย...!"
พระอาจารย์เล่าว่า "มีนักมวยอยู่คนหนึ่งชื่อ โบวี่ สก.สุไหงยิม ถ้าหากว่า ๓ - ๔ ยกผ่านไปคะแนนเป็นรอง เวลาที่เหลือนี่แกปั้นหมัดเดินใส่อย่างเดียว ทุบอย่างเดียว แล้วก็เป็นเรื่องที่แปลกว่า คู่ต่อสู้มักจะถอดใจ เห็นปั้นหมัดเข้ามาแล้วดันไปกลัว กำลังใจจึงสู้กันไม่ได้
มีอยู่ช่วงหนึ่ง รามอน เด็กเกอร์ นักมวยฝรั่งหัดต่อยมวยไทย คราวนี้ฝรั่งเขาต่อยหมัดโดยธรรมชาติ ไม่ค่อยจะถนัดเตะถนัดเข่า คนไทยดันไปกลัวหมัด ปรากฏว่ารามอน เด็กเกอร์ น็อกมวยไทยแนวหน้าไปหลายคน แล้วก็ไปต่อยกับมวยที่ค่อนข้างจะ "โนเนม" ก็คือโคบาล ลูกเจ้าแม่ไทรทอง ปรากฏว่าโคบาล นอกจากถนัดอาวุธมวยไทยทุกประเภทแล้ว หมัดยังหนักบรรลัยเลย แต่คนไม่ค่อยจะรู้กัน
รามอน เด็กเกอร์ ที่บอกว่ามีหมัดเป็นทีเด็ด ก็เลยโดนน็อกครั้งแรกในชีวิต สวนกันคนละที โดนฮุคซ้าย...โป้ง ร่วงทั้งยืน ประเภทนับ ๑๐ ยังไม่ฟื้น..!"
"มวยไทยที่ครบเครื่องจริง ๆ หายาก มวยไทยครบเครื่องจริง ๆ ต้องพุฒ ล้อเหล็ก ช่วงหลังมาก็มีสามารถ พยัคฆ์อรุณ ถ้าเป็นคนอื่น ส่วนใหญ่ได้อย่างเดียว อย่างสามกอ เกียรติมนต์เทพ เตะควายยังล้ม แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ลูกเตะเป็นหลัก โดยเฉพาะต่อยกับมวยฝรั่ง เตะแต่ละทีเสียงดังเป็นตีวัวตีควายเลย
อย่างปัจจุบันนี้ รุ่นใหม่ ๆ อย่างตะวันฉาย พีเคแสนชัยมวยไทยยิม ตะวันฉายลูกถีบสุดยอดมาก เขาจะถีบคู่ต่อสู้เสียศูนย์ล้มเป็นประจำเลย จังหวะถีบเขาคือจังหวะที่คนเขาจะถอย จะถอยแล้วโดนถีบส่ง เท่ากับเพิ่มแรง ตะวันฉายรูปมวยดี แขนยาวขายาว ถึงเวลาเตะสกัดต่อยสกัดถีบสกัด คู่ต่อสู้เข้าไม่ค่อยติด
ที่ขำที่สุดก็หลวงพ่อวัดท่าซุง สมัยโน้นถ้าเขาทรายต่อยเมื่อไรถนนร้าง คนต้องไปดูมวยกันหมด ปรากฏว่าเขาทรายต่อยกับนากาจิมะ นักมวยญี่ปุ่น พวกพี่แดง (นายดาบตำรวจตระกูล เปาริก) กับพวกจ่าประมวญ ราชอินทร์ หรือไพบูลย์ นั่งเชียร์กันหน้าจอ ตอนนั้นเป็นเวลาหลวงพ่อท่านขึ้นพัก ยังไม่ได้ลงรับสังฆทาน
ไอ้โน่นก็ "กูเอาชนะน็อก" ไอ้นี่ก็ "กูเอาแค่ชนะคะแนน" ยุ่งกันหมด "เสมอเป็นแพ้นะมึง" เถียงกันอยู่นั่น หลวงพ่อท่านบอกว่า "ไอ้ห่..มันน็อกกันยกแปด" พี่แดง (นายดาบตำรวจตระกูล) วิ่งลงมาข้างล่าง "เฮ้ย..ใครจะเล่นบ้าง กูเอาเขาทรายชนะ" ไม่มีใครเล่นเลย ทุกคนรู้ว่าลงมาจากข้างบน หลวงพ่อท่านต้องบอกมาแล้วอย่างแน่นอน"
"อีกเที่ยวหนึ่ง เขาทรายต่อยกับก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ เขาทรายล้ม ทุกคนว่าเขาทรายโดนหมัด เถียงกันอยู่นั่นแหละ หลวงพ่อท่านบอก "ไอ้บ้า..มึงดูใหม่สิ มันโดนขัดขา" อ๋อ...ใช่ ก้องธรณีสืบเท้าขึ้นหน้าจังหวะที่เขาทรายชักเท้าถอยหลัง เลยสะดุดล้ม สรุปว่าคนดูไม่รู้เรื่อง คนที่นอนพักอยู่อย่างหลวงพ่อท่านบอกละเอียดเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเอารูปพระ รูปยันต์พิมพ์ใส่เสื้อแล้ว เกรงใจเหลือเกิน ว่าเวลาซักจะปนกับกางเกงหรือเปล่า ?
รูปพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีสติสมบูรณ์ เคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ อย่าไปทำเป็นเสื้อเลย เผลอเมื่อไร ถ้าไม่วางต่ำ ก็จะเอาไปซักปนกับกางเกง
ถามว่าพระธรรมคืออะไร ? อย่างเช่นพุทธภาษิต บางคนก็ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” มาเต็มหลังเลย บางท่านก็ลายมือหลวงตามหาบัว
เฮ้อ..เห็นแล้วน่ากลัว คนทำเขาอาจจะคิดว่าเท่ ลืมไปว่าคนใช้สติไม่สมบูรณ์ เผลอเมื่อไรก็เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้น เรื่องเลขยันต์ เรื่องพระพุทธรูป เรื่องพระธรรม เรื่องพระสงฆ์ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปทำใส่เสื้อผ้า ใส่หมวกอะไรเลย
สมัยโบราณ การที่วัตถุมงคลมีข้อห้ามอย่างโน้นอย่างนี้ ก็เพื่อช่วยสร้างสติให้กับคนที่เอาไปใช้"
พูดถึงเหรียญรูปพระ "เวลาสร้างพระ อาตมาไม่ชอบให้มีอักขระหรืออะไรอยู่เหนือเศียรพระ เหมือนอย่างกับว่าเราไม่เคารพ จะเอาอักขระเอาอะไรไว้ข้างใต้ หรือไว้ข้าง ๆ ก็ได้ แต่อย่าไปไว้ข้างบนเศียรพระ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ทวดเป็นพระนิรันตราย บารมีของพระโพธิสัตว์จะคุ้มครองคนที่ระลึกถึงท่าน ไม่ต้องมีเหรียญก็ได้ ว่าแค่คาถา "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"
แทบจะเป็นคาถาบทแรก ๆ ในชีวิตอาตมา จำได้ว่าตอนนั้นหลวงปู่ทิม วัดช้างให้ ท่านหาเงินจะสร้างโบสถ์ โยมแม่ก็บูชาพระหลวงปู่ทวดมา ท่านก็เขียนคาถามาให้ด้วย ตอนนี้ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นอยู่กับใคร
ที่บ้านมีรูปหลวงปู่ทวดติดอยู่ ไม่เคยเจอฟืนเจอไฟอะไรกับใครเลย ทั้ง ๆ ที่บ้านอยู่ในป่า ไฟป่าไหม้ทุกปี หลังคาแฝกหลังคาจากน่ากลัวจะตายไป เศษไฟมานิดเดียวก็เรียบร้อยแล้ว"
ถาม : กำหนดการนิมนต์หลวงพ่อบวงสรวงเช้า กี่โมงก็ได้ครับ ?
