View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ลูกชายมาถวายสังฆทานอุทิศให้พ่อแม่ที่เป็นอิสลาม "ความเชื่อไปคนละทิศคนละทางกัน แต่ถ้าเราสังเกตเกี่ยวกับการทำบุญให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าชาติใดภาษาใดเขาก็มี ในเมื่อมีอยู่ ถึงเวลาของใครสามารถทำได้ตรงที่สุด ก็ถือว่าเป็นโชคดีของผู้ตายที่ลูกหลานทำบุญได้ตรง"
ถาม : ถ้าตอนตายแล้วรู้สึกเจ็บปวดมาก ๆ ปวดหัวมาก ๆ ไม่สามารถนึกถึงพระนึกถึงความดีได้ และจิตไปจับความรู้สึกเจ็บ ถ้าก่อนตายจิตจับแต่ความรู้สึกเจ็บ ตายแล้วจะไปไหนหรือครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าก่อนที่จะจับความรู้สึกเจ็บนั้น เรานึกถึงอะไรก็ไปตรงนั้นแหละ ในบาลีเขาเรียกว่า อาสันนกรรม กรรมก่อนตาย กำลังใจสุดท้ายเกาะอะไรก่อนก็ไปที่นั่น ส่วนใหญ่ที่ไปเกาะความเจ็บปวด จิตใจเศร้าหมองก็มักจะลงทุคติ
ถาม : ผมอ่านมาว่า ถ้าจิตเรานึกถึงใคร จิตจะไปหาคน ๆ นั้นทันที ผมสงสัยว่า ถ้าผมนึกถึงพระอริยเจ้าที่ละสังขารไปแล้ว ท่านจะรับรู้ว่าผมคิดถึงท่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านละสังขารไปแล้ว ต่อให้ไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ เพราะว่าในเขตของท่านมีความเป็นทิพย์เฉพาะของตนอยู่
ถาม : อาราธนาพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐมติดตัวด้วยการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๓ จบ ทุกเช้าครั้งเดียว ถ้าหากถอดท่านออก ต้องอาราธนาใหม่อีกรอบหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจก็ไม่ต้อง ถ้าไม่มั่นใจก็ว่าใหม่เสียอีกครั้งหนึ่ง
ถาม : เฉพาะพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐมต้องอาราธนาพระคาถา อิทธิฤทธิฯ อีกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช้ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบก็พอแล้ว หรือถ้ารู้คาถาเยอะ จะอาราธนามากกว่านั้นก็ได้
ถาม : มีดหมอชาตรีด้ามฤๅษี สามารถใช้งานด้านมหาอำนาจเหมือนมีดหมอดาบฟ้าฟื้นหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีดหมอส่วนใหญ่ถ้าทำถูกวิธี ก็เป็นมหาอำนาจในตัวอยู่แล้ว เคล็ดลับคือเป็นอาวุธ ในเมื่อเป็นอาวุธ บุคคลก็ย่อมยำเกรง เกรงกลัว จึงเป็นมหาอำนาจในตัวอยู่แล้ว
ถาม : เงินวิระทะโย หากนำไปใช้บูชาพระพุทธรูป ผ้าไตร ถวายสังฆทาน จะถือว่าผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ในเขตของวิหารทาน สังฆทาน หรือธรรมทาน เพราะว่าเงินวิระทะโยจริง ๆ ก็คือ เงินที่ตั้งใจใส่บาตร การใส่บาตรโดยไม่จำกัดถือว่าเป็นสังฆทานอยู่แล้ว ฉะนั้น..อย่าใช้ให้ต่ำกว่าสังฆทาน
ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้านทั้งชุดแล้วรู้สึกหนัก กับรู้สึกว่าบางจุดเหมือนภาวนาอย่างไรก็ไม่ดี ต้องย้ำ ๆ หลายรอบกว่าที่จะผ่านได้ หากจะภาวนาแยกเป็นคาถาย่อยในคาถาเงินล้านไปทีละส่วน ส่วนละหลายจบ จนครบทุกบท จะได้ผลเหมือนภาวนาทั้งบทรวดเดียวหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราภาวนามากน้อยเท่าไร และขณะเดียวกันสมาธิจิตมีคุณภาพแค่ไหน ถ้าภาวนาไม่ครบ ส่วนที่ควรได้อาจจะขาดไป อย่างเช่นว่า เราภาวนาบทอื่นย้ำ ๆ อยู่ แล้วลืมคาถาปัดอุปสรรค ก็อาจจะมีอุปสรรคเกิดขึ้นมา หรือไม่ก็ลืมคาถาพิทักษ์ทรัพย์ ถึงได้มาก็อาจจะใช้หมด เป็นต้น
ถาม : คาถามหาประสาน ประสานกระดูกที่ร้าวแตกหักได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้ทั้งเลือดเนื้อและกระดูก สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีตาชม ตาชมโดนแทงเลือดสาด โดดน้ำตูม..โผล่ขึ้นมาแผลหาย ไปถามทีหลังถึงได้รู้ว่าเคล็ดลับของครูบาอาจารย์ ให้กลั้นใจว่าคาถา ทีนี้ครูบาอาจารย์ท่านก็คงกลัวว่าตาชมจะสงสัยว่าทำไมต้องกลั้นใจด้วย ก็เลยบังคับให้โดดน้ำไปเลย...หมดเรื่องกันไป
ถาม : ถ้าในหมู่บ้านของผม มีพระรูปหนึ่งมาบิณฑบาตอยู่เป็นประจำ ซึ่งผมก็ทราบว่า ท่านจำพรรษาอยู่เพียงรูปเดียวในวัด แล้วผมก็ใส่บาตรกับท่าน และเนื่องจากหลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า เวลาใส่บาตรหากเราตั้งกำลังใจเอาไว้ว่า เราจะไม่ใส่บาตรเจาะจงพระรูปใดรูปหนึ่ง ให้ใส่บาตรกับพระรูปใดก็ได้ ก็ถือว่าเราได้อานิสงส์สังฆทาน แต่ว่าหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ ที่วัดนั้นมีท่านเป็นพระอยู่เพียงรูปเดียว ผมอยากทราบว่า ผมจะได้อานิสงส์สังฆทาน หรือปาฏิปุคคลิกทาน ?
ตอบ : ได้อานิสงส์สังฆทาน เพราะว่าเราไม่ได้เจตนาว่าจะใส่บาตรพระรูปไหน ต่อให้ไม่ครบ ๔ ก็เป็นสังฆทาน สงสัยอย่างเดียวว่าคนใส่ทำใจได้ไหม ? เพราะรู้อยู่แล้วว่าทั้งหมู่บ้านมีพระอยู่รูปเดียว
ถาม : สมมติว่าผมไปถวายสิ่งของให้กับวัด ๔ วัด โดยไม่ได้เจาะจงพระรูปใด แต่ผมรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า ทั้ง ๔ วัดนั้นมีพระอยู่แต่ละวัดเพียง ๑ รูป อยากทราบว่า การกระทำในลักษณะนี้จะได้อานิสงส์ปาฏิปุคคลิกทาน ๔ ครั้ง หรือได้อานิสงส์สังฆทาน ๔ ครั้ง หรือได้อานิสงส์สังฆทาน ๑ ครั้งครับ ?
ตอบ : ได้สังฆทาน ๔ ครั้ง เพราะว่าถวาย ๔ ครั้ง แต่เชื่อเถอะว่า...คนถามถ้าไปถวายก็ได้ปาฏิปุคคลิกทานทุกครั้ง เพราะว่าเห็นพระรูปเดียวแล้วทำใจไม่ได้
ถาม : ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษาศีลข้อที่ ๔ ว่า ถ้าเราพูดไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของเรา ซึ่งถ้าบอกให้เขารู้ตรง ๆ ก็จะทำให้ตัวเราเองไม่สบายใจ อย่างเช่นว่า ถ้าหากมีคนมาถามว่า ทำไมถึงไม่มากินข้าวเย็นด้วยกัน เราตอบเขาไปว่า เราไม่หิว แต่ในความเป็นจริงแล้วเราหิว แต่เราไม่ชอบขี้หน้าเขา เราเลยไม่อยากไปด้วย ซึ่งถ้าหากเราไปกับเขาแล้วโทสะกำเริบก็เกรงว่า เราจะทำเรื่องที่ไม่ดี หรือถ้าบอกเขาไปตามตรงว่า เราไม่ชอบเขา ก็เกรงว่าจะมีปัญหากัน ซึ่งการที่ผมพูดไม่ตรงกับความจริงไปบ้างก็ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย อย่างนี้ผมผิดศีลข้อ ๔ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก เรารู้ว่าเป็นเรื่องโกหก เราตั้งใจที่จะโกหก เราลงมือทำ บุคคลอื่นเชื่อถือตามนั้น ถ้าครบทุกข้อก็ผิดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดข้อไหนความผิดก็ลดไปตามส่วน
ถาม : ถ้ามีคนมาทำให้เราโกรธ ผมจะถือคติว่า เราไม่ควรคบคนพาล แต่ก็ยังรู้ตัวอยู่ว่า เรายังโกรธเขาอยู่ และผมก็ไม่ไปคบค้าสมาคมกับเขา ผมเข้าใจว่า การวางกำลังใจในลักษณะนี้ยังพร่องในกรรมบถ ๑๐ คือยังมีความพยาบาทอยู่ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของการไม่จองล้างจองผลาญ ไม่เอาคืนเขา แต่ผมกลัวว่า ถ้าหากเราคบคนพาล เขาจะพาเรา คิด พูด ทำ ในสิ่งไม่ดี ซึ่งผมก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเขาจะเป็นคนดี โดยพิจารณาจากสิ่งที่เขาทำเบื้องต้น ผมคิดว่าการไม่ไปคบหาสมาคมกับเขาเลยจะมีประโยชน์มากกว่าข้อเสีย ผมคิดถูกหรือไม่ และหลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถูกแค่นั้น ถ้าสามารถทำใจได้มากกว่านั้น ก็สามารถที่จะเมตตาสงเคราะห์เขาได้ เราเองใช้วิธีตัดปัญหาด้วยการเลิกคบไปเลย จึงทำให้ขาดตัวเมตตา
ถาม : ผมมีข้อสงสัยในเรื่องของมานะกิเลสว่า เราต้องกำหนดจิตไว้ว่า เราจะไม่ตีตนดีไปกว่าใคร ไม่ตีตนด้อยไปกว่าใคร และไม่ตีตนเสมอใคร แต่เวลาที่ผมกำหนดจิตว่า "เราจะไม่ตีตนด้อยไปกว่าใคร" จะทำให้ความรู้สึกว่า "เราดีกว่าคนอื่น" เด้งขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ซึ่งถ้าผมกำหนดจิตไว้แค่ว่า "เราจะไม่ตีตนดีกว่าใคร" หรือ "ไม่ตีตนเสมอใคร" จะทำให้เรานอบน้อมถ่อมตนได้มากกว่า หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าสติสมบูรณ์พร้อมจะรู้เองว่าควรทำอย่างไร
ถาม : สมมติว่าเราเห็นคนอื่นที่เขาได้ดีเจริญก้าวหน้ากว่าเรา แล้วเราก็พยายามที่จะทำให้ได้ดีแบบเขา ไม่ว่าจะเป็นทางธรรม โดยการตั้งใจทำความดี ละเว้นความชั่ว และทางโลก โดยการมีความเพียรตั้งใจในการทำงาน การที่ผมตั้งใจเอาไว้แบบนี้ ถือว่าเราเข้าข่ายไม่อยากให้คนอื่นดีกว่าตนเองหรือไม่ แล้วเราควรตั้งกำลังใจแบบนี้ต่อไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดหรือเปล่า ว่าไม่อยากให้เขาดีกว่าเรา แต่ถ้าเราอาศัยเขาเป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะพากเพียรให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ก็จัดเป็นวิริยบารมีด้วย
ถาม : ถ้าผมจำไม่ผิด หลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ให้เราภาวนาให้จิตทรงตัวเป็นสมาธิมากที่สุด แล้วค่อยคลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณในลักษณะที่ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ร่างกายไม่ใช่ของเรา สุดท้ายก็สลายหายไปหมดว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือ แต่ผมกลับรู้สึกว่า ตอนผมพิจารณาว่าทุกอย่างว่างเปล่า ร่างกายไม่ใช่ของเราตั้งแต่แรก จิตจะเข้าสู่สมาธิได้ดีกว่าการภาวนาแบบอื่น ๆ แบบนี้ควรทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : วิธีไหนทำให้ใจเป็นสมาธิ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ให้ทำวิธีนั้น
ถาม : การที่เราตั้งใจสร้างบุญบารมีในหมวดทาน ศีล ภาวนา และระงับความชั่ว ในลักษณะที่ตั้งใจเอาไว้ว่า จะได้มีบุญเยอะ ๆ เก็บไว้ เพื่อตอนที่เราตายไปแล้วจะได้ไปสู่สุคติ แล้วพอมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่จะได้พบเจอแต่เรื่องดี ๆ ผมเข้าใจดีว่า ควรจะตั้งกำลังใจเพื่อเป็นไปในทางละกิเลสเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน แต่ผมก็คิดว่า เราก็ยังทำอยู่ในขอบเขตของการสร้างบุญบารมีและระงับความชั่วอยู่ และก็ไม่ได้ไปผิดทางขนาดนั้น ผมคิดถูกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกแค่นั้น การตั้งเป้าหมายควรที่จะตั้งให้สูงสุดเอาไว้ เพื่อจะได้ใช้ความพยายามอย่างสูงสุดเท่าที่เรามีอยู่ ถ้าตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำ ความเพียรจะน้อยลง ถ้าไปไม่ถึงเป้าหมาย ก็จะได้แค่นิดเดียว ตั้งเป้าหมายไว้สูงสุด ก็จะใช้ความเพียรพยายามอย่างสูงสุด ต่อให้ไม่ถึงเป้าหมาย ก็ยังได้มากกว่าคนอื่นเขา
ถาม : ถ้ามีสะพานบุญท่านหนึ่งรับฝากเงินจากผู้อื่น เพื่อไปทำบุญในงานบุญแห่งหนึ่ง แล้วสะพานบุญท่านนั้นก็เอาเงินจำนวนนั้นทั้งหมดไปให้อีกคนหนึ่งที่สะดวกไปงานบุญ ให้เอาเงินไปทำบุญในงานบุญนั้นให้อีกที แต่ปรากฎว่าคนที่รับเงินไปทำบุญจากท่านที่เป็นสะพานบุญนั้น ไม่ได้เอาเงินไปทำบุญ หรือนำเงินไปทำบุญผิดวัตถุประสงค์ของกองบุญ ไม่ทราบว่าใครจะติดโทษย้ายเจดีย์ ระหว่างท่านที่เป็นสะพานบุญ กับคนที่รับเงินจากสะพานบุญไปทำบุญให้ ?
ตอบ : คนที่รับเงินไปต่อแล้วไม่ไปทำให้เขา
ถาม : ผมมีข้อสงสัยว่า พระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งท่านได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต แล้วมีช่วงที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด แล้วตรัสเอาไว้ว่า หากพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ไปฆ่าพ่อตัวเองก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาโปรด ท่านก็จะได้บรรลุมรรคผล ผมไม่เข้าใจว่า ในเมื่อท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามาตั้งแต่ต้น แล้วท่านจะมาบรรลุมรรคผลเป็นสาวกภูมิได้อย่างไรครับ ก็จริงอยู่หลังจากท่านสำนึกผิดไปแล้ว ท่านก็ได้ทำบุญอย่างหนัก แต่ก็ไม่น่าจะได้รับพุทธพยากรณ์จากการสร้างบารมีแค่ชาตินั้นเพียงชาติเดียว ?
ตอบ : กรรมชั่วที่เข้ามาขวาง ทำให้หนทางเปลี่ยนไป กำลังบุญเดิมที่ท่านทำมา ถ้าไม่ได้ทำอนันตริยกรรม อย่างน้อยก็ได้เป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน แต่เนื่องจากว่าไปสร้างอนันตริยกรรมเข้าไว้ ก็เลยทำให้กระแสนั้นเปลี่ยนไป พอมาตอนท้ายกลับมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ผลบุญจึงส่งให้ท่านได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เนื่องจากว่าเห็นความดีในพระพุทธศาสนาแล้ว อาจจะมีการตั้งกำลังใจปรารถนาไว้เช่นนั้นก็ได้
ถาม : มีหลายครั้งที่ผมสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จะมีแต่อาการชาตามใบหน้าและร่างกาย ไม่มีอาการหิว แต่มักจะไม่ค่อยอยากขยับปาก ก็เลยหยุดสวดมนต์ไปเอง พอหยุดสวดมนต์ อาการชาตามร่างกาย และอาการตึง ๆ บนใบหน้าก็จะมีอยู่สักพัก จากนั้นก็จะหายไป แล้วก็สามารถขยับปากเพื่อสวดมนต์ได้อีก พอสวดมนต์อีก ก็มีอาการแบบที่ว่านี้อีก จนกระทั่งไม่อยากขยับปาก ต้องหยุดสวดมนต์เอง ไม่ทราบว่าอาการที่เป็นอยู่นี้คืออะไร แล้วผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าสมาธิเริ่มทรงตัว อย่าลืมว่าการสวดมนต์เราต้องตั้งใจ ถ้าเราไม่ตั้งใจจะเผลอสวดผิด ในเมื่อเราตั้งใจนั่นก็คือการตั้งสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวมากขึ้น จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน ก็จะบังคับร่างกายได้ยาก คราวนี้กำลังใจของเรายังทรงอยู่ได้แค่ระยะเดียว เมื่อเลยช่วงนั้นไปก็จะหลุดออกมา เมื่อตั้งใจที่จะสวดมนต์ใหม่ สมาธิก็จะกลับเข้าไปทรงตัวระดับนั้นอีก ก็ขยับปากลำบากอีก
ถาม : ผมได้ยินที่หลวงพ่อบอกว่าสวดมนต์ให้ถึงฌาน ๔ ได้ ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ทำอย่างนั้นแหละ จับลมหายใจไปพร้อมกับการสวดมนต์ เพียงแต่ต้องซ้อมเข้าออกสมาธิให้คล่องตัวกว่านั้น
ถาม : ผมได้ยินมาว่า น้ำมันชาตรีใช้สกัดร้อนได้อย่างเดียว ถ้าเอาน้ำมันชาตรีมาผสมกับน้ำมันที่สกัดเย็นจะใช้ไม่ได้ผล อันนี้จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปถามคนบอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ได้บอกไว้แบบนั้น ท่านแค่บอกว่าเติมน้ำมันอะไรก็ได้ เติมเท่าไรก็ยังมีอานุภาพเหมือนเดิม
ถาม : มีคนส่งภาพพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ มีพิมพ์ตัวหนังสือทับองค์พระ จะถือเป็นการไม่เหมาะสมหรือปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับจิตของเขา ถ้าจิตหยาบก็ไม่รู้สึก ถ้าจิตละเอียดก็รู้สึกว่าไม่สมควร บุคคลที่จิตละเอียดมาก ๆ แม้แต่ตัวหนังสือก็จะไม่ให้อยู่สูงกว่าพระ
ถาม : การตั้งรูปโปรไฟล์ตัวเองเป็นรูปพระจะเหมาะสมหรือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยคะ ?
ตอบ : ไม่เพียงแต่โปรไฟล์ แม้แต่ยูสเซอร์เนมเดี๋ยวนี้ก็มีมาก แต่ละคนตั้งได้วิลิศมาหรา ไม่เกรงใจใครเลย แม้แต่อาตมาเห็นแล้วยังรู้สึกอายแทน ลูกพระพุทธเจ้าบ้าง ลูกหลวงพ่อฤๅษีบ้าง ไม่คิดว่าถ้าทำชั่วแล้ว คนจะดูถูกไปถึงพ่อตัวเองบ้างเลยหรือ ?
ถาม : ผมปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐานมาประมาณ ๑๒ ปีครับ ผมอยากทราบว่า สติเรามีการพัฒนาเป็นสติสัมโพชฌงค์และสัมมาสติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพัฒนาถูกก็บรรลุไปนานแล้ว ในมหาสติปัฏฐานสูตรพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างแย่ที่สุดก็ ๗ ปี
ถาม : มีวันหนึ่งผมเห็นนิวรณ์ดับลง แล้วบังเอิญผมไปอ่านเจออวิชชาสูตร พออ่านถึงส่วนที่ว่า อวิชชามีนิวรณ์ ๕ เป็นอาหาร จิตก็บอกว่า “ก็อย่าไปให้อาหารมันสิ” เท่านั้นปีติก็บังเกิด ความซาบซึ้งในคุณพระรัตนตรัยก็บังเกิดขึ้น และเชื่อมั่นว่ามีความไม่เกิด ต้องทำได้แน่ ๆ ผมมาถูกทางแล้วใช่ไหมครับ เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า สุกขวิปัสสโกเหมือนตาบอดคลำทางครับ ?
ตอบ : ถูกทางสำหรับอนุบาล ๑ อย่าลืมว่านิวรณ์ ๕ จะระงับไปตั้งแต่อุปจารสมาธิ ในเมื่อยังไม่สามารถที่จะทรงฌานได้ ก็ถือว่าอยู่แค่ระดับอนุบาลเท่านั้น
ถาม : วิชชากับอวิชชาคือตัวเดียวกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะบอกว่าตัวเดียวกันก็ได้ คนละตัวกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาของเรา ถ้าปัญญามากก็จะเห็นว่าอวิชชาหรือว่ากิเลสนั้นหน้าตาเหมือนกับเราทุกประการ เพียงแต่สำคัญตรงก้าวสุดท้ายว่า เขาจะพาเราขึ้นสูงหรือลงต่ำเท่านั้น ท้ายที่สุดเราก็ต้องไม่เกาะทั้งสองส่วน จึงจะสามารถหลุดพ้นจากเขาไปได้
ถาม : ก่อนหน้าสมัยหลวงพ่อฤๅษี มีการสร้างสมเด็จองค์ปฐมมาก่อนไหมครับ เช่น สมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ?
ตอบ : เคยได้ยินไหมล่ะ ? ถ้าเคยก็มี..ถ้าไม่เคยก็ไม่มี
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลกมีมาเนิ่นนาน ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ บุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณ ถ้ามีบุญมีกรรมเนื่องกันมา ก็ย่อมสามารถรู้เห็นการคงอยู่ของพระองค์ท่านได้ แต่มาเปิดเผยเอาจริง ๆ ในสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุง เนื่องจากวาระก่อนหน้านั้นยังไม่สมควร ขนาดเปิดเผยออกไปแล้ว หลายคนก็ยังเข้าใจว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นกัป คือ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่า พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อทองคำ ก็ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ส่งทองเหลือง เขียนชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ไปที่วัดอยู่บ่อย ๆ อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่าทองเหลืองสามารถเปลี่ยนเป็นทองคำได้ไหม ?
ก่อนหน้านี้ยังมีการหล่อสมเด็จองค์ปฐมที่นั่นที่นี่ พอรู้ข่าวอาตมาก็ส่งไปให้เขาหล่อแทน แต่ระยะหลังนี้ไม่มีที่ไหนเขาหล่อพระพุทธลีลาประทานพร อาตมาก็เลยต้องส่งคืนไปทุกครั้ง สรุปว่าใครส่งของมา อาตมาต้องเสียเงินค่ากล่องพัสดุ เสียเงินค่าส่ง ส่งคืนกลับไป เพราะว่าใช้งานไม่ได้
ด้วยความที่ว่าเขาอาจจะเห็นที่อื่นหล่อพระซึ่งมีทองคำนิดหน่อย แล้วที่เหลือคือทองเหลืองหรือทองแดง แต่คราวนี้ของวัดท่าขนุนเราใช้ทองคำล้วน ๆ เขาคงจะคิดว่าเหมือนกับที่อื่น ก็เลยพยายามที่จะส่งไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปกับคุณมงคล เดินเข้าไปที่เวชศาสตร์เขตร้อน พยาบาลเวรถามคุณมงคลว่าป่วยเป็นอะไร ? คุณมงคลก็ชี้มาบอกว่า "คนป่วยคือหลวงพี่ครับ" ด้วยความที่พยาบาลกำลังดูละครหลังข่าวอยู่ ก็เลยส่งปรอทมาให้อม แล้วก็นั่งดูละครต่อไป สักพักใหญ่นึกขึ้นมาได้ว่ามีพระนั่งอยู่ ก็เลยขอปรอทไปดูแล้วก็ตาโต ๔๓ องศาเซลเซียส...! "ท่านเดินมาได้อย่างไร ?" "ก็เดินมาอย่างที่โยมเห็นนั่นแหละ"
เรื่องของใจ ถ้าได้รับการฝึกไว้ดีแล้ว แม้ร่างกายจะไม่ไหว ถ้าใจบอกว่าไหวก็ไปได้ เพียงแต่เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยดีตรงที่ว่า บางทีก็ทำให้หมอหาอาการไข้ไม่เจอ
อาตมาไปมาลาเรียกำเริบที่หาดใหญ่ ญาติโยมพาไปโรงพยาบาล มอ. ย่อมาจาก มหิดลอดุลยเดช ปรากฏว่าหมอตรวจดูแล้วปกติทุกอย่าง หมอจึงถามว่า "ท่านเป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า ?" ในเมื่อหมอสงสัยก็เลยต้องทำให้หมอดู อาตมาก็แค่คลายกำลังใจออก พอดีพยาบาลกำลังวัดความดันอยู่ กรี๊ดเสียอาตมาขี้หูลั่นเลย เพราะว่าความดันลดฮวบลงไปเหลือแค่ ๖๐ กว่า ปกติคนไข้ความดันแค่นี้ก็คงจะกำลังช็อก แพทย์เวร ๔ นายวิ่งมาดูหมดเลย"
"ก็เลยบอกกับหมอว่า คนไข้บางประเภทกำลังใจเขาคุมร่างกายได้ ถ้าเขาบอกว่าป่วยเป็นอะไร หมอก็จ่ายยาไปตามที่เขาบอกเถอะ หมอก็บอกว่า "โดยจรรยาแพทย์แล้ว ถ้าตรวจอาการไม่ออก ไม่สามารถจ่ายยาได้ครับ" อาตมาก็เลยบอกกับหมอว่า "ถ้าอย่างนั้นอาตมาขอกลับ" หมอถามว่า "ท่านกำลังช็อกอย่างนี้กลับได้อย่างไร ?" อาตมาถามหมอว่า "หมอเคยเห็นคนไข้ช็อกแล้วคุยกับหมอได้แบบนี้บ้างไหม ?" ขอเวลา ๕ นาที รวบรวมกำลังใจใหม่ แล้ว เดินขึ้นรถกลับ จนป่านนี้หมอยังคงจำอาตมาได้อยู่ จ่ายยาให้ไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าจะนอนไปทำอะไร
โดยปกติก็ไม่อยากจะทำแบบนั้นให้หมอเห็น แต่ทีนี้หมอดันถามว่าท่านเป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า ? ในเมื่อหมอคิดว่าเป็นอุปาทานก็เลยทำให้หมอดูชัด ๆ ว่าของจริงเป็นแบบนี้"
"ส่วนคนที่จะช็อกตามอาตมาคือโยมที่ไปส่ง เขาบอกว่า "หน้าท่านขาวซีดเหมือนกับคนตายเลย..!"
สมัยก่อนหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ครูบาอาจารย์รูปหนึ่งก็แบบนี้แหละ ก็คือไปหาหมอ หมอตรวจอาการไม่เจอ ก็จ่ายแค่ยาแก้ปวดลดไข้มาให้ ท้ายสุดท่านก็เลยเลิกไปหาหมอ
ใช้กำลังใจข่มกลั้นไว้ ภาษาบาลีเรียกว่า อธิวาสนขันติ เป็นกำลังประเภทตัดร่างกาย พูดง่าย ๆ ก็คือ หายก็หาย ไม่หายจะตายก็ช่าง แต่คราวนี้บุคคลที่ทรงสมาธิเป็นปกติ สภาพจิตกับประสาทเป็นคนละส่วนกัน ไม่ค่อยรับรู้อาการเวทนาของทางร่างกาย
อย่างอาตมาก็จะมีพระบางรูป ถึงเวลาก็ถามว่า "สุขภาพหลวงพ่อตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ?" ก็บอกว่า "ถ้าเอ็งไม่ถามก็ไม่เป็นไร พอเอ็งถามนี่จะร้องโอ๊ย..!" พอเขาถามเขาก็ต้องนึกถึงร่างกาย ก็เท่ากับนึกถึงอาการเจ็บป่วยทั้งหมดนั่นแหละ"
พูดถึงวัตถุมงคลที่ตู้ "ตะกรุดหนังหน้าผากเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย หน้าผากเสือของท่านหายากกว่าเขี้ยวเสือเสียอีก
ส่วนของครูบาวัง วัดบ้านเด่น นั้น ปกติมักเจอแต่ผ้ายันต์ ท่านทำผ้ายันต์ม้าเสพนางได้แรงสุด ๆ ของพวกนี้ถ้าเรากำลังสมาธิไม่ดีอย่าไปเล่น เพราะว่าแทนที่เราจะคุมของ ก็กลายเป็นของมาคุมเรา"
"เบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หายากพอ ๆ กับของหลวงปู่รอด วัดนายโรงนั่นแหละ เจอมาส่วนใหญ่มีแต่ปลอม สมัยนี้ปลอมเอาไปชุบสี พอชุบสีเสร็จก็เอาไปแขวนไว้ที่ท่อไอเสียรถ แขวนอยู่เป็นปี ๆ เพื่อให้ดูเก่าเป็นธรรมชาติ แต่อย่างไรก็เก่าไม่ได้ เพราะว่ารักที่เขาชุบ ยิ่งเก่าจะยิ่งเงา ก็เลยกลายเป็นของที่ประเภทคนพยายามทำปลอมกันจัง แต่ว่าคนดูเป็นแค่มองก็รู้ว่าปลอม
อีกพวกหนึ่งทำเสร็จก็เอาไปฝังดิน เสร็จแล้วก็ขุดขึ้นมาล้าง ปล่อยให้มีคราบดินเก่า ๆ ติดโน่นติดนี่ ให้เหมือนกับของเก่าเก็บมานาน ๕๐-๖๐ ปี แต่ปรากฏว่าติดทั่วถึงจนเกินไป เป็นพิรุธให้จับได้อีก"
ถาม : ตะกรุดคู่ชีวิตของหลวงพ่อทบ ?
