View Full Version : เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออาศัยโอกาสนี้แจ้งให้ญาติโยมได้ทราบว่า การหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำ จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ ทางวัดก็จะเปิดรับบริจาคจนถึงวันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เพราะฉะนั้น..ถ้าท่านใดจะทำบุญก็ต้องเร่งมือสักหน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถึงเวลาปิดโครงการไปแล้ว จะมาเสียใจหรือจะมาเสียดายก็ไม่ทันแล้ว
ในเรื่องของพระพุทธลีลาประทานพร ต้องบอกว่าอาตมามีวาสนาผูกพันกับท่านเป็นพิเศษ ถึงเวลาท่านก็เสด็จมาสงเคราะห์ ทำให้ต้องการที่จะสร้างรูปของพระองค์ท่านเอาไว้ให้เป็นที่เคารพบูชาของพวกเรา
ในเรื่องของพระพุทธลีลาประทานพรก็ดี หลวงพ่อไหลมาเทมาก็ดี ด้วยความที่พระองค์ท่านประทานพรไว้ให้ นับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก
หลวงพ่อไหลมาเทมาหรือพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร หรือสมเด็จองค์ปฐมปางอุ้มบาตร ในวันที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมที่เจดีย์พุดตาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมามากมายจนประมาณได้ยาก
มีสมเด็จองค์ปฐมในปางอุ้มบาตรยืนตระหง่าน สูงใหญ่กว่าทุกพระองค์ พระองค์ท่านยื่นบาตรให้อาตมา แล้วบอกว่า "นี่คือสมบัติที่พ่อให้..รับไว้นะลูก" อาตมารับมาแล้วเห็นทั้งบาตรมีแต่เงิน ตอนนั้นใจไม่ได้อยากได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั้น ได้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ว่า "ขอพวกเธอจงเป็นธรรมทายาทเถิด อย่าได้เป็นอามิสทายาทเลย" พูดง่าย ๆ ก็คือให้เป็นทายาททางธรรม ไม่ใช่ทายาทโดยทรัพย์สมบัติ แต่ในเมื่อพระองค์ประทานมาให้ ก็จำเป็นที่จะต้องรับไว้"
"ดังนั้น...ในส่วนของการสร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมปางอุ้มบาตร หรือพระพุทธลีลาประทานพร โดยท่านอาจารย์มหาเอ ท่านก็ทราบถึงเรื่องความพิเศษตรงนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พรอาตมภาพไว้ จึงได้นิมนต์ไปทำพิธีพุทธาภิเษกให้ เนื่องจากว่าเวลาก่อนกรรมฐานเหลือจึงเล่าเรื่องนอกลู่นอกทางเพิ่มขึ้นมาให้ฟังเล็กน้อย"
พระอาจารย์กล่าวถึงระบบการเข้าทำบุญที่บ้านเติมบุญว่า “การจัดระบบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คนไม่เต็ม นั่งกันหลวม ๆ ไม่จัดระเบียบก็ไม่ได้ เพราะว่าทางจังหวัดเขาเอาจริง นนทบุรีเป็นเขตสีแดงของการแพร่ระบาด ก็เลยจำเป็น ถ้าเขาเห็นว่าเราคุมไม่ได้ เขาก็จะห้ามเปิดบ้านรับคน”
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนเราเมื่ออายุ ๔๕ ปีขึ้นไป ให้ทำตัวเป็นผู้เบาลงไปเรื่อย ๆ มีของอะไรก็ผ่องถ่ายออกไป เหลือเอาไว้แค่จำเป็น แล้วจะมีความสุข เพราะว่าไม่ต้องแบกอะไรมาก
มีบ้านหนึ่งหลังก็ทุกข์แบบบ้านหนึ่งหลัง มีบ้านสองหลังก็ทุกข์แบบบ้านสองหลัง มีโยมอยู่คนหนึ่ง มีลูกอยู่สองคน สร้างบ้านให้ลูกคนละหลัง หลังละ ๒๐๐ ตารางวา พื้นที่บ้านนะ ไม่ใช่ที่ดิน..! ส่วนตัวพ่อเองอยู่บ้านขนาด ๓๐ ตารางวา เขาบอกว่าผมแก่แล้วผมคิดได้ อยู่บ้านเล็ก ๆ สบายที่สุด ส่วนลูกยังหนุ่มอยู่ยังคิดไม่ได้ ให้บ้านใหญ่ ๆ ไว้ก่อน”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นคณะโมทนาบุญสัญจรเหี่ยวไปสี่เดือน อาตมาก็เลยหางานให้ โดยการที่ให้คนเอาเม็ดเงินไปแลกที่วัด เพราะว่าอาตมาขี้เกียจขนเอง เม็ดเงิน ๗๐๐ กิโลกรัมนี่..หนักตายเลย..!
สมัยที่ตั้งใจสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าที่วัดท่าซุง นั่นคือองค์พระเนื้อเงิน หน้าตัก ๓๐ นิ้ว ท่านทรงพลที่เป็นลูกหลานโรงหล่อบอกว่า ต้องใช้เม็ดเงินประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม อาตมาเลยคิดมั่ว ๆ ว่า ๔๐ นิ้วก็ ๔๐๐ กิโลกรัม แล้วยังต้องหล่อพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องอีก ๑ องค์ ก็น่าจะใช้ถึง ๒๐๐ กิโลกรัม เพราะว่าเครื่องทรงเยอะ ก็เลยเปิดให้แลกพระกริ่ง ไม่คิดเป็นเงินสด แต่คิดเป็นเม็ดเงิน ขอเป็นเม็ดเงินนอกแท้ ๆ หล่อแล้วพระจะได้ไม่ด่าง”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ต้องขออภัยในความไม่สะดวก เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙
เวลาไม่พอใช้ มีเวลาต่อรอบน้อย ทำบุญต้องเร็ว ๆ ต่อไปบารมีพวกเราจะได้เข้มข้นขึ้น ทำอะไรได้เร็วขึ้น”
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนลพบุรีก็ภูมิใจว่าเป็นลูกเจ้าพ่อศาลพระกาฬ คนโคราชก็ภูมิใจว่าเป็นลูกหลานย่าโม ดังนั้น..ใครบังอาจไปแตะย่าโมแล้วไม่โดนเหยียบตายก็บุญโขแล้ว นครราชสีมามีทั้งหมด ๒๖ อำเภอ จะแยกออกได้ ๔ จังหวัดด้วยซ้ำไป แต่ไม่มีใครยอมแยก เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เป็นลูกย่าโม
อดีตเจ้าคณะจังหวัด พระราชสีมาภรณ์ท่านเคยถามว่า “ทำอย่างไรดีวะ..ถ้าจะแยกจังหวัด..?” “อ๋อ..ไม่ยากเลยครับหลวงพ่อ ขีดกากบาดตรงศาลย่าโม ลากไปสี่ทิศ ได้สี่จังหวัดเลย ทุกจังหวัดวิ่งไปที่ย่าโม” แต่ต้องกำหนดเขตกันใหม่หมด ยุติธรรมที่สุด กากบาดตรงอนุสาวรีย์ย่าโมเลย”
พระอาจารย์เล่าว่า “ช่วงที่โควิดอาละวาดหนัก ๆ อาตมาตั้งโรงทานเลี้ยงข้าวกล่องราคาถูกไป ๒ เดือน หมดไปเดือนละแสนกว่าเกือบสองแสนบาท ขนาดข้าวปลาของเราไม่ต้องจ่าย เพราะว่าเอาไปจากคลังวัด แต่หมดไปเยอะกับพวกหมู พวกไข่ พวกผัก เพราะว่าต้องการให้เขาได้สารอาหารครบถ้วน”
ถาม : ทำไปประมาณเท่าไรครับ ?
ตอบ : ทำวันหนึ่งประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ กล่อง ทำได้แค่นั้นแหละ จะให้เลี้ยงยาวแบบหลวงปู่วัดสระแก้วเลยก็ไม่ไหว นั่นเด็ก ๒,๗๗๒ คน หนึ่งเดือนเฉพาะข้าวสารก็ตกล้านกว่าบาท อาตมาช่วยท่านไปหนึ่งล้านบาท บอกท่านว่า "ช่วยหลวงปู่เลี้ยงเด็กหนึ่งเดือน"
ช่วงก่อนที่ไปช่วยเขานั่นไม่ใช่เด็กยากจน แต่เป็นเด็กที่โดนทางบ้านทำร้ายมาบ้าง ครอบครัวแตกแยกบ้าง ทางมูลนิธิเด็กเลยไปตั้งโรงเรียนให้เด็กได้เรียนหนังสือ ได้ศึกษาว่าทำอะไรจึงจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ จึงรับปากว่าจะสร้างอาคารที่พักให้เด็ก ๑ หลัง และก็มอบข้าวสารอาหารแห้งไป ๑ คันรถหกล้อ
ตอนแรกเขาเอารถกระบะมา แล้วมีคนนั่งมาด้วย ๗ คน ถามเขาว่า "แล้วคุณจะขนไปอย่างไร ?" ปกติของเขาได้ข้าวสารก็แค่หนึ่งกระสอบสองกระสอบ แต่ของเราเฉพาะข้าวสารอย่างเดียวก็ให้ไป ๒๓ กระสอบ..! และก็ยังมีพวกเครื่องครัวต่าง ๆ น้ำตาล น้ำปลา น้ำมัน บะหมี่แห้ง อะไรประมาณนั้น และพวกยารักษาโรค นม ขนม อย่างละ ๗-๘ เข่ง ขนทีเดียวเข็ดไปเลย น่าจะพอสักสามเดือน เขาจึงต้องโทรให้ทางโรงเรียนส่งรถหกล้อเปล่ามาอีกคัน
คนลำบากมีเยอะมาก เพียงแต่ว่าถ้าให้อาตมาช่วยเหลือทั่วไปก็ไม่ไหว จึงเอาเท่าที่ตัวเองไหวเท่านั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า “มาที่นี่แล้วไม่มีสิทธิพิเศษ เมื่อสักครู่นี้คุณชายดิศนัดดากับคุณหญิงพวงร้อยก็นั่งแบกับดินเหมือนพวกเรานี่แหละ บอกกับท่านแล้วว่าถ้านั่งลำบากก็ให้นั่งเก้าอี้ แต่ท่านก็ไม่นั่ง ลงไปกองกับพื้นเหมือนกัน
บางท่านถ้ามานะยังมากอยู่ ก็จะไม่ชอบใจ เพราะว่ายังมีตัวตนของตัวเองอยู่มาก ว่าท่านเป็นราชนิกูลนะ ท่านเป็นคุณหญิงนะ แต่นี่ท่านไม่มี ท่านก็นั่งกับพื้นเหมือนพวกเรานี่แหละ สมัยก่อนอย่างท่านเจ้ากรมฯ เสริม ถึงเวลาไปวัดก็โน่น...นั่งท้ายศาลาสองไร่ อาตมาพอดีเดินเข้าทางท้ายศาลาสองไร่ “อ้าว...ท่านเจ้ากรมฯ ทำไมไม่ไปกราบหลวงพ่อด้านหน้า” ท่านบอกว่า “ให้โอกาสคนอื่นเขาบ้าง ผมกราบมาเยอะแล้วครับ” นั่งพิงเสาสบายใจเฉิบอยู่ข้างหลัง
เมื่อครู่นี้หม่อมราชวงศ์ดิศนัดดากับคุณหญิงพวงร้อย พอหมดรอบเข้าทำบุญก็โดนไล่ลงเหมือนกัน ไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”
ถาม : ปลายเดือนจะมีเป่ายันต์ฯ ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...แค่จัดงานหล่อพระ ทางจังหวัดเขาก็จะหัวหงอกแล้ว ไปจัดงานเป่ายันต์ฯ เขาคงจะบีบคออาตมาตาย เป่ายันต์ฯ คนไปตั้ง ๔-๕ พันคน เว้นระยะไม่ได้ ไม่รู้จะเว้นระยะอย่างไร นั่งกันเต็มพื้นศาลาไปหมด ล้นออกข้างนอกไปอีกตั้งเท่าไร ?
ถาม : ท่านรู้จักอำพันขององค์พระปฐมเจดีย์ไหมครับ คืออะไรครับ ?
ตอบ : เห็นเขาว่าสมัยก่อนใช้เป็นตัวเชื่อมกระเบื้องโมเสค สมัยนั้นเขายังไม่มีวัสดุอุดรอยต่อ อำพันจริง ๆ ก็คือยางสน ถึงเวลาเผาละลายแล้วหยอดลงไปเลย แต่ก็สงสัยว่าทำไมเขาไม่ใช้พวกครั่ง น่าจะหาไม่ได้ หรือว่ามีไม่พอ
พระอาจารย์กล่าวว่า “เปาบุ้นจิ้นชื่อจริงว่าเปาเจิ่ง ฉายาว่าเปาชิงเทียน ชิงเทียน แปลว่า ฟ้าเขียวหรือฟ้าใส ในความหมายที่ว่ายุติธรรมสุด ๆ ถ้าหากว่าใครไปเมืองไคฟงต้องไปชมอนุสาวรีย์ของเปาชิงเทียน แต่ได้ยินว่าหลุมฝังศพจมใต้น้ำไปแล้ว เพราะสร้างเขื่อนสามผา (ต้าซานเสีย)
คนจีนเขาจะมีชื่อจริง มีชื่อรอง มีฉายา ชื่อจริงก็คือพ่อแม่ตั้งให้ ชื่อรองส่วนใหญ่ถึงเวลาเข้าเรียนครูบาอาจารย์จะตั้งให้ แต่ว่าหลายบ้านที่พ่อแม่มีความรู้ก็ตั้งให้ลูกเอง คนที่สนิทสนมกันถึงจะเรียกชื่อรอง เหมือนอย่างที่เราเรียกชื่อเล่นกันอย่างนั้น ส่วนฉายานั้นพวกพรรคพวกเพื่อนฝูงเขาตั้งให้”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เนื่องจากนนทบุรีเป็นเขตพื้นที่สีแดง เชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ช่วงที่ระบาดหนักมากก็เริ่มจากพื้นที่นี้ พวกเซียนสนามมวยนั่นแหละ และเป็นจังหวัดสุดท้ายที่ได้รับการปลดล็อก เขากลัวว่าจะระบาดซ้ำ เขาเลยต้องเข้มงวดกับเรา จนบ้านนี้เกือบจะไม่ได้เปิดแล้ว
ถ้าโยมสังเกตจะเห็นว่าข้างล่างมีเจ้าหน้าที่มาเฝ้า เกิน ๕๐ คนเมื่อไรคงจะจับเจ้าของบ้าน ไม่เกี่ยวกับอาตมานะ..! เพราะฉะนั้น..ต้องรอประเมินก่อนว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าผ่าน..เดือนหน้าก็เปิดได้ ถ้าไม่ผ่านก็อด โยมค่อยไปหาอาตมาที่วัดเอาก็แล้วกัน
โรคภัยยังอยู่กับเราอีกนาน บ้านเรานั้นโชคดีมาก อันดับแรกก็คือฝุ่น PM ๒.๕ มาก่อน ทำให้พวกเราใส่หน้ากากกันล่วงหน้าไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาเชื้อโรคมาจึงติดกันน้อย พอเขาปักธงเขตโรคระบาด ก็ดันมีคนไปขอให้เขาถอนธงอีก ก็เลยไม่รู้ว่าจะโชคดีไปได้อีกเท่าไร
รัฐบาลก็กินยาผิด ให้หมอเป็นคนออกหน้าในงานนี้อีก กลายเป็นแทงหวยถูก ถ้ารัฐบาลจัดการเอง..เชื่อเถิด..คงติดเชื้อไม่น้อยกว่าสหรัฐหรอก..!