ตอบ : เช้ากี่โมงไม่ได้ เวลาเช้าต้องไม่เกิน ๙ โมง เช้ากี่โมงนี่บรรลัยเลย ถ้าเลย ๙ โมง เทวดาท่านไปเทวสภาหมด ถึงเวลาพระท่านมาแล้วจะให้ใครเขาดูแล ? ถึงเวลาท่านจะกำหนดว่าวัตถุมงคลชิ้นนี้ เทวดาท่านนี้ นางฟ้าท่านนี้ ช่วยดูแลหน่อย ไม่มีใครอยู่เลย แล้วจะสั่งให้ใครดูแล ?
พูดถึงหลวงพ่อมนัส "ได้หลวงพ่อมนัสรูปเดียวก็พอแล้ว ท่านเป็นรุ่นครูบาอาจารย์ สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “มนัสคนหนึ่ง ประดิษฐ์คนหนึ่ง พอบวชพวกนี้เสร็จ ก็กลายเป็นพระธุดงค์กันหมด”
สมัยบวชใหม่ ๆ กว่าพวกเราจะเข้าไปที่วัดทุ่งจันดำ (วัดคลองเกวียนลอย) เจ้าประคุณเอ๊ย....ถนนหนทางจะลำบากอะไรขนาดนั้น ขนาดรถโฟร์วีลยังติดหล่ม ท่านก็อุตส่าห์ไปอยู่ พอความเจริญเข้ามา ท่านก็หนีลึกเข้าไปเรื่อย เหมือนอย่างกับว่าท่านกลัวความเจริญ
วันก่อนเจอกัน ถามท่านว่า "ช้างเป็นอย่างไรบ้างครับ ?"
"ช้างอะไร ?"
"ที่ตกบ่อนะครับ"
"อ้อ...เห็นเหมือนกันหรือ ?"
"ก็เห็นหลวงพ่อไปช่วยลูกช้างอยู่"
ลูกช้างตกบ่อซีเมนต์ที่เขาขุดเอาไว้ ตัวบ่อกลม ๆ ลื่น ๆ ขึ้นไม่ได้ พวกแม่ช้างก็ส่งเสียงร้อง หลวงพ่อมนัสท่านได้ยินก็เลยไปช่วย ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก ตกลงไปเฉย ๆ ขึ้นไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะว่าบ่อซีเมนต์กลม ๆ ช้างไม่มีที่จะเหยียบ
พวกช้างนี่เผลอเมื่อไรก็เก็บค่าผ่านทาง มาดักรถบรรทุก พวกรถบรรทุกผักผลไม้หรืออ้อยมา โดนเก็บค่าผ่านทางหมด ไม่ให้กิน ช้างไม่ให้ผ่านด้วย อะไรจะฉลาดปานนั้น ยืนขวางถนน พอรถไปไม่ได้ ก็เอางวงล้วงกินเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว ดร.พระครูโรจน์ถวายมาหนึ่งแสนบาท บอกว่าเป็นส่วนที่เป็นกำไรจากการจำหน่ายวัตถุมงคล อาตมาก็เลยเอาสร้างพระทองคำให้ท่านไปเลย ตามไปตรวจสอบบัญชีได้ เงินทุกบาททุกสตางค์ไม่เคยอม
ขนาดขอเบิกเงิน ๖๐ ล้านบาท นัดแล้วทางธนาคารเขามาไม่ทัน อาตมาก็ไม่รอเขา ไปก่อนแล้วกัน เล่นเอาผู้จัดการธนาคารจะช็อกตาย "แล้วผมจะทำอย่างไร ?" "เจอหน้าใครก็ฝาก ๆ เขาไว้ในวัดนั่นแหละ" กลับไปอีกคราวหนึ่ง กราบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ "ผมมัวแต่รอตำรวจอยู่ครับหลวงพ่อ" "เออ..รอไปเถอะ ถ้าเลยเวลาข้าก็ไปแล้ว"
เขาเอาตัวรองผู้กำกับไปคุมรถขนเงิน รองผู้กำกับเขาก็ถามว่า "เงินจำนวนสักเท่าไรครับ ถึงขนาดต้องใช้ตำรวจ ?" ทางธนาคารเขาบอกว่า "แจ้งยอดไม่ได้ครับ เป็นความลับของลูกค้า" พอรองผู้กำกับเจอหน้า "ตกลงยอดเงินเท่าไรครับหลวงพ่อ ?" บอกท่านว่า "เกิน ๕๐ ล้าน" "หา...แล้วหลวงพ่อให้ฝากเขาไว้นะ..!" "เออ..!"
เขาเอารถนำไป ๑ คัน มอเตอร์ไซค์สายตรวจตามหลังอีก ๒ คัน รองผู้กำกับก็นั่งอยู่ในรถธนาคาร ปรากฏว่าขนเงินไปถึง เจ้าอาวาสหนีไปแล้ว คนเบิกไม่อยู่รับเงิน บอกแล้วว่านัดไว้บ่ายโมง พอบ่ายโมงไม่มาอาตมาก็ไปเลย งานรออยู่ข้างหน้า เดี๋ยวจะไปไม่ทันเวลา
เรื่องงานของพระ อาตมามั่นใจอยู่อย่างเดียวว่า ข้าวของอะไรที่จำเป็น ไม่มีทางที่จะสูญหายไปได้หรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถามว่าสมเด็จพลิกชีวิตดีแค่ไหน ? ไม่รู้..? รู้อย่างเดียว...มีโยมแขวนเดี่ยว..องค์เดียวเที่ยวทั่วโลก ตอนแรกว่าจะเอาเหรียญพุทธบารมีสุริยันทรงกลด เขาบ่นว่าหนัก คนที่สัมผัสพลังได้นี่ ต่อไปจะมีปัญหา...คือรักพี่เสียดายน้อง
ส่วนอาตมานะหรือ ท่านบอกว่าสมเด็จองค์ปฐมเขียวเหล็กไหลก็เขียวเหล็กไหล อย่างอื่นดีแค่ไหนอาตมาก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก..เอาแค่ที่พระท่านสั่ง
เพราะว่าภาวะสงครามที่ทุกคนกลัว เกิดขึ้นแล้วนะ ท่านย่าบอกว่าข้างบนเตรียมพร้อมหมดแล้ว คราวนี้พวกเราไม่รู้กัน ทำไมสหรัฐฯ ถึงไฟไหม้เรือบรรทุกเครื่องบิน ไฟไหม้ที่โน่นที่นี่ แล้วแต่ละครั้งที่ไหม้บอกว่าไม่รู้สาเหตุ เป็นเพราะอะไร ? เทคโนโลยีระดับสหรัฐฯ ไฟไหม้แล้วดับไม่ได้ ๒ วัน ๓ วัน ?
