View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  วันศุกร์ที่  ๑๐  กรกฎาคม  ๒๕๖๓
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย  วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑๐  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๖๓  เป็นการเปิดบ้านเติมบุญหลังจากที่ปิดมาประมาณ  ๔  เดือน  เนื่องจากว่าไม่ได้เปิดรับสังฆทานและสอนกรรมฐานมา  ๓  เดือน  นับวันสอนกรรมฐานหลังเดือนมีนาคม  จนมาชนการสอนกรรมฐานเดือนกรกฎาคม ก็เป็นเวลา ๔ เดือนโดยประมาณ
เหตุที่เดือนนี้ล่าช้าจนกระทั่งมาถึงวันที่ ๑๐  ก็เพราะว่าอาทิตย์แรกนั้นติดวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา  การที่ปิดบ้านเติมบุญไปหลายเดือน ก็เนื่องจากไวรัสโควิด-๑๙  แพร่ระบาด  ทำให้บ้านเราติดเชื้อไป ๓,๐๐๐ กว่าราย   และมีผู้เสียชีวิตไป  ๕๘  ราย แต่เนื่องจากว่าพวกเราช่วยกันระมัดระวังป้องกัน  เชื่อในสิ่งที่ทางราชการและทางการแพทย์แนะนำ  จึงทำให้บ้านเราสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งสถาบันจอห์น  ฮอปกินส์  ยกย่องให้ประเทศไทยมีการสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก  
ส่วนในเรื่องของญาติโยมที่ต้องไปทำบุญในวัดวาอารามตามเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ก็ดี  ตามวันหยุดที่ตนมีก็ตาม  ในช่วงระยะนั้นก็มีการปิดวัดไประยะหนึ่ง ในปัจจุบันนี้บุคคลที่เข้าวัดก็ต้องได้รับการคัดกรองเสียก่อน  เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำสอง
ตรงจุดนี้ก็ทำให้ญาติโยมส่วนหนึ่ง ซึ่งมีวิสัยในการทำบุญให้ทานเป็นประจำ เปลี่ยนไปทำบุญด้วยวิธีการโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งหรือผ่านแอพพลิเคชั่น ผ่านคิวอาร์โค้ด แล้วรู้สึกว่าสะดวกสบายดี  ก็ใช้วิธีทำบุญแบบนี้แทนการที่จะไปยังวัดท่าขนุนหรือบ้านเติมบุญแห่งนี้   ซึ่งในส่วนนี้มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี  
ส่วนที่ดีนั้นคือการทำบุญของเราง่าย สะดวก  สบายขึ้น  กำลังใจไม่ต้องเสียเพราะความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง  แต่ในส่วนที่ไม่ดีก็คือ ท่านทั้งหลายขาดการขวนขวายพยายาม  ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งมั่นเดินทางไกลเพื่อไปให้ถึงวัดท่าขนุน  หรือฝ่ารถติดมาให้ถึงบ้านเติมบุญแห่งนี้  ตัวความมุ่งมั่นทางใจนั้นก็คือบารมี  ก็แปลว่าท่านทั้งหลายขาดการขัดเกลาฝึกฝนตนเอง เพื่อเพิ่มบารมีของเราให้เข้มข้นยิ่งขึ้น
การที่ฝึกฝนขัดเกลาบารมีให้เข้มข้นยิ่งขึ้นนั้น  ก็เพื่ออาศัยกำลังบารมีเหล่านี้ ในการที่จะนำพาตัวเราหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ถ้าบารมี ๑๐  ไม่เต็มสมบูรณ์บริบูรณ์  ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เราจะถึงพระนิพพานได้ตามที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้   ดังนั้น..จะว่าไปแล้วการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ นั้น ถือว่าเป็นการวัดบุญวัดบารมีของคน   ว่ากำลังใจหรือบารมีของเรานั้นอยู่ในระดับไหน  อ่อนแอแพ้พ่ายกิเลส  ท้อถอยหมดกำลังใจที่จะไปวัดหรือไปบ้านเติมบุญ  หรือว่ามุ่งมั่นพากเพียรต้องไปให้ได้   แม้ว่ากฎเกณฑ์กติกาจะลำบากแค่ไหนก็ทนรับเอาไว้    ต้องเรียกว่าสถานการณ์แบบนี้เป็น "หินลองทอง" ก็คือทดสอบได้ว่าเราเป็นทองคำแท้ หรือว่าเป็นแค่ทองชุบ   
ดังนั้น...ในส่วนของการให้ทาน ถ้าเราถือเอาความสะดวกสบาย โอนเงินผ่านแอพพลิเคชั่น  ผ่านอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง  หรือผ่านคิวอาร์โค้ดก็ตาม  ก็อย่าทิ้งในเรื่องของสมาธิภาวนา เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะสูญเสียความมั่นคงความเข้มแข็งของกำลังใจไป เพราะว่าตัวสมาธิภาวนานั้น เป็นตัวเสริมสร้างความเข้มแข็งของกำลังใจได้ดีที่สุด   ทำให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะให้ทาน  รักษาศีล  และเจริญภาวนา
การที่เราจะเจริญภาวนาในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙  ซึ่งทุกคนก็ล้วนแต่ลำบากในการทำมาหากิน  เดือดร้อนด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามา  ก็อย่าได้ลืมที่อาตมาเคยบอกกล่าวเอาไว้ว่า  ให้พวกเราภาวนาในพระคาถาเงินล้านให้เป็นปกติ