ต้องบอกว่าบ้านเรานี่ถูกหวยชัด ๆ อันโน้นก็พอดีถูก อันนี้ก็พอดีใช่ แต่ถ้าเราขาดความระมัดระวังเมื่อไร ไวรัสระบาดใหม่ก็จะยุ่ง วันนี้ที่แจ้งยอดมาก็คือ ๑๔ คน ยอดจาก ๔-๕ คน ขึ้นมาทีเป็น ๑๔ คนเลย แปลว่าเราทำยอดสะสมไว้สามพันกว่าคน ตายไป ๕๘ คน ยังมีชีวิตอยู่สามพันกว่าคน
ไม่ต้องห่วงนะเรื่องตัวเลข...อาตมาจำแม่นมาก ทดสอบได้เลย ถ้ากลัวจะไม่แม่นเปิดตำราดูได้ว่าตรงกันไหม อาตมาเป็นคนที่มองอะไรผ่านตาแล้ว ถ้าคิดจะจำไม่มีลืม เพราะฉะนั้นไม่ค่อยอยากจะจำอะไร โดยเฉพาะโยม เพราะว่าถ้าจำได้..เดี๋ยวก็ต้องเสียเวลาไปสงเคราะห์เขาอีก”
พระอาจารย์เล่าว่า “น้องเรนนี่กำลังเดือดร้อน สร้างมีดหมออักษรรูน มีสิทธิ์หมดตัวเลย ถ้าลงทุนไปแล้วขายไม่ได้
เรื่องของน้องเรนนี่ ช่องส่องผี ในวงการสงฆ์เห็นเป็นเรื่องขำ ๆ ตรงที่ว่าคุณเธอชุมนุมเทวดาผิดทุกประโยค ในไลน์กลุ่มเจ้าอาวาสก็คุยกันว่า “ตกลงว่าเทวดาท่านจะมาไหม..?” ทางพระไม่ได้เห็นเป็นเรื่องจริงจังอะไรกับเรื่องของน้องเรนนี่ เห็นเป็นเรื่องขำเสียมากกว่า
พระเราเวลาจะเจริญพุทธมนต์ต้องชุมนุมเทวดาทุกครั้ง แล้วก็แยกว่าจะสวดมนต์หลวง จะสวด ๑๒ ตํานาน จะสวด ๗ ตำนาน แต่น้องเรนนี่ตีมั่วเลย ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อะไร ขัดผิดได้ทุกประโยค”
ถาม : การปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้าค่ะ ควรแก้อย่างไร ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจตรงหน้าจริงจัง เมื่อไปคิดเรื่องอื่นก็ดึงกลับมา ถ้ายังไม่สามารถอยู่กับลมหายใจตรงหน้า ก็ยังหาความก้าวหน้าไม่ได้
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าดูวัตถุมงคลไม่เป็น ก็ต้องมีคนที่เชื่อถือได้ดูให้ ไม่ใช่คนเขาบอกว่าใช่ เราก็เชื่อเขา ไม่อย่างนั้นแล้วมีเงินเท่าไรก็หมด
มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นนายห้างขายผ้าชาวฮินดู..รวยมาก โอ้โห..โดนไปกี่สิบล้านก็ไม่รู้ ของเต็มบ้านเลย อาตมาเดินเข้าไปถึง เขาอวดอันนี้ราคาเท่านี้ อันนั้นราคาเท่าโน้น ได้มาอย่างไรบ้าง หายากมาก... อาตมาก็ถอนหายใจเฮือก...ปลอมล้วน ๆ ตูจะบอกเขาอย่างไรดีวะ..?”
พระอาจารย์เปิดคลิปเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สวด อิติปิ โสฯ “ลูกบ้านไหนกันน่ารักขนาดนี้..! สวดได้หมดเลยนะทั้งสามห้อง ศีล ๕ ก็ว่าได้
ไปนึกถึงพระนางสุปปวาสา โกลิยธิดา พระสีวลีอยู่ในท้องท่าน ๗ ปีกับ ๗ วัน คลอดออกมาเป็นเด็กอายุ ๗ ขวบ พอถึงเวลาก็ใช้ไปประเคนอาหารพระ พระสารีบุตรท่านก็ถาม “เป็นอย่างไรราชกุมาร อยู่ในท้องแม่มีความสุขดีหรือ ?” พระสีวลีตอนเป็นเด็ก ๗ ขวบตอบว่า “สบายอย่างไรได้พระคุณเจ้า เหมือนอย่างกับนอนในหม้อนึ่ง ร้อนแทบตายอยู่ทุกวัน (ถูกไฟธาตุของแม่เผา)”
พระนางสุปปวาสาเห็นลูกตอบพระสารีบุตรผู้เป็นสุดยอดพระเถระผู้เลิศด้านปัญญา สามารถตอบคำถามได้ฉะฉานชัดเจน ก็ยิ้มพอใจ พระพุทธเจ้าเห็นจึงตรัสว่า “เป็นอย่างไรสุปปวาสา ทารกเห็นปานนี้ยังอยากได้อีกหรือไม่ ?” ตอนแรกบอกว่า โอ๊ย..ไม่เอาแล้ว ปวดท้อง ๗ ปี ๗ วัน แต่คราวนี้บอกว่า "อยากได้อีก ๗ คนพระเจ้าค่ะ..!” ตอนปวดท้องแทบตาย..ไม่เอาแล้ว แต่พอเห็นลูกเก่ง..ก็อยากได้อีกสัก ๗ คน..!
พระสารีบุตรก็เลยชวนบวช สรุปว่าพระสีวลีจริง ๆ แล้วเป็นสามเณร แต่เนื่องจากว่าท่านเป็นพระอรหันต์ คนก็เลยเรียกว่าพระ โกนหัว ๓ ครั้งบรรลุเลย มีดโกนจรดศีรษะครั้งแรกเป็นพระโสดาบัน จรดศีรษะครั้งที่ ๒ เป็นพระอนาคามี จรดศรีษะครั้งที่ ๓ บรรลุอรหัตตผล ทรมานในท้องแม่มา ๗ ปีกว่า ไม่บรรลุก็ไม่ได้ เห็นทุกข์ชัดเหลือเกิน”
ถาม : เวลาที่สวดพระคาถาเงินล้าน การที่ผมนึกถึงเวลาที่ถวายของพระพุทธรูป ประหนึ่งว่าถวายของพระพุทธเจ้า เมื่อเทียบกับการนึกว่ากำลังนั่งคุกเข่ากราบพระพุทธเจ้า อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้าต้องการแค่อนุสติ การนึกถึงพระพุทธเจ้ามีอานิสงส์มากกว่าการนึกถึงทาน ถ้าหากว่าต้องการอานิสงส์ของพระคาถาที่จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินชีวิต ให้นึกถึงลมหายใจเข้าออก คือให้ใช้เป็นการภาวนาแทน ไม่อย่างนั้นเราเองท่องปาว ๆ อย่างเก่งก็ได้แค่อุปจารสมาธิ
ถาม : แสดงว่าการสวดในใจก็ดีกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราได้ดูลมหรือเปล่า ? บางคนก็สวดปาว ๆ ในใจไม่ได้ดูลมเลยเหมือนกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่เป็นธรรมชาติย่อมดีที่สุด พอเหมาะ พอดี พอควร ตามบุญทำกรรมแต่ง อย่าทำอะไรให้นอกลู่นอกทางจนเกินความพอดี"
พระอาจารย์เล่าว่า “กำหนดรายการบวรระยะที่ ๓ มาแล้ว ทางวัดท่าขนุนต้องเร่งทำเปิดอบรมให้ทัน น่าจะต้องใช้วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ติดตรงที่ว่าเป็นวันอาทิตย์ เขาเชิญผู้ว่าฯ มาเป็นประธาน แต่ไม่เป็นไร ถ้าท่านมาไม่ได้ก็คงให้ตัวแทนมาเอง
ตอนนี้งานของชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุนไปไกล เพราะว่าของเรานำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ เรื่องของการทำงาน ถ้าไม่เป็นในเชิงรุกจะเหนื่อย เหนื่อยตรงที่ว่าคนอื่นสั่งแล้วเราต้องทำตาม แต่ถ้าทำงานเชิงรุกนี่เราไปข้างหน้าได้ตามใจของเรา ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามด้วย เดี๋ยวเขาก็ตามเรามาเอง ก็เลยทำให้ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุนพัฒนาขึ้นมาเรื่อย จนปัจจุบันเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบที่มีผลงานโดดเด่น
ล่าสุดของเรากำหนดเส้นทางท่องเที่ยวโดยอาศัยสิ่งต่าง ๆ ในชุมชนของเรา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อาหาร ที่พัก ตลอดจนกระทั่งวัตถุโบราณ วัตถุปัจจุบัน...สารพัด ดึงเอาศักยภาพชุมชนของเราออกมาเป็นแหล่งเที่ยว จัดขบวนรถซาเล้งรับนั่งท่องเที่ยว นั่งกันแบบสนุกสนานมาก ก็มีอะไรใหม่ ๆ ให้เขาดู จัดเป็นแพ็คเกจทัวร์ ๒ วัน ๑ คืน ๑,๕๐๐ บาทต่อหัว มีอาหารหลักให้ ๒ มื้อ อาหารว่างให้ ๒ มื้อ พร้อมที่พัก และก็นำเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ โดยที่รวมค่าไกด์ ค่ารถซาเล้งอยู่ในงบประมาณนั้นแล้ว ก็เลยทำให้คนสนใจกันมาก มีรายได้เข้าชุมชน ค่อนข้างอุ่นหนาฝาคั่ง
โดยเฉพาะต้องไปดูทะเลหมอกบนรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน ใครไปแพ็คเกจนี้ต้องแข็งแรงพอ ไม่อย่างนั้นเดินลงมาก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นต่อแล้ว..หมดสภาพ
ในเมื่อเป็นชุมชนคุณธรรมต้นแบบมีผลงานโดดเด่น ทางกระทรวงก็ขอให้เริ่มระยะที่ ๓ ก็คือให้ชุมชนอื่นมาร่วมงาน มาดูงาน มาศึกษาวิธีการ เมื่อครู่นี้ได้ส่งกำหนดการ ลักษณะของการเชิญมาอบรมดูงานให้ชุมชนอื่นอีก ๑๑ ชุมชน เราก็ต้องเป็นเจ้าภาพต้อนรับเขา”
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเนื้อเงิน ก็นึกถึงครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็คือ หลวงปู่สรวง ที่หลายคนให้สมญานามท่านว่า เทวดาเล่นดิน
พระปางห้ามสมุทรนั้น มีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องของการห้ามภัยธรรมชาติจากน้ำ หลวงปู่สรวงท่านเคยให้คาถาเกี่ยวกับการป้องกันน้ำ หรือภัยธรรมชาติจากน้ำไว้ ก็เลยระลึกถึงท่าน
ปรากฏว่าบุคคลที่มา กลายเป็นหลวงปู่ทองทิพย์ สองท่านไม่ได้มีรูปลักษณะใกล้เคียงกันเลย ถ้าหลวงปู่ทองทิพย์ไปเดินอยู่กลางทุ่งนา ขออภัยเถอะ...บางคนอาจคิดว่าท่านเป็นลิเกหลงโรง เพราะหลวงปู่ทองทิพย์ท่านใส่แหวนทุกนิ้ว แต่ว่าทั้งสองท่านก็มาสายพระโพธิสัตว์เก่า ถึงเวลาต้องมาสงเคราะห์โลกเช่นกัน"
"อาตมาเองใช้ประคำอยู่หลายสาย มีอยู่สายหนึ่งที่ติดพระกริ่งจักรพรรดิชัยวรมันของหลวงปู่สรวง ส่วนในย่ามมีพระพิทักษ์โลกของหลวงปู่ทองทิพย์อยู่ คือเรื่องของพระโพธิสัตว์บางอย่างต่อให้ท่านฝืนกฎของกรรมเพื่อความสุขของส่วนรวม ท่านก็ยอมทำ
ฉะนั้น...ในเรื่องของการสร้างพระปางห้ามสมุทรนั้น สาเหตุหลัก ๆ เลยก็คือว่า คนกาญจนบุรีกลัวเขื่อนแตก เคยมีอยู่ปีหนึ่ง...ก็ไม่นานเท่าไรหรอก เขาลือกันว่าเขื่อนเจ้าเณรแตกแล้ว เขื่อนเจ้าเณรก็คือเขื่อนศรีนครินทร์ ก็ทำเอาญาติโยมในเมืองกาญจนบุรีหนีไปอยู่บนยอดเขากันมาก แล้วด้วยความที่คนมากพื้นที่น้อย ก็มีการแย่งชิงพื้นที่ถึงขนาดต่อยตีทะเลาะเบาะแว้งกัน"
"ในเมื่อเห็นลักษณะนั้น ก็มาคิดว่ามีอะไรที่จะป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้ ก็มานึกถึงพระพุทธเจ้าปางห้ามสมุทรที่ยกพระหัตถ์สองข้างเสมอพระอุระ แต่ความจริงพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรนั้น ก็คือห้ามทุกอย่างที่ไม่ดี
เนื่องจากว่าในเมื่อญาติโยมกลัวภัยทางน้ำ กลัวเขื่อนแตก ปางห้ามสมุทรก็เลยสมกับวัตถุประสงค์ตรงนี้ วัดท่าขนุนอยู่หน้าเขื่อนวชิราลงกรณหรือเขื่อนเขาแหลมเก่า ต้องบอกว่าประตูน้ำจ่อวัดอยู่เลย ถ้าเขื่อนแตกเดี๋ยวนั้นรู้เดี๋ยวนั้น ก็ยังหนีไม่ทัน ประมาณ ๓-๔ วินาที มวลน้ำจะถึงวัด
จากการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ ตูมแรกจะสูง ๓๖ เมตร แล้วหลังจากนั้นประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่งไปถึงกาญจนบุรี จะสูงประมาณ ๓ เมตร ๕ ชั่วโมงหลังเขื่อนแตก น้ำจะถึงกรุงเทพฯ สูงประมาณ ๒ เมตร
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะสร้างพระปางห้ามสมุทรสักองค์หนึ่ง ก็ได้บอกกล่าวกับทางด้านอาจารย์สุชาติ เลิศภูมิปัญญา ปฏิมากรผู้ปั้นสมเด็จองค์ปฐมเนื้อทองคำเอาไว้แล้ว ท่านก็ยินดีทำให้ อาทิตย์ที่แล้วท่านเพิ่งจะไปวัดขนาดบุษบกใหม่ บอกท่านว่าพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงิน ความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร ทำเท่ากันก็หมดเรื่อง ท่านบอกว่าพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องมีพระมหาพิชัยมงกุฎด้วย ก็เลยต้องวัดกะขนาดกันใหม่ เอาให้แน่นอน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีงานพุทธาภิเษกใหญ่ที่วัด เสกพระกริ่งสะท้านไตรภพเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็จะเป็นพระพุทธลีลาประทานพรที่พวกเราจองทำบุญกฐินไป อาตมายังมีเหรียญ ร.๕ เพื่อสร้าง มจร. ไปเข้าพิธีเพิ่มด้วย
โดยเฉพาะพระกริ่งเนื้อเงิน จะเปิดให้แลกกันตรงนั้นเลย ใครเอาเม็ดเงินไป ๑ กิโลกรัม แลกพระกริ่งเนื้อเงินชนวนล้วน ๆ ได้ ๓ องค์ พระกริ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเกศาของอาตมาด้วย เป็นวัตถุมงคลรุ่นแรกที่บรรจุเกศา ความจริงไม่ได้คิดจะบรรจุหรอกนะ ก็ในเมื่ออาตมาทำแค่ตามคำสั่ง พระท่านสั่งแค่ไหนก็ทำแค่นั้น"
"ความจริงวันเสาร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ เป็นวันเสาร์ ๕ ตามตำราที่อาตมาใช้ ปรากฏว่าปฏิทินหลวงไม่ตรง แล้วหลายคนที่คิดปฏิทินตำราเดียวกับอาตมา ก็คิดไม่ตรงกัน คราวนี้จะจัดงานบวงสรวงไหว้ครูเป่ายันต์เกราะเพชรก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่ตรงกัน เดี๋ยวจะมีคนสงสัย ทำให้ต้องถกเถียงกันอีก
พอดี ดร.จักรกฤช ศีลาเจริญ จะสร้างพระกริ่งสะท้านไตรภพ เพื่อหาทุนสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช บอกว่าขออนุญาตไปเสกเดี่ยวปิดท้ายที่วัดท่าขนุน อาตมาก็เลยยัดเยียดวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่เป็นเสาร์ ๕ ของเราให้ไป แล้วก็ขออาศัยสร้างพระกริ่งสะท้านไตรภพร่วมกับเขาด้วย แต่ว่าเป็นแบบของวัดท่าขนุนเอง แต่ชื่อเดียวกัน ก็เลยมีพิธีเสกกันตรงนั้น ใครจองวัตถุมงคลไว้ จะไปรับกันตรงนั้น ก็ช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่เขาด้วย "
"พระกริ่งสะท้านไตรภพเนื้อเงินชนวนล้วน ๆ นั่นก็คือชนวนที่หล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงินกับสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินของวัดท่าขนุน ไม่ได้ผสมอะไรเลย เอาชนวนอย่างเดียว สร้างได้กี่องค์ก็เอาแค่นั้น คาดว่าเปิดให้จองได้ประมาณ ๗๐๐ คน เพราะว่าจำนวนประมาณ ๒,๑๐๐ องค์ คนละ ๓ องค์ ก็น่าจะได้ ๗๐๐ คน เอาเม็ดเงินนอก ๑ กิโลกรัมไปแลก ได้คนละกิโลกรัมเดียว ไม่ใช่เอาไปคนละ ๗-๘ กิโลกรัม..!