แล้วทำไมอยู่ ๆ ทำไมเรือสินค้าของอิหร่าน ๗ ลำ โดนไฟไหม้ ? ทำไมอยู่ ๆ ตุรกีสั่งตุนทองคำ ๑๔๐ ตัน ? ภาวะสงครามมีทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย สงครามเปิดเผยก็คือสงครามการค้า ที่สหรัฐพยายามจะกลั่นแกล้งจีนทุกวิถีทาง ทางด้านยุโรปบางประเทศก็เอาด้วย เพราะว่าทางด้านยุโรปอเมริกาถือว่าเขาเป็นผู้เจริญกว่า เขารับไม่ได้ที่ผิวเหลืองจะยิ่งใหญ่กว่า แต่ถ้าหากนับประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซาง ๗,๐๐๐ กว่าปี อเมริกาเพิ่งจะ ๒๐๐ กว่าปี"
"อย่างวันก่อนเขามีรูปที่แชร์กันอยู่ในไลน์ ทีมคณิตศาสตร์อเมริกันชนะเลิศคณิตศาสตร์โอลิมปิก เฉือนประเทศจีนไปได้ ถ่ายรูปมาให้ดู ๕ คน อาตี๋อาหมวยล้วน ๆ เชื้อสายอเมริกันจีนทั้งนั้น
สรุปก็คือ ร้อยเผ่าพันธุ์มังกร อยู่ที่ไหนก็ฉลาดเกินมนุษย์มนา เป็นเราก็จะคลั่งตาย มีแต่ตาตี่ ๆ ผมดำ ๆ ชนะเลิศคณิตศาสตร์โอลิมปิกในนามสหรัฐอเมริกา
ในเมื่อรับไม่ได้ ก็พยายามก่อกวนให้จีนสะดุดให้ได้ โดยเฉพาะจีนพยายามหามิตรทั่วโลก แต่สหรัฐทำตัวเป็นนักเลงโต ไม่พอใจใครก็แซงชั่น ปิดล้อมทางเศรษฐกิจ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอคนรุ่นเก่าล้มหายตายจากไป คนรุ่นใหม่ก็เข้าใจความหมายผิด เนื้อหาก็ผิด ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เขาก็บอกว่า ร้อยชู้หรือจะสู้น้องเมียตน ถ้าน้องเมียเป็นผู้ชายก็เจริญ...!
บางทีเห็นหนังสือรุ่นใหม่ ๆ แล้วอาตมาก็เครียดแทน เราเกิดนานไปหรืออย่างไรวะ ? บางอย่างเขาเข้าใจผิดแล้วก็ไปเรื่อยเปื่อย อย่างปัจจุบันนี้ "หลับใหล" ใช้ไม้ม้วนหมดเลย ส่วนใหญ่ผิดด้วยคอมพิวเตอร์ "หลับไหล" ต้องไม้มลาย ไหลก็คืออาการที่ทำนี่ทำโน่นไปโดยที่ตัวเองขาดสติ ที่มีระยะหนึ่งเขาเรียกว่า ไหลตาย"
ถาม : หนูไปนั่งสมาธิที่วัดพระแก้ว หนูได้ยินเสียงบอกว่า "ถ้าเธอทุกข์ ให้คิดถึงพระพุทธเจ้า แล้วเธอจะได้ไป" วันนั้นเป็นวันธรรมสวนะพอดีค่ะ หนูก็ไปอ่านธรรมะเจอบทหนึ่งที่ตรงกับข้อเสียของหนูมาก และท่านก็กำลังเทศน์เรื่องนี้พอดี พี่เต้ยบอกว่า ต้องระวังไว้ ว่าเป็นมารมาดลใจหรือเปล่า หนูควรแยกอย่างไรคะ ?
ตอบ : งานนี้ไอ้เต้ยเป็นมาร...! คือพอเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเรา แล้วเขาก็พาให้เสีย เรื่องของมารเขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวเป็นเครื่องมือได้หมด อะไรที่ตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น ทำให้ใจของเราดีขึ้น ทำให้เกิดความสงบทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ทำไปเลย ต่อให้มารแนะนำก็ทำไป เพราะว่าดีกับเรา แต่ถ้าหากว่าทำไปแล้ว ทำให้กาย วาจา ใจของเราแย่ลง เลวลง มั่นใจได้เลยว่านั่นไม่ดี เพราะฉะนั้น...งานนี้ไอ้เต้ยเป็นมาร..!
เรื่องของมารที่โยมมัวแต่ระแวงสงสัยอยู่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งของเขา ให้สังเกตอย่างที่อาตมากล่าวไปแล้วก็คือ ถ้าทำแล้ว กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง น้อยลง ให้ทำไปเลย เพราะว่าเรื่องของมาร ส่วนใหญ่แล้วที่จะขวางเราได้ ก็คือช่วงท้ายที่จะเข้ามรรคเข้าผล ไม่ใช่ไอ้ประเภทเด็กกะโปโล ยังไม่เอาไหนอย่างเรา เขาไม่เสียเวลามาขวางหรอก
อย่าลืมว่ามารสูงกว่าเทวดานะ เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี มารอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ สูงกว่าเทวดาทั้ง ๕ ชั้น เพียงแต่ว่านิสัยของท่านไม่ค่อยอยากเห็นใครได้ดีกว่า เหมือนอย่างกับว่าแนะนำเราให้ทำมาหากิน ถ้ารวยขนาดมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กูจะแกล้งให้มึงล้มละลาย แบบนั้นก็ทำไปเลย ก่อนถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก สักล้านสองล้านเราก็หยุดก่อน หมดเรื่องไป
อาตมาบอกมาหลายสิบ ปีแล้วว่า มารไม่ใช่ศัตรู แต่มารเป็นครูที่ดีที่สุด เพราะว่าเขาทดสอบเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทุกที่ทุกทาง ทั้งหลับทั้งตื่น ถ้าเราก้าวผ่านได้ จะไม่แพ้ตรงจุดนั้นอีก เพราะฉะนั้น...การเป็นครู ถ้าออกข้อสอบให้ลูกศิษย์ทำ แล้วลูกศิษย์โง่ สอบตกเอง จะไปโทษครูได้อย่างไร ?
ถาม : เหรียญกองทุนมีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : อะไรนะ ?
ถาม : เหรียญกองทุนที่เป็นดาว ๖ แฉก มีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพด้านดูดทรัพย์ เพราะว่าคนที่จะมีได้ จะต้องเป็นกรรมการกองทุนหลวงปู่ปาน - พระมหาวีระ ถาวโร จ่ายเงินก้อน เขาเรียกว่าเหรียญราชมิตราภรณ์ ดันไปเรียกเหรียญกองทุน เดี๋ยวก็เจอเหวี่ยงหงายท้อง...!
ถาม : ดูดทรัพย์อะไรครับ ?
