View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนที่แล้วไปพุทธาภิเษกหลายแห่ง ที่ซึ่งสบายที่สุดก็คือ วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี วัดน้อยเป็นวัดของหลวงปู่เนียม ต้องบอกว่าท่านคือพระปรมาจารย์ใหญ่ของสุพรรณบุรี และเป็นครูบาอาจารย์ระดับหลวงปู่ของหลวงปู่เลย ไปแล้วไม่ต้องทำอะไรมาก ได้แค่นั่งมองอย่างเดียว ส่วนที่เหลือหลวงปู่ท่านจัดการให้หมด
พระครูใบฎีกาสามารถ ขนฺติวโร เจ้าอาวาสวัดน้อย เป็นเพื่อนพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกัน ถามท่านว่า "ไม่นิมนต์ท่านอื่นเลยเหรือ ?" “เสกเดี่ยวเลยครับ” ท่านว่าอย่างนั้น ถ้าปลุกเสกเดี่ยววัดครูบาอาจารย์แบบนี้ อาตมาก็สบาย...แค่นั่งดูท่าน ไม่ต้องทำอะไรเลย"
ถาม : กรณีที่สำลักน้ำอย่างรุนแรงทำให้หายใจเข้าอย่างลำบากเป็นเวลานานพอควร ตอนนั้นไม่รู้สึกตกใจ รู้ตัวเฉพาะแค่ต้องพยายามเฮือกลมหายใจเข้าให้ได้มากที่สุด ยาวที่สุด เพื่อไม่ให้ขาดออกซิเจน แต่ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้าและพระนิพพานเลย ถ้าตายตอนนั้นยังมีสิทธิ์ไปพระนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : เกาะอะไรไม่ได้สักอย่าง ยังจะไปพระนิพพานอีก คนที่จะไปพระนิพพาน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องไม่ห่วงอะไรเลย โดยเฉพาะต้องไม่ห่วงร่างกาย นี่ไปห่วงร่างกายว่าจะหายใจได้ไหม แล้วอย่างนี้จะรอดไหม ?
ถาม : ในกรณีนี้ต้องจับภาพพระ ทรงอารมณ์พระนิพพานให้ได้ตลอดเวลาใช่ไหมครับ จึงจะไม่พลาดพระนิพพาน ?
ตอบ : ก็รู้แล้วนี่หว่า..! จะถามไปทำไม ? แต่ช่วงท้ายต้องปล่อยนะ ถ้ายังเกาะอยู่ ต่อให้เกาะพระนิพพานก็ไปไม่ได้เหมือนกัน
สนทนาเรื่องการพุทธาภิเษกที่บ้านสุมโน "งานเป็นอย่างไรบ้าง ? แหม...ตอนในงานพุทธาภิเษกนี่ภาพพระท่านมาชัดสุด ๆ ไม่ว่าจะพระ จะครูบาอาจารย์มากี่ท่าน รู้สึกว่าชัดเป็นพิเศษ ก็ไม่นึกเหมือนกัน เพราะว่าปกติอาตมาก็ทำแค่พระท่านสั่ง แก้วอินทนิลก็เพิ่งเคยเอาออกงานแค่ครั้งเดียว แล้วก็มางานนี้อีกครั้งหนึ่ง ท่านบอกให้เอาไปด้วย"
"สถานการณ์แบบนี้พูดง่าย ๆ ว่าเข็นไม่ไป แล้วก็เป็นทั้งโลกนะ ไม่ใช่เป็นแค่ประเทศไทย แต่คราวนี้ประเทศไทยของเราจะตำหนิคณะรัฐบาลก็ใช่ที่ เพราะเขาหาคนดีที่สุดได้แค่นั้น ในเมื่อหาคนที่ดีที่สุดได้แค่นั้น ความสามารถในการทำงานก็ใช้แต่ระบบเก่า ๆ ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนที่นั่นที่นี่ นั่นเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง เพราะว่าไม่ใช่เงินจากนอกประเทศเข้ามา เราควักกระเป๋าใช้เงินของเราเอง
ยิ่งประเภทที่ว่าแจกเงินคนจนเพื่อให้ไปใช้นะหรือ..? แล้วจะไปไหน ไปซื้อของก็เข้ากระเป๋านายทุนรายใหญ่ไม่กี่คน ไม่ใช่ว่าเขาจะไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซื้อน้ำเต้าหู้ ซื้อปาท่องโก๋เสียเมื่อไร สมัยนี้เขาประเภทเข้าห้างหรือว่าร้านสะดวกซื้อ จึงกลายเป็นไฟไหม้ฟาง เข้ากระเป๋าคนรวยแค่ไม่กี่คน
เศรษฐกิจแบบนี้ วัตถุมงคลประเภทเมตตาค้าขาย หรือว่าช่วยในเรื่องของลาภผลได้ หาติดให้ท่วมตัวไปเลยนะ จริง ๆ แล้วผมตั้งใจจะไปตอนเช้าของวันจันทร์ แต่คิดดูแล้วว่าขากลับนี่คงแย่เลย เพราะว่าเช้าวันจันทร์รถจะติดขนาดไหน แล้วจะไปงานต่อไปทันไหม ท้ายสุดตัดใจยกเลิกนัดหมอ ไปวันอาทิตย์ดีกว่า"
ถาม : ตอนมาสวดคาถาเงินล้านกันรอบเย็น รู้สึกว่าพลังของแก้วอินทนิลยังอยู่เพียบเลยครับ ?
ตอบ : มีเท่าไรกอบโกยกันเอาเองแล้วกัน ต้องบอกว่าท่านตั้งใจสงเคราะห์ก็สงเคราะห์สุด ๆ เลย ตอนงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว วัดท่ามะขามจะมีพื้นที่เฉพาะของตัวเองที่ทางเทศบาลเขายกให้ แล้วทุกปีจะต้องไปออกร้านตรงนั้น พอพระครูบ่าวเป็นเจ้าอาวาส ท่านไม่อยากที่จะไปพรมน้ำมนต์แล้วแจกวัตถุมงคลเฉย ๆ ท่านก็จัดให้มีนิทรรศการด้วย แต่วัตถุมงคลที่จะแจกท่านไม่มี ก็เลยมาถามว่า "หลวงพ่อช่วยได้ไหมครับ ?" บอกท่านว่า "ได้...คุณไปหามาก็แล้วกัน"
เขาก็ไปหาพวกด้ายสายสิญจน์ พวกเชือกถักผูกข้อมือ พวกสายตะกรุด ได้มาสามพานใหญ่ ๆ เหมือนกัน แล้วตอนเย็นเอามาให้ผมเสก นึกว่าตายละหว่า...บายศรีก็ไม่มี เครื่องบวงสรวงอะไรก็ไม่มี หาแล้วทั่ววัดได้แต่ธูปกับเทียนมา ก็เลยว่าเอาแค่นี้แหละวะ..!
ปรากฏว่าพอนั่งกรรมฐานลงไป เจ้าประคุณเถอะ...ถึงเวลาครูบาอาจารย์ที่พระท่านจิ้มให้ลงมา ผมเห็นแล้วสะดุ้ง มีหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว, หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว, หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้, หลวงปู่ดี วัดเหนือ, หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า, หลวงปู่ดอกไม้ วัดดอนเจดีย์, ไปจนถึงหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ตายละหว่า...ระดับเจ็ดสิงห์แดนเสือ มาหมดเลย
ผมลืมตาขึ้นมาตอนเที่ยงคืนนิด ๆ สงสัยว่า เอ๊ะ...เขามาขนของไปหมดตอนไหนวะ ? สงสัยว่าเราเผลอขาดสติไป เขาเข้ามาขนของไปตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะว่าวางไว้อยู่บนโต๊ะหน้าหิ้งพระ ก็ว่าไม่เป็นไร กราบพระแล้วก็ไปเข้าห้องน้ำ
พอเดินออกมา ปรากฏว่าของยังวางอยู่ตรงที่เดิมทุกชิ้น แต่ตอนแรกมองไม่เห็นอะไรเลย เออ..ดีเหมือนกันนะ ท่านคงทำให้เห็นว่าต่อให้พิธีไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าท่านตั้งใจจะสงเคราะห์ก็ได้ขนาดนี้เหมือนกัน
แล้วปีนี้เป็นปีแรกที่ทางคณะจัดงานให้คนเข้าฟรี คนก็เลยไหลไปเทไปจะเหยียบกันตาย เพราะว่าปกติต้องเสียค่าบัตรเข้างาน อันนี้เขาถือว่าคุณไม่ต้องจ่ายค่าบัตร เข้าไปได้เลย แล้วก็ไปจับจ่ายใช้สอยกันข้างใน
พระครูบ่าวเขากะว่าวัตถุมงคลน่าจะแจกได้วันละพันชิ้น ปรากฏว่าไม่พอ ยื้อไปไม่ถึงวันสุดท้าย ต้องบอกว่ายังโชคดีที่ท่านไหวทัน เอาพระพุทธรูปที่รับสังฆทานมา ไปเข้าพิธีไว้ ๔-๕ องค์ ไม่อย่างนั้นตัวเองจะไม่เหลืออะไรเลย คือเวลาที่ท่านจะสงเคราะห์ ท่านก็สงเคราะห์ให้แบบที่เราคิดไม่ถึง แล้วจะไปขอใหม่ให้ได้แบบนั้นก็ไม่ได้แล้ว
ถาม : ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมบายศรีก็ได้นะครับ ?
ตอบ : เฮ้ย...ไม่ได้ ของต้องมี แต่อย่างที่เล่านั่นเป็นงานฉุกเฉินจริง ๆ เพราะว่าผมก็มีเวลาอยู่กับท่านแค่คืนนั้นคืนเดียว ท่านมาถามว่าได้ไหม ? จึงตอบไปว่าได้ ท่านก็รีบไปหาซื้อของมา กวาดมาหมดตลาดเลย แต่ที่วัดจะหาธูปเทียนแพสักชุดก็ยาก ท้ายสุดหาได้แค่ธูปเทียน งานนี้คิดว่าโดนแน่ ปรากฏว่าท่านให้มากกว่าที่คิด
แบบเดียวกับงานพุทธาภิเษกของคุณ อยู่ ๆ ท่านก็บอกว่าให้เอาแก้วอินทนิลไปด้วย ผมก็เหวอเลย ตั้งแต่ได้แก้วนี้มา นี่เป็นครั้งที่ ๒ ที่พระท่านบอกให้ออกงาน
ถาม : พุทธาภิเษกงานนี้ท่านเสกของ เสกคน ทั้งคลีนทั้งเคลียร์ให้หมด
ตอบ : ใครไปก็ถือว่าโชคดีไป ของพวกนี้ต้องบอกว่าฟลุก ประเภทขอก็ไม่ได้หรอก แต่ถึงเวลาท่านจะให้เอง
ถาม : ที่มีพุทธทำนายเอาไว้ว่าพระศาสนาจะรุ่งเรืองอีกครั้งในช่วงกึ่งพุทธกาล เวลานั้นผ่านมาแล้วคือสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เห็นหลายคนเขาบอกว่าเป็นหลวงพ่อของเขา ฉะนั้น..เอาที่สบายใจก็แล้วกัน
ถาม : แล้วต่อจากนี้ไปพระพุทธศาสนาจะมีแต่เสื่อมลง คงเหลือแต่ชื่อว่ามีอยู่ในประเทศไทยเท่านั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ค่อย ๆ ดูไป
ถาม : เวลานี้พระศาสนาถูกคุกคาม ถูกทำลาย ถูกโจมตีโดยฝ่ายตรงข้ามในหลายเรื่องหลายทางอย่างหนักหน่วง แต่สิ่งที่เราควรทำที่สุดคือทำใจให้สบายและปล่อยไปตามกฎของกรรม วางเฉยต่อการกระทำของฝ่ายตรงข้าม แม้จะถูกฆ่าและทำลายล้างอย่างที่ผู้คนที่นาลันทานครยอมให้เขาฆ่าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคุณเป็นอย่างไร ถ้ากำลังใจยอมก็ยอมต่อไป ถ้ากำลังใจไม่ยอมก็ไม่ยอมอยู่ดี ฉะนั้น...เที่ยวไปถามคนอื่นไม่ได้หรอก
อาตมาไม่เห็นเลยว่าอะไรจะคุกคามพระพุทธศาสนาได้หนักเท่ากับพุทธบริษัท ๔ ของเรา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาพระพุทธศาสนา แต่ไม่คิดจะทำอะไรให้เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา แล้วจะไปรักษาอีท่าไหน ? ตราบใดที่เรายังไม่สามารถทำตัวของเราให้เป็นตัวอย่างได้ จะให้คนอื่นเขาศรัทธาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ฉะนั้นภัย...คุกคามจากภายนอกเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนที่แย่ที่สุดก็คือสนิมเหล็กที่กินตัวเอง
ถาม : คนที่สร้างยานอวกาศได้ เขาทำบุญอะไรมาครับ ถึงได้ฉลาดขนาดนั้น ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ในอดีตเคยทำสมาธิไว้ สภาพจิตสงบ ปัญญาก็เกิด คราวนี้ปัญญาจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ก็แล้วแต่ว่าเขาจะเอาไปใช้อย่างไร
ถาม : ถ้ามีคนทำร้ายร่างกายเรา แต่ในตอนนั้นไม่ได้อาราธนาตะกรุดมหาสะท้อน แต่หลังจากที่ถูกทำร้ายร่างกายแล้ว ความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกกระทำยังคงเกิดขึ้นกับร่างกาย ถ้าอาราธนาตะกรุดมหาสะท้อนในช่วงเวลานี้ คนที่ทำร้ายร่างกายตัวเรา จะได้รับผลของมหาสะท้อนหรือไม่ครับ ?
ตอบ : วัตถุมงคลมีไว้ให้อาราธนาเสมอ ๆ ไม่ใช่ถึงเวลาขี้จะแตกแล้วค่อยมาขุดส้วม แล้วจะทันไหม ?
ถาม : จากกระทู้ร่วมบุญและได้วัตถุมงคล ตามที่สังเกตตนเองและคนอื่น หลายครั้งความอยากได้วัตถุมงคล เพราะกิเลสเช่น ความกลัว กลัวตาย กลัวอันตราย กลัวขาดรายได้ อยากดีเด่น อยากมีเสน่ห์คนรักเยอะ ๆ อยากจะเหนือคนอื่น หรือบางคนคิดไปในด้านการตลาดทำกำไรต่อไป แทบจะกลบความตั้งใจจะทำบุญกุศลหรือความศรัทธาในพระรัตนตรัยแท้จริงเกือบหมด ตอนจะพิมพ์จอง มีบางคนมีอาการหน้ามืดรีบจองก่อนทั้งที่ไม่มีศักยภาพโอนเงิน แบบนี้จะได้อานิสงส์ผลบุญกุศลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ อานิสงส์จึงจะเต็มร้อยส่วน ถ้าส่วนไหนบกพร่องก็ลดไปตามจำนวนนั้น
ถาม : เวลาอ่านข่าวทางอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก บ่อยครั้งจะตั้งจิตอุทิศบุญหรืออนุโมทนา ปรากฏมีสองครั้งที่คิดว่าแปลก คือ นายทหารที่ทำหน้าที่ทางสามจังหวัดชายแดนใต้ (ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง) ต่อมาป่วยเป็นมะเร็งและเสียชีวิต คือส่วนตัวจะรู้สึกดีกับพี่ทหารคนนี้มากเพราะตั้งใจทำงาน เสียสละจริง พอเห็นข่าวการเสียชีวิต จึงตั้งจิตตั้งใจอุทิศบุญให้ ซึ่งพอจบการอธิษฐาน เหมือนมีกระแสกระจายคลุมตัว ขนลุกซู่ทั้งตัวคล้ายกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ
และเมื่อเร็ว ๆ นี้งานบุญหลวงพ่อสายวัดป่า ท่านเป็นพระลูกศิษย์หลวงปู่กับหลวงตาชื่อดังมาก รู้สึกซาบซึ้งและศรัทธา จึงยกมือไหว้อนุโมทนา ครั้งนี้ได้รับกระแสเย็นกระจาย เหมือนนั่งอยู่ใกล้ลำธารมีน้ำไหลใสสะอาด คือไม่เย็นแบบหนาวเย็นยะเยือก ซึ่งทั้งสองกรณีไม่เคยพบเจอตัวจริงเลย พอพิจารณาหากระแสที่ได้สัมผัส คิดว่าไม่ได้มาจากมือถือแน่ แต่หาไม่พบ ตรงนี้เกิดจากกระแสบังเอิญเปิดตรงกันใช่ไหม กระแสที่ได้รับนี้มาจากอะไร ?
ตอบ : อันดับแรก...เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมาก่อน ถ้าเคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมาก่อน ก็จะสื่อถึงกันได้ง่าย อันดับที่สอง...พรหมหรือเทวดาที่ดูแลรักษาทั้งสอง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เทวดาประจำตัวท่านแสดงให้ทราบ อันดับที่สาม...เป็นคุณความดีเฉพาะตัวของท่านเลยที่แผ่ออกไปโดยไม่มีประมาณ ถ้าเราไปนึกถึงอนุโมทนา ก็สามารถสัมผัสถึงกระแสความดีของท่านได้ เพราะฉะนั้น..กรณีใดกรณีหนึ่งก็สามารถเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นได้แล้ว
ถาม : ขอคำแนะนำการละทิ้งความอยากรู้อยากเห็น ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ไม่ใช่การละตัดกิเลส เพราะเริ่มรู้สึกเสียเวลาไม่น้อย ควรจะทำอย่างไรดี มีวิธีพิจารณาแยกแยะอย่างไร ? เพราะบางกรณีเป็นงานที่ควรทำ ใจหนึ่งก็อยากละทิ้ง แต่อีกใจก็ห่วง ถ้าละทิ้งหมดกลัวจะทำงานไม่สำเร็จ ผู้คนที่เกี่ยวข้องจะเดือดร้อน
ตอบ : ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน บอกกันไม่ได้ ของที่อาตมาเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ โยมอาจจะเห็นว่าเต็มไปด้วยสาระก็ได้ ถ้าแนะนำให้ไปตัดไปทิ้งเราก็ไม่ยอมอยู่ดี เพราะฉะนั้น..ให้พิจารณาเอาตามกำลังใจของตน
ถาม : อารมณ์ใจของพระโสดาบัน หรือผู้ที่ได้โสดาปัตติผลแล้วนั้น สำหรับในศีลข้อที่ ๑ ถ้าจิตยังมีความคิดที่จะฆ่าแต่ยังไม่ฆ่า แบบนี้ถือว่าได้โสดาปัตติผลแล้วหรือไม่ขอรับ ?
ตอบ : ห่างหลายลี้..! พระโสดาบันไม่ใช่รักษาศีลอย่างเดียว แต่ปฏิบัติธรรมด้วย คำว่า “ธรรม” คือ เมตตาพรหมวิหาร ต้องมีเป็นปกติ ในเมื่อยังคิดอาฆาตพยาบาทเป็นวิหิงสาวิตกอยู่ ย่อมไม่ใช่กำลังใจของพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน
ถาม : ในส่วนของศีลข้อ ๓ ถ้าหากไปเที่ยวผู้หญิงบริการ ถือว่าศีลข้อ ๓ ขาดแล้ว ใช่หรือไม่ขอรับ ?
ตอบ : ถ้าหญิงนั้นมีเจ้าของ ก็แปลว่าศีลขาดแน่นอน คำว่า หญิงมีเจ้าของ ๑๘ ประเภทนั้น ไม่มีอะไรเลยที่เราจะเลี่ยงพ้น แปลว่าต่อให้เป็นหญิงบริการ ถ้าเขามีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง ยังมีคนรักคนหวงอยู่ ก็แปลว่าผิดศีล ยกเว้นอยู่อย่างเดียว คือหญิงนครโสเภณีที่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นสาธารณะ
ถาม : อยากสอบถามวิธีตรวจสอบอารมณ์ใจของผู้ที่ได้โสดาปัตติผลโดยแท้ว่า ในกรณีของผมที่ได้กระทำไปในเรื่องของศีลตามที่ได้ชี้แจงในข้อที่แล้วนั้น ถือว่าผมมีโอกาสได้โสดาปัตติผลแล้วหรือไม่ หรือมีข้อตรวจสอบประการใดในการได้โสดาปัตติผล ?
ตอบ : ตัวตายดีกว่าศีลขาด ถ้ากำลังใจไม่ได้ถึงขนาดนี้ โอกาสที่เข้าถึงพระโสดาบันยังยาก ประการต่อไป เคารพพระรัตนตรัยสุดจิตสุดใจจริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง และสุดท้ายคือมีพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่เสมอ
ถาม : โยมนั่งสมาธิแล้วพิจารณาว่า จิตไม่สามารถรวมเป็นสมาธิได้ลึกเพราะอะไร ก็พิจารณาว่าเป็นเพราะว่าจิตมีโทสะมาก พอพิจารณาว่าทำไมจิตมีโทสะมาก ก็เห็นว่าคือสัญชาตญาณการป้องกันตัวของตัวเอง พอมีอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อตัวเอง ครอบครัว ลูก ตัวเองก็พร้อมจะบวก จะเหวี่ยงกลับ จะมีเรื่องทันที แต่โดยปกติไม่ใช่คนยุ่งวุ่นวายกับผู้อื่นแต่อย่างไร เหมือนงูที่พร้อมจะฉกสิ่งที่เห็นว่าเป็นอันตรายต่อตนเอง อยากถามพระอาจารย์ถึงวิธีแก้ว่าจะทำอย่างไรให้สมดุลได้ทั้งทางโลกทางธรรมคะ ?
ตอบ : เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปก็จะสมดุลเอง
ถาม : การพูดเล่นหรือพูดตลก ถือว่าเป็นการผิดกรรมบถ ๑๐ ข้อการพูดเพ้อเจ้อหรือไม่ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ถ้ากำลังใจต่ำก็จะไม่รู้สึกว่าเพ้อเจ้อ ถ้ากำลังใจสูงก็จะรู้สึกว่าเพ้อเจ้อ
ถาม : การพูดคำหยาบกับเพื่อน เช่น กู มึง ถือว่าเป็นการผิดกรรมบถ ๑๐ หรือไม่ ?
ตอบ : คำหยาบหรือผรุสวาท เขาพูดให้คนอื่นเจ็บใจ ในเมื่อเราพูดแล้วเพื่อนไม่รู้สึกเจ็บใจ แล้วจะเป็นคำหยาบได้อย่างไร ? เพียงแต่ว่าเป็นภาษาที่ใช้กับคนอื่นทั่ว ๆ ไปไม่ได้ เขาจะว่าเราไม่รู้กาลเทศะ
ถาม : พระที่อุดผงของเก่าหลวงพ่อปาน บรรจุในพระเครื่องรูปหลวงพ่อปาน เวลาจะทำน้ำมนต์ต้องอธิษฐานขอบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับสัตว์พาหนะตามเดิม หรือต้องเพิ่มเติมตัดทอนประการใดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้มากก็ขอให้ครบ ถ้ารู้น้อยก็ขอบารมีพระ บารมีครูบาอาจารย์ก็พอ
ถาม : ยาจินดามณีที่สีหรือกลิ่นเปลี่ยนไปยังมีอานุภาพตามเดิมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้านานไป ฤทธิ์ยาจะน้อยลง แต่ส่วนหนึ่งที่ไม่ไปไหนเลย ก็คืออานุภาพในลักษณะของวัตถุมงคล เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านเสก ยาจินดามณีบางส่วนที่อาตมาเจอ มีลักษณะแข็งเป็นพระธาตุไปแล้ว
ถาม : หากใช้อานุภาพวัตถุมงคลที่มีเมตตาสูงมาก เช่น พระพุทธเมตตา หลวงปู่วิเวียร ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก เป็นต้น จนกระทั่งได้สามีภรรยาที่ต้องการมา สามีภรรยาเหล่านั้นจะใช้ชีวิตครอบครัวอยู่กับเจ้าของวัตถุมงคลอย่างราบรื่นตลอดไปด้วยอานุภาพวัตถุมงคลดังกล่าวหรือไม่ครับ ?