อาตมาจะนำเม็ดเงินไปสร้างพระปางห้ามสมุทรเนื้อเงิน สูง ๑๕๕ เซนติเมตร ๑ องค์ และสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินหน้าตัก ๔๐ นิ้ว ๑ องค์ ก็แปลว่าใครที่เอาเม็ดเงินนอกไป ๑ กิโลกรัม ก็จะได้ร่วมสร้างพระ ๒ องค์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่อง "ดราม่า" ของน้องชมพู่ เด็กที่โดนฆ่าตายบนเขา เกิดเพราะว่านักข่าวไปแย่งทำหน้าที่ตำรวจ เที่ยวไปสัมภาษณ์คนนี้คนนั้น เสร็จแล้วก็เอามาลงข่าว ทำให้ตำรวจทำงานยากขึ้นอีกมาก แต่ว่าตำรวจหลายท่านก็ฉลาด อาศัยนักข่าวเป็นเครื่องมือ อย่างการปล้นร้านทอง โดยอดีต ผอ.โรงเรียน ตำรวจแกล้งให้สัมภาษณ์ เหมือนอย่างกับหลงทางว่า ผู้ก่อเหตุได้หลบหนีออกนอกประเทศทางเส้นทางธรรมชาติ ส่งกำลังไปดักจับกุมแล้ว เพื่อที่ให้ผู้ร้ายตัวจริงเกิดความประมาท แล้วก็หลุดการกระทำของตนเองออกมา
ฉะนั้น...ในการที่สื่อมวลชนไปแย่งทำหน้าที่ตำรวจนั้น จะว่าไปแล้วก็ต้องตักเตือนกันเองในหมู่สื่อมวลชนด้วยกัน ไม่ใช่คิดแต่จะขายข่าวอย่างเดียว เพราะว่าหลายครั้งไปฟันธงก่อนศาลว่าใครถูกใครผิด แล้วพอถึงเวลาเกิดความผิดพลาดขึ้น ก็ไม่มีการขอโทษผู้เสียหาย ยกเว้นว่าฟ้องร้องแล้วแพ้คดี
ตรงนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า สื่อมวลชนบ้านเรานั้น ส่วนใหญ่ยังไร้จรรยาบรรณ ตั้งใจแต่จะขายข่าวอย่างเดียว จนกระทั่งเขาบอกว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีต้องเสียเงิน แสดงให้เห็นคุณภาพในการเสพสื่อของประชาชนบ้านเราเหมือนกันว่าห่วยแตกสิ้นดี เพราะว่าถ้ามีคุณภาพในการเสพรับสื่อต่าง ๆ เขาก็จะไม่กล้าทำเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เนื่องจากทำแล้วขายไม่ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ได้เจอกันตั้ง ๔ เดือน มาบ้านเติมบุญได้พักเดียว "น้ำตาจิไหล"..! เขาเรียกว่าฝึกวิปัสสนาญาณ ต้องตัดใจให้ได้ วิปัสสนาญาณข้อไหน ? ก็สังขารุเปกขาญาณ ตัดใจได้ ต่อไปก็ตัดได้ทุกเรื่อง ตัดไปตัดมา คนข้างตัวก็ไม่เอาแล้ว..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้สมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตที่หมดไป มีเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อชินตะกั่ว เนื้อทองเหลือง เหลืออีก ๒ เนื้อ คือ เนื้อทองแดงกับเนื้อทองทิพย์ รอเจ้าหน้าที่หายใจก่อน เจ้าหน้าที่อยู่ข้างล่าง ยังไม่ได้หายใจเลย ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหรือยัง ?"
ถาม : ถ้าขีดวงล้อมด้านนอก กันไม่ให้พวกเทวดาหรือผีมารบกวน ใช้คาถาอะไรครับ ?
ตอบ : อิติปิ โสฯ ไม่ต้องคิดมาก
ถาม : ผมถวายปัจจัยตุ๊พ่อไป แต่ทีนี้มีส่วนเกินที่เขาทำบุญมาทีหลังด้วย จะจัดการอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนเกินมาก็มาทำบุญต่อสิวะ..! เขาเรียกว่าจัดการไม่เป็น ไม่ได้ให้อมไว้รับประทานคนเดียว
ถาม : เพราะเราทำบุญในนั้นด้วย ก็คือมีส่วนหนึ่งในนั้นด้วย ?
ตอบ : เอามาก็มาทำบุญต่อ เท่ากับสร้างบุญให้เขาด้วย ทำหลาย ๆ ยก หลาย ๆ ประเภท อย่าไปเอาอย่างเดียว
ถวายสังฆทานแล้วให้รีบลง เพราะมีเวลาไม่กี่นาที "ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์แล้ว ต้องฝึกการตัดให้ได้ หัดตัดทุกอย่าง โดยเฉพาะตัดใจ ขึ้นชื่อว่าตัด ทำท่าจะขาดใจ จะได้รู้ว่าตัดยากจริง ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่าประมาทนะ เชื้อโควิดพัฒนาไปถึงรุ่นที่ ๖ แล้ว วัคซีนตามไม่ทันหรอก วัคซีนนี่ขั้นแรกยังทำไม่ได้เลย นี่เชื้อโรคพัฒนาไป ๖ ขั้นแล้ว ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? เจอหน้าก็เลยคุยกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปลดหนี้ปีนี้ยอด ๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับสร้างพุทธมณฑลปัตตานี โอ๊ย...สงสารท่านอาจารย์ชรัช ท่านเจ้าคุณเพื่อนของอาตมา...ผอมตากลวงเลย ประเภทมหาหนุ่มน้อย ปริญญาโทสมัยก่อนนี่ไม่ต้องเจอกันแล้ว ท่านเป็นคนจริงจังมาก แล้วไปอยู่พื้นที่ซึ่งมีอิสลามหนาแน่นที่สุด อาตมาตั้งใจว่าเอาเงินไปให้เสร็จแล้วก็ลากลับเลย จะไม่อยู่นาน เดี๋ยวลำบากท่าน..ดูแลยาก"
พระอาจารย์เร่งให้โยมรีบ "รู้สึกว่าชีวิตจะกระตือรือร้นขึ้น ใครที่ทำอะไรเชื่องช้า ก็จะได้รู้ว่าการไปพระนิพพานต้องเร็วกว่านั้น ถ้าหากว่าช้าก็ไปไม่ถึงพระนิพพาน ช่วงชีวิตเหลือน้อย ต้องเร่งสร้างกุศลให้มากไว้ ให้พอมีแรงเหวี่ยงส่งเราไปให้ถึง
พวกเราต้องนึกดูว่า จากโลกของเราถ้าจะส่งจรวดขึ้นไปในอวกาศ ต้องมีไฮโดรเจนเหลวเป็นพันตัน มูลค่ากี่ร้อยล้านก็ไม่รู้ ? ปรากฏว่าส่งไปด้วยจำนวนเงินมหาศาลและพลังงานมหาศาลขนาดนั้น หลุดพรวดไปอยู่อวกาศ แต่ติดอยู่แค่ในสุริยจักรวาล
ถ้าสมมติว่ามีพลังงานเพียงพอ ส่งตัวเองหลุดจากสุริยจักรวาล ก็ไปติดอยู่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก อุตส่าห์หาสารพัดเชื้อเพลิงต้นทุนมหาศาลจนประมาณไม่ได้ ดีดตัวเองหลุดจากทางช้างเผือก ก็ไปติดอยู่ในเอกภพ..ยูนิเวิร์สของฝรั่ง เพราะว่าพวกกาแล็กซี่ เนบิวลาต่าง ๆ รวมกันเป็นเอกภพ ต้องหาพลังงานที่มหาศาลมากกว่านั้นอีกประมาณไม่ได้ ดีดตัวเองหลุดพ้นเอกภพไปแตะขอบสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช โอ้...หมดไปเท่าไร แต่ไปได้แค่นั้นเอง"
"แล้วเราเองลงทุนด้วยทานกับศีล ก็ไปตรงนั้นได้แน่นอนแล้ว ขอให้ทำอย่างมั่นคงจริงจังเท่านั้น ถ้าหากว่าภาวนาเพิ่มไปอีก แทนที่จะไปแค่ชั้นจาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ถ้าภาวนาทรงตัว ก็หลุดไปพรหมชั้นที่ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐-๑๑ ใช้ปัญญาเพิ่มเข้าไปด้วย ตัดกิเลสได้ หลุดพ้นไป เป็นพรหมชั้นที่ ๑๒-๑๓-๑๔-๑๕-๑๖ แล้วต้องใช้พลังงานมหาศาลขนาดไหน ถึงจะดีดให้หลุดพ้นชั้นที่ ๑๖ ไปพระนิพพาน ?
ฉะนั้น...เราจะเห็นว่า ทำไมพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบกับเราแล้ว พลังงานของท่านมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด บาลีถึงได้กล่าวว่า พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ เพราะว่าเราไม่สามารถจะคำนวณได้ว่า กำลังในการตัดกิเลส ละกิเลส เหวี่ยงตัวเองให้หลุดพ้นวงโคจรของกิเลสนั้น ต้องใช้กำลังที่แข็งแกร่งมหาศาลขนาดไหน ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกอะไร พวกเราก็มักจะหูทวนลมกัน ท่านบอกว่า "หลวงพ่อไหลมาเทมา" เราก็ไปเอา "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" ตกลงว่าทองเทิงอะไรก็ไม่เอาแล้ว
ไหลมาเทมา ของท่านคือทุกเรื่องทุกอย่าง เรียกว่าในสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหมด แต่คนเอาแค่หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา จะเอาแค่เงินอย่างเดียวก็ตามใจ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเรารีบทำรีบตัดสินใจ จะแสดงถึงบารมีที่เข้มข้นขึ้น ถ้าบารมีไม่เข้มพอ ก็จะไม่เด็ดขาด ประมาณว่าตัดบัวแล้วยังเหลือใย ก็จะยืดเยื้อไม่รู้จักจบ จำไว้...อย่าไปอาลัยอาวรณ์ หลังมือผัวะเดียว..จบเลย..!
เวลาก้าวพ้นมาแล้ว เห็นคนอื่นอยู่ในสภาพอย่างนั้นก็สงสารเขา แต่เพราะสงสารนั่นแหละ ถึงต้องหลังมือให้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะยืนหยัดไม่ได้สักที"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สิทธัตโถ อสโมโลเก แปลว่า พระพุทธเจ้านามว่าสิทธัตถะ กำจัดความมืดในโลก ความมืดทางนี้คืออวิชชา ความไม่รู้ รู้ไม่ทั่ว รู้ไม่หมด"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมารู้สึกดีใจมากที่ได้รับการฝึกมาแบบทหาร งานทุกอย่างต้องเสร็จภายใน ๓ นาที จึงเคยชินกับความเร็ว ทันทีที่เสียงนกหวีดดัง ต้องเก็บมุ้งหมอนที่นอนจัดเข้าที่ อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัว ลงไปจัดแถวให้เรียบร้อย ทั้งหมดนี้ภายใน ๓ นาที..!
ถามว่าทำได้อย่างไร ? ทำได้..เพราะว่าถ้าทำไม่ได้ก็โดนซ่อม คำว่าซ่อม เป็นศัพท์ทางทหาร แปลว่าเสียแล้วก็ต้องซ่อม เสียอะไร ? เสียระเบียบ ต้องซ่อมให้เข้าที่ โดนวิดพื้นบ้าง นั่งกระโดดบ้าง สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ยก เดี๋ยวก็ดีไปเอง เพราะฉะนั้น..ของตั้งหลายอย่าง ยังทำได้ภายใน ๓ นาที ถวายสังฆทานอย่างเดียว ๑๕ นาที จึงต้องเสร็จแน่นอน
โดยเฉพาะตอนกินข้าว ทหารเขาให้เวลา ๑ นาที หรือไม่ก็นับ ๑ ถึง ๑ ต้องอิ่ม..! ก็คือถ้า ๑ ปุ๊บต้องอิ่มปั๊บ ได้กี่คำก็เท่านั้นแหละ ที่บอกว่าให้ ๓ นาที เป่านกหวีดครั้งแรกกับครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ห่างกันแค่ ๑๐ กว่า ๒๐ วินาที ครูฝึกบอกว่าหมดเวลาแล้ว ที่เขาฝึกเอาไว้อย่างนั้น เพราะว่าถ้าเวลาออกรบจริง ข้าศึกจะมาตอนไหนไม่รู้ มัวแต่อ้อยอิ่งอยู่จะไม่ได้กิน บางทีรบติดพัน ๓ วัน ๓ คืน ไม่มีเวลากินอะไรเลย"
"ทหารมีกำหนดหลักสูตร ๗๒ ชั่วโมง ก็คือ ๓ วัน จะต้องแก้ปัญหาที่ทางครูฝึกเขากำหนดเอาไว้ แล้วมีข้าศึกคอยตามตีอยู่ตลอดเวลา มีชุดของอาตมาที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ปกติชุดอื่นเขาก็จะโดนข้าศึกจับได้ โดนจำหน่ายตายกันเยอะแยะ สอบตกกันมาก รุ่นของอาตมาไม่มี ถามว่าทำไมไม่มี ? เพราะว่าเขาปล่อยหมู่ละ ๑๕ นาที อาตมาเข้าไปถึงก็ซุกเงียบ อีก ๑๕ นาที เพื่อนมา กวักมือเรียก "เฮ้ย..ทางนี้" แอบอยู่ด้วยกัน อีก ๑๕ นาทีมา กวักมือเรียก "มาทางนี้" จนครบทั้งกองร้อย แล้วก็ไปพร้อมกัน
คราวนี้ข้าศึกสมมติเป็นรุ่นพี่ ส่วนใหญ่เขามาประมาณไม่เกิน ๓๐ คน ส่วนของเราไปกองร้อยหนึ่ง แน่จริงมึงมาสิ..! เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ไม่สูญเสียกำลังพลเลย ทุกคนไปถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ
ถามว่าทำไม ? ก็เขาไม่ได้บังคับไว้นี่ เขาบอกว่าปล่อยตอนประมาณหนึ่งทุ่มชุดแรก ก่อนตี ๕ ต้องไปถึงที่ เราก็รอพวกได้ เขาไม่ได้ห้าม เพียงแต่รุ่นอื่นโง่ไปหน่อย ไม่รอพวกกันเอง ปล่อยเข้าไป ๑ หมู่ ๑๒ คน รุ่นพี่มา ๓๐ ก็เสร็จเขาหมด..! ส่วนของอาตมาร้อยกว่าคน มา ๓๐ มีแต่พวกเราจะรุมทุบเขา..!
ไม่รู้ว่าหลังจากรุ่นอาตมาแล้ว เขาเปลี่ยนระเบียบนี้หรือเปล่า ? แต่รุ่นของอาตมา รุ่นพี่แยกเขี้ยวยิงฟันกันเลย โห...แสบสะเด็ด..! คืออาตมาเป็นหัวหน้าตอนนักเรียน หัวหน้าตอนนักเรียนก็คือหัวหน้านักเรียนทั้งกองร้อยนั่นแหละ จะสั่งอย่างไรเพื่อนเขาต้องทำตาม ถึงเวลามา "หลบก่อน..มาอยู่ตรงนี้เลย เดี๋ยวกูพาไปเอง"
"เพราะฉะนั้น...ทำอะไรอย่าตรงไปตรงมา แต่อย่าแหกคอก อย่าแหกระเบียบมาก ถึงเวลาเท้าข้างหนึ่งก็ต้องเหยียบเส้นเอาไว้ ถ้าไม่ผิดระเบียบ เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก
เรื่องของกฎหมาย เรื่องของศีลธรรมก็แบบเดียวกัน ถ้ามีความจำเป็น เราไปแค่กรอบของศีล ถ้าไปติดกรอบของศีลแล้วเราไม่ไปด้วย อาตมาเป็นทหารอยู่ เขาจะกินเหล้าเมายาอะไร ไปกับเขาหมด เขากินเหล้า เราก็กินกับ เขาเมาหมดสภาพ เราก็แบกเขากลับ เขาไปเที่ยวซ่อง เราก็นั่งเฝ้าหน้าห้องให้ ไปกับเขาได้ทุกงาน เขาเล่นการพนัน เราก็เป็นกองเชียร์ อย่างไรเพื่อนเขาก็รังเกียจอาตมาไม่ได้ เพราะว่าอาตมาเรียนเก่ง เขาต้องอาศัยเรา"
พูดถึงจิ้งจกหลวงพ่อหน่าย "คาถาว่า อะอิอะมะ อะมะอะอิ อะอิจะหัง อะมะสวาหะ นะมะพะทะ ปิยะธิตา มานี่มานะ จุ๊..จุ๊..จุ๊..จุ๊
วันก่อนท่องเสร็จ พออาตมาจุ๊ จิ้งจกก็จุ๊ด้วย ก็เลยขำ ๆ น้องเล็กบอกว่าเอาใหม่ ๆ พอเอาใหม่เพื่อลอง จิ้งจกรู้ก็ไม่จุ๊ด้วยแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไปเจอสิงห์ตาแดงแบบนี้ก็อย่าไปเหมาเขามา สิงห์ตาแดงนั่นของหลวงพ่อหอม วัดชากหมาก แต่นี่เขาบอกว่าเป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ กูจะบ้า..! เขาลงเอาไว้ว่าหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เต็ม ๆ เลย อยากจะร้องไห้ ถ้าอย่างนี้ของหลวงพ่อเดิม แสดงว่าความรู้ที่อาตมาศึกษามานี่ใช้ไม่ได้เลย"
พระอาจารย์อ่านข่าว "‘ศธ.ลงโทษครู ห้ามตัดผมนักเรียน’ เรื่องนี้ต้องจำเอาไว้ว่า แม้กระทั่ง ส.ส. ที่ไปเรียกร้องเรื่องการที่ครูลงโทษนักเรียนไม่ยอมตัดผม ต้องบอกว่าเหลวไหล..!