ตอบ : ก็ดูดทรัพย์ของเราไปเข้ากองทุน ถ้าใครมีก็ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่อย่างแท้จริง และทำประโยชน์ให้กับวัดท่าซุงอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วหลวงพ่อท่านไม่แจกให้หรอก
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่ถวายทองคำสร้างพระพุทธรูป พิจารณาให้ดี ๆ นะ สมัยนี้สิ่งที่ท่านถวายมาเป็นของปลอมเยอะมาก โดยเฉพาะพวกโลหะสเตนเลสชุบทอง ส่วนอันที่เป็นลักษณะขึ้นรูปแบบทองคำแท่งของจีน หรือหยวนเป่า นั่นเป็นแค่กระดาษแข็ง แล้วด้านนอกเป็นกระดาษสีทองเท่านั้น ท่านเองก็ถวายมาด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าได้ร่วมหล่อพระแล้ว ส่วนอาตมาเองเอาไปทำอะไรไม่ได้เลย
ตอนแรกก็คิดว่ายังพอจะมีทองเคลือบอยู่ด้านนอกบ้าง ปรากฏว่าด้านนอกเป็นแค่กระดาษสีทองเฉย ๆ ลักษณะเป็นกระดาษเหนียว กึ่ง ๆ เรซิ่นหรือพลาสติก แล้วส่วนใหญ่ก็จะใส่ตลับพลาสติกในรูปหยวนเป่า แล้วก็บรรจุในกล่องยี่ห้อร้านของเขา ผูกโบว์มาอย่างดี เป็นแค่ของมงคลที่แจกกันในช่วงเทศกาล อย่างเช่นตรุษจีน แต่ไม่ใช่ทองคำจริง ๆ ส่วนที่เป็นสเตนเลส เอาไปหลอมแล้วไม่ละลาย ช่างเขาส่งคืนมาเป็นห่อ อาตมาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็คงต้องบรรจุในองค์พระไป"
"ส่วนอีกหลายท่านสละแหวนมาเพื่อหล่อพระ แต่เป็นหัวเพชรบ้าง หัวพลอยบ้าง ไม่สามารถที่จะหล่อได้ เพราะว่าถ้าลงเบ้าไปก็ระเบิดหมด จะทำบุญอะไรโปรดใช้ปัญญาประกอบด้วย ศึกษาให้ดี ไม่ใช่สร้างภาระให้กับทางพระอย่างเดียว
อย่างเมื่อวานนี้ อาตมาต้องการเม็ดเงินสำหรับหล่อพระ โยมก็เอาถ้วยโถโอชามที่เป็นเครื่องเงินมา แล้วก็ไม่ใช่เงินแท้ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นอัลปาก้า คือทองแดงขึ้นรูปแล้วชุบเงิน ก็ถวายมาด้วยความปลื้มใจเป็นลัง ๆ อาตมาก็ได้แต่บ่นเป็นภาษาวัยรุ่นว่า น้ำตาจิไหล..!"
ถาม : คนน่าจะรอลุ้นหวยกันอยู่ ก็เลยยังไม่มากัน (ใกล้สี่โมงเย็น) ?
ตอบ : เล่นหวยก่อนแล้วค่อยทำบุญ แทนที่จะเอาพระนำ ก็ไปเอาอบายมุขนำ ขอให้เจริญ ๆ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความผิดพลาด เขาให้ตำหนิตัวเอง ไม่ใช่ตำหนิคนอื่น การที่ตัวเรายังตำหนิคนอื่นอยู่ แปลว่ากำลังของใจเรายังต่ำมาก จึงไม่เห็นความผิดตัวเอง ถ้าหาความผิดไม่ได้จริง ๆ ก็เอาอย่างอาตมาที่ว่า มึงผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่มาเจอเรื่องอย่างนี้หรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำนวนสมัยนี้เด็กรุ่นใหม่จะเข้าใจไหมว่าเขาเขียนอะไรออกมา ?
เขาบอกว่า "หามิได้แตกฉานลึกซึ้งเหมือนกับพวกนักปรุงโอสถอย่างแท้จริง"
ความจริงคือ "หาได้" หรือ "มิได้" แต่ดันเขียนฟุ่มเฟือย "หามิได้" ก็เลยกลายเป็นสำนวนทุเรศ อ่านแล้วไม่เข้าใจ"
ถาม : เวลาเราทำทาน เรามีการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำดี เหมือนเป็นการก้าวอีกระดับหนึ่ง เป็นการไม่ปล่อยวาง ?
ตอบ : ขาดอุเบกขา เรื่องของทาน ถ้าจะเอาดีจริง ๆ ก็คือมีก็ทำ ไม่ไปเลือกว่าคืออะไร
การให้ทาน ถึงท้ายสุดจะเป็นอุเบกขาในทาน อุเบกขาในทานก็คือ ขอแค่ได้ให้ ไม่คำนึงถึงผลได้ผลเสียอะไรอีกแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า “ระวังไว้ด้วยนะ บางท่านประมาทเกินไป เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอดีตไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมไว้ ? ถึงเวลาก็ออกมาตัวเปล่า หน้ากากก็ไม่มี ใส่หน้ากากไว้อย่างน้อย ๆ ก็กันไปได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้บ้านเราเพิ่งจะติดไวรัสแค่ ๓ พันกว่าคน ต่างประเทศเขาติดกันเป็นแสนเป็นล้าน บ้านเราโชคดีที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง บางคนต้องการความคุ้มครองมาก ขนาดรถทั้งคันพุ่งเข้าไปในศาลเลย..! มีใครดูหรือเปล่าเมื่อวานนี้ ? ไม่รู้ความคิดใคร...ตั้งศาลเจ้าพ่อไว้กลางถนนทำเป็นวงเวียน รถพุ่งเข้าไปแสดงความเคารพถึงกลางศาลเลย..!
ถ้าจะป้องกันอุบัติเหตุให้ตั้งพระพุทธรูป อาศัยบารมีพระท่านช่วย ที่ทองผาภูมิมีโค้งอันตรายชื่อ โค้งตาลูเก้ ลงเขามายาว ๓ กิโลเมตร คนไม่ชินทางแหกโค้งทุกราย..!
มีอยู่เที่ยวหนึ่งน่าจะเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว อาตมาขึ้นไปบรรยายที่ซองกาเลีย อำเภอสังขละบุรี ตอนขาขึ้นก็เห็นเขากำลังตั้งศาลให้ คือตรงนั้นมีธรรมเนียมว่าถ้าคนตายเขาจะตั้งศาล คราวนี้พอบรรยายเสร็จก็ค่ำแล้วกลับไม่ทัน สมัยก่อนถนนหนทางยังไม่ดี พอรุ่งขึ้นค่อยเดินทางกลับลงมา ศาลหลังนั้นพังราบไปเรียบร้อยแล้ว..! ท้ายสุดก็เลยมีคนที่น่าจะรู้จริง ไม่ตั้งศาลแล้ว แต่ทำแท่นหินขึ้นมาแท่นหนึ่ง นำพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๙ นิ้วไปตั้งหันเข้าหาโค้งพอดี ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครแหกโค้งลงไปตายอีกเลย แต่ถ้าตั้งศาลมีเท่าไรก็พังหมด ก็อย่างที่บอกว่าตอนเย็นขึ้นไปศาลยังดี ๆ อยู่ เช้าลงมาศาลพังไปแล้ว..!"