ตอบ : รู้จักลิ้นกับฟันไหม ? รักกันแค่ไหน การกระทบกระทั่งกันก็ต้องมีเป็นปกติ
ถาม : พระพุทธรูปหรือพระเครื่องที่มีเหล็กไหลประกอบ สามารถอันตรธานได้เหมือนเหล็กไหลธรรมดาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : หายไปเฉพาะเหล็กไหล
ถาม : หากมีคนเอาควายเผือกไปใช้วิธีการให้ถูกฟ้าผ่าตาย เช่น ล่อฟ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นต้น เขาควายเผือกจะมีอานุภาพเหมือนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี...แต่ได้นรกแถมไปด้วย..!
ถาม : วัตถุมงคลเงินแท้กับชุบทอง อย่างไหนมีอานุภาพมากกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้าชุบทองหนาระดับ ๓-๔ ไมครอนขึ้นไปก็น่าจะมีมากกว่า แต่ถ้าชุบบาง เงินแท้จะมีอานุภาพมากกว่า
ถาม : วัตถุมงคลที่พระสงฆ์ใช้กำลังของท่านเองปลุกเสก หากท่านมีสมณธรรมเจริญขึ้น เช่น จากที่ทรงฌานโลกีย์ เลื่อนขึ้นไปเป็นพระอริยเจ้าระดับต่าง ๆ วัตถุมงคลของที่ท่านทำไว้ตอนสมณธรรมยังต่ำกว่าในปัจจุบัน จะมีอานุภาพเพิ่มขึ้นหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ของเดิมที่ทำมาแล้ว มีเท่าไรก็เท่านั้น แต่ถ้าของใหม่จะมีมากกว่าเดิม
ถาม : ปรกติจะแขวนสร้อยพระตลอดเวลาครับ ไม่ว่าจะตอนนอน หรือตอนอาบน้ำ แต่มีข้อสงสัยคือตอนที่มีเพศสัมพันธ์ สมควรที่จะถอดสร้อยพระออกก่อนไหมครับ ? จะใส่ไว้ก็กลัวว่าจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย จะถอดออกก็กลัวว่าจะไม่มีอะไรคุ้มตัวในระหว่างนั้นครับ
ตอบ : เรื่องของทางโลกกับทางธรรม บางทีก็ปวดหัวเหมือนกันนะ เอาที่สบายใจก็แล้วกัน หรือไม่ก็หาประเภทเครื่องราง เพราะว่าเครื่องรางบางส่วนไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ อย่างเบี้ยแก้สารพัดกัน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านบอกว่าเข้าซ่องได้เลย
แต่ถ้าลูกอมมหากันหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ลูกศิษย์เข้าซ่อง ลูกอมแตกเลย ฉะนั้น..ก็เลือกเอาพวกไม่รังเกียจประเภทนี้ไว้พกติดตัวสักชิ้นหนึ่ง ส่วนอื่นถึงเวลาก็นิมนต์พระท่านนั่งดูเฉย ๆ ไปก่อน...!
ถาม : ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ พอดีก็อยากทำดี แต่บางทีเบื่อ ๆ ก็อยากเที่ยวไปทั่ว ให้เหตุผลว่า ถ้าตัวเองแก่แล้วจะไปไม่ไหว มีคนบอกให้ลองพิสูจน์ เที่ยวให้อิ่มก่อนก็ได้ เราก็ไม่กล้า แต่พอเผลอ ๆ เราก็มีความคิดแบบนี้กลับมาเรื่อย ๆ ควรจะแก้ไขอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : คิดอย่างเดียวยังไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดแล้วทำด้วยก็แบ่งเวลามาปฏิบัติธรรมด้วยก็แล้วกัน
ถาม : หนูทำสมาธิหน้าหิ้งพระ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร ไม่อยากนั่ง ทรมาน ร้องไห้ เสียใจ รู้สึกกลัว อยากให้หลวงพ่อช่วย และก็รู้สึกอยากออกจากหิ้งพระ หนูเป็นอะไรคะ ?
ตอบ : หนูเป็นคู่ปรับของแมว...! เป็นอาการปกติ มีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือกิเลสมารมากวน ไม่อยากให้เราทำความดี ถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าบุคคลนี้สร้างบารมีมาพอแล้ว ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะเข้าถึงธรรมได้เร็วมาก จึงโดนขวาง
อีกประการหนึ่งก็คือ อาจจะมีสิ่งไม่ดีแฝงอยู่ในตัวเอง ถึงเวลาก็เลยไม่อยากจะปฏิบัติความดี เพราะว่าทำไปแล้วตัวเขาก็เดือดร้อน ถามว่าเดือดร้อนอย่างไร ? เนื่องจากความดีโดยเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกับแสงสว่าง ส่วนอื่นเหมือนกับความมืด ถ้าแสงสว่างมา ความมืดก็ต้องถอยร่นไป ก็เลยเดือดร้อนเอง
ถาม : ผมอ่านเก็บตกเดือนพฤศจิกายนที่หลวงพ่อตั้งคำถามว่า โลกเราเต็มไปด้วยอันตราย จะอยู่หรือจะหนี ผมมีความคิดซึ่งไม่แน่ใจว่าผมคิดไปเองหรือมีใครสอน ว่าทำบุญสิ..จะได้ไปเกิดในถิ่นที่ไม่ต้องเจอตรงนี้อีก จะได้ไม่เจอสิ่งเลวร้ายอีก ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือมีใครสอนครับ ?
ตอบ : ตีเสียว่าคิดไปเองก่อนแล้วกัน ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งซ่านมากกว่านี้
ถาม : หนูรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย ผิดตลอด เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : เกิดจากรักตัวเองจนเกินไป รักตัวเองยังไม่พอ ยังเรียกร้องจากคนอื่นเขาด้วย ในเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็จะเกิดอารมณ์อย่างที่ว่ามานั่นแหละ
ถาม : คนอื่นว่าเราดื้อ แต่เราคิดว่าตนเองไม่ดื้อ ถ้าคิดแบบนี้ถูกไหมครับ ?
ตอบ : คิดแบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าดื้อ..!
ถาม : พี่สาวถูกรางวัลที่ ๕ เราก็ดีใจกับเขาด้วย แต่พอมาอยู่คนเดียวก็มาคิดว่า เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเยอะ แต่ทำไมถึงสมหวังทั้งงาน ทั้งเงิน ทำไมเราไม่ได้เหมือนเขาบ้าง แบบนี้คือเราอิจฉาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ปัจจุบันนี้ไม่เห็นเขาทำอะไร แล้วอดีตเห็นเขาหรือเปล่าว่าทำอะไรบ้าง ? ส่วนปัจจุบันนี้เราทำอะไรเยอะแยะ แล้วอดีตเคยทำไว้บ้างไหม ? ส่วนใหญ่ถ้าไม่มียถากัมมุตาญาณตรงนี้ มักจะเป็นมิจฉาทิฐิไปหมด
ถาม : คนที่ตายก่อนหมดอายุขัย จะได้ไปภพภูมิตามที่หลวงพ่อสอนไหมครับ เช่น ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำไม่ดีได้ไปอบายภูมิครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขารอเวลา หมดอายุความเป็นมนุษย์เมื่อไรค่อยไป ฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าญาติพี่น้องทำบุญให้ไม่เป็น
คำว่า ทำบุญให้ไม่เป็น ก็คือ ทำบุญผสมบาป มีการฆ่าสัตว์ มีการเลี้ยงเหล้า เป็นต้น ถ้าลักษณะอย่างนี้เขาไม่มีโอกาสโมทนา เพราะว่าโมทนาไปตัวเองก็เดือดร้อนกับบาปไปด้วย เขาก็จะลำบากมาก แต่ถ้าญาติพี่น้องทำบุญให้เป็น จะมีความสบายคล้ายเทวดาคล้ายนางฟ้า อย่างนั้นเขาจะไม่เดือดร้อน ระยะเวลาโลกมนุษย์สำหรับเขาแล้วเหมือนกับแค่พักเดียวเท่านั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "โมทนากับโยมที่ถวายแหวนร้อยปีหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ขัดไปขัดมาก็เลยฉวยโอกาสใช้ท่านไปด้วย เวลาให้พรจะได้ไม่เหนื่อย เหมือนอย่างกับมีไฟฉายในมือ ถึงเวลาก็ส่องได้เลย
อาตมามีแต่แหวนรุ่นแรก รุ่นราคา ๖,๖๐๐ บาท รุ่นนั้นตัวเรือนเป็นทองคำ แต่เปอร์เซ็นต์ต่ำไปหน่อย คนทำคิดแต่จะเอากำไรมากไปนิดหนึ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปเนปาลคราวก่อน ตั้งใจจะไปที่ฝรั่งเรียกว่า "โพคารา" แต่ว่าต้องนั่งรถไปวันหนึ่ง นั่งรถกลับวันหนึ่ง..ไม่คุ้ม ยกเว้นว่ามีเวลาไปค้างคืนสักสองคืนยังพอจะคุ้ม
โพคารา บาลีว่า โปกขะระ แปลว่า สระน้ำ ที่เราว่า สระโบกขรณี แถวนั้นจะมีทะเลสาบใหญ่อยู่ มีพวกรีสอร์ตลอยน้ำ
ถ้าเราไม่รู้ภาษา บางอย่างก็ไปไกล อย่างที่ฝรั่งเรียก "นากาก็อต" คนไทยเรียกว่า "นาคขนด" แขกปากีสถานเรียกว่า "นังการ์ปาร์บัต" ก็คือ นาคบรรพต ถ้าไปแล้วรู้จักเจ้าที่ ให้ถามท่านด้วยว่าแปลว่าอะไร ถ้าไม่รู้จักก็ต้องเลียนเสียงแบบฝรั่ง ออกเสียงผิด ๆ ต่อไป
ภาษานั้นเนื่องกันหมด เพียงแต่เราเข้าใจแค่ไหนเท่านั้นเอง แบบเดียวกับฝรั่งเรียกช้างว่า "เอลเลฟแฟ่น" ก็คือ เอราวัณ ของภาษาบาลีดี ๆ นี่เอง แต่เขาออกเสียงไม่ได้
ต่อไปปฏิบัติธรรมให้น้อยลงหน่อย ถ้าปฏิบัติแล้วรู้มากแบบอาตมา คนเขาจะว่าบ้า ชอบไปรู้เรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่รู้
"นังการ์ปาร์บัต" ปาร์บัต คือ ปัพพตะ ภาษาบาลีแปลว่าภูเขา คนไทยเรียกว่า บรรพต"
พระอาจารย์เล่าว่า "การปฏิบัติธรรม ถ้าทำไประยะหนึ่ง การรู้เห็นจะตามมาเอง เพราะว่าสภาพจิตของเราเริ่มสงบ เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ เราก็ไม่สามารถที่จะมองอะไรได้ แต่ถ้าน้ำนั้นนิ่งสงบเมื่อไร จะสะท้อนเงารอบด้านลงไปเหมือนของจริงเลย สภาพจิตที่สงบก็จะเริ่มรู้นั่นรู้นี่ไปตามสภาพ ฉะนั้น..ต้องมีความคล่องตัวมากพอที่จะตัดการรับรู้นั้นได้ด้วย
อีกส่วนหนึ่งที่พึงระวังให้หนักคือ รู้แล้วพูดได้เท่าไร ถ้ารู้ร้อยหนึ่งอาจจะให้พูดแค่หนึ่งแค่สอง ถ้ารู้แล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองควรที่จะพูดได้เท่าไร ก็โปรดระมัดระวัง เพราะว่าบางอย่างกลายเป็นไปยุ่งกับกฎของกรรมมากเกินไป บางท่านก็ถึงขนาดเสียใจจะฆ่าตัวตายก็มี
อาตมาเคยเจอพยาบาลทหารอากาศ มีความรู้ล่วงหน้า ถ้าจับมือใครก็จะเห็นอนาคตใกล้ ๆ ของคนนั้น คราวนี้จับมือเพื่อน เห็นว่าจะโดนรถชนตายแล้วไม่กล้าบอก พอเพื่อนไปโดนรถชนตาย ตัวเองก็ร้องไห้จนเสียผู้เสียคนไปเลย คือไปโทษว่าเพราะตัวเองเลยทำให้เพื่อนตาย ยายนั่นบ้า..!คุณจะรู้หรือไม่รู้ ถ้าวาระกรรมมาถึงเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ดันไปเข้าใจว่ารู้แล้วไม่บอกเลยทำให้เพื่อนตาย อาตมาอยากจะบอกว่า ถ้ารู้แล้วบอกเอ็งนั่นแหละอาจจะตายแทน..!"
"กรรมก็เหมือนกับลูกปืน เขายิงใส่คนหนึ่ง ถ้าเราไปขวางไว้ แล้วใครจะโดน ? ฉะนั้น...นักปฏิบัติสิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือ อย่าไปยุ่งกับกรรมคนอื่น เหมือนกับเห็นแก่ตัว แต่ไม่ใช่ ถ้ารู้ต้องรู้จริงว่ายุ่งได้แค่ไหน
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก มีลูกศิษย์ผู้หญิงลูกติด ผัวโดนเกณฑ์ทหารไปรบ รบที่ไหน ? สงครามอินโดจีน สงครามมหาเอเชียบูรพานั่นแหละ พอรบติดพันเป็นปี ๆ ไม่ได้กลับบ้าน ลูกเมียจะอดตาย หลวงพ่อจงก็เลยให้หวยไป ให้ไปซื้อหวยแบ่งเงินคนรวยมาใช้ จะได้เลี้ยงลูกได้
แต่พอกลับไปแล้ว หลวงพ่อจงนึกขึ้นมาได้ พายเรือตามไป ไปบอกว่า "อีหนูอย่าเล่นเกิน ๕ บาทนะลูก บุญของเอ็งมีแค่นั้น ถ้าเล่นเกิน ๕ บาท จะไม่ถูก" สรุปท่านบอกตอนแรกบอกไม่ครบ ก็เลยทำให้หลวงพ่อจงที่อายุมากแล้วต้องพายเรือจนเหนื่อย เพื่อไปบอกว่าอย่าเล่นเกิน ๕ บาท"
"ฉะนั้น รู้อะไรต้องรู้ให้ครบแบบหลวงพ่อจง บอกก็บอกให้ครบ บอกได้เท่าไรก็แค่นั้น
พวกเราส่วนหนึ่งที่ตั้งคำถามมา ไม่ได้นึกถึงความพอเหมาะพอดี ในขณะเดียวกัน ตอบไปแบบพอเหมาะพอดีก็ดัน “แสนรู้” ไปขยายความอีก ทางลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงมีเยอะมาก บอกว่าหลวงพ่อเคยเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ท่านนั้น เคยเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ท่านนี้ให้ยุ่งไปหมด รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังละเมิดมาตรา ๑๑๒ อยู่..!
ภาษาทหารเรียกว่า "ดึงฟ้าต่ำ" หลวงพ่อท่านรู้ว่าพูดแค่ไหนพอดี นี่เสือกรู้เกิน รีบไปขยายความด้วยความภูมิใจว่า "กูรู้" หารู้ไม่ว่าจะพาซวยทั้งวัด พอถึงเวลากลายเป็นอ้างเบื้องสูง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฉะนั้น...ถ้ารู้แล้วปากคันจะพูดให้ได้ ก็ให้เอาพลาสเตอร์ปิดปากไว้"
"นักปฏิบัติที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไร รวบรัดตัดตรงเข้าหามรรคหาผลเลยถือว่าโชคดีที่สุด ไม่เสียเวลา ส่วนท่านที่รู้มากก็ยากนาน คำว่ายากนาน บางคนโดนพารู้เตลิดเปิดเปิงไป เวลาญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น รู้ทุกเรื่อง อย่างที่บอก...ขนาดสร้างยานอวกาศไปนอกโลกก็ยังได้ เพียงแต่ว่าหากว่าเราสังเกตจะเห็นว่า ทุกอย่างที่เราคิดจะมีเหตุมีผล สามารถอธิบายได้ทั้งวิชาการ ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งทางธรรม แต่เรื่องที่รู้ไม่มีอะไรช่วยให้เราหมดกิเลสเลย ถ้าไม่สังเกตตรงนี้ก็จะโดนหลอกไปเรื่อย ๆ"
"กิเลสเขาเก่ง เขาจะหลอกให้เราภูมิใจ ว่าเราเข้าใจ เรารู้เห็น เราเข้าถึง และเราก็ลืมพิจารณาว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยตัดกิเลส มีแต่เพิ่มกิเลสให้เรา
หลายท่านน่าเสียดายเวลา เตลิดเปิดเปิงอยู่หลายปี อาตมาเองก็โดนไปสามปีเต็ม ๆ กลายเป็นทาสรับใช้เขา พอเขาถามเรื่องอะไร ก็ดูให้เขาหมด พอเขาชมก็ก้นกระดก ตัวลอย ปลื้มใจ ถ้าตายตอนนั้นก็ไปไม่รอด
พูดไปแล้วก็อยากรู้อยู่ดี เตือนไปก็เท่านั้นแหละ ต้องบอกว่าเอาที่สบายใจแล้วกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปลายฝนต้นหนาว ขอเตือนอีกครั้งว่า บ้านไหนมีคนแก่มีคนป่วยดูแลให้ดี คนแก่หรือคนป่วยร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนคนปกติ พลาดขึ้นมาเมื่อไรก็ไปเลย ถ้าเราสังเกต ช่วงรอยต่อของอากาศคนจะเสียชีวิตเยอะมาก ไม่ใช่คนทั่วไปหรอก พระก็ด้วย"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ยกเก้าอี้ ท่านนพรัตน์ก็วิ่งพรวดพราดมาบอกว่า "หลวงพ่อ ๆ เดี๋ยวปวดหลัง" อาตมาบอกว่า "กูไม่ใช่มึง มึงจะปวดก็ปวดไป กูทำอย่างนี้ของกูมาทั้งชีวิต" ถ้ามัวแต่ระวังมากเกินไปก็ไม่ได้ทำอะไรเลย จะไม่ระวังเลยก็ไม่ได้ แต่คราวนี้กำลังคนไม่เท่ากัน ของท่านไม่ไหว แต่อาตมายกคนเดียวก็ไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ท่านไม่ไหว ถ้าไปฝืนก็ปวดหลัง ก็ต้อง ๒ คน ส่วนอาตมาคนเดียวยังรู้สึกว่าเบาไป"
ถาม : เป็นส่วนของการฝึกด้วยไหมคะ ?
ตอบ : บางอย่างเป็นปุพเพกตปุญญตา บุญเก่าสั่งสมมา ในเมื่อสร้างมาทางด้านนี้ก็จะแข็งแรงกว่าชาวบ้านเขาหน่อย อาตมาแค่วัยรุ่น ๑๕-๑๖ ปี ก็แบกข้าวสารเป็น ๑๐๐ กิโลกรัมแล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปงานบำเพ็ญกุศลถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ คราวนี้เห็นชัดเลยว่า ของใหม่ถ้าเราไม่ฝึกฝนให้เคยชิน ก็จะอ่านไม่ถูก ‘สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร’ ไม่มีใครที่อ่านถูกตรง ๆ สักคนหนึ่ง จะต้องหน้าผิดหลังผิดให้ยุ่งไปหมด
บรรดาพิธีกร มัคคนายก ตลอดจนกระทั่งโฆษก เรื่องตำแหน่งพวกนี้ต้องว่าให้ขึ้นใจ ไม่ใช่ไปถึงก็สะดุดกึก ๆ กัก ๆ อยู่นั่นแหละ..ฟังแล้วเสียอารมณ์ โดยเฉพาะงานหลวง"
ถาม : ที่อ่านออกประกาศ คนก็จำผิด ๆ ไปเยอะ ?