เรื่องของเด็กเราต้องปลูกฝังระเบียบวินัยให้ชัดเจนตั้งแต่เล็ก แล้วทุกอย่างก็จะสะดวกขึ้น..ง่ายขึ้น จะได้รู้ว่าการเข้าสังคมในแต่ละสังคมนั้น เขามีกฎเกณฑ์กติกาอย่างไร ถ้าจะทำอะไรตามใจตัวเองอย่างเดียว ก็ไม่ควรที่จะเข้าไปในสังคมนั้น ๆ
ถ้ารับไม่ได้ว่าเวลาไปโรงเรียนลูกต้องตัดผมสั้น ก็อย่าส่งลูกไปเรียน ถูกต้องอยู่..ที่บอกว่าผมสั้นหรือผมยาวไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของสมองเด็ก แต่ก็ทำให้เสียเวลาในการจัดการดูแลมากขึ้น ถ้าเด็กมัวแต่สนใจกับหัวตัวเองอยู่ การจดจ่อกับการเรียนก็จะมีน้อยลง
บรรดา ส.ส. ที่เขาหวังดีเรื่องนี้เราก็จะสังเกตว่า ถ้าในลักษณะของผู้ใหญ่รุ่นเก่าก็คือเป็นพวกนอกคอก ไม่ค่อยจะถือกฎเกณฑ์กติกาอะไร จะเอาแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี โดยไม่ดูผลกระทบส่วนใหญ่ของส่วนรวมว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องอย่างนี้ถ้าเราจะวิพากษ์วิจารณ์กัน ต้องพูดในลักษณะของการเป็นกลาง ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือว่ายึดติดกับพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพรรครัฐบาลหรือว่าพรรคฝ่ายค้าน
อาตมาเองอาจจะสลดถึงขนาดสังเวชใจกับฝ่ายรัฐบาล ที่เห็นพรรคฝ่ายรัฐบาลแย่งเก้าอี้เหมือนหมากัดกัน แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับพรรคฝ่ายค้านที่จะมาทำลายกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยที่เด็ก ๆ ควรจะมี ควรจะได้ ควรจะอบรมปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก"
"เรื่องทุกอย่างถ้าเรามองด้วยใจเป็นกลาง จะเห็นต้นตอของปัญหาอย่างชัดเจน ก็แปลว่าในครอบครัวนั้น ไม่ได้มีกฎเกณฑ์กติกาอะไรที่จะสร้างสรรค์ความสงบสุขให้กับสังคมเลย แล้วก็ยังไปเรียกร้องเอาจากที่อื่น ซึ่งเขามีกฎเกณฑ์ที่ดีในการที่จะสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับสังคม ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนี้ เรามองด้วยใจเป็นกลางจะเห็นว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
แล้วบุคคลที่เป็นแม่ซึ่งออกมาเรียกร้องว่าลูกโดนครูตัดผม แล้วทำไมถึงโดนโซเชียลกระหน่ำเสียจนอยู่ไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่ได้ดูในเรื่องของกฎเกณฑ์กติกาอะไร ไม่ได้คำนึงถึงส่วนรวม เอาแต่ตามอารมณ์ของตนเอง
ซึ่งเรื่องอย่างนี้ทางด้านฝรั่งต่างประเทศมีงานวิจัยว่า ทำไมบุคคลที่เป็นอัจฉริยะจึงตัดสินใจผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ ? สามารถที่จะสรุปได้ง่าย ๆ ว่า การตัดสินใจนั้นเป็นการตัดสินใจไปตามอารมณ์เสียส่วนมาก ไม่ได้เป็นไปโดยสมองที่ฉลาด เพราะความฉลาดของสมองนั้นเป็นแค่ความจำ คือ ไอคิว แต่ว่าในส่วนของการตัดสินใจนั้นเป็นวุฒิภาวะทางอารมณ์ คือ อีคิว ถ้าบุคคลที่มีไอคิวสูงแล้วอีคิวต่ำ การตัดสินใจย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้อยู่แล้ว"
" IQ คือ Intelligence Quotient ส่วน EQ คือ Emotional Quotient บางคนบอกว่าหลวงพ่อรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะเกิน ก็ไม่ได้เยอะเกินหรอก แค่เล่นเอาอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษต้องรีบเปิดดิกชันนารีดู ท่านบอกให้คิดศัพท์ที่เกี่ยวกับปากมา ก็สารพัด ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะกิน ฯลฯ ก็เลยบอกว่าอาจารย์ Gobble up ท่านอาจารย์ถามว่าอะไรนะ ? แล้วรีบเปิดดิกฯ ดู “อ๋อ...อาการขยอกกลืนแบบงูหรือจระเข้”
ท่านอาจารย์บอกว่า “ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ท่านเอามาจากไหน ?” บอกว่า “ขอโทษครับ บังเอิญผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก” เพราะว่าสมัยโน้นเรียน ป. ๕ เขาให้ท่องอาขยาน Five Little Monkeys เป็นเรื่องของลิง ๕ ตัวไปยั่วจระเข้ ก็เลยโดนจระเข้กระเดือกลงคอไปเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ประจำเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ความจริงแล้วต้องเป็นฉบับที่ ๑๙๗ แต่เนื่องจากว่าเราปิดบ้านไป ๓ เดือน จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ก็เลยกลายเป็นฉบับที่ ๑๙๔
ขอยืนยันว่าหนังสือของเรายังไม่เคยขาดช่วงตลอดระยะเวลา ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา เราออกปีหนึ่ง ๑๒ ฉบับ ในเมื่อปีหนึ่ง ๑๒ ฉบับ นี่ก็จะเป็นปีที่ ๑๖ แล้ว"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีคนบอกว่า เพิ่งจะได้เจอหน้าครั้งแรกชอบท่านมากเลย ถามว่าทำไม ? เวลาคนถามอะไรแล้วท่านกล้าด่ากลับ..! เขาบอกท่านไม่กลัวโยมโกรธ กล้าด่ากลับ อ๋อ...ถ้าไม่ด่าเขาก็ไม่รู้ตัว เอาไว้เดี๋ยวโควิดผ่านไปก่อน จะถามอะไรแล้วค่อยว่ากัน หรือไม่ก็ไปฝากคำถามในเว็บวัดท่าขนุน
โควิดทำให้ห่างเหินกันไปเยอะ เพราะว่าต้องเพิ่มระยะ แล้วถ้าเราไม่เข้มงวดเข้าไว้ เดี๋ยวทางด้านกรมควบคุมโรคติดต่อเขาจะมาเล่นงานเอาอีก โดยเฉพาะว่าพระของเราโชคดีมาก ทั่วประเทศไม่มีพระเณรติดโควิดแม้แต่รูปเดียว อาตมาก็เลยสรุปว่า ถ้าใครไม่อยากติดโควิด ให้โกนหัวเสีย เชื้อโรคจะได้คิดว่าเป็นพระเป็นเณรจะได้ไม่มาหาเรา"
"การดำเนินชีวิตพระเณรของเรา ถ้าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นการเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่แล้ว ที่ท่านบอกว่าให้ปลีกตัวออกจากหมู่ อยู่ในที่สงัด ระบุไว้ชัดเลย
แม้กระทั่งการเดินบิณฑบาต ท่านก็บอกว่าให้เว้นระยะห่างให้คนวิ่งลอดได้ เพราะว่าสมัยพุทธกาลมีโจรขโมยของแล้ววิ่งมา เจอแถวพระแล้วไม่กล้าแทรกผ่านไป เพราะว่าพระเดินไม่ห่างพอ เนื่องจากว่าเขาเห็นว่าพระคือพวกกาลกิณี เพราะว่านุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดแล้วก็ผมสั้น สมัยนั้นพวกมีวรรณะจะไว้ผมยาวทั้งนั้น ก็เลยกลัวว่าจะโดนกาลกิณีมากกว่ากลัวโดนชาวบ้านทุบตาย ท้ายสุดหนีไม่ทันจึงโดนชาวบ้านเขาทุบตาย
พระพุทธเจ้าจึงต้องให้พระเดินเว้นระยะประมาณ ๓ ก้าว ก็เท่ากับว่าการดำเนินชีวิตของพระเรา ส่วนใหญ่เป็นการเว้นระยะห่างทางสังคมอยู่แล้ว นี่อาจจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ไม่ติดโรค
๒-๓ วันก่อนที่จะลงมาสอนกรรมฐาน โรคภัยไข้เจ็บก็มะรุมมะตุ้มอาตมาเสียเต็มที่ เพราะว่าตอนบิณฑบาตเปียกฝนทุกวัน บางทีพระเณรก็ตาละห้อย หลวงพ่อทำไมไม่ห้ามฝน ? ได้ไม่คุ้มเสีย..จะไปห้ามทำไม ?"
ถาม : ถ้าเรารู้สึกจิตใจหม่นหมอง ตั้งสติไม่ได้ ควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ภาวนา ถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะหายหม่นหมองไปเอง แสดงว่าเราไปฟุ้งซ่านแทน ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า เลิกคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผู้ชายคนเดียวหาใหม่เมื่อไรก็ได้
ถ้าไม่อยากใจเศร้าหมอง ภาวนาไม่ได้ก็ต้องได้ แปลว่าอย่างไรเสียก็ต้องพยายาม แรก ๆ ก็จะฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเรารู้ตัวดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก รู้ตัวแล้วดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่นานใจยอมสงบเอง แต่ เราต้องสู้จริง ๆ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องรู้สึกหรอก ถ้ามัวแต่รู้สึกอยู่ก็ไม่รอด ถ้ารักที่จะปฏิบัติธรรมต้องเริ่มตายด้าน ไม่เอาความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น อารมณ์ใจอยู่กับปัจจุบัน คืออยู่กับลมหายใจตรงหน้าเท่านั้น อยู่กับตอนนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ ที่ผ่านมาไม่คิด ที่ยังมาไม่ถึงไม่คิด พักเดียวใจก็นิ่งแล้ว
วันก่อนอบรมพระ บอกกับท่านว่า "ที่ผมให้พวกคุณทำแบบนี้เพราะว่าผมเองทำมาแล้ว ในปัจจุบันนี้ผมพยายามลองบังคับให้ตัวเองคิดชั่ว ยังคิดไม่ออกเลย" บังคับแล้วยังคิดไม่ออกเลย ใจไม่เอาด้วย ไปทางดีอย่างเดียว ก็เลย เออ...เรื่องแบบนี้มีครูบาอาจารย์คนไหนเขามาลองบ้า ๆ แบบเราบ้างวะ ? พยายามบังคับให้คิดชั่วแล้วใจไม่เอาด้วย
ต้องค่อย ๆ คิดดีไปเรื่อย ๆ พอใจชินกับดีก็จะไม่เอาชั่วแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางองค์กรอนามัยโลกประกาศความเห็นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ว่า สามารถแพร่กระจายทางอากาศได้ ก่อนหน้านี้ยังไม่ยอมรับ บอกว่าต้องไปกระทบสารคัดหลั่งจากตัวคนที่เป็นอยู่ถึงจะติดเชื้อ ตอนนี้ยอมรับแล้วว่าแพร่กระจายทางอากาศได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ยังเหลือรายชื่อที่สมัครเป็นสมาชิกเว็บวัดท่าขนุน เข้ามารอยืนยันตัวตนอยู่ประมาณ ๒,๒๐๐ ชื่อ จากที่จัดการไป ๒,๖๐๐ กว่าชื่อ สรุปว่ามีสมัครซ้ำมาเป็นร้อย ๆ ชื่อเลย ทำให้ต้องเสียเวลาไปคัดออก
เนื่องจากว่าท่านคงคิดว่าเป็นระบบอัตโนมัติ สมัครปุ๊บต้องได้รับคำตอบปั๊บ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะว่าต้องรอเจ้าหน้าที่ซึ่งมีงานประจำทำเต็มเวลา ว่างจากงานประจำก่อนแล้วค่อยมาจัดการเรื่องยืนยันตัวตนให้กับท่าน
แล้วก็มีหลายท่านที่ส่งรูปยืนยันตัวตนมาได้ทุเรศมาก ก็คือถ่ายรูปแบบไม่ใส่เสื้อมา ถ้าเป็นสาว ๆ ทรงอึ๋ม ๆ หน่อยจะไม่ว่าสักคำ ปรากฏว่าเป็นสุภาพบุรุษ แล้วหุ่นดูไม่ได้เลย จะมี กล้ามเนื้อล่ำ ๆ ให้ดูเสียหน่อยก็ไม่มี มีแต่พุงหลามมาเลย ต้องเรียกว่าขาดจิตสำนึกเป็นอย่างมาก ไม่ได้ดูความเหมาะสม คิดอยู่อย่างเดียวว่าแค่ถ่ายรูปมาก็พอ"
กล่าวกับโยม "หาอะไรที่เป็นรูปพระใส่ด้วยนะ แล้วค่อยเอาตะกรุดคล้องไว้ ก็คือให้มีพระไว้ด้วย เรานึกถึงเป็นอนุสติได้ง่ายกว่า ถ้ามีแต่ตะกรุดอย่างเดียว เราต้องคิด ๒ ชั้น ๓ ชั้น สิ่งนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนมา ครูบาอาจารย์ท่านจึงทำมาให้ กว่าจะถึงพระก็หลายยก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็ดีนะ ช่วยให้มีความเป็นระเบียบมากขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยได้หน้ามาก สถาบัน Johns Hopkins เจ้าของสารพัดสถิติ ยกให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขดีที่สุดในโลก
ความจริงไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาลหรอก ฝีมือชาวบ้านช่วยกันเอง แต่ต้องบอกว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายเกี่ยวกับเรื่องเชื้อโควิด ๑๙ ระบาดได้ถูกต้อง ก็คือยกให้หมอเป็นใหญ่ เสร็จแล้วก็ปล่อยให้หมอทำงาน บางคนก็โวยวายว่าทำไมถึงไม่ปลดล็อก พรก.ฉุกเฉิน เพราะว่าถ้าหากว่ายกเลิกไปแล้ว ถึงเวลาประกาศใหม่ก็ยาก กว่าจะเล็งจังหวะได้ เพราะฉะนั้นพอถึงเวลาถ้าสามารถคงเอาไว้ได้ การป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถที่จะบังคับใช้ได้เลยก็จะง่ายกว่า
เราต้องเข้าใจด้วยว่าความยากลำบากของคนทำงานเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในต่างประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกา ขนาดประกาศว่าให้ใส่หน้ากากก็ยังไม่ยอมใส่ บอกว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วที่ร้ายกว่านั้นอีกก็คือบางคนไม่ยอมเชื่อว่ามีโรคนี้ บอกว่าเป็น Fake News ทั้ง ๆ ที่ตายกันโครม ๆ ยังบอกว่าเป็นข่าวปลอม โดยเฉพาะท่านประธานาธิบดีทรัมป์ บอกว่าเป็นแค่ไข้หวัด พอมีภูมิคุ้มกันก็หายแล้ว..!"
"เดี๋ยวนี้เขามี Travel Bubble ก็คือการจับคู่กับประเทศอื่น ๆ ที่เห็นว่าปลอดภัยจากเชื้อโรค เพื่อดึงเอานักท่องเที่ยวมาเที่ยวบ้านเรา ปรากฏว่าอินเดียกำลังจะจับคู่กับอเมริกา อาตมาได้ยินแล้วยังว่าบ้าหรือเปล่า ? ประเทศที่มีการแพร่ระบาดเป็นอันดับ ๓ จะจับคู่กับประเทศที่แพร่ระบาดเป็นอันดับ ๑ ก็ดีเหมือนกันนะ..!
เชื้อโควิด ๑๙ นี่อันตรายมาก ระยะเวลา ๖ เดือน เปลี่ยนรหัสพันธุกรรมมาแล้ว ๖ ครั้ง ต่อให้เราสามารถทำวัคซีนขึ้นมาได้ก็น่าจะไล่ไม่ทัน ปัจจุบันนี้ที่แพร่ระบาดอยู่ในปักกิ่งเป็นคนละสายพันธุ์กับที่แพร่ระบาดในอู่ฮั่น แล้วมีพวกนักระบาดวิทยาระดับสุดยอดของโลก เขาคาดว่าเชื้อนี้แพร่กระจายมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่าเพิ่งปรากฏอาการชัดเจนขึ้นมา
ส่วนอาตมาไปคิดว่าเรื่องของสงครามโลกสมัยนี้ สงครามใหญ่สมัยนี้ สงครามเชื้อโรคก็น่าจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ปัจจุบันนี้มีเรื่องประหลาดก็คือ แขกรบกับแขก ความจริงที่เรารู้กันก็คือ อิสลามนี้จะรักใคร่สามัคคีเหนียวแน่นกันมาก แต่ในปัจจุบันถ้าเราอ่านข่าวจะเห็นว่า เยเมนตั้งเป้าโจมตีซาอุดิอาระเบีย ตุรกีตั้งเป้าโจมตีซีเรีย ถ้ามีอิรักกับอิหร่าน หรืออิรักกับคูเวตเข้าไปอีกจะสนุกกว่านี้ ยังดีว่าปาเลสไตน์กับอิสราเอลตอนนี้ยังเป็นยิวกับมุสลิม ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าอิสลามรบกันเอง นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่ทำไมความเชื่อที่ต่างกันถึงทำให้ต้องมารบราฆ่าฟันกันเองก็ไม่รู้ ?"