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ไม่มีอะไรเกินพระรัตนตรัย ไม่มีอะไรเกินพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า ถ้าเราจะหนีแรงดึงดูดของโลกออกไปอวกาศ ก็ต้องใช้จรวดประกอบไปด้วยแรงส่งอย่างมหาศาล สิ้นเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลวราคาเป็นพัน ๆ ล้านดอลลาร์ ก็หลุดไปได้แค่อวกาศ แต่ติดอยู่ในสุริยจักรวาล ถ้าอาศัยพลังงานมากกว่านั้นอีกหลายเท่า ดีดตัวเองออกจากสุริยจักรวาล ก็ไปติดอยู่ในทางช้างเผือก
ถ้าสามารถดีดหลุดพ้นจากทางช้างเผือก ก็ไปติดอยู่ในเอกภพ ถ้ายังสามารถหาเชื้อเพลิงที่มากกว่านั้นอีกหลายล้านเท่า ก็หลุดจากเอกภพไป เพิ่งจะถึงแค่ชายขอบของชั้นจาตุมหาราช ต้องใช้พลังมหึมามโหฬารขนาดไหน แต่ก็ไปได้แค่นั้น
แต่ถ้าเราตั้งใจรักษาศีลให้ดี เราไปได้เกินจาตุมหาราชแล้ว กำลังบุญแรงขนาดนั้นเลย ถ้าทำสมาธิด้วย ก็ไปไกลเกินเทวดาไปเป็นพรหม ใช้ปัญญาเสริมเข้าไป หลุดจากพรหมขึ้นไปพระนิพพาน
เพราะฉะนั้น..ทำไมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งอยู่ในแดนพระนิพพาน ท่านถึงบอกว่า อัปปมาโณ หาประมาณไม่ได้ เพราะว่าพลังงานที่ท่านหลุดพ้นจากวัฏสงสารนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่อะไรจะร้อยรัดไว้ได้
ถ้าเรามีความเข้าใจ มีความมั่นใจตรงจุดนี้ เราก็อาศัยกำลังของท่านเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติของเรา ก็สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์ ดีดตัวเองหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เหมือนกัน แล้วถ้าหากว่าไม่สามารถจะพ้นไปได้ อาศัยพลังมหาศาลของท่านคุ้มครองเรา อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย"
“มีใครเคยเล่าให้ฟังแบบนี้บ้างไหม ? ...(หัวเราะ)... ไม่มีอะไรหรอก ไปเปรียบเทียบให้ฝรั่งเขาฟัง ฝรั่งไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าของคุณยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็เลยบอกเขาแบบนั้น
กว่าจะเปรียบเทียบให้ฝรั่งเข้าใจแต่ละเรื่องนี่เหนื่อย บอกว่าทุกข์คำเดียว เขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาไม่ใช่คนไทย ทุกข์ตรงไหน ? บอกว่า suffering ไม่เข้าใจ ต้องทั้ง hungry thirsty tired สารพัด รวมกันแล้วเรียกว่า suffering คือทุกข์ โดยเฉพาะถ้า painful เมื่อไรก็ทุกข์ฉิบหา..เลย แหกปากร้องลั่นกันทุกคน”
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่ง “ต้องหมั่นดูแลคนแก่ จะได้รู้ว่าจังหวะไหนประคองได้ ประคองไม่ได้ จังหวะที่เขาใช้แรงไปครึ่งหนึ่งแล้วอย่าดันไปเสริม..มีแต่เกิน จะหัวทิ่มเอา ส่วนจังหวะที่เขายังไม่ทันใช้แรง ถ้าเราไปงัดเราก็เหนื่อยตายอยู่คนเดียว ต้องดูจังหวะเสริมแรงให้ถูก แล้วคนแก่จะรักมาก”
ถาม : หลวงพ่อครับ คุณพ่อผมตายไปอยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : พอ...อย่าถาม ถ้าถามจะโดนเตะ..! หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามบอกเรื่องคนตายไปไหนนานแล้ว ท่านบอกว่ามีแต่ขาดทุน ไม่มีกำไร อยากรู้ให้ไปฝึกมโนมยิทธิแล้วดูเอาเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า “อย่าลืมคนแก่ เดี๋ยวเราก็แก่แบบนั้น เพราะฉะนั้น..มีอะไรก็ช่วย ๆ เอาไว้หน่อย ถึงเวลาบุญกุศลนี้ก็จะช่วยให้เราสะดวกคล่องตัวไปด้วย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปีนี้ใครอยู่ภาคอีสานก็ใจหายใจคว่ำ เพราะว่าประเทศจีนน้ำท่วมใหญ่ เขากลัวว่าจีนจะระบายน้ำลงมาตามแม่น้ำโขง แต่ความจริงน้ำท่วมใหญ่ประเทศจีนนั้น ท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำฉางเจียง หรือที่คนไทยเรียกว่าแยงซีเกียง เป็นคนละส่วนกับพื้นที่ลุ่มน้ำหลานชาง หรือแม่น้ำโขงของเรา แต่ว่าทางด้านเหนือถ้าหากว่าน้ำหลากลงมา โอกาสที่จะท่วมก็มีมาก
พื้นที่ภาคอีสานถ้าไม่แล้งก็น้ำท่วมเป็นเรื่องปกติ ตอนมีก็มีมากเกิน ตอนไม่มีก็มีน้อยเกิน”
พระอาจารย์กล่าวกับพระ “งานในวัดอย่าไปทำเปะปะ เล็งเอาสักชิ้นหนึ่ง ประมาณว่าเป็นมาสเตอร์พีซแล้วก็ทำไปเลย เพราะถ้าหากว่าเราไปทำเปะปะ นอกจากเปลืองงบประมาณแล้ว ยังเกะกะรกไปทั้งวัด”
ถาม : เม็ดเงินนอกแต่ละร้านหน้าตาไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : ให้คล้าย ๆ กันก็แล้วกัน
ถาม : ร้านหนึ่งละเอียดยิบ อีกร้าน ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : จะใหญ่จะเล็กไม่เป็นไร แต่ให้สม่ำเสมอกัน เพราะว่าของไทยเรายังห่วยแตกมาก
พระอาจารย์กล่าวว่า “สถานการณ์บ้านเมืองโดนรุมเร้าด้วยภัยธรรมชาติ โรคภัย ตลอดจนกระทั่งสถานการณ์การเมืองเฮงซวย เศรษฐกิจไม่ฟื้น บรรดาผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์ ทำให้ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจแย่เพราะอะไร มีใครรู้บ้างว่าเพราะอะไร ?
บ้านเราตอนนี้ไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล แต่เป็นฝีมือโควิด ๑๙ ทำให้เราต้องส่งสินค้าที่เขาสั่งค้างเอาไว้ให้กับลูกค้าตามเวลา แต่เราสั่งสินค้าใหม่ไม่ได้เพราะว่าสถานการณ์โควิดทำให้ต่างประเทศจำนวนมากต้องปิดตัวลง ก็เลยอยู่ ๆ กลายเป็นของเราได้ดุลการค้า ส่งออกมากกว่านำเข้า เงินก็เลยแข็งฉิบหา..วายป่วง ...(หัวเราะ)...
แล้วรัฐบาลก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ก็เลยทำให้กิจกรรมกิจการต่าง ๆ ไปต่อไม่ได้ เพราะว่าเงินของเราแข็ง กลายเป็นว่าถ้าเราซื้อของนอกเข้ามาเราจะซื้อได้ถูก แต่ต่างประเทศเขาไม่ซื้อของเรา เพราะว่าของเรากลายเป็นแพง
รอให้อาตมาไปเป็นรัฐมนตรีก่อนแล้วกันนะ จะช่วยจัดการให้ แต่เขาคงไม่มาเชิญไปเป็นรัฐมนตรีหรอก เพราะว่าถ้าไปเป็นก็ไปด่าเขาอีก..!”