ตอบ : ของหลวงพ่อทบ วัดชนแดน เป็นของที่ทำหลายปี แล้วก็สมัยนั้นเทคนิคการย้อมไม่ดีเหมือนกับสมัยนี้ เพียงไม่นานสีธงชาติจะจืดมาก ถึงซีดเลย ถ้าไปเห็นธงชาติสีสันสดใสก็วางไว้ที่เดิม..ของปลอม
ถาม : ตะกรุดของหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช ดอกนี้ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตะกรุดสี่มหาอำนาจของหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จะชุบบรอนซ์
ถาม : นี่ก็อีกดอก ?
ตอบ : ของหลวงพ่อเทียมต้องดูความเก่าด้วย ถ้าไม่เก่าก็วางไว้ห่าง ๆ เพราะว่าน้อยคนที่จะเก็บแล้วไม่ใช้
เอาวัตถุมงคลที่เลี่ยมใส่ในหลอดมาให้พิจารณาดู "อันไหนถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจให้เราดู อาตมาจะไม่แตะเลย เพราะว่าถ้าไม่สามารถที่จะดูใกล้ชิดได้ หรือว่าส่องได้ ส่วนใหญ่ก็คือเขาเจตนากันไม่ให้เราเห็น"
ถาม : อย่างลูกอมผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม รุ่นหลัง ๆ ลูกศิษย์ท่านก็ทำ หลวงพ่อสาครก็ทำ เจ้าอาวาสวัดละหารไร่องค์ปัจจุบันก็ทำ ทีนี้ถ้าจะแยกดูว่าลูกไหนทันหลวงปู่ทิม ?
ตอบ : ดูความเก่าของบรอนซ์ ถ้ารุ่นของหลวงปู่ทิม ส่วนใหญ่เนื้อบรอนซ์จะเป็นฝุ่น ๆ พอเก่าแล้วจะยุ่ยเป็นผง ๆ
ถาม : เขาบอกว่าตะกรุดดอกนี้ของหลวงปู่ภู วัดท่าฬ่อ ?
ตอบ : ถ้ามีจารถึงข้างนอก ตีเป็นของหลวงปู่ภูได้ แต่อันนี้ไม่มี ของหลวงปู่ภูจะมีจารทะลุออกมาข้างนอก แต่ตะกรุดดอกนี้ความเก่าได้ เนื้อโลหะเก่าจะดูง่าย เนื้อโลหะเก่าจะหมดประกาย ทองเหลืองทองแดงใหม่ ๆ ประกายจะแวววับ ดูอย่างแผ่นที่เอามาให้จาร พอนานไป ๆ เริ่มเก่า ประกายจะหมด แล้วก็จะมีส่วนที่เป็นออกไซด์ที่เกิดจากออกซิเจนไปทำปฏิกิริยากับเนื้อโลหะเป็นสนิม เป็นสนิมเขียวบ้าง ถ้าจับติดเนื้อก็จะออกดำ ๆ
ต้องหัดไปทีละอย่าง อย่าไปหัดหลายอย่าง หัดหลายอย่างไม่เก่งหรอก สับสนชีวิตอีกต่างหาก
ถาม : หนูว่าตะกรุดดูยากที่สุดแล้ว ?
ตอบ : ตะกรุดนอกจากหลายสำนักแล้ว แต่ละสำนักเขายังมีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่บางอย่างพอเอกลักษณ์ไม่ชัดเจน เขาก็จะตีมั่วเพื่อที่จะขาย ส่วนใหญ่แล้วเขาจะตีเป็นสำนักที่แพงกว่า
ถาม : ตะกรุดดอกนี้ละคะ ?
ตอบ : ดอกนี้น่าจะเป็นของทางเหนือ เพราะมีตัวอักขระฝักขาม
ถาม : แต่ดอกนี้เขาเขียนว่า หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ?
ตอบ : ของหลวงพ่อพรหม มักจะตอกโค้ดระฆัง ถ้าไม่มีก็วางเลย
พูดถึงเขี้ยวเสือ "เขี้ยวเสือที่จาร ของพระเกจิอาจารย์สมัยก่อนเวลาท่านจารตัวอักขระจะพริ้วมาก ถ้าหากว่าจารลึกก็ไม่ใช่แล้ว ไอ้จารลึกนี่กดไปเรื่อยแล้ว"
ถาม : หนูเห็นว่าเขี้ยวเป็นสีน้ำตาล ก็คิดว่าน่าจะเก่าแล้ว ก็เลยคว้าไว้ ?
ตอบ : โดยเฉพาะถ้าสีสันกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็คือเก่าแบบสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่ถ้าไม่รมควันมาก็ทอดน้ำมันมา
พระอาจารย์อ่านส่วนผสมของยา "พิมเสน โกฐน้ำเต้า บอระเพ็ด และตัวยาอื่น ๆ อ้าว…เล่นใช้ "และ" เลย "และ" นี้น่าจะเป็นยาบางอย่างที่เขาบอกไม่ได้ อย่างประเภทนอแรด บอกไปก็ติดคุก หรือไม่บางอย่างก็เป็นสูตรลับของเขา
แบบเดียวกับยาจินดามณี สูตรที่เผยแพร่กันทั่ว ๆ ไป ถ้าทำแค่นั้นก็จะได้แค่นั้น เพราะว่าไม่มีส่วนผสมที่เขาปิดลับไว้ อย่างพวกอำพันทอง น้ำนมเสือ นอแรด งาช้างกำจัด ฯลฯ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดไร่ขิง ชื่อเดิมที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสตั้งให้ ชื่อ วัดมงคลจินดาราม แต่ด้วยความที่อยู่ตรงตำบลไร่ขิง ชาวบ้านก็เลยเรียก วัดไร่ขิง ต่อมาวัดมงคลจินดารามหายไปเลย
ทีนี้ตัวคาถาที่เขาใช้บูชาหลวงพ่อวัดไร่ขิงก็ยังเป็น ‘มังคะละจินตารามะ พุทธะปฏิมากะรัง’ ก็คือพระพุทธรูปของวัดมงคลจินดาราม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการระบาดของไข้หวัดอู่ฮั่น หรือไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เขาเรียกว่าสายพันธุ์ ๒๐๑๙ เพราะว่าเริ่มพบเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ต้องบอกว่ารัฐบาลไทยของเราทำงานจิตวิทยาไม่เป็น
คำว่า ปฏิบัติงานทางจิตวิทยาไม่เป็น ถ้าเราดูอย่างสมัยนายกฯ ทักษิณ ท่านส่งเครื่อง C ๑๓๐ ของทหารไปรับคนไทยที่กัมพูชากลับ อันนี้คือลักษณะการปฏิบัติการแบบจิตวิทยา ถือว่าเห็นความสำคัญของประชาชน คราวนี้เรื่องของโรคระบาดถึงเราส่งเครื่องไป เขาก็ไม่ให้กลับมาง่าย ๆ หรอก แต่ว่าควรทำ ตั้งท่าก็ยังดี ให้คนเขาเห็นว่าเราเป็นห่วงประชากรของเรา ส่วนหลังจากนั้นแล้วจะติดขั้นตอนระหว่างประเทศ หรือว่าขั้นตอนทางสาธารณสุขอย่างไรค่อยว่ากันอีกที เพราะว่าไม่มีใครเขาปล่อยให้ออกมาง่าย ๆ หรอก ถ้าเขาปล่อยออกมาก็ไปเพิ่มตัวแพร่กระจายเชื้อ
แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะสนามบินต่าง ๆ ต้องมีเครื่องวัดอุณหภูมิประจำการทันทีทันใด เพราะว่าแทบทุกโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เขามีทั้งนั้น ไปขอยืมเขามาเอาไปตั้ง ๆ เอาไว้ ให้เจ้าหน้าที่ถือเอาไว้ขู่ชาวบ้านเขาก็ยังดี แต่นี่ไม่ทำ..เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดภาพพจน์ไม่ดี นักท่องเที่ยวไม่มา ช่วงบรรยากาศอย่างนี้ใครจะมา ?
ในเมื่อปฏิบัติการทางจิตวิทยาไม่มี แล้วก็ประเภทปากไว พูดล่วงหน้าไปก่อนโดยที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ก็เกิดผลอย่างที่เห็น โดนติด #รัฐบาลเฮงซวย ความจริงแก้ไม่ยากหรอก...รัฐบาลเฮงซวย ลบคำว่าซวยออกก็จบแล้ว ก็เหลือแต่รัฐบาลเฮง แต่คราวนี้ดันลบไม่เป็น"
"ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม หน้าที่ของรัฐบาลคือดูแลประชาชนก่อน ต่อให้ดูแลไม่ได้ โทรศัพท์ไปให้กำลังใจก็ยังดี ให้สื่อมวลชนออกข่าว รัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีโทรคุยกับนักศึกษาที่อู่ฮั่น คะแนนเสียงก็ไหลมาเทมา
ถึงได้บอกว่ารัฐบาลของเราเสียที โดยเฉพาะรัฐบาลทหาร อาตมาศึกษาวิชาทหารมานี่ซาบซึ้งเลย วิธีปฏิบัติการทางจิตวิทยานี่สำคัญที่สุด ผิดก็สามารถว่าจนถูกได้ แต่เขาไม่ได้ทำ อาจจะมองข้ามตรงจุดนี้ เห็นว่าตัวเองมีอำนาจ ใครก็ไม่กล้าหือ ไม่จำเป็นต้องเอาใจใคร
ตั้งแต่โบราณมาแล้ว พิชัยสงครามซุนวูว่าไว้ ‘น้ำสามารถประคับประคองเรือได้ ก็ล่มเรือได้’ หมายถึงว่าประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล หรือสนับสนุนฮ่องเต้สมัยก่อน สนับสนุนให้คุณขึ้นไปที่สูงได้ ก็สามารถที่จะทำให้คุณตกลงมาได้ เป็นที่น่าเสียดายว่าคนเราพอขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว เบื้องล่างมักจะชงแต่เรื่องดี ๆ เรื่องที่ไม่ดีก็ช่วยกันปกช่วยกันปิด
แม้กระทั่งวัดท่าขนุนก็เป็นอย่างนี้ ประเภทที่ "อย่าพูดไป..เดี๋ยวหลวงพ่อรู้" น่าด่ามาก..! แล้วโดยเฉพาะอาตมาเอง ถ้าไม่มีคนฟ้อง หรือเรื่องไม่ได้เกิดขึ้นต่อหน้า ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ไว้เสมอ ลีลานี้เป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็ประเภทเก่งแต่ตอนปิดบัง พอเรื่องใหญ่ขึ้นมาแก้ไขไม่ได้ อาตมาก็เหนื่อยกว่าเดิม แต่จะทำอย่างไรได้ ไม่ยอมบอกอะไรสักคำ ทีเรื่องไม่เป็นเรื่องกลับขยันพูดกันนัก"
"สรุปแล้วไม่ว่าจะองค์กรเล็ก ๆ อย่างในครอบครัว อย่างในวัดก็เป็นอย่างนี้ องค์กรใหญ่ ๆ อย่างรัฐบาลก็เป็นอย่างนี้ ความจริงระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือว่ารัฐมนตรีกระทรวงโน้นกระทรวงนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ฯลฯ จะต้องมีสติสัมปชัญญะ รู้คิดรู้ตรอง อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ไม่ใช่ถึงเวลาสื่อมวลชนถามหน่อยเดียวเท่านั้น ก็ปากไวว่าล่วงหน้าไปก่อน
สมัยนี้การสื่อสารมีสารพัดช่องทาง บอกว่านักศึกษาที่อู่ฮั่นอยู่ดีกินดี ปรากฏว่าข่าวทั่วไปบอกว่าจะอดตายอยู่แล้ว เสบียงอยู่ได้อีก ๒ วัน อยู่ได้อีก ๑ วัน ไม่มีแล้ว หาซื้อไม่ได้ ข่าวพวกนี้เต็มไปหมด จะไปบอกว่าเป็น Fake news ก็คือข่าวลวงข่าวปลอม พอถึงเวลาเขาก็สามารถตรวจสอบได้ เพราะว่าคนที่เป็นญาติเขาโทรติดต่อกันได้"
"สมัยคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ปัจจุบันนี้เป็นด็อกเตอร์แล้ว เป็นรุ่นน้องอาตมาเอง เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ท่านเรียนก่อนแต่จบทีหลัง อาตมาไม่ค่อยจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อรุ่นพี่เท่าไรหรอก แซงได้เป็นแซง
ตอนนั้นรู้สึกว่าจะมีเรื่องไข้หวัดซาร์ส นั่นแหละ..ต้องทำอย่างนั้น คุณสุดารัตน์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขสั่งการเลย ติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิทุกสนามบิน รับมือได้ดีมาก จนกระทั่งต่างประเทศให้คำชม คือเรื่องสมัยนี้คุณจะประเภทมีฝีมือหรือไม่มีฝีมือไม่รู้ ต้องทำงานออกสื่อไว้ก่อน พอสื่อเขาลงข่าวก็ออกไปทั่วโลก
อย่างปัจจุบันไข้หวัดอู่ฮั่น ประเทศไทยของเราได้รับคำชื่นชมมาก พบคนไข้กี่รายรักษาได้ ยังไม่มีตาย คนที่หายกลับบ้านไปตั้งหลายรายแล้ว ถึงจะระบาดขนาดไหนก็ตาม เชื่อเถอะ..บ้านเราเอาอยู่ เพียงแต่ว่าข่าวที่ไม่ดีไม่งามส่วนอื่นจะมากลบความดีตรงนี้ไป
บางทีสื่อมวลชนต้องการให้ชาวบ้านตระหนัก แต่ดันไปทำให้ชาวบ้านตระหนก ทำให้ไม้หันอากาศหายไป ‘พบผู้ป่วยในประเทศไทย ๕ ราย เป็นอันดับที่ ๒ ของโลก’ ฟังแล้วกูจะบ้า..! ‘พบผู้ป่วยในประเทศไทย ๕ ราย รักษาหายแล้ว ๕ ราย’ ก็ว่าไปสิ ถ้าต้องการให้ชาวบ้านเขาตระหนักว่าโรคนี้ระบาดในไทย ใช้วิธีอื่นก็ได้ แต่ไม่ใช่ประเภทไปแย่งอันดับโลก กลัวจะไม่ได้อันดับสูง ๆ ไอ้นั่นบ้า..!"
"เรื่องแบบนี้อาตมาไม่ควรที่จะมานั่งพูด แต่ที่ต้องมานั่งพูดเพราะว่าบางส่วนมีลูกศิษย์พอที่จะเป็นใหญ่เป็นโตติดตามอยู่บ้าง ถึงเวลาอาตมาด่าตรงนี้ก็ไปเข้าหูเขาเอง ส่วนเข้าแล้วจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
"สมัยหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านทำธงเขียวธงแดง ธงเขียวหรือว่าธงท่านปู่พระอินทร์และธงแดงของท้าวเวสสุวรรณเอาไว้กันโรคระบาดโดยเฉพาะ รุ่นหลัง ๆ นี่หายากแล้ว โดยเฉพาะพวกดูลายมือของหลวงพ่อไม่เป็น...เสร็จทุกราย
ปัจจุบันนี้มีบันทึกส่วนหนึ่งที่เป็นวิชาความรู้คาถาอาคมต่าง ๆ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วคนเขาก็ไปลงว่าเป็นลายมือหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาดูก็รู้ เล่มนี้ลอกกูไปทั้งดุ้น..! แล้วเนื้อหาข้างเคียงก็สำนวนของกู...จำได้ แต่คราวนี้จะใช่ลายมือหรือไม่ใช่ก็ตาม เนื้อหาหรือคาถาอาคมข้างในก็ใช้การได้ เอาไปฝึกได้ ไม่ใช่ไปนั่งเถียงกันว่าลายมือของหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือเปล่า ?
ต่อให้คุณได้ลายมือของหลวงพ่อที่แท้จริงไป แล้วคุณไม่ฝึกไม่อะไรเลย นอกจากเก็บเอาไว้อวดชาวบ้าน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ? แล้วบางส่วนก็ลอกเอาข้อความในอินเตอร์เน็ตไปลงที่โน่นที่นี่ แล้วก็บอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงพูดไว้อย่างนี้ แต่สำนวนนี่วัดท่าขนุน ๑๐๐% คืออาตมาบอกว่าหลวงพ่อท่านพูดอย่างนี้ แล้วก็มีเนื้อหาอื่นบวกเข้าไปด้วย แล้วเขาก็ลอกไป แล้วบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงพูดแบบนี้ ทางต้นสังกัดก็เถียงตายชักเลย..!
เพราะฉะนั้น..อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น พอถึงเวลาทำให้เขาไปเกิดกิเลสถกเถียงกัน โดยเฉพาะคำทำนายนารีขี่ม้าขาว เขาเอาสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงพูดไปปะหัวไว้หน่อยหนึ่ง ปิดท้ายไว้หน่อยหนึ่ง แล้วตรงกลางก็บอกว่าเป็นคำทำนายของหลวงพ่อท่านทั้งหมด การทำลักษณะอย่างนี้เจตนาให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อน สมควรที่จะโดนความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์"
"ยังดีที่วัดท่าซุงมีเว็บไซต์อยู่ เรื่องเหล่านี้มีลงอยู่ในเว็บ ก็พอที่จะตรวจสอบกันได้ แต่ถ้าคนที่ไม่ตรวจสอบแล้วไปเชื่อเลย แล้วเอาไปแพร่กระจายต่อ ไม่มากหรอก...ทีละ ๕ คนก็พอ คนหนึ่งบอกต่อ ๕ คน ๕ คนนั้นบอกต่อก็ ๒๕ คน ถ้า ๒๕ คนบอกต่อ ๑๒๕ คน พักเดียวก็กระจายเป็นพันเป็นหมื่นคน แพร่ได้เร็วกว่าไวรัสอู่ฮั่นอีก..!
อาตมาเองเห็นว่าไวรัสระบาดจากตลาดขายสัตว์อู่ฮั่น พอกำหนดใจลงไปถึง เจ้าประคุณเถอะ..พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด กรูกันมาเป็นล้านเลย มาขอบุญกับมาฟ้องว่าโดนเขาฆ่า อาตมาไม่ใช่พระยายมนะเว้ย..! มาฟ้องทำซากอะไร...! อยากจะฟ้องก็ไปฟ้องพระยายมโน่น ก็ได้แต่อุทิศส่วนกุศลให้ แผ่เมตตาให้ ปลอบใจกันไป ไปเจอคนเขาจะกินเอ็งแล้วจะทำอย่างไรได้ ทั้ง ๆ ที่บางอย่างหน้าตาก็ไม่ได้น่ากินสักนิดเดียว"
พระอาจารย์ฉันยาสมุนไพร "หลังจากเคี้ยวยาไป สรุปว่ายาออกฤทธิ์ได้ประมาณ ๒๐ นาทีก็หมดแล้ว คือร่างกายของอาตมาไวต่อสิ่งกระทบมาก อาจจะเพราะความเคยชินที่ดูกายดูจิตตัวเองอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้น..อะไรที่เกิดขึ้นจะรู้เร็ว เมื่อประมาณ ๒๐ นาทีก่อน ยาออกฤทธิ์แรงมาก อาจจะเป็นเพราะเชื่อท่านที่บอกว่าให้เคี้ยวไปเลย ตอนนี้หมดฤทธิ์แล้ว สรุปว่ากินยาวันละ ๓ รอบ ๔ รอบหลังอาหาร"
พูดถึงวัตถุมงคลในตู้ "ประคำหนังหน้าผากเสือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ในชีวิตอาตมาเคยเจอแค่ ๒ เส้น คุณคิดว่าหนังหน้าผากเสือหาง่ายมากใช่ไหม ?
ถ้านับในเรื่องการหายาก ประคำหนังหน้าผากเสือของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หายากกว่าประคำผงยาจินดามณีของหลวงปู่บุญอีก แล้วเส้นนี้สมบูรณ์สุด ๆ ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะขาดหรือป่นไปเลย
ประคำหลวงปู่ศุข ส่วนใหญ่ทำด้วยกะลาตาเดียว ด้วยความที่วัสดุหายาก ก็จะมีกะลาตาเดียวเป็นหลัก มีงาช้างกำจัดมาบ้างตามโอกาส"
โยมยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ไหว "ยกไม่ไหวเพราะว่าใจไม่สู้ ถ้าใจสู้ หนักกว่านั้นก็ไหว เรื่องของใจสู้ ต้องเป็นสติ สมาธิ ปัญญาที่สั่งสมกันมาข้ามชาติข้ามภพ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจองตะกรุดพยัคฆราชเอาไว้ ลงไปรับข้างล่างนะ เจ้าหน้าที่มาแล้ว ส่วนใครที่ยังไม่มีแล้วอยากได้ ก็ไปจ่ายเงินตรงนั้นเลย ยังพอเหลืออยู่นิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก...ทดลองทำเพื่อลองวิชา มีความรู้ มีวัสดุอยู่ ก็เลยลองทำเล่น ๆ เป็นการทำเล่น ๆ แต่เอาจริง..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทำบุญบ้านเติมบุญ วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๓"
ถาม : ปกติสีผึ้งหลวงปู่ทาบจะสีเขียวกว่านี้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเขียวจะเขียวมีประกาย
ถาม : รู้สึกว่าอันนี้เนื้อจะนิ่มด้วย ไม่แข็ง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะแข็ง แต่อันนี้ยังกดลง...ไม่น่าใช่
ถาม : พวกผมตั้งใจทำแอพพลิเคชั่นขึ้นมาเพื่อให้พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ได้มีโอกาสสวดพระคาถาเงินล้านกัน ปีนี้ทำโครงการให้ได้ครบ ๒๐ ล้านจบ ?
ตอบ : อย่าตั้งเป้าหมายที่สูงเกิน เพราะว่าถ้าไปตั้งสูงมาก แล้วเขาจะเร่งสวดให้ได้จำนวนจบ คุณภาพก็ไม่มี อย่างที่บอกว่า ๑๒ ล้านจบ เฉลี่ยแล้วรู้สึกไม่หนักเกินไป เพราะว่าประมาณเดือนละหนึ่งล้านจบ ยกเว้นว่าสมาชิกของเรามากขึ้นเป็นเท่าตัวแล้วค่อยไปขยายให้มากขึ้นตามไป
ถาม : ปัจจุบันนี้เริ่มมีคนเข้ามาเยอะขึ้น ก่อนวันงานสวดพระคาถาเงินล้านมีคนแค่ ๓๐๐ กว่าคนที่ส่งยอด ปัจุจบันนี้ ๔๑๓ คน สวดเฉลี่ยก่อนวันงานประมาณ ๕๕,๐๐๐ จบต่อวัน ปัจจุบันนี้ ๗๔,๐๐๐ จบต่อวัน พวกผมพยายามทำให้เป็นเว็บส่วนกลาง ไม่ได้อิงว่าวัดไหนเป็นหลัก เพื่อสร้างสามัคคี เน้นเรื่องการปฏิบัติบูชาเป็นหลัก ?
ตอบ : ดูไปสักปีหนึ่งว่าเขาทำได้ถึงระดับไหน หรือว่าสม่ำเสมอแค่ไหน หลังจากนั้นเราค่อยไปกันกำหนดยอดระดับที่ ๒๐ ล้านจบ
ถาม : ในเพจมีกิจกรรมให้ทุกคนมาตั้งสัจจะว่า ปีหนึ่งอยากสวดประมาณเท่าไร เช่น บางคนก็วันหนึ่ง ๓๐ จบ ๕๐ จบ ปัจจุบันก็มีตั้งสัจจะไปแล้ว ๓๕๗ คน
ตอบ : เอาแค่ประมาณนั้นก่อน ส่วนเกินมาถือว่าเป็นกำไร
ถาม : เรื่องที่จะกราบเรียนมีแค่นี้ครับ กลัวเรื่องงานพระคาถาเงินล้านที่สุดครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัว..เละไปแล้ว..! คือคนเราเวลาจะทำบุญเขาไม่สนใจหรอก มีอย่างเดียวคือกูต้องทำให้ได้ ในเมื่อกูต้องทำให้ได้ มีทางเดียวก็คือต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อม ถึงเวลากันคนเอาไว้ก่อน พอพระท่านลงจากเวทีแล้วค่อยปล่อยเขาเข้าไปทำบุญ ของพวกเราครั้งนี้ต้องบอกว่าขาดประสบการณ์ ก็เลยเละเป็นโจ๊ก ถ้าดูอย่างวัดท่าขนุนก็จะเห็นว่ามีการขอเวลาจัดสถานที่ ซึ่งจำเป็นเพราะว่าคนมีจำนวนมาก แต่เราก็ยังหยุดคนเอาไว้ได้ ของพวกเราที่นี่ต้องกันคนไว้ก่อน หาทีมงานสักทีมเอาไว้ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ
ขอบคุณทุกคน...เหนื่อยแล้วยังโดนด่าอีก เวลาทำงานต้องหน้าด้านหน้าทน โดนด่าแล้วก็แก้ไขไปเรื่อย กว่าจะอยู่ตัวก็อีกหลายรอบ บางรายโดนไปทีเดียวก็เข็ด ไม่กล้าทำงานอีกเลย น่าเสียดาย...ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เอามาพัฒนาหรือเอามาแก้ไขเลย
มีอยู่จุดหนึ่งก็คือก่อนงานควรที่จะประชุมทุกฝ่าย แล้วก็มอบงานให้ขาดไปเลยว่าใครรับผิดชอบอะไรด้านไหน ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาก็ประเภทลังเล ไม่กล้าตัดสินใจอะไร ฝ่ายไหนเขาทำงานก็นัดแนะกันมาประชุม มอบหมายงานให้ขาดไปเลย ใครดูแลสถานที่ ใครดูแลจราจร ใครดูแลอาหาร ใครต้อนรับพระ คุณรับหน้าที่ไปแล้ว สามารถตัดสินใจได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่อะไร ๆ ก็ต้องถาม "เอกกร" อะไร ๆ ก็ต้องถาม "ทิดกวาง" ถ้าอย่างนั้นจะมีทีมงานไปทำอะไร ?
ถาม : โยมอยากให้น้องชายเขาหันหน้ามาทำพวกสมุนไพรรักษาโรค เขาจะมีโอกาสมีวาสนาไหมคะ ?
ตอบ : อยากก็ทำ มัวแต่ไปถามว่ามีวาสนาไหม อยากทำก็ต้องมีสิวะ ไม่มีจะไปอยากอย่างไร แปลว่าตีขลุมไม่เป็น ถึงเวลาของใคร..เราเอาด้วย ถึงเวลาใครได้..เราต้องได้ด้วย ต้องกำลังใจขนาดนั้น
ถาม : พี่นำน้องตามใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น น้องก็แซงหน้าได้ มัวแต่ไปนำอยู่ จะนำไปได้นานสักเท่าไร ?
ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
ตอบ : ไปเถอะ...ทำแล้วดูแลให้ดี พูดง่าย ๆ ว่าทำเอาดังไปเลย อย่าไปทำทีละนิดทีละหน่อย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนที่ยังไม่ได้ถ่ายรูปตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรไปให้ พวกเราก็ยังไม่เห็นว่า ๓ อย่างต่างกันตรงไหน พอถ่ายให้ดูแล้วถึงจะเห็นว่าต่าง แต่ว่าบางส่วนก็คล้ายกัน อย่างส่วนใบหน้า หรือไม่ก็บริเวณใกล้ท้องจะมีลาย ถ้าได้ส่วนนั้นไปบางคนก็สงสัยว่าเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นส่วนลำตัวเราจะเห็นชัดเลย ใครได้ไปแล้วก็อย่าไปงง ตัวเองจองแบบไหนเอาไว้ก็เป็นแบบนั้นแหละ"
"ความจริงของพวกนี้อาตมาไม่ได้ไปแสวงหานะ พอดีมีลูกศิษย์ที่เป็นป่าไม้ เขาไปจับแล้วยึดของกลางมา บอกว่าถ้าส่งของกลางไปก็โดนเขาอมหมด ถ้าอย่างนั้นเอามาถวายพระอาจารย์ดีกว่า เรื่องนี้ก็เป็นอันว่ารู้กัน ห้ามเผยแพร่ต่อ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวทำงานยาก ในเมื่อสายครูบาอาจารย์เขามี ก็เอามาลองทำตามนั้นดู"
"เรื่องของพวกตะกรุดหนังเสือหรือตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ถ้าเอาดังที่สุดก็คือหลวงปู่นาค วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง หรือของท่านเจ้าคุณสว่าง วัดเทียนถวาย ก็ดังใกล้เคียงกัน คู่นี้ท่านเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน หลวงพ่อสว่างท่านทำแล้วเสก ๓ เสาร์ ๕ ถึงจะเอาออกให้บูชา ก็เลยกลายเป็นของทำยากหายากไป
ถัดไปที่มีชื่อเสียงคือของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก และที่ดูแล้วไม่เหมือนหนังหน้าผากเสือก็จะเป็นของหลวงปู่นอ วัดกลางท่าเรือ เพราะว่าท่านเอาเฉพาะหนังหน้าผากเสือมาทำแล้วเหี่ยวย่นไม่คงรูป ท่านก็เลยจารตะกรุดม้วนเป็นแกนก่อน เอาหนังหน้าผากเสือพันทับไว้ แล้วค่อยถักเชือกอีกที ต้องช่างสังเกตถึงจะรู้ที่มาที่ไป ต้องเคยเห็นของจริงถึงจะดูออกว่า เป็นตะกรุดหนังเสือหรือเป็นตะกรุดธรรมดา
อีกรายหนึ่งก็หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ท่านทำแล้วพอกครั่ง แยกง่ายหน่อย แต่ก็มีตะกรุดใบลานพอกครั่งด้วย ต้องคอยสังเกตว่าใช่หน้าผากเสือหรือเปล่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของโรคระบาดเกิดจากกรรมปาณาติบาตทั้งนั้น ถ้าเป็นพวกเต๋าเขาบอกว่าเกิดจากแรงพยาบาท ก็คือไปฆ่าสัตว์เอาไว้มาก ฆ่าคนเอาไว้มาก ยิ่งเขาตายแบบทุกข์ทรมานเท่าไร แรงพยาบาทก็มาก
แต่ถ้าพุทธของเรา ในเรื่องของกรรมก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าเราเองจะใช้คำว่า "เข้าถึง" ได้มากกว่าก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่าปล่อยวางได้มากกว่า พวกเราเห็นว่าเป็นกฎของกรรม เราทำเราก็ต้องรับ แต่ทางเต๋านั่นเขาไปรวบยอดเอาตั้งแต่ตอนต้น ว่าจิตของบุคคลที่โดนฆ่า หรือสัตว์ที่โดนฆ่าก็ย่อมโกรธแค้นอาฆาต ถึงเวลาก็มาอยู่ในลักษณะล้างแค้น ถ้าเป็นของศาสนาพุทธก็คือกรรมสนอง ก็ต้องมีเจ็บมีป่วยมีอะไรเป็นปกติ ถ้าทำเอาไว้มากก็ตาย"
"โรคระบาดสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วหมอเก่ง โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ คุณหมอปัญญาประดิษฐ์นี่เก่งมาก ดึงเอาข้อมูลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาประมวลภายในไม่กี่นาที ก็บอกได้ว่าควรจะรักษาอย่างไร ไม่เหมือนสมัยโบราณ ไข้หวัดระบาดทีหนึ่งตายกันเป็นล้าน ไข้เหลืองระบาด กาฬโรคระบาด อหิวาตกโรคระบาด ฯลฯ
อย่างที่เขาบอกว่าอาณาจักรอู่ทองล่มสลายไปเพราะว่ามีโรคระบาด แต่จริง ๆ แล้วโรคที่น่ากลัวที่สุดก็คือโรคอดอยาก เพราะว่าทางน้ำเปลี่ยน เมื่อทางน้ำเปลี่ยนไม่ไหลมาทางเมือง ก็ไม่สามารถที่จะเพาะปลูกได้ เกิดข้าวยากหมากแพง ลำบากขึ้นมาก็ต้องอพยพไปหาที่เหมาะสมใหม่ ถึงได้สร้างบ้านแปลงเมืองกันใหม่ ก็ไปสร้างเป็นอยุธยาขึ้นมา เพราะฉะนั้น..บางอย่างบอกว่าย้ายหนีเพราะโรคระบาด แต่อาตมาเห็นว่าอู่ทองย้ายหนีเพราะว่าแห้งแล้ง ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ ข้าวยากหมากแพง"
"วันก่อนไปพุทธาภิเษกและหล่อพระที่วัดสี่แยกเจริญพร หลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมก็ไป ท่านบอกว่าปีนี้แล้งจริง ๆ อู่ทองบ้านผมน้ำใต้ดินยังไม่มีเลย เพราะว่าส่วนใหญ่พอถึงเวลาน้ำจากคลองชลประทานไปถึงก็แย่งกันสูบ แย่งกันดูด ทางด้านท้าย ๆ น้ำก็ไปไม่ถึง ไม่พอใช้ ก็ใช้วิธีดูดน้ำบาดาล พอดูดน้ำบาดาลมาก ๆ น้ำบาดาลหมด คราวนี้ใต้ดินกว่าที่จะสะสมน้ำได้ใช้เวลาเป็น ๑๐ เป็น ๑๐๐ ปี ไปดึงขึ้นมาใช้หมด น้ำใต้ดินไม่มี น้ำบนดินมาไม่ถึง ก็ลำบาก
ตอนนี้กาญจนบุรีประกาศเป็นเขตภัยพิบัติจากภัยแล้งไปแล้ว เพราะว่าทางด้านเลาขวัญ ห้วยกระเจา ฝนไม่ตกมา ๗-๘ เดือน ส่วนหนึ่งที่ฝนไม่ตกเกิดจากการระเบิดหิน เขาไม่รู้กัน ว่า พอระเบิดหินแรงที่ดันขึ้นไปข้างบนจะดันเมฆหนีหมด เมื่อดันเมฆหนีไปหมด แล้วจะเอาความชื้นที่ไหนมาตกเป็นฝน ?
ทางด้านของอู่ทอง ทางด้านด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เขามีการระเบิดหินกัน จนกระทั่งที่อู่ทองต้องหยุดระเบิด เพราะว่าทางด้านป่าไม้มีคำสั่งห้าม กรมทรัพยากรธรณีต้องงดออกประทานบัตร แล้วหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล วัดป่าเลไลยก์ ก็เลยไปสร้างเป็นหลวงพ่ออู่ทองใหญ่ที่สุดในโลก ก็คือใช้พื้นที่ซึ่งเขาระเบิดหินนั่นแหละไปทำต่อ คราวนี้แรงระเบิดที่ดันออกไป ๆ พวกใกล้เคียงอย่างห้วยกระเจา เลาขวัญเดือดร้อนไปด้วย เพราะว่าทำให้ฝนไม่ตก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้อาตมานั่งลงบัญชีอยู่ข้างบน ก็เห็นว่าเรื่องของการถวายทองคำหล่อพระนั้น พวกเราบางทีก็ถวายไปเรื่อย ไม่เขียนชื่อมาบ้าง ส่งทางไปรษณีย์บ้าง
การส่งทองคำทางไปรษณีย์ต้องบอกว่ากล้าหาญมาก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนล้วงไปตอนไหน บางทีไปรษณีย์มาส่งที่วัดเป็นกล่องพัสดุกล่องใหญ่ แกะเข้าไปข้างในมีแต่เศษกระดาษเป็นขยุ้ม ๆ ค้นไปค้นมาถึงก้นกล่อง เอาเทปใสแปะติดก้นกล่องไว้ เป็นทองคำครึ่งสลึง เขาก็ส่งมากันได้เหมือนกันนะ
สมัยนี้บางทีเขาสุ่มเอ็กซเรย์ดูเพื่อหาของผิดกฎหมาย ถ้าไปเจอเข้า คนอยากได้บางทีก็ล้วงไปเลย แล้วไปรษณีย์เขาก็มีระเบียบว่าคนลงทะเบียนแบบนี้ หรือทำประกันแบบนี้จะคืนให้เท่าไร ถ้าของราคาแพงส่งไปแล้วหายก็จะไม่คุ้มค่า"
สนทนากับพระ "ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะไปธุดงค์แล้ว กลายเป็นว่าเรื่องสนุก ๆ ที่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ เวลานอนในป่ามีความสุขมาก รู้สึกว่าตัวเราก็แค่นี้ ถ้าตายก็ไปอยู่กับพระดีกว่า อารมณ์ใจเหลืออยู่หน่อยเดียวเท่านั้น
บางเวลาพอกำลังใจรวมตัวเข้า ก็จะมุ่งไปทางเดียว ไม่เอาอย่างอื่นเลย แม้กระทั่งเรื่องไม่ดียังไม่อยากจะคิด พอนานไป ๆ ส่วนของอกุศลกรรมจะลดน้อยถอยลง กุศลกรรมมากขึ้น ๆ ทำให้เรามีความกล้าในการตัดสินใจ ในการคิด ในการพูด ในการทำ ก็จะมุ่งไปในด้านดีมากกว่า ถึงเวลานั้นอะไร ๆ ก็รั้งไม่อยู่แล้ว แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวช ขนาดลูกชายเพิ่งจะคลอดก็ทิ้งแล้ว ไปก่อน...เอาตัวให้รอดก่อน เดี๋ยวกลับมาจะได้ช่วยเขาให้รอดได้ไปด้วย"
ถาม : ตอนธุดงค์มีชาวบ้านพิเศษมาใส่บาตรไหมครับ ?
ตอบ : ก็มีนะ บางทีก็รู้เลย บางทีก็มาจับได้ทีหลัง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนแล้วว่า เราต้องการแค่อาหาร ส่วนเขาจะเป็นใคร มาจากไหน ไม่ต้องไปสนใจเขา
ครั้งแรกก็ไม่ได้คิด เพราะกำหนดใจแค่ว่า วันนี้เราเดินบิณฑบาตจะมีใครใส่บาตรบ้าง ก็เห็นมีผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ใส่เสื้อแขนยาวเก่า ๆ ใส่ผ้าถุงเก่า ๆ แล้วผมก็ไปตามปกติ พอเดินไปถึง เขามาดักใส่บาตร ก็ใส่ชุดเหมือนกับที่เห็นพอดี แต่คราวนี้ตอนที่ก้มลงเปิดบาตร แปลกใจว่าทำไมเสื้อผ้าของเขาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ชั้นหนึ่ง เหมือนกับมองทะลุเข้าไปเห็นอีกชั้นหนึ่ง ก็เลยปิดบาตร บอกว่า “เดี๋ยว...คุยกันก่อน เธอเป็นใคร ? มาจากไหน ?”
เขาจึงทำให้ดูว่าเป็นรุกขเทวดาอยู่แถวนั้น บอกว่าบุญน้อย อยากจะใส่บาตรสร้างบุญให้กับตัวเอง อาตมาก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วย" เขาก็สาธุ สวยแพรวพราวเป็นระยับไปทั้งองค์ แล้วเขาก็ไปเลย อ้าว...แล้วกัน...! ไม่ใส่บาตรแล้ว จนต้องจำเป็นบทเรียนเลยว่า ต้องรอเขาใส่บาตรเสร็จก่อน
ตอนนั้นเขาตั้งท่าจะใส่บาตร ผมดันไปขี้สงสัย ด้วยความที่เห็นว่าเขาอยากจะได้บุญ ก็เลยอุทิศให้ไป ลืมไปว่าที่เขามาใส่บาตรเพราะว่าเขาต้องการบุญ พออุทิศให้เขาไม่จำเป็นต้องใส่บาตรแล้ว เขาก็ไปเลย นี่เป็นบทเรียนของพระธุดงค์มือใหม่ ต้องรอให้เขาใส่บาตรเสร็จก่อนแล้วค่อยอุทิศส่วนกุศลให้
ถาม : หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นท่านต้องนิ่งสักครู่ ?
ตอบ : อันนั้นสำหรับไปขอกับต้นไม้ แต่ถ้าไม่ได้ขอกับต้นไม้ ถ้าเขามาใส่ก็รับ ๆ ไปเลย เพียงแต่ว่าอย่าไปทำตัวขี้สงสัย ขืนไปขี้สงสัย เดี๋ยวเขาไม่สงเคราะห์ก็ซวยไป
ถาม : ถ้าพระที่ไปด้วยกัน เอ่ยถามขึ้นมาก็จะไม่ได้เลย ?
ตอบ : ส่วนใหญ่อาตมาไปไหนก็ไปคนเดียว ไม่ค่อยได้ไปกับใคร เพราะว่าเขาเดินกันไม่ไหว บางรายนี่อาตมาเดินไป ๔-๕ จังหวัดแล้ว ท่านเพิ่งขยับไปได้วัดเดียว จริตนิสัยไม่เหมือนกัน ท่านค่อย ๆ ไป ส่วนอาตมาเองเดินภาวนาไปเรื่อย บางวันไม่ทันรู้ตัว เดินข้ามจังหวัดไปเลย ก็คือเวลาเดินภาวนาแล้วไม่เหนื่อย ไปเรื่อย ๆ มารู้ตัวอีกที อ้าว...เมื่อเช้ายังอยู่อุ้มผาง จังหวัดตากเลย นี่ห้วยขาแข้ง อุทัยธานีนี่หว่า..!
ถาม : ป่าไม่มีหลักเขตหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี แต่จะมีจุดเด่นอยู่ที่เราจะรู้ว่าเป็นที่ไหน โผล่ไปถึง อ้าว...นี่ห้วยขาแข้งแล้วนี่ เพราะฉะนั้น..คนอื่นเขาเลยตามไม่ค่อยจะไหวกัน ระยะแรก ๆ ก็มีพระลูกศิษย์ตามไปบ้าง ตามไปตามมาถึงเวลาท่านเหนื่อยมาก ท่านก็ไม่ไปด้วย ตอนหลังก็ปล่อยให้ท่านไปกันเอง
เรื่องของการธุดงค์ต้องตั้งใจไปตาย ก็แปลว่าถ้าไม่ได้หลักธรรมที่ตัวเองต้องการ ถึงจะแลกด้วยชีวิตก็ต้องยอม คราวนี้พอไปแล้วก็จะเจอพวกคน พวกสัตว์ พวกภูตผีปิศาจ ฯลฯ พอเจอมากเข้า ๆ ทำให้เกิดความมั่นใจว่า ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัยไปได้ ทำให้ใจของเรายึดมั่นในพระรัตนตรัยมากขึ้นไปเรื่อย จนกลายเป็นต้นทุนของความเป็นพระโสดาบัน เพราะว่าใจจะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริง ๆ ยึดจริงยึดจัง ยึดชนิดไม่ยอมปล่อย เพราะเห็นแล้วว่าเหนือกว่าทุกอย่าง มีคุณค่าที่สุด
คราวนี้พอเรายึดด้วยความเคารพนับถือจริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กฎเกณฑ์กติกาความเป็นพระโสดาบันก็อยู่ใกล้นิดเดียว แค่ไปไล่กวดศีลของตัวเองให้บริสุทธิ์เท่านั้น
เพราะฉะนั้น..เรื่องของการธุดงค์ ถ้าไม่ใช่พิจารณาแล้วเข้าถึงธรรมจริง ๆ ผลประโยชน์ที่เห็นชัดก็คือตรงจุดที่ว่า คุณพระรัตนตรัยกำจัดทุกข์กำจัดภัยได้จริง ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัยอีกแล้ว ทำให้ใจของเรายึดมั่น แล้วตอนหลังก็อาศัยเป็นบันไดให้เราก้าวไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้น แต่ถ้าใครพิจารณาธรรมแล้วเข้าถึงระดับสูงกว่านั้น นั่นก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวของท่านเอง
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๓ ไปบรรยายธรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเด็กถามว่า ต้องเรียนหนังสือ แต่อยากภาวนาทั้งวัน ทำอย่างไรถึงจะทำได้ ? จึงบอกเขาไปว่าให้เอาหนังสือเป็นคำภาวนา อ่านหนังสือก็เท่ากับว่าเราภาวนาไปด้วย เพียงแต่ว่าเป็นคำภาวนาที่ยาวมาก ตอนอ่านหนังสือให้กำหนดลมหายใจเข้าออกตามไปด้วย ตั้งใจกำหนดรู้ลมตามไปทุกคำ ทุกประโยค
ถ้าเราทำเรื่องพวกนี้ได้ โดยเฉพาะพระเณรที่เรียนบาลีจะได้เปรียบเขา พอถึงเวลาสมาธิดีก็จำแม่น สอบได้ หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน ท่านเคยเล่าให้ฟัง ท่านจะสอบประโยค ๔ กำลังท่องหนังสืออยู่ก็สงสัย ไอ้เราอยู่ที่นี่ แล้วไอ้ข้างล่างนั่นใครวะ ? มองไปมองมาก็ตัวเราเองนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วตัวนี้มันคือใคร ? ลอยอยู่บนหลังคา มองลงไปเห็นตัวเองข้างล่าง
คือท่านตั้งใจท่องบาลี จนกายในหลุดออกไปไม่รู้ตัว งงอยู่เป็นนานกว่าจะแยกออกว่าอะไรเป็นอะไร ถึงได้บอกว่า เรื่องของการเรียน ถ้าใช้การเรียนเป็นคำภาวนาก็จะได้เปรียบคนอื่นมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้นาคกำลังฝึกขานนาคอยู่ที่วัด ๗ รูป เป็นทิดเก่าอยู่หนึ่งคน ถึงเวลาออกไปไม่ประสบความสำเร็จก็เลี้ยวมาใหม่ คือความจริงถ้าอยู่ยาวก็ได้ตั้งหลายพรรษาแล้ว แต่ก็สึกไปเรื่อย เขาบอกว่า “หลวงพ่อบวชฟรีปีหนึ่งตั้ง ๔ ครั้ง รู้สึกว่าไม่ไหวก็ยังกลับมาทัน” ก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ..!”
พระอาจารย์นำวัตถุมงคลออกให้บูชา “สมเด็จคะแนนหลวงปู่นาค วัดระฆัง คิดองค์ละสามพันถ้วนก็พอ ใช้แทนหลวงพ่อโต วัดระฆังได้เลย จะบอกว่าอาตมามีสมเด็จคะแนนหลวงปู่นาค วัดระฆัง มากที่สุดในโลกก็ใช่ เพราะว่าสมัยก่อนจ้องเก็บเฉพาะสมเด็จคะแนน..องค์เล็กดี
หลวงปู่นาค วัดระฆัง หรือท่านเจ้าคุณพระเทพประสิทธินายก หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเจอท่านอยู่กับพระพุทธเจ้าบนจุฬามณี กราบเรียนถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้เป็นใคร ? พระองค์ท่านบอกว่านั่นคือท่านเจ้าคุณพระเทพประสิทธินายก วัดระฆัง เป็นพระอรหันต์มาหลายปีแล้ว ตอนนั้นหลวงพ่อท่านยังไม่ได้เป็นอะไร ...(หัวเราะ)...
คราวนี้หลวงปู่นาค วัดระฆัง นอกจากท่านจะรู้จักพระ ถึงเวลาทำพระเสกพระได้ อานุภาพเหมือนหลวงพ่อโต วัดระฆังเลย แล้วท่านยังเอาผงของหลวงพ่อโต วัดระฆัง ผสมลงไปอีกเยอะแยะ จัดว่าเป็นของดีราคาถูก ใช้แทนสมเด็จวัดระฆังได้แบบไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ เพราะว่าอย่างไรก็วัดระฆังด้วยกัน ถือว่าท่านเป็นศิษย์สายตรง”
เสียงโทรศัพท์ดัง พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “เคยเจอ..อาตมาใช้คำว่าโทรจิก ผู้หญิงโทรหาผู้ชายประมาณทุก ๓ นาที ท้ายสุดก็ไม่ต้องโทรอีก เพราะว่าผู้ชายเครียดจนเป็นมะเร็งตาย..! ชีวิตในครอบครัวต้องบอกว่า อย่าไปบีบเค้นกันมาก ยิ่งบีบมากเขาก็ยิ่งพยายามที่จะเล็ดลอดไป
ว่าแล้วเขาก็เอาดินเหนียวใส่มือแล้วลองบีบให้ดู ดินเหนียวก็ทะลักผ่านง่ามมือมา ถ้าปล่อยไว้เฉย ๆ ดินเหนียวก็ไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวก็กลับมาตายรัง เพราะฉะนั้น..ตำราขงเบ้งก็บอกแล้วว่า ถ้าแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้ รู้ไปทุกเรื่องก็เครียดตายเลย เที่ยวไปไล่ส่องเฟซฯ ส่องไลน์ ดูสไกป์เขา ประสาทจะกินเอา
ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รับเรื่องภายนอกบ้าง อย่างลิง ๓ ตัว ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดตาไม่ดู ปิดหูสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง จะนั่งสบาย รู้อยู่นะ แต่ทำยาก..ใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)...”
ถาม : แมวป่วยเป็นลูคีเมีย ...(ไม่ชัด)... เขาบอกว่าให้วางอุเบกขา เราก็ช่วยเต็มที่แล้ว ?
ตอบ : ก็ช่วยอย่างที่ช่วยนั่นแหละ มีโอกาสก็พาไปหาหมอ ถ้าพาไปหาจนหมดความสามารถแล้วยังจะตายอีก ก็ต้องยอมให้ตายแล้ว
จะได้เห็นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปิยะโต ชายะเต โสโก ปิยะโต ชายะเต ภะยัง ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์โศก ขนาดแมวยังทุกข์ได้ขนาดนี้ มีอยู่ทางเดียวก็คือ พยายามช่วยเขาเต็มที่แล้วก็ปล่อยวาง ถึงเวลาเขาจะเป็นอะไรก็ต้องเป็นไปตามวาระของเขา เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ได้แค่นี้ก็จบกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปีใหม่สากลผ่านไป ปีใหม่จีนผ่านไป ปีใหม่ไทยก็ใกล้เข้ามา อาตมาเห็นแค่ว่าแต่ละปีผ่านไปเร็วมาก คราวนี้ถ้าหากว่าใครรอ ก็จะรู้สึกว่ามาช้า อาตมาไม่ได้รอ ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เหมือนอยู่ไปแค่วันหนึ่ง ๆ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ทางคณะสงฆ์ของเราช่วงนี้ก็ต้องบอกว่า สถานการณ์ค่อนข้างอึมครึม ไม่ชัดเจน เนื่องจากว่ามหาเถรสมาคมมีมติแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาคแล้ว แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชไม่มีพระบัญชาออกตราตั้งให้ ก็เลยคาราคาซังมาจนทุกวันนี้
ส่วนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็รอแล้วรออีก ท้ายสุดแต่งตั้งให้คุณณรงค์ ทรงอารมณ์ รองผู้อำนวยการขึ้นเป็นผู้อำนวยการ แต่ว่าก่อนหน้านั้นก็ไปตั้งตำแหน่งให้คุณพงศ์พรที่ต้องบอกว่าเกษียณแล้ว เป็นตำแหน่งที่โน่นที่นี่ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันว่ามีใบสั่ง เพราะว่าต้องการให้คนของตนเองไปอยู่ควบคุม ซึ่งตั้งแต่คุณพงศ์พรไปเป็นผู้อำนวยการสำนักก่อนโน้น ก็เล่นงานเสียจนกระทั่งพระเถระผู้ใหญ่ต้องคดีไปตาม ๆ กันทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด ไม่มีการไต่สวน จับเข้าคุกเลย
ตอนนี้เรื่องคดีความต่าง ๆ ศาลก็กำลังจะตัดสิน ก็เหมือนกับมีการตั้งธงโดยการให้คุณพงศ์พรเข้ามามีอำนาจอยู่ในคณะรัฐมนตรี อยู่ในคณะผู้ดำเนินการเกี่ยวกับพระปริยัติธรรม ก็อาจจะทำให้มีการตัดสินไปในด้านที่เป็นผลร้ายต่อพระผู้ใหญ่
แต่เรื่องพวกนี้ก็ต้องค่อย ๆ ดูไป พระพุทธศาสนาสอนให้เราเชื่อกรรม โดยเฉพาะบุคคลที่สร้างกรรมกับผู้ไม่มีความโกรธเกลียดอาฆาตตอบ มักจะได้รับผลกรรมหนักทีหลังทุกรายไป”
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนตอนที่อยู่วัดท่าซุง พอเวลามีงาน หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ หลวงปู่มหาอำพันจะเป็นพระเถระที่หลัก ๆ แล้วไปเกือบทุกงาน ยกเว้นว่าถ้างานที่เป็นทางการก็มีหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา หลวงปู่สมเด็จฯ วัดราชผาติการาม แล้วก็หลวงปู่สมเด็จฯ วัดสระเกศที่ยังเป็นพระพรหมคุณาภรณ์อยู่ ไปร่วมงานด้วย และยังมีหลวงปู่เจ้าคุณพระราชอุทัยกวี หรือหลวงปู่พุฒ อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี วัดทุ่งแก้วที่มีชื่อเป็นทางการว่าวัดมณีสถิตกปิฏฐาราม ก็ไปร่วมงาน
คราวนี้การอยู่ท่ามกลางพระสุปฏิปันโนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระแสเย็นที่มาจากใจของท่าน ทำให้นั่งอยู่ได้เป็นวัน ๆ ไม่เบื่อไม่หน่าย แล้วนาน ๆ ครั้งอย่างหลวงพ่อมหาทองปอนด์ วัดม่อนธาตุ ก็จะไป น่าเสียดายว่าท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ก็ล่วงลับดับขันธ์กันไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วยุคนั้นสมัยนั้นก็ต้องบอกว่า เป็นนาทีทองที่คณะศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงได้มีโอกาสพบพระสุปฏิปันโน โดยเฉพาะหลวงปู่บุดดา ท่านอยู่ใกล้ที่สุด เพราะว่าอยู่แค่ชัยนาท แล้วตอนหลังถึงขยับไปสิงห์บุรี ก็ไปอยู่แค่บางระจันที่อยู่ติดกับชัยนาท”
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนพระไตรปิฎกต้องเสียเวลาหาตู้ใส่ สมัยนี้พระไตรปิฎกมาแผ่นเล็ก ๆ แผ่นเดียว ...(หัวเราะ)... ยุคสมัยเปลี่ยนไป แล้วมีท่านผู้มีจิตศรัทธาช่วยสงเคราะห์บรรดาผู้พิการทางสายตา หรือท่านที่ไม่มีเวลาจะอ่าน อ่านแล้วบันทึกเสียงให้ฟัง ต้องบอกว่าเป็นความเพียรที่ควรแก่การโมทนาเป็นอย่างยิ่ง”
โยมนำน้ำมันมะกอกมาถวาย “ไม่ใช่หาง่าย ๆ นะ แถวบ้านเรา สมัยก่อนประเทศไหนปลูกมะกอกเยอะ ๆ นี่เป็นมหาอำนาจ ส่งน้ำมันมะกอกออกไปขาย สมัยยุคอาณาจักรโรมันโน่น น้ำมันมะกอกกับเหล้าองุ่น ถ้าประเทศไหนทำได้ดี ดีไม่ดีก็จะพาศึกเสือเหนือใต้เข้ามาอีก เขาจะยึดประเทศเอาด้วย
ส่วนสมัยนี้เขาถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ใช้น้ำมันมะกอกทำกับข้าว อาตมาตอนเด็ก ๆ ใช้น้ำมันหมู ตอนหลังทางด้านอเมริกาอยากจะขายถั่วเหลือง ก็ไปให้นักวิชาการไร้จรรยาบรรณช่วยกันเขียนผลงานวิจัย ว่าน้ำมันหมูมีโทษอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็ให้กินน้ำมันถั่วเหลืองแทน มีการสกัดถั่วเหลืองเป็นน้ำมัน ยุคแรก ๆ เขาเรียกว่าน้ำมันบัว อาตมาเองฟังแล้วก็งง ๆ ว่าบัวมีน้ำมันด้วยหรือ ?”
สมัยโน้นเขาใส่ปีบมา ถึงเวลาก็ตักชั่งกิโลขายกัน ต้องการกี่ขีด ต้องการกี่กิโลก็แบ่งใส่ถุงไป บางคนก็เอาหม้อเขียวมาจากบ้าน ตักใส่หม้อเอาไว้ใช้งาน อาตมากินแล้วไม่ประทับใจ เพราะว่ารสชาติไม่อร่อยเหมือนน้ำมันหมูแต่เดิม น้ำมันหมูถึงเวลายังมีกากหมูให้ด้วย ...(หัวเราะ)...
ต่อมาก็มีการแข่งขันกัน มีน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันรำข้าว สารพัดเลย ตอนนี้งานวิจัยรุ่นใหม่ นักวิชาการไม่ตกเป็นทาสของผู้อยู่ในอำนาจ ไม่ตกเป็นทาสของเงิน ผลการวิจัยระบุออกมาว่า บรรดาน้ำมันพืชต่าง ๆ ถึงเวลาโดนความร้อนแล้วส่วนใหญ่กลายเป็นไขมันทรานส์ มีโทษมากกว่าประโยชน์ ยิ่งตอนหลังมาสนับสนุนให้มีน้ำมันปาล์มขึ้นมา ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาบอกว่าอัตราป่วยเป็นโรคหัวใจหรือเส้นเลือดอุดตันเพิ่มขึ้นเป็น ๓๐๐-๔๐๐ เท่า
เราจะเห็นว่า ถึงเวลาแล้วบรรดาบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ก็มีอิทธิพลต่อผู้ครองอำนาจ ให้รัฐบาลใช้อำนาจบีบให้ผลงานวิจัยออกไปตามที่ตัวเองต้องการ
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็ก ๆ เรียนหนังสือใช้สมองมาก ตอนที่เริ่มขึ้น ม.๑ ก็คือมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ของสมัยก่อน เขาเรียกว่า ม.ศ. ปรากฏว่าเพื่อน ๆ ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.๔ อาตมาไปเรียน ป.๕ ป.๖ ป.๗ สามปี แล้วก็เริ่มขึ้น ม.๑ เป็นปีที่สี่ เพื่อนที่ออกตั้งแต่ ป.๔ แต่งงานกันเกือบหมดแล้ว พวกเขาที่ไม่ได้เรียนต่อ ตัวใหญ่กว่าสองเท่าได้ มาเข้าใจทีหลังว่า การใช้สมองในการศึกษาและจดจำมาก ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า พวกที่เขาไม่ได้เรียน ประมาณอายุ ๑๔-๑๕ ปีก็โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อาตมาเองยังผอมกะหร่องตัวแค่เดิม
แล้วที่รู้ว่าต้องใช้พลังงานสมองมาก เพราะว่ากลับจากโรงเรียนมาบ้านนี่หิวไส้ขาดเลย คว้าอะไรได้ก็ใส่ปากไว้ก่อน แม่ก็จะเอากล้วยแขวนไว้เป็นเครือ เข้าบ้านก็ลูกหนึ่ง ออกบ้านก็ลูกหนึ่ง กล้วยเครือหนึ่งไม่กี่วันก็เกลี้ยงไม่มีเหลือ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะนี้นอกจากหมอมีคนไข้มากขึ้น ร้านขายยาก็มีลูกค้ามากขึ้น จากที่ไม่ค่อยสนใจสุขภาพตัวเอง ด้วยความกลัวจะเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ถึงเวลาไอนิดไอหน่อยก็วิ่งหายากินเองแล้ว แล้วที่แน่ ๆ บริษัทผลิตหน้ากากน่าจะรวย..!