ตอบ : มีเยอะ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าที่เขานิยมอ่านว่าอย่างไร ‘พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ศรีสินทร อ่าน สี-สิน แค่นี้ มักจะอ่านเป็น สี-สิน-ทะ-ระ เพราะว่าพอเขาอ่าน ปะ-ระ-เมน-ทะ-ระ ก็มา สี-สิน-ทะ-ระ แต่ไม่ได้ดูว่าสำนักพระราชวังเขาให้อ่านอย่างไร
ต่อให้สำนักพระราชวังอ่าน แล้วก็ราชบัณฑิตอ่าน แต่ถ้าพระราชนิยมไม่ใช่อย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยน พระราชนิยมอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น..เราจะอ่านเป็น พระ - บาด - สม-เด็ด-พระ-ปะ-ระ-เมน-ทะ-ระ-รา-มา-ทิบ-บอ-ดี-สี-สิน-มะ-หา-วะ-ชิ-รา-ลง-กอน-พระ-วะ-ชิ-ระ-เกล้า-เจ้า-อยู่-หัว
ส่วนใหญ่แล้วก็กลายเป็น สี-สิน-ทะ-ระ แต่ว่าบางคนอ่านหน้าหด สม-เด็ด-พระ-ปะ-ระ-เมน-รา-มา-ทิบ-บอ-ดี-สี-สิน-มะ-หา-วะ-ชิ-รา-ลง-กอน ก็ใช่ เพราะว่า ‘ทร’ เคยเป็นการันต์ แต่ในเมื่อมีคำตามเขาตัดการันต์ออก แต่ไม่ได้อ่านออกเสียง
แบบเดียวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อ่าน สม-เด็ด- พระ-เทบ-พะ-รัด-ราด-ชะ-สุ-ดา ‘รัตน’ ก็จริง แต่ว่าการันต์หายไปก็ต้องอ่านเป็น สม-เด็ด- พระ-เทบ-พะ-รัด อย่างเดียว คราวนี้พอมีคำตามก็ต้องเอาการันต์ตัวท้ายออก แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจก็จะอ่านผิด คนเข้าใจก็อ่านถูก แต่ถ้าไม่ใช่พระราชนิยมก็ผิด เป็นอะไรที่ยุ่งมาก
ถึงได้บอกกับบรรดาเจ้าหน้าที่พิธีกรว่า คุณต้องว่าให้คุ้นลิ้นไปเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็จะมาอึก ๆ อัก ๆ โดยเฉพาะทางพระเรานี่ที่อนาถที่สุดก็คือสมณศักดิ์ ประมาณ ๕ ปีเปลี่ยนทีหนึ่ง จำไม่หมดนี่ตายเพราะว่าจะผิดคน เมื่อวันก่อนเลขาฯ พิมพ์หนังสือมาเพื่อที่จะต่อวีซ่าให้ท่านอาจารย์เตชะ เพราะว่าท่านเป็นธรรมทูตต่างประเทศ ลงนามพระราชวิสุทธิเมธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี กูพิมพ์เองดีกว่าว่ะ..! เพราะว่าท่านเป็นพระเทพปริยัติติโสภณไปแล้ว
โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่ของใหม่จริง ๆ จะเป็นที่รู้กันว่าอ่านว่าอย่างไร อย่างท่านเจ้าคุณพระอินทเขมาจารย์เป็นตำแหน่งเฉพาะของจังหวัดราชบุรี แบบเดียวกับท่านเจ้าคุณพระสุเมธมุนี อย่างไรก็ต้องมีเชื้อสายมอญ ถ้าไม่ใช่มอญจะเป็นพระสุเมธมุนีไม่ได้ แล้วก็อย่างพระวิสุทธิรังษีเป็นตำแหน่งเฉพาะของกาญจนบุรี ไปที่อื่นไม่ได้ แล้วเขาก็จะรู้กันว่าอ่านอย่างไร ยกเว้นไปเจอพวกประเภทไม่เคยผ่านวงการมา ก็อ่าน พระ-อิน-ทะ-ขะ-เหมา-จาน
มีตำแหน่งเฉพาะของจังหวัดเชียงใหม่ ก็คือท่านเจ้าคุณพระนพีสีพิศาลคุณ ปัจจุบันไม่มีใครเอา เพราะว่าตำแหน่งนี้ตั้งไปแล้วมรณภาพติดต่อกัน ๓ รูปในเวลาอันไม่นาน
จริง ๆ คนตั้งสมณศักดิ์ท่านเก่งมาก นพีสี ก็มีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าวิมลนาคนพีสี เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ กับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
นพีสี มาจาก นว + อิสิ เมืองใหม่ที่ฤๅษีสร้าง ก็คือนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เพียงแต่กลับข้างมาเป็นนพีสีเท่านั้น นวอิสิ อะ + อิเป็นอี เป็นนพีสี เพราะฉะนั้น..นพบุรีศรีนครพิงค์ ถึงเวลาก็แปลงอะกับอิ เป็นอี เพราะว่ารัสสระคือเสียงสั้น ๒ ตัวจากเสียงอะกับอิรวมกัน ก็ต้องกลายเป็นเสียงยาว คือแปลงอะกับอิเป็นอี
ในเมื่อลบสระหน้า เหลือแต่สระหลัง สระหลังคืออิ ในเมื่อเป็นเสียงยาวก็ต้องเป็นนพี กฎกติกาหรือสูตรบาลี ถ้าคนไม่คล่องก็ไม่เป็น แต่จริง ๆ พวกคำยาก ๆ ควรที่จะให้ได้อ่านกันบ้าง
จำได้ว่าสมัยที่เรียนน่าจะเริ่ม ป. ๒ ที่เขาให้อ่านคำยาก ๆ ‘ตู้กระจก นกกระจอก เมฆหมอก หน้ามุข สุขสบาย แบ่งภาค พญานาค โรคภัย ใจสมัคร โทรเลข’ แม่กกจะต้องอ่านอย่างไร จะเป็นตัวสะกดที่อ่านออกเสียงเหมือน ก.ไก่ ทั้งหมด เด็กรุ่นหลัง ๆ เขาไม่ได้อ่าน ไม่ได้ท่อง ไม่ได้จำอีกต่างหาก เลยไปกันหมด
‘ระฆังดังหง่าง ๆ ฆ้องใหญ่กว้างครางหึ่ง ๆ กลองหนังดังตึง ๆ ตีกระดึงดังกริ่ง ๆ’ แม่กงหมด ต้องบอกว่าเด็กสมัยก่อนนี่โชคดีมาก ที่ได้เรียนในภูมิปัญญาที่ตกผลึกแล้วของบรรพบุรุษเรา เพราะไม่ว่าจะเป็นพระยาศรีสุนทรโวหาร พระยาอนุมานราชธน พระยาอุปกิตศิลปสาร แต่ละคนนี่สุดยอดเซียนบาลีเลย เพราะว่าบวชมาก่อนทั้งนั้น เสร็จแล้วสึกมาก็มารับราชการ สมัยก่อนไม่ว่าอะไรก็ต้องขึ้นต้นด้วยพระรัตนตรัย
นะโมข้าจะไหว้.........วรไตรรตนา
ใส่ไว้ในเกศา............วรบาทมุนี
คุณะวรไตร.............ข้าใส่ไว้ในเกษี
เดชะพระมุนี............ขออย่ามีที่โทษา
ข้าขอยอชุลี..............ใส่เกษีไหว้บาทา
พระเจ้าผู้กรุณา.........อยู่เกศาอย่ามีภัย
ข้าไหว้พระสะธรรม....ที่ลึกล้ำคัมภีรใน
ได้ดูรู้เข้าใจ..............ขออย่าได้มีโรคา
ข้าไหว้พระภิกษุ.........ที่ได้ลุแก่โสดา
ไหว้พระกิทาคา........อะระหาธิบดี
ข้าไหว้พระบิดา..........ไหว้บาทาพระชนนี
ไหว้พระอาจารีย์.........ใส่เกศีไหว้บาทา
ข้าไหว้พระครูเจ้า........ครูผู้เฒ่าใส่เกศา
ให้รู้ซึ่งวิชา.................ไหว้บาทาที่พระครู
จะใคร่รู้ที่วิชา.............ขอเทวามาค้ำชู
ที่ใดข้าไม่รู้...............เล่าว่าดูรู้แลนา
ไชโยขอเดชะ............ชัยชนะแก่มารา
ระบือให้ลือชา............เดชะสามาไชโย
ไชโยขอเดชะ............ชัยชนะแก่โลโภ
โทโสแลโมโห............อย่าโลเลโจ้เจ้ใจ
เขาไล่ไปตามลำดับ เด็กรุ่นหลังไม่ได้เรียนน่าสงสารมาก แต่ขณะเดียวกันรุ่นหลังนั้นก็บอกว่าสงสารหลวงตามาก หลวงตาเรียนอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ตกลงว่าใครสงสารใครก็ไม่รู้ ? แล้วโบราณท่านประณีต ไหว้พระพุทธ ไหว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ ไหว้พ่อแม่ ไหว้ครูบาอาจารย์
สมัยนั้นพอ ป. ๓ ป. ๔ วรรณคดีเป็นโคลงเป็นกลอนหมดแล้ว จำได้ว่า ป. ๓ นี่สังข์ทองตอนตีคลี ป.๔ ก็พระอภัยมณีตอนเกาะผีเสื้อ ถ้าเด็กรุ่นหลังไปเรียนอย่างนั้นตายแน่นอน แล้วก็พลายแก้วบวชเณรก็ ป.๓ ป.๔ เท่านั้นเอง
ต้องบอกว่าสังคมพาไป ในเมื่อสังคมพาไป ยุคนั้นเราจะเห็นว่าหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอภิญญาสมาบัติเยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด จนไปถึงเจ้าอาวาส ต่อให้ไม่มีชื่อเสียงขนาดไหนก็ต้องเป็นอะไรสักวิชาหนึ่งให้ชาวบ้านเขาพึ่งได้
นางทองประศรีท่านว่า ‘จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร’ พูดง่าย ๆ คือส่งไปเรียนแล้วต้องได้ เขามั่นใจกันอย่างนั้น เขาเองมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ของยาก ทุกคนเรียนได้ ถึงเวลาเขาก็อยากให้ลูกหลานได้เรียน
ครานั้นทองประศรีผู้มารดา............ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่
อันสมภารที่ชำนาญในทางใน.........ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน
เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา...............แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน
จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน.............ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร
ไปเรียนแล้วต้องได้ ต้องสำเร็จ เหมือนกับสมัยนี้เรียนอนุบาลอย่างไรก็ต้องจบ
อยากจะเป็นทหารชาญชัย................ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี
จึงอ้อนวอนมารดาได้ปราณี................ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ
พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี......................แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน
จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน.................ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร
ไปเรียนแล้วต้องจบ มาสมัยนี้ โอ้โฮ...ยาก เมื่อวานนี้เด็กแต่ละคนทำหน้าเหมือนกับจะบรรลุกันหมด บอกว่าคราวนี้เอ็งรู้หรือยังทำไมวันแรกหลวงตาถึงไล่เอ็งไปขึ้นรอยพระบาท เพราะถ้าให้เอ็งมานั่งสมาธิตั้งแต่เมื่อวาน มาถึงวันนี้เอ็งตายหมดแล้ว ขนาดให้แค่ครึ่งวันยังทำท่าจะตายกันหมด
วันแรกเขาก็สงสัย หลวงตาพาไปทำความสะอาด พาไปขึ้นยอดดอย ก็สนุกเฮฮาไปตามแรงบ้าของเด็ก บางคนก็ประท้วงว่ามาปฏิบัติธรรม เอ้า..ได้ เจอไปครึ่งวันทำท่าจะตายกันหมด เป็นอย่างไรล่ะ ? ถ้าหลวงตาพาทำตั้งแต่วันแรกพวกเอ็งจะเหลือไหม ?
แต่ต้องบอกว่าเด็กชุดนี้ถ้าใฝ่ดีนี่มีสิทธิ์เลย เพราะว่าเขาอาสามาด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ไอ้พวกที่มาปฏิบัติเพื่อแก้ ร. แต่ครูแถวนี้ก็ประเภทที่เรียกว่าพอกันเลย ในเมื่อเอ็งติด ร. ไม่ยอมส่งงานใช่ไหม ? ไปปฏิบัติธรรมวัดท่าขนุนครบหลักสูตร ๕ วันกลับมาจะแก้ ร.ให้...เกือบตาย รุ่นพี่ไปบอกรุ่นน้องว่าต้องตั้งใจเรียนแล้ว ไม่อย่างนั้นโดนแน่..!
ชุดนี้เขารับอาสาว่าปฏิบัติธรรมถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสร็จแล้วจะมีคะแนนกิจกรรมให้ พวกที่เขาอยากปฏิบัติธรรมก็เท่ากับได้โอกาส แต่โอ้โฮ...เด็ก ๆ กินกันกระจายจริง ๆ เลย แล้ววัดเราก็เลี้ยงไม่อั้นด้วย หมูบดกับลูกชิ้นอย่างละถาด ลงไปแค่ ๑๐ กว่าคนตักก็หมดแล้ว เพราะว่าเขาเอาไปใส่ก๋วยเตี๋ยว ให้กินก๋วยเตี๋ยวพวกเขาเล่นกวาดลูกชิ้นกับหมูบดกัน ไป ๑๐ กว่าคนหมดถาดไปแล้ว ถ้าขืนทำอย่างนี้ละก็...เพื่อนมาข้างหลังไม่ต้องกินกันพอดี
ผอ.ก็กลัวว่าเด็กจะขาด เขาก็เลยพามาเกิน ๒๐๐ คน เผื่อว่ามีใครหนีปฏิบัติ นับเป็นความหวังดีของ ผอ.นั่นแหละ แต่มาเท่าไรวัดก็ต้องเลี้ยง แล้วที่อื่นเขาก็บ่นกันว่าเขาหาพระปฏิบัติไม่ได้ ท่านรองผู้ว่าฯ สมยศ ศิลปีโยดม บอกว่าที่อื่นเขาหาคนปฏิบัติไม่ได้ วัดหลวงพ่อเป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่น ได้รางวัลโน้นรางวัลนี้ จัดปฏิบัติปีหนึ่งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อ๋อ...ต่างกันครับ เขามาแล้วเขารู้สึกว่าเขาได้…เขาจะมา แต่ถ้ามาแล้วรู้สึกว่าไม่ได้อะไร เขาไม่ไปหรอก...เสียเวลา
โดยเฉพาะของวัดเราถ้าเราจัดหลักสูตรเสาร์ - อาทิตย์ คนไม่ค่อยไปเพราะว่าวัดของเราไกล รู้สึกว่าไปแล้วไม่คุ้ม แต่ถ้า ๓-๕ วันพอได้อะไรบ้างเขาจะไป ของเราไกลเกินไป ถ้าต้องการความสงบโดยเฉพาะตอนช่วงนี้ เมื่อเช้าเขาส่งอุณหภูมิมาทางไลน์ ๑๒.๖ องศาเซลเซียส เมื่อวานนี้ยัง ๑๔.๙ อยู่ ลดลงไปทีเดียว ๓ องศาเลย แต่ว่าแถว ๆ เกาะพระฤๅษีนี่ ๘-๙ องศาเซลเซียสเข้าไปแล้ว เพราะว่าข้างในเป็นป่าเป็นเขา..เย็นกว่าเยอะ ก็ต้องบอกว่ายังโชคดีได้อยู่ในที่ซึ่งภูมิอากาศร้อนหนาวยังเป็นปกติอยู่
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของทหารควรจะมีการเกณฑ์ เพราะว่าชายไทยทุกคนจำเป็นจะต้องทำหน้าที่ป้องกันประเทศชาติอยู่แล้ว อยากจะให้ไม่มีการยกเว้นเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าการฝึกทหารถ้าเราตั้งใจจะเอาดีจริง ๆ จะได้อะไรติดตัวมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นความมีระเบียบวินัย ความแข็งแรงของร่างกาย ความรู้ในการที่จะหลบหลีกเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ฯลฯ ถ้าคุณตั้งใจเรียนคุณจะได้เยอะกว่าที่คิด
แต่คราวนี้ส่วนใหญ่ไปเกี่ยงว่าลำบาก...เหนื่อย โดยที่ไม่ได้ดูว่าถ้าเราสามารถผ่านตรงนั้นไปได้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรลำบากกว่านั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของเยาวชน เราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสารเลย ควรที่จะได้อะไรติดตัวเอาไว้บ้างจากการเกณฑ์ทหาร อย่างน้อย ๆ ความมีระเบียบวินัยก็ยังดี ไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ได้สนใจว่าระเบียบเป็นอย่างไร วินัยเป็นอย่างไร แล้วท้ายสุดก็คือกฎหมายเป็นอย่างไรกูก็ไม่สนใจด้วย"
"เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ถ้าจะจัดการให้ดีจริง ๆ กำลังพลเราต้องการประมาณเท่าไรรับสมัครไปก่อน ถ้าได้เพียงพอก็จบแค่นั้น ถ้าได้ไม่พอเราเฉลี่ยแล้วเกณฑ์แต่ละจังหวัด ก็จะเหลือแค่ไม่กี่คน ดีไม่ดีจะเหลือจังหวัดละคนสองคนเท่านั้นเอง ใครคนไหนจับได้ก็คงเป็นลมไปเลย
เดี๋ยวนี้การเกณฑ์ทหารหลายจังหวัด อย่างกรุงเทพฯ สระบุรี ลพบุรี ไม่ต้องไปเกณฑ์ เขาสมัครเกินทุกปี เพราะว่าเดี๋ยวนี้พลทหารเงินเดือน ๙,๐๐๐ บาท ไม่ใช่อย่างสมัยอาตมา สมัยอาตมาเรียนจบนักเรียนนายสิบมา ปีแรกเข้ารับราชการเงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท บวกค่าครองชีพ ๒๗๐ บาท สมัยนี้พลทหารอย่างเดียว ๙,๐๐๐ บาท อาตมาได้ยินก็...โอ้พระเจ้า แล้วนายทหารเงินเดือนไปถึงไหน ?
ส่วนที่ควรลดอย่างยิ่งเลยก็คือระดับหัว ๆ โน่น เพราะว่าระดับบัญชาการไม่จำเป็นต้องมีมากขนาดนั้น ถึงเวลานายพลจะเดินชนกันตาย แล้วก็หาคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมได้ยาก สมัยอาตมาเองเป็นทหารอยู่ ร้อยตรี ร้อยโท อยู่ต่างจังหวัดนี่ใหญ่คับฟ้า แต่พอเข้ากรุงเทพฯ มา ขนาด พันตรี พันโท ยังจ๋อย ๆ เลย เพราะว่ามีแต่คนใหญ่กว่า เจอหน้าใครก็ต้องทำความเคารพเขาไปหมด ส่วนพวกเราอยู่ต่างจังหวัด ร้อยโทนี่ผู้บังคับกองร้อย โคตรเท่เลย ปกติร้อยโทถ้าเป็นในกรุงเทพฯ ใหญ่ที่สุดก็ไม่เกินรองผู้บังคับกองร้อย"
"ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อฤๅษีฯ คอยเฝ้าหน้าห้องให้ท่าน ผู้การเขต ๙ พลตำรวจตรีนพเก้า ธัญศิริ มากราบหลวงพ่อ ตำรวจเดินตามมาเป็นร้อย ผู้บังคับการเขตจะคุมหลายจังหวัด ผู้กำกับจังหวัดยังพอมีคนเห็นบ้าง รองผู้กำกับ ๒ ท่านเดินมาไม่มีใครแลเลย เพราะถือว่าให้คุณให้โทษอะไรไม่ได้ คนที่จะเซ็นอนุมัติให้คุณได้ยศได้ตำแหน่งคือผู้กำกับจังหวัด แล้วใหญ่ขึ้นไปก็คือผู้บังคับการเขต
เพราะฉะนั้น..พอถึงเวลาคุณนพเก้าจะขึ้นมากราบหลวงพ่อที่ห้อง มีนายพันตำรวจตรีลงไปกอดเท้า..ถอดรองเท้าให้ อาตมาคิดว่า...อื้อหือ มึงนี่เสียชาติเกิดจริง ๆ ระดับพันตำรวจตรี งานที่ประเภทพลตำรวจก็ทำได้ แต่มึงรีบไปทำ เพราะกลัวว่าเจ้านายจะไม่เห็นมึง"
"เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าไม่มีศักดิ์ศรีเลย เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตของตัวเอง ไม่ได้ใช้ฝีมืออะไรเลย นอกจากติดตามบริการเจ้านาย แล้วก็ดันเป็นธรรมชาติเสียด้วย เพราะว่าถ้าใกล้หูใกล้ตาเจ้านาย ถึงเวลาท่านก็จะนึกถึงก่อน
ทหารรับใช้จะมีตามยศของตัวเอง อย่างเช่นว่า ร้อยตรีจะมีทหารรับใช้ได้คนหนึ่ง ก็ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วส่วนใหญ่ทหารรับใช้ที่ไปนี่อาสาไปเองนะ เพราะว่าขี้เกียจฝึก ข่าวที่ออกมาทุเรศ ๆ นั่นก็เพราะว่าบางคนก็ไปเจอเขากดขี่ข่มเหงเอาจริง ๆ แต่บางคนก็ประเภทที่เรียกว่า เกิดอะไรขึ้นกูออกข่าวไว้ก่อน
ก็แบบเดียวกับเมื่อเดือนที่ผ่านมา แม่ชีที่วัดพอถึงเวลาก็ไปลงเพจสัตว์เลี้ยงสารพัดสารเพ บอกว่าตัวเองโดนไล่ออกจากวัดแล้วหมา ๔๒ ตัวจะอดตายหมด ไม่มีอะไรกิน น่าฆ่าให้ตาย...! ขนาดต้องถ่ายรูปหมาส่งไปให้ทางเว็บเขาด้วย บอกว่าไอ้หมาที่จะเดินไม่ไหวเพราะว่าอ้วนเกินไป ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะกิน"
"เขาแชร์ต่อไปบานเบิก โดยเฉพาะพวกที่ถึงเวลาก็ใส่อารมณ์เลยโดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือแม่ชีรายนี้วีรกรรมแกเยอะ เคยโดนหัวหน้าแม่ชีไล่ออกไปทีหนึ่งแล้ว แต่แกก็ทำหน้าตาเฉยอยู่ต่อไปเรื่อย จนกระทั่งแม่ชีชื่นหมดปัญญาจะจัดการ ครั้งนี้หลวงพ่อต้องเป็นคนไล่เอง
โดยปกติแล้วการรับคนเข้ารับคนออกในส่วนของฆราวาสกับแม่ชี อาตมามอบให้เป็นหน้าที่แม่ชีชื่น แต่แม่ชีชื่นเองก็ไม่มีปัญญาจะจัดการ เขาทำหน้าตาย...กูไม่ไป ก็ปล่อยเขาอยู่ต่อ เสร็จแล้วก็สร้างปัญหาให้ทุกครั้ง เพราะว่าเขาจะไปโพสต์ว่าเขาอยู่วัดลำบาก ไม่มีสตางค์ใช้ เพื่อไปขอเงินเขา เสร็จแล้วพอถึงเวลาฝนตก หมาก็เดินตากฝนมา ไปเล่นสนุกมา ตัวเปียกมะลอกมะแลก แกก็ถ่ายรูปไปให้เขาดู บอกว่าหมาไม่มีที่พัก ขอรับบริจาคซื้อผ้าใบมาทำอะไรให้หมาอยู่หน่อย
แกหารายได้ทุกอย่างที่แกเห็นว่าคนเขาจะโอนสตางค์ให้ เขาสามารถหาประโยชน์ได้จากทุกสถานการณ์ ท้ายสุดเพราะว่าโดนแม่ชีชื่นไล่ออก ก็มาฟ้อง “หลวงพ่อ..หนูโดนไล่ออก” ก็คือประมาณว่าจะให้อาตมาไปกัดกับแม่ชีชื่นแทนแกกระมัง ? ก็บอกไปว่า “ไล่ออกก็ไปเลย..ขนของออกไปวันนี้แหละ” ก็อาตมาให้อำนาจเขาแล้ว ในเมื่อหัวหน้าแม่ชีเขาไล่ออก คุณก็ต้องไปตามที่เขาสั่ง เขาก็เลยใช้วิธีประเภทโพสต์ลงสารพัดเพจสัตว์เลี้ยง เหมือนกับเรียกร้องความสนใจ หมาไม่มีจะกินแล้ว เขาจะได้โอนสตางค์ค่าอาหารมาให้อะไรประมาณนี้"
"เช้า ๆ หมาที่วัดชอบลงไปว่ายน้ำเล่น เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาฝนตกแทนที่จะหลบฝน ก็ไปตากฝนเล่น แกก็จะถ่ายรูปหมาเปียกมะลอกมะแลก แล้วก็บอกว่าหมาหนาวจะตายอยู่แล้ว ไม่มีที่มุงที่บังอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่หมาจะมุดเข้าไปใต้ถุนกุฎิหลังไหนก็ได้
ไปขอบริจาคเงินเขาซื้อผ้าใบเพื่อที่จะเอามามุงหลังคาให้หมา ทั้งที่ชายคาหลบฝนที่ไหนก็มี วีรกรรมแกเยอะมาก พอรู้ว่าโดนไล่ออกตอนไปบิณฑบาต โยมทางบ้านเขาก็ “หลวงพ่อ..ขอให้แม่ชีอยู่ต่อหน่อยเถอะ” อาตมาบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว ฉันรับความตอแหลของแม่ชีไม่ไหว โยมเอากลับไปเถอะ” โยมเจอหลวงพ่อพูดตรง ๆ เข้าก็คงสะอึกเหมือนกัน"
ถาม : ลูกของหนูป่วยบ่อยค่ะ จะทำบุญอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญตอนนี้ไม่ทันหรอก ต้องทำตั้งแต่ชาติที่แล้วถึงจะได้ชาตินี้ เพราะฉะนั้น..ชาตินี้ไม่ต้องทำบุญ...ไปหาหมอเอา
ถ้าถามอย่างนี้ ไปที่อื่นเขาจะมีสารพัดวิธีแก้กรรม แล้วจะรู้ว่าต้องจ่ายหนักแค่ไหน เอาวิธีที่เป็นธรรมชาติและคนทั่ว ๆ ไปยอมรับ ก็คือไปหาหมอ ไม่ใช่ถึงเวลามาถามพระ หรือถามหมอดู หรือถามตำหนักทรง เดี๋ยวก็จะรู้ว่าหาเงินมาเท่าไรก็ไม่พอให้เขาหรอก หลวงพ่อพูดตรงเกินไปคนเขาไม่ค่อยชอบ เพราะว่าพูดแล้วเขาจะรู้สึกว่าตัวเองโง่ไปถนัดเลย..!