"โชคดีที่หลวงพ่อองค์ปฐมเขียวเหล็กไหลออกไปยันไว้ได้ทัน ถ้าหากว่าช้า รับประกันได้ว่าติดไวรัสกันกระจาย พระรุ่นนี้สรุปสั้น ๆ ว่า ปลอดโรค ให้ลาภ ศัตรูพินาศ แต่ต้องลำบากภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ รวม ๓ ห้องทุกวัน วันละอย่างน้อย ๓ จบ แล้วอาตมายังเอาไปเข้าพิธีพลิกชีวิตมาด้วย
เพราะฉะนั้น..ใครรู้สึกว่าไม่ไหว เบ้าตาจะกระเด็นแล้ว ไม่ใช่เลือดตากระเด็น ตั้งใจภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ๑๐๘ จบ เสร็จแล้วอธิษฐานขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ แต่ว่าเรื่องพวกนี้ถึงได้พรมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็ไม่เคยใช้ เป็นบุคคลประเภท 'ศรีทนได้' ถ้าศรียังทนได้ ศรีจะไม่ขอความช่วยเหลือ
นิสัยอาตมาไม่เหมือนกับคนอื่น ถ้ายังสู้ได้อยู่นี่สู้ตลอด ไม่เรียกให้ใครช่วยเลย ถึงได้ว่าตอนเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง โดนผีไล่ตีอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ทุกวัน ซ้อมจนน่วมเลย ไม่เคยเรียกพระช่วย ไม่เคยนึกถึงพระเลย นึกอยู่อย่างเดียวว่า มึงมากูสู้..!"
ถาม : ไม่ใช่ว่าลืมนะครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ลืม แต่มั่นใจว่ากูสู้ได้ ในเมื่อมั่นใจว่าสู้ได้ก็เลยสู้ สุดท้ายก็ผีระอาไปเอง ตีกับผีอยู่ ๓ ปี ไม่เคยนึกถึงพระ ไม่เคยนึกถึงพระนิพพาน ไม่เคยนึกถึงความดีอะไรเลย สู้อย่างเดียว ตึงตังโครมครามทุกวัน ป้ากิมกีก็ถามว่า "ท่านย้ายของอะไรเสียงดังทุกวัน ?" ย้ายของกับแมวอะไรล่ะ ? โดนผีไล่อัดสิไม่ว่า..!
ทำให้มั่นใจเลยว่า เรื่องของผีนี่เวลาเขามาในกายหยาบ ก็เป็นเนื้อ ๆ จริง ๆ เราจับเขาก็ได้เป็นเนื้อ ๆ เขาเตะเรามาก็เจ็บพอกับคนเตะนั่นแหละ..!
ถาม : สิ่งที่ยันกันตอนนั้น คือ...?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็สมาธิ ไม่ไหวขึ้นมาก็ขอบารมีพระสงเคราะห์ ขีดวงไว้ เขตนี้ห้ามเข้า แล้วก็นอน
ถาม : แต่ไม่ได้ไล่ ?
ตอบ : ไม่ไล่ อยู่กันแบบพร้อมที่จะสู้กันใหม่
ถาม : แล้วถ้าจะนอน ?
ตอบ : ขอพักก่อน กูไม่ไหวแล้ว ขอพักก่อน นอนตื่นขึ้นมาค่อยตีกันใหม่ แล้วก็เป็นเรื่องแปลกนะ ย้ายที่ก็จบแล้ว แต่ไม่ย้าย ก็โดนอยู่นั่นแหละ...รู้สึกว่าชีวิตมีรสชาติดี พอย้ายไปนี่นั่งเซ็งเลย ไม่มีใครมาเล่นด้วยแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาด ญาติโยมส่วนหนึ่งก็ใช้วิธีโอนเงินทำบุญแทน บอกว่าสะดวกดี ไม่ต้องไปถึงวัด หรือไม่ต้องไปถึงบ้านเติมบุญ แต่อาตมาอยากจะบอกว่าขาดบารมี คือความมุ่งมั่นของกำลังใจ เพราะว่าไม่ต้องใช้เวลาหรือความพยายามในการตะเกียกตะกายอะไรเลย โอนเงินปั๊บก็จบแล้ว เหมาะสำหรับบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมีเท่านั้น ถ้าบารมียังอ่อน ๆ นี่ไม่ได้ช่วยเสริมกำลังใจตัวเองเลย ชวนให้ขี้เกียจอีกต่างหาก..!"
ถาม : เศรษฐกิจจะดีเมื่อไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเราทำเป็นก็ดีเดี๋ยวนี้แหละ ทำไม่เป็นก็ช้าหน่อย เสียดายรัฐบาลของเราไม่เก่งเศรษฐกิจ บ้านเมืองสงบเรียบร้อย แต่เศรษฐกิจไม่ดี ชาวบ้านก็จะไม่มีกิน ก็ได้อย่างเสียอย่าง รัฐบาลที่เก่งเศรษฐกิจคนก็ไม่เกรงใจ ถึงเวลาก็ประท้วง ๆ สถานการณ์ก็เลยไม่เรียบร้อย จะเอาประเภทครบเครื่องจริง ๆ ก็ต้องรอรัฐบาลต่อ ๆ ไปจนกว่าจะได้มา
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทราบอย่างไม่เป็นทางการว่า การหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำ หล่อวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ หลังลอยกระทง ๑ วัน จะเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงที่สุด ทั้ง ๆ ที่เขาบอกว่าเป็นข้างแรม
ตอนนี้ช่างคำนวณน้ำหนักทองออกมาแล้วไปคนละทวีปเลย ใช้ทอง ๓๕ กิโลกรัมเท่านั้น มีเหลือเฟือเลย ใครจะถวายรับถวายถึงแค่วันที่ ๓๑ ตุลาคมนี้เท่านั้น หลังจากนั้นก็จะปิดกระทู้ ไม่รับแล้ว เพราะว่าพระทองคำเราจะสร้างเสร็จ
ความจริงให้ท่านอาจารย์สุชาติปั้นหุ่นขยายขึ้นมาน่าจะได้อีก เพราะว่าตอนนี้ทองเรามีอยู่เกือบ ๆ ๗๐ กิโลกรัม ได้ขึ้นมาอีกเกือบเท่าตัว แต่ไม่เป็นไร ทองคำที่เหลือก็เก็บไว้เป็นทุนสำรองของวัด มีโอกาสก็จะหล่อพระทองคำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าสมัยนี้เขาไม่ต้องการให้พระมีเงิน ในเมื่อเขาไม่ต้องการให้มีเงิน เราก็หล่อเป็นพระพุทธรูปทองคำฝากไว้ในพระพุทธศาสนาให้หมด"
"งานต่อไปก็ประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม ๒๕๖๔ จะหล่อพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเนื้อเงิน ซึ่งก็จะโตประมาณหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงินที่หล่อไปแล้ว
หลังจากนั้นปลายปีจะหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงิน หน้าตักประมาณ ๔๐ นิ้ว คนอื่นจนช่างเขา ของเรารวยเราจึงทำได้ ก็แปลว่าไม่ว่าโควิด ๑๙ จะอาละวาดขนาดไหน วัดท่าขนุนไม่มีความลำบากเดือดร้อนเรื่องเงินเลย
ขอให้สิ่งที่เกิดกับวัดท่าขนุนเกิดกับญาติโยมทุกคนด้วย เพราะว่าตรงส่วนนี้ของเราเองถือว่าเป็นสายบุญเดียวกัน พอถึงเวลาถ้าภาวนาพระคาถาเงินล้านเอาไว้โดยไม่ทิ้ง โดยเฉพาะที่อาตมาขอมากกว่าครูบาอาจารย์หลายเท่า คือขอวันละ ๑๐๘ จบไปเลย ไหน ๆ ทำแล้วก็ทำเอารวยกันไปเลย
สมัยหลวงปู่ปานเขามีตัวอย่างนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร์ เจ้าของร้านขายยาตราใบโพธิ์ หรือไม่ก็นายแจ่ม เปาเล้ง ชาวราชบุรี ท่านทำพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ได้ เรียกว่าทำขึ้นได้ผลดีมาก เงินทองไหลมาเทมา มาสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่มีใครเป็นตัวอย่าง อาตมาก็เลยต้องทำเป็นตัวอย่างด้วยตัวเอง"
"ภาวนาสูงสุดถึงวันละประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ว่าไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย ภาวนาอย่างเดียว มีเวลาแค่ฉันอาหารมื้อเดียวประมาณ ๑๐ กว่านาทีเท่านั้น แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำห้องส้วมก็ภาวนา เป็นการภาวนาควบกับการจับลมหายใจเข้าออก ก็เลยทำให้เร่งเร็วไม่ได้ ไปช้า ๆ เอาคุณภาพ ตั้งแต่ประมาณตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มของทุกวัน ได้แค่ประมาณ ๑,๒๐๐ จบเท่านั้น ส่วนช่วงที่ ๙๖๐ จบ ๙๐๐ จบ ๘๔๐ จบ ๗๒๐ จบ ๖๐๐ จบลงมา จนถึงประมาณ ๓๐๐ จบนี่ไม่ต้องคิดถึง คิดถึงช่วงประมาณวันละ ๓๐๐ จบนี่ทำอยู่ประมาณ ๓ ปีเต็ม ๆ
เพราะฉะนั้น..สิ่งที่ทำเอาไว้ถึงเวลาเกิดดอกออกผล ช่วงโควิด ๑๙ อาละวาด วัดท่าขนุนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับบรรดาเจ้าอาวาสและเลขานุการของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิไป ๒ เดือน เดือนละครั้ง ถวายไปรูปละ ๕,๐๐๐ บาท หมดไปเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ กว่าบาท แล้วก็เปิดโรงทานไปเกือบ ๒ เดือนเต็ม ลงทุนประมาณเดือนละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท จะเห็นว่าขณะที่คนอื่นเขาลำบาก เขาเดือดร้อน วัดท่าขนุนไม่มีอะไรให้เดือดร้อนเลย
บรรเทาความเดือดร้อนของพระภิกษุ สามเณร แม่ชีในวัด ถวายไปรูปละ ๒,๐๐๐ บาท ถ้าหากว่าโยมไม่ได้เจอพระในวัด ๓๐-๔๐ รูปก็คงไม่รู้หรอก ว่ารูปละ ๒,๐๐๐ บาทนั้นหมดไปเท่าไร
แล้วก็หล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงิน ตั้งแต่ต้นจนจบนี่เกือบ ๓ ล้านบาทด้วยกัน แล้วก็ยังมีการช่วยเหลือทางสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าวัดสระแก้ว ที่อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ไป ๑ ล้านบาท ช่วยโรงเรียนหมู่บ้านเด็กไป ๓๐๐,๐๐๐ บาท ในเบื้องต้น ถ้าสร้างอาคารจนเสร็จก็น่าจะเป็นล้านเหมือนกัน มอบข้าวสารอาหารแห้งช่วยเหลือเขาทั่วไปหมด เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าของทุกอย่างดีจริง สำคัญตรงที่ว่าเราต้องทำจริงด้วย"
"เมื่อวันที่ ๘ ประชุมคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ เลขานุการเจ้าคณะอำเภอท่านเอาเอกสารมาให้เซ็น ก็คือเซ็นเข้าร่วมประชุม พอเซ็นเสร็จก็ควักให้ท่านไป ๒๕,๐๐๐ บาท บอกว่าเป็นค่าเซ็น คือท่านกำลังสร้างโบสถ์ บอกว่าช่วยเป็นเจ้าภาพเสาโบสถ์หน่อย เลยบอกกับท่านว่าผมไม่ได้เอาเสาอย่างเดียว ผมเอาฐานโบสถ์ทั้งหมดเลย ลงรากปักฐานให้แน่นหนาไปเลย จึงควักไปให้ท่าน ๒๕,๐๐๐ บาท
นอกจากนี้ เจ้าคณะอำเภอท่านสร้างเมรุ ได้ช่วยท่านไป ๓๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้หนังสือขอความช่วยเหลือไหลมาเทมา แต่ว่าบางอย่างก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ อย่างมีโรงเรียนหนึ่งบอกว่าจะถมสระน้ำ เพื่อสร้างเป็นอุทยานการเรียนรู้ของเด็ก มีรูปถ่ายมีอะไรมาเรียบร้อยมาก แต่ระบุงบประมาณว่า "จำนวนมาก" แล้วก็แจ้งยอดที่ตนเองได้รับการช่วยเหลือมา ๓๐,๐๐๐ กว่าบาท
อาตมาต้องแทงหนังสือส่งกลับไปว่า ตัวเลขงบประมาณไม่ชัดเจน ทำให้ตัดสินใจช่วยเหลือไม่ได้ เขาไม่ได้บอกว่าต้องใช้เงินเท่าไร เขาบอกแค่ว่า "จำนวนมาก" แม้จะระบุส่วนที่มีคนช่วยมาแล้ว โดยมีชื่อมีนามสกุลและจำนวนเงินชัดเจน แต่ว่าจำนวนที่ต้องใช้มีเท่าไร ? หักกลบลบล้างแล้วยังขาดอีกเท่าไร ? อาตมาควรที่จะตัดสินใจช่วยเท่าไร ? ก็ไม่มี ในเมื่อไม่มีตรงจุดนี้ ก็ต้องแทงหนังสือกลับไปว่า งบประมาณไม่ชัดเจน ไม่สามารถที่จะตัดสินใจช่วยเหลือได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหมือนหลวงพ่อมีเวรมีกรรมติดคุก แล้วพวกเราก็มาเยี่ยม ต้องมองผ่านกระจกกัน อาตมาคิดเสียว่าติดคุกก็หมดเรื่อง โยมมาเยี่ยมได้เห็นหน้าก็มีความสุข เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องที่พวกเราจะประมาทไม่ได้ เพราะว่าในอดีตเราทำกรรมอะไรไว้ ซึ่งเราส่วนใหญ่ก็ไม่รู้กัน ในเมื่อไม่รู้ก็อาจจะพลาดเมื่อไรก็ได้ จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก อย่าการ์ดตก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ถ้าคิดตามปฏิทินของอาตมาจะเป็นวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ แต่คราวนี้อีกคณะหนึ่งเขาคำนวณแล้วไม่ตรงกัน แล้วทางราชการประกาศให้ใช้ของคณะนั้น วันที่ ๒๒ ที่วัดท่าขนุนก็เลยจัดให้มีการพุทธาภิเษกพระกริ่งสะท้านไตรภพแทน
คราวนี้เรื่องของพระกริ่งสะท้านไตรภพนั้น มีเนื้อทองแดง เนื้อเงิน เนื้อทองคำ เนื้อทองคำจองหมดแล้ว แล้วก็มีเนื้อเงินที่ใช้ชนวนหล่อหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงิน กับหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน หล่อออกมาได้ประมาณ ๒,๐๐๐ องค์เศษ คือใช้ชนวนล้วน ๆ ไม่ได้ปนอย่างอื่นเลย มีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วคนทำเขาขอเกศาอาตมาไปบรรจุด้วย
คราวนี้จะไม่ให้จองเพื่อเอาเงิน แต่ว่าท่านใดที่ไปวัดวันนั้น ถ้าหากว่านำเม็ดเงินนอก ๑ กิโลกรัมไป จะแลกพระกริ่งได้ ๓ องค์ ให้แลกได้รายละไม่เกิน ๓ องค์เท่านั้น แปลว่ารายหนึ่งจะใช้เม็ดเงิน ๑ กิโลกรัม ก็น่าจะได้ประมาณ ๗๐๐ คน
เพราะฉะนั้น..ถ้าใครไปร่วมงานวันนั้นแล้วตัวเองไม่ได้จอง อาจจะมีเพื่อนฝูงฝากจองไป ก็พูดง่าย ๆ ว่าของทำเสร็จแล้ว เสร็จพิธีก็แลกกันตรงนั้นได้เลย อาตมาจะเอาเม็ดเงินไปหล่อพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องเนื้อเงิน ๑ องค์ ความสูงประมาณ ๑๕๕ เซนติเมตร แล้วก็หล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินหน้าตัก ๔๐ นิ้วอีกหนึ่งองค์ ในส่วนนี้ก็แจ้งให้ทราบตรงนี้ว่า ถึงเวลาแล้วก็หาเม็ดเงินรอไว้ ใครเข้าแถวก่อนก็ได้ก่อน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาบอกว่ากระจกนี้ปืนยิงไม่ผ่าน แต่ว่ากระจกอาจจะล้มมาฟาดหัวหลวงพ่อตาย..! ความจริงกระจกกันกระสุนนี้เกินความจำเป็น แม้ว่าระยะนี้ทางทองผาภูมิจะมีคนคิดยิงกบาลพระอาจารย์เล็กอยู่ก็เถอะ ชอบมากเลยที่มีเรื่องสนุก ๆ เพราะว่างานที่ทำบางส่วนทำให้คนอื่นเขาเสียประโยชน์
โดยเฉพาะช่วงเปิดโรงทานข้าวกล่อง ๑๐ บาท ๒ เดือน แทนที่เขาจะขายได้ คนก็แห่มาซื้อทางด้านนี้แทน จึงมีคนเสียประโยชน์มาก แล้วตอนนี้ไปสร้างศูนย์ร้านค้าชุมชนก็มีคนเสียประโยชน์ เพราะว่าต้องให้เขาออกจากพื้นที่ไป แต่ว่าทำอะไรถ้าหากเป็นประโยชน์สำหรับส่วนรวม อาตมาไม่ค่อยได้ใส่ใจหรอก ถ้าหากว่าไม่ได้ทำผิดศีลผิดธรรมก็ทำไปเลย
คราวนี้การขอใช้พื้นที่ เราก็ขอใช้อย่างถูกต้อง ในการที่ให้เขาย้ายออกก็เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นคนบอกให้ย้าย...ไม่ใช่เรา คุณจะมาอ้างว่าทำไอ้โน่นไม่ทัน ทำไอ้นี่ไม่ทัน นั่นไม่ใช่เรื่อง ผู้บังคับบัญชาสั่ง ถ้าไม่ทำตามคุณก็ซวยเอง เมื่อเป็นอย่างนั้น อาตมาก็จะได้ทดสอบด้วยว่าเหนียวจริงหรือเปล่า ? สมัยหนุ่ม ๆ ไปลุยกับลูกปืนที่ทางวัดท่าซุงมา สมัยตอนแก่นี่จะมีคนเอาลูกปืนมาถวาย เพราะเขาทำไสยศาสตร์แล้วไม่สำเร็จ เขาก็เอาทุกท่าเหมือนกันนะ ต้องบอกว่า ถ้าจะเล่นงานพระอาจารย์เล็กสำเร็จมีอยู่อย่างเดียว คือต้องมือเปล่า ๆ เข้ามา"
ถาม : เจ้าหน้าที่ข้างล่างบอกว่า คนที่มาทำบุญ ให้เข้าได้แค่ครั้งเดียว ถ้าพรุ่งนี้ว่าง ไม่เต็ม ๒๕ คน เราสามารถมาใหม่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็น่าจะได้
ถาม : กรรมการเขาเข้มงวด เขาบอกว่าเข้ามาทำบุญได้แค่ครั้งเดียว ถ้าใครมาซ้ำไม่ได้ ?