ที่บ้านเราเป็นกันน้อย ทั้ง ๆ ที่น่าจะระบาดเยอะกว่านี้ เพราะว่าของเราป้องกันไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากฝุ่นบ่ายสองครึ่ง (PM 2.5) นั่นแหละ พอเราใส่หน้ากากอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยจะติดเชื้อกัน”
ถาม : ท้าวเวสสุวรรณท่านขอเรื่องลาภผลได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้..ทำไมจะไม่ได้ ชื่อหนึ่งของท่านคือธนบดี เจ้าแห่งทรัพย์ เพราะว่าท่านดูแลขุมทรัพย์ทั้งโลก
ถาม : มีดนี้ใช่ของหลวงพ่อกวยไหมครับ แน่นมาก ?
ตอบ : อย่าไปดึงบ่อย..เดี๋ยวหลุด ส่วนใหญ่มีดรุ่นนี้เป็นรุ่นที่คนไปบนกับหลวงพ่อท่าน พอสำเร็จแล้วแทนที่จะไปแก้บนกับหลวงพ่อ ก็แก้บนด้วยการมาทำสวยให้กับวัตถุมงคลแทน ...(หัวเราะ)... ช่างของวัดก็ต้องลำบากไปทำให้เขา
ถาม : หนูสงสัยว่าเรื่องของความกตัญญูนั้น เกิดขึ้นด้วยการสั่งสอนหรือด้วยจิตเดิมที่เขามีมาคะ ?
ตอบ : สองอย่างรวมกัน อย่างแรกก็คือว่า จิตสำนึกของตนเองใฝ่ดีเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างที่สองคือ ได้รับการอบรมสั่งสอนมา ถ้าสองอย่างรวมกันก็จะยิ่งง่ายขึ้น
ถาม : ถ้าของเดิมไม่มีแล้วสามารถสั่งสอนให้มีได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้
ถาม : ถ้าจิตเดิมเขามีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ถูกสั่งสอน จะมีวันหมดไปไหมคะ ?
ตอบ : ก็คงไม่หมดไปไหนหรอก ยกเว้นบางวาระที่อกุศลกรรมมาแทรกก็อาจจะห่างไป พอถึงเวลากุศลกรรมกลับคืนมาก็กลับเข้ามาใหม่
ถาม : ถ้าอย่างบางคนที่เราเห็นทั่ว ๆ ไป ว่าเขามีความกตัญญูกับพ่อแม่ แต่เขาเบียดเบียนคนที่มีพระคุณกับเขาเพื่อพ่อแม่ ถือว่าเขายังมีความกตัญญูไหมคะ ?
ตอบ : ก็ยังมีอยู่ แต่ว่าส่วนอื่นบกพร่องไป
หลักธรรมนั้นมีหลายอย่าง ในเมื่อเบียดเบียนผู้อื่นแต่ยังกตัญญูต่อพ่อแม่ ตัวกตัญญูกตเวทิตาธรรมก็ยังคงมีเป็นปกติ แต่ว่าในเรื่องของเมตตาธรรมย่อมบกพร่อง เพราะว่าไปเบียดเบียนผู้อื่นเขา
ถาม : ลูกสาวของผมมีปัญหาหนี้สิน เกิดจากกรรมหรือเปล่า ? ทางออกต้องรักษาศีลหรือทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : หนี้สินเกิดจากการใช้เงินอย่างไม่มีวินัย ต้องแก้ไขไปตามสภาพ ถ้าอยากมีความคล่องตัวต้องภาวนาคาถาเงินล้านให้เป็นปกติ
ถาม : แล้วเรื่องหนี้สินเกี่ยวกับกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็เป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันเราแก้ไขให้ดีก็จบแล้ว
ถาม : ป่วยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี แต่ไม่อยากไปหาหมอค่ะ ?
ตอบ : ลองไปกินสับปะรดดู จะเป็นสับปะรดสด ๆ ก็ได้ น้ำก็ได้ กินสักอาทิตย์หนึ่ง ๒-๓ ครั้ง จะช่วยละลายพวกก้อนนิ่วได้
ถาม : ไม่ต้องกินตลอดไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหายแล้วจะกินอีกทำไม ?
ถาม : จะหายใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใครเขารับรองได้เล่า ให้ไปลองทำดู
สมัยนี้เรื่องของนิ่วแทบจะไม่ต้องผ่ากันแล้ว เขาใช้ระบบอัลตร้าซาวด์เข้าไปสั่นสะเทือนให้นิ่วละลายได้
พระอาจารย์มอบวัตถุมงคลหลวงปู่บุดดาไปลงกระทู้สร้างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ “ต้องบอกว่าเป็นของดีราคาถูก คนส่วนใหญ่แล้วไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด ไม่รู้ว่าหลวงปู่บุดดาท่านสุดยอดขนาดไหน อาตมามีโอกาสอยู่ใกล้ชิดหลายปี แค่คิดอะไรท่านพูดออกมาหมดเลย แต่นั่นหมายถึงว่าในเรื่องของเราที่ตั้งใจปฏิบัติความดีเพื่อความหลุดพ้นด้วย ไม่ใช่ว่าเรื่องนอกทุ่งนอกท่าแล้วท่านจะไปสนใจ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง หลวงน้ามีชัย สุนฺทโร ขยันสวดมนต์ไหว้พระมาก นอกจากทำวัตรเช้าเย็นตามปกติแล้ว พอกลับถึงกุฏิท่านยังสวดมนต์ต่อเป็นชั่วโมง ๆ ส่วนอาตมาไม่ค่อยได้สวดมนต์ เพราะเอาแต่ภาวนา หลวงน้าท่านหวังดีท่านก็มาเตือน บอกว่าให้สวดมนต์มาก ๆ สิ่งที่เราทำไว้ ถึงเวลาญาติโยมเขาเห็นเราเป็นเนื้อนาบุญ เท่ากับว่าเขามากอบโกยเอาความดีที่เราทำไป ถ้าเราทำเอาไว้น้อย เจอโยมเขาโกยแค่ไม่กี่ทีก็หมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะขาดทุน
จะว่าไปแล้วหลักการของท่านก็ดี ก็คือสำนึกในความเป็นพระภิกษุสามเณรของตนว่าเป็นเนื้อนาบุญ แต่อาตมาถือหลักที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ ก็คือสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ท่านบอกว่ายาทานั้นหายจากโรคช้า ต้องยากินถึงจะหายเร็ว โดยเฉพาะเรื่องของการภาวนานั้น ท้ายสุดต้องพิจารณาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วกำลังในการภาวนาของเราไม่มีที่ไป ก็จะเอาไปฟุ้งซ่านแทน
แต่แม้ว่าท่านจะดูเคร่งครัด ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศไป ส่วนคนที่ไม่เคร่งครัดอย่างอาตมา เพราะว่าเอาแต่ภาวนาไม่ค่อยจะสวดมนต์ ก็ยังอยู่มาจนวันนี้ ความจริงยังคิดถึงท่านอยู่ เพราะว่าตอนที่ท่านสึก ท่านอายุ ๗๒ ปีแล้ว ถ้าหากว่าถึงวันนี้ก็อายุ ๑๐๐ ปีพอดี ท่านเป็นคนแข็งแรง ร่างกายสูงใหญ่ สง่า ถึงอายุ ๗๒ ปีก็ยังดูเหมือนกับหนุ่ม ๆ เลย”
ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนว่ายน้ำมานาน ๆ เราควรหยุดภาวนาหรือสามารถภาวนาต่อไปได้ครับ ?
ตอบ : ภาวนาไปเลย ไม่ต้องสนใจลมหายใจเข้าออก ลมละเอียดขึ้น เบาลง เราดันไปตั้งหน้าตั้งตาที่จะจับให้แรงเท่าเดิม เราก็เหนื่อยเท่านั้นเอง
ถาม : หนูจะทำโลโก้ชมรมใหม่ แล้วหนูวาดรูปเป็นพระพุทธเจ้า อยากจะปรึกษาว่าควรปรับแก้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ตัดสินใจแล้วก็ทำเลย อย่าถามคนอื่น
ถาม : ถ้าเราขับรถอยู่ แล้วภาวนาจนรู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ เราไม่รู้ว่าเรางงไปเองว่าเราไม่ได้หายใจ หรือว่าจะต้องกลับมาโฟกัสกับลมหายใจเข้าออก ?
ตอบ : มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือเลิกภาวนาให้มาตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว อีกอย่างก็คือซ้อมการเข้าออกสมาธิขึ้นลงให้ได้ตามที่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นเราจะบังคับได้ว่าจะให้อยู่ในระดับไหน
ถาม : เบญจเพสคือ ๒๔ เต็มย่าง ๒๕ หรือ ๒๕ เต็มย่าง ๒๖ ครับ ?
ตอบ : ๒๔ เต็มขึ้น ๒๕
ถาม : แล้วมีความอันตรายมากขึ้นจริงไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้มากมายไปกว่าปกติหรอก
ถาม : เวลาที่เราภาวนาจับลมหายใจแล้วรู้สึกว่าเฝือ ควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : คลายสมาธิออกมาแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน
ถาม : ถ้าเราไม่อยากวิปัสสนา เราสามารถที่จะเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เช่น เปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนกอง ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าใจไม่รับแล้วก็ไม่รับทุกกองนั่นแหละ ต้องเปลี่ยนไปพิจารณาแทนเลย
ถาม : รู้สึกว่าฝืนได้ แต่แปลก ๆ ?
ตอบ : ฝืนได้ก็ไม่ได้อะไร เพราะว่าสมาธิไม่เกินนั้นแล้ว มีทางเดียวคือมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ พอถึงเวลากำลังในการที่เราทำได้ใช้ไปกับการวิปัสสนาจนหมด ก็สามารถที่จะภาวนาใหม่ได้
ถาม : ถ้าเรายังฝืนภาวนาต่อไปแล้วเราจะได้บุญเพิ่มไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่หงุดหงิดก็ได้ แต่ถ้าหงุดหงิดแล้วเครียดหรือโกรธขึ้นมาก็ไม่ได้อะไร
ถาม : เมื่อเช้าสวดคาถาเงินล้านได้นาทีละ ๗ จบ สวดเร็วกว่านี้ได้ไหมครับ เร็วสุดเป็น ๑๐๐ จบได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แต่จะไปเร่งทำไม ?
ถาม : ผมแค่รู้สึกว่าทำไมยิ่งสวดยิ่งเร็ว ผมจำที่หลวงพ่อสอนได้ว่า สองจบสองชั่วโมง ผมก็พยายามสองจบสองชั่วโมง ?
ตอบ : อันนั้นเป็นสมาธิลึก ถ้าสมาธิตื้นเขาต้องการที่จะเร่งเพื่อที่จะใช้กำลังสมาธิ อย่างโบราณท่านสอนไว้ หนึ่งชั่วลมหายใจให้ภาวนา ๑๐๘ คาบ
ถาม : อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่การใช้งาน อยากได้ผลระยะสั้นก็เอาเร็ว อยากได้ผลระยะยาวก็เอาช้า ๆ
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาไปกราบหลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน คุยไปเรื่อย คราวนี้พระปฏิบัติเวลาคุยท่านก็จะภาวนาไปด้วย สำหรับท่านยิ่งดึกสมาธิยิ่งดี ส่วนพวกเรายิ่งดึกก็ยิ่งแย่ จะหัวทิ่มพื้นอยู่แล้ว หลวงพ่อท่านก็ยังคุยไม่เลิก จนต้องกราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ...พวกผมยังต้องเดินทางอีกไกล ขออนุญาตกราบลาก่อนครับ” ท่านรู้สึกว่าคุยหน่อยเดียว ที่ไหนได้..ตั้งหลายชั่วโมง
โดยปกติแล้วถ้าเป็นคำถามเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ ท่านคุยได้เป็นวันเป็นคืน แต่ถ้าถามเรื่องทำมาหากิน เรื่องลูก เรื่องผัว เรื่องเมีย ฯลฯ บางทีท่านไม่คุยด้วยเลย ต้องไปให้ถูกท่าถูกจังหวะ กราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อธุดงค์มามาก เคยโดนผีหลอกไหมครับ ?” ท่านก็ชะงักนิดหนึ่ง “เดี๋ยว...ขอผมคิดก่อน มันเป็นอุตริมนุสธรรม” “หลวงพ่อครับ อันนั้นเขาอวดชาวบ้านครับ ไม่ใช่พระด้วยกัน” “อ๋อ...ถ้าอย่างนั้นได้”
ท่านก็เลยเล่า ท่านบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เจอนั่นใช่ผีหรือเปล่า นั่งเล่าไปเถอะ..เป็นสิบ ๆ เรื่อง...ผีทั้งนั้น แต่ท่านก็ออกตัวก่อน..ไม่รู้ว่าผีหรือเปล่า”
"รายแรกที่ท่านเจอ เป็นโยมทายกที่รู้จักกัน เขาตายตอนเย็น เวลา ๔ ทุ่มกว่า ๕ ทุ่มท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า ท่านบอกว่าเขาเดินมาหา "ครั้งแรกผมก็คิดว่าคนดี ๆ รูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนเดิมก่อนตาย แต่พอมองไปข้างหลังแล้ว หลอดไฟที่ติดอยู่ที่ศาลาไกล ๆ ส่องมองทะลุตัวไปเห็นได้ อ๋อ...ไอ้นี่ผีแน่ ๆ"
ท่านธุดงค์ไปในป่า ท่านบอกว่าตอนเย็นสรงน้ำเสร็จ แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งภาวนา มีเสียงวี้ดมาแต่ไกล แล้วก็มาเกาะต้นยางใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ที่ปักกลด ท่านก็ไม่สนใจ ภาวนาไปเรื่อย เจ้านั่นก็พุ่งจากยอดยางลงมาในลำธารตรงข้างหน้า เสียงดังโครม...! ท่านก็ไม่สนใจ..ภาวนาไปเรื่อย เจ้านั่นก็ตะกายปีนต้นยางกลับขึ้นไปข้างบน แล้วก็พุ่งลงมาอีก เหมือนเด็กโดดน้ำเล่น กระโดดอยู่ครึ่งค่อนคืน
ไปนึกถึงที่ตัวเองเจอมาก็คล้าย ๆ กัน เวลาเขาลองก็ลองเป็นครึ่งค่อนคืน อาตมาไปปักกลดที่ด่านช้าง เป็นกระต๊อบเล็ก ๆ สำหรับคนงาน เวลาตัดอ้อยจะได้เอาไว้นอน สักประมาณ ๒ ทุ่มกว่า ๓ ทุ่ม มีเสียงเหมือนหนูตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามา ตึก ๆ ๆ ๆ แล้วก็เงียบไปเฉย ๆ อีกสักพักวิ่งใหม่ ตึก ๆ ๆ ๆ อ้าว...แล้วทำไมมาทิศนี้วะ ? เหมือนวิ่งเป็นกากบาท แต่ตอนที่อ้อมไปทำไมเราไม่ได้ยิน ? ก็ไม่ได้ใส่ใจ...ภาวนาไปเรื่อย
สักพักหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นอีก ไม่ใช่หนูแล้ว น่าจะใหญ่ประมาณแมว วิ่งตึง ๆ ๆ ๆ อาตมาไม่สนใจ..ภาวนาไปเรื่อย เจ้านั่นก็ตึง ๆ ๆ ๆ พอภาวนาไป ๆ เห็นว่าอาตมาไม่สนใจแน่ ๆ คราวนี้อย่างกับหมาทั้งฝูงไปกัดกันอยู่บนหลังคา ตึงตังโครมคราม อาตมาก็...เรื่องของมึง ภาวนาจนครบสบายใจตามที่ต้องการก็ชักจีวรคลุมหัว กูนอนแล้ว ตื่นขึ้นมาอีกทีตี ๒ กว่า เงียบไปตอนไหนไม่รู้ เออ...ไม่เก่งจริงนี่หว่า ถ้าเก่งจริงต้องหลอกได้ยันสว่าง...!"
"อีกที่หนึ่งเป็นพื้นที่ด่านช้างต่อกับศรีสวัสดิ์ของกาญจนบุรี ตื่นขึ้นมาภาวนาตอนตี ๒ กว่า เสียงเจ้าที่ตะโกนว่า “ระวังผี...!” ไม่ทันแล้ว...มือผีมาถึงคอแล้ว รู้สึกว่าผียืนอยู่ข้างหลังเอามือรวบคอ มือเย็นเจี๊ยบเลย อาตมาก็พุทโธ ๆ ไป ‘ตายตอนนี้ก็ไปพระนิพพานละวะ’ พอพุทโธ ผีก็คลายมือออกหน่อยหนึ่ง พอหยุดภาวนาจะหันไปสนใจ มือก็รวบบีบเข้ามาอีก ลักษณะแบบนั้นแหละ..เท่ากับบังคับให้ภาวนา เพราะว่าจะหยุดหันไปคุยด้วย หยุดทีไรโดนบีบคอทุกที ท้ายสุดตอนตี ๕ ครึ่งจะ ๖ โมงก็เลยบอกว่า “พอ ๆ ๆ ต่างคนต่างไป เดี๋ยวจะไปสรงน้ำเตรียมบิณฑบาตแล้ว” ผีก็ไป ว่าง่ายดีเหมือนกัน
เรื่องพวกนี้เวลาเล่าให้คนอื่นฟังก็สนุก แต่ถ้าเจอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังใจคนอื่นจะเป็นอย่างไร อาตมาเองเลิกกลัวของพวกนี้ไปนานแล้ว แต่เวลาเจอรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ๆ พยายามดูใจตัวเอง อ๋อ...ที่แท้ก็ยังกลัวอยู่ แต่กลัวแล้วไม่หนีเท่านั้นเอง"
"ไปที่ป่าศรีสัชนาลัยเขตต่อลำปาง ภาวนาอยู่ประมาณ ๕ ทุ่มกว่า มีเสียงเด็กโดดน้ำโครม..! อาตมาปักกลดอยู่ไม่ห่างจากลำห้วยเท่าไร...ลืมคิดไป คือพอได้ยินเสียงดังโครมแล้วเห็นเด็กคว่ำหน้าลอยตุ๊บป่อง ๆ อยู่ในน้ำ ก็รีบวิ่งพรวดพราดลงไปคว้าคอเสื้อดึงขึ้นมา ตั้งใจจะช่วยแต่ลืมไปว่า..อันดับแรก อาตมาปักกลดอยู่ห่างจากลำห้วยตั้งไกล แล้วเวลา ๕ ทุ่มกว่า มืดจนมองนิ้วตัวเองไม่เห็น แล้วเห็นเด็กชัดขนาดนั้นได้อย่างไร ? ตอนนั้นคิดที่จะช่วยอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น
พอคว้าขึ้นมา เด็กหันหน้ามานี่...โล้นเลี่ยนไปหมดทั้งหน้า มีแต่ตาใหญ่ ๆ อยู่ ๒ ดวง จมูกปากอะไรก็ไม่มี พอเห็นก็ "อ๋อ...มึงหลอกกู" ตั้งใจจะหากระบอกไม้ หาขวด หาอะไรมาสักใบ ยัดแล้วสะกดไว้สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปี เอาให้เข็ด..! ปรากฏว่าหาไม่ได้ พอหาไม่ได้ก็เลยทุ่มลงน้ำไป พอตกตูมลงไปในน้ำ ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา..!
คราวนี้ไอ้ที่เห็นสว่าง ๆ ก็มืดตามปกติ ต้องควานหาทางกลับกลด นั่งคิดอยู่นั่นแหละ กลดของกูอยู่ทางด้านไหนวะ ? ตอนวิ่งมากูมาทางไหน ? พยายามงมกลับไปที่เดิม กว่าจะถึงก็ครึ่งค่อนชั่วโมง จนต้องจำไว้ขึ้นใจเลยว่า ต่อไปถ้าผีหลอกนี่ต้องหิ้วไปให้ถึงกลดก่อน ไม่อย่างนั้นเสียเวลางมหาทาง คือเวลาเขามานี่จะเห็นเหมือนอย่างกับกลางวันสว่าง ๆ แต่ตอนไปแล้วดันมืดเหมือนเดิมสิ กว่าจะงมกลับได้ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน
นั่นแหละ...โดนลักษณะอย่างนั้นบ่อย ๆ แล้วจะรู้ว่า จริง ๆ ไม่มีอะไรเกินคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย ใจก็จะเกาะพระแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ"
"แรก ๆ เวลาฝึกใหม่ ๆ ก็กลัวผี กลัวอย่างชนิดเหงื่อแตกพลั่ก แต่พอนานไป ๆ สภาพจิตก็เริ่มยอมรับ พอมาทีหลังก็รู้ว่าผีก็ไม่ได้หลอก ส่วนใหญ่ต้องการความช่วยเหลือจากเราเขาถึงมา ไม่รู้ว่าหายกลัวตอนไหน บอกไม่ถูก
พอไปรู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือเขาถึงมา ก็เลยทำให้เห็นว่า ในเมื่อเขามาหาแล้วเราช่วยเขาได้ เหมือนกับเราเป็นคนรวย คนจนเขามาขอความช่วยเหลือ ไม่จำเป็นต้องไปกลัว จึงไม่รู้ว่าหายกลัวไปตอนไหน"
ถาม : วัชรธาตุที่เขาแขวน จริงไหมครับ ?
ตอบ : จริง "ของเขา" คราวนี้พอจริงของเขาเราจะไปเถียงอะไรเขา อย่าลืมว่าของทุกอย่างไม่มีอะไรเกินกว่าคุณพระรัตนตรัย ถ้าจะเอามาสร้างพระสร้างอะไรก็ว่าไป ถ้าจะเอามาเป็นที่พึ่งที่ระลึกนี่ขอแนะนำว่าแขวนพระดีกว่า
ถาม : มีสองเหตุการณ์ครับ เหตุการณ์หนึ่งโยมมาบอกว่าถูกรังแก ผมก็เลยให้แผ่นยันต์เกราะเพชรไป ผ่านไปเดือนหนึ่งคนที่รังแกโดนไล่ออกจากองค์กรครับ อีกกรณีหนึ่งคือผีเข้าโยม ก็เลยเอาธูปเสาร์ห้ามาจี้ ผีออกเลยครับ ใช้แทนมีดหมอได้จริง ๆ ครับ
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพูดอะไรต้องตามนั้น หลวงพ่อท่านยืนยันว่า "ธูปเทียนในงานเป่ายันต์เกราะเพชรใช้แทนมีดหมอได้เลย" คราวนี้ส่วนใหญ่พอไปรับยันต์ที่วัดท่าขนุนแล้ว มีส่วนหนึ่งเขาเอามาถวายให้อาตมา คือพอเข้าพิธีเสร็จแล้วเหมือนกับว่าเขาเอามาคืน อาตมาก็รีบรวบเอาไว้ด้วยความดีใจ เอ็งเอามาคืนข้าจะได้ใช้งาน แต่ไม่ได้เอาไปทำมีดหมออะไรกับเขาหรอก ส่วนใหญ่ถึงเวลาจะขออะไรจากพระท่านก็จุดเลย ถือว่าเข้าพิธีมาแล้วนี่ สื่อกันได้ง่ายขึ้น
หลังจากที่โดนไป ๒ - ๓ ราย ระยะหลังพวกเล่นไสยศาสตร์ไม่ค่อยจะมากัน..เข็ด ไม่อย่างนั้นแรก ๆ นี่ร้องกันลั่นทั้งศาลา ก็เตือนแล้วว่าถ้าหวง กลัวของตัวเองจะเสียหายก็ต้องไปให้พ้นพิธี เขาก็ไม่ฟัง ถึงเวลากำลังของพระท่านกดลงมา..ทานไม่ได้ ก็ร้องเสียลั่นไปหมด แล้วเจ้าพวกนี้ไม่ดีตรงที่ว่า เอาไปลือกันอีท่าไหนก็ไม่รู้ ? อาตมากลายเป็นหมอผีไปเลย ถึงเวลาคนโน้นญาติโดนไสยศาสตร์ คนนี้ก็พี่น้องโดนผีเข้า เอามาให้หลวงพ่อช่วยรักษา
ก็บอกกับเขาไปว่า "โยม...อาตมารักษาไม่เป็นหรอก ที่เห็นว่าเก่งนี่อาตมาเก่งเฉพาะในงานเท่านั้น พ้นจากงานมาแล้วอาตมาทำอะไรไม่เป็นหรอก" ตอนในงานพระท่านสงเคราะห์ก็ทำได้ พ้นจากงานแล้วแย่กว่าชาวบ้านทั่วไปอีก ทำอะไรไม่ได้ ชาวบ้านเองเขามีวัตถุมงคลอาจจะเล่นงานผีได้ ส่วนอาตมาเป็นพระเบียดเบียนเขาไม่ได้ ส่วนใหญ่ต้องเสียเวลาไปคุยไปตกลงกัน
ถาม : ถือว่าเรารังแกผีไหมครับ ?
ตอบ : บางทีเขามีเวรมีกรรมกันมา เพราะฉะนั้น..ส่วนใหญ่แล้วอาตมาจะใช้วิธีคุยกันก่อนว่าเขาจะมาทำอะไร ? ต้องการอะไร ? ถ้าไม่เกินวิสัยก็ทำให้เขา แต่เมื่อได้ตามนั้นแล้วก็ขอให้เขาออกไปเท่านั้น บางคนไปไม่เป็นจริง ๆ เพราะว่ามืดไปหมด มองหาทางไปไม่เจอ
ต้องบอกเขาว่า ให้ตั้งใจนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ บางคนว่าพุทธัง ยังไม่ทันสะระณัง คัจฉามิ เขาบอกว่าเห็นแสงสว่างแล้ว ก็บอกว่าให้ไปทางนั้นแหละ...เขาก็ไป ร่างนั้นก็หงายตึงลงไปเลย
บางทีเขาหาทางไปไม่เจอ ในเมื่อเขาหาทางไปไม่เจอ พอเจอคนที่มีกรรมเนื่องกันมาก็สิงเลย พอเจอประสบการณ์มากเข้า ๆ สงสารเขาอาตมาก็เลิกไล่แล้ว ใช้วิธีคุยกันว่าจะเอาอย่างไร ถ้าไม่เกินวิสัยก็ช่วยเขาหน่อย
ถาม : ผมยังสงสัยว่า ผีที่มาเปิดตู้ได้ หรือมาหมุนก๊อกน้ำได้อะไรแบบนี้ มีจริง ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : มี...อันนั้นถือว่าน้อยนะ เพราะว่าพลังงานของเขาที่ใช้ได้ยังแค่จำกัด ถ้าพวกที่มีพลังงานมาก ๆ มาเป็นตัว ๆ เลย เวลาเราจับนี่เนื้อเหมือนของเราเลย แล้วพวกแบบนี้ผมโดนอัดน่วมมาแล้ว เขาเรียกผีระดับด็อกเตอร์ ถ้าพวกที่แค่มาเปิดข้าวของ เปิดประตูหน้าต่าง ไอ้นั่นเรื่องเล็ก
ถาม : โดนอัดนี่นานหรือยังครับ ?
ตอบ : ประมาณพรรษาแรก ๆ โดนอยู่ ๒ - ๓ ปีติดกัน โดนทุกวัน คือคนอื่นเขาโดนนิดโดนหน่อย เขาก็ตัดใจได้ "กูตายก็ไปพระนิพพานละวะ" ส่วนอาตมานี่ "มึงมารังแกกูสู้อย่างเดียว" ไม่เคยคิดจะให้ใครช่วยเลย ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นอะไรไม่เรียกทั้งนั้น กูไหว..กูสู้ได้ ลุยอย่างเดียว
เขาตีอยู่เป็นปี ๆ จนกระทั่งคงระอาใจว่า ไอ้นี่ไม่เอาอะไรแน่แล้ว นอกจากสู้อย่างเดียว เขาถึงได้ไป แสดงว่าสันดานเดิมของอาตมารบมาจนเคย ในเมื่อรบมาจนเคย ถึงเวลาก็สู้อย่างเดียว ไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย
ถาม : อย่างผีเขาโดนล่ามมาเลย ไม่ปล่อยก็ไม่ได้ พอเราปล่อย หมอผีเขาก็ส่งมาอีก อย่างนี้จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ปล่อยไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็หมดไปเอง มีอยู่รายหนึ่งอาตมาปล่อยไป ๓๐ กว่าตน เล่นเอาเขาหมดเนื้อหมดตัวเลย ส่งมาดีนัก ถามผีว่าอยากลำบากไหม ? ถ้าอยากลำบากเอ็งก็ทำงานให้เขาต่อ ถ้าเอ็งไม่อยากลำบากข้าก็จะปล่อยให้
แต่ส่วนใหญ่พวกเรามีข้อเสียตรงที่เราไปกลัว ถ้าเราไปกลัว..กำลังใจไม่มั่นคง ถ้าหมอผีเขาสมาธิดีหน่อยบางทีเราแย่เลย เพราะว่าผีส่วนใหญ่โดนกำกับมาด้วยคาถา คนที่ใช้ผี ถ้าสมาธิดีหน่อยแล้วเราไปกลัวนี่..บางทีเราก็สู้เขาไม่ได้
ถาม : เขาส่งผีที่เก่งกว่ามาเรื่อย ๆ เราไม่ได้เก่งอะไร ?