จับลูกไปคลุกดินคลุกทรายบ้าง โยนลงน้ำบ้าง จะได้แข็งแรง เด็กสมัยนี้พ่อแม่เลี้ยงมาตีนไม่ติดดิน ถ้าเป็นตำราเวชศาสตร์วรรณาโบราณ ก็คือธาตุพร่อง ขาดธาตุดิน ตีนไม่ติดดิน อาตมาเดินตากแดดพักเดียวมีวิ่งร่มมาคันสองคัน บอกว่า “มึงไปห่าง ๆ เลย กูไม่ได้กลัวดำสักหน่อย”
ถาม : ถ้าไม่โดนแดดบ้าง จะเพลียง่าย ?
ตอบ : แสงแดดเป็นแหล่งพลังชีวิตชัด ๆ พอถึงเวลารีบไปกั้นไว้ กลัวตัวเองจะแข็งแรง โยมบางคนทนเดินตามได้หน่อยเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว...มุดเข้าร่ม จึงอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ
ตอนช่วงเด็กกับวัยรุ่น ที่อาตมาชอบที่สุดก็คือเล่นน้ำฝน เล่นจนกระทั่งรู้ว่าถ้าฟ้าแลบนี่ต้องรีบเผ่นห่าง ๆ จากรางน้ำฝน เพราะว่าไฟฟ้าจะดูดกระเด็นเลย ไม่น่าเชื่อว่าฟ้าแลบอยู่บนฟ้า ไฟลงมาดูดเราที่พื้นได้ ช่วงอยู่ที่วัดทองผาภูมิ ถือไมค์ฯ สวดมนต์ ฟ้าผ่าอยู่ไม่ไกล เปรี้ยง...! ไฟดูดชนิดไมค์ฯ กระเด็นหลุดมือ ร่างกายบางคนมีสภาพคล้าย ๆ แบตเตอรี่หรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? ถึงเวลาไฟฟ้าลงแล้วดันไปรับได้
ถาม : ทำไมหนูทำอะไรชีวิตมีแต่ติดขัด ?
ตอบ : ยังไม่ทำจริง เจออะไรขึ้นมาก็ถอย ถ้าคนสู้จริง ๆ ก็ชนะทุกเรื่อง พวกเราหวังแต่จะเอาที่ง่าย ๆ ที่สบาย ๆ แล้วจะไปเอาที่ไหน ? แบบนั้นคนอื่นเขาเอาไปหมดแล้ว
กลับไปสู้จริง ๆ ทำจริง ๆ ก็สำเร็จทุกเรื่อง ในหลวงรัชกาลที่ ๖ บอกว่า ‘หนทางแห่งเกียรติศักดิ์ จักโรยด้วยดอกไม้ หอมหวนยวนจิตไซร้ ฤๅมี’ ไม่มีหรอก...ต้องลำบากทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าลำบากไประยะหนึ่งแล้วก็จะดี ถ้าไม่ยอมลำบาก จะเอาแต่ที่สบายอย่างเดียว คนอื่นเขาเอาไปหมดแล้ว
ถาม : ตอนนี้เจ็บที่คอที่แขนลงมา ชามากเลยครับ หมอบอกว่าหมอนรองกระดูกเสื่อม ไปกดเส้นประสาท มีคำแนะนำหรือวิธีการรักษาไหมครับ ?
ตอบ : ไปหาหมอใช่ที่พญาเวชแพทย์แผนไทย อยู่ซอยราษฎร์บูรณะ ๑๙/๑ เขาจะเก่งพวกเรื่องกระดูก บอกหมอว่าอาการเป็นอย่างไร หมอชื่อพรชัย แต่ชื่อจีนเขาชื่อไฉ้ เขาเปิดร้านตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ไปค้นหาคำว่าพญาเวชแพทย์แผนไทย ของโยมเป็นที่คอ ส่วนอาตมาเป็นที่เอว อาตมาไปหามา ๒ ยกแล้ว ถึงเวลาหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนไปเบียดประสาทจนขาชาหมด
มีโยมซื้อใบมีดโกนมาถวาย "ถ้าจะซื้อใบมีดโกนหัวถวายพระ ให้เอายี่ห้อขนนก กล่องสีเหลือง ขนนกนี่ได้มาตรฐานความคมจริง ๆ แต่ตอนหลังคนปลอมกันเยอะ เขาก็เลยเปลี่ยนจากกล่องแดงมาเป็นกล่องเหลือง แล้วดูซิว่าคนปลอมจะยังเปลี่ยนกล่องตามอีกไหม ?"
พระอาจารย์กล่าวถึงรางวัลหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ “ปีนี้รับรางวัลเป็นชิ้นที่ ๑๐ แล้ว เฉลี่ยประมาณเดือนละชิ้น พอทำงานไปหลาย ๆ ปี ผลเริ่มออก หน่วยงานโน้นก็ให้ หน่วยงานนี้ก็ให้ รับรางวัลไปจนไม่มีตู้จะใส่แล้ว
ยังเรียนท่านเจ้าคุณแย้มว่า “ผมมารับรางวัลนี่ ผมทิ้งเงินไปเยอะเลยนะ” โยมเขาเอาสตางค์มาให้ยังหนีไปรับรางวัลอีก ...(หัวเราะ)...
รับรางวัลเอาไว้เป็นกำลังใจให้ลูกศิษย์ ส่วนอาจารย์มีรางวัลหรือไม่มีรางวัลก็ทำงานอยู่แล้ว”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนอยู่ประเทศจีนอากาศประมาณ -๕ องศาเซลเซียส หิมะท่วมบ้านท่วมเมืองไม่หนาว ทีบ้านเราไม่เท่าไรทำไมถึงหนาว ? ...(หัวเราะ)... คืออากาศเย็นเท่ากัน ถ้าเจอลมเข้าไปนี่เย็นกว่าเยอะเลย
ตอนที่ไปฝรั่งเศส ไปนั่งเรือบาโตมุกซ์ (Bateaux-Mouches) ลงไปล่องแม่น้ำแซน มีเด็กคนหนึ่งน่าจะสัก ๖-๗ ขวบ พ่อแม่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ? เขาอยากชมวิวก็วิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า คราวนี้อากาศหนาวมาก ตรงมุมที่บังได้ผู้ใหญ่ก็ยืนกันแน่นหมดแล้ว จึงยืนสั่นแหง็ก ๆ อยู่คนเดียว อากาศ ๑๕ องศาเซลเซียส แต่ว่าลมแรง ไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็เลยดึงมาซุกข้าง ๆ ...(หัวเราะ)... ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีใครบังลมให้เดี๋ยวได้หนาวตาย ส่วนใหญ่พวกล่องเรือเขาจะอยู่ในห้องกระจกกัน พวกเราอยากดูโลกภายนอกให้เต็ม ๆ ตาก็ขึ้นดาดฟ้ากัน...หนาวสะใจ ...(หัวเราะ)...
ทองผาภูมิช่วงที่อาตมาอยู่ ๒๗ ปีที่ผ่านมา หนาวต่ำสุดแค่ ๒.๕ องศาเซลเซียส แต่ ๒.๕ นี่วัดจากตู้สกรีนของกรมอุตุฯ คาดว่าออกมาข้างนอกน่าจะลดไปอีกสัก ๑ องศาเซลเซียส ช่วงนั้นนี่ห่มจีวรไม่ได้ เพราะว่ามืองอได้แค่นิดเดียว กำไม่เข้า ม้วนลูกบวบไม่ได้ จีวรต้องพับ ๆ แล้วก็ห่มเอาเฉย ๆ แต่ว่าสมัยเด็ก ๆ ก็หนาวอย่างนี้แหละ ช่วงนั้นป่ายังเป็นป่าอยู่ รอบบ้านอาตมามีแต่ป่า หน้าหนาวนี่หนาวหนังแตกลายทั้งตัว กลางคืนต้องล้อมรอบกองไฟกัน ถึงเวลาเผลอหลับหน้าทิ่มลงไป ก็ผมไหม้หงิกไปแถบหนึ่ง
คนกรุงไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมานานแล้ว ให้เขาได้ใส่บ้าง หนาวสักสัปดาห์หนึ่งก็คุ้มแล้ว ...(หัวเราะ)...”
ถาม : คราวที่แล้วมาถามว่าเพื่อนเขาผูกคอตาย อยากถามว่าพ้น ๕๐๐ ชาติที่ต้องผูกคอตายหรือยังครับ ?
ตอบ : จะไปสนใจอะไร อย่าไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น ยุ่งเมื่อไรจะเดือดร้อนเอง หน้าที่ของเราทำบุญทำทานอะไรไปให้ ถ้าบอกไปว่ายังไม่ครบ ๕๐๐ ชาติก็ไปนั่งเครียดแทน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ?
พระอาจารย์กล่าวว่า “อุตส่าห์รีบซื้อเช็คไว้ ๒ ล้านบาท คิดว่าวันนี้จะเจอหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ ว่าจะถวายท่านเพื่อสร้างพระจุฬามณี ปรากฏมหาเลิศบอกว่า “หลวงพ่อระยะนี้ไม่ค่อยไปไหน เหมือนกับไม่มีเรี่ยวมีแรง” ก็เลยบอกไปว่า “ผมจะรีบถวายก็เพราะอย่างนี้แหละ ขืนช้าท่านไปเสียก่อนก็ไม่ต้องถวายกันพอดี” ...(หัวเราะ)... เพราะว่าเพื่อนร่วมรุ่นท่านไปกันเยอะแล้ว อย่างวันก่อนหลวงปู่ชุ้น วัดวังตะกู นั่นซี้กันเลยนะ
แนวคิดท่านสุดยอดมาก สร้างพระใหญ่แล้วสร้างจุฬามณีเป็นมงกุฎ คือถ้าดูจากมุมตรงจะเห็นเหมือนกับพระใหญ่สวมมงกุฎอยู่ ท่านบอกว่า “เอ็งให้วิทยาลัยสงฆ์ ๑๐ ล้าน ขอข้าล้านเดียวว่ะ” ถามท่านว่าแล้วทั้งหมดเท่าไร ? ท่านบอกว่า ๒ ล้าน กราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อ...จุฬามณี ๒ ล้านนี่ สามวันจะพังไหม..?!” ท่านบอกว่า “เฮ้ย...เขาทำดี เพียงแต่ว่าเขาได้จากข้าเยอะแล้ว เขาเลยคิดราคาถูก” ก็เลยกราบเรียนท่านว่าเดี๋ยวผมหาให้
สรุปว่า ๒ ล้านก็เหมาเองเลย เดี๋ยวคงต้องรีบหาวันว่างวิ่งเอาไปให้ท่าน คือถ้าเงินเข้ากองทุนในนามของท่านก็จบ เพราะว่าคนอยู่ต่อเขาทำได้ แต่ถ้าเงินไปทีหลังท่านมรณภาพแล้ว คราวนี้ไว้ใจไม่ได้แล้วว่าจะไปอยู่กับใคร”
โยมนำพระเก่าที่บ้านมาให้พระอาจารย์ดู “พวกนี้เขาเรียกว่าพระนับร้อย ทางท่าพระจันทร์เขาทำไว้บานเบิก วัดไหนก็ซื้อเอาไปเสกได้ เพราะฉะนั้น..บอกไม่ถูกหรอกว่าของที่ไหน จะมีหลายวัดที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านไม่มีอารมณ์มาค่อย ๆ สร้าง ถึงเวลาก็ไปสั่งเขา วัดท่าซุงแรก ๆ ก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
มีโยมถวายข้าวสาร พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยที่เข้าไปปฏิบัติธรรมที่บึงลับแล มีข้าวหอมมะลิตราหงส์ทองแบบนี้ ๑ ถุง อาตมาอยู่ได้เดือนครึ่ง เป็นพวกเราจะพอกินไหม ? ถุงหนึ่ง ๕ กิโลกรัม เฉลี่ยแล้วกินวันละประมาณขีดเดียว ลองดูนะ..แล้วหุ่นจะดีมาก..!
ถ้าคนเรากินเต็มที่ใช้ข้าวสารไม่เกิน ๒ ขีดครึ่ง เอาไปหุงเป็นข้าวสวยนี่ได้เยอะมาก อาตมาเอาพออยู่ได้ก็ประมาณ ๑ ขีดโดยเฉลี่ย และก็ไม่อยากแบกเข้าไปมากให้หนัก กะว่าอยู่ได้นานกี่วันก็เอาเท่านั้น ปรากฏว่าข้าวหอมมะลิถุงหนึ่งอยู่ได้เดือนครึ่ง ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ว่าฟ้าจะโปรด สรุปอยู่ไปเกือบ ๓ เดือน
แล้วจุดที่คนอื่นเขาไม่กล้าทำก็คือ กลางคืนตี ๒ ตี ๓ กระโดดลงในบึงว่ายน้ำเล่น คนอื่นเขากลัวจะมีตัวอะไรมางาบไป น้ำในบึงลึกมาก ลุงปานเคยวัดช่วงที่น้ำขึ้นเต็มกับช่วงที่ลดต่ำสุดได้ ๑๔ วา หรือ ๒๘ เมตร ขนาดนั้นต่อให้ไดโนเสาร์ทั้งตัวก็อยู่ได้สบาย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “พออายุ ๖๐ แล้วรู้สึกว่าแก่ไปหมด นั่งนาน ๆ ก็เมื่อย เดินขึ้นบันไดก็เมื่อย แสดงว่าร่างกายคนเราเสื่อมไปตามวัย แข็งแรงแค่ไหนก็เสื่อม ส่วนตัวอาตมาเองยังไม่ค่อยรู้สึก เคยทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ยกของหนักอย่างไรก็ยกอย่างนั้น บางทีพระก็บอกว่า “เดี๋ยวปวดหลังนะหลวงพ่อ” เออ..เรื่องของกู..!”
โยมนำวัตถุมงคลมาให้พระอาจารย์ดู “ดูท่าจะไม่ใช่ของแท้ แบบนี้ตั้งใจเก่า คุณดูแค่ฝุ่นที่จับ ถ้าเป็นของชาวบ้านทั่วไป เวลาเขาวาง เขาวางขึ้นด้านเดียว แต่อันนี้ฝุ่นจับทั้งหน้าหลังเหมือนกันเลย
เรื่องของวัตถุมงคลอย่าให้ความโลภบังหน้า เห็นแล้วพิจารณาให้ดี มีอะไรสงสัยแม้แต่นิดเดียวนี่อย่าไปแตะ ถ้าของที่เรียกว่าผิวหิ้ง หรือว่าชาวบ้านเขาวางไว้บนหิ้งอย่างเดียวไม่ได้ใช้ จะมีฝุ่นจับจะมีขี้ยุงอะไรก็จะมีด้านเดียว เพราะว่าอีกด้านที่อยู่ข้างล่างไม่ติดไปด้วยหรอก อันนี้ติดมาครบถ้วน ๒ ฝั่งเลยแสดงว่าตั้งใจทำให้เก่า
พวกตะกรุดต้องส่องเข้าไปแม้กระทั่งในหลอด ถ้าหากว่าพวกงานอื่น ๆ จะซอกจะมุมอะไรต้องดูให้ทั่วถึง”
พระอาจารย์กล่าวถึงโครงการซื้อเครื่องฟอกไตให้โรงพยาบาลทองผาภูมิ “ไปสร้างห้องให้เขาแล้วตั้งได้ ๑๒ เครื่อง ตอนนี้เพิ่งจะมี ๕ เครื่อง ขาดอีก ๗ เครื่องก็ประมาณ ๗ ล้านบาท เครื่องเก่ามีอยู่ ๒ เครื่องที่ซื้อราคาประมาณ ๕ แสนบาท อันนั้นฟอกไตแล้วคนไข้หมดแรงไป ๒ วัน..! ส่วนเครื่องเป็นล้านนี่ฟอกไตเสร็จทำงานต่อได้เลย
ต้องบอกว่าคนทองผาภูมิน่าสงสาร ก่อนนี้จะฟอกไตแต่ละทีโน่น...ต้องลงไปถึงโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาในเมือง ๑๔๐ กิโลเมตร ถ้าไปแล้วเครื่องเขาไม่ว่างก็ไม่ได้ฟอกอีก ท้ายสุดพอคนป่วยโรคไตเริ่มมีมากขึ้น ผู้อำนวยการนวลจันทร์ก็เลยมาถามว่า “หลวงพ่อช่วยสร้างห้องไตเทียมให้ได้ไหมคะ ?” ก็เลยต้องไปหามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขเข้ามา สร้างห้องไม่กี่เดือน แต่รอคณะกรรมการจากกระทรวงสาธารณสุขมาตรวจนี่เกือบปี แค่ตั้งคณะกรรมการมา ๓ คน ๕ คน ทำไมช้าได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้ ? พูดง่าย ๆ ว่าคนไข้จะตายหมดก่อน ท้ายสุดพอตรวจผ่านก็เอาเครื่องมาลง
สมัยนี้ที่คนไข้เป็นโรคไตกันมากเพราะว่ากินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาก ร่างกายคนต้องการเนื้อสัตว์ประมาณวันละขีดครึ่งเท่านั้น เล่นกินเสียเยอะแยะไปหมด ถึงเวลาล้นเกินไตก็ต้องขับออก พอทำงานหนักมาก ๆ ก็ไตพัง”
เด็กที่มากับพ่อแม่ร้องไห้ พระอาจารย์กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าตรัสว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง คือถ้าเด็กร้องนี่ผู้ใหญ่ทนไม่ได้หรอก สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง คือถ้าศีลไม่ดีสู้ใครไม่ได้ เข้าหน้าสังคมก็ไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าก็สรุปเอาไว้นะ พะลังจันโท พะลังสุริโย ไม่ว่าจะกำลังของพระอาทิตย์หรือกำลังของพระจันทร์ก็ตาม พะลังสมณะพราหมณา กระทั่งกำลังของสมณชีพราหมณ์ก็ดี พะลังเวลาสมุทัสสะ ต่อให้กำลังของมหาสมุทร พลาติพะละมิตถิโย พลังของผู้หญิงยิ่งกว่าพลังของทั้งหมดที่ว่ามา
เพราะฉะนั้น..อย่าทำให้แม่โกรธ ถ้าแม่โกรธเดี๋ยวมีปัญหา คำว่าแม่ในที่นี้หมายถึงเพศหญิงนะ ไม่ใช่คุณแม่ที่บ้าน ...(หัวเราะ)...”
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนเราทุกข์เพราะความคิด ถ้าหยุดคิดก็หยุดทุกข์ แต่เราก็คิดกันไปเรื่อย ที่คิดไปเรื่อยเพราะว่าสมาธิอ่อนเกินไป ไม่สามารถที่จะหยุดใจตัวเองได้ ดังนั้น..มีวิธีเดียวคือเร่งสมาธิให้มากขึ้น”
มีผู้สูงอายุมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “อาตมาเห็นคนแก่ตัวเล็ก ๆ แล้วใจหายทุกที คนแก่ตัวเล็กจะอายุยืนมากทุกคน อย่างไม่มี ๆ ก็ ๙๐ ปีขึ้นไป ...(หัวเราะ)... อาตมายังดีใจที่ตัวเองตัวใหญ่หน่อย ถ้าขืนตัวเล็ก ๆ คงต้องทนอยู่นานมาก อย่างหลวงปู่บุดดาตัวนิดเดียวอายุ ๑๐๑ ปี หลวงปู่ทองเทศก็ใกล้เคียงกัน ๑๐๓ ปี
คนแก่อยู่ในบ้านเหมือนมีสมบัติล้ำค่า อันดับแรกเลย...ลูกหลานได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตา อันดับที่สอง...เป็นหลักใจ คนแก่สูงด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ถึงเวลาอยู่เป็นหลักให้ลูกให้หลาน ปรึกษาหารือได้ ออกความเห็นได้ ประการสุดท้าย...ถ้าทำบุญไม่ดี อายุไม่ยืนขนาดนั้นหรอก ...(หัวเราะ)... ในเมื่อทำบุญมาดี...บุญรักษา แล้วก็รักษาไปถึงลูกถึงหลานด้วย
เมื่อวานมีคนส่งคลิปมาให้ ไอ้เจ้าตัวเล็กเรียกพ่อ พ่อก็วิ่งมา พ่อเรียกพ่อ พ่อของพ่อวิ่งมา พ่อของพ่อเรียกพ่อ พ่อของพ่อของพ่อวิ่งมา บ้านนั้นมี ๕ รุ่นอยู่บ้านเดียวกัน ก็จะเป็นพ่อ ปู่ ทวด แล้วก็ไปเทียด ...(หัวเราะ)... แล้วที่แน่ ๆ ก็คือคุณเทียดยังเดินคล่องเชียว มีหลังโก่งนิดเดียว หลังโก่งแบบคนแก่ทำงานหนัก”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อย่ากินน้ำเย็นมาก เพราะว่าเป็นบ่อเกิดของสารพัดโรคโดยเฉพาะผู้หญิง ดื่มน้ำเย็นมาก โอกาสเป็นช็อกโกแลตซีสต์ในมดลูกมีบานตะเกียง ไม่ใช่ว่าเย็นชื่นใจ กินเข้าไป เดี๋ยวก็ได้ผ่าตัด ให้ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องธรรมดา ๆ ไปเยอรมันเข้าไปดูในสำนักงานได้ ถึงเวลาเขาจะตั้งน้ำขวดลิตรครึ่งไว้ให้ทุกโต๊ะ ไม่มีการแช่เลย
ตอนไปประเทศจีน ญาติโยมไปสั่งชาไข่มุก ปรากฏว่าชาไข่มุกประเทศจีนเป็นชาร้อน ...(หัวเราะ)... ไม่มีน้ำแข็งให้ ยกเว้นแหล่งเที่ยวหลายที่ซึ่งคนไทยนิยมไปจะมีน้ำแข็ง แต่คนจีนไม่กิน คนจีนบอกว่าน้ำเย็นน้ำแข็งเป็นบ่อเกิดของโรค ไม่กินเด็ดขาด มีไว้ให้คนไทยกินโดยเฉพาะ อาตมาไปประเทศจีนนี่สบายมาก เพราะว่าปกติฉันแต่น้ำร้อน โดนน้ำเย็นไม่ได้ ไปที่โน่นทุกซอกทุกมุมเขามีเครื่องทำน้ำร้อนให้”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนที่ไปลงทะเบียนรับรางวัล เขามีหมอมาตรวจอุณหภูมิทุกคนที่จะเข้าไปในห้องประชุม ถ้าใครมีไข้ห้ามเข้า กลัวว่าจะเอาเชื้อโรคไปติดสมเด็จพระสังฆราช อย่าลืมว่าพระองค์ท่าน ๙๐ กว่าพรรษาแล้ว ถ้าไม่ถนอมให้ดี คนแก่ขนาดนั้นป่วยไปทีหนึ่งนี่โทรมไปนานเลย”
ถาม : เดี๋ยวนี้แค่ขึ้นบันไดก็หอบแล้วค่ะ ?