“แล้วภาวะสงครามทั้งที่ประกาศและไม่ประกาศ เราสงสัยไหมว่าทำไมอยู่ ๆ เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐอเมริกาโดนไฟไหม้ สถานที่สำคัญหลายแห่งโดนไฟไหม้ ข่าวที่ออกมาบอกอย่างเดียวว่าไหม้โดยไม่รู้สาเหตุ แล้วเทคโนโลยีระดับนั้นไหม้อีท่าไหน ๓-๔ วันยังดับไม่ได้ แล้วทำไมอยู่ ๆ เรือสินค้าอิหร่าน ๗ ลำโดนไฟไหม้ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยหรอก ต่างประเทศเขามองออกหมด ก็เลยซื้อทองคำตุนกัน ทองคำจึงแพงบรรลัยโลก
อเมริกาไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าไม่มีทางที่จะชนะจีนได้ด้วยประการทั้งปวง ก็เลยใช้วิธียั่วยุทุกรูปแบบ เพื่อให้จีนเล่นสงครามด้วย ถ้าจีนทำท่าอะไรที่เกี่ยวกับกำลังทหารหรืออาวุธยุทธภัณฑ์ขึ้นมา อเมริกาก็จะฉวยโอกาสขายอาวุธให้ประเทศใกล้เคียง โดยอ้างว่าจีนหาเรื่องจะรบแล้ว แต่สมัยนี้ลูกไม้ตื้น ๆ แค่นี้เขาอ่านออกกันหมด เพราะฉะนั้น..ยูโรเขาเลยไม่เอาด้วย
สถานการณ์แบบนี้แทนที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนไป ๕-๖ แสนคนแล้ว ความจริงมีคนตายเยอะกว่านั้น แต่เขาไม่แจ้งยอดว่าตายเพราะโควิด พยายามรักษาหน้าที่มีอยู่น้อยนิด ว่าประเทศเรายังไม่ตายเยอะขนาดนั้น ก็เลยทำให้ยอดตายน้อยกว่าความเป็นจริง และยอดติดเชื้อก็น้อยกว่าความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น..บ้านเราโปรดอย่าห่างวัตถุมงคล อย่างน้อย ๆ ผีโรคระบาดก็ยังเกรงใจพระอยู่บ้าง ภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ไว้อย่างน้อย ๓ จบทุกวัน ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ เอาตัวให้รอดก่อน อย่าเป็นภาระกับคนอื่น”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เทพธิดาแห่งไมโครนีเซียกำลังอาละวาด ไมโครนีเซียเป็นเกาะเล็ก ๆ ถือว่าเป็นประเทศหนึ่ง พวกบรรดาเกาะทั้งหลายเหล่านี้ ในสมัยโบราณเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญมาก เพราะว่าเป็นเมืองท่าที่เรือต้องแวะเติมเสบียงเติมน้ำจืด และเชื่อว่ามีเทพธิดาแห่งท้องทะเลชื่อซินลากูเฝ้ารักษา พอถึงเวลาเกิดพายุ เขาก็เลยตั้งชื่อว่า ซินลากู คือเทพธิดาแห่งท้องทะเล แต่ว่าตอนนี้มาอาละวาดบนบก ดูท่าเมืองไทยน้ำจะท่วมหลายแห่ง
ส่วนอีกลูกหนึ่งนั้นน่าจะไปหนักที่เวียดนามกับจีนตอนใต้ อันนั้นชื่อ ฮากุปัต เป็นภาษาตากาล็อกของฟิลิปปินส์ แปลว่า เสียงเหมือนแส้ฟาด สมัยก่อนเวลาฮ่องเต้ของประเทศจีนออกว่าราชการ ขันทีจะสะบัดแส้ตีอากาศเสียงดังมาก เป็นสัญญาณว่าฮ่องเต้ออกว่าราชการแล้ว เสียงแส้สะบัดกับอากาศนั้นคือ ฮากุปัต
เรื่องของภัยธรรมชาติ เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้นจะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเวลา เราต้องรู้จักระมัดระวังกันเอง ถ้าพึ่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณได้ ก็ปลอดภัยกว่าคนอื่นหน่อยหนึ่ง ถ้าไม่มีที่พึ่งก็จะลำบาก”
ถาม : สวดบทอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ได้บุญมากที่สุด เพราะว่าเทวดาบรรลุธรรมมากที่สุด แต่ว่ามหาสมัยสูตรก็มีเทวดาบรรลุธรรมหลายโกฏิเหมือนกัน แล้วยังมีบทอาการวัตตาสูตรอีก ?
ตอบ : อะไรก็สวดไปเถอะ สำคัญตรงที่เราได้สวดไหม ? ต่อให้เป็นประโยคสั้น ๆ ก็ได้ เพราะว่าทุกอย่างก็คือพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสมา คราวนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือ ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าเราตั้งใจทำความดีจริง ๆ ขนาดโลกจะแตก ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก ยังต้องหยุดชั่วคราว เขาเรียก “ฐิตกัปปี” บุคคลผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ ตราบใดที่เขายังไม่ได้มรรคผล โลกจะไม่สลาย
เพราะฉะนั้น..ไม่ได้สำคัญตรงที่ว่าสวดบทไหน สำคัญตรงที่ว่าได้สวดไหม ? ถ้าหากว่าสวดด้วยความมั่นคงเคารพจริง ๆ ผลก็จะเกิดมาก
ถาม : แล้วบทอาการวัตตาสูตรมีในพระไตรปิฎกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน น่าจะแต่งกันขึ้นทีหลัง
ถาม : ที่ขึ้นต้นด้วย เอวัม เม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ?
ตอบ : เอวัม เมฯ เขาตั้งขึ้นกันได้ แค่แปลว่า ข้าพเจ้าได้ยินมาอย่างนี้
ถาม : คนที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันหนูทุกวันโกนหรือวันพระตั้งแต่เขาตายไปค่ะ ?
ตอบ : แสดงว่าสบายเกินเหตุ ไม่มีอะไรจะทำ ภาษาจีนเรียกว่า “เจียะป้าบ่อสื่อ” ก็เลยมารบกวนญาติตัวเอง..!
ถาม : ถ้าแบบนี้เขาอยู่ภพภูมิไหนหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่สบายมาไม่ได้ เพราะว่าในส่วนที่ยากลำบาก อย่างพวกอบายภูมินี่เขาไม่มีสิทธิ์ไปไหน แสดงว่าสบายเกินแล้วไม่มีอะไรจะทำ..!
ถาม : แล้วทำไมเขาถึงเลือกมาวันโกนและวันพระกันคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่วันโกนวันพระคนจะทำบุญสุนทานกัน มาก็เผื่อว่าจะได้อะไรติดมือไปบ้าง
ถาม : พอหลังวันเข้าพรรษา วันโกนวันพระเขาไม่มา เขาจะมาวันทั่วไปปกติ ?
ตอบ : ก็เข้าพรรษาบ้างสิ ไม่ได้พูดเล่นนะ บรรดาเทวดานางฟ้าโดยเฉพาะท่านที่บุญน้อย ถึงเวลาเข้าพรรษาก็ไปจำศีลปฏิบัติธรรมของตัวเอง ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือไปจำศีลที่บาดาล เพราะว่าที่นั่นมีเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เหล่าพญานาคเขาสร้างไว้ พอออกพรรษากลับสู่ที่เดิมของตน ก็อยากให้คนรู้และโมทนา จึงปรากฏตัวเป็นลูกไฟให้เห็น พวกเราก็ไปเรียกว่าบั้งไฟพญานาค
ถาม : การที่เราจะทำบุญให้เด็ก ให้เขาได้รับส่วนบุญได้เต็มที่ มีวิธีการอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเด็กมีชีวิตอยู่ เขายังไม่รู้ภาษาก็เป็นกตัตตาวาปนกรรม คือกรรมที่ไม่ได้เจตนา แต่ว่าเราทำไว้บ่อย ๆ พอเขาเห็นบ่อยเข้ากลายเป็นความเคยชิน ถึงเวลาเขาจะรู้จักทำบุญทำกุศลของตัวเอง พอเขารู้ภาษาขึ้นมา มีเจตนาแน่วแน่ที่จะทำด้วยตนเอง นั่นถึงจะเป็นอานิสงส์ที่แท้จริงของเขา
ถาม : แสดงว่าที่เราทำตอนที่เขาไม่รู้ ?