ตอบ : ไม่มีใครเก่งเกินพระพุทธเจ้า ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ถ้าเก่งเกินพระพุทธเจ้า กูจะยอมไหว้มึง..! คราวนี้พวกเรากำลังใจยังไม่ถึงจุดนั้น ก็คือยังไม่เชื่อมั่นในองค์พระแบบมอบกายถวายชีวิต ก็เลยทำให้เราลำบาก สู้ผีไม่ได้..อายเขา
ถาม : ยกกำลังใจเฉพาะหน้าอย่างไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจเฉพาะหน้าเป็นของแท้ คือกำลังใจจริง ๆ ของเรา แนะนำกันไม่ได้ กำลังใจจริง ๆ ของเราได้แค่ไหน เวลาฉุกเฉินก็ทำได้แค่นั้น
ถาม : ต้องฉุกเฉินจริง ๆ ถึงจะมา ไม่ฉุกเฉินก็ยังไม่มา ?
ตอบ : นั่นแหละ ต้องเอาแบบใกล้ตายเมื่อไร เออ...ต้องใช้แล้ว
ถาม : ต้องเข้าสู่จุดอับหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : พวกเราพอถึงจุดอับแล้วก็ตายคาจุดอับ ไม่ใช่เข้าสู่จุดอับแล้วพลิกฟื้นชีวิตใหม่ ที่พระเขาออกธุดงค์ก็เพราะต้องการกำลังใจอย่างนี้ ผจญกับผี ผจญกับสัตว์ร้ายมาก ๆ เข้า จะเกิดความมั่นคงต่อพระรัตนตรัย เพราะว่าไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "นักศึกษาจีนออกมาวิจารณ์เมืองไทย “อยู่เรียนหนังสือเมืองไทยมา ๓ เทอม เห็นแล้วตกใจมากเลย คนไทยกินน้ำแข็งด้วย” สำหรับคนจีนนี่กินน้ำแข็งเท่ากับคุณหาเรื่องป่วย แต่คนไทยกินเป็นว่าเล่น คนจีนเห็นแล้วตกใจ"
ถาม : เขาไม่กินไอศกรีมหรือครับ ?
ตอบ : อะไรที่ทำให้ร่างกายเย็น เขาไม่แตะเลย
ถาม : อย่างนี้ไปหากินไอศกรีมที่เมืองจีนก็ยากสิครับ ?
ตอบ : ที่อาตมาเพิ่งไปมาล่าสุดนี่ ในคณะไปสั่งชานมไข่มุก แต่ได้ชานมไข่มุกร้อนมา ได้ไปกินน้ำแข็งตอนไปย่าติง ที่อุทยานย่าติงขาลงมาข้างล่างมีร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ และที่ร้านจะมีน้ำอัดลมด้วย จึงสั่งแบบใส่น้ำแข็งมา ไม่อย่างนั้นไม่ได้เจอน้ำแข็งหรอก ลงมาโยมมีความสุขกระดี๊กระด๊ากันมาก เพราะว่ามีน้ำอัดลมมีน้ำแข็ง บางคนไม่กินเบอร์เกอร์หรอก ไปสั่งแต่น้ำอัดลมกับน้ำแข็งมานั่งซดกัน เอาให้คุ้มกับที่อดมาหลายวัน..อยากกินมาก
ตามหลักแพทย์จีนที่เขาปฏิบัติมาจนกระทั่งฝังอยู่ในดีเอ็นเอแล้วก็คือ อะไรที่เป็นธาตุเย็นอย่าไปยุ่ง ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าใช้ในการรักษาโรค ส่วนพวกเรานี่อยู่ดี ๆ ก็ไปกินของเย็น เท่ากับหาเรื่องป่วย
ถาม : วันก่อนคุยกับหลวงตาวัชรชัย ท่านว่าตอนท่านอยู่วัดท่าซุงพรรคพวกเยอะมาก ส่วนหลวงพ่อเล็กอ่านแต่นิยายกำลังภายใน ไม่ได้รับแขกเท่าไร พอออกจากวัดท่าซุง หลวงพ่อเล็กคนเยอะที่สุด ด่าก็แล้วอะไรก็แล้ว ก็ไม่ยอมไป สงสัยหลวงตาต้องด่าบ้าง คนจะได้มา คนเก่า ๆ ก็ไม่ได้มาหาหลวงตา ?
ตอบ : ถ้าทำตัวเข้าถึงยากคนก็เบื่อ คราวนี้บางทีเราก็ไม่ได้อยากทำตัวเข้าถึงยาก อย่างหลวงตาไม่สบาย ไปโดนรถชนมา ต้องตัดตับไตไส้พุงออกไปตั้งหลายส่วน จึงต้องรับแขกเป็นเวลา ลูกศิษย์ลูกหาก็อยากให้ท่านได้พัก จึงกำหนดกฎเกณฑ์อะไรไว้เยอะแยะไปหมด คนไปหาไม่สะดวกก็เบื่อ
ถาม : วันก่อนมีถ่ายไลฟ์สดหลวงตา ผมก็เลยบอกว่า อย่าไปถ่ายแช่ไว้เกินนาทีนะ ไม่อย่างนั้นท่านจะขยับทำอะไรลำบาก ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าคนถ่ายน่าจะมีจิตสำนึกบ้าง แล้วอีกอย่างเวลาถ่ายทำก็ให้เห็นบรรยากาศในงานบ้าง ไม่ใช่จ่ออยู่แต่หน้าท่านคนเดียว
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ไข้หวัดเป็นกันนาน เหมือนกับเชื้อดื้อยา สมัยก่อนเป็นอย่างเก่งก็ ๒ - ๓ วัน สมัยนี้เป็นกันทีเป็นเดือน เมื่อเดือนที่แล้วหมอนวดเขามานวดให้ แล้วก็ทายาหม่อง ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วบอกว่าอย่าทาเพราะว่าหนาว เขาบอกว่านี่เป็นสูตรร้อน สูตรร้อนเตี่ยเอ็งสิ...! ลงไปก็เย็นทั้งนั้นแหละ คราวนี้พอเย็นมาก ๆ เข้าก็มาลาเรียขึ้น จนต้องใช้กำลังใจกดไว้ ก็สั่นแหง็ก ๆ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย เพราะว่ากดเอาไว้นาน พอโรคหลุดออกมาได้คราวนี้ก็เล่นมาตลอด อาการเหมือนกับไข้จับอยู่ทุกวัน"
พระอาจารย์ถามเด็ก "เป็นอย่างไรนะโม เป็นหวัดหรือยัง ? อ๋อ...แขวนท้าวเวสสุวรรณ จริง ๆ แล้วก็น่าจะดีนะ เพราะว่าเทวดาที่ดูแลเรื่องโรคระบาดเป็นลูกน้องของท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ เราแขวนรูปเจ้านายเอาไว้บอกว่าพวกเดียวกัน...อย่ามายุ่ง เสียดายเหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณของวัดท่าขนุนหมดไปแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครติดตามข่าวคราวที่สาวตัดต่อหน้าตัวเองให้เป็นย่าโมบ้าง ? บอกว่าไปไหว้ตัวเองได้บุญกว่า ต้องบอกว่าบ้านเรานั้น การรู้กาลเทศะตลอดจนความเคารพในผู้ใหญ่ลดน้อยถอยลงไปมาก
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาสั่งล่าตัว ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาหาทางเอาผิดให้ได้ นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่มี ๒๖ อำเภอ พอที่จะแยกเป็น ๓ จังหวัดได้ แต่คนนครราชสีมาไม่ยอมแยกเป็น ๓ จังหวัด เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เป็นลูกย่าโม แล้วลองคิดดูว่าคนเขาเคารพของเขาขนาดนั้น แล้วเราก็ไปตัดต่อเอาใบหน้าของเราใส่ลงไป แล้วบอกว่าอย่าไปไหว้อีโมโม่ ไปไหว้ตัวเองดีกว่า ถ้าประเภทนี้ไปเดินแถวโคราชก็ได้เฉาตีนตาย..!
ปรากฏว่าบรรดานักสืบโซเชียลจัดการขุดเป็นการใหญ่ แล้วก็ไปได้ของเก่ามา ว่ามีรายการลงรูปหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าว่า คนหนึ่งโม้ว่าเหยียบน้ำทะเลจืด อีกคนหนึ่งโม้ว่าแปลงร่างได้ ก็แค่คนแก่เพ้อเจ้อ ๒ คน แสดงว่าคำว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นั้นไม่ได้อยู่ในหัวเลย...!"
"โบราณท่านรู้ดีว่า โทษในการปรามาสพระรัตนตรัยนั้นหนัก ถึงได้ใช้คำว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ก็คือจะดีจะชั่วอย่างไรก็ตามอย่าไปแตะต้อง ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนกับคนที่ลงนรก เพราะเห็นว่าพระละเมิดศีลแล้วไปด่า
ถามว่าพระละเมิดศีลแล้วผิดไหม ? ผิด...แต่เราเป็นฆราวาส เราเอาอะไรไปด่าท่าน ? ต่อให้ท่านผิดศีล ๕ ข้อ ท่านก็ยังเหลือ ๒๒๒ ข้อ ก็เลยกลายเป็นว่าบุคคลที่ล่วงเกิน ย่อมเกิดโทษใหญ่แก่ตัวเอง แล้วถ้าหากว่าลงทุคติ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน บรรดากรรมเก่าก็มักจะมาสนองเสียทีเดียว แปลว่าถ้าคุณพลาดก็ได้ของแถมเยอะเลย
ช่วงที่ผ่านมามีสาวนักเที่ยวกลางคืน เช้าขึ้นมาค่อยโซเซกลับบ้าน เห็นพระบิณฑบาตเกิดศรัทธา จึงใส่บาตรก่อน ทีนี้ชุดของคุณเธอปิดข้างหน้าอยู่นิดเดียว แล้วเพื่อนก็ถ่ายรูปตอนนั่งรับพร พอไปโพสต์ลงโซเชียลก็โดนด่ากระจาย ถามว่าทำบุญแล้วได้บาปหรือเปล่า ? ถ้าจะว่าไปแล้วเรื่องของบุญส่วนบุญ เรื่องของบาปส่วนบาป อย่างน้อยมีโอกาสทำบุญในลักษณะอย่างนั้นก็ดีกว่าไม่ได้ทำเลย เพราะว่าถ้าเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ อานิสงส์ก็จะเต็มร้อยส่วน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง ก็ขาดพร่องไปตามส่วนนั้น ๆ
ก็แปลว่าถ้าได้ลงมือทำ จะมากจะน้อยก็ได้ เพียงแต่ว่าขาดกาลเทศะไปหน่อย ความจริงถ้าทำบุญก็ไม่มีปัญหาหรอก จบแค่นั้น ดันไปถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงเฟซฯ ไปเป็นเรื่องตอนที่มีคนไปส่อง"
"สมัยนี้เป็นยุคคนดีเพราะว่าเรามีคนดีเป็นรัฐบาล ถึงเวลาคนอื่นทำอะไรผิดนิดหน่อย บรรดาคนดีก็จะช่วยกันกระหน่ำ แทนที่จะเห็นว่าเขาทำบุญ ทั้ง ๆ ที่เมาสุนัขไม่รับประทานยังอุตส่าห์ใส่บาตร ก็กลายเป็นว่าไปช่วยกันด่า ฉะนั้น...โลกยุคคนดีนี่เป็นโลกที่น่ากลัว
เพราะว่าตั้งแต่คนดีเป็นรัฐบาลมา ทั้งฝุ่น PM 2.5 ทั้งไวรัสโคโรน่า แล้วก็สารพัดภัยแล้ง จะไปอ้างว่าเป็นผลพวงจากรัฐบาลที่แล้วก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านอยู่ในอำนาจมา ๕ ปีกว่าแล้ว ในเมื่อไม่มีที่ให้ไปก็ยอมรับเสียดี ๆ เมื่อมีไวรัสโคโรน่าระบาด อุตส่าห์มีคนไปขุดของเก่า สมัยอดีตนายกทักษิณกินไก่โชว์ในเรื่องของการป้องกันไข้หวัดนก ก็คงหวังจะเบี่ยงประเด็น แต่บังเอิญว่ากลายเป็นกระสุนด้าน เพราะคนเขารู้ว่าเป็นคนละวาระ คนละเหตุการณ์กันแล้ว
ตอนนี้เขาให้หลีกเลี่ยงสถานที่ซึ่งมีคนชุมนุมกันมาก ๆ ตอนนี้กระแอมที ไอที มีแต่คนมองหน้า ถามว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเชื้อโรคหรือ ? ก็มี...เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะเห่อกันเป็นพัก ๆ พอมีอะไรเกิดขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็แตกตื่นกัน จริง ๆ จะว่าไปแล้ว ควรที่จะชมประเทศไทย ผู้ติดเชื้อรักษาหายเกือบทุกราย ที่ใช้คำว่าเกือบทุกราย ก็เพราะว่าคนที่เพิ่งมาถึงก็ยังรักษาอยู่ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าหายทุกราย แต่ว่าพบผู้ติดเชื้อ ๑๙ คนแล้ว และก่อนที่จะตรวจเจอแพร่ไปอีกเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ จึงอยู่ที่พวกเราต้องป้องกันตัวกันเอง"
"ทางคณะสงฆ์ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ มีหนังสือถึงเจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัดให้ช่วยกันดูแล และแจ้งให้พระระมัดระวังป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ แต่ละข้อที่สาธยายมาก็คือที่ออกตามสื่อทั้งนั้น พระท่านรู้กันหมดแล้ว เพียงแต่ว่าที่สำนักงานพุทธฯ ต้องทำเพราะว่าเป็นหน้าที่
สมัยนี้เชื้อโรคกระจายได้เร็วเพราะว่าการคมนาคมสะดวก สมัยก่อนกว่ากาฬโรคจะระบาด ก็ต้องรอจนกระทั่งมีเรือเทียบท่า หนูที่เป็นพาหะเชื้อกาฬโรคถึงจะขึ้นท่าเรือได้ เชื้อโรคถึงค่อย ๆ กระจายออกไป แต่การแพทย์สมัยโน้นยังไม่รวดเร็วและยังไม่มียาดีเหมือนสมัยนี้ ทำให้ตายกันเป็นล้าน ๆ มีไข้เหลืองระบาด ไข้ดำระบาด ไข้ดำคือกาฬโรค โรคหัดระบาดก็ตาย ไข้หวัดระบาดก็ตาย
สมัยนี้ไข้หวัดใหญ่ซื้อยากินเองยังหายเลย เสียดายอยู่อย่างเดียวว่า ป่าไม้ลดน้อยถอยลงจนเกือบจะไม่มี พืชสมุนไพรที่เคยอยู่ในป่าในดงก็หาได้ยาก ยารักษาโรคที่โบราณอาศัยมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด ก็เลยไม่สามารถที่จะแสดงผลอย่างชัดเจนได้ ก็คงต้องรอท่านปู่หมอชีวกฯ ลงมาสงเคราะห์ หาตัวยาอื่นมาทดแทน"
"สมัยนี้ยาที่ใช้พวกนอ เขี้ยว เขา งา หรือว่าซากสัตว์ ทำเป็นส่วนผสม กลายเป็นว่าผิดกฎหมายไปเกือบทั้งนั้น สมัยอาตมาเด็ก ๆ ยังมีการปิ้งตุ๊กแกกินแก้ตานขโมย มีการเอาคางคกเผาทั้งตัวแล้วมาป่นเป็นยาแก้ซาง สมัยนี้จะจิ้งจกตุ๊กแกก็กลายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองไปเกือบทั้งหมดแล้ว
ความจริงในเรื่องของสัตว์ป่า ถ้าอนุญาตให้ทำเพื่อการค้าได้จะเป็นการขยายพันธุ์ที่ดีที่สุด เราจะเห็นว่าอย่างสวนเสือศรีราชา หรือวัดป่าหลวงตาบัว เพาะเสือทีหนึ่งเป็นร้อย ๆ ตัว ถ้าไม่อนุญาตให้ทำเป็นการค้าก็ไม่มีคนทำ ปล่อยให้อยู่กันเองตามธรรมชาติโอกาสที่จะสูญพันธุ์มีสูงมาก"
"การที่อนุญาตให้เพาะพันธุ์ได้อย่างเนื้อทราย เคยเป็นสัตว์ป่าสงวน ๑ ใน ๙ ชนิด แต่พอเพาะพันธุ์ได้ ปล่อยคืนธรรมชาติไป ก็ถอดเนื้อทรายออกจากสัตว์ป่าสงวน ๑๕ ชนิดได้
ละองหรือละมั่ง บ้านเราปกติแล้วเหลืออยู่แค่ตัวเดียว ก็ไปขอตัวผู้ประเทศอื่นเขามา เพาะพันธุ์ปล่อยคืนธรรมชาติไปได้จำนวนมาก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนเห็นนกกระเรียนพันธุ์ไทย แต่ไม่ได้ถือบัตรไทยนะ เพราะว่าบินมาจากเมืองจีน ลงมาเดินหากินในทุ่งแถวขอนแก่น ของเราเองเคยเพาะพันธุ์แล้วปล่อยคืนธรรมชาติที่ทุ่งกระมัง อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ปรากฏว่าบินหายไปหมด คงจะอพยพไปตามสัญชาตญาณบรรพบุรุษ ไปอยู่แถวจีนตอนใต้ ตอนนี้น่าจะคิดถึงบ้าน ก็เลยบินกลับมาเยี่ยมบ้านให้เขาเห็น ๑ ตัว"
"ถ้าอะไรที่ต้องการให้มีจำนวนมาก ต้องทำเป็นการค้า แต่ทำเป็นการค้าก็มีข้อจำกัดมาก เพราะว่าเขาจะเลือกเอาเฉพาะที่ขายได้ สมัยอาตมาเด็ก ๆ ขนาดไม่ค่อยรู้จัก ยังมีมะม่วง ๒๐ - ๓๐ ชนิด สมัยนี้พวกเรารู้จักแต่เขียวเสวย น้ำดอกไม้ หนองแซง มากกว่านี้ไม่รู้จักแล้ว ก็เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขายได้ เป็นที่นิยมในท้องตลาด คนเลยแย่งกันทำแต่แบบนี้"
"สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีทุเรียนเป็น ๑๐ ชนิด ปัจจุบันมีแต่หมอนทองเป็นหลัก บางคนบอกว่ามีหลงลับแล หลงลับแลก็ทุเรียนกระดุมสมัยก่อน พวกกระดุม นกหยิบก็คือหลงลับแล บอกว่ามีพวงมณี พวงมณีก็แยกสายไปจากหมอนทอง สรุปว่าอะไรขายได้ก็ทำแต่อย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าถึงแม้จะมีจำนวนมากขึ้น แต่ชนิดกลับน้อยลง
จะทำอย่างไรให้ทุกอย่างขายได้เหมือน ๆ กัน โดยเฉพาะอาหารการกิน สมัยก่อนตามหัวไร่ชายนาไปเด็ดไปเก็บเอา เข้าป่าไปพักเดียวหอบออกมาเป็นหอบ ๆ สมัยนี้เหลือผักไม่กี่อย่าง เข้าตลาดไปมีอะไร ? คะน้า ผักบุ้ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ถั่วฝักยาว เหลืออยู่ประมาณแค่นี้ ต้องการอะไรมากกว่านี้ต้องไปหาแหล่งอื่น แล้วการที่ผลิตเป็นจำนวนมาก ๆ บ้านเราก็ยังไม่มีการควบคุมเรื่องของสารพิษ พยายามจะคุมแล้วแต่เงินแข็งกว่า ก็ต้องมีการขยายระยะเวลาเพื่อรอให้เขาขายสารพิษหมดก่อน"
"อาตมาธุดงค์ไปแถวจังหวัดตาก ได้กลิ่นยาฆ่าแมลงไกลเป็นกิโลฯ พอเข้าไปใกล้หมู่บ้าน เห็นเปลือกกะหล่ำปลีที่เขาแกะทิ้ง ๆ เอาไว้ เพื่อที่จะเอาเฉพาะหัวด้านในที่สวย ๆ ไปขาย เน่ากองพะเนินเทินทึก มีแต่กลิ่นยาฆ่าแมลงเหม็นตลบไปหมด แล้วไม่ต้องห่วงชาวบ้าน...เขาไม่กังวลหรอก เขาปลูกแปลงเล็ก ๆ ไว้ข้างบ้าน หนอนบ้างแมลงบ้างกินพรุนไปหมด เขาเก็บเอาไว้กินเอง ส่วนพวกสวย ๆ เขาบอกว่าขายให้คนกรุงเทพฯ กินยาฆ่าแมลงไปเถอะ...!"
"ตรงจุดนี้แสดงให้เห็นว่าบ้านเราบกพร่องตรงหลักธรรมความซื่อสัตย์สุจริต ในเมื่อไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่ออาชีพของตัวเอง ถ้าคนเขารู้ ต่อไปเขาไม่ซื้อคุณก็ขายไม่ได้ โบราณถึงได้บอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน อาตมาได้แต่ด่า ๆ บ่น ๆ บ่นที่ตลาดทองผาภูมิเอาแต่ส้มอ่อนมาขาย เก็บตั้งแต่ลูกยังเขียว ๆ ยังอ่อนอยู่เพื่อที่จะให้อยู่ในตลาดได้นาน ๆ รสชาติสุนัขไม่รับประทาน
โดนด่าไปนาน ๆ ปีที่แล้วเริ่มเปลี่ยน มีของดีเข้ามาขาย ๒ - ๓ เดือนผ่านไปเริ่มมีไอ้ไม่ได้เรื่องเข้ามาอีก ต้องด่าใหม่..ตอนนี้กลับไปดีขึ้นมาอีกที
ส้มอ่อนรับมาก็ราคาถูก ตัวเองขายราคาท้องตลาดก็ได้กำไรมาก แต่ทำให้คนซื้อเขาเข็ด กินไปครั้งเดียวไม่ประทับใจก็เลิกซื้อ คุณจะขายอีกก็ไม่ได้ ในเรื่องของการค้าขาย ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะต้องยึดถือ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับบ้านเราแล้ว การตายด้วยอุบัติเหตุบนถนนรู้สึกว่าจะมาก น่ากลัวสุด ๆ แต่คนกลับไม่กลัว ดันไปกลัวไวรัส ช่วงเดือนที่ผ่านมาอาตมาออกข้างนอกวันไหนก็เจอวันนั้น เจ็บบ้าง ตายบ้าง รายที่หนักที่สุด ๒ คนผัวเมียอยู่ในรถกระบะ มุดเข้าไปใต้รถพ่วง ๒๒ ล้อ เหลือท้ายรถอยู่ข้างนอกประมาณศอกเดียว
มีอยู่วันหนึ่งวิ่งไปงานท่านเจ้าคุณทิน (พระโสภณพัฒนคุณ) ที่วัดพุน้อย จังหวัดลพบุรี ปรากฏว่าฝนตกหนัก เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ๗ - ๘ คัน อาตมาก็สงสัยว่าฝนตกแค่นี้รถต้องติดขนาดนี้ด้วยหรือ ? ปรากฏว่าพอคลานไปถึงแล้วจึงได้เห็น แบ่งคู่กรณีออกเป็น ๒ - ๓ กลุ่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าชนกันแล้วกระเด็นเปะปะไปชนคันอื่นต่อหรืออย่างไร นาน ๆ จะเจออุบัติเหตุขบวนใหญ่ ๆ แบบนี้สักทีหนึ่ง
แต่ก็เข้าใจว่าที่เขาชนกันเพราะว่ารถแฉลบน้ำ เนื่องจากว่าเลนข้างซ้ายนั้นน้ำท่วมถนนสูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถ้ารถวิ่งมาด้วยความเร็วแล้วลงไปในน้ำ จะโดนน้ำดึงให้ความเร็วช้าลง แต่คราวนี้ลงไปล้อข้างเดียว พอล้อข้างหนึ่งช้า อีกข้างหนึ่งเร็ว...รถก็หมุน ในเมื่อหมุนแล้วก็ย่อมต้องหาที่พึ่งพิง ซึ่งในที่นั้นก็คือรถคันอื่น"
"บ้านเราทั้งเจ็บทั้งตายเพราะอุบัติเหตุแต่ละวันมากมาย แทนที่จะตื่นตัวช่วยกันระมัดระวัง ช่วยกันป้องกัน...กลับไม่มี ไปกลัวไวรัสที่เป็นแล้วตายยากตายเย็น ไอ้ตูมเดียวตายนี่ไม่ค่อยจะกลัวกัน สถิติที่น่าภูมิใจคือ ประเทศไทยตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุดในโลก..!"
"คนเราถ้ายังกลัวตายอยู่ ถึงเวลาประสบเหตุอะไรกับตัวเองก็จะดิ้นรนเอาชีวิตรอด บางทีพอรู้ว่าไม่รอดก็มีการกระทำแบบประชดโลก อย่างที่ประเทศจีน พอถึงเวลาก็ดึงหน้ากากหมอออก แล้วถ่มน้ำลายใส่ ในเมื่อข้าจะตายแล้วหมอก็ต้องตายด้วย กลัวว่าไปคนเดียวแล้วจะเหงา..! สถานการณ์แบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในบ้านเราจะเป็นอย่างไร ? ต้องดูตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น โดนสึนามิ โดนน้ำท่วม พอถึงเวลาก็เข้าคิวกันเป็นระเบียบเรียบร้อย รอรับการช่วยเหลือ
ส่วนบ้านเรานี้แย่งกันจนจะเหยียบกันตาย ขนาดทำบุญยังแย่งกัน หลวงตาวัชรชัยโดนมาเมื่อวันสวดพระคาถาเงินล้าน ไอ้คนแย่งกันทำบุญไม่ฟังเสียงใคร ไม่ฟังเหตุ ไม่ฟังผล กูต้องได้ทำก่อน
ในเรื่องของการทำบุญของคนหมู่มาก แย่งชิงกันอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ถึงอย่างไรก็ต้องเฉลี่ยกันไป ไม่ใช่ว่าเราทำก่อนแล้วได้ คนอื่นทำทีหลังไม่ได้ แต่เราก็มักจะลืมตัวกัน"
"อาตมาไปเจอในงานหล่อพระที่แพรนดาจิวเวลรี่ โยมโถมกันเข้าไปทำบุญ เหยียบเด็กเล็กที่นั่งอยู่ด้านหน้าร้องลั่นเลย แปลว่าขาดสติ แล้วก็ขาดปัญญาด้วย
หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า การทำบุญนั้นดี แต่ต้องทำแบบคนมีปัญญา หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อาตมารู้จักท่านนานเกิน ๓๐ ปี ไม่เคยเห็นท่านโกรธใคร แต่วันนั้นพอญาติโยมประดังกันเข้าไปทำบุญ ด้านซ้ายก็ดันเข้ามา ด้านขวาก็ดันเข้ามา ด้านหลังก็ดันเข้ามา คนอยู่ข้างหน้าเลยออกไม่ได้
หลวงปู่ท่านดุ แต่คราวนี้สิ่งที่หลวงปู่ดุคนอื่นฟังออกหรือเปล่า ? ท่านบอกว่า "ข้ามน้ำฮื่อผ่อคนนำ" ก็คือข้ามน้ำให้มองคนนำ มาจากในบาลีธรรมบทที่บอกว่า ฝูงวัวข้ามน้ำ จ่าฝูงไปทางไหน ลูกฝูงก็ตามไปทางนั้น คราวนี้พอ ๓ ด้านดันเข้ามาหมด แล้วคนข้างหน้าจะออกอย่างไร ? คนข้างหลังก็เข้าไปทำบุญไม่ได้ ก็เลยทำให้เห็นชัดว่าคนไทยเราขาดการฝึกฝนอบรมอย่างแรง
แม้กระทั่งการเข้าคิวก็มีคนลัดคิวประจำ อย่างอาตมานี่โดนบังคับให้ลัดคิว เจอฝรั่งประท้วงไป ๒ ครั้งแล้ว ลงจากเครื่องบินก็มาเรียกแท็กซี่ คราวนี้ของพระเขาอนุญาตพิเศษให้ลัดคิวไปได้ ฝรั่งก็ไม่ยอม ฝรั่งทำถูก คนไทยทำผิด ให้พระแซงคิว อาตมามีบัตรธนาคาร Precious Customer แซงคิวได้ทุกสาขา พอเขาเอามาถวาย ก็บอกเขาว่า "บัตรนี่คุณทำให้โยมด่าพระ" คนอื่นเขาเข้าแถวรอกันยาวเหยียด พระไปถึงแซงคิวได้ทุกสาขา
บ้านเรายังเห็นแก่หน้าค่าชื่อ ยังมีสิทธิพิเศษ แสดงออกให้เห็นว่า ในส่วนของความเจริญสากลแบบนานาอารยประเทศยังมีน้อยมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาส่งนิมนต์มาทางไลน์ ถามว่าเดือนมิถุนายนว่างไหม ? จะนิมนต์ ก็เลยตอบกลับไปว่า แม้แต่วันเกิดก็โดนนิมนต์ไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ปีนี้ห้ามทำบุญวันเกิด โยมที่นี่ก็ไม่ต้องนิมนต์นะ ถ้าไม่ใช่งานเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่งานของคนหมู่มาก อาตมาไม่มีอารมณ์ไปหรอก
เขาบอกว่ากรกฎาคมก็ได้ครับ นี่ขนาดบอกมิถุนายนไม่มีแล้ว ยังกรกฎาคมก็ได้ครับ"
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ผ่านมาไปเยี่ยมพระป่วยหลายรูป มีอยู่รูปหนึ่งหมอบอกว่าปอดอักเสบ ไปนอนโรงพยาบาล ปรากฏว่าตรวจละเอียดแล้วปอดข้างล่างหายไปส่วนหนึ่ง หมอสันนิษฐานว่าเกิดจากเชื้อราที่ติดขนแมว พอหายใจเอาขนแมวเข้าไป เชื้อราก็เลยเข้าไปกินปอดแทน หายไปครึ่งกลีบ
ถามท่านว่าคุณเลี้ยงแมวหรือ ? ท่านบอกว่า "ครับ..ผมเลี้ยงแมวหลายตัว แล้วก็อุ้มเล่นอยู่ทุกวัน" ไม่เคยเห็นตอนท่านอุ้มแมว ไม่นึกว่าที่วัดท่านแมวจะเยอะ ถ้าสมัยนี้เขาเรียกกันว่า "ทาสแมว"
ท่านเป็นพระเถระค่อนข้างจะมักน้อยและสันโดษ จะตั้งให้เป็นพระครูสัญญาบัตรท่านก็ไม่เอา จะให้เป็นเจ้าคณะตำบลท่านก็ไม่เอา บวชมาประมาณ ๔๐ พรรษาแล้ว ปรากฏว่าปอดหายไปมุมหนึ่ง โดนเชื้อราจากขนแมวกินปอดไป ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจจะหายเยอะขึ้นไปอีก เพราะว่าทางด้านบนก็มี ๒ จุด ถามว่าไอ้จุด ๆ นี่วัณโรคไม่ใช่หรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ คนละอย่างกัน วัณโรคก็คือเชื้อวัณโรค นี่เป็นเชื้อราจากขนแมว เพราะว่าท่านไม่ไอ ท่านมีแต่ไข้อย่างเดียว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าที่อาตมาเร่งสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิต ก็เพราะเบื่อทำสะเดาะเคราะห์ให้โยมแบบนี้ เดี๋ยวพอทำเสร็จแล้วใครมาให้สะเดาะเคราะห์ จะไล่ให้ไปบูชาพระแทน"
ถาม : ที่หลวงพ่อเล่าว่า ที่วัดท่าซุงมีหมาอยู่ตัวหนึ่งที่กัดพระตลอด แต่ตายไปกลายไปเป็นเทวดา หมากัดเขาไม่บาปหรือครับ ?