ตอบ : ควรจะเป็นเช่นนั้น
ถาม : ถ้าหนูคิดต่าง เขาเอาไปคุยหรือประชุมได้ไหมว่า ถ้าว่างก็ให้เข้ามาได้ ?
ตอบ : ว่างก็ไม่ให้เข้า เพราะว่าหลวงพ่อขี้เกียจรับ..!
ถาม : แต่เมื่อครู่หลวงพ่อบอกว่าว่างก็มาได้ ?
ตอบ : มาได้ ยืนรอหน้าบ้าน มาแค่หน้าบ้านเห็นหลังคา ทำไมจะไม่ได้ ?
ตั้งใจจะปิดบ้านนี้อยู่แล้ว ใครทำให้เงื่อนไขสำเร็จนี่จะชอบใจมากเลย เพราะฉะนั้น..อนุญาตให้รั้นได้ทุกรูปแบบ เพราะรู้สึกว่าชราแล้ว ก็เลยไม่อยากเดินทางไกล ๆ มานั่งทั้งวัน ต้องหาเรื่องปิดบ้านให้ได้ ใครจะรั้น ใครจะฝ่าฝืนระเบียบ ใครจะทำอะไรเชิญเลย ถ้ากติกาพอ ก็ปิดบ้านไปเลย..!
ใครที่จองมาแล้วไม่ตรงรอบตัวเอง ถ้าหากว่ารอบที่มาถึงยังไม่เต็ม สามารถเข้ามาได้โดยใช้สติ๊กเกอร์สีเดียวกับเจ้าของรอบเขา
แต่ถ้ามาแล้วเหลือนาทีสองนาที แล้วขึ้นมาถวายไม่ทัน ก็ต้องยอมรับว่าเราผิดพลาดเอง ใครมาแล้วมัวแต่เข้าห้องน้ำอยู่ ใครมาแล้วมัวแต่คุยกับเพื่อนจนเวลาไม่พอ อันนั้นเป็นปัญหาของคุณเอง ของที่นี่ก็คือ ถ้าหมดเวลาก็เป็นอันว่าต้องกลับเท่านั้น
โยมถวายทองคำ "ทองคำที่ถวายมานี่ไม่ใช่ทองคำแท้นะจ๊ะ เป็นลักษณะของทองคำที่เคลือบอยู่บนกระดาษ ก็แปลว่าเป็นทองคำเปลวนั่นแหละ เพราะว่าช่วงที่หล่อพระคราวที่แล้ว ช่างเขาตัดออกมาให้ดูเลย ด้านในเป็นกระดาษแข็งขึ้นรูปเป็นก้อนทองคำ ด้านนอกมีแปะไว้นิดเดียว แล้วที่แปะเอาไว้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นทองคำแท้หรือว่าเป็นกระดาษสีทองเฉย ๆ"
ถาม : เขาบอกหนูว่า ๙๙.๙๙ นะคะ ?
ตอบ : ๙๙.๙๙ % ตามที่เขาบอกนั่นแหละ อาตมาโดนมาแล้ว ถ้าไม่โดนกับตัวเองก็ไม่รู้ว่ามีของปลอมเยอะขนาดนั้น มีหลายรายถวายกำไลทองคำมาเป็นสิบ ๆ วง ปรากฏว่าเป็นสเตนเลสชุบทอง หลอมไม่ละลาย สเตนเลสต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่านั้น แล้วหลายรายที่ส่งมาก็เป็นลักษณะที่เขาเรียกว่าทองจังโก หรือทองลำอู่ เป็นสีทองเฉย ๆ แต่เป็นโลหะอื่น ซึ่งโยมก็ไม่รู้ เพราะว่าถ้าไม่ได้ทดสอบหรือไม่ได้เป็นผู้ชำนาญ ก็จะไม่รู้ว่าไม่ใช่ทองคำ อาตมารับเอาไว้เยอะมากเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติเขาจะมีบอกว่าราศีไหนที่กำลังจะรวยใช่ไหม ? ก็บอกว่าราศีที่กำลังจะรวยคือราศีที่ลบ Application Shopee กับ Lazada ทิ้งเสีย ไม่ต้องไปเสียสตางค์ให้เขาก็จะรวยเอง..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เชื้อโควิด ๑๙ มีคุณูปการอย่างยิ่ง ทำให้พวกเราบารมีเข้มแข็งขึ้น เพราะถึงเวลาต้องรีบถวายทาน ต้องรีบถอยออก ไม่มีเวลามาอ้อยอิ่ง ยืดยาด เชื่องช้าเหมือนก่อนนี้ ใครที่ทำใจไม่ได้ก็ต้องไปหัดทำใจให้ได้..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในสายตาของโยม ข้าวของที่ถวายเป็นของมีราคา หาได้ยาก ตั้งใจเอามาถวาย ถือว่าเป็นทานอันประณีต ในสายตาคนรับอย่างอาตมาเห็นเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟเหมือนกันหมด สรุปว่าไม่มีราคา ถ้าโยมถวายทองแท่ง ๕ บาท กับถวายขนมครก ๕ บาท อาตมาหยิบขนมครกก่อน เพราะว่ากินได้เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำอะไรช้าก็ได้ แต่มีเวลาให้แค่นั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าบารมีของเรามีแค่ไหน พวกเชื่องช้ายืดยาดอืดอาด ก็แปลว่ายังต้องเกิดอีกนาน ถึงเวลาตัดใจไม่ได้ ต้องรอคนโน้น ต้องคอยคนนี้"
โยมเอาผ้าขาวมาขอบังสุกุล "ผ้าขาวเก็บไปเลย...ทำให้ไม่ได้แล้ว จะรับผ้าอีท่าไหน ติดกระจกอยู่ตรงนี้ บอกแล้วว่าสร้างสมเด็จฯ พลิกชีวิตเมื่อไร ผ้าขาวจะไม่รับอีกแล้ว"
ถาม : คาถาเงินล้าน ภาวนาไปแล้วการเงินก็คล่องตัวครับ ?
ตอบ : ทำให้สม่ำเสมอ ถ้าทำไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวก็มา ๆ หาย ๆ
ถาม : ที่บ้านมีปัญหาเรื่องมดเรื่องแมลงเยอะครับ ?
ตอบ : ฉีดยากันไว้สิ ที่วัดนี่ยิ่งกว่าเยอะ แต่พอถึงเวลาฉีดยากันไว้ก็ไม่เข้ามา อาตมาฉีดยาใส่ข้างฝาใส่อะไรก็ได้ พอได้กลิ่นเขาก็ไม่ออกมา พอตัวเขาไม่ออกมาเราก็ฉีดใส่พื้นได้
ถาม : หนูมีอาการลำไส้บีบตัวดีมาก ถ่ายบ่อย หนูควรจะกินยาสมุนไพรอะไรคะ ?
ตอบ : ถ่ายบ่อยเป็นเรื่องดี อาหารจะได้ไม่ตกค้างให้ลำบากทีหลัง แล้วจะไปกินยาทำไม ? ถ้าอยากจะกินให้หยุดถ่าย ก็หาของฝาดกินเข้าไป พวกกล้วยดิบ ๆ ก็ได้
ถาม : เพื่อนหนูเป็นโรคซึมเศร้าและทำร้ายตัวเอง จะมีวิธีช่วยเขาอย่างไรไหมคะ ?
ตอบ : ช่วยหาอาวุธให้เขา...! เป็นโรคซึมเศร้าแสดงว่าเขาคิดสงสารตัวเขาเอง ถ้าเป็นไปได้ก็สอนให้เขาหัดภาวนา ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวแล้วจะไม่เป็นอีก เพราะว่าถ้าอารมณ์ใจทรงตัว แม้แต่ รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราจะมีปัญญาเคี่ยวเข็ญให้เขาภาวนาได้ไหม ?
พูดถึงเครื่องเสียง "ปรับให้พอใจแล้วก็ไม่ต้องไปขยับ พวกเราส่วนใหญ่มือคัน แก้ไปเรื่อย แบบเดียวกับพวกเครื่องเสียงที่วัด คนใช้เป็นก็ปรับไปเรื่อย ปรับจนบางวันต้องด่าให้หยุด บอกเขาว่าปรับเข้าที่แล้วให้ล็อกเอาไว้ ถึงเวลาคนอื่นมาเปิดสวิตช์ตัวเดียวให้ใช้งานได้เลย ก็ไม่ค่อยจะฟังกัน ลืมคิดไปว่าตัวเองทำเป็น ไม่ใช่คนอื่นจะทำเป็น เขาเรียกว่าขาดวิสัยความเป็นครู ไม่ได้คิดเผื่อว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้ จึงเอาความสามารถตนเองเป็นบรรทัดฐาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ทาง ส.ส.พรรคภูมิใจไทย คือ นายวิรัช พันธุมะผล เสนอร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เกี่ยวกับการอุปสมบท โดยระบุแต่ละมาตราว่า ผู้ที่จะเข้าอุปสมบทจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะต้องศึกษานวโกวาทหรือนักธรรมชั้นตรีให้แตกฉาน มั่นใจก่อนแล้วค่อยให้บวช ซึ่งตรงนี้อาตมาเห็นว่าเหลวไหลมาก..! เป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติแต่ว่าไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
การอุปสมบทหรือบวชพระในภาษาชาวบ้าน พระพุทธเจ้าท่านกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ชัดเจนมากแล้ว เมื่อมีการอบรมพระอุปัชฌาย์ ก็มีกฎมหาเถรสมาคมระบุไว้ชัดเจนว่า กุลบุตรที่จะอุปสมบทได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ผู้ที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร กำหนดอย่างชัดเจนแล้ว ยกเว้นพวกหูหนวกตาบอดที่ไม่ได้ศึกษา ถึงไม่ได้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ดันไปเสนอเป็นพระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นภาษิตจีนเขาบอกว่า ถอดกางเกงผายลม คือไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลย"
"เหมือนกับว่าหวังดีปรารถนาดีต่อศาสนาพุทธ แต่จริง ๆ แล้วก็คือเป็นการก้าวล่วงในส่วนของพุทธอาณาจักร ส่วนของราชอาณาจักรก็คือส่วนของฆราวาส ส่วนพุทธอาณาจักรก็เป็นส่วนของพระ มีระเบียบแบบแผนประเพณีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว ฆราวาสที่ศีล ๕ ไม่ครบ แต่มากำหนดกฎเกณฑ์ว่าบุคคลที่จะเป็นพระต้องเป็นอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ก็เหลวไหลชัด ๆ..!
ในเรื่องของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ถ้าเสนอไปก็ต้องบอกว่า ถ้าทางสภาผู้แทนราษฎรร่วมกันพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย อาตมาก็คงจะสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติในสภาของเราไม่ได้ศึกษาอะไรเลย แต่ถ้าไม่เห็นชอบด้วย ก็พอที่จะชื่นใจได้ว่า บ้านเราเมืองเรายังพอที่จะมีคนรู้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับพระ เกี่ยวกับเณรอยู่บ้าง
ต้องบอกว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีมาเป็นระยะ ๆ เพราะความที่ไม่เข้าใจว่าสมมติกับวิมุตติต่างกันอย่างไร ก็พยายามจะเอาสมมติมาบีบมาคั้นในส่วนของพระที่พยายามจะเข้าถึงวิมุตติ ต้องบอกว่ามารเขาเก่ง ที่ทำของง่ายให้เป็นของยาก ทำให้คนเบื่อ ไม่อยากจะบวชกัน แล้วบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็กลายเป็นมารเสนา คือบริวารของมารไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน"
ถาม : ก่อนนอนก็อาราธนารอบบ้าน แล้วก็สะดุ้งตื่นตอนตีหนึ่งตีสอง และมีเสียงนกร้องดังมาก ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วเปิดตำราสวดบท ยันทุน นิมิตตังฯ ๓ จบก่อนนอน ทุกอย่างจะดีเอง
ถาม : แต่เราไม่ได้ร้ายกับใครนะคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไร ขอบารมีพระสงเคราะห์ สวดมนต์ ๓ จบ
ยันทุน นิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ
อีก ๒ บทก็ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ บทไม่ได้ยาว สวดสัก ๓ จบแล้วก็นอน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมห่วงใยว่าพระอาจารย์เล็กจะไม่มีวัตถุมงคลใช้ ถึงเวลาก็ขนมาให้ บางบ้านก็ฉวยโอกาสทิ้งขยะ คือมีอะไรที่ตัวเองไม่เอาแล้วก็โละมาถวายพระ ..!