พระคาถาเงินล้านนั้นเป็นทั้งพุทธานุสติ  เป็นทั้งธัมมานุสติ  เป็นทั้งสังฆานุสติ  เป็นทั้งเทวดาตานุสติ  เป็นทั้งสีลานุสติ  ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ?  ก็เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า ประทานให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้านึกถึงตรงนี้จัดเป็นพุทธานุสติ ถ้าเราภาวนาเพื่อรักษาใจไม่ให้กิเลสกินได้ จัดเป็นธัมมานุสติ คือปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อหลวงพ่อวัดท่าซุงนำมาบอกกล่าว   ถ้าเรารำลึกถึงหลวงพ่อท่านด้วยก็เป็นสังฆานุสติ  การที่ได้รับอนุญาตให้ได้ใช้พระคาถาเงินล้านอย่างเต็มที่นั้น เป็นความเมตตาของท่านย่า  ซึ่งท่านเป็นเทวดา  ก็จัดเป็นเทวตานุสติ   
ถ้ากล่าวว่าทำไมถึงเป็นสีลานุสติ ?  ก็เพราะว่าศีลคือการที่ต้องบังคับตนให้อยู่ในกรอบ  อยู่ในกฎเกณฑ์ของการปฏิบัติ  อาตมาก็ขอให้โยมบังคับตนเอง  ภาวนาให้ได้วันละ ๑๐๘  จบ  ถ้ารู้สึกว่ามากเกินไป  ยาวเกินไป  ก็ซอยออกเป็นระยะเวลาที่เราสะดวก   อย่างเช่นช่วงเช้า  ๓๖  จบ  กลางวัน ๓๖  จบ  ตอนเย็น  ๓๖  จบ เป็นต้น
ในเมื่อเราตีกรอบอยู่ในลักษณะอย่างนี้  ก็เท่ากับว่า  เราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาที่เรากำหนดใจเอาไว้  ก็เทียบได้กับการรักษาศีลจึงเป็นสีลานุสติไปด้วย  ถ้าหากเราจะทำให้ยิ่งมากกว่านั้น  ก็ยกกำลังใจของเราขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน  หรือว่าไปกราบองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าบนพระนิพพาน   ไปสวดพระคาถาเงินล้านถวายบูชาต่อพระองค์ท่าน  ถ้าอย่างนั้นเราก็จะได้อุปสมานุสติ  ก็คือระลึกถึงพระนิพพานเพิ่มขึ้นมาอีกประการหนึ่ง
ดังนั้น...ในเรื่องของตัวบทพระคาถาต่าง ๆ นั้น   สำคัญตรงที่ว่าเราทำเป็นหรือไม่ ?  ถ้าทำเป็นก็จัดเป็นกองกรรมฐานใหญ่ทั้งสิ้น  ขณะเดียวกันก็ทำให้อารมณ์การภาวนาของเราทรงตัวมั่นคง  จะเอาถึงระดับฌานก็เป็นไปได้ไม่ยาก  จะเอาทิพจักขุญาณก็แค่กำหนดใจ  นึกถึงตัวพระคาถาขึ้นมาทีละคำ ๆ เวลาเราภาวนา    เห็นพระคาถาชัดเจนเท่าไรก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเจนเท่านั้น  หรือจะเอาถึงระดับหลุดพ้น  ก็ยกกำลังใจขึ้นไป  ภาวนาถวายเป็นพุทธบูชาบนพระนิพพาน เป็นต้น
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงอยู่ที่พวกเราว่า จะมีเคล็ดลับวิธีการพลิกแพลงในการกระทำลักษณะอย่างไร  ถ้าเราสามารถภาวนาได้ต่อเนื่อง   จากที่อาตมาเคยทำมาด้วยตนเอง ก็คือ ประมาณสองเดือน  ผลของพระคาถาก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ  
อย่างที่วันนี้มีพระภิกษุท่านมารายงานว่า ท่านทำพระคาถาแล้วได้ผลอย่างที่พระอาจารย์ คืออาตมาบอกไว้จริง ๆ  ซึ่งตรงจุดนี้ก็ยินดีกับท่านด้วย   ว่าท่านสามารถก้าวล่วงวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยในสิ่งที่ครูบาอาจารย์บอก  แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำจนเกิดผล
เรื่องของพระคาถานั้นเป็นเรื่องของคนจริง  กำลังใจจะต้องมุ่งมั่นทำจริงจังสม่ำเสมอ  ถ้าขาดความจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว โอกาสที่จะใช้พระคาถาให้ได้ผล  ก็จะเป็นไปโดยยาก  
โดยเฉพาะถ้าต้องการให้ได้ผลเร็ว  ก็อย่าลืมลมหายใจเข้าออก   หายใจเข้าให้ตัวพระคาถาไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุด  หายใจออกให้ตัวพระคาถาไหลตามลมหายใจออกมาจนสุด  ถ้าคำภาวนาหายไป  หรือลมหายใจหายไป   ก็อย่าได้ตกอกตกใจ    เพราะว่าเป็นธรรมดาของระดับสมาธิจิต  ยิ่งดิ่งลึกมากไปเท่าไร  อาการรับรู้ภายนอกก็น้อยลงเท่านั้น  ให้เราทำใจสบาย ๆ ว่าถึงตายลงไปตอนนี้ เรากำลังภาวนาอยู่เราก็ต้องไปดี  
ลมหายใจเบาลงให้รู้ว่าลมหายใจเบาลง  ลมหายใจหายไปให้รู้ว่าลมหายใจหายไป   คำภาวนาหายไปให้รู้ว่าคำภาวนาหายไป  เอากำลังใจจดจ่อแน่วนิ่งอยู่กับอารมณ์ใจเฉพาะหน้า   ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายทรงสมาธิจิตให้ลึกยิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างที่ท่านต้องการ  
ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย  จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านบ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑๐  กรกฎาคม  พุทธศักราช ๒๕๖๓
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.