ตอบ : หมาไม่รู้ เหตุที่ไม่รู้เพราะหลวงพ่อบอกว่าชาติก่อนเขาตายตอนกำลังรบตะลุมบอนกันอยู่ แยกมิตรแยกศัตรูไม่ออก เพราะฉะนั้น..ใครมีทีท่าจะเป็นศัตรูก็กัดเอาไว้ก่อน
ถาม : ตอนหมากัด ไม่มีความผิดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สัตว์เดรัจฉานถึงทำผิดโทษก็น้อยกว่าเพราะว่าเขาอยู่ในภพภูมิที่ต่ำ สภาพจิตมืดบอดมากกว่า เหมือนกับคนเราถ้าฆ่าพ่อฆ่าแม่เป็นอนันตริยกรรม แต่ถ้าสัตว์ฆ่าพ่อฆ่าแม่ไม่เป็นอนันตริยกรรม โทษของเขาน้อยกว่า และอานิสงส์ที่คอยดูแลวัดผลบุญมีเยอะกว่า ถ้านึกหน้าใครไม่ออกก็นึกถึงไอ้ท่านใหม่ ชื่อใหม่เหมือนกัน ถ้านึกไม่ออกก็นึกถึงพระครูสังฆรักษ์ชัยพร จะนึกออกเองว่าหมาชื่ออะไร..?!
ถาม : เกย์กับตุ๊ดบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : เกย์กับตุ๊ดบวชได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพระอุปัชฌาย์เป็นผู้พิจารณา อย่างวัดท่าขนุนบอกแล้วว่า ถ้าคุณเก็บอาการได้ก็บวชได้ ถ้าออกอาการเมื่อไรต้องสึก เราไม่ได้รังเกียจ แต่จะทำส่วนรวมเสียหาย
แบบเดียวกับที่ไปบรรยายธรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาถามว่าหลักการปฏิบัติธรรมของเพศที่ ๓ มีอะไรบ้าง ? ก็บอกกับเขาไปว่า ไม่มีหรอกเพศที่ ๓ มีแค่ ๒ เพศเท่านั้นแหละ ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคุณมีความเข้าใจหรือเปล่าว่า ระหว่างการสร้างบารมีนั้นเริ่มจากผู้หญิงมาเป็นผู้ชาย ถ้าหากบารมีต้นก็เป็นผู้หญิงตลอด อุปบารมีก็เริ่มจะเป็นผู้ชาย อุปบารมีขั้นกลางเป็นผู้ชายมาใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงก็ยังติดมา คราวนี้พอเป็นลักษณะอย่างนี้ จะไปนับเข้าเป็นอีกเพศหนึ่งก็ไม่ได้หรอก
ถาม : โยมผู้หญิงก็บารมีน้อยกว่าสิ ?
ตอบ : ไม่ถูก เพราะว่าผู้หญิงที่เขาเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ ท่านก็ยังเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ ต่อให้บารมีมากกว่าเรากี่เท่าก็ยังเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ อีกประเภทหนึ่งก็คือเป็นผู้ชายแล้วแรดมาก..! จะโดนบังคับให้เกิดเป็นผู้หญิง ไอ้นั่นบารมีเยอะเท่าไรก็ต้องไปเกิด เพราะว่าตัวเองสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้ จะได้รู้ว่าความช้ำใจเป็นอย่างไร พอถึงเวลาก็มีกิ๊กยันเตเลย พวกเรื่องกิ๊กนี่บางทีเขาไม่ได้อยากมีหรอก แต่มาตามวาระ ต้องระวังให้ดี ถ้าหากว่าไม่มีสติสัมปชัญญะอยู่ก็จะพัง ส่วนมากถึงตาย..!
ถาม : ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ผิดสิครับ เพราะว่ามาตามวาระ?
ตอบ : ผิด...มาตามวาระก็คือวาระกรรมที่สร้างเอาไว้ ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะต่อกรรมไหม ? ไม่ผิดก็ไม่มีหรอก
ถาม : ผมจะได้พยายามไปเล่าให้ภรรยาฟัง ?
ตอบ : อย่าพยายามเอาอาตมาไปอ้าง เดี๋ยวจะโดนลูกหลงไปด้วย
ถาม : เดี๋ยวบ้านแตก
ตอบ : บ้านแตกไม่เป็นไรหรอก หัวแตกสิสำคัญ...!
ถ้าถึงวาระบุญกับวาระกรรมที่สร้างร่วมกัน เขาก็จะมา ก็อยู่ที่เราว่ามีสติสัมปชัญญะแค่ไหน ถ้ามีสติสัมปชัญญะ มีความมั่นคงในศีล ก็สามารถที่จะประคองตัวรอดไปได้ ถ้าไม่มีความมั่นคงในศีลก็จะไหลไปตามเวรตามกรรม แล้วก่อเวรก่อกรรมมากขึ้นไปอีก ชาติต่อ ๆ ไปก็ต้องมาผูกเวรผูกกรรมกันต่ออีก ไม่เห็นหรือ..? คู่นักร้องกับเมียที่ทะเลาะกันบ้านจะแตก ลงเต็มโซเชียลไปหมด แต่ไม่เห็นจะเลิกกันเสียที..!
ถาม : เพศตรงข้ามที่โผล่เข้ามาในชีวิตมากมาย นี่เข้ามาหนุนเสริมหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บางคนก็ไม่ใช่ บางคนก็มาหนุนเสริม บางคนก็มาตัดรอน แล้วแต่ว่าสร้างบุญร่วมกันมาหรือสร้างกรรมร่วมกันมา ก็เลยเหมือนกับเลือกผิดเลือกถูก อยู่ที่ว่าดวงจะเฮงแค่ไหน
ถาม : แล้วท่านไม่เจอคู่บารมีบ้างหรือครับ ?
ตอบ : เจอ...คราวนี้มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า ถ้าเราคงมั่นคงต่อแนวทางของเรา เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไอ้ที่มาตามตื๊อตามอะไรอยู่เป็นพรรษา ๆ ท้ายสุดก็โดนไล่เตลิดไปหมด
เรื่องของเนื้อคู่ต้องบอกว่ายิ่งกว่าถูกหวยอีก ถูกยากถูกเย็น ไปถูกเลขท้ายสองตัวก็พอดีใจได้หน่อยหนึ่ง จะไปหวังรางวัลที่หนึ่งก็ยากมาก
ดูคุณชรินทร์กับเพชรา มีแต่คนเขาบอกว่าเพชราตาบอด มองอะไรไม่เห็น คุณชรินทร์จะนอกใจขนาดไหนก็ไม่มีใครว่าอยู่แล้ว ทำไมถึงได้รักนักรักหนา ดูแลกันมาถึงขนาดนี้ ? คุณชรินทร์เขาบอกว่า ตอนที่จีบกันใหม่ ๆ เขาเป็นคนที่ไม่น่าจะได้รับเลือก เพราะว่าคุณสมบัติต่ำสุด มีอย่างเดียวคือเป็นนักร้อง ไม่ว่าจะฐานะ ไม่ว่าจะความรู้ ไม่ว่าจะในสภาพในสังคมวงศ์ตระกูลอะไรก็ตาม สู้ใครไม่ได้เลย แต่ในเมื่อคุณเพชราเลือกแล้ว เขาบอกว่า ของที่ได้มายากขนาดนี้ ถึงเวลาก็ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด
ถาม : ตอนผมนั่งฟังเพลงที่ชอบมาก ๆ อารมณ์เบาสบายคล้ายกับตอนนั่งสมาธิ ถ้าตายตอนนั้นลงข้างล่างหรือขึ้นข้างบนครับ ?
ตอบ : ไปเป็นกามเทพกระมัง..? ต้องดูว่าจิตสุดท้ายของเรายึดอะไร ถ้าถามว่าไปไหนนี่ยังบอกไม่ได้ เพราะว่าอาสันนกรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก บางคนขนาดได้ฌานได้สมาบัติ ก่อนตายเสียงกระแทกข้างฝาปั้ง..! ใจหลุดจากสมาธิ...เสร็จเลย
ฟังเพลงอย่าไป รัก โลภ โกรธ หลง ตามเนื้อเพลงก็แล้วกัน พอถึงเวลาเพลงร้อง “เจ็บใจคนรักโดนรังแก ข้าจะเผาเมืองแปรให้มันวอดวาย” ถ้าไหลตามไปก็ลงนรกเลย..!
ถาม : ตอนผมขับรถ ผมสวดคาถาเงินล้านได้นาทีละ ๔-๕ จบ เกือบ ๆ เท่ากับตอนนั่งสมาธิ อานิสงส์เท่ากันไหม ?
ตอบ : ยังสวดไม่เท่า ก็แปลว่าอานิสงส์ไม่เท่ากัน
ถาม : ผมกลับไปนึกว่า เป็นเพราะเราชำนาญ แล้วเราไม่ได้นั่งสมาธิ ก็เลยเป็นอัตโนมัติ ?
ตอบ : ในเรื่องของอัตโนมัติต้องใส่ความตั้งใจไปด้วย ความตั้งใจในที่นี้คือสติ ถ้าขาดสติอานิสงส์ก็น้อย เพราะฉะนั้น..อย่าปล่อยให้เป็นอัตโนมัติอย่างเดียว ต้องเอาสติคอยคุมไว้ด้วย
ถาม : สวดไปด้วยและคิดเรื่องอื่นไปด้วย ?
ตอบ : ก็ได้อานิสงส์น้อยลงไปหน่อย
ถาม : ผมเอาใจจับภาพพระไป และก็สวดไป เปลี่ยนภาพพระไปเรื่อย ๆ อย่างนี้อานิสงส์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...เพียงแต่ว่าลักษณะของเราเหมือนคนขี้เบื่อ พอนาน ๆ ไปถ้าเคยชิน นิสัยแบบนี้จะลำบาก เพราะว่าถึงเวลาถ้าไม่เปลี่ยนภาพพระแล้วใจจะไม่สงบ
ถาม : ผมไปคิดว่า ผมไปกราบพระทั้งประเทศทุกวัน วันไหนเลิกรู้สึกเดี๋ยวเสียสัจจะ จริง ๆ แล้วเรามาอยู่กับตัวเองได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..อยู่ตรงนี้นึกถึงพระทั้งประเทศ แล้วก็กราบทีเดียว
ถาม : เรื่องไอ้ไข่ ผีอื่นมาแอบอ้างเป็นไอ้ไข่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...เพียงแต่ว่าถ้าอยู่ในเขตนั้นก็เสร็จ อย่าลืมว่ามหิทธิกาเปรตนี่เทวดาระดับต่ำ ๆ ยังต้องถอย สู้เขาไม่ได้
ถาม : ไม่มีใครทำบุญให้เขาหรือครับ ?
ตอบ : พวกนี้เขามีพื้นฐานของฌานของสมาบัติมาก่อน แต่อยู่ในลักษณะเป็นมิจฉาสมาธิ เป็นพ่อมดหมอผีอะไรมา พอถึงเวลาตายไปเสวยทุกข์อะไรตามกรรมของตัวเอง ก็ต้องมาเกิดเป็นมหิทธิกาเปรต คนทำบุญให้นั้นมี แต่เขายินดีไหม ? เพราะว่าบางทีความเป็นมิจฉาทิฐิมีมาก ก็รู้สึกว่าเราดีที่สุดแล้ว เราเลิศที่สุดแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องไปพึ่งใครอาศัยใคร
ถาม : อุทิศให้ไปก็ใช่ว่าจะรับ ?
ตอบ : ก็อย่างอาตมาอุทิศให้เขาบอกว่า “ท่านไม่ต้องยุ่ง”
ถาม : วัดเจดีย์เขาก็ไม่ค่อยชอบสร้างวัตถุมงคล แต่วัดอื่นเขาเอาไปสร้าง คนบูชาก็ถูกหวยกัน ?
ตอบ : วันก่อนเห็นพ่อค้าหวยไปแก้ผ้าวิ่ง ไปขายหวยในงานไอ้ไข่ บอกว่าถ้าขายได้หมดแผงจะแก้ผ้าวิ่ง ตั้ง ๖๐๐ ใบ ใครจะไปคิดว่าเขาจะซื้อพรวดเดียวหมด ก็เลยสมน้ำหน้า
ถาม : ถ้าพ่อค้าให้ลูกชายแก้ผ้าวิ่งแทนได้ไหมคะ ?
ตอบ : ระวังเอาไว้ ถ้าไม่ตรงไปตรงมาเดี๋ยวก็โดนเขาสอย บนอะไรมาต้องแก้กันตรงไปตรงมา
ถาม : ถ้าเราบนให้คนอื่นทำแทนอย่างนี้จะผิดไหมครับ อย่างให้ลูกชายบวชให้ แต่ลูกชายไม่ยอมบวช ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ผิด เพราะว่าต้องบวชให้ได้ ถ้าคุณไม่มั่นใจแล้วคุณไปบนให้เขาบวชทำไม ? นี่เจอมาแล้วกับตัวเอง บนให้เพื่อนบวช ยังดีนะว่าเพื่อนรักกันจริง ไม่อย่างนั้นไม่บวชให้หรอก ตัวเองแทนที่จะบนให้ตัวเองบวช ดันไปบนให้เพื่อนบวช แต่ตัวเองรับผลสำเร็จ น่าจะฆ่าให้ตายเลย..!
ถาม : การอ่านหนังสือ ถ้าใช้บทสะหัสสะเนตโตฯ ด้วย ?
ตอบ : โดยปกติก็ควรจะใช้ ภาวนานำไปก่อนเลยสัก ๒๐-๓๐ นาที อ่านเสร็จก็ภาวนาซ้ำใหม่ ขอให้มีความคล่องตัวมาก ๆ บางคนถ้าทำขึ้นจริง ๆ พออ่านไปก็จะรู้เลยว่าตรงนี้จะออกข้อสอบ
วันก่อนพระอุปัชฌาย์รุ่นน้อง บอกว่าหนักใจเรื่องกฎ ๑๗ ซึ่งมีตั้ง ๔๑ ข้อ ก็เลยบอกว่า "นี่ ๆ ข้อนี้ออก คุณท่องเอาไว้ก็แล้วกัน" แล้วก็ออกลักษณะน่าเกลียดมาก คือข้อ ๑๙ ระบุเอาไว้ว่า ‘พระอุปัชฌาย์เมื่อให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรแล้ว จะต้องปกครองสอดส่องดูแลให้การศึกษา และติดตามเรื่องการออกหนังสือสุทธิให้’ แต่เขาจะไม่ถามอย่างนี้ เขาถามว่าหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ที่มีต่อกุลบุตรมีกี่ข้อ ? อะไรบ้าง ?
ข้อที่ ๑ ก็คือปกครอง ข้อที่ ๒ สอดส่อง ข้อที่ ๓ คือดูแล ข้อที่ ๔ ให้การศึกษา ข้อที่ ๕ ตามออกหนังสือสุทธิให้ ออกอย่างนี้น่าตายไหม ? คือไม่ใช่ว่าเราท่องได้แล้วจะตอบได้นะ เพราะบางทีก็หาไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน ตอบไม่ครบก็โดน แล้วก็ไม่ใช่ว่าอาตมาจะบอกเขาไปได้ทุกเรื่อง
วันก่อนเพิ่งจะมีข่าวไป ที่พระท่านบ่น “สองร้อยบาทยังกล้าถวายน้อ” ด้วยความที่ท่านเองคิดไม่รอบคอบ ท่านพูดเสร็จแล้วท่านก็ต่อท้ายว่า “ต่อไปโยมไม่ต้องถวายก็ได้ เอาแค่ข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงก็พอ” แต่คนไปโฟกัสตรง ๒๐๐ บาทไปแล้ว โอ้โฮ...คราวนี้ก็ด่ากันให้กระจายเลยสิ
ถาม : ลงนรกไหมครับ ?
ตอบ : คนด่าลงแน่นอน..!
คราวนี้พอนักข่าวไปสัมภาษณ์ ท่านถึงได้บอกว่า ท่านไปนิมนต์พระคู่สวดมาจากวัดอื่น ถ้าไปเจอวัดไกล ๆ ๒๐๐ บาท จะพอค่าน้ำมันของท่านไหมเล่า ?
อาตมาเจอมากับตัวเองเลย แล้วก็น่าต่อว่าอย่างที่ท่านว่า คือเจ้าภาพบวชลูกชาย เขาบอกว่าเขาสั่งโต๊ะจีนมา หมดไป ๓๕,๐๐๐ บาท บวชลูกแล้วจะได้ฉลอง ปรากฏว่าพอบวชเสร็จ หลวงพ่อพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีตอนนั้นแกะซองมาดู “เฮ้ย...อาจารย์เล็ก ดูของคุณหน่อยสิ เขาให้ผิดซองหรือเปล่า ?” อาตมาก็แกะของตัวเองออกมา...๒๐ บาท...! ของหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ ๒๐๐ บาท
ท่านก็คิดว่าเขาให้ผิด แต่ไม่ได้ให้ผิดหรอก เขาให้แค่นั้นแหละ เลยหันไปหาท่านมหาทองดี มหาทองดีแกะออกมาก็ ๒๐ บาท ตกลงว่าคู่สวดได้ ๒๐ บาท พระอุปัชฌาย์เป็นเจ้าคณะจังหวัด พระราชาคณะชั้นเทพด้วย ได้ ๒๐๐ บาท แต่เขาเลี้ยงโยมไป ๓๕,๐๐๐ บาท นี่คือการลำดับความสำคัญของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าอย่างอาตมา...ก็คิดว่าการทำบุญกับพระได้อานิสงส์มากกว่า จะให้ความสำคัญด้านนี้มากกว่า แต่เขาเห็นว่าการเลี้ยงคนสำคัญกว่า เขาก็ไปทุ่มเททางด้านโน้น
สรุปว่าหลวงพ่อท่านดึงใบละ ๑๐๐ บาท มาหนึ่งใบ “เอ้า...คุณไปแบ่งกับมหาทองดีคนละครึ่ง” อาตมากับมหาทองดีได้คนละ ๗๐ เจ้าคณะจังหวัดได้ไป ๑๐๐ บาท แล้วว่ากันไม่ได้ด้วย เพราะว่าเขาลำดับความสำคัญไม่เท่ากัน เขาเห็นว่าการเลี้ยงญาติเลี้ยงโยมเลี้ยงเพื่อนฝูงสำคัญที่สุด ถวายพระอุปัชฌาย์อาจารย์คู่สวดไม่สำคัญ เขาก็ให้แค่นั้น เพียงแต่สงสัยเหมือนกันว่าคู่สวดได้ ๒๐ แล้วพระอันดับจะได้เท่าไร ?
ถาม : ถ้าเอาเงินกฐินผ้าป่าไปใช้ในมหรสพล่ะครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ตั้งใจให้ใช้ในงานมหรสพนะ เท่ากับว่าใช้เงินสงฆ์ผิดประเภท แต่ส่วนใหญ่เขาก็ทำกันอย่างนั้น หานรกใส่ตัวโดยไม่รู้ ครูบาอาจารย์ของเขาก็ไม่ได้บอกเอาไว้
มีวัดอยู่วัดหนึ่งขออนุญาตออกชื่อเลย วัดท่าตาเสือ อยู่เขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี จัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต ลงทุนไป ๕ ล้านบาท ได้คืนมา ๓ ล้านบาท กำไรแหลกลาญเลย..! พอได้ยินเขาเล่าให้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่า ถ้าเป็นกรรมการวัดของกูนะ จะค่อย ๆ บีบคอมัน..!
เขาไปสั่งรถกระบะเครื่องดีเซล ๓๐๐๐ รุ่นแรกมาออกเบอร์ เบอร์ละ ๒๐๐ บาท คนก็สอยกันกระจายเลยสิ รถกระบะทั้งคัน ๒๐๐ บาทเอง แต่ปรากฏว่าครึ่งวันแรกเบอร์หลุด..! คือปกติงานอย่างนั้นดึก ๆ วันสุดท้ายเขาถึงจะเอาเบอร์มาแขวน นี่กรรมการวัดโคตรจะซื่อสัตย์เลย กูแขวนหมดทุกเบอร์ตั้งแต่วันแรก พอเจ้าอาวาสไปต่อว่า เขาบอกว่า “ผมอุตส่าห์แขวนไว้โคนต้น นึกว่าไม่มีใครเอา”
สรุปว่าลงทุนไป ๕ ล้านบาท ได้คืนมา ๓ ล้านบาท เพราะว่าเขาสอยได้รถไป ก็ไม่มีใครซื้อแล้ว เบอร์ก็ตาย ขายไม่ออก นั่นก็คือในลักษณะของการจัดงานวัดแบบลงทุนมาก
อย่างวัดหนองพงนก ตอนจัดพุทธาภิเษกเกจิอาจารย์ ๑๐๘ รูป อาตมาโดนนิมนต์ไปเป็น ๑ ใน ๑๐๘ นั่นเขาลงทุนไป ๘ ล้านบาท จัดงานได้คืนมา ๑๒ ล้านบาท อาตมาบอกว่า "อาจารย์เวียน ถ้าเป็นผมนะ ไม่ทำให้เหนื่อยหรอก จัดงาน ๙ วัน ๙ คืน เหนื่อยแทบรากเลือดได้เพิ่มมา ๔ ล้านบาท ถ้ามี ๘ ล้านอยู่ในกระเป๋าดี ๆ ผมไม่ไปจัดงานให้เหนื่อยหรอก"
ท่านลงทุนไป ๘ ล้านบาท แล้วได้มา ๑๒ ล้านบาท คนอื่นเขาไปแตกตื่นตรงตัวเลข ๑๒ ล้าน จนลืมหักต้นทุน
ถาม : ตอนนี้ทองคำเกือบครบหรือยังครับ ?
ตอบ : ยังเลย..มีเงินพอที่จะซื้อนะ แต่อยู่ ๆ พอราคาขึ้นพรวดไปก็เลยต้องหยุดไว้ก่อน เพราะว่าถ้าซื้อตอนนี้จะขาดทุนเยอะมากเลย กะว่าสักบาทละ ๑๙,๐๐๐ บาทจะซื้อ ปรากฏว่าราคาโดดขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วบ้านเราก็บ้า เงินแข็งเท่าไรทองคำก็ขึ้น ซึ่งปกติถ้าเงินแข็งค่า ทองคำจะราคาตก แต่ถ้าทองคำต่างประเทศขึ้น บ้านเราขึ้นทันที ทองคำต่างประเทศลง บ้านเราไม่ค่อยจะลงกัน
ถาม : อย่างนี้ก็ยังไม่กำหนดวันที่จะหล่อสิครับ ?
ตอบ : ยัง..แล้วเราจะไปเดือดร้อนอะไร ? เพราะแบบก็มีอยู่ ถึงเวลากำหนดว่าวันนี้หล่อ พรุ่งนี้เขาก็ทำทัน เพราะว่าสมัยนี้ใช้เตาแก๊ส ไม่ต้องใช้ฟืนสุมแล้ว ถึงเวลาใช้เตาแก๊สเป่าเลย แบกแก๊สถังใหญ่ไป ๒ ถัง องค์ใหญ่แค่ไหนก็หล่อได้ รุ่นแรก ๆ จำได้ไหม ? ที่เขาให้เราหาฟืนทีหนึ่ง ๓ คันรถสิบล้อ ๕ คันรถสิบล้อ เอาไปให้เขาสุมแบบ สมัยนี้ไม่ต้องแล้ว เขาใช้แก๊สกันหมดแล้ว
ถาม : ผมสงสัยว่า ลิเวอร์พูลปีนี้ที่เก่งขนาดนี้ เพราะ “ท่านเจ” หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาบอกกับท่านแล้วว่า ถ้าตราบใดลิเวอร์พูลยังได้แชมป์อยู่ คุณห้ามสึกนะ จะสึกก็ต่อเมื่อลิเวอร์พูลตกรอบ ใครจะไปคิด ดันทะลึ่งไปบนว่า ถ้าลิเวอร์พูลชนะแล้วจะบวช โดนเขานำไป ๓ - ๐ ใครจะไปนึกว่าชนะ ท้ายสุดก็เลยบวชอยู่จนทุกวันนี้ เมื่อวันก่อนถึงได้แซวไปว่า ถ้าลิเวอร์พูลได้แชมป์ คุณก็อยู่ไปเรื่อย ๆ เลยนะ ตกรอบเมื่อไรแล้วค่อยสึก สมัยก่อนแฟนหงส์กับแฟนผีนี่ประเภทคู่กัดกันเลย
ถาม : เวลาที่โยนหินล้อมที่นอนเวลากลางคืน กันเผื่อเวลานอนแล้วขาดสติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ต่อให้มีสติ บางเวลาถ้าวาระกรรมมาถึงก็โดน จึงต้องอาศัยบารมีพระท่านสงเคราะห์
เมื่อวานนี้ที่สิงห์บุรี โยมมารายงานว่ารถโดนชนกลางลำเลย แต่ปลอดภัย ตัวเองโดนกระจกบาดหน้าเป็นแผลไปหน่อยหนึ่ง เขาบอกว่าส่วนที่พอใจที่สุดก็คือกำลังใจของเขานิ่งมาก ไม่ตกใจ ไม่หวั่นไหว ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องเสียโฉมอะไรทั้งนั้น อาตมาก็เลยบอกว่า นั่นคือผลการปฏิบัติของเราที่ค่อย ๆ สะสมตัวมาเรื่อย ๆ พอถึงเวลาฉุกเฉินก็จะแสดงออกว่าเรามีต้นทุนเท่าไร
ถาม : ได้เฉพาะตอนฉุกเฉินสิคะ ?
ตอบ : ก็ตอนนั้นเห็นต้นทุนแล้ว ทำอย่างไรที่เราจะรักษาต้นทุนของเราให้ปรากฏชัดอยู่ได้ ก็อยู่ที่การฝึกฝน ไม่อย่างนั้นก็ต้องรอฉุกเฉินอีก ถ้าอยากจะรู้ก็ไปลองตัดหน้า ๑๘ ล้อ เดี๋ยวก็เห็นเองว่าต้นทุนมีเท่าไร แต่ถ้าจะโดน ๑๘ ล้อบี้แบบคราวโน้นก็ช่วยไม่ได้ ๒ คันเล่นเบียดกันเข้ามา แล้วรถของเราอยู่ตรงกลาง
ถาม : ท่านโดนบ่อยหรือครับ ?
ตอบ : อันนี้โยมเขาโดนแล้วเขามาขอบคุณที่อุตส่าห์ค่อย ๆ สอนค่อย ๆ สั่ง แล้วเขาก็ไม่ค่อยจะเอาไหน แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ที่แท้ต้นทุนเขาก็มีพอ ส่วนประเภทกระจกบาดหน้าเป็นแผลหน่อยเดียวนั่นเขาถือว่ายางบอน ไม่ถือว่าเสียเลือดเสียเนื้อ
ถาม : ตอนที่ประสบอุบัติเหตุ ตอนนั้นไม่อยากใส่พระเลย มีความรำคาญ อยากถอดออกให้หมด แต่โชคดีที่เหลือพระคำข้าวไว้ครับ ปรากฏว่าคนขับตายคนหนึ่ง อีกสามคนไม่ใส่อะไรเลยครับ ?
ตอบ : เราจะเห็นชัดเลยว่าถึงวาระกรรมเข้ามา บันดาลให้เป็นไปได้ขนาดนั้น ก็ยังดีว่าบุญของเรายังพอมีอยู่ ก็เลยทำให้รักษาพระเอาไว้ได้องค์หนึ่ง ถ้าเอาออกหมดนี่เฮงจริง ๆ
ถาม : เมื่อตอนสวดมนต์ข้ามปี หนูไปสวดมนต์วัดแถว ๆ บ้าน พอขี่มอเตอร์ไซค์กลับ อยู่ ๆ จิตก็บอกตัวเองขึ้นมาว่ายอม หนูก็ตกใจมาก เพราะหนูก็ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ก็เลยสังเกตว่าตัวเองขึ้นบ้าง พบว่าหลังจากนั้นจิตสงบมากและแรงต้านในจิตเราไม่มี ก็รู้สึกปลอดภัย ไม่ได้ถูกกระทบจากข้างนอก อารมณ์เหมือนเราเข้าสมาธิแต่หนูไม่ได้เข้าสมาธิค่ะ ?