ถามว่ามีอานิสงส์ไหม ? ก็มีอยู่ เพราะว่าเรื่องของทานนั้นมีตั้งแต่สามีทาน ให้ของที่ดีกว่าที่ตนเองกินตนเองใช้ สหายทาน บาลีเขาว่า สขา ก็คือสหายในภาษาของเรา ให้เท่ากับที่ตนเองกิน ตนเองใช้ แล้วก็ทาสทาน ให้ในสิ่งที่ดีน้อยกว่าตนเองกิน ตนเองใช้ หรือว่าเหลือจากที่ตนเองกินหรือใช้แล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นจะมากจะน้อยอานิสงส์ก็มี ดีไม่ดีก็เป็นอย่างอานันทเศรษฐี หรืออาฬวีเศรษฐี เป็นคนรวยแต่ใส่ผ้าใหม่ไม่ได้ พอถึงเวลาต้องทำให้เก่า ทำให้ขาดก่อน ถึงจะนุ่งได้ อานิสงส์ของทานทำให้รวย แต่ว่าให้ในสิ่งที่ตัวเองกินแล้วใช้แล้ว กลายเป็นถึงเวลาก็ต้องได้แต่ของเก่า ๆ เพราะฉะนั้น..คนไหนที่ได้ภรรยาเก่า ๆ ตกทอดจากคนอื่น ก็อาจจะเคยให้ของที่ตนเองกินตนเองใช้แล้วค่อยให้คนอื่น ใช่หรือเปล่า ?...(หัวเราะ).. ไม่เป็นไรหรอก...ถึงตกทอดจากคนอื่นมา ถ้าเป็นคนดีก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา ถ้าเป็นภรรยามือหนึ่ง แต่มาเป็นแม่เสืออยู่ในบ้าน ก็เป็นโชคร้ายของเรา..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตกลงว่าจะให้พระที่วัดท่านสึกเช้านี้เพื่อเอาไปรักษาตัวที่ขอนแก่น ท่านคิดมากแล้วหยุดคิดไม่เป็นจนเพี้ยนไปเลย เสียดายนะ..คือเรื่องของคนที่ตัดใจไม่ได้ก็ตัดใจไม่ได้จริง ๆ ส่วนคนที่ตัดใจได้ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาลำบากแค่ไหนในการตัดใจ ...(หัวเราะ)...”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องบอกว่าเป็นความเคยชินใหม่ที่ราชบัณฑิตยสภากำหนดให้ใช้คำว่า “ปทัฏฐาน” จริง ๆ ก็คือบรรทัดฐานนั่นแหละ แต่ว่าปทัฏฐานเป็นบาลี บรรทัดฐานเป็นสันสกฤต บ้านเราเป็นอะไรที่ลักลั่นมาก ใช้บาลีเป็นหลัก แต่ตัวหนังสือเขียนเป็นสันสกฤตเกือบหมด”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ทารุณมากเลย ไม่ได้เจอหน้ากันสี่เดือนแต่ให้เวลาแค่นิดเดียว..ใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)... ถือว่าเป็นหลักสูตรเร่งรัดในการสร้างบารมี ทำให้พวกเราเข้มแข็งขึ้น ทำอะไรว่องไวขึ้น จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรามีเวลาน้อยมากที่จะไปถึงพระนิพพานให้ได้ ทุกวินาทีจึงมีค่า”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นก่อนหน้านี้มีคนใช้ยูสเซอร์เนม ลูกผู้ชายต้องไว้พุง จนป่านนี้อาตมายังไม่ใช่ลูกผู้ชายเลย ...(หัวเราะ)...”
พระอาจารย์กล่าวว่า “หัดทำอะไรเร็วขึ้น บารมีจะได้เข้มข้นขึ้น อย่าทำตัวเป็นคนมีเวลามาก เพราะถ้ามีเวลามากแปลว่าต้องเกิดอีกนาน เกิดนานก็ทุกข์มาก ถ้าพลาดไปเกิดข้างล่างก็ยุ่งเลย..!”
ถาม : ที่คณะจะมีการเลือกคณบดีใหม่ ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าท่านจะเอาเราไหม ต้องให้ท่านเห็นฝีมืองานของเราก่อน อย่างน้อย ๆ ต้องเคยร่วมงานกันมาระยะหนึ่ง ถ้าไม่เคยเห็นฝีมือของเราเลยแล้วไปอาสา ใครเขาจะเอาเล่า ? เก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าเขาไม่เคยเห็นฝีมือเรามาก่อน ก็คงได้แต่นั่งมองหน้ากันนั่นแหละ ...(หัวเราะ)...
เรื่องของการทำงานยิ่งระดับสูงเท่าไร การให้โอกาสในการทำโอกาสผิดพลาดจะมีน้อยมาก เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาไม่เชื่อใจไม่เห็นฝีมือเรา โอกาสที่เราจะได้รับเลือกก็น้อย เอาอย่างนี้สิ..ถือศีลแปดสัก ๗ วัน โดยบนพระวิสุทธิเทพท่าน บอกว่าของานนี้ พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เพียงแต่ว่าให้รักษาศีลแปด ๗ วัน แต่ว่าต้องได้ก่อนแล้วค่อยไปรักษานะ ไม่ใช่ไปชิงรักษาศีลแปดก่อน ๗ วัน ถ้าไม่ได้นี่ขาดทุนเลยนะ ...(หัวเราะ)...
ถาม : ตอนนี้คุณภาพการศึกษาด้อยลง ๆ อยากจะช่วยให้ดีขึ้น ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะว่างานเอกสารเยอะจนเตรียมการสอนได้ยาก หลวงพ่อเจอมาเองซาบซึ้งมาก..! ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากสอนให้ดี แต่อย่างหลวงพ่อวันหนึ่งเจอไป ๖-๘ ชั่วโมง แล้วเราจะเตรียมการสอนอย่างไรให้ดีได้ เพราะว่าเอกสารเพียบเลย ถ้าเป็นไปได้ช่วยเสนอให้หน่อยว่า เรื่องงานเอกสารให้หาเจ้าหน้าที่เพิ่มมาสักคนหนึ่ง ถึงเวลาเราส่งข้อมูลแล้วให้เขาเป็นคนทำ ให้คนนี้ทำเอกสารอย่างเดียวไปเลย
ถาม : ปกติเขาจะมี ...(ไม่ชัด)... ของคณะอยู่แล้วนี่ครับ ?
ตอบ : แต่คราวนี้ไม่ใช่ เพราะว่าอย่างของอาจารย์สอนหนังสือนี่ของใครของมัน เริ่มตั้งแต่ มคอ.๒ มคอ.๓ มคอ.๕ มคอ.๗ SAR สารพัด... ซึ่งหลายอย่างต้องทำเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้
ถาม : ขอความเมตตาหลวงพ่อดูพระให้หน่อยครับ ?
ตอบ : อย่าดูเลย เพราะว่าถ้าเราขาดความมั่นใจ ไปดูแล้วเดี๋ยวจะหมดศรัทธาเสียอีก พระของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านให้พรเอาไว้ว่า จะเก่า จะใหม่ จะจริง จะปลอม ถ้านึกถึงท่าน ก็มีอานุภาพเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น..อย่าริไปดู ดูเมื่อไรถึงเวลาก็ใจฝ่อ แทนที่จะยึดท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึกได้ ก็กลายเป็นหมดใจไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า “พยายามสร้างความเคยชินใหม่ ทำอะไรให้เร็วขึ้น ถวายทานด้วยการวางอุเบกขา ยึดติดให้น้อยลง ไม่ใช่ต้องถวายกับมือหลวงพ่อถึงจะได้บุญ ไม่ใช่หลวงพ่อต้องฉันหรือใช้ให้เห็นถึงจะได้บุญ ถ้าคิดอย่างนั้นชาตินี้ยังห่างไกลความดีมาก กำลังใจของการอุเบกขาในการให้ทานคือ เราได้ทำ ทำแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้ได้ทำก็พอ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาทหารส่งข่าว ๐ เขาจะไม่อ่านว่าศูนย์ เขาจะอ่านว่าโบ๋ ๒ เขาจะไม่อ่านว่าสอง เขาจะอ่านว่าโท ไม่อย่างนั้นแล้วเสียงจะซ้ำกัน สอง สาม ศูนย์...ใกล้เคียงกัน เดี๋ยวจะเพี้ยน
ของทหารนี่ถ้าวัน ว. เวลา น. พลาด ดีไม่ดีจะฆ่ากันเอง อย่างเช่นกำหนดไว้ว่า ให้ถอนกำลังเวลา ๐๒.๐๐ น. ถ้าเกิดว่าฟังผิด ตีสองแล้วยังไม่ถอนกำลัง เพราะได้ยินว่าตีสาม ถึงเวลาปืนใหญ่ถล่มลงไปก็เละเอง ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็การรบที่บ้านร่มเกล้า”
ถาม : เม็ดเงินนอกซื้อที่ไหนครับ ?
ตอบ : ซื้อต่างประเทศ..! ร้านไหนเขาก็ขาย เพียงแต่บอกเขาว่าเม็ดเงินนอก เพราะว่าถ้าเม็ดเงินไทยส่วนใหญ่จะทำไม่ได้มาตรฐาน ขืนเอาไปหล่อเดี๋ยวพระก็ด่างลายไปทั้งองค์ เม็ดเงินไทยจะเม็ดใหญ่ ค่อนข้างขรุขระ และออกสีดำ
พระอาจารย์กล่าวว่า “ต้องขอบคุณเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ที่ช่วยเร่งรัดบารมีพวกเราให้ทำอะไรเร็วขึ้น มีญาติโยมหลายรายเวลาใส่บาตรจะนั่งอธิษฐานนานมาก แถวบิณฑบาตวัดท่าขนุนก็ประมาณ ๒๑-๒๒ รูป อาตมาเดินเลยไปโน่น กว่าเขาจะได้ใส่ก็รูปท้าย ๆ เลย คือรออยู่ประมาณ ๑ นาทีแล้วก็ยังอธิษฐานไม่เสร็จ ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ไปก่อน..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “จะไปนั่งแปะติดที่เหมือนเดิมไม่ได้แล้วนะ เรียกว่าเป็นการเร่งรัดบารมีให้เราเข้มแข็งขึ้น ยึดเกาะในส่วนของพระรัตนตรัยที่เป็นคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ใช่ยึดเกาะตัวบุคคล ไม่ใช่ว่าไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อ ๔ เดือนจะขาดใจตาย ถ้าอย่างนั้นคือการยึดตัวบุคคล
ถ้าหากว่าเรายึดเกาะคุณพระรัตนตรัย เห็นคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจระลึกถึงอยู่เสมอ ท่านบอกท่านสอนอะไร เราก็ทำอย่างนั้น แบบนั้นถึงจะใช้ได้”
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีญาติโยมถามว่า ถวายเงินให้เจ้าอาวาสขุดบ่อบาดาลที่วัดหนึ่ง แล้วย้ายไปอยู่วัดอื่น ไปขุดที่วัดนั้นแทน มีโทษย้ายเจดีย์หรือเปล่า ? อันนี้ถ้าไม่ได้ระบุว่าขุดบ่อบาดาลที่วัดไหนก็ไม่มีโทษ แต่ถ้าระบุว่าให้ขุดเฉพาะที่วัดนั้น ก็มีโทษทำให้ศรัทธาเสื่อม ซึ่งทางพระเขาปรับอาบัติทุกกฎ แต่ว่าไม่มีโทษย้ายเจดีย์ เพราะว่าเขายังคงขุดบ่อบาดาลให้ตามเจตนาเดิมของท่านเจ้าภาพ”
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่ง “อธิษฐานนานไม่ดี เอาสั้น ๆ การอธิษฐานเป็นการตั้งใจ ตั้งใจว่าเราทำบุญแล้วเราปรารถนาอะไรก็จบแล้ว อย่าอธิษฐานเผื่อมาก ถ้าเผื่อมากแปลว่ากำลังใจยังน้อย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “จำไว้ว่าให้คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในลักษณะอนุสติ คิดถึงความดีของท่าน ไม่ใช่ไปยึดตัวท่าน ถ้าไปยึดตัวท่านถึงเวลาไม่มีให้ยึดนี่ตายแน่..!
เรื่องของบุญเรื่องของทานก็เหมือนกัน ขอให้ได้ถวายเท่านั้น ขอให้ได้ทำเท่านั้น ส่วนทำแล้วถวายแล้วเขาจะไปทำอะไรก็เรื่องของเขา จะได้ถวายกับมือหรือไม่ได้ถวายกับมือก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเจตนาของเราก็ได้บุญแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องยกประเคน ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อต้องใช้ต้องฉันให้เห็นถึงจะได้บุญ ถ้ากำลังใจห่วยแตกแบบนั้นก็ต้องเกิดอีกนาน..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนมีคนส่งรูปในห้องเรียนมาให้ดู ก็คือเด็กเปิดเทอมแล้วก็มีการนั่งเว้นระยะกันอย่างดีเลย ตอนกลับบ้านกลับไปแออัดยัดเยียดอยู่บนสองแถวคันเดียว สรุปว่าแล้วจะเว้นระยะไปทำอะไร ? ...(หัวเราะ)...”
พระอาจารย์กล่าวว่า “สรุปว่าคณะของท่านชรัสที่บอกว่าจะไปถวายผ้าป่าวัดที่ยากจน ๙ วัด แล้วก็ดันเลี้ยวไปถวายวัดท่าขนุนวัดหนึ่ง แล้ววัดท่าขนุนนี่ยากจนมากเลยใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)... ก็เจตนาแต่แรกเขาบอกว่าจะถวายวัดที่ยากจน อาตมาอุตส่าห์หาให้เขาแล้ว ปรากฏว่าดันเอาวัดท่าขนุนเป็นวัดยากจน ดูถูกกันชัด ๆ..! ถ้าวัดท่าขนุนจนนี่วัดอื่นก็ไม่มีรวยหรอก..! ต้องบอกว่าถ้าช่วยคนอื่นได้นี่แปลว่ารวย วัดท่าขนุนรับช่วยเขาทั่วประเทศแล้วจะจนได้อย่างไร ?
สงสัยว่าพระเวรสังฆทานจะเป็นคนแนะนำ อาตมาอุตส่าห์ให้เขาเข้าไปที่เขตตำบลชะแลด้านเดียว นี่ดันจะถวายวัดธุดงค์สมเด็จกับวัดวังปะโท่ ทั้งสองแห่งไปคนละทิศคนละทาง เดินทางอย่างเดียวก็ปางตายแล้ว จากวัดท่าขนุนไปวัดวังปะโท่ ๒๒ กม. ไปกลับ ๔๔ กม. จากวัดท่าขนุนไปวัดธุดงค์สมเด็จ ๕๐ กม. ไปกลับก็เป็นร้อย กว่าจะถวายครบ ๙ วัดมีหวังตายแน่..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำ จะหล่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นี้ แล้วถ้าหากว่าช่างปั้นต้นแบบพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องได้ทัน ก็จะหล่อประมาณวันมาฆบูชาปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือว่าต้นเดือนมีนาคม เพราะว่าปีหน้ามีเดือนแปดสองหน แล้วก็จะไปหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินช่วงลอยกระทงของปี ๒๕๖๔”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อะไรที่ไม่เคยชินถ้าทำสัก ๓-๔ ครั้ง เดี๋ยวก็จะชินไปเอง แรก ๆ ก็จะรู้สึกแปลก ๆ เดี๋ยวต่อไปจะดีใจที่เราได้ทำอะไรเร็ว ๆ เพราะว่าจะมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นอีกมาก”
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า “ต้องขออภัย...อยู่ที่นี่อาตมาไม่ค่อยเห็นแก่หน้าค่าชื่อใคร ใครยิ่งสนิทสนมยิ่งโดนหนัก ถ้าหากว่าสนิทกับอาตมาจะต้องรู้ดีว่าอาตมาไม่ยอมให้เสียระเบียบ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอ้างชื่ออาตมาแล้วจะทำให้เสียระเบียบ ก็เหวี่ยงออกจากบ้านไปเลย..!
อาตมาถือว่าถ้าเป็นคนคุ้นเคย เราต้องเข้มงวดกว่าคนอื่น ถ้าเอาญาติพี่น้องคนคุ้นเคยของตัวเองอยู่ คนอื่นก็เอาอยู่หมด เพราะว่าส่วนใหญ่ที่ทำให้เสียระเบียบมักจะเป็นคนคุ้นเคย ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้มีความประพฤติที่ค่อนข้างจะแย่ เพราะว่ามักจะไม่เห็นพระเป็นพระ แต่จะเห็นพระเป็นญาติพี่น้องของตัวเอง ซึ่งของอาตมาไม่ใช่ ตั้งแต่พรรษาแรกมาจนป่านนี้ ถ้าเป็นญาติพี่น้องนี่จะโดนหนักกว่าเพื่อน..!
ซึ่งโดยนิสัยของอาตมาถ้าใครมาทำผิดระเบียบก็มี ๒ วิธีที่จะจัดการ วิธีแรกคือปิดบ้านเติมบุญเลิกรับสังฆทานไปเลย เพราะว่าอาตมาเองอยู่ได้ วิธีที่สองก็คือขึ้นบัญชีดำ ห้ามคนนั้นมาอีก ใครอยากจะเป็นบุคคลในตำนานสามารถแจ้งตรงนี้ได้..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรของเรา ช่วงที่ผ่านมาได้ใช้งานเยอะมาก เพราะว่าพระที่เรียนบาลีของวัดท่าขนุนรูปหนึ่ง ท่านเรียนบาลีแล้วเครียดจนเส้นเลือดในสมองตีบ เสียค่ารักษาไป ๘๗,๐๐๐ บาท..!