ตอบ : ธรรมดา... ชะราธัมมาหิ ชะรัง อะนะตีโต ตัวนี้ผิด ต้องเป็น ชะราธัมเมหิ ชะรัง อะนะตีโต คราวนี้คนไม่เป็นบาลี ไม่รู้ว่า เอหิ เอรัง เอโถ เอยยะวะโห ก็เลยกลายเป็น ธัมมาหิ ในเมื่อเป็น เอหิ ก็ต้อง ธัมเมหิ คือกฎเกณฑ์ไวยากรณ์เขามี
แต่ก็มีที่แหกคอกนอกกฎเกณฑ์เยอะแยะไป เนื่องจากว่าสภาพของชมพูทวีปใช้หลายภาษา แต่ว่าปัจจุบันสันสกฤตเป็นหลัก เพราะฉะนั้น..ภาษาบาลีที่ใช้จารึกพระไตรปิฎกบางที่มีสันสกฤตแทรกอยู่ ในเมื่อแทรกอยู่แค่คำสองคำก็ปล่อยเขาเถอะ
พระอาจารย์กล่าวถึงแก้วอินทนิล “ถ้าเอาออกขายนี่ไม่รู้ราคาเท่าไรเลย เพราะว่าเคยถามเขามา น่าจะถึง ๓๐ ปีแล้ว ตอนช่วงนั้นมรกตกะรัตละ ๘ หมื่นบาท ต่อให้ราคาเดิมก็เถอะ ใหญ่ขนาดนั้นนี่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร
นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่พระท่านให้เอาออกมาใช้งาน เพราะว่างานของท่านอาจารย์มหาเอท่านสำคัญมาก คือหาทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขาม ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าญาติโยมไม่คล่องตัวก็แย่ อะไรที่ช่วยได้ท่านก็ให้ช่วย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของเงินสงฆ์นี่ลำบาก พลาดบาทเดียวก็ซวยไม่รู้จบ อาตมาเองหมดอยากในเงินทองอย่างสิ้นเชิงก็ครั้งที่นับเหรียญที่วัดท่าซุงนั่นแหละ ตั้งแต่สี่ห้าโมงเย็นไปเสร็จเอาตีสอง..! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ๓๐ กว่าปีนี่ไม่แลเงินเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อากาศจะยังทรงตัวนิ่ง ๆ ไปอีกหลายวัน ใครที่ยังไม่คิดจะใส่เสื้อกันหนาวก็รีบเอาออกมา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่มีโอกาสใส่..! บ้านเราฤดูกาลผีเข้าผีออก
สหรัฐอเมริกากับออสเตรเลียไฟป่าไหม้ หลายประเทศแผ่นดินไหว แม้กระทั่งลาวและบ้านเราก็แผ่นดินไหว แต่บางพื้นที่หิมะตกท่วมสูงเป็นเมตร เป็นลักษณะของโลกที่กำลังเยียวยารักษาตัวเองอยู่ ดังนั้น..อย่าทำร้ายโลกมากเกินไป
คนรุ่นเก่า ๆ โดยเฉพาะชาวป่าชาวเขาให้ความเคารพแม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย แม่โพสพ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ในเมื่อเขาให้ความเคารพ ถึงเวลาปฏิบัติด้วยความเกรงใจ ก็ไม่ทำลายธรรมชาติมากจนกระทั่งเสียหายอย่างทุกวันนี้ สมัยนี้ไม่ไหว ประเภทบุกรุกป่าไม่รู้กี่ร้อยไร่ ส่งคืนเป็นอันว่าหมดความผิด ทุเรศมากเลย เอ๊ะ...เกี่ยวกันหรือเปล่าหว่า..!?”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเจอธนบัตรรุ่นนี้ใหม่ ๆ ก็เก็บไว้บ้างนะ ข้างหลังเขาเขียนว่า โทษฐานปลอมแปลงธนบัตร คือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูง ๒๐ ปี และปรับอย่างสูงสี่หมื่นบาท เป็นรุ่นที่ออกมาแวบเดียวแล้วก็หมด เพราะข้อความที่ถูกต้องเขาบอกว่า การปลอมแปลงธนบัตรเป็นความผิด ต้องระวางโทษตามประมวลกฎหมายอาญา...แค่นี้ ถ้าใครเจอรุ่นนี้ก็เก็บ ๆ ไว้บ้าง เพราะว่าเป็นของหายาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้จะมีพยุหยาตราทางชลมารค เสด็จเลียบพระนคร ปกติการเสด็จเลียบพระนครส่วนใหญ่ไปทางสถลมารค...ทางบก ชลมารค...ทางน้ำ นี่น่าจะเป็นครั้งแรก เพราะว่าการเสด็จเลียบพระนครนั้นวัตถุประสงค์แต่ดั้งเดิม ๒ อย่าง อย่างแรกคือเหมือนกับตรวจพื้นที่ พื้นที่ภายใต้การปกครองมีกว้างยาวเท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไร ประการที่สองก็เพื่อที่จะได้ดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน อยู่ดีกินดีหรือลำบากยากจนอย่างไร จะได้ให้การช่วยเหลือแก้ไขได้ถูก
สมัยก่อนพระราชาเสด็จ ต้องเรียกว่าปะปนกับชาวบ้านทั่วไปเพื่อไปดูงาน ลักษณะเดียวกับรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้น แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ระบุเอาไว้ ที่กล่าวถึงบุคคลผู้นอนไม่หลับมีกี่ประเภท
บุคคลผู้นอนไม่หลับ ประกอบไปด้วย
๑. ชายผู้ครุ่นคิดถึงหญิง
๒. หญิงผู้ครุ่นคิดถึงชาย พอกันทั้งคู่
๓. โจรร้ายผู้ประสงค์ต่อทรัพย์ ตั้งใจจะขโมยเขา หลับไม่ได้ หลับก็ไม่ได้ขโมย
๔. พระราชาผู้ขยันเสด็จออกประกอบราชภารกิจ ตรวจงานกลางคืน กลางวันผู้คนมากหน้าหลายตา ไปไม่สะดวก อาจจะมีการปองร้ายกันด้วย
๕. ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ลุกขึ้นเจริญกรรมฐานหวังความหลุดพ้น
เห็นมีข่าวตลก ๆ ของต่างประเทศหลายที่ เข้าไปขโมยของเสร็จแล้วนอนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งเจ้าของบ้านเรียกตำรวจมาลากตัวยังไม่อยากจะตื่น อย่างนั้นต้องบอกว่าเป็นขโมยแล้วไม่รุ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รอบนี้ไปภูเก็ต คณะของสตูลบอกว่านิมนต์แวะสตูลด้วย อื้อหือ...ภูเก็ต - สตูล ไม่รู้จะไปทางไหนดี เพราะว่าภูเก็ตวิ่งมาสตูล ก็นั่งรถอ้วกกันพอดี แต่ว่าโยมที่นั่นก็มาก...ในเมื่อจำเป็น ไกลก็ไกลวะ...!
ระยะหลังเวลามีน้อยลงไปเรื่อย ๆ ไม่เหมือนก่อนที่เลาะไปแทบทุกจังหวัดได้ ลงไปหาดใหญ่รอบนี้ ญาติโยมทางสตูล ภูเก็ต กระบี่ ยะลา ปัตตานี หรือแม้กระทั่งทางด้านบนอย่างนครศรีธรรมราช พัทลุง ก็แวะลงไป ถ้าไม่เช่นนั้นสมัยก่อนก็แวะลงนครศรีธรรมราชแล้วค่อย ๆ เลาะลงไปทีละจังหวัด สมัยนี้เวลามีน้อย จังหวัดไหนมีสนามบินก็ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าไม่มีสนามบินอาตมาก็ไม่ได้แวะ โดยเฉพาะโยมทางปัตตานีกับนราธิวาส น่าเป็นห่วงมาก เพราะว่าอยู่ในพื้นที่ล่อแหลม ปัตตานี ยะลา นราธิวาส นี่อย่างไรเขาก็จะเอาให้ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ปิดกระทู้ร่วมสร้างเมรุวัดปรังกาสี เพราะว่าได้เงินตามที่ต้องการแล้ว คือ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ปิดกระทู้สร้างพระจุฬามณีเจดีย์สวรรค์ เพราะว่ายอดที่ท่านระบุไว้ว่า ๒ ล้านบาท ตอนนี้ได้ล้านกว่า ๆ ลงยอดไป ๒ ล้านบาท ขอควักกระเป๋าเองนิดหนึ่ง
ส่วนที่เปิดใหม่ก็คือกฐินปลดหนี้ ตั้งใจว่าจะไปช่วยสร้างพุทธมณฑลปัตตานี แต่เจ้าคุณชรัชท่านยังสองจิตสองใจอยู่ ท่านขอไปเกลี้ยกล่อมเจ้าภาพ เพราะว่าวัดตานีนรสโมสรเป็นวัดหลวง ถึงเวลากฐินหลวงจะมาโดยหน่วยราชการ อาตมากำหนดวันเวลาตายตัวไป ถ้าเกิดว่าทางหน่วยราชการเขาไม่สะดวก มาไม่ได้ ก็แปลว่าแห้ว..! ก็เลยยังไม่ได้ลงไว้ว่ากฐินปลดหนี้จะไปที่ไหน เพราะว่ามีแต่เวลาคือ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันที่ ๒๓ เป็นวันหยุด ถ้าหากไปปัตตานีเราเดินทาง ๒๓-๒๔ ไปถึงทอดกฐินเดินทางกลับ วันที่ ๒๕ จะกลับถึงกรุงเทพฯ ก็จะสะดวกกับคนที่วันหยุดมีน้อย
แต่คราวนี้ของท่านก็ต้องไปลุ้นกัน หน่วยราชการพอเอากฐินหลวงไปก็มักจะใช้วันทำงานปกติ เพราะว่าจะได้อู้ไปวันหนึ่ง ส่วนวันหยุดเก็บไว้ใช้ตามปกติของตัวเอง จะได้ไม่เสียวันหยุด จึงตั้งใจเอาไว้แค่นั้นก่อน ถ้าหากว่าได้ตามที่ต้องการ งานทางปักษ์ใต้ก็จะได้สะดวกขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการ ยังไม่ได้ดูว่าคิวถัดไปคือวัดอะไรเพราะตอนนี้คิวยาวประมาณ ๓ กิโลเมตร น่าจะคิวยาวพอกับกฐินวัดปากน้ำ
กฐินวัดปากน้ำเจ้าภาพจองล่วงหน้าไป ๓๐๐ กว่าปี มีเจ้าภาพทุกปี ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่า ถ้าตายก่อนก็จะสั่งลูกสั่งหลานรับเป็นเจ้าภาพต่อ พ.ศ.นั้น พ.ศ.นี้ กฐินปลดหนี้ของอาตมา ถ้าอาตมาตายก่อนก็จบเลย ไม่มีใครทำต่อ หรือถ้ามีคนทำต่อก็ขออนุโมทนาด้วย
คราวนี้เราตั้งไปสร้างพุทธมณฑลปัตตานี ต้องเห็นกำลังใจท่านเจ้าคุณชรัช นอกจากท่านกล้าลงไปในพื้นที่ซึ่งช่วงนั้นกำลังเดือดแล้ว ท่านยังกล้าสร้างพุทธมณฑลปัตตานี ในพื้นที่ที่ซึ่งเป็นอิสลาม ๙๐ เปอร์เซ็นต์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยพัฒนาไม่ทันใคร เพราะว่าคนไทยไม่ชอบนั่งข้างหน้า ถึงเวลาก็ย่องอยู่แต่ข้างหลัง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีคำพูดติดปากว่า มาก่อนนั่งข้างหลัง มาทีหลังนั่งข้างหน้า ส่วนอาตมาตั้งแต่เด็กก็เป็นเด็กหน้าห้อง ไม่ใช่เด็กหลังห้อง เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็กหลังห้อง แม้กระทั่งมาเรียนปริญญาก็เป็นเด็กหน้าห้อง ไปนั่งกดดันอาจารย์..!"
พูดถึงการรับรางวัล "มาออกดอกออกผลช่วงนี้ ทุกหน่วยงานที่เคยร่วมงานกัน เขาเห็นว่าสมควรจะได้ พระที่วัดท่านถามว่าเหนื่อยมา ๓๐ กว่าปี คุ้มหรือกับรางวัลแค่นี้ ? ก็บอกว่ารางวัลที่ได้มาจะคุ้มหรือไม่คุ้มก็ตาม ส่วนหนึ่งก็คือเขาเห็นแล้วว่าสิ่งที่เราทำเพื่อประโยชน์คนอื่นจริง ๆ เพราะว่าต่อให้เขาจะให้รางวัล หรือว่าไม่ให้รางวัล เราก็ต้องทำ
เรื่องของการทำดี ถ้าเราทำเพราะอยากทำจะทำได้ทน ทำได้นาน ถ้าทำดีเพราะอยากดี ถึงเวลาดีไม่ตอบเราก็จะหมดกำลังใจ รางวัลพวกนี้เอาไว้สำหรับพวกหมดกำลังใจง่าย ๆ แต่บังเอิญว่ามาลงตรงนี้ก็รับ ๆ ไปเถอะ อาตมาได้เยอะเกินไปจนเพื่อนเขาหมั่นไส้ ถามว่ามึงจะเอาตู้ที่ไหนมาเก็บ ?
รางวัลหน่วยอบรมประชาชนดีเด่นได้มา ๓ ปี รางวัลสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดดีเด่น ๕ ปี ต้องสละให้เขาไป ๔ ปี เพราะว่าหลวงพ่อวัดพระแท่นดงรังท่านมาปรึกษา “อาจารย์เล็ก ขอให้วัดที่ยังไม่เคยได้บ้าง” อาตมากราบเรียนว่า “ได้ครับ...ก็เปลี่ยนชื่อให้ท่านไปเลย” จำได้ว่าให้วัดเหนือไป ให้วัดใหม่เจริญผลไป ให้วัดทุ่งมะสังไป ให้วัดอุดมมงคลไป มาปีนี้เขาบอกว่าอย่างไรอาจารย์เล็กต้องรับนะครับ เพราะว่ามาทีไรก็ชื่อวัดท่าขนุนทุกที เอ้า...รับก็รับ"
"วัดท่าขนุนได้ระดับประเทศมาแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ เป็นรางวัลสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งระดับประเทศนี่ สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดมี ๑,๕๐๐ เกือบ ๑,๖๐๐ แห่ง มีแค่ประมาณ ๒๐๐ กว่าแห่งภายใน ๕-๖ ปีที่เขาให้มา นี่ก็เลยว่าในเมื่อเป็นระดับจังหวัด เราก็สละให้วัดอื่นที่เขาทำงานอยู่ ปรากฏว่าปีนี้เขาบอกว่าไม่ได้ อย่างไรก็ต้องเอา
เรื่องของการทำงานได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัล ด้วยนิสัยเฉพาะตัวอาตมาก็ทำ รางวัลได้มาไม่ใช่ตัวเองดีใจนะ กลายเป็นญาติโยมกระตือรือร้นกันขึ้นมาอีกเยอะเลย เพราะเห็นว่าทำแล้วได้ เดี๋ยวนี้งานชุมชนคุณธรรมคึกคักกันมาก ช่วงนี้สำรวจทางรถไฟสายมรณะ ผลงานออกมา ๔๐๐ กว่าหน้า มีทั้งสัมภาษณ์มีอะไรเต็มไปหมด บอกเขาว่า เฮ้ย...เดี๋ยวตอนเกลางานชุดสุดท้ายใส่ชื่อหลวงพ่อลงไปด้วย เดี๋ยวหลวงพ่อจะไปส่งเป็นงานวิจัยของตัวเอง อาตมาเป็นประธานคณะหาข้อมูลอยู่แล้ว
พวกเขาที่กระตือรือร้นเพราะว่างานหลายส่วนต้องใช้งบประมาณ อย่างการเดินทางมาหาข้อมูลในกรุงเทพฯ พวก Documentary ก็ทำทางด้านนี้ ด้านโน้นก็ลงสำรวจพื้นที่ ไปสัมภาษณ์คนเก่าคนแก่ พอถึงเวลาตั้งเป็นคณะทำงานก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าพาหนะ ฯลฯ บางคนก็ทำด้วยใจจริง ๆ ให้อะไรก็ไม่เอา บอกว่าอยากทำ เกษียณแล้วนั่งเซ็ง ๆ เจอบุคลากรแบบนี้พอถึงเวลาทำงานแล้วได้รางวัลอะไรมา เขาก็ตื่นเต้นกัน"
"อย่างรางวัลที่จะรับวันอาทิตย์นี้เป็นรางวัลหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ แล้วก็รางวัลช่วงที่ผ่านมามีรางวัลชุมชนคุณธรรมต้นแบบ ต้องเป็นการร่วมมือทั้งหมดของบ้าน วัด โรงเรียน แล้วก็ราชการ มีมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้พอเขาสรุปงาน เขาก็ว่างานของวัดท่าขนุนทุกภาคส่วนมาหมด
ทุกภาคส่วนมาหมด ก็คือทางส่วนราชการเขานำ อย่างผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอเป็นคนออกหนังสือเอง ออกหนังสือเรียกทั้งหมดไปรวมกันเลย ถึงเวลาประธานคณะกรรมการตรวจสอบถามผู้ว่าฯ งานตรงส่วนนี้เป็นอย่างไร ? ถามนายอำเภอ ถามนายกเทศมนตรี ถามกระทั่งหมอ มีคนไข้ติดเตียงกี่คน ? คนไข้ติดเตียงประเภทอยู่บ้าน ไม่อยู่วัดมีไหม ? เขาตอบได้หมดเพราะข้อมูลเขามี อาตมาไม่ต้องไปเสียเวลาไปเตี๊ยมกับเขาเลย เพราะว่าทำกันมานานแล้ว
ถึงเวลาก็ไปเยี่ยมให้กำลังใจเขา เพราะว่างานนี้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอวัดหินแหลม ผ่านมาถึงเจ้าคณะอำเภอวัดเหมืองปิล็อก แล้วก็มาปัจจุบันนี้ ส่วนอาตมาทำมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว ท่านตั้งให้เป็นประธานการสาธารณสงเคราะห์คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็ต้องไปดูไปแลเรื่องพวกนี้"
"มันแค่ถึงเวลาแล้วเขายืนยันผล ที่น่าปลื้มใจที่สุดก็คือปีใหม่ไม่มีคนกินเหล้า เข้าวัดสวดมนต์กันเกิน ๘๐% ที่เหลืออาจจะไปเยี่ยมญาติพี่น้องบ้างอะไรบ้าง หรือไม่ก็ดูงานที่อื่นบ้าง แต่ถ้าในพื้นที่นี่เข้าวัดสวดมนต์กัน
เดี๋ยวนี้พวกเราสู้คนพื้นที่เขาไม่ได้แล้วนะ อย่าลืมว่าจัดสวดมนต์ข้ามปีครั้งแรกประมาณปี ๒๕๕๒ - ๒๕๕๓ คนกรุงเทพฯ เกือบทั้งหมด คนพื้นที่มีน้อย แต่เดี๋ยวนี้ของเราคนกรุงเทพฯ เหลือน้อยกว่าคนพื้นที่เยอะ ทำไป ๆ พอชาวบ้านเขาเห็นว่าทำเพื่อเขาจริง ๆ ถึงเวลาเขาก็ไปวัดกัน"
"โดยเฉพาะงานตลาดชุมชนที่ตอนนี้กำลังจะซื้อเครื่องอัดวัสดุธรรมชาติที่ทำเป็นจานเป็นชาม ฯลฯ เขาจะใช้พวกใบสัก ใบตอง พวกกาบหมาก ฯลฯ มาทำเป็นวัสดุใช้งานที่ย่อยสลายได้ เครื่องหนึ่งประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท ตอนนี้ ๓ ชุมชนรอบวัด ไม่ว่าจะเป็นวังท่าขนุน พัฒนาทองผาภูมิ ริมฝั่งแควน้อย กะว่าจะเอาไปชุมชนละ ๑ เครื่อง
เสร็จแล้วคุณก็หาคนที่ยังไม่มีงานเป็นชิ้นเป็นอันมาสัก ๓ คนต่อชุมชน ไปอบรมเผื่อผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำ แล้วตอนนี้สินค้าหมด เขาสั่งจนผลิตไม่ทัน ในเมื่อเขาสั่งจนผลิตไม่ทัน เขาก็บอกมาทางนี้ว่า ถ้าชุมชนของเราซื้อเครื่อง เขายินดีรับซื้อผลงานทั้งหมดเลย พูดง่าย ๆ คือยังไม่ทันจะทำเลยเขาจองซื้อกันแล้ว ก็จะช่วยให้ชุมชนเขามีงานทำ ถึงเวลามีรายได้ขึ้นมาก็รู้จักเข้าวัดกันเอง คนเราถ้าลำบากเรื่องการทำมาหากิน จะเอาเวลาที่ไหนไปเข้าวัด ?"
"ตอนนี้ก็เริ่มโครงการใหม่ เพิ่มเครื่องฟอกไตให้โรงพยาบาล แล้วคราวนี้บอกเขาจะเอาราคาแพงแล้ว เครื่องละ ๕๐๐,๐๐๐ กว่าบาท เขาบอกว่าฟอกไปแล้ว คนฟอกไตหมดเรี่ยวหมดแรงไปเกือบ ๒ วัน ส่วนเครื่องเป็นล้านเขาบอกว่าออกจากเครื่องมาทำงานต่อได้เลย
อาตมาบอกกับ ผอ. โรงพยาบาลว่า เต็มที่ไปเลย เดี๋ยวหลวงพ่อหาสตางค์ให้เอง เขาก็พยายามจะไปทำโครงการฟอกไตให้ใช้ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เขาบอกว่ายื่นเรื่องไปตั้งแต่ห้องฟอกไตเรายังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จนป่านนี้กระทรวงยังเงียบอยู่เลย จึงบอกว่าให้กระตุ้นซ้ำไปอีกหน่อยก็แล้วกัน เพราะว่าของเราถ้าเต็มที่ ๑๒ เตียงก็มีเท่ากับโรงพยาบาลใหญ่ ๆ เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้สงฆ์ติดหนี้อาตมาเยอะเลย เงินส่วนตัว ทองส่วนตัว เอาลงไปใช้งานสงฆ์จะหมดแล้ว ตอนนี้ที่รีบ ๆ อยู่นี่ก็คือเงินสร้างจุฬามณีเจดีย์สวรรค์ที่วัดเขาทำเทียม เพราะว่าหลวงพ่อท่านดูท่าสุขภาพไม่ดี
ช่วงนี้หลวงปู่แก่นมรณภาพ หลวงปู่พร้า วัดโคกดอกไม้ วันก่อนก็หลวงปู่ชุ้น วัดวังตะกู ระดับ ๙๔-๙๖ ปี หลวงปู่วัดป่าเลไลยก์ท่านเพิ่ง ๘๕ ปี ตอนแรกท่านบอกว่า "ข้าจะอยู่ ๑๒๐ ปี ต้องหางานทำเอาไว้ จะได้มีกำลังใจอยู่" งวดล่าสุดที่ท่านไปวัดท่าขนุน เห็นเดินแล้วหอบ กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อ..ถ้า ๑๐๘ ปีนี่คงไม่มีปัญหาใช่ไหม ?" ท่านบอก “มีนิดหน่อยแล้วว่ะ..!" บอกว่าแค่ ๘๕ ก็เดินแล้วหอบ ศาลาวัดเราดูเหมือนกับไม่ใหญ่ แต่ความจริงแล้วใหญ่มาก"
"พอถึงเวลาเดินเข้าไป กว่าจะถึงที่นั่ง...นั่งหอบเลย กราบเรียนท่านว่า จะรีบเอา ๒ ล้านไปถวายท่านก่อน ปกติแล้ววันเกิดท่านคือ ๔ มกราคม แต่คราวนี้ ๔ มกราคมเป็นวันรับสังฆทานที่นี่ คงจะต้องหาจังหวะไปถวายท่านก่อนหน้านั้น ก็คือพอถวายแล้วท่านเข้าบัญชีไปแล้วก็จบเลย เพราะว่าเวลาช่างเขาทำ คนอื่นเขาก็จ่ายเงินในบัญชีได้ แต่ถ้าท่านมรณภาพก่อนแล้วค่อยถวาย ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน
ตอนสร้างพระใหญ่ถวายท่านไปหนึ่งล้านบาท มางวดนี้ท่านเห็นสร้างวิทยาลัยสงฆ์ ท่านบอกว่า “เอ็งให้วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ๑๐ ล้าน ข้าขอล้านเดียวว่ะ” ก็ถามท่านว่าหลวงพ่อจะทำอะไร ? “จะทำจุฬามณี” ท่านช่างคิดนะ จุฬามณีเท่ากับเป็นมงกุฎของพระใหญ่ เราคิดอย่างท่านไม่ได้ ยังกราบเรียนท่าน บอก "แบบหลวงพ่อผมทำไม่ได้" ท่านบอก “แกทำได้ พระใหญ่ข้าแค่ ๘๐ ล้าน แกสร้างพระทองคำไปตั้ง ๑๐๐ กว่าล้าน” “ผมทำไม่ได้จริง ๆ ครับ มีเงินแล้วไม่มีสถานที่ จะไปทำตรงไหน ?”
