รุ้งทรงกลด
28-04-2020, 21:53
เวลาผมสวดมนต์ เช่น สวดพระคาถาเงินล้าน ผมมักจะสวดด้วยการพยายามคิดให้เคารพพระพุทธเจ้าท่านให้ได้ แต่ผมนึกอารมณ์นั้นไม่ออก ยิ่งคิดยิ่งเครียด อาจจะเป็นเพราะผมยังไม่รู้จักท่านจริงก็ได้ ผมเลยลองคิดดูว่า พระพุทธเจ้าท่านมีบุญคุณอะไรกับผมบ้าง ก็นึกออกหลายอย่าง แต่เป็นแค่การนึกด้วยสัญญาเท่านั้น นึกแล้วมีอารมณ์แห้ง ๆ รู้สึกว่าผมยังวางอารมณ์ไม่ถูก
เลยลองมาคิดดูว่า พระสงฆ์หลายท่านก็เคยมีบุญคุณกับผมมาก ผมสามารถมีความสุขกายสุขใจได้เพราะพระสงฆ์ก็หลายครั้งด้วยกัน ท่านเมตตาสงเคราะห์ผมก็หลายครั้ง ถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้ที่ควรให้ความเคารพ แล้วพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ทำให้มีพระสงฆ์เกิดขึ้น ความรู้ความสามารถที่พระสงฆ์ท่านนำมาช่วยสงเคราะห์ผม ก็ล้วนได้มาจากพระพุทธเจ้าท่านทั้งนั้น ก็ถือว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุญคุณ เป็นผู้ที่ควรให้ความเคารพอย่างสูง การที่ผมจะสวดพระคาถาเงินล้านเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณถวายท่านก็เป็นการสมควรแล้ว
เมื่อคิดแบบนี้ รู้สึกว่ามีกำลังใจในการสวดมนต์มากขึ้น ไม่ได้สวดด้วยความขี้เกียจอีก รู้สึกมีความขยันในการสวดมากขึ้น สวดได้เต็มจิตเต็มใจมากขึ้น แม้จะยังรู้สึกว่ายังไม่เต็มที่ รู้สึกว่ายังอารมณ์ที่ดีกว่านี้อยู่อีก แต่ตอนนี้ได้แค่นี้ก็ดีกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ยิ่งสวดยิ่งฮึกเหิม ผลของคาถาจะได้ผลหรือไม่ผมก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ารู้สึกชอบใจในการสวดมนต์เพื่อประกาศเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าท่าน ยิ่งสวดยิ่งสนุก
มีอารมณ์คล้าย ๆ กับตอนที่มีใครมาทำให้ดีใจ แล้วผมกล่าวขอบคุณยกย่องคนนั้นด้วยใจจริง เพียงแต่เปลี่ยนมาสวดเพื่อถวายพระท่านด้วยต้องการประกาศเกียรติคุณของท่าน เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณ ยิ่งสวดยิ่งน้ำตาจะไหล แต่ผมยังมีความอายอยู่ บวกกับถ้าน้ำตาไหลแล้ว ผมจะขยับปากลำบาก สวดมนต์ไม่ค่อยถนัด ก็เลยพยายามกลั้นไว้ แต่รู้สึกว่าแบบนี้น่าจะได้ผลมากกว่าแต่ก่อน
แต่ผมไม่เคยเห็นมีใครสอนให้คิดแบบนี้เวลาสวดมนต์เลย ผมเลยอยากทราบว่าการที่ผมทำแบบนี้เป็นการถูกต้องแล้วหรือยังครับ และผมควรที่จะปรับปรุงเรื่องไหนบ้างครับ
เลยลองมาคิดดูว่า พระสงฆ์หลายท่านก็เคยมีบุญคุณกับผมมาก ผมสามารถมีความสุขกายสุขใจได้เพราะพระสงฆ์ก็หลายครั้งด้วยกัน ท่านเมตตาสงเคราะห์ผมก็หลายครั้ง ถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้ที่ควรให้ความเคารพ แล้วพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ที่ทำให้มีพระสงฆ์เกิดขึ้น ความรู้ความสามารถที่พระสงฆ์ท่านนำมาช่วยสงเคราะห์ผม ก็ล้วนได้มาจากพระพุทธเจ้าท่านทั้งนั้น ก็ถือว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุญคุณ เป็นผู้ที่ควรให้ความเคารพอย่างสูง การที่ผมจะสวดพระคาถาเงินล้านเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณถวายท่านก็เป็นการสมควรแล้ว
เมื่อคิดแบบนี้ รู้สึกว่ามีกำลังใจในการสวดมนต์มากขึ้น ไม่ได้สวดด้วยความขี้เกียจอีก รู้สึกมีความขยันในการสวดมากขึ้น สวดได้เต็มจิตเต็มใจมากขึ้น แม้จะยังรู้สึกว่ายังไม่เต็มที่ รู้สึกว่ายังอารมณ์ที่ดีกว่านี้อยู่อีก แต่ตอนนี้ได้แค่นี้ก็ดีกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ยิ่งสวดยิ่งฮึกเหิม ผลของคาถาจะได้ผลหรือไม่ผมก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ารู้สึกชอบใจในการสวดมนต์เพื่อประกาศเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าท่าน ยิ่งสวดยิ่งสนุก
มีอารมณ์คล้าย ๆ กับตอนที่มีใครมาทำให้ดีใจ แล้วผมกล่าวขอบคุณยกย่องคนนั้นด้วยใจจริง เพียงแต่เปลี่ยนมาสวดเพื่อถวายพระท่านด้วยต้องการประกาศเกียรติคุณของท่าน เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณ ยิ่งสวดยิ่งน้ำตาจะไหล แต่ผมยังมีความอายอยู่ บวกกับถ้าน้ำตาไหลแล้ว ผมจะขยับปากลำบาก สวดมนต์ไม่ค่อยถนัด ก็เลยพยายามกลั้นไว้ แต่รู้สึกว่าแบบนี้น่าจะได้ผลมากกว่าแต่ก่อน
แต่ผมไม่เคยเห็นมีใครสอนให้คิดแบบนี้เวลาสวดมนต์เลย ผมเลยอยากทราบว่าการที่ผมทำแบบนี้เป็นการถูกต้องแล้วหรือยังครับ และผมควรที่จะปรับปรุงเรื่องไหนบ้างครับ