ตอบ : นั่นแหละ...เริ่มเข้าระดับใช้งาน แค่ใช้สติประคองอารมณ์นั้นไว้ แล้วคอยสังเกตระวัง อย่าให้นิวรณ์กินใจเราได้
ถาม : หนูเปิดฟังกรรมฐานของหลวงพ่อสมปอง ท่านบอกให้ทำใจให้ผ่องใส หนูก็เลยทำตามดู ถ้ามีความเศร้าหมองหนูก็จะปัดไปเลย ปัดแบบทื่อ ๆ จิตจะไม่ยอมรับ แต่ถ้าหนูปล่อยให้นิ่ง ๆ อยู่ ๆ จิตก็จะพิจารณาของมันเอง จิตก็จะโพลงสว่างมาก ๆ บังเอิญหนูฟังตอนกลางคืน ตอนนั้นทั้งคืนก็เลย...
ตอบ : ก็เลยไม่ต้องนอน
ถาม : จิตสว่างเหมือนเป็นสป็อตไลท์ สว่างเหมือนคลุมได้ทั้งบ้าน ?
ตอบ : ค่อย ๆ ทำต่อไป เดี๋ยวคลุมได้ทั้งโลกก็ช่วยกันหน่อย คราวนี้คลุมได้ทั้งบ้าน เอาแค่ตัวเองรอดได้
ถาม : หนูสงสัยว่าระหว่างปล่อยให้นิ่ง ๆ กับการให้สว่างโพลง ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : สะจิตตะปะริโยทะปะนัง พึงชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คืออย่าให้นิวรณ์หรือกิเลสต่าง ๆ กินได้ สภาพจิตยิ่งสะอาดเท่าไร โอกาสหลุดพ้นก็มีมากเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทปล่อยไปเรื่อยเปื่อย ลักษณะอย่างนั้นกว่าจะขี้ตรงร่องได้ก็อีกนาน ต้องบังคับกันบ้าง
ถาม : อารมณ์ที่ควรจะเป็น อารมณ์ที่จะพ้นทุกข์ เราต้องบังคับให้สว่างโพลงตลอดหรือคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้น ถ้าสติไปอยู่เฉพาะหน้า จิตจะสว่างเอง แล้วก็จะเลือกเสพรับ อะไรไม่ดีก็ตัดออก อะไรดีก็รับเข้ามา กลายเป็นละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็เหลือดีอย่างเดียว พอมากกว่านั้นก็คือ ดีก็วางลงไปด้วย
ถาม : แล้วอารมณ์ตรงนี้ เรารู้สึกเหมือนเราปลอดภัยมาก ๆ ปลอดภัยจากกิเลสตัณหาอุปาทานของตัวเราเอง ?
ตอบ : อันนี้ได้แค่พักเดียว เผลอเมื่อไรก็โดนกัดใหม่ ก็ต้องสร้างอารมณ์นี้ให้ต่อเนื่อง ก็คือประคองเอาไว้ ใช้สติคอยตามดูตามรู้ ถึงเวลาอะไรไม่ดีจะเข้ามาก็ละเสีย อย่าไปสร้างเหตุนั้น ๆ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส พยายามตัดอารมณ์ครุ่นคิดที่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ไปปรุงไปแต่ง ไม่ยินดียินร้าย โอกาสที่จะทำอันตรายเราก็ไม่มี
ถาม : ไม่ใช่เอาฌานกดไว้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้ายังไปกดอยู่เราก็เหนื่อย คราวนี้เราต้องใช้แล้ว
ถาม : ถือเป็นตัวปัญญาไหมครับ ?
ตอบ : รวมกันอยู่ในนั้นแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไม่ออก เพราะว่าขณะที่เราระมัดระวังศีล สมาธิก็เกิด เมื่อสมาธิเกิด สภาพจิตผ่องใส ปัญญาก็เกิด ปัญญาเกิดก็จะไปคุมศีลคุมสมาธิอีกที ไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้มีไหว้ครูประจำปีเป่ายันต์เกราะเพชรงานเดียว ตรงกับวันที่ ๒๘ มีนาคม ส่วนที่เหลือของเรากับของเขาไม่ตรงกัน ถ้าหากว่าทำไปคนที่ลังเลสงสัยก็จะเกิดคำถามขึ้น ก็เลยขอพระท่านตัดทิ้งไปงานหนึ่ง"
ถาม : จะมีโอกาสมาตรงกันอีกไหมครับ ?
ตอบ : ปีหน้า พอประเภทวันครบรอบก็จะตรงกันเอง
ถาม : เอาของเข้าพิธีได้เหมือนเดิมไหมครับ ?
ตอบ : ปีนี้ไม่มีของเข้าพิธี
ถาม : อย่างนี้เอาของเข้าพิธีก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีที่ให้ฝาก เพราะไม่มีของเข้า ของวัดเข้าพิธีไปเรียบร้อยแล้ว
ถาม : ถ้าเราผิดศีล กำลังฌานเราจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่ากำลังใจตกมากไหม ? ตกมากก็เสื่อมมาก ตกน้อยก็เสื่อมน้อย ไม่ตกก็ไม่เสื่อม
ถาม : จริง ๆ หน้าที่เราคือทำใจให้ผ่องใสอย่างเดียวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส
ถาม : วิทยาการจีนสูงสุดในโลกหรือยังครับ ?
ตอบ : ยัง
ถาม : สู้เยอรมันไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : บางอย่างเหนือกว่า บางอย่างก็ด้อยกว่า
ถาม : พระคาถาเงินล้าน สวดแล้วติดนะครับ เวลาไปนั่งส้วมก็ยังสวดต่อครับ เป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น ถ้าภาวนาจนชิน ก็ไปเรื่อยเองแหละ
ถาม : เหมือนเราต้องไปบังคับให้หยุด ก็คือปล่อยให้ภาวนาไป ?
ตอบ : อยู่กับความดีแล้วทำไมต้องไปบังคับให้หยุด ก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือประคองให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ถาม : ถ้าใส่แหวนพระ เข้าห้องน้ำยืนฉี่ เอามือจับอวัยวะเพศ อย่างนี้ถือว่าปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : มีเจตนาไหมเล่า ? ถ้าเจตนาจะให้เสื่อม หรือเจตนาจะปรามาสพระรัตนตรัยก็เป็น แต่ถ้าหากว่าไม่เจตนาก็ไม่เป็น ถ้าคิดมากขนาดนั้นแล้วจะไปใส่ทำไมวะ ? เห็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงส่วนหนึ่ง เอาแหวนจักรพรรดิแขวนกับสร้อยคอไปเลย
อย่าพยายามคิดอะไรตอนฉี่ ดูว่ากำลังใจจะอยู่ข้างดีได้มากกว่าไหม ? คือถ้ากำลังใจอยู่ข้างดีได้มากกว่า บางทีคิดอะไรชั่ว ๆ ไม่ออกหรอก แต่กว่าจะถึงระดับนั้นได้ก็อีกนาน
ถาม : ควันที่เกิดจากการเผาไฟ ดู ๆ แล้วจะทำให้เกิด PM 2.5 ได้อย่างไร ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเรื่องของฝุ่นไม่มีอะไรต้องตื่นเต้นหรอก แม้กระทั่งไวรัสโคโรน่าก็เช่นกัน ในเมื่อติดทางลมหายใจ เราอย่าหายใจก็จบ ฟังดูแล้วมีความเป็นไปได้ไหม ? เลิกหายใจเท่านั้นก็หมดเรื่องไปเลย..!
ถาม : ความรุ่งเรืองของนครวัดนครธม รุ่งเรืองมากกว่านี้เยอะ ทำไมจึงล่มสลายได้ ?
ตอบ : เพราะว่าผู้นำเป็นอีกศาสนาหนึ่ง ในเมื่อผู้นำเป็นอีกหนึ่งศาสนา ก็มีการทำลายกัน
ของอินโดนีเซียก็คืออาณาจักรศรีวิชัย ผู้นำเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม เขาก็บังคับประชาชนนับถือตาม ศาสนาพุทธจึงล่มสลาย
ของขอมนั้นเมื่อผู้นำนับถือศาสนาพราหมณ์ พอขึ้นมาก็สั่งทำลายศาสนสถานของชาวพุทธ จะเห็นว่าเวลาเราไปแถวนครพนม แถวปราสาทตาพรหม จะเห็นพระพุทธรูปโดนทุบพระพักตร์หายไปบ้าง พระเศียรหายไปบ้าง ในเมื่อทำลายทั้งองค์ไม่ได้ ก็ทำลายส่วนสำคัญไป แม้กระทั่งกำแพงปราสาทที่เป็นรูปพุทธประวัติ เขาก็มีการสกัดออก
ในบ้านเราเวลามุสลิมขึ้นเป็นผู้ว่า กทม. ก็สั่งให้การจัดงานทั้งหมดในเขตโรงเรียนหรือโรงพยาบาลในสังกัด กทม. ห้ามตั้งโต๊ะหมู่บูชา ในอาคารต่าง ๆ ก็ให้เอาโต๊ะหมู่บูชาออก นี่ก็ขึ้นอยู่กับอำนาจในมือเขา
ถาม : เขากล้าขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : เขาทำมาแล้ว
ถาม : บุญเก่าหรือเทวดาไม่ช่วยเลยหรือครับ ?
ตอบ : ช่วย..ช่วยไม่ให้พังเร็วกว่านี้
ถาม : อย่างพระนครหรืออยุธยาก็ยังร้าง เทวดาหรือบุญของคนสร้างมาไม่สามารถพยุงไว้ได้หรือครับ ?
ตอบ : ก็พยุงไว้ได้แค่นั้นแหละ..เต็มที่แล้ว
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่เด็กว่า "ระยะนี้อย่าเที่ยวอุ้มเด็ก ๆ ออกจากบ้านนะ ถ้าติดไวรัสแล้วจะยุ่ง ถึงจะไม่หนักก็เถอะ ป่วยขึ้นมาก็รักษายาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาให้ความคิด ให้สถานที่ แต่ไม่มีคนกล้าทำ ก็คือบอกให้ปรับใต้ฐานพระเป็นร้านสะดวกซื้อ ตรงฐานหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก หน้าวัด ที่จอดรถเพียบขนาดนั้น นักท่องเที่ยวมา ห้องน้ำก็มี อะไรก็มี คุณเปิดร้านสะดวกซื้อตรงนั้นก็ขายกระจายเลย แต่ดันไม่มีคนกล้าทำ แค่เสียเวลาเจาะแค่ ๒ ช่อง ทำเป็นกระจกให้เขาเห็นข้างในก็พอ ที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องไปเปิด สมัยนี้เอา "ลูกหมู" กรีดเข้าไป ๒ ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว
ถ้ากลัวว่าจะต้องลงทุนซื้อแฟรนไชส์ เราก็ทำของเรา แทนที่จะเขียวแดงขาว ก็ทำเป็นน้ำเงิน ขาว แดง สีธงชาติไปเลย เขาใช้เลข ๗ เราก็ใช้เลข ๙ แล้วเปิดไปสิ ใครเขาจะว่าอะไร"
ถาม : กำลังใจชอบเผลอ ?
ตอบ : เผลอได้..เรื่องของมึง..! สภาพจิตของเราเคยชินกับการไหลลงต่ำ ต้องคอยระมัดระวังไว้ พอนานไป ๆ เคยชินกับความดี ต่อไปกระทั่งคิดชั่วยังคิดยากเลย คราวนี้กว่าจะถึงระดับนั้น ต้องฝ่าฟันกันชนิดแผลทั้งตัว คนเคยล้มมาก่อน ไม่หัวเราะเยาะคนล้มทีหลังหรอก
ทำอย่างไรให้ตาเห็นแล้วใจไม่คิด ต้องห้ามให้ทัน ไม่อย่างนั้นก็ปรุงไปเยอะแล้ว ส่วนที่เป็นเรื่องแปลกก็คือ เราตั้งใจจะละตัวไหน ไอ้ตัวนั้นจะมาลองได้ทั้งวัน
ถาม : สัญญากับเจ้าที่ไว้ว่าจะทำสังฆทาน ๙ ชุด เรารวบเป็นชุดเดียวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้...ถ้ายกหลายทีก็เหนื่อยหน่อย
ถาม : กลัวว่าเดี๋ยวจะไม่ตรงกับที่บอกไว้ ?
ตอบ : ก็ตั้งใจไว้สิว่าเราถวายเป็นสังฆทาน ๙ ชุด แต่ยกครั้งเดียวเท่านั้น เทวดาท่านฉลาดจะตายไป
ถาม : อารมณ์ไม่คลาย แล้วหลวงพ่อบอกว่าให้ไปวิ่งจนเหนื่อย แต่ก็ไม่ยอมเหนื่อย จนขาไม่ยอมวิ่งก็ยังไม่เหนื่อย..?
ตอบ : สังเกตไหมว่าหลุดไปตอนไหน ?
ถาม : สังเกตเห็นบ้างไม่เห็นบ้างค่ะ ?
ตอบ : นั่นแหละ...ให้สังเกตดูว่าหลุดไปตอนไหนแล้วระวังไว้ อย่าเปิดโอกาสให้แบบนั้นอีก ส่วนใหญ่แล้วเราเผลอไปปล่อย หลุดจากลมหายใจเมื่อไรก็หลุดเลย ที่เราวิ่งแล้วไม่เหนื่อย เพราะว่าเราไม่ทิ้งลมหายใจ ถ้าอยากเหนื่อยต้องทิ้งลมหายใจไปเลย วิ่งไปก่อนแล้วค่อยมาภาวนา นี่เราวิ่งไปภาวนาไป สมาธิทรงตัวก็ไม่เหนื่อยสักที คนอื่นจะตายกันหมด
ถาม : ทำแทนด้วยการเดินจงกรมได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ เปลี่ยนอิริยาบถ อย่าไปทำของซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วขณะเดียวกันสิ่งที่เราเคยทำอยู่ พยายามฟื้นกลับมาให้เร็วที่สุด ก็คือพยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้ ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ รัก โลภ โกรธ หลง แทรกไม่ได้ เราก็รักษาอารมณ์ที่ดีเอาไว้ได้ เผลอหลุดไปเมื่อไร ก็โดนอีก คราวนี้กิเลสมีอำนาจมากกว่า เราก็แย่
ถาม : คนอื่นเขาดูลมแบบธรรมดาได้ แต่หนูต้องเล่นท่ายาก ?
ตอบ : ก็เล่นไป ขึ้นอยู่ที่ใครถนัด
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "ก็บอกแล้วว่าคนเราถนัดความชั่วมากกว่า เขาพูดเรื่องดี เราก็คิดให้ชั่วได้ ถ้าไม่ทำให้กำลังใจเราเกาะความดีจนชิน ถึงเวลาก็ลงล่างอย่างเดียวเลย โอกาสพลาดมีสูงมาก
ถ้าความชั่วเข้ามาให้รีบไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าความดีไม่มี ต้องสร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วต้องทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป งานของเรามีอยู่แค่นั้นแหละ"
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่เที่ยวหนึ่งหนูเข้ากุฏิมา ๓ ตัว ไม่มีใครช่วย ก็เลยไล่จับเอง ได้ตัวที่หนึ่งก็หนีบเอาไว้ ตัวที่สองก็หนีบไว้ ตัวที่สามก็หนีบไว้ มีแต่คนสงสัยว่าจับได้อย่างไร
การจับหนู นอกจากความเร็วแล้ว เรายังต้องเข้าใจสัญชาตญาณด้วย หนูชอบวิ่งเลาะข้างกำแพงเพื่อความปลอดภัย เพราะหนูคิดว่ามีอันตรายเข้ามาได้ด้านเดียว ในเมื่อเขาจะวิ่งเลาะข้างกำแพง ถ้าหันหน้าไปทางไหน เราก็เตรียมดักด้านนั้น หนูก็จะวิ่งมาหามือเราเอง เพียงแต่ว่าเวลาคว้าต้องเลี่ยงหัวสักหน่อย ให้จับท้ายทอย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนกัดเอา สรุปว่าวันนั้นไม่มีใครช่วย คนเดียวต้องจับหนูถึง ๓ ตัว
ถ้าเราดูพวกสารคดีของสัตว์นักล่าในแอฟริกา จะเห็นว่าเวลาสิงโตล่าสัตว์ จะวิ่งตัดครึ่งวงกลม สัญชาตญาณสัตว์เวลาวิ่งแทนที่จะวิ่งตรง ๆ กลับวิ่งแล้วก็วนไม่รู้ตัว สิงโตก็ตัดวงไปดักรอเลย เสร็จหมด"
โยมเอาเสือแกะมาให้ดู "เกือบจะใช่แล้ว เสียอย่างเดียว วัสดุไม่ใช่ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเขี้ยวอะไรมา น่าจะเป็นเขี้ยวอูฐ ไม่ใช่เขี้ยวเสือ ไม่เคยเห็นอูฐมีเขี้ยวใช่ไหม ? ไม่ต้องดูอะไรมากเลย เป็นของทำเลียนแบบ เล่นประเภทใส่กรุมาเลย ไม่เป็นไร...จ่ายค่าหน่วยกิตไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งไปเอง บางอย่างถ้าจับมาแพง ค่าหน่วยกิตก็ถือว่าแพงไปด้วย
อันดับแรก คุณต้องศึกษาก่อนว่าเขี้ยวสัตว์แต่ละชนิดมีลักษณะเป็นอย่างไร เขี้ยวเสือเป็นอย่างไร เขี้ยวหมีเป็นอย่างไร เขี้ยวลิง เขี้ยวอูฐเป็นอย่างไร ถึงเวลามองดูจะรู้ว่าอันนี้วัสดุไม่ใช่ ก็ไปคนละโลกเลย
ฝีมือแกะได้ใกล้เคียง ลายจารยังอุตส่าห์จารได้ใกล้ เสียอย่างเดียว วัสดุไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่เขี้ยวเสือก็จบ ตัวนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเขี้ยวอูฐ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาษิตจีนเขาบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก โรคภัยเข้าทางปาก งวดนี้เห็นชัดเลย ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดจากอาหารการกิน กินอะไรก็ไม่กิน ดันไปกินอาหารป่า สัตว์ป่าจะมีภูมิต้านทานมากกว่าคน ของบางอย่างเป็นแล้วเขาไม่เกิดอาการ แต่พอเชื้อมาอยู่ในคน คนกลับจะตายเอา"
ถาม : ....(ไม่ชัด)....เหมือนแมลงสาบแทะ ?
ตอบ : สมาธิยังห่วยแตก ถ้าสามารถก้าวข้ามไปเป็นปฐมฌาน ก็จะไม่ง่วงอีก คราวนี้ของเราฌานเกาะไม่ติด พอเริ่มเกาะ กลายเป็นปฐมฌานหยาบ ก็โดนตัดขาดไปทุกที ให้เอาใจจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกอย่าให้ห่าง ห่างเมื่อไรก็จะหลับ ถ้าก้าวข้ามไปได้เมื่อไรก็จบ คราวนี้ก้าวข้ามไม่ได้สักที ก็หลับไปเรื่อย
ถาม : พอใช้วิธีเดิม ตัวหมุน ๆ หงายหลังทุกที ?
ตอบ : นั่นเป็นอาการของปีติ ยังไม่ถึงฌาน ไปเริ่มต้นใหม่
บอกว่าเหมือนแมลงสาบแทะ เหมือนหมาแทะมากกว่า เอาเถอะ...ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ผิดอีก คิดได้ทีก็มาที
สำหรับนักปฏิบัติทั่ว ๆ ไป เรื่องของการที่จะก้าวขึ้นปฐมฌานเพื่อก้าวข้ามตัวถีนมิทธะ คือความง่วง ความจริงไม่ใช่ความง่วง แต่เกิดจากการที่จิตดำเนินไปเป็นสมาธิ แล้วสติตามไม่ทัน เลยโดนตัดขาดไป บางคนก็โงกแล้วโงกอีก พยายามตั้งสติ แต่ตั้งไม่ได้สักที
ถ้าเป็นสายหลวงปู่มั่น ท่านบอกให้ภาวนาเร็ว ๆ ถี่ ๆ พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ อย่าให้ว่าง ว่างเมื่อไรจะหลับ เราเองไม่ต้องไปเร่งขนาดนั้น แต่เอาใจจี้ไว้กับลมหายใจเข้าออก อย่าให้หลุด หลุดเมื่อไรก็จะหลับ ถ้าก้าวข้ามไปได้เมื่อไร คราวนี้ความง่วงต่าง ๆ จะไม่มีอีก นั่งเมื่อไรก็สบาย
ถ้าถามว่าปฏิบัติมานานขนาดนี้ ปฐมฌานยังไม่ได้ ไม่แย่หรือ ? ไม่แย่หรอก เพราะว่าคนที่ทำนานกว่านี้แล้วไม่ได้ก็ยังมี เนื่องจาก ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกก็คือทำไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะทรงฌานได้ ประการที่สองก็คืออยากได้ พออยากได้ ความฟุ้งซ่านเกิด ก็เลยไม่เป็นฌานสักที
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระองค์นี้เดือนที่แล้วตกแตก เอาไปให้ช่างซ่อม ซ่อมเสร็จช่างแนะนำว่า ของแตกแล้วไม่ควรเอาไปถวายสังฆทาน อาตมาบอกว่าของแตกแล้วสมควรที่จะถวายสังฆทาน เพราะว่าซ่อมเสร็จแล้ว ก็คือใจคนเขาไม่ได้คิดว่าเขาถวายพระแตก ช่างคิดมากไปเอง"
ถาม : ผมอาศัยโทสะเอาตัวรอดติดต่อกันมานาน จนเป็นสันดาน ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าต้องฝ่าฟันต้องออกแรง โทสะจะออกอัตโนมัติ ความอุตสาหะพยายามก็ใช้ไฟโทสะ มีวิธีไหนที่ผมจะแยกโทสะออกจากสันดานผมได้ครับ ?
ตอบ : แล้วจะไปแยกทำไม ? คุณรู้ไหมว่าไฟคืออะไร ? ไฟช่วยให้เราเกิดกำลัง ของเราเพียงแต่ดันเน้นไปทางไฟโทสะเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปแยก หามาให้เยอะ ๆ ขึ้น เพียงแต่ใช้ให้ถูกทางเท่านั้น
ถาม : แต่โทสะเพิ่งจะทำให้ผมโดนตีน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ?
ตอบ : ก็นั่นแหละ ใช้ผิดทาง ต้องใช้ประเภทกูจะปราบไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ให้ได้ แล้วหาวิธีทำเอา ถ้าอย่างนั้นถึงจะใช้ถูก
ถาม : อย่างพระอรหันต์ ท่านที่ชอบเรียกคนอื่นว่าไอ้ถ่อย ขนาดท่านเป็นพระอรหันต์ยังมีพลาดพลั้งได้ พระอรหันต์ท่านไม่ได้เปิดสวิตซ์รับรู้การพิจารณา แบบที่หลวงพ่อรับอารมณ์จากหลวงปู่ขนมจีนตลอดเวลาหรือครับ ?
ตอบ : แล้วจะรับไปทำไม ? เดือนก่อนเขามากันเต็มบ้าน ถามเขามาทำอะไร ? ก็งง ๆ อยู่พักใหญ่ อ๋อ..เขามาขอขมาตอนปีใหม่ ก็คือถ้าไม่ถามก็ไม่รู้จริงๆ เรื่องอะไรที่ลดน้อยลงไปเรื่องหนึ่ง ก็ยุ่งยากน้อยไปเรื่องหนึ่ง มีใครเขาอยากจะไปสนใจเรื่องคนอื่น มีแต่ระมัดระวังดูใจตัวเอง
ถาม : ผมยังช่างมัน ด้วยความเบาสบายของจิตไม่ได้ ผมก็เลยช่างแม่งให้ขาดสะบั้นไว้ก่อน ผมมาถูกทางไหมครับ ?
ตอบ : ระดับนั้นก็ต้องแค่นั้นก่อน ช่างมันไม่ได้ก็ต้องช่างหัวมัน ช่างหัวมันไม่ได้ ก็ช่างแม่มัน ช่างแม่มันไม่ได้ก็ช่างโคตรพ่อแม่มัน ต้องช่างให้ได้สักระดับหนึ่ง
ทฤษฏีต่างประเทศเขายังบอกเลยว่า ให้แปลงความโกรธเป็นพลัง คราวนี้การที่เราจะแปลงความโกรธเป็นพลังอย่างทฤษฎีฝรั่ง หรือไม่ก็แปลงไฟโทสะมาเป็นกำลังในการทำความดี ต้องประกอบไปด้วยปัญญา ต้องรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร เสร็จสรรพเรียบร้อย ถึงจะควบคุมกำลังให้ไปในมุมที่ถูกที่ควรได้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ลำบาก
ถาม : ตำนานแมวกวักของญี่ปุ่น พอจะทราบไหมครับ ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ให้ลาภ เขาก็เลยเอามากวัก ก็พอ ๆ กับนางกวักบ้านเรา เพียงแต่เป็นแมวกวัก แบบเดียวกับที่คนจีนเขาถือว่านกฮูกเป็นสัตว์แห่งปัญญา คราวนี้บ้านเราเจอนกฮูกก็กลัวตายชัก คิดว่าผีหลอก ทางด้านโน้นนี่เขาอยากจะเจอกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "กาตาร์เป็นประเทศเล็กนิดเดียว ขับรถประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ทั่วประเทศ ด้วยความที่ใต้ดินเขามีน้ำมันมาก ประเทศเล็ก ๆ จึงกลายเป็นรัฐสวัสดิการ ชาวบ้านไม่ต้องทำอะไร รัฐบาลเลี้ยงทั้งประเทศ แล้วผู้ปกครองของเขาก็ขยันมาก ขับรถตรวจประเทศทุกวัน ถนนยาวที่สุด หัวประเทศจรดท้ายประเทศแค่ ๘๑ กิโลเมตร
ไปนึกถึงจักรแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ จักรแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิพาพระเจ้าจักรพรรดิตรวจทวีปทั้ง ๔ เสร็จแล้วกลับมาเสวยพระกระยาหารเช้าได้ทัน ถ้าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ก็ต้องใช้คำว่า "วาร์ป" วาร์ปผ่านรูหนอนไป แต่ว่าจักรแก้วดีกว่ายานอวกาศทุกประเภท เนื่องเพราะว่าอำนาจของจักรแก้วทำให้คนที่อาศัยไปไม่ต้องใช้เครื่องปรับความดัน ไม่ต้องหาอากาศหายใจ มีให้พร้อมทุกอย่าง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้เรื่องของการทำมาหากินก็ค่อนข้างจะฝืดเคือง วันก่อนเห็นว่ามีการปิดรีสอร์ต แล้วก็มีคนไปลงความเห็น โวยวายว่ารัฐบาลเฮงซวย อะไร ๆ ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล คือรัฐบาลของเราพยายามที่จะแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน แต่แก้ไม่เป็น จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็ทำไม่เป็น คือแจกเงินให้ชาวบ้านใช้ แล้วก็ลามปามไปจะแจกเงินนักท่องเที่ยวเพื่อให้เข้ามาเที่ยวบ้านเรา"
"เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นมาแล้ว ก็คือรัฐบาลแจกเงินไปเท่าไร คนญี่ปุ่นเก็บเข้าธนาคารหมด เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าไม่มีเงินจะจ่าย ได้เงินใหม่ไปก็เลยเก็บออมเอาไว้ ส่วนบ้านเราก็แบบเดียวกัน เงินที่ให้ไปนั้นจ่าย แต่เงินตัวเองไม่จ่าย รัฐบาลเขาหวังจะใช้เงินต่อเงิน ก็คือแจกเงินให้ไปจ่ายแล้วอาจจะจ่ายเพลิน ควักของตัวเองออกมา แต่สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ประชาชนที่เผชิญหน้าอยู่ เขารู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้น เขาก็จ่ายเฉพาะ ๕๐๐ บาทที่รัฐบาลให้ ของตัวเองก็เก็บต่อไป
วิธีแก้ไขที่ถูกทางก็คือ ต้องสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน พอชาวบ้านเขามีเงิน เขาถึงจะจ่าย ไม่ใช่เอาเงินไปแจกชาวบ้าน นั่นเป็นรายได้ฉาบฉวยชั่วคราว นับเป็นรายได้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป"
"คราวนี้การที่จะสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน อันดับแรกเลยก็คือพืชผลเศรษฐกิจ เพราะว่าชาวบ้านของเราส่วนใหญ่ ร้อยละ ๗๐ - ๘๐ เป็นเกษตรกร ต้องหาตลาดให้เขาจำหน่าย หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องประกันราคา ว่าทำออกมาแล้วต้องได้ราคาประมาณนี้ เขาจะได้รู้ว่าขาดทุนหรือกำไร
ประการต่อไปก็คือพวกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรายย่อย รายใหญ่ อุตสาหกรรมรายใหญ่แต่ละรายก็ล้วนแล้วแต่คนงานเป็นร้อยเป็นพัน รายย่อยเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐาน คุณลงทุนไปเมื่อไร เท่ากับว่าเป็นส่วนค้ำจุนครอบครัว อย่างที่เขาเรียกว่าเอสเอ็มอีอะไรนั่นแหละ ขนาดย่อม ขนาดกลาง ขนาดใหญ่"
"สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าจะไปได้ก็ต้องได้รับการสนับสนุน การอำนวยความสะดวกจากทางรัฐบาล รายใหญ่เราอาจจะมีการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบบางอย่าง หาตลาดต่างประเทศให้กับเขา รายย่อยก็ต้องหาทางให้เขาจำหน่ายให้ได้ โดยการสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ ให้แต่ละจังหวัดจัดงานในลักษณะเหมือนกับการเปิดตลาดจำหน่ายให้เขา อาจจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจัดไปทุกจังหวัด
สมมติว่าจังหวัดนี้มี ๖ อำเภอ คุณก็หมุนเวียนกัน เดือนนี้คุณเป็นเจ้าภาพเปิดตลาด เดือนโน้นอำเภอถัดไปเป็นเจ้าภาพเปิดตลาด เขามีที่ขายได้ มีรายได้เข้ามา เขาถึงจะกล้าจ่าย"
"คราวนี้รัฐบาลของเราจะเอาแต่เงินภาษีไปยัดให้ชาวบ้านเขาจ่ายเงิน หวังอยู่อย่างเดียวว่าจะทำให้ชาวบ้านใช้เพลิน แล้วควักกระเป๋าตัวเองออกมาจ่าย รอไปก่อนเถอะ..ชาวบ้านเขาไม่ได้กินหญ้า เขากินข้าวหอมมะลิด้วย..!