ตอบ : เขาได้แต่ไม่มาก
ถาม : เขาไม่สามารถโมทนาได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แต่ถ้าหากว่าตายไปแล้วก็ต้องดูว่าอยู่ในเขตที่โมทนาได้ไหม ถ้าลงอบายภูมิที่มีโทษหนัก ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะโมทนา
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีคนเขาบอกว่า ปล่อยปลาหรือปล่อยสัตว์ชนิดไหนแล้วห้ามกินสัตว์ชนิดนั้นใช่ไหม ? ไม่ได้ห้ามหรอก แต่ห้ามกินสัตว์ตัวนั้น ก็คือตัวที่เราปล่อยนั้นห้ามกิน เพราะเคยมีตัวอย่างว่า นักปกครองระดับสูงของมหาดไทยท่านหนึ่ง อย่าเอ่ยถึงนามท่านเลย ไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ปล่อยปลานิลลงในสระน้ำหลังจวนผู้ว่าฯ ต่อมาท่านได้เป็นปลัดกระทรวง ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานมีการปฏิวัติ ตัวท่านก็ชีวิตล่มสลาย โดนไล่ออกจากตำแหน่งให้ยุ่งไปหมด
พอเกิดความสงสัยไปถามครูบาอาจารย์ของตน ท่านบอกว่าเพราะว่าไปกินปลาที่ตัวเองปล่อย เจ้ากรรมนายเวรเขาก็เลยไม่อโหสิให้ ถามว่าแล้วไปกินได้อย่างไร ? คนรับใช้ในจวนดันแสนรู้ ไปตกปลาในสระมาทำอาหารให้เจ้านายกิน ซึ่งก็คือตัวที่เขาปล่อยไปนั่นแหละ แปลว่าห้ามกินตัวที่ปล่อย ไม่ได้ห้ามกินชนิดที่ปล่อย กินชนิดที่ปล่อยเราก็สร้างเวรสร้างกรรมของเราเอง แต่ถ้าไปกินตัวที่ปล่อย เจ้ากรรมนายเวรเขาจะเฉ่งเอา”
พระอาจารย์กล่าวว่า “บ้านใครมีเด็กมีคนแก่ต้องดูแลให้ดีนะ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยยังไม่พอ ยังมีเชื้อโรคเป็นของแถมด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเป็นอะไรขึ้นมา คนแก่กับเด็กจะทรุดก่อน เพราะว่าร่างกายไม่แข็งแรง
เมื่อวานมีมา ๑ ราย บอกว่าทำบุญให้โยมพ่อที่เข้าโรงพยาบาล อาตมาบอกให้ทำใจไว้เลย เมื่อครู่นี้มารายงานบอกว่าเรียบร้อยไปแล้ว กำลังเอาศพไปวัด เพราะว่าถ้าช่วงอากาศเปลี่ยน คนแก่คนป่วยหรือเด็ก ๆ ร่างกายปรับไม่ทันมักจะอาการหนัก”
ถาม : คนเราถ้าอยู่เป็นคู่กันมานาน ๕-๖ ปี อยู่ ๆ จะหมดรักกันภายในวันสองวันนี่ จะเป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจมาในลักษณะว่า ขอมาใช้หนี้เวรกรรมกันระยะเวลาเท่านี้ ถึงเวลามีสิทธิ์เป็นได้เหมือนกัน จะจืดจางห่างหายกันไปเฉย ๆ แต่ถ้าหากว่าปกติธรรมดาแล้วก็อย่างน้อยความผูกพันต่าง ๆ ยังมีอยู่ ถ้ากระแสกรรมยังไม่ขาดก็ข้ามไปอีกหลายชาติด้วย
ต้องดูกำลังใจ ถ้าเป็นเรื่องของการหมดเวรหมดกรรมนี่จะจืดจางห่างหายกันไปเฉย ๆ ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้งจนกระทั่งอยู่ด้วยกันไม่ได้
การครองคู่ชีวิตเหมือนลิ้นกับฟัน มีกระทบกระทั่งกันเป็นปกติ พระพุทธเจ้าถึงให้ฆราวาสธรรมเอาไว้ โดยเฉพาะทมะ ความข่มกลั้น กับขันติ ความอดทน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี ถ้าความอดทนหมด ความอดกลั้นไม่พอก็บ้านแตก..!
ถาม : เม็ดเงินแบบนี้ผ่านไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีเวลาดูให้ แล้วกรรมการที่พิจารณารับที่วัดก็ไม่ใช่อาตมาอีกด้วย บอกว่าผ่านตรงนี้ ทางโน้นไม่ให้ผ่านคุณก็จะไปด่าเขาอีก..!
ถาม : ขอคำแนะนำในการทรงอารมณ์พระโสดาบันกับทรงอารมณ์มโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อารมณ์พระโสดาบันรักษาศีลยิ่งชีวิต อารมณ์มโนมยิทธินึกถึงภาพพระให้ได้ทุกเวลาที่ต้องการ
ถาม : เรื่องคำภาวนากับลมหายใจละครับ ?
ตอบ : คำภาวนากับลมหายใจถ้ามีความคล่องตัวแล้วไม่จำเป็น จะเป็นเองโดยอัตโนมัติ แค่นึกก็ได้แล้ว แต่ถ้าหากว่ายังไม่มีความคล่องตัวก็เน้นภาวนาให้คล่องเสียก่อน เข้าออกสมาธิชนิดที่เรียกว่า ต้องการนึกถึงภาพพระเมื่อไรก็เห็นได้ทันที
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตัวยาบางอย่างก็เหมาะสำหรับคนบางคน โบราณถึงได้บอกว่า ลางเนื้อชอบลางยา คำว่า ลาง ก็คือ บางอย่าง นั่นแหละ ไม่ใช่ลางที่แปลว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เราคาดเดาบางอย่างได้ อย่างเช่น ลางสังหรณ์”
พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกเราส่วนใหญ่มีความเพียรแค่การให้ทาน ความเพียรในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์มีไม่มาก ส่วนความเพียรในการปฏิบัติภาวนาก็ยิ่งมีน้อยลงไปใหญ่ รู้ว่าขาดอะไรก็ต้องเพิ่มเติมส่วนนั้นไว้
การให้ทานเป็นพื้นฐานของการทำความดี ระดับที่สูงขึ้นไปคือการรักษาศีล มากไปกว่านั้นก็คือเจริญภาวนา คราวนี้ว่าในส่วนของการให้ทาน เรามีความคล่องตัวแล้ว สามารถให้ได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ ก็เหลือตรงที่ต้องกวดขันศีลของตัวเองให้บริสุทธิ์ และพยายามสร้างสมาธิให้เกิด เพื่อเป็นเครื่องเหนี่ยวนำปัญญาในการมองเห็นความทุกข์ให้ชัดเจน เห็นทุกข์ให้ได้ วางทุกข์ให้ลง เมื่อปราศจากกำลังใจที่ยึดเกาะในร่างกายนี้ ก็จะได้ไปพระนิพพานกัน”
พระอาจารย์กล่าวว่า “โรคภัยไข้เจ็บเป็นของคู่กับร่างกาย ถ้าไม่ห่วงร่างกายมาก พอเข็นไปได้ก็ไปเถอะ ถ้าไปห่วงร่างกายมาก สงสารตัวเองมาก ก็จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าเสียก่อน
ถ้าเห็นธรรมดาของร่างกายว่าเป็นอย่างนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว ก็ถอนใจออกจากความยินดีและพอใจในร่างกายตัวเอง ถอนใจจากความยินดีและพอใจในร่างกายคนอื่น ในเมื่อไม่ต้องการอะไรแล้วก็ไปพระนิพพาน ฟังดูเหมือนไม่ยาก แต่ไม่มีอะไรที่เรารักเราหวงยิ่งกว่าไอ้ตัวนี้ โดยเฉพาะสาว ๆ กว่าจะออกข้างนอกได้ เล็งแล้วเล็งอีกอยู่ที่หน้ากระจก ...(หัวเราะ)...”