ของหลวงพ่อท่านหาเงินได้ ท่านมีสถานที่ อาจจะเป็นเพราะว่าท่านไปเหนื่อยตรงนั้นมากก็เลยทำให้ร่างกายเสื่อมเร็ว..พักผ่อนไม่พอ เพราะว่าต้องวิ่งหาเงินให้เขาเดือนหนึ่ง ๒-๓ ล้านบาท ตอนแรกก็ยังกราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อ..จุฬามณีราคาแค่ ๒ ล้าน ๓ วันก็พังแล้ว” “เฮ้ย...คนของข้าเก่ง เขาทำดี เพียงแต่เขาคิดราคาถูก เพราะว่าเขาได้จากข้าไปเยอะแล้ว” ท่านก็ช่างคิด “ก็ในเมื่อเขาระเบิดพระใหญ่ที่บามิยันไป ข้าก็ต้องสร้างใหม่”
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง เพราะว่า รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี มาตรวจโครงการทุนเล่าเรียนหลวง ก็เลยพูดไปหลายเรื่อง บอกเขาว่า "อาตมาพูดแรงนะ โยมต้องทำใจ"
คำว่า หลวง ในความรู้สึกของชาวบ้านทั่ว ๆ ไปก็คือ ถ้าไม่ใช่ในหลวงก็ต้องเป็นราชการ แต่ปัจจุบันนี้โครงการทุนเล่าเรียนหลวงของคุณ พระทุกวัดต้องจัดทอดผ้าป่า เอาเงินเข้ากองทุนเล่าเรียนหลวง นั่นใช่หรือ ? ก็กลายเป็นโครงการวัดช่วยวัดสิ ถ้าคุณจะจัดในลักษณะขอให้วัดช่วยก็ได้ แต่ต้องให้วัดหลวงเท่านั้น เพราะว่าวัดหลวงทุกวัดกว่าจะผ่านการพิจารณา ต้องบอกว่าสมรรถภาพเขามีเพียงพอที่จะช่วยเหลือตรงนี้
อย่างทองผาภูมิของอาตมา วัดสุดท้ายห่างจากจุดศูนย์กลางการปกครอง ๘๗ กิโลเมตร นั่งรถขับเคลื่อน ๔ ล้อเข้าป่าเข้าดงไปเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง แล้วบางช่วงขนาดมีรถขับเคลื่อน ๔ ล้อยังติด เข้าไม่ได้ จัดเทศน์แต่ละทีมีโยมมา ๕-๑๐ คน คนทำบุญมา ๒๐๐-๓๐๐ บาท แทนที่จะเป็นค่าน้ำค่าไฟของวัด ต้องเอามาเข้ากองทุนเล่าเรียนหลวง แบบนี้คุณว่าใช่ไหม ?"
"ตัวต้นโครงการคุณอยู่กรุงเทพฯ คุณเคยดูไหมว่าพวกอาตมาต่างจังหวัดอยู่ยากกันขนาดไหน ? ไม่ใช่เอาความสะดวกสบายของกรุงเทพฯ มาวัด แล้วก็ให้ทุกวัดช่วยกันจัดผ้าป่าเอาเข้ากองทุนเล่าเรียนหลวง
เขาบอกว่าเขาไม่เคยมีข้อมูลตรงนี้เลย ก็บอกไปว่าคนอื่นเขาไม่กล้าพูด แต่ว่าอาตมาไม่ใช่ อาตมาไม่ได้หวังอะไรและไม่กลัวการถอดยศด้วย เพราะฉะนั้น..จึงกล้าพูด ให้เอาข้อมูลนี้ไป ถึงเวลาแล้วให้นำเสนอในที่ประชุมด้วย
ประการที่ ๒ ถึงเวลารับทุนเล่าเรียนหลวง อาตมามีพระลูกศิษย์ได้รางวัลหลายรูป แต่ทุกรูปไม่รู้เรื่องเลย ในวันรับทุนเล่าเรียนหลวงทุกคนยังเรียนอยู่ แต่มีคนรับทุนไปเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ? เขาก็เลยบอกว่าตรงนี้เขากำลังหาวิธีแก้ไขอยู่เหมือนกัน ใครก็ตามที่ได้ทุนเล่าเรียนหลวง จะให้ส่งหมายเลขบัญชีเฉพาะตัวเข้ามา แล้วทางโครงการฯ โอนเข้าตรงไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็แก้ปัญหาได้
ก็เหลือฝากอยู่เรื่องเดียวก็คือเรื่องนี้ เรื่องที่ว่าให้พระช่วยกันทอดผ้าป่าเพื่อเอาเข้ากองทุนเล่าเรียนหลวง อาตมาว่าไม่ใช่ คุณต้องเอาจากส่วนราชการทุกส่วน หรือไม่ก็เป็นทุนพระราชทานมาโดยตรง ถึงจะเป็นทุนเล่าเรียนหลวง ถ้าจะเอาจากวัดก็ต้องเอาจากพระอารามหลวงเท่านั้น"
"อาตมาเองอยู่ที่ไหนคนเขาก็ไม่ค่อยชอบหน้า เพราะว่าไปใส่เขาตรง ๆ เสียทุกที่ แต่ถ้าไม่พูดก็จะคาราคาซังอยู่อย่างนั้น จึงต้องเสียสละตัวเอง คนที่ไม่หวังยศไม่หวังตำแหน่ง ไม่กลัวผลกระทบ จะกล้าพูดกล้าทำ แต่ถ้าคุณหวังยศ หวังตำแหน่ง หรือกลัวผลกระทบ ว่าถึงเวลาจะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเขา เขาก็จะไม่แตะกัน
จริง ๆ แล้วเขาบอกว่า ไม่เคยมีคนรายงานข้อมูลนี้ให้เขาเลย เขาไปตรวจงานมาหลายที่แล้ว ไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับเขาเลย อาตมาเลยบอกเอง เพราะว่าคนอื่นเขาไม่กล้าพูด
คิดดูว่าต่างจังหวัด พอถึงเวลาทางอำเภอรวบรวมเงินกันมาได้ ๓,๐๐๐ บาท แล้วก็เอาเข้ากองทุนเล่าเรียนหลวง น่าภูมิใจมากเลยหรือ ? ๓,๐๐๐ บาทนี่ในกรุงเทพฯ วัดเดียวก็ได้แล้ว แล้วคิดดูว่าทั้งอำเภอแต่ละอำเภอเฉลี่ยประมาณ ๕๐ วัด เงิน ๓,๐๐๐ พอหารดูแล้วเหลือเท่าไร ? ก็เหลือวัดหนึ่งแค่ไม่กี่สิบบาท แล้วเขาเองอยู่กันลำบากขนาดนั้น คุณยังไปเอาได้ลงคอ..!"
"รุ่นอาตมาอยู่นี่หลวงพ่อพรหมดิลก สมัยนั้นยังเป็นพระเทพสุธี ไปถึงไหนก็พูดถึงนั่นเลย บอกว่าผมไม่เคยรู้เลยว่าลูกน้องผมอยู่กันลำบากขนาดนี้ ท่านจะชี้มาที่อาตมาเสมอ "ถ้าไม่ได้ท่านเล็กนี่ผมไม่รู้จริง ๆ นะ ท่านพาไปอยู่ริมเขื่อนนั่งแพ โอ้โฮ...วิวสวยโคตร ผมก็ปลื้มใจ ที่ไหนได้..พอขึ้นจากแพ พานั่งรถขับเคลื่อน ๔ ล้อเขย่าไปอีกเกือบ ๒ ชั่วโมง เขย่าจนผมจะหลุดเป็นชิ้น ๆ" นั่นท่านไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเราอยู่กันลำบากขนาดนี้
กราบเรียนว่า "นั่นแหละครับ เป็นเจตนาของผมเลย ที่ผมจัดอบรมพระนวกะในที่ลึก ๆ เพื่อให้หลวงพ่อได้รู้ว่าพวกผมอยู่กันลำบากแค่ไหน ต่อไปจะได้ไม่เอาแต่สั่ง ๆ ๆ" เอาให้เข็ด..เจ้านายไปที่ไหนก็พูดถึงที่นั่น
ปัจจุบันนี้หลวงพ่อพระธรรมโพธิมงคล หลวงพ่อเจ้าคุณสมควร เป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านอยู่วัดนิมมานรดี ท่านมีแนวคิดว่าท่านจะไปเยี่ยมวัดให้ครบทุกวัด ไม่ว่าพื้นที่จะลำบากแค่ไหน จนป่านนี้ท่านเป็นจนกระทั่งหมดวาระไปรอบกว่าแล้วยังไปได้ไม่ทั่วเลย"
"อยู่ ๆ ท่านก็ไปเดินโย่ง ๆ อยู่ในวัดท่าขนุน อาตมาเองก็ เฮ้ย...เจ้านายมา ก็วิ่งเข้าไปถวายความเคารพ เรียกพระเณรมากราบ ท่านบอกว่า "ไม่ต้อง..ใครทำอะไรให้ทำไป ผมแค่มาดูว่าคุณทำอย่างที่ผมบอกไว้หรือเปล่า"
ท่านมาตรวจงานที่ท่านสั่งเอาไว้ พอถึงเวลาออกจากของเราไป ท่านไม่ได้ขึ้นสังขละบุรีนะ ถึงเวลาส่งไลน์บอกเจ้าคณะจังหวัดท่านไปดักรอ หลวงพ่อเจ้าคณะภาคท่านเลี้ยวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า "พวกคุณถึงเวลาก็โทรบอกกัน ส่งไลน์บอกกัน ถ้าผมขืนไปตามเส้นทางนี่ พวกคุณก็เอาผักชีมาโรยหน้าให้ผมดูเท่านั้นเอง" ท่านนึกจะไปทางไหนท่านก็เลี้ยวไปเลย
ได้เจ้านายแบบนี้ต้องบอกว่าไม่รู้ว่าสร้างบุญมาแต่ชาติไหน ท่านไปเป็นประธานเปิดงานประชุมพระนวกะที่วัดท่าขนุน ถวายปัจจัยไทยธรรม ท่านบอกว่า “ไม่ต้อง..ผมมีมากแล้ว ถ้าคุณขาดอะไรให้บอก ไปเอาที่ผมได้” แล้วจะไปหาเจ้านายดี ๆ อย่างนี้ได้จากไหน ? เป็นที่รู้กันเลยว่านิมนต์ท่านมาไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องถวายกระเช้า ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น แล้วถ้าขาดอะไรให้บอกท่าน ถ้าขาดคนท่านหาคนมาช่วย ถ้าคุณบวชสามเณรภาคฤดูร้อนขาดผ้าไตรจีวร เดี๋ยวท่านส่งมาช่วย แล้วที่แน่ ๆ ถ้าขาดสตางค์ก็บอก เดี๋ยวท่านหามาให้"
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปพุทธาภิเษกวัตถุมงคลให้ที่สยามประติมากรรม เขารวบรวมผลงานของบรรดาจิตรกร มัณฑนากร ฯลฯ เพื่อหาทุนช่วยสาธารณประโยชน์ ก็เลยช่วยเขาซื้อรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปหนึ่งรูป ๖๙,๐๐๐ บาท บอกว่าอาตมาขอใช้เงินส่วนตัวร่วมด้วย ขอซื้อรูปในหลวงรูปเดียวพอ
ตอนแรกก็สั่งเขาห่อ บอกว่าเอาขึ้นรถให้ที ปรากฏว่าขึ้นรถไม่ได้ ตอนที่แขวนอยู่ดูไม่ใหญ่ พอลงมาใหญ่กว่ารถอีก ท้ายสุดเขาก็เลยต้องส่งไปทางพวกสายส่งด่วน คราวนี้ตอนพุทธาภิเษกก็ขำ ๆ เพราะว่าเห็นในหลวงรัชกาลที่ ๙ มา แล้วอีกสักพักหนึ่งท่านกวนอูก็มาด้วย ก็ถามว่าแล้วคุณมาทำอะไร ? ท่านบอกว่าเจ้านายสั่งให้มา เจ้านายของท่านคือพระอินทร์ ท่านว่า "ยุคนี้เป็นยุคที่ต้องฟาดฟันกันครับ ผมเองคงจะมีความสามารถทางด้านนี้ เจ้านายท่านเลยให้มาช่วย" มีความยากลำบากในการทำมาหากิน จะให้ฝ่า ๕ ด่านประหาร ๖ ขุนพลหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? ท่านเล่นแบกง้าวมาเลย"
"แต่ง้าวในความคิดของเรากับของท่านไม่เหมือนกันนะ ง้าวของท่านเหมือนกับดาบขนาดใหญ่ แต่ด้ามยาว ๆ หน่อย ด้ามยาวประมาณเกือบ ๒ ช่วงแขน ไม่ใช่ด้ามยาวแบบง้าวที่เราเคยเห็น แต่ว่า โอ้โฮ...ตัวง้าวใหญ่มาก ๔๘ กิโลกรัมโดยประมาณ ถ้าไม่แข็งแรงจริง ๆ จะไปยกอะไรไหว แต่ท่านถือมือเดียวเลย ไอ้ ๔๘ กิโลกรัมนี่พวกเรา ๒ มือเอาขึ้นไหม ? คือ ๘๐ ชั่ง จิน (ชั่ง) ของคนจีนประมาณ ๖ ขีด เทียบเป็นของเราก็ ๔๘ กิโลกรัม
ที่ไปเมืองจีนมางวดนี้ก็เหมือนกัน ตรงโน้นก็ขายเป็นจิน ตรงนี้ก็ขายเป็นจิน คนไทยเราก็ไปบ่นทำไมไม่ขายเป็นกิโลกรัม ? ก็หน่วยของเขาเป็นแบบนั้น นึกเสียว่าคุณซื้อครึ่งกิโลกรัมหรือว่าซื้อกิโลกรัมจีนก็หมดเรื่อง"
ถาม : เพิ่งฝึกกรรมฐานไป จับลมหายใจไปตามที่บอก มีบางครั้งก็สวดภาวนาไปเฉย ๆ ก็ไม่ได้จับลมหายใจค่ะ อย่างนี้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาผลต้องอยู่กับลมหายใจ ถ้ารู้ตัวว่าคิดเรื่องอื่น ได้สติก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจใหม่ แรก ๆ จะไปตามความเคยชิน ก็คือฟุ้งไปทุกอารมณ์ คราวนี้พอเรามาบังคับให้อยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งก็ไปอีกแล้ว พอรู้ตัวก็ดึงกลับมา สักพักไปอีก เมื่อรู้ตัวก็ดึงกลับมา พอนานไป ๆ กำลังสมาธิเราเริ่มสูงขึ้น ก็จะอยู่ได้นานขึ้นเรื่อย ๆ
ถาม : ถ้าจับภาพพระ จำเป็นว่าเราต้องจับด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น แรก ๆ เอาแค่ลมหายใจอย่างเดียวก็ได้ หลังจากนั้นถ้าชำนาญขึ้น บวกคำภาวนาเข้าไปก็ได้ ถ้าชำนาญกว่านั้นก็บวกภาพพระเข้าไปด้วย เอาทีละขั้น เอาลมหายใจเป็นหลักก่อน ที่หลวงพ่อสอนนั่นพวกเขาระดับสุดยอดแล้ว อย่าเพิ่งไปยุ่งดีกว่า
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนคุณชนินทรบอกว่า พระไปบอกแนวปฏิบัติกับคาถา มั่นใจว่าจำได้ พอสว่างขึ้นมาหายหมดเลย ก็เลยบอกว่ากติกาเขามีอยู่ว่าถ้าสว่างแล้วจะลืม อาตมาโดนมาเองแล้ว ความจำดีแค่ไหนก็ลืม ลืมเกลี้ยงแบบลบทิ้งไปเลย"
ถาม : (เอาวัตถุมงคลมาให้ดู) น่าจะเป็นกระดูกนะครับ ?
ตอบ : กระดูกช้าง กระดูกซี่โครง โดยเฉพาะซี่สุดท้าย ซึ่งระยะหลังนี่เขาเอากระดูกวัวหรือกระดูกช้างมาหลอกว่าเป็นงาช้างน้ำ หลอกขายได้เฉพาะคนที่ไม่รู้
อันดับแรก ถ้าเขาตัดมาแค่ตรงกระดูกซี่โครง ก็จะตัน งาช้างถอดปลอกมาจะไม่ตัน ประการที่ ๒ ถ้าเขาตัดถึงกระดูกสันหลัง ตรงกระดูกสันหลังจะออกมาเป็นเหลี่ยม ๆ ไม่กลมเป็นธรรมชาติ เราก็ดันไปเชื่อ ถึงเวลามาก็เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้วกว่า ๆ ยาวสักศอก บอกว่าเป็นงาช้างน้ำ นั่นเป็นซี่โครงวัวหรือไม่ก็ซี่โครงช้าง ช้างน้ำจริง ๆ งาใหญ่สุดที่อาตมาเจอก็ประมาณปากกา แล้วลองดูสิ...ปากกากับซี่โครงนั่นต่างกันแค่ไหน
ช้างน้ำตัวใหญ่สุดก็ประมาณหมู ไม่ใช่หมูทั่ว ๆ ไปนะ ใครเคยเห็นหมูหลุมหมูดินของพวกแม้วบ้างไหม ? ตัวไม่ใหญ่หรอก เต็มที่ก็แค่นั้น ส่วนพวกตัวเล็ก ๆ ซน ๆ ที่ตัวประมาณหนูอะไรนั่นเป็นพวกลูกช้างน้ำ เจออะไรก็ซนไปเรื่อย ลูกสัตว์เขาไม่กลัว ไม่เหมือนตัวใหญ่ ตัวใหญ่เจอคนก็จะหลบ พวกลูก ๆ นี้เผลอก็โดนจับ
ต้องถามท่านอาจารย์เต้ วัดพุน้ำร้อน สมัยเด็ก ๆ แม่ของท่านช้อนใส่กะละมังให้เล่น ท่านบอกว่าตอนแรกก็สงสัยว่าตัวอะไร ว่ายน้ำได้แต่มี ๔ ขา แม่บอกว่าช้างน้ำ แต่ว่ามีชื่อเฉพาะของทางด้านกะเหรี่ยง อาตมาก็จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร ช้างทั่วไปเรียกกระชอ ไอ้นั่นกระชอที้กระมัง ? ช้างน้ำ
ถาม : คำว่า ทิ คือ ?
ตอบ : ทิ ก็อย่าง องทิ คือคำว่าน้ำ เป็นภาษากะเหรี่ยง ทีลอซู แปลว่าน้ำตกใหญ่ ที้หล่อ คือน้ำตก คนไทยออกเสียงไม่ตรง คำว่า ชู ก็ออกเสียงไม่ได้ กลายเป็นทีลอซู
ถาม : จะมีเหตุหรือปัจจัยอะไรไหมครับ ที่ทำให้คนเราอดทนมากขึ้น ?
ตอบ : อันดับแรก ผ่านการฝึกฝนมา อันดับที่ ๒ กำลังใจ สมาธิสูงเท่าไรก็อดทนมากเท่านั้น
ถาม : แค่สองปัจจัยเท่านั้นหรือครับ ?
ตอบ : มีมากกว่านั้นอีก แต่ว่าหลัก ๆ คือสองอย่าง ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนึ่ง แล้วก็สมาธิอย่างหนึ่ง พวกนี้ถ้าข้ามชาติข้ามภพมา ก็จะสั่งสมกลายเป็นอุปนิสัย ในเมื่อเป็นอุปนิสัยก็สู้ทุกเรื่อง เพราะอึดกว่าคนอื่นเขา
ถาม : ความกลัวมีผลไหมครับ ?
ตอบ : มี..แต่ถ้าเขาสั่งสมมาจริง ๆ ก็กลัว แต่กลัวแล้วไม่หนี กลัวแล้วสู้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของการตัดสินใจในบางเรื่อง ทุกคนมีความกลัวหมด ต่อให้ทักษิณ ชินวัตร วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะลงทุนอะไรเขาก็กลัว แต่ว่าข้อมูลทั้งหมดและประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกว่าถ้าทำอย่างนี้โอกาสกำไรมีมากกว่าขาดทุน เขาจะกล้าตัดสินใจ แต่ก็ยังกลัว เพียงแต่ว่ากลัวน้อยกว่าพวกเรา
เขาเองถ้าสูญไปสัก ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ล้าน ก็ยังมีใช่ไหม ? เราเองถ้าเสียไปสักล้านหนึ่งก็อาจจะหมด ฉะนั้น...ความกลัวจึงต่างกัน อยู่ที่ต้นทุน ตอนนี้คนที่น่าอิจฉาที่สุดคือแจ็ค หม่า
ถาม : ทำไมหรือครับ ?
ตอบ : เขาวางมือจากกิจการแล้ว ตอนนี้มีอย่างเดียวก็คือรอปันผล ใครจะบริหารก็บริหารไป กูไม่เครียดด้วยแล้ว ถึงเวลาก็ไปรำไทเก๊ก ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดโครงการแล้ว และที่แน่ ๆ คือเขาวางมือในช่วงจังหวะที่พอดี เพราะว่ามีคนที่แทนได้ ถ้าเราต้องการให้หน่วยงานไปได้ ต้องหาตัวตายตัวแทนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ถ้าเห็นว่าใครแทนได้ก็ส่งไม้ต่อไปเลย
ถาม : ปัจจัยที่ทำให้คนมีวินัยในการฝึกฝนละครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม กำลังสมาธิและการฝึกฝนที่สะสมมา ในเมื่อกำลังสมาธิทำให้กำลังใจเข้มแข็ง ก็สู้ แม้จะยากลำบากแค่ไหนก็สู้ เสร็จแล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เห็นประโยชน์ด้วยว่า เรื่องของระเบียบวินัย เรื่องของกฎหมายก็คือเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ก็ยินดีทำตาม
สรุปแล้วเกือบทั้งหมดมาลงตรง ศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า ศีลก็คือวินัย เป็นกฎระเบียบที่จะต้องบังคับให้ปฏิบัติ เพราะว่าบางคนประเภทที่ความดีในใจมีน้อย ก็จะละเมิด จึงต้องบังคับกันด้วยกฎหมาย พอเข้ามาตามหน่วยงานต่าง ๆ ก็ต้องเป็นระเบียบวินัย ไม่อย่างนั้นแล้วองค์กรหรือหน่วยงานจะสับสนวุ่นวาย ไปไม่รอดหรอก อย่างปัจจุบันนี้พรรคอนาคตใหม่ ต้องบอกว่าแนวคิดล้ำหน้าแบบเด็กยุคใหม่ แต่ว่าความล้ำหน้า ถ้าเราคิดถึงภาษิตจีน ภาษิตจีนบอกว่า ‘ล้ำหน้าครึ่งก้าวเป็นอัจฉริยะ ล้ำหน้า ๑ ก้าวเป็นคนบ้า’ แล้วคราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ครึ่งก้าวของเรานี่ไม่ใช่ ๑ ก้าวของคนก้าวเล็ก ๆ ?