ประการต่อไปก็คือการลงทุนสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่เป็นแสน ๆ ล้าน ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจอะไรมากมายหรอก เพราะว่ารายได้ไปตกอยู่กับบริษัทนายทุนใหญ่ ๆ แค่ไม่กี่ราย
สังเกตดูว่าบรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ของบ้านเรา ก่อนหน้านี้อย่างเก่งก็จัดโปรโมชั่นปีละ ๒ ครั้ง ก็คือกลางปีกับสิ้นปีรับปีใหม่ เดี๋ยวนี้เห็นจัดกันทั้งปี ลดราคากันทั้งปี ยังไม่ค่อยมีคนซื้อเลย บอกชัด ๆ ว่ากำลังซื้อของชาวบ้านเขาไม่มี"
ถาม : ถ้าผมโอนเงินบริจาคในมูลนิธิชัยพัฒนาของพ่อหลวง ร.๙ อานิสงส์น้อง ๆ สังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : จะน้อง ๆ สังฆทานแล้วมีประโยชน์อะไรกับประเทศชาติ ? คุณก็ตอบไม่ได้ใช่ไหม ?
เรื่องของมูลนิธิอะไรต่าง ๆ ถ้าเราจะทำบุญก็อย่าลืมว่าเป็นแค่ขั้นของทานเท่านั้น ทานก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับมีความบริสุทธิ์เท่าไร แต่ว่ากติกาการให้ทานก็คือเจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าอย่างนั้นก็อานิสงส์เต็มร้อยส่วน
แต่ถ้าหากว่าเป็นสังฆทาน ซึ่งในส่วนรวมของสงฆ์ถือว่าเป็นผู้ที่มีศีลมากกว่า หรือว่ามีสภาพบริสุทธิ์ของจิตมากกว่า อานิสงส์ก็จะมากขึ้นไปอีก
คราวนี้ในส่วนที่เราทำเป็นส่วนของการให้ทานในบุคคลทั่ว ๆ ไปซึ่งมีศีลบ้างไม่มีศีลบ้าง ถึงแม้ว่าอานิสงส์จะมาก แต่ก็ยังน้อยกว่าสังฆทาน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำทีเด็ดของยาจินดามณีเอาไว้ ๒ อย่าง อย่างแรกคือนอแรด อย่างที่สองมีอำพันทอง ของหายาก แต่อาตมาดันมีทั้งคู่ ป่าไม้ไม่ต้องมาจับนะ เพราะว่านอแรดป่นเรียบร้อยมาแล้ว
ส่วนอำพันทอง บางคนเรียก หรดาลทอง มีหลายกระแสด้วยกัน บางท่านก็บอกว่าเป็นสเปิร์มของปลาวาฬ บางท่านก็บอกว่าเป็นอ้วกของปลาวาฬ แต่จะเป็นอะไรก็เถอะ แพงพอ ๆ กัน
ต้องบอกว่า "ทึ่ง" ในสัญชาตญาณแสวงหาความรู้ของหมอรุ่นเก่า ๆ เพราะยาที่ตัวเองไม่รู้จัก ต้องทั้งดม ทั้งชิม ทดสอบทุกอย่างเพื่อที่จะให้รู้ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร หมอรุ่นเก่า ๆ ส่วนใหญ่แล้วเราจะเคยได้ยินว่า "ยาผีบอก" ยาผีบอกนี่รวมทั้งพระทั้งเทวดาไปด้วย พอถึงเวลาท่านมีบุญมีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็มาบอกว่าสิ่งนี้ใช้ทำอะไร ก็จัดเป็นสูตรยาขึ้นมา
ตัวอย่างยาฟอกเลือดของท่านปู่หมอชีวกฯ ที่อาตมาให้ลงไว้ในเว็บวัดท่าขนุน ใครรู้สึกว่าตัวเองร่างกายไม่ดี มีโรคภัยไข้เจ็บง่าย ก็ลองไปทำกินดู ถ้าดวงไม่กุดมากเกินไปนัก โรคร้ายหลายอย่างก็รักษาได้ "
สนทนาเรื่องวัตถุมงคล "ได้เห็นประคำหน้าผากเสือไหม ? ในชีวิตนี้อาตมาเห็นแค่ ๒ เส้น ส่วนใหญ่คนตีไปเป็นของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ไม่ใช่..ของหลวงปู่บุญ ส่วนใหญ่จะใช้ไหม ๗ สีร้อย แล้วอย่าลืมว่าลีลาการถักพู่แบบนั้น จะมีสายวัดปากคลองมะขามเฒ่าสายเดียว ที่อื่นไม่มี เขาตีไปไกลได้ขนาดนั้น อาจจะเห็นว่าหลวงปู่ศุขทำน้อย ก็เลยไปตีว่าเป็นของหลวงปู่บุญ ของหลวงปู่บุญมาเมื่อไรส่วนใหญ่ก็ไหม ๗ สี
บางคนตีเป็นของหลวงปู่ยิ้ม..ไม่ได้ ถ้าเป็นของหลวงปู่ยิ้มต้องพันด้ายสาวพรหมจารีมาด้วย พวกนี้ต้องบอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของสำนัก ตัวเองไม่แม่นก็ไปตีมั่ว บางทีก็ตั้งใจมั่ว เพื่อที่จะได้ขายแพง"
"เมื่อวานแม่ชีอุ๋ยเอาตะกรุดมาบานเลย เรียนรู้แบบนี้ค่าหน่วยกิตแพงจัด ต้องค่อย ๆ ศึกษาไปก่อน มั่นใจแล้วค่อยไปจับ ไม่ใช่เจอแล้วกวาดมั่วมา จะไปเชื่อเขาอย่างเดียวได้อย่างไร โดยเฉพาะกระทู้ที่อาตมาเข้าไปดู ต้องไปบอกให้เจ้าของกระทู้แก้ไขรายการวัตถุมงคลบ่อยเลย
เขาลงมาบอกว่า เป็นสายคาดเอวหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ชีวิตนี้ตูยังไม่เคยเห็นสักอัน..!
ลงรูปมาเป็นพระสุโขทัยหน้านางเห็น ๆ แต่บอกว่าเป็นเชียงแสนสิงห์สาม กูจะบ้า...! คือตัวเองไปเห็นเขาลงไว้ที่ไหน ก็ดึง ๆ เอามาเข้ากระทู้ตัวเอง เพื่อจะกินส่วนต่าง คราวนี้ดันไปเชื่อตามเขาโดยไม่มีความรู้เก่า แบบนี้ก็บรรลัย ใครเห็นอาตมาจองแล้วจองตามก็เตรียมเจ็บตัวได้เลย"
ถาม : โคโรน่าถือว่าเป็นโรคระบาด ต้องสวดมนต์อะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก โรคไม่ได้ร้ายแรงอะไร โรคละบาท..! เรามีตั้ง ๓๐ บาท..! รักษาได้ตั้งหลายครั้ง
ถาม : ที่จุฬาฯ เขามีสวดขันธปริตรและโพชฌงค์ ?
ตอบ : จะทำเอาไว้ก็ได้ ถึงเวลาแล้วก็ไปสวดเอง
ถาม : ควรสวดบทนี้หรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : โดยปกติก็บทนี้ บทโพชฌงค์ บทสักกัตวา บทสักกัตวานี่เอาไว้รักษาโรคโดยตรง "โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันสวดพระคาถาเงินล้าน โยมที่ถวายทองร่วมสร้างพระ มีอยู่ ๑๗ รายที่ไม่มีชื่อ ต้องเป็นผู้ไม่ประสงค์ออกนาม บางทีญาติโยมก็ถวายกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ เอาสะดวกของตัวเอง
อย่างเวลาไปงานที่อื่น โดยเฉพาะวัดอื่น พอได้ปัจจัยอะไรมา ส่วนใหญ่อาตมาถวายเจ้าของวัดเขาไว้ คราวนี้พวกเราไปถวายของที่จำเป็นต้องเอากลับ ทำให้ผิดความตั้งใจของตัวเอง ถ้าไม่เอากลับ ก็ผิดวัตถุประสงค์ของโยมอีก"
ถาม : จะตั้งศาล ไม่มีที่ตั้งค่ะ เป็นตึกสองชั้น เหลือที่นิดหนึ่ง ข้างหลังเป็นบ้านสบายใจ ตรงนี้เป็นวัดท่าซุง
ตอบ : ถ้าอยู่อย่างนั้นจะไปสร้างศาลทำไม ไปไหว้ที่ศาลใหญ่วัดท่าซุงก็หมดเรื่อง ไม่ต้องเสียเวลาทำ ถึงเวลาก็ไปไหว้พ่อปู่วาหนแทน มีศาลใหญ่อยู่ใกล้ ๆ ไปสร้างเองทำไมให้เสียเงิน ?
อยู่บริเวณนั้น ไหว้ท่านองค์เดียวก็พอ นี่อยู่ติดวัดเลย ท่านดูแลในรัศมี ๑๖ กิโลเมตร เหลือเฟือเกินพอ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงพวกเทวดาโรคระบาดเขาก็เครียดเหมือนกันนะ เพราะว่าประเทศไทยเตรียมพร้อมตั้งรับไว้ก่อน บ้านเราป้องกันฝุ่น ถึงเวลาโรคระบาดมาก็เลยทำอะไรคนไทยไม่ค่อยได้"
ถาม : กันได้แค่ใกล้ ๆ เท่านั้นเอง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าติดแล้วรีบรักษาก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ส่วนใหญ่ไปปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนัก
แบบเดียวกับอาตมาเป็นต้น ถึงเวลาเป็นก็เรื่องของเอ็ง อยากเป็นก็เป็นไป เป็นจนกลายเป็นพวกเดียวกัน ก็เลิกเป็นไปเอง
ถาม : เทวดาที่ท่านทำหน้าที่เกี่ยวกับการแพร่กระจายเชื้อโรค ท่านทราบว่าคนไหนจะต้องได้รับเชื้อไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สร้างกรรมมา ก็ไม่ได้อยู่ในเขตนั้น ท่านจะกำหนดเขต ปักธงขีดเส้นกันไว้เลยว่าบริเวณนี้ เห็นพวกธงแดงปัก อาตมาก็ว่า “เขาเอาแน่”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานทางผู้ออกแบบมานำเสนอแนวคิดในการจัดพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน เขาบอกว่าส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือส่วนของพระรัตนตรัย ก็มีการติติง ปรับแก้หลายจุด แต่ด้วยความที่ว่าพิพิธภัณฑ์ที่จะทำไม่ใช่ที่วางของ แล้วก็ไม่ได้โชว์รูปภาพ แต่ประมาณว่ามีแสงสีเสียงรวมกัน ก็เลยต้องใช้เวลาในการออกแบบ ปรับแก้จนกว่าจะเหมาะสม
ความช้ากลับทำให้ได้เปรียบ เพราะว่าเทคโนโลยีดีขึ้นไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลาเทคโนโลยีดีขึ้นไปเรื่อย ๆ การนำเสนออาจจะถึงขนาดมีภาพเสมือน ก็เลยกลายเป็นว่า อาตมาไม่รังเกียจที่ช้า ยิ่งช้าเทคโนโลยียิ่งดี เราก็มีโอกาสได้ของดีมากขึ้น"
"โดยปกติแล้วเราต้องไปดูการจัดพิพิธภัณฑ์ของที่ต่าง ๆ เพื่อเก็บเอาส่วนดีของเขามา เดือนที่แล้วไปดูพิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน จะเรียกว่าอะไรดี ? พิพิธภัณฑ์เก็บของส่วนพระองค์ก็แล้วกัน ของศิลปาชีพ พอไปดูแล้วเลียนแบบไม่ได้ เพราะว่าของทุกชิ้นมีอย่างละชิ้นเดียวในโลก ของบางชิ้นใช้ช่างจำนวน ๒๐๐ กว่าคน ใช้เวลาทำ ๒ ปี ไม่สามารถตีเป็นราคาได้ โดยเฉพาะว่าไม่ใช่การเลียนแบบของเก่าอย่างเดียว มีการประยุกต์ แล้วก็สอดแทรกของใหม่เข้าไปด้วย โดยเฉพาะงานทอผ้ามีการแทรกปีกแมลงทับ ไปเสียค่าดูให้เขา ๒๕๐ บาท เห็นแค่ฉากไม้แกะสลัก กั้นตรงหน้าที่ขายตั๋วอันเดียวก็กลับได้แล้ว คุ้มค่าแล้ว"
"ก่อนหน้านี้ งานสลักไม้คิดว่าของบ้านถวายน่าจะสุดยอดที่สุด ปรากฏว่าบ้านถวายยังสู้ไม่ได้ ผลงานบางชิ้นใหญ่เท่าข้างฝา ด้านหนึ่งเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง อีกด้านหนึ่งเป็นป่าหิมพานต์ แล้วสามารถใช้พื้นที่ร่วมกัน อย่างด้านนี้ตัวปราสาทราชมณเฑียร สำหรับเจ้าพระยามหากษัตริย์ อีกด้านกลายเป็นวิมาน เป็นที่อยู่ของพรหม ของเทวดา งานชิ้นเดียวกัน หันหลังชนกัน เจาะทะลุ ใช้พื้นที่ร่วมกันได้ แกะแบบกึ่งลอยตัว ก็คือตรงส่วนไหนที่ทะลุไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ก็ทะลุไปเลย ส่วนไหนที่ใช้งานร่วมกันได้ก็ทำทั้งสองฝั่ง ต่างคนต่างเป็นชิ้นงานของตัวเอง แต่ว่าอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ไปอยู่ที่นั่น เข้าไปสักประมาณ ๑๑ โมง เพราะว่าฉันเพลก่อนเวลา ออกมาตอนบ่ายสามโมงกว่า ยังชื่นชมไม่ทั่วเลย"
"ถ้ามีโอกาสพวกเราก็เข้าไปดูสักครั้ง คุ้มค่าจริง ๆ ได้เห็นสักชิ้นหนึ่งก็คุ้มกับ ๒๕๐ บาทแล้ว เขาจะพาไปดูโรงโขนต่อ บอกว่าเวลาไม่พอแล้ว เพราะว่าเขาปิดบ่ายสามครึ่ง เราออกมาบ่ายสามกว่า เปิดสิบโมง ปิดบ่ายสามครึ่ง ถ้าบ่ายสามไปแล้ว เขาก็ไม่ขายตั๋วแล้ว"
ถาม : แถวเกาะเกิดหรือคะ ?
ตอบ : เกาะเกิด พอดีใกล้ ๆ มีร้านอาหารอร่อย ก็เลยไปกินกันตั้งแต่ก่อนเพล แล้วก็รีบเข้า ขนาดรีบเข้าไป เจ้าหน้าที่เขาก็ดูแลดีมาก แนะนำว่าต้องจอดรถตรงนี้ ไปขึ้นรถรางตรงนี้ ไปซื้อตั๋วตรงนี้ ไปเข้าทางด้านนี้ เริ่มดูของชิ้นนี้ก่อน ขนาดเขามีเครื่องให้เราดูแล้วก็ฟัง แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยเดินแนะนำให้อยู่ มีอะไรก็ซักถามได้
ตอนนั้นอยากจะเข้าไปดูว่าเขาจัดอย่างไร ปรากฏว่าดูได้แค่หลักการจัดคืออย่างนี้ แต่ของเราไม่มีแน่ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพปัก แกะสลัก พวกเครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องถม ไม่มีชิ้นไหนที่สามารถเลียนแบบได้ แต่ละชิ้นใช้ช่างชิ้นหนึ่งหลาย ๆ คน ทำทีหนึ่งเป็นปี ๆ ถ้าไม่ได้ระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องการ เขาก็ไม่ทุ่มกายถวายชีวิตให้แบบนั้น ไม่มีทางที่จะเนรมิตผลงานแบบนั้นออกมาได้
เขาสามารถปักผ้าได้เหมือนภาพวาด มองเข้าไปเห็นตอนแรก คิดว่าวาด ปรากฏว่าไม่ใช่รูปวาด เป็นการปักลาย ฝีมือละเอียดขนาดนั้น
เรื่องงานฝีมือหัตถศิลป์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้กำเนิดในรั้วในวัง พวกนางสนมกำนัล ถ้าว่างมาก เดี๋ยวก็นินทาว่าร้ายกัน เขาก็ให้เอางานไปทำ
ถาม : ช่างทองหลวง ?
ตอบ : ช่างทองหลวงเขาศึกษามา ส่วนใหญ่แล้วรูปแบบจะตายตัว แต่ว่าฝีมือช่างชาวบ้านที่ฝีมือดี ๆ อย่างสกุลช่างทองเพชรบุรี อย่างของทางด้านศรีสัชนาลัย ถึงเวลาเขาเจองานยากเจออะไร เขาจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ
ถาม : เวลาทำงาน หนูจะอยู่กับงานมาก จนลืมภาพพระค่ะ ควรจะแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ เวลาทำงาน ใจอยู่กับงาน เวลาว่าง ใจเราค่อยอยู่กับพระ
ถาม : บางครั้งหนูก็คิดถึงพระบนพระนิพพาน ควรแก้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : จะไปแก้ไขอะไร แต่ละวันให้คิดถึงท่านให้ได้แล้วกัน โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ ตั้งกำลังใจนึกถึงท่านเอาไว้ ถ้าหากว่าตายเมื่อไร เราก็ขอมาอยู่กับท่านตรงนี้ พอล็อกเป้าได้แล้วทั้งวันจะทำอะไรก็ทำไป ก่อนนอนก็คิดว่าเรานอนลงเหมือนกับคนตายแล้ว ถ้าตายเมื่อไร ขอไปอยู่กับท่านที่นั่น แล้วก็ภาวนาให้หลับไป
นี่บอกคนที่เขาเคยทำแล้ว ถ้าคนไม่มีพื้นฐานได้ฟังก็เมาตายเลย
ถาม : เขาบอกว่า ถ้าคนแก่แล้วถ้าผิวไม่เหี่ยวตามวัย ถือว่าโหงวเฮ้งไม่ดี ?
ตอบ : จะเหี่ยวก็ต้องเหี่ยว จะตกกระก็ต้องตกกระ คราวนี้ดันมีการไปดึงเข้า ก็เลยเสียหมด โดยเฉพาะบรรดาคนที่ไปทำจมูกมา โห...เสียของหมดเลย คือ ปีกจมูกบอกถึงฐานะและบริวาร ดันไปตัดออกหมด เหลือปลายจมูกแหลมเปี๊ยบ ลักษณะอย่างนั้นถ้าตกก็ตกแรงเลย เพราะว่าจมูกโด่งเกิน เหมือนกับที่สูง ถึงเวลาจะลง ถ้ามีส่วนต่างเยอะก็ตกพลั่กเลย จะเห็นว่าพวกที่ไปทำจมูกมา พออายุ ๔๐ ขึ้นไปก็สาหัสทุกราย
ถาม : ครูสอนโหงวเฮ้งว่า ถ้ามีไฝในที่เสีย จะเอาออกต้องอย่าให้มีแผลเป็น เพราะแผลเป็นในที่เสีย หนักกว่าไฝ ?
ตอบ : ตัวอย่างชัดเจนก็พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี พอเอาไฝออกก็ตีลังกาตกเก้าอี้เลย นั่นไฝการงาน ไฝภาระหน้าที่ พอไปเอาออกก็หมดหน้าที่ ไม่เป็นไรหรอก...เขาไม่รู้ เขาก็ทำกันไปเรื่อย
โบราณเขาใช้คำว่า รูปธรรม - นามธรรม สร้างบุญสร้างกรรมมาอย่างไรก็ได้แบบนั้น คราวนี้พอตัวเองไปเปลี่ยน เท่ากับว่าไปเปลี่ยนอนาคต ไปเปลี่ยนกรรม ซึ่งถ้าเราไม่ได้ทำเอาไว้ ก็จะต้องโดนเรียกต้นทุนคืนมาก ถึงเวลาก็เสียหายเยอะ
ถาม : ที่เขาตัดสินใจไปทำศัลยกรรมอย่างนั้น อกุศลกรรมส่งผลหรือเปล่า ?
ตอบ : ช่างที่พม่า ลูกน้องปั้นหน้าพระไม่สวย ก็ไปเอาขวานถากออกแล้วปั้นใหม่ คราวนี้เกิดชาติใหม่นี่จะต้องหน้าเละ แล้วค่อย ๆ ศัลยกรรมพลาสติกจนงามเช้งไปเลย
ถาม : วิชาพวกคาถา สักยันต์ เดี๋ยวนี้คนเรียนน้อยลงเพราะคนกำลังใจไม่ถึงหรือคนทำได้ไม่จริง จึงไม่มีคนเรียนหรืออย่างไร ?
ตอบ : มี..พวกประเภทมีของเก่า ถึงเวลาก็อยากทำของพวกนี้
ถาม : คนรุ่นใหม่ไม่เอาเลย ?
ตอบ : รุ่นใหม่เขาไม่เสียเวลา ถึงเวลาก็โน่นเลย..ปืนเก็บเสียง ล่อหมดแม็กฯ ตาย ๓ เจ็บ ๔ อะไรประมาณนี้..!
ถาม : พระท่านที่เป็นสุปฏิปันโน ท่านไม่ได้เรียนเทคโนโลยี แต่ท่านรู้เรื่องพวกนี้ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงจ้างโปรแกรมเมอร์ไปสอนพระที่วัด คอร์สนั้นหมดไป ๒๐,๐๐๐ บาท เอาพระที่วัดไปเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
อาตมาเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ ไม่มีเวลาไปเรียน ท่านอาจารย์สมปองเรียนเสร็จก็มาถ่ายทอดให้ บอกอยู่ ๑๐ กว่านาที แล้วก็ไปเลย ท่านมั่นใจว่าอาตมาทำได้ ก็ต้องทำได้สิวะ..!
ถาม : หลวงพ่อวิชา ท่านไม่แตะอะไรเลย แต่ท่านก็ทราบหมดนะคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อวิชา ประเภทรถไถ รถแทรกเตอร์ พังตรงไหน ท่านซ่อมเองเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ทางด้านห้วยกระเจา - เลาขวัญแล้งมาก เจ้าคุณวีระบ้านท่านอยู่ตลุงใต้ที่ห้วยกระเจา ท่านบอก "อาจารย์เล็ก...ทำโน่นทำนี่มาเยอะแยะแล้ว ผมว่าสร้างคลองส่งน้ำสักสายดีไหม งบประมาณตั้งแต่ประเภทหัวอำเภอห้วยกระเจาไปท้ายอำเภอเลาขวัญ อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๐ ล้าน"
อาตมาบอกว่า "เจ้าคุณคิดได้ แต่พอถึงเวลาพวกเราไปขออนุญาตทำ ไม่มีใครให้เราทำหรอก เพราะว่าถ้าเขาอนุญาตให้ทำง่าย ๆ ผมทำไปนานแล้ว" ก็เพราะว่าเขาเก็บเอาไว้สำหรับเป็นผลประโยชน์ของเขาเอง ถึงเวลาเขาก็ของบประมาณไปลง เอาคนของตัวเองมาทำ ส่วนเกินเข้ากระเป๋า ส่วนกำไรก็เข้าบริษัท ผลงานก็เป็นของตัวเอง ชื่อเสียงของตัวเอง เราไปทำ เขาไม่ได้อะไร เขาจึงไม่ให้ทำ"
"จริง ๆ แล้วเจ้าคุณวีระท่านคิดแบบพระ ก็ในเมื่อทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ทำไมไม่ทำ ? แต่ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นคิดเพื่อพวกพ้องและตัวเอง เขาไม่ได้คิดเพื่อส่วนรวม ท่านบอกว่า "คลองส่งน้ำส่งจากเมืองกาญจน์ฯ ไปให้อู่ทองใช้ วิ่งผ่านห้วยกระเจา-เลาขวัญ คนห้วยกระเจา-เลาขวัญไม่มีโอกาสได้ใช้ เราก็แค่เจาะช่องให้แบ่งมาทางด้านนี้บ้าง แล้วเราก็ทำคลองของเราเอง" เจ้าคุณคิดได้ แต่พอถึงเวลาขออนุญาต ไม่มีหน่วยงานไหนเซ็นให้ทำหรอก
เจ้าคุณท่านคิดระดับที่ให้พระสังฆาธิการทั้งหมดของจังหวัดกาญจนบุรีมาร่วมกันสร้าง แล้วก็จะเป็นผลงานในด้านสาธารณสงเคราะห์ของทุกคน อาตมาบอกว่า "เจ้าคุณคิดได้ คิดเก่งมากเลยด้วย แต่ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ ผมทำไปนานแล้ว" แค่อาตมาทำถนนไม่กี่กิโลเมตร โดนแล้วโดนอีก เพราะว่าถ้าเขาของบประมาณ เขาจะได้เยอะ"
"ครั้งแรกที่เข้าไปที่เกาะพระฤๅษี ไปถามทางบริษัทรับเหมา บอกว่า "ถ้าเป็นของหลวงพ่อ ผมคิดกิโลเมตรละหนึ่งล้าน แต่ที่ทำไว้ กิโลเมตรละสามล้าน" ถามเขาว่าทำไมต่างกันขนาดนั้น ? เขาบอกว่า "หลวงพ่อไม่ต้องจ่ายคนตรวจ ของหลวงพ่อทำเสร็จแล้วเสร็จเลย อันโน้นนี่ถ้าไม่มีให้เขา เขาก็ไม่เซ็นรับให้" ในเมื่อเขาไม่เซ็นผ่านงาน ก็ไม่ได้รับเงินสักที
ฟังแล้วอย่าเครียดนะ บ้านเรายังเป็นอย่างนี้อีกนาน"
ถาม : ประเทศชาติมีแต่คนโกงกิน เมื่อไรจะดีขึ้น ?
ตอบ : ต้องดีจนได้แหละ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงถามท่านฮิตเลอร์ว่า ทำไมไม่รีบลงมาเกิด ? ท่านว่า “ไม่ได้ครับ นิสัยอย่างผม ถ้ามาเกิดนี่นองเลือดแน่” หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า “ถ้าปัจจุบันนี้มีอำนาจอยู่จะทำอย่างไร ?” ท่านตอบว่า “ตายเกินครึ่ง..!” เหมือนอย่างกับล้างรุ่นเก่าทิ้งไปเลย
ไม่ต้องไปกังวลเรื่องอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปงานอบรมฝึกซ้อมพระอุปัชฌาย์ใหม่แล้วก็สอบคู่สวด หลวงพ่อพระราชวิสุทธาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านให้โอวาท ฟังแล้วก็ขำ ๆ ท่านบอกว่าก่อนที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์หรือคู่สวด เราอาจจะทำตัวอย่างไรก็ได้ แต่พอเป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นคู่สวด กลายเป็นต้นแบบที่ลูกศิษย์เขาต้องทำตาม เราต้องระมัดระวัง อะไรที่เป็นจริยาหรือกิริยามารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนนี้มองข้ามไม่ได้แล้ว
แล้วท่านก็ยกตัวอย่างว่า “ตอนที่เป็นพระหลวงพี่ คุณอาจจะพกกุญแจพวงใหญ่ แถมยังมีเพื่อนกุญแจอีกหลายอัน” อาตมาฟังแล้วฮากันลั่นห้อง บางคนนั่งตาปริบ ๆ “อะไรครับอาจารย์เล็ก..เพื่อนกุญแจ ?” บอกว่า “ไม่เคยเห็นว่าเขาแขวนปลัดขิกกับพวงกุญแจใช่ไหม ?”
ตอนนี้พอเราเป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นคู่สวด ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าลูกศิษย์เขาเห็นอาจารย์ทำ เดี๋ยวก็ทำตาม แล้วไม่ใช่สิ่งที่ดีงามในสายตาชาวบ้านเขา เราจะเคารพเลื่อมใส เราจะนับถือ ก็เก็บให้มิดชิดหน่อย ไม่ใช่แขวนจนรอบเอวเลย"
"บางทีพระผู้ใหญ่ท่านทำตัวเป็นตัวอย่าง แต่ลูกศิษย์ตาไม่ถึง เพราะว่าไม่ได้สังเกต ท่านเองท่านก็พก แต่ท่านเก็บอย่างมิดชิด สมมติว่าปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หรือหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก คนวิ่งใส่อยู่แล้ว ราคาแพงอีกต่างหาก ยิ่งไปเจอของหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรสแล้ว คราวนี้ต้องเก็บให้มิดชิด เพราะจริง ๆ หลักวิชามาจากศิวลึงค์ของพราหมณ์ แล้วก็เอามาดัดแปลงสร้างเป็นปลัดขิก โบราณเขาเรียกขุนเพชรบ้าง ขุนเพ็ดบ้าง"
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.