ถาม : ขอเรียนปรึกษาเรื่องอาโลกกสิณค่ะ มีคนแนะนำให้ฝึก แต่เขาบอกว่าให้หาครูบาอาจารย์แนะนำค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก หาพระพุทธรูปแก้วใสหรือลูกแก้วสักลูกหนึ่ง เอามาตั้งไว้ตรงหน้า ทำใจสบาย ๆ ลืมตามอง จำองค์ท่านได้แล้วก็หลับตาลงนึกถึง เราจะจำได้พักหนึ่ง พอภาพหายไปก็ลืมตามอง แล้วหลับตานึกถึงใหม่ ใจก็ภาวนาว่า “อาโลกะกสิณัง อาโลกะกสิณัง ” พอภาพเลือนไป ลืมตามองใหม่ หลับตาลงนึกถึง ไม่ใช่ไปนั่งจ้อง
ทำอย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกระทั่งลืมตากับหลับตาเห็นชัดเท่ากัน ก็ไม่ต้องใช้ดวงกสิณแล้ว ไปไหนก็นึกถึงภาพเอาไว้ จะหลับจะตื่นจะยืนจะนั่งก็ประคองภาพนั้นเอาไว้ เดี๋ยวภาพก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ขาวขึ้น ใสขึ้น สว่างขึ้นไปเอง ไปทำให้ได้ถึงตรงนี้ก่อนแล้วค่อยมาถามต่อ
ถาม : ไปตรวจสุขภาพแล้วหมอบอกว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก หมอบอกให้ตัดมดลูกตัดรังไข่ ?
ตอบ : ไปถามพระอาจารย์บ๊ะที่วัดโพธิ์ลังกาดู
ถาม : ควรไปตัดก่อนไปถามท่านไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไปตัดก่อนถามก็โง่ตายห่..เพราะว่าถ้าไปถามท่าน บางทีไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านแค่กด ๆ จิ้ม ๆ ไม่กี่ทีก็หายแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้าผ่าเสร็จแล้วค่อยไปถามท่านก็น่าจะได้เจ็บตัวหน่อย..!
ถาม : ถวายวัตถุมงคลหลวงพ่อครับ ?
ตอบ : นี่ของหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช เขาเรียกว่าตะกรุดสี่มหาอำนาจ
ถาม : ในกล่องมีเยอะมากเลยครับ ?
ตอบ : มีโสฬสอยู่ด้วย
ถาม : มีโสฬสอยู่ ๔ ดอกครับ ?
ตอบ : โสฬสมีปลอมด้วย ...(หัวเราะ)... แต่ไม่เป็นไรหรอก เจอของปลอมจะได้เก่งขึ้น
ถ้ายังดูไม่ขาดอย่าเที่ยวไปเอาของเขามา เพราะว่าบางอย่างมีราคาแพง ของบางอย่างอย่างเช่นสมเด็จวัดระฆัง ไม่ใช่แค่รุ่นพ่อนะ เขาปลอมมาตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว ...(หัวเราะ)...
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่ง “เสือเขาทำเลียนแบบมา โดนไปเท่าไร ? คุณยังแยกไม่ออกว่าเขี้ยวเสือ เขี้ยวหมู เขี้ยวลิง เขี้ยวอูฐเป็นอย่างไร อย่าไปเล่น นี่ไม่ใช่เขี้ยวเสือ ...(หัวเราะ)... เขี้ยวเสือรูเขาจะรี ๆ คราวนี้เราแยกไม่ออกก็เลยโดนไปเต็ม ๆ
เล่นของพวกนี้ให้เล่นทีละอย่าง เอาให้เก่งจริงก่อนแล้วค่อยขยับไปอย่างอื่น อย่าไปโลภมากเล่นทีละหลาย ๆ อย่าง ถ้าหลาย ๆ อย่างทีเดียวนี่โดนประจำ เขาเรียกว่าเสียค่าหน่วยกิต แต่ค่าหน่วยกิตค่อนข้างจะแพง..!
พวกเราไม่คิดว่าอูฐจะมีเขี้ยวใช่ไหม ? เขี้ยวอูฐนี่พอ ๆ กับเขี้ยวเสือเลยนะ เพียงแต่ว่าถ้าอูฐไม่โกรธจริง ๆ จะไม่กัด ส่วนใหญ่จะใช้เตะหรือดีดเอา แบบเดียวกับเก้ง ไอ้เราไปเห็นก็...โอ๊ยแค่เก้ง ที่ไหนได้..กัดยิ่งกว่าหมาอีก..! แล้วส่วนใหญ่ถ้าเก้งกัดจะกัดตรงข้อต่อ กัดตรงเส้นเอ็น โดนเข้าไปแล้วจะรู้ฤทธิ์ว่าเก้งจริง ๆ นี่ร้ายจะตาย
ของพวกนี้ต้องค่อย ๆ ศึกษาไป โดยเฉพาะเรื่องของเก่า อย่างเช่นตะกรุด จะมีด้ายถัก ลงรัก ลงยางไม้ แต่ละอย่างพอเก่าแล้วจะมีหน้าตาลักษณะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเชือกถัก ถ้าหากว่าเก่าแล้วจะหมดเสี้ยน ถ้าหากว่าส่องไปยังเห็นเป็นเส้น ๆ อยู่ละก็ รับประกันว่าโดนเข้าแล้ว..! ของเก่าจะกรอบร่วง เสี้ยนหายไปหมดแล้ว”
ถาม : ผมสร้างพระแก้วมรกตไว้ เพื่อช่วยให้คนไทยหลุดพ้นเชื้อไวรัสโควิด ขอบารมีพระปกป้องและสามารถผ่านไปได้ ขอหลวงพ่อช่วยแผ่บุญให้กระผมด้วยครับ ?
ตอบ : คราวหน้าอย่าไปบนอะไรที่เป็นของยาก ไปยุ่งกับกรรมของคนส่วนมากนี่เรามักจะซวยเอง..!
วิสัยของพุทธภูมิเห็นคนอื่นลำบากก็ช่วยเขา แต่อย่าลืมว่าการไปช่วยเขา บางทีก็ไปล่วงวาระกรรมคนอื่น ก็แปลว่าต้องพร้อมรับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะว่าเราไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านเขาเอง
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล คะน้า เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.