เพราะฉะนั้น..จะทำอะไรต้องดูกาลเทศะ ดูความพร้อม ดูความพอเหมาะพอสม ดูจังหวะเวลาในการนำเสนอ พรรคอนาคตใหม่เขานำเสนอในจังหวะเวลาที่สังคมส่วนใหญ่เขายังยอมรับไม่ได้ จะเผชิญแรงต้านมาก ปัจจุบันนี้พรรคอนาคตใหม่นำเสนออะไรมา คนส่วนหนึ่งเห็นด้วย แต่ว่าคนอีกส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย กลายเป็นว่าเกิดความแตกแยกขึ้นในสังคม
ซุนวูบอกว่า ‘ถ้าหากว่าประกอบไปด้วย ระเบียบ วินัย กาละ ชัยภูมิ โอกาส รบที่ไหนก็ชนะ’
แต่คราวนี้บางอย่างที่พรรคอนาคตใหม่เสนอมา อย่างเช่นขอให้พวกตุ๊ดพวกแต๋วบวชได้ อันนี้ยังไม่ใช่ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไป แล้วบางคนก็ไปไกลเลย บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามตุ๊ดห้ามแต๋วบวช ห้ามเฉพาะบัณเฑาะก์ มึงจะบ้า...! สมัยนั้นมีคำนี้ไหม ? เราต้องเข้าใจบริบทสมัยพุทธกาลด้วย
ในส่วนที่เขาเสนอมา อาตมาไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด แต่อาตมาทำเลย ก็คือตัวเองเป็นพระอุปัชฌาย์ คุณจะมาครึ่งหญิงครึ่งชายอย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเก็บอาการได้คุณก็บวชได้ แต่ถ้าเก็บอาการไม่ได้คุณต้องสึก เพราะว่าผิดแปลกจากสังคมของความเป็นพระ ฉะนั้น..ในส่วนนี้บางทีถ้าคุณไปวัดท่าขนุน อาจจะเจอพระบางรูปท่านเรียบร้อยผิดปกติ ก็ให้รู้ว่าเป็นประเภทนี้แหละ..!
พวกเราก็ไม่ได้ไปตราหน้าท่านว่าพระตุ๊ดพระแต๋วอะไร แต่เราเรียกท่านว่า "พระเรียบร้อย" จริง ๆ ก็คืออย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าที่ทำเพราะว่าพระอุปัชฌาย์ โดยศัพท์แล้วแปลว่า ผู้เพ่งดู ในเมื่อพินิจพิจารณาดูแล้วว่าสมควร จึงได้เอ่ยรับว่า “ปฏิรูปัง” แปลว่า สมควรแล้ว คำต่อมาคือ “โอปายิกัง” จงรักษาสัมมาปฏิบัติโดยอุบายอันชอบ แปลว่าทำให้ถูกต้องตามระเบียบ ตามวินัย ตามกฎเกณฑ์ของสถานที่ ถ้าคุณทำอย่างนี้แล้วสามารถรักษาสถานภาพได้..คุณบวชได้
อาตมาไม่ได้ว่าอะไร แต่อาตมาจะไม่ไปประกาศปาว ๆ ว่าวัดนี้กูรับบวชตุ๊ดบวชแต๋ว แบบนั้นก็ฉิ_หายสิ เพราะฉะนั้น..เราต้องเห็นด้วยว่า การก้าวล้ำครึ่งก้าวเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้าก้าวล้ำ ๑ ก้าวเป็นคนบ้า อย่างที่ภาษิตจีนเขาว่าไว้
ในสายตาของคนรุ่นเก่า พรรคอนาคตใหม่คือคนบ้า แต่ถ้าในสายตาของคนรุ่นใหม่ พรรคอนาคตใหม่คืออัจฉริยะ ทำอย่างไรให้ความเป็นอัจฉริยะนั้นมีมากกว่าคนเห็นว่าเป็นคนบ้า ถ้าอย่างนั้นคุณก็จะได้รับการยอมรับมากกว่านี้
อีกส่วนหนึ่ง ปัจจุบันนี้การเมืองของเรากลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ที่น่าเบื่อเพราะตั้งใจเล่นการเมืองจนเกินไป ขณะเดียวกันฝ่ายตัวเองทำอะไรไม่ผิด อีกฝ่ายหนึ่งทำแล้วผิดหมด
ในเมื่อสิ่งที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน กลายเป็น ๒ มาตรฐาน ๓ มาตรฐาน ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมคะแนนนิยมถึงได้ตกรูดมหาราช เลือกตั้งครั้งใหม่อาจจะแพ้เลยก็ได้ ต่อให้ใช้กำลังภายในขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะไปลบความเบื่อของคนได้
เราจะเห็นว่าคุณทักษิณ ชินวัตร แรก ๆ เสียงตอบรับดีมาก คุณจำลอง ศรีเมือง แรก ๆ นี่กวาดผู้แทนหมดกรุงเทพฯ เลย แต่ทำไมระยะหลังไม่ได้ ? เพราะว่าคนไทยเป็นคนเบื่อง่าย ถ้าคุณไม่มีอะไรที่พอเหมาะพอสม พอดีกับจังหวะเวลานั้นออกมานำเสนอ เดี๋ยวพักเดียวคนก็จะเบื่อ แล้วถ้าเขาเบื่อ เขาก็จะไม่เลือกคุณอีก
ถึงได้บอกว่าแจ็ค หม่า เขารู้ตัว ในเมื่อโซเชียลสมัยใหม่ทำให้คนเบื่อง่าย ต้องการความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เขาเองถอยมาในจังหวะที่ดีที่สุด...จบแล้ว ที่เหลือคุณไปรบไปเครียดกันเอง ผมไม่เอาด้วยแล้ว
อีกอย่างหนึ่งก็คือเขารวยพอแล้ว ขายของวันคนโสด ครึ่งวันเท่านั้นได้ไปหมื่นกว่าล้าน แล้วเต็มวันจะได้เท่าไร ? เพราะฉะนั้น..ถ้าจังหวะเวลาพอเหมาะพอดี อย่างที่เขาบอกว่าการรบต้องประกอบด้วยกำลังพล เวลา แล้วก็โอกาส ภูมิประเทศ ฯลฯ ถ้า ๓-๔ อย่างนี้มีพร้อม รบอย่างไรก็ชนะ
โอกาสกับเวลานี่คนละเรื่องกันนะ คนละเรื่องตรงไหน ? โอกาสอย่างเช่นว่า จังหวะเวลานั้นเหมาะสม ฝ่ายตรงข้ามกำลังง่วงนอนเต็มที่เลย ตี ๔-๕ เขาหมดสภาพแล้ว เข้าตีตอนนั้นโอกาสชนะมีมากกว่า แต่เวลามันไม่ใช่ อย่างเช่นว่าบรรดาผู้กลุ่มอำนาจเห็นว่าจังหวะนี้เหมาะสม บรรดาชาวบ้านทั้งหมดเห็นว่าจังหวะนี้เหมาะสม นั่นคือเวลาที่เหมาะสม เวลาตัวนี้บาลีใช้คำว่า กาละ เพราะฉะนั้นกาละกับโอกาสคนละอย่างกัน
แต่ว่าอาตมาดีใจที่พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้น เพราะว่าเริ่มเห็นว่าการเมืองของเรามีโอกาสที่จะก้าวหน้ามากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็วนกันอยู่ในกลุ่มอำนาจเก่า ๆ เพียงแต่ว่าใครที่เป็นคนกุมอำนาจ จำเป็นต้องดูจังหวะดูเวลาให้ดีด้วย
เฮ้อ...เหนื่อยใจ วันก่อนอบรมเด็กยังบอกเลยว่า หลวงตาขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง สิงคโปร์การศึกษาเป็นอันดับหนึ่งของโลก ประเทศไทยเป็นลำดับเกือบรั้งท้ายของอาเซียน แล้วคุณคิดว่าประเทศไทยเป็นอันดับเท่าไรของโลก ?
การศึกษาสิงคโปร์เป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เขาให้เด็ก ๆ เข้าห้องสมุดค้นคว้า ไม่ได้ให้ใช้มือถือค้นคว้า ถ้าคุณพึ่ง AI มากจนเกินไป ถึงเวลาเครื่องมือเครื่องไม้หมดสภาพ คุณจะไม่เหลืออะไรไว้ในหัวเลย เพราะฉะนั้น..ตรงส่วนนี้ต้องเข้าใจด้วยว่า จะไปพึ่งพาสิ่งภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง
เมื่อเดือนที่ผ่านมาไปประชุมร่วมกับท่านองคมนตรี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่ท่านมาติดตามการสร้างวิทยาลัยเทคนิคทองผาภูมิ ในเมื่อมีโอกาสพูดก็บอกไปว่า สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกกับทุกท่านก็คือ สิ่งที่เราทำนั้นดี แต่ควรจะคิดเผื่อด้วยว่า เดี๋ยวนี้ปัญญาประดิษฐ์เก่งมาก ทำให้คนขี้เกียจเรียน เพราะคิดว่าข้อมูลทุกอย่างค้นได้จากอินเตอร์เน็ต
ในเมื่อคนเรียนกันน้อยลง ท้ายสุดเราจะไม่มีนักศึกษามาเรียน แล้วสิ่งที่เราลงทุนไปจะคุ้มไหม ? ไม่ใช่ว่า ๓ ปีแรกเสียงตอบรับดีมาก เด็กไหลมาเทมา แต่พอปีที่ ๔ ปีที่ ๕ เด็กหายไปครึ่ง ๆ แล้วจะคุ้มค่ากับการที่เราลงทุนไปหลายร้อยล้านหรือระดับพันล้าน เพื่อที่จะสร้างวิทยาลัยเทคนิคไหม ?
ท่านองคมนตรีท่านบอกว่า “เชื่อผมเถอะ AI มาไม่ถึงทองผาภูมิหรอก เพราะผมยังเห็นเขาขุดหลุมด้วยไม้ไผ่ หยอดข้าวโพดด้วยมืออยู่เลย” อาตมาก็ได้แต่ เออ...ถ้าท่านคิดอย่างนี้นี่ตาย..! เพราะว่า AI ไม่ได้เข้าไปในบ้าน แต่ว่าเข้าไปในสถานที่เรียน..!
เราต้องคิดเผื่อทุกเรื่อง วิสัยทัศน์จะต้องยาวไกล ล่วงหน้าไปเลย ระยะต้นเป็นอย่างไร ? ระยะปานกลางเป็นอย่างไร ? ระยะยาวเป็นอย่างไร ? ไม่ใช่เห็นว่าตอนนี้ชาวบ้านบางที่ยังขุดหลุมด้วยไม้ไผ่ หยอดข้าวโพดด้วยมือ แล้วจะไปสรุปว่า AI มาไม่ถึง พวกนี้มาเร็วแค่ไหน ?
เราจะเห็นว่า BlackBerry โตได้ประมาณปีกว่า ๆ เอง ก็ตายสนิทไปแล้ว โดน iPhone ตีตายคาที่เลย ตอนนี้ยังมีคนรู้จัก BlackBerry อีกไหม ? แล้วระยะเวลาแค่นั้นเอง การเรียนของเรารุ่นหนึ่งก็ ๒ ปี สำหรับระดับ ปวช. ถึงเวลารุ่นที่ ๒ คุณหานักศึกษาไม่ได้ คราวนี้ก็จุกแล้วครับ อาตมาเห็นด้วยที่จะสร้าง เพราะว่าเป็นการสร้างคน สร้างงาน สร้างอะไรขึ้นมา แต่ที่เป็นห่วงก็คือสร้างแล้วจะเอาใครมาเรียน ?
ถาม : พรุ่งนี้จะไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุง ตอนฝึกมีอาการสั่นมาก ?
ตอบ : ถ้าสั่น...หัวใจเต้นเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกหัวออกก้อย ให้ตัดใจไปเลยว่าแม้ตายลงไปเราก็ยอม ถ้าเห็นแสงสว่าง จะเป็นจุด จะเป็นเส้น จะเป็นแผ่นผืนอย่างไรก็ตาม ตั้งใจเหมือนกับเราส่งจิตไปยังต้นแสงสว่าง เหมือนเราพุ่งทวนแสงไป หลักการมีอยู่แค่นี้แหละ แต่สำคัญตรงที่มักจะตัดใจไม่ค่อยได้
ถาม : อยากลองฝึกครึ่งกำลังค่ะ ภาวนา นะมะพะธะ แล้วก็หยุด ตามเสียงคนนำ พอเสียงคนนำไม่มีแล้ว หนูไม่รู้ว่าไปตรงไหน ?
ตอบ : ตั้งใจว่าเราจะไปไหว้พระที่พระนิพพาน ตั้งใจแค่นั้นก็พอ ถ้าหลุดออกไปก็จะไปเอง แต่คราวนี้สำคัญที่ตรงก่อนจะหลุด ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ห่วงร่างกายอยู่ ก็จะดิ้นอยู่นั่นแหละ บอกว่าไม่ห่วง ๆ เราพูดว่าไม่ห่วง แต่ใจจริง ๆ แล้วห่วง ห่วงอย่างที่บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าเรายึดร่างกายไว้ขนาดไหน เพราะฉะนั้น..ต้องตัดให้ได้จริง ๆ ตายเป็นตาย ถึงตายข้าก็จะไป ถ้าแบบนี้ก็จะจบง่าย
ถาม : จำเป็นจะต้องดิ้นเวลาออกไปทุกครั้งหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถ้าสภาพจิตเรียบแล้ววูบเดียวก็ไป สมัยที่อาตมาฝึกอยู่นั่น ถ้าจำไม่ผิดวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านฝึกให้ ฝึกเต็มกำลังครั้งแรกที่ศาลา ๒ ไร่ อาตมาก็นั่งภาวนารอท่าน ทั้ง ๆ ที่ไปเองได้แต่ไม่ไป ภาวนาไป ๆ ท่านเดินมาตอนไหนก็ไม่รู้ ถามว่า “เอ้า...พร้อมกันหรือยัง ?” ก็มีเสียงส่วนใหญ่ตอบว่า “พร้อมแล้ว” “พร้อมแล้วก็ไปสิ” เหมือนกับนักกีฬาเตรียมวิ่งแข่ง พอได้ยินว่าให้ไปนี่เหมือนกับเสียงสัญญาณปล่อยตัว วูบเดียวไปเลย ร่วงตึงแข็งเป็นหินไปเลย ไม่เห็นมีดิ้นมีอะไร
ถาม : ครึ่งกำลังกับเต็มกำลังต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าเราฝึกครึ่งกำลังมาจนคล่องตัวจริง ๆ ทำเต็มกำลังก็แค่สว่างขึ้น ความชัดเจนมีมากขึ้น มีความคล่องตัว ไปง่ายไปสะดวกขึ้น เพราะฉะนั้น..ใครได้ครึ่งกำลังแล้วไปฝึกเต็มกำลังนี่บางทีก็เหลวไหลนะ เพราะว่าอย่างเดียวกัน เพียงแต่สว่างขึ้น เราก็แค่ปรับหน้าจอให้สว่างขึ้นเท่านั้นเอง...(หัวเราะ)...
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ไปบิณฑบาตงานในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ข้าวของมาหลายคันรถ เข้าไปค้น ๆ จะหาขนมอะไรสักอย่างที่อยากกิน ค้นไปค้นมาบ่นกับแม่ชีว่า ตกลงไม่มีอะไรที่จะยั่วกิเลสอาตมาได้เลยหรือ ?
ปัจจุบันนี้เวลากินกลายเป็นหน้าที่ จะกินตามใจตัวเองว่ามีอะไรอร่อยที่เราอยากกิน หาเท่าไรก็หาไม่ได้ คิดดูว่าบิณฑบาตมาของเป็นคันรถ ไปคุ้ยหาแล้วไม่ได้ของที่ตัวเองอยากกิน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากกินอะไร บางทีก็อยู่ในวงข้าว ยกกับข้าวมาแล้วบ่นกับพระว่า ตกลงว่าไม่มีอะไรยั่วกิเลสผมได้เลยหรือวะ ? พระท่านก็หัวเราะกัน"
พระอาจารย์เล่าว่า "รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ท่านสมยศ ศิลปีโยดม ท่านมาเปิดงานปฏิบัติธรรมถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านถามว่า “ท่านมีลูกศิษย์อยู่ในหนังสือมติชนรายวันด้วยหรือ ?” ถามว่าทำไม ? “เขาไปเขียนเชียร์ท่านอยู่ในนั้น” อาตมายังไม่รู้เลยว่าเขาเขียนตอนไหน แล้วไปอยู่เล่มไหน แสดงว่าท่านอ่านแล้วไปเจอเข้า"
ถาม : ขนาดคลิปวีดีโอที่วิทยาลัยสงฆ์ เขายังเอามาลงเลย ?
ตอบ : ระยะหลังเขาขอแชร์กันเยอะมาก บางรายก็ส่งหนังสือมาขออย่างเป็นทางการ แต่ส่วนใหญ่แล้วเจอก็แชร์ต่อเลย บางทีบรรดาเพื่อน ๆ พระอุปัชฌาย์ก็ส่งมา ๆ บอกว่าไม่ต้องส่งได้ไหม ? นั่นข้าเอง จะส่งมาทำไมวะ ? เขาก็บอกว่า “กลัวไลน์จะเหงา” เหงาก็ส่งรูปตัวเองสิวะ เสือกทะลึ่งมาส่งรูปข้า..! ท่านบอกว่ามีเยอะมากเลยครับ มีทุกอิริยาบถ ก็เลยบอกไปบอกว่า ยังขาดอยู่อิริยาบถหนึ่ง เพราะไม่ยอมให้ตามตอนเข้าส้วม ไม่อย่างนั้นคงจะมีแน่..!
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่ไปรับสังฆทานที่หาดใหญ่ นั่งได้อยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เจ็บหลังจนทนไม่ไหว ต้องขึ้นไปพัก ไปนอนเอนหลังจนหายเจ็บแล้วค่อยลงมาใหม่ บางทีโยมนั่งรอเป็นชั่วโมงกว่าที่จะลงมา สาเหตุก็ไม่ได้มีอะไรหรอก กำลังสรงน้ำอยู่ ก้มลงไปถูสบู่ที่ขา หลังลั่นกึ๊ก..! แล้วก็อยู่อย่างนั้นตั้งนานกว่าที่จะขยับได้ เจ็บแทบตาย แล้วก็ยืดตัวไม่ขึ้น เดินหลังโก่ง งานก็ยังไม่เสร็จ ทนเจ็บไปอีก ๒ วันกว่างานจะหมด ถึงไปหาหมอได้
ก็ต้องบอกว่าสร้างกรรมไว้เยอะ ไปเห็นกรรมเก่าตอนอาการคลายแล้ว กำลังรบกันอยู่สมัยสามก๊กโน่น พอปะทะกันเพลงแรก ม้าวิ่งสวนกัน ทางด้านเรากระทุ้งด้ามทวนตามหลัง เข้าสันหลังเขาพอดีเลย ตัวเองก็เลยโดนบ้าง กระทุ้งเขาตกหลังม้าเลย ก็เป็นพันปีมาแล้วยังอุตส่าห์ตามมาอีก บางอย่างกรรมอื่นหนักกว่าก็เอาไปก่อน พวกประเภทเจ้าหนี้รายเล็ก ๆ ค่อยมาตามทวงตอนมีจังหวะแทรกได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เขาหนีเที่ยวกันเยอะ ป้ามอยเพิ่งจะไปเกาหลีกลับมา ทิดเฟิร์สก็ไปพม่า ไอ้หญิงเมื่อกี้บอกว่าจะไปพรีเซนต์งานที่พม่า มีโอกาสก็ไป ได้เห็นอะไรแล้วจะซาบซึ้งว่าที่เราภูมิใจในความเป็นประเทศไทยของเรานั้น จะต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้ ชาวโลกเขาแซงไปหมดแล้ว จากเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย กลายเป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน..!
ต้องบอกว่าผู้นำนั่นแหละที่ทำให้เป็นอย่างนี้ ขนาดข้าวของยังยืมเขาใช้ไม่รู้จักหาเอง นาฬิกาก็ยืมเพื่อน แหวนก็ยืมแม่ แล้วจะบริหารประเทศให้ดีได้อย่างไร ?"
ถาม : รายงานก็ส่งไม่ถึงเสียที ไม่รู้ระบบสื่อสารเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เขาเลือกเฉพาะสิ่งที่อยากฟัง พวกสิ่งที่ไม่อยากฟังก็ไปไม่ถึง อย่างที่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเขาบอกว่า ไม่เคยได้ข้อมูลส่วนนี้มาก่อนเลย ก็คนไม่กล้าพูด ส่วนใหญ่เห็นเขาเป็นใหญ่เป็นโตแล้วก็เกรงใจ
เมื่อวานซืนประชุมร่วมกับทางด้านคณะกรรมการตรวจติดตามการสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี คนโน้นก็ชม คนนี้ก็ชม พระอาจารย์เล็กก็นั่งอมยิ้ม พอไมโครโฟนมาถึง ท่านอาจารย์มีอะไรจะคุยไหม ? บอกว่าเรื่องที่จะคุยนี่จะว่าเกี่ยวกับวิทยาลัยสงฆ์ก็เกี่ยว จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว ก็คือค่าเทอมของ มจร. แพงเกินไปแล้ว..! รุ่นของอาตมาเรียน ต่อให้ลงไป ๒๐ กว่าหน่วยกิต เทอมหนึ่งก็ประมาณแค่ ๑,๘๐๐ บาท เดี๋ยวนี้ขนาดเรียนเทอมหนึ่งไม่เกิน ๘ หน่วยกิต ล่อไป ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท ทำให้นิสิตส่วนหนึ่งหายไป แล้วอาตมาสร้างวิทยาลัยสงฆ์ คิดว่าจะหาคนมาเรียนได้ไหม ?
บางอย่างก็ต้องใส่แรง ๆ ไม่ใส่แรง ๆ เขาก็ไม่รู้ ก็เลยฝากงานเขาไปด้วย บอกว่าโปรดพิจารณาด้วยว่า วัตถุประสงค์การสร้างวิทยาลัยสงฆ์ โดยเฉพาะมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ก็คือให้พระได้มีโอกาสศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาการชั้นสูง เท่ากับอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อพระภิกษุสามเณรที่มีโอกาสน้อยให้เขาได้เรียนเพิ่ม เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะลดค่าหน่วยกิตให้ต่ำที่สุด
คุณพยายามที่จะดึงตัวเองขึ้นไปให้ได้มาตรฐานของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เป็นการกระทำที่ถูก แต่กลายเป็นเตะสกัดไม่ให้พระเณรเรามีโอกาสเรียน เดี๋ยวนี้มีโดยกฎเกณฑ์กติกาบ้า ๆ ออกมา จะเรียนปริญญาโทต้องมีพื้นฐานการใช้คอมพิวเตอร์ ๑๗๐ คะแนน จะต้องสอบโทเฟลได้ ๓๐๐ คะแนน จะเรียนปริญญาเอกต้องมีพื้นฐานการใช้คอมพิวเตอร์ ๒๒๐ คะแนน ต้องสอบโทเฟลได้ ๕๐๐ คะแนน มึงบ้าหรือเปล่า ?
พระบ้านนอกของเราอย่างเก่งก็จบ ป. ๖ แล้วก็มาบวชเณร แล้วคุณจะเอาพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ไหนมามากมายขนาดนั้น ? ไม่ใช่โคตรอัจฉริยะ ถึงเวลาจะได้เรียนเองได้ เจออาตมาใส่ยับใส่เยินหมด ท้ายสุดคณะกรรมการก็ได้แต่ตีหน้าจ๋อย ๆ “เดี๋ยวผมจะเอาเข้าที่ประชุมครั้งต่อไปให้ครับ” อาจารย์ท่านอื่นท่านไม่กล้าพูด ส่วนอาตมาหรือ ? ถ้ากูโดนไล่ออกก็สบาย กูจะได้ไม่ต้องสอนให้เหนื่อย..!