ปกติถ้าเข้าโรงพยาบาลเอกชน อาตมาจะไม่จ่ายให้ แต่เนื่องจากว่าท่านอาการหนักมาก แล้วเอกชนมักจะมีเครื่องไม้เครื่องมือดีกว่า ก็เลยยอมจ่ายเพื่อให้ท่านรอด ไม่อย่างนั้นถ้าท่านแย่งกันเข้าโรงพยาบาลเอกชน อาตมาก็คงต้องตั้งทุนรักษาพยาบาลใหม่เพราะว่าของเก่าหมดเกลี้ยง..! ...(หัวเราะ)...”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมบางท่านไม่ได้นั่งเจริญกรรมฐานกันใกล้ ๆ รู้สึกว่ากำลังใจไม่ดี รักษากำลังใจไม่ได้ เจอเหตุการณ์แบบนี้ก็จะได้ตั้งหลัก ยืนหยัดด้วยตัวเองเสียที จะส่งกำลังใจไปให้ ถ้ากลัวว่าไม่ได้อยู่ใกล้ ก็ซื้อหาจอโทรทัศน์สัก ๓๒ นิ้ว แล้วก็เปิดนั่งใกล้ ๆ ไว้ ถ้าหากว่าไม่มั่นใจก็เอาโฮมเธียเตอร์ไปเลย..! จอยักษ์ต่อเนื่องกัน ๑๒ จอ เปิดให้หน้าพระอาจารย์ใหญ่เต็มจอก็จบแล้ว ได้อยู่ใกล้กว่าปกติด้วย แต่ถ้าจะลงทุนขนาดนั้นก็น่าจะแพงมากเลยนะ..!”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของพระพุทธศาสนา โอกาสที่จะเป็นเหมือนเดิมนั้นยากมาก เพราะหลายสาเหตุด้วยกัน มีทั้งปลอมบวชเข้ามาเพื่อตั้งใจทำลายศาสนาพุทธ มีทั้งผู้ที่บวชเข้ามาขาดคุณภาพ เพราะว่าเป็นบุคคลที่เหลือเลือก สังคมข้างนอกเขาไม่ยอมรับ ก็เลยอาศัยบวช แล้วก็ยังคงมีนิสัยสันดานเหมือนเดิม ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธา
อีกประเภทหนึ่งก็คือ บุคคลที่บวชถูกต้องหมดทุกอย่าง แต่ทนสู้กิเลสไม่ได้ รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมหัว ก็กลายเป็นผู้ทำลายศาสนาเองโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น..บุคคลคุณภาพที่จะบวชเข้ามาเพื่อยังพระศาสนาของเราให้มั่นคงนั้นมีน้อยลงไปทุกที บรรดาท่านทั้งหลายที่เอาแต่ตำหนิพระพุทธศาสนา ก็ไม่คิดที่จะบวชเข้ามาช่วยกัน มีแต่ด่าอย่างเดียว โอกาสที่พระพุทธศาสนาจะตั้งมั่นได้มั่นคงก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่เจริญขึ้นเลย”
“ปัจจุบันนี้มี สส.ยื่นร่างกฎหมายใหม่ จะให้บุคคลที่บวชพระต้องศึกษานักธรรมชั้นตรีและนวโกวาทให้คล่องตัวก่อนแล้วค่อยบวช ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปหาใครบวชหรอก เพราะว่าพระที่บวชยังต้องใช้เวลาทั้งพรรษาในการศึกษา
แล้วอีกอย่างหนึ่ง เรื่องกฎเกณฑ์ในการบวชนั้น มหาเถรสมาคมก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า พระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร สัทธิวิหาริกคือผู้ที่จะเข้ามาบวชเป็นพระ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้ศึกษาแล้ว ยังคิดว่าตัวเองฉลาด พยายามที่จะช่วยเหลือพระพุทธศาสนาด้วยการออกกฎหมายมาบังคับ กลายเป็นโง่แล้วขยัน..!
ในเรื่องของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ด้วยพระธรรมวินัยไม่ได้อยู่ด้วยกฎหมาย กฎหมายบ้านเมืองเราเคารพและปฏิบัติตาม แต่ว่าสิ่งที่ใช้ตัดสินความเป็นพระหรือไม่ใช่พระนั้น มีพระธรรมวินัยอยู่พร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมา ระวังจะเกิดโทษหนักกับตัวเอง ก็คือไปบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ ไปเพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม เรียกว่าตายแล้วจะรู้ว่าโทษนี้เป็นอย่างไร แต่ก็มักจะเสียใจไม่ทันแล้ว”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ต้องบอกว่าเชื้อโรคเป็นเหตุ ก็เลยห่างกันไปเรื่อย ๆ แต่ได้พิสูจน์กำลังใจของเราว่าใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ ให้คิดในแง่ร้ายเอาไว้ก่อนว่ายังใช้ไม่ได้”
พระอาจารย์กล่าวว่า “แรก ๆ ก็ไม่ชินหรอก พอนาน ๆ ไปเดี๋ยวก็ชินไปเอง อะไรที่เป็นของแปลก ที่เป็นของใหม่ มีความดีอยู่อย่างก็คือเราต้องระมัดระวัง จะได้ทำไม่ผิดพลาด เป็นการสร้างสติเพิ่มเติมให้กับเรา ขณะเดียวกันก็ต้องควบคุม กาย วาจา ใจ ของเราให้สงบ ไม่หงุดหงิด ไม่รู้สึกโกรธ เท่ากับต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองให้สร้างบารมีเพิ่มขึ้น”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ทุกคนยังต้องระวังตัว เพราะว่าเชื้อโรคจะยังอยู่กับเราอีกนาน ช่วงระยะเวลาประมาณ ๖-๗ เดือนที่ผ่านมา เชื้อโรคปรับตัวเองเปลี่ยนตัวเองไป ๖ รอบแล้ว เชื้อในปัจจุบันเป็นคนละตัวกับเชื้อครั้งแรกแล้ว แปลว่าใครทำวัคซีนอยู่นี่ไล่ไม่ทันหรอก เพราะฉะนั้น..ใส่หน้ากากก็ปิดปากปิดจมูกให้ดี เพราะว่าเชื้อโรคเข้าทางปากและจมูก ไม่ใช่ว่าปิดปากอย่างเดียว หรือว่าเอาไปรัดใต้คางไว้
บ้านเราต้องถือว่าโชคดีที่รัฐบาลดำเนินนโยบายได้ถูก เพราะว่าเอาหมอนำหน้า หมอย่อมรู้จักกับโรคดีที่สุด แล้วการคงพระราชกำหนดฉุกเฉินเอาไว้ก็มีบางคนไปค่อนแคะว่า หวงอำนาจ กลัวชาวบ้านเดินขบวนประท้วง ความจริงแล้วพระราชกำหนดฉุกเฉินไม่ใช่จะประกาศกันง่าย ๆ สถานการณ์ต้องเลวร้ายจริง ๆ เท่านั้น คราวนี้ถ้าไม่คงเอาไว้ อยู่ ๆ เชื้อโรคระบาดหนักรอบสอง แล้วเราไปประกาศใหม่ก็จะลำบากกว่าเดิม เพิ่งจะยกเลิกแล้วประกาศใหม่ ก็จะโดนด่ามากกว่านี้อีก เพราะฉะนั้น..มีวิธีเดียวก็คือปล่อยให้อยู่ยาวไปเลย”
“คราวนี้พระราชกำหนดนี้มีความลำบากอยู่อย่างเดียวก็คือ ห้ามคนชุมนุมกันเกิน ๕๐ คน แล้วก็ห้ามอยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะที่นี่...อยู่ในเขตนนทบุรีที่เป็นเขตระบาดหนัก ถ้าพวกเราติดตามข่าวการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ตั้งแต่แรก จะเห็นว่าเซียนมวยที่เป็น Super spreader ไปแพร่เชื้ออย่างหนักเลย ก็ไปจากนนทบุรีนี่แหละ..!
จังหวัดนนทบุรีเป็นจังหวัดสุดท้ายที่ได้รับการปลดล็อกเพื่อให้คนเดินทางไปมาได้ ทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานท้องที่จึงต้องเข้มงวดกับบ้านเติมบุญ เพราะว่าคนจะมาเยอะ เขากลัวว่าถ้าระบาดขึ้นมาอีกครั้งเขาจะเดือดร้อนไปด้วย ใหม่ ๆ เราก็คงไม่เคยชินหรอก แต่ถ้าไปอีกสักพัก เราก็จะรู้สึกชินไปเอง”
ถาม : ระหว่างเป็นข้าราชการกับค้าขาย หนูควรทำงานอะไรดีคะ ?
ตอบ : เลือกเอาเอง จะหลับตาจิ้มเอาก็ได้..! เรื่องของงานยุคนี้ไม่ต้องเลือกแล้ว มีอะไรก็โดดใส่ไว้ก่อนเลย ถ้ามัวแต่ไปเลือกอยู่ว่าจะเอางานที่เราชอบ หรือเอางานที่ดีสำหรับเรา อาจจะไม่ได้ทำอะไรเลย..!
หลังจากพระภิกษุท่านทำสามีจิกรรม พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงเข้าพรรษาเราต้องไปทำสามีจิกรรม ซึ่งในอดีตก็คือการไปรายงานตัวต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ในปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นพระผู้ใหญ่และเจ้าคณะปกครองด้วย
ตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ จนถึงปัจจุบัน เป็นปีที่ ๕ แล้วที่วัดท่าขนุนบวชแบบอุกาสะฯ ซึ่งมีลักษณะของการยืน ๆ นั่ง ๆ แบบที่ญาติโยมเห็นพระท่านปฏิบัติเมื่อสักครู่ คือถ้าหากว่าโยมเข้าใจหรือว่าไม่เคยศึกษาแบบธรรมเนียมในพระไตรปิฎกมาก่อน ก็จะไม่ทราบว่าการยืนเป็นการแสดงความเคารพ มาสมัยนี้ของเราเปลี่ยนเป็นคุกเข่า เปลี่ยนเป็นกราบ
ถ้าเราอ่านจะเห็นว่า ถึงเวลาพรหมเทวดามาถวายสักการะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปยืนในส่วนที่ควรข้างหนึ่ง ก็คือยืนในที่เหมาะสม การยืนเป็นการแสดงความเคารพ ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่า การยืนดูแล้วแปลก ๆ ในสายตาพวกเรา เพราะว่าไม่เคยชินกัน
เพื่อนพระอุปัชฌาย์บางท่านก็บอกว่า ถึงเวลาก็ให้นาคยืนค้ำหัวพระ อาตมาบอกว่า “ผมให้เขายืนนอกวงพระ” ...(หัวเราะ)... เสร็จสรรพเรียบร้อยเหลือแต่ตอนญัตติค่อยให้เข้ามานั่งในวง ของท่านเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกก็ให้มายืนในท่ามกลางพระ แบบนั้นก็จบเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อะไรที่ไม่เคยชิน ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง แต่อะไรที่เคยชินแล้ว ถ้าหากว่าทำแล้วไม่ดีต่อกาลเทศะก็ต้องแก้ไข ส่วนใหญ่แล้วคนอื่นเขาจะไม่กล้าว่า ไม่กล้าบอก เขาเกรงใจ คือรักตัวเอง กลัวว่าเราจะไม่พอใจ แต่ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เราจะไม่มีวันแก้ไขตัวเองได้เลย แต่อาตมาเองในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์ ถ้าไม่บอก เกิดเราไปทำผิดที่อื่น แล้วบอกว่าเป็นลูกศิษย์สายวัดท่าขนุน อาตมาก็จะขายหน้าเขาด้วย เพราะฉะนั้น..ที่วัดท่าขนุนจะค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้
พระเณร ๓๐-๔๐ รูป ถ้าโยมไปถึงวัดแทบจะไม่เห็นอยู่ข้างนอกเลย หลายคนไปถามว่าพระวัดนี้มีเท่าไร ? พอบอกแล้วเขาตกใจ บอกว่าไม่เห็นพระเลย อาตมาบอกว่ามีหน้าที่สวดมนต์ภาวนาก็ทำไป ถึงเวลาหน้าที่ส่วนรวม ปัดกวาดทำความสะอาดวัดแล้วถึงจะมารวมกัน ถ้าใครฝืนระเบียบ มี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือไปหาที่อยู่ใหม่ อย่างที่สองก็สึกหาลาเพศกลับไปทำตามใจตนเองที่บ้าน..!
ถ้าท่านทั้งหลายถามว่าเป็นการเข้มงวดโหดร้ายไปหรือเปล่า ? ก็ต้องบอกว่า พระพุทธศาสนาของเราบอบช้ำมากแล้ว ก็เพราะการปล่อยปละละเลยของบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ และการไม่รู้เรื่องอะไรเลยของญาติโยมที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ดังนั้น..ถ้าหากว่าไม่รู้ ทำต่อไปผิดพลาดอีก ก็กลายเป็นข้อตำหนิแก่คนอื่นเขาต่อไปอีก”
มีโยมมาขอขมาพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “เคยรู้ไหมว่าขอขมาเขาต้องมีเครื่องมืออะไรบ้าง ? จะขอขมาก็ไปหาดอกไม้ธูปเทียนมา ไม่ใช่มาแต่มือเปล่า ไม่เคยเรียนรู้แบบธรรมเนียมก็ต้องเรียนรู้ ต่อไปจะได้ทำให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็จะผิดไปเรื่อย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่นี่ไม่เอาใจใคร แต่เอาธรรมเป็นหลัก เอาเรื่องของกฎระเบียบเป็นหลัก กฎระเบียบเป็นของหยาบ หลักธรรมเป็นของละเอียด ถ้าสามารถปฏิบัติของหยาบได้ จึงจะเข้าถึงของละเอียดได้”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ความจริงเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ มีคุณูปการอย่างยิ่ง เพราะว่าเท่ากับเป็นตะแกรงร่อนแร่ ถ้าเป็นแร่ที่ไม่มีราคา ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น ไม่มีความจริงจังที่จะปฏิบัติธรรม ก็จะโดนร่อนทิ้งไปเอง ถ้าใครอยากจะเป็นเพชร อยากจะเป็นพลอย ก็ต้องมีความอดทน อดกลั้น ต้องต่อสู้บากบั่น ไม่เช่นนั้นท่านก็เป็นแค่กรวดทรายที่โดนคัดทิ้ง พอถึงเวลาอย่างดีที่สุดก็แค่โดนคลื่นซัดไปติดฝั่งเท่านั้น”
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งว่า “นั่งแบบนามสกุลเลย นั่งแบบภูผา มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อรัก โลภ โกรธ หลง ...(หัวเราะ)... แปลว่าต้องนั่งทรงสมาธิ วางกำลังใจอยู่กับปัจจุบัน ถ้าอยู่กับลมหายใจตอนนี้เดี๋ยวนี้ รัก โลภ โกรธ หลง จะไม่เกิด รักษาได้ยาวนานเท่าไร ใจเราก็จะสะอาดมากเท่านั้น”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการวัดกำลังใจที่อาตมากล่าวมาตลอดสองวัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ญาติโยมบางคณะก็ยังอยู่ในระดับกำลังใจที่ค่อนข้างต่ำ ไม่ได้ทำอะไรครบถ้วนเต็มพิธี จะรู้สึกเหมือนกับไม่ได้ทำ
ส่วนบางท่านก็กำลังใจสูงเสียจนคนอื่นมองหน้าแบบแปลก ๆ..! เพราะว่าท่านทำด้วยอุเบกขา เดินเข้ามาใส่ปัจจัยลงขัน แล้วถอยออกไปกราบด้านนอกโน่น ก็เลยกลายเป็นความสุดโต่ง ก็คือระหว่างต่ำกับสูง ทำให้ช่องว่างตรงกลางห่างกันมาก น่าจะได้เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ นี่แหละ มาช่วยลดช่องว่างตรงนี้
เพราะว่าทุกคนมีเวลาจำกัด ก็ต้องเร่งรัดกำลังใจตนเอง ถึงรับไม่ได้ก็ต้องพยายามรับ เมื่อพยายามหลาย ๆ ครั้งเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน เท่ากับยกระดับกำลังใจตนได้ ส่วนอีกหลายคนก็อาจจะหลุดวงโคจรไปเลย เพราะว่ารู้สึกไม่ชอบใจ เนื่องจากว่าไม่มีเวลามาอธิษฐานนาน ๆ ...(หัวเราะ)...
เมื่อเช้าน้องเปิ้ล ไอ้ตัวเล็กที่มาหาอาตมาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีสอง ไม่ได้เจอหน้าหลวงตาหลายเดือน นั่งอธิษฐานเสียนานเลยต้องดุหน่อย อธิษฐานนานเกินไม่ดี เอาสั้น ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “ถ้าตั้งใจเอาพระนิพพานอย่างเดียว อย่างอื่นก็ได้ด้วยทั้งหมด” ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ? ท่านบอกว่า “พระนิพพานเป็นยอดเขาสูงสุด ก่อนที่จะถึงยอด ตลอดเส้นทางมีอะไรเราก็ต้องได้หมดอยู่แล้ว”
แต่คราวนี้บางท่านก็เผื่อไปยันชาติต่อไปอีกหลายชาติ หากข้าพเจ้ายังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอความ อย่าได้ อย่ามี อย่าเจ็บ อย่าจน โอ๊ย..สารพัด..! อาตมาได้ยินเองแล้วก็ขำ แต่คนอื่นเขาไม่ได้ยิน ...(หัวเราะ)... ถ้าอธิษฐานลักษณะนั้นแปลว่าตั้งใจจะเกิดใหม่อีก เผื่อไว้เยอะเหลือเกิน”
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.