คุณมัวไปกลัวเจ้านายอยู่เพราะว่าหวังประโยชน์ กลัวอนาคตตัวเองเปลี่ยนแปลง อาตมาหักอนาคตตัวเองเล่นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถ้าเราไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ก็ทำได้ทุกเรื่อง และถ้าเราไม่หวังผลประโยชน์ ก็ทำได้ทุกเรื่อง กล้าพูดทุกเรื่อง
ถาม : ไปสอบตำรวจสายอำนวยการ ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ คนสอบเกือบแสน แต่ผมสอบติดได้ ทั้งที่ไม่ได้อ่านหนังสือ ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าถ้าคุณเชื่อก็สอบได้แน่นอน ดี..จะได้เป็นตัวอย่าง
โยมเขาไปสอบตำรวจ คนสอบเป็นแสน ตัวเองไม่ได้อ่านหนังสือ แค่ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์แล้วสอบได้ อย่าไปบอกเจ้านายเขาแบบนี้เชียวนะ...โดนแน่..!
แม่พาเด็ก ๆ สองคนมาถวายสังฆทาน "เขาบอกว่าลูกรักเอาไว้หลัง ลูกชังเอาไว้หน้า เวลาลิงโดยเฉพาะตอนหนีภัย ต้องห้อยโหนโจนทะยาน ตัวที่อยู่ข้างหน้าจะปะทะพวกกิ่งไม้มากกว่า คนโบราณก็เลยบอกว่าลูกรักเอาไว้ข้างหลัง ลูกชังเอาไว้ข้างหน้า
อาตมายอมเป็นลูกชังเกาะอยู่ข้างหน้า เพราะว่าอย่างไรก็ได้กินตลอด แบบนี้คิดคนละอย่างกัน ปกติลิงจะมีลูกตัวเดียว แต่ถ้าไม่ปกติก็คือลูกแฝด คราวนี้พอลูกแฝดก็ลำบาก ตัวหนึ่งไว้ข้างหลังตัวหนึ่งไว้ข้างหน้า เคยดูคลิปที่แม่นกป้อนอาหารลูก คาบหนอนมาทีหนึ่ง ๗-๘ ตัว ลูก ๔-๕ ตัวยื่นหน้ามา ตัวแรกคว้าหมับไปเกือบหมดแล้ว ที่เหลือก็เอาไปคนละตัวสองตัว บางตัวก็อด นั่งเหี่ยวไป..ต้องรอรอบใหม่"
สนทนากับพระ "ผมห่วงบ้านเราว่าจะไม่มีกิน เพราะว่าถ้าแล้งขึ้นมาจะปลูกผักปลูกหญ้าอะไรก็ลำบาก วันลอยกระทงสิ่งที่ผมชื่นชมที่สุดก็คือเขื่อนวชิราลงกรณเปิดน้ำนิดเดียว ปกติเขื่อนเขาเปิดน้ำมาก็จะเลยต้นเสาสะพานแขวนของเราขึ้นมาถึงริมฝั่ง แต่งานนี้พวกเราเดินลงไปลอยข้างล่างเลย นั่นคือเขื่อนเขาประสบการณ์มาก ปีนี้เขาประหยัดสุดขีด ลอยกระทงนี่ปกติเปิดให้เราเต็มที่เลย งานนี้เปิดนิดเดียว น่าจะเป็นน้ำปั่นไฟปกติของเขา คือไม่ได้เปิดประตูน้ำเพิ่ม"
ถาม : (กิจกรรมการสวดพระคาถาเงินล้านที่บ้านสุมโน)
ตอบ : ถ้ามีคนร่วมกิจกรรมก็ทำไปเถอะ ต่อให้น้อยแค่ไหนก็ตาม ผลได้คือตัวเราก่อน ถัดจากนั้นถ้าใครทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริง ๆ ผลก็จะเกิดกับตัวเขาเอง
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนหลวงพ่อเจ้าคุณโสภณกาญจนาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรีโทรมา “อาจารย์เล็ก..ผมนิมนต์ช่วงวันที่ ๗-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ไปบรรยายในงานปฏิบัติธรรมวัดไทยนครเมลเบิร์น พวกผมจะจ่ายค่าเครื่องบินให้เอง” กราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ เป็นไปไม่ได้เลยครับ งานคร่อมหัว คร่อมกลาง คร่อมท้ายอยู่พอดี ไม่มีช่วงว่างเกิน ๒ วันเลย” เป็นช่วงงานสัปดาห์วิสาขบูชา ท่านหายไป ๒ วันก็โทรมาใหม่ “อาจารย์เล็ก..ช่วงปลายเดือนว่างไหมครับ ?” “หลวงพ่อครับ..ของผมนี่จองข้ามปียังได้ตัวยากเลยครับ” ให้ไปบรรยายธรรมให้คนไทยที่ออสเตรเลียฟัง อุตส่าห์ลงทุนค่าเครื่องบินค่าอะไรให้หมด แต่พระอาจารย์เล็กไม่ว่าง"
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนหลวงพ่อวัดเขื่อนท่าทุ่งนามรณภาพ หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรีก็ถามว่า ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนตอนนี้อยู่ที่ไหน ? กราบเรียนว่า "อยู่วัดท่ามะขามนั่นแหละครับ หลวงพ่อไม่ต้องคิดถึงทางด้านผมนะครับ ให้ท่านมหาพรพลไปเถอะ ท่านเป็นด็อกเตอร์ เป็นประโยค ๙ ด้วย ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสนี่อนาถมากเลย"
ส่วนใหญ่ท่านจะถามก่อน ก็แบบเดียวกับที่จะเลื่อนขึ้นเป็นรองอำเภอ พอรู้ว่าจะรับตราตั้งแน่ ๆ วันที่ ๓๐ วันที่ ๒๘ ท่านเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีก็ถาม “อาจารย์เล็ก..ตำบลจะให้ใครหรือเปล่า ?” กราบเรียนว่า “ไม่หรอกครับ ยกให้เป็นหน้าที่ของหลวงพ่ออำเภอท่านสรรหา ผมไม่ยุ่งด้วย” “อย่างนั้นก็แล้วไป ถ้าหากว่าจะเอาก็ให้บอกนะ จะได้ให้อาจารย์เล็กก่อน”
ท่านคิดว่าอาตมาจะเอาคนของวัดท่าขนุนเป็น เรื่องการปกครองอาตมาไม่ล้วงลูกอยู่แล้ว เจ้านายส่งใครมาหรือให้ใครเป็นก็เอาเถอะ ให้ลูกน้องผมเป็นก็เท่ากับให้ผมแบกภาระด้วย แล้วใครจะอยากได้
ส่วนใหญ่คนอื่นเขาอยากได้ตำแหน่ง แต่พวกเรานี่รู้เลยว่าตำแหน่งมาพร้อมกับหน้าที่ เขาไม่ได้ให้เรามาเสวยสุขนี่หว่า..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการเล่นวัตถุมงคลต้องเอาอย่างท่านอาจารย์วิสุทธิ์ ท่านจะไม่เล่นของแพงเด็ดขาด สวยแค่ไหนก็ไม่เอา ท่านจะรอปีแล้วปีเล่า ท้ายสุดก็จะได้ของราคาที่ใจตัวเองต้องการ ถ้าลักษณะอย่างนั้นถึงใช่ แต่ว่าถ้าเราไปเล่นของแพงโดยที่คิดว่าจะเอาไปทำกำไรต่อ แรกเริ่มก็คิดผิดแล้ว ถึงได้เตือนโยมว่าอย่าไปยุ่งเลย...แพง แต่โยมก็จะเอา"
ถาม : เก็บของไปเดี๋ยวก็แพงเอง ๑๐ ปีก็แพงแล้ว ?
ตอบ : ใช่อย่างนั้นจริง ๆ นะ มีโยมอยู่คนหนึ่งที่รู้จัก เป็นข้าราชการในสุพรรณบุรี ก็ใช้วิธีนี้แหละ ไปวัดไหนก็ไปซื้อเอาไว้ ๓๐๐ เหรียญ ๕๐๐ เหรียญ ถามว่าซื้อไปทำอะไรเยอะแยะ ? ท่านบอกว่าเผื่อเอาไว้แจกงานศพตัวเองตอนตาย ปรากฏว่าไม่ทันจะตายหรอก ลูกชายเอาไปขายหมด เพราะที่ซื้อไว้คือเหรียญ ๘ รอบหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ในตลาดจะเป็นแสนอยู่แล้ว แล้วท่านมีตั้ง ๓ กล่อง
ลูกชายบอกพ่อว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวงานศพผมหาของชำร่วยให้ อันนี้ขอไปขายก่อน ก็คิดดูว่าซื้อตอนที่ไม่แพง ของหลวงปู่ทิมตอนนั้นก็แค่ ๓๐ บาท ๕๐ บาท เหรียญลงยา ๕๐ บาท เหรียญทั่วไป ๓๐ บาท ลูกชายออกรถใหม่สบายใจเฉิบไปเลย
คิดดูว่าพระสมเด็จคำข้าวจาก ๑๐ บาท ตอนนี้อย่างต่ำ ๆ ก็ ๑,๖๐๐ บาท กำไรไปกี่เท่าแล้ว ? ตอนที่ผมเก็บ บรรดาพระพี่พระน้องเขาก็บอกว่า จะเก็บไปทำอะไรวะ ? เยอะแยะขนาดนี้ หลวงพ่อยังอยู่ ผมก็คิดว่าปัจจัยโยมเขาถวายมาก็ควรให้เขาได้บุญมากที่สุด ก็ร่วมบุญกับหลวงพ่อท่านไป
แต่คราวนี้พอทำบุญกับท่านแล้ว ท่านก็ให้มา ๑๐ บาทก็องค์หนึ่ง ๑๐๐ บาทก็ ๑๐ องค์ ผมทำบุญที่หนึ่งได้มา ๗๐๐-๘๐๐ องค์ ปรากฏว่าพอสิ้นท่าน ราคาขึ้นพรวดไปเป็น ๑๐๐ บาท เป็น ๑,๖๐๐ บาท พวกก็มาเอาไปจากผมองค์ละ ๑๐ บาท ไอ้พวกที่ว่าผมบ้านั่นแหละ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเอาดอลลาร์สิงคโปร์ ดอลลาร์อเมริกันมาถวาย คิดถึงเงินไทยของเราระยะนี้แล้วบ้ามาก เศรษฐกิจห่วยแตกสุด ๆ แต่เงินไทยแข็งค่าที่สุดในภูมิประเทศ ประเทศรอบ ๆ เราค่าเงินตก แต่เงินไทยแข็งโป๊ก เกิดจากสาเหตุเพราะรัฐบาลใช้เงินไม่เป็น
คำว่าใช้เงินไม่เป็น ไม่ได้หมายความว่าเขาเอาไปถลุงไม่เป็น เพราะว่าเงินตรงนี้เป็นเงินสำรองของประเทศ สมัยนายกฯ ทักษิณ กับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นอกจากว่าใช้หนี้ไอเอ็มเอฟแล้ว ยังเอาเงินคืนเข้ากองทุนสำรองไว้มาก คราวนี้กองทุนสำรองมากเท่าไร ความมั่นคงของค่าเงินก็จะมีมากเท่านั้น แต่มายุคนี้บรรลัยเพราะว่าค่าเงินแข็ง แล้วใครจะค้าขายด้วย เขาก็ต้องหาทางไปค้าขายกับประเทศที่ค่าเงินอ่อน พอถึงเวลาตัวเองจะได้กำไรมาก
ปกติถ้าค่าเงินสูงขนาดนี้มีวิธีที่ง่ายมาก ก็คือจ้างสถาบันการเงินเอาไปลงทุน พวกสถาบันการเงินระดับโลกเยอะแยะไป เขาพร้อมที่จะช่วยใช้เงินให้คุณ แต่รัฐบาลเราทำไม่เป็น ได้แต่มาลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ นั่นเม็ดเงินที่ไปกู้มาล่วงหน้า ไม่ใช่ทุนสำรอง ในเมื่อทุนสำรองของคุณยังมากมายมหาศาลอยู่เหมือนเดิม ก็เรียบร้อยสิครับ เงินก็แข็งโป๊ก ตอนนี้อเมริกันดอลลาร์จะหลุด ๓๐ บาทอยู่แล้ว เงินแพงส่งออกก็ยาก คนจะค้าขายด้วยเขาก็ไม่เอา
อาตมาสึกไปบริหารประเทศก็น่าจะได้ บางทีเห็นเขาทำอะไรกันไม่เป็น แล้วศึกษามางู ๆ ปลา ๆ อาตมายังเห็นช่องทางตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมเขาไม่เห็นกันวะ ? ตอนที่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เจตนาของเขาดีมากเลย วิชาเศรษฐศาสตร์เขาบอกว่า เนื่องจากทรัพยากรของโลกนี้มีจำกัด แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด จึงต้องศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์เพื่อแบ่งปันทรัพยากรให้เหมาะสม เออ...หลักการดีมาก แต่คราวนี้การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรปัจจุบันนี้ บ้านเราขาดความยุติธรรม รายได้ ๙๐% อยู่กับประชากร ๑๐% ของประเทศ ส่วนความยากจนอยู่กับ ๙๐% ของประชากรของประเทศ..!"
"เขาแซวว่าพระเจ้าสร้างโลก ส่วนที่เหลือคนจีนสร้างหมด ตอนนี้เทคโนโลยี 5G ฝรั่งยังตามไม่ทัน แต่จีนเริ่ม 6G แล้ว เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็หุ่นยนต์ ไม่เป็นไรหรอก...พระหุ่นยนต์ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์เท่ากับตัวจริง เพราะว่า AI แสดงอารมณ์ไม่ได้ ในเมื่อ AI แสดงอารมณ์ไม่ได้ อย่างเก่งก็เอาเสียงสวดมนต์ยัดเข้าไปได้เท่านั้น พอถึงเวลาโยมเขามาถาม “ผัวเจ้าชู้จะทำอย่างไร ?” ทางด้านโน้นก็ “ไปถวายสังฆทานจ้ะโยม” ก็เจ๊งนะสิครับ ก็ AI ไม่รู้นี่หว่าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ? ก็แค่อัดข้อมูลเก่า ๆ เข้าไปให้เครื่องประมวลผลเท่านั้น"
"วันก่อนที่ประชุมร่วมกับท่านองคมนตรี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่บอกกับท่านว่าต้องระวังเรื่อง AI ท่านบอกว่ามาไม่ถึงทองผาภูมิหรอก ก็เพราะว่าพวกเด็ก ๆ ที่เรียนส่วนใหญ่ก็คือช่างไฟฟ้า ช่างเชื่อม ช่างซ่อมเครื่องยนต์ ซึ่งเรื่องพวกนี้ถึงเวลาหุ่นยนต์มาแทนที่ได้หมด ถ้ามาแทนที่หุ่นยนต์จะทำได้ดีกว่าทุกอย่าง ทำงานวันละ ๑๐ ชั่วโมงโดยไม่เรียกร้องวันหยุด ไม่โวยใส่หน้าเจ้านาย แล้วค่าแรงก็แค่การซ่อมบำรุงตามระยะเวลาแค่นั้นเอง
ได้ยินท่านบอกว่า ผมมาทองผาภูมิยังเห็นเขาขุดดินด้วยกระบอกไม้ไผ่ แล้วก็หยอดข้าวโพดด้วยมือ AI มาไม่ถึงหรอก ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็ไม่รอดแน่นอน"
"ส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือสหรัฐฯ พยายามยั่วยุทุกวิถีทางเพื่อจะให้จีนเปิดสงครามด้วย จีนก็พยายามอดทนทุกวิถีทาง เพราะว่าไม่อยากเตะลูกเข้าทางตีนเขา โดนยุจนกระทั่งฮ่องกงไต้หวันเละเทะเป็นโจ๊ก จีนก็พยายามอดทน เพราะเขารู้ว่าถ้าเกิดสงครามมาก็จะเดือดร้อนกันหมด รบกันจริง ๆ นี่สหรัฐฯ ไม่แน่ว่าจะเอาจีนลง เพราะว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีของจีนเหนือกว่าเยอะ ข้าวของอะไรของคุณเก็บไว้ในตึกในเซฟเขารู้หมด ส่วนสหรัฐฯ อย่างเก่งก็แค่ชี้เป้าได้เท่านั้น
วันก่อนสื่อต่างประเทศเขาเรียกประธานาธิบดีสมองกลวง ไม่นึกเลยว่าสื่อมวลชนจะว่ากันแรงขนาดนี้ ท่านเพิ่งรับปากประเทศอื่นไป แต่พอสื่อถามบอกว่าจำไม่ได้แล้ว ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘No Brain Prime Minister’ แปลเป็นไทยว่าประธานาธิบดีสมองกลวง
ประเทศเราทรัพยากรมีเยอะ และที่ตั้งของประเทศก็เหมาะสมที่สุดที่จะเชื่อมต่อโลก แต่ปรากฏว่าบ้านเราบริหารให้ดีไม่ได้ ไปนึกถึงที่พระครูแสงใช้คำว่า “กระบี่ดีแต่คนใช้บัดซบ..!”
"ต้นทุนของเรามีเยอะมาก ทั้งทรัพยากรธรรมชาติทั้งภูมิศาสตร์ ประเทศอื่นจะไปแข่งขันกันเรื่องอะไรก็แข่งไปสิ ส่วนเราเป็นประเทศเกษตรกรรมก็จบแล้ว ถึงเวลาต่อให้ขายไม่ได้เราก็กินกันเองได้ แต่คนอื่นมีหรือที่จะไม่ซื้อสินค้าเกษตร ? เราดันไปสนับสนุนอะไรกันก็ไม่รู้ แทนที่จะเป็นผู้ผลิต ทุกคนก็เป็นผู้ขาย ๆ ๆ ถามหน่อยเถอะ..ถ้าไม่ผลิตแล้วคุณจะเอาอะไรมาขาย ? เดี๋ยวนี้ประเภทเด็กรุ่นใหม่พอถึงเวลาขี้เกียจเรียน ก็ขายของทางอินเตอร์เน็ต ถามหน่อยเถอะพ่อคุณ..ถ้าคุณไม่หัดผลิตไว้ แล้วต่อไปคุณจะเอาอะไรมาขาย ?
"ในหลวง ร.๙ ทรงวางเอาไว้หมดแล้ว ถ้าเป็นเราก็คงหมดอารมณ์ไปแล้ว ท่านยังทำมาตั้ง ๗๐ ปี ต้องบอกว่าวิริยบารมีของพระองค์ท่านเต็มเปี่ยมจริง ๆ ที่ศาสตราจารย์แมนเฟรด (Prof.Manfred Krames) ท่านว่า “คนไทยเรามีครูใหญ่ที่ดีที่สุดก็คือในหลวงภูมิพลฯ แต่น่าสงสารที่ว่าไม่มีใครทำตามที่ครูคนนี้สอนเลย” ฟังแล้วอนาถใจมาก พอถึงเวลาเราก็มาแค่ “ทรงพระเจริญ...!”
พระอาจารย์กล่าวว่า "กรมเจ้าท่าจัดโครงการสูงวัยได้สิทธิ์ลดราคา ลดค่าโดยสารทางเรือให้ผู้สูงอายุ อาตมาในฐานะผู้สูงอายุขอบอกว่า ผู้สูงอายุไม่ค่อยลงเรือหรอก ลงลำบาก เขาคิดมาดีแล้ว เขารู้ว่าผู้สูงอายุไม่ค่อยลงเรือ ก็เลยลดราคาให้ ทำให้ดูดีในสายตาชาวบ้าน แต่ดีแบบกลวง ๆ"
ถาม : การตักบาตรพระ เราควรดูว่าอย่างไร ว่าพระองค์ไหนบ้างเราควรทำบุญกับท่าน ?
ตอบ : รูปใดเดินผ่านมาก็รูปนั้นแหละสมควร การใส่บาตรถ้าเราเจาะจงเลือกพระก็เป็นแค่ปาฏิปุคคลิกทาน...ได้อานิสงส์น้อย แต่ถ้าเราไม่เลือกพระ ท่านใดมาเราก็ใส่ จะเป็นสังฆทาน อานิสงส์มากกว่าเป็นแสนเท่า
ถาม : เราจะดูอย่างไรว่ามีใครคนไหนทำของใส่เราหรือใส่บ้าน ?
ตอบ : ถ้าอยากดูอย่างนั้นก็ฝึกทิพจักขุญาณให้ได้ก็จบแล้ว
ถาม : ...(ไม่ชัด)...ฤกษ์ก็ไม่มี ยามก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : อย่างที่พระท่านบอกหลวงพ่อฤๅษีฯ “แกดูหรือเปล่าว่าวันนี้เป็นวันอะไร ? นี่ไม่ใช่วันเสาร์ ๕” หลวงพ่อฤๅษีฯ ก็สะดุ้ง ประกาศบอกเขาไปหมดแล้ว ไปดูก็คือเป็นวันเสาร์แรม ๕ ค่ำ ไม่ใช่ขึ้น ๕ ค่ำ หลวงพ่อท่านก็กราบทูลถามว่า “แล้วผมจะทำอย่างไรครับ ?” “ไม่เป็นไร ถ้าหากว่าฉันจะทำให้ก็ใช้ได้” ถึงเวลาหลวงพ่อท่านป่วยมาก ๆ เข้าก็พลาดจนได้ ดูไปดูมาเอาแรม ๕ ค่ำเป็นวันไหว้ครู
พูดถึงพิธีเป่ายันต์ฯ ปีหน้า "ยังไม่รู้เลยว่าจะสร้างวัตถุมงคลอะไรหรือเปล่า ? ไม่สร้างก็บวงสรวงเฉย ๆ ถึงเวลาถ้าไม่มีฝากวัตถุมงคลเข้าพิธีแล้วก็เฉากันหมด
เดี๋ยวนี้แทบทุกวัดจะอาศัยหากินกับวัดท่าขนุน ถึงเวลาก็หอบวัตถุมงคลมาเข้าพิธี มากันแบบไม่ต้องเกรงใจ มากันทีเป็นคันรถ แทนที่จะจัดพิธีเอง นิมนต์อาตมาไปเสก ถวายค่ารถสัก ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท ก็ไม่มี เล่นตั้งใจมากินฟรีกันเลย
บางทีก็นึกขำ ๆ อาตมาเปิดโอกาสนี้ให้ เผื่อว่าคนที่เขาสู้ราคาวัตถุมงคลของวัดตรง ๆ ที่แพงมากไม่ไหว จะได้มีของดีราคาถูกกับเขา ปรากฏว่าเขาเอาไปขายแพงกว่าของวัดท่าขนุนอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาพาดหัวข่าวว่า ‘ลูกจ้างเฮ ขึ้นค่าแรงอีก ๖ บาท’ คุณรู้ไหมว่ายังไม่ทันจะเฮเลย ข้าวของก็ขึ้นราคาไปเกิน ๖ บาท คือบ้านเราถ้าได้ข่าวว่าค่าแรงจะขึ้น ของจะขึ้นราคาไปก่อน หลังจากที่ขึ้นจริง ๆ ก็จะขึ้นไปอีกรอบหนึ่ง เป็นอย่างนี้มาตลอด
สรุปว่าไม่ได้มายังจะดีกว่า เพราะว่าได้มาแล้วก็จ่ายไป ซื้อของได้ไม่เท่าเดิม แล้วทุกวันนี้ค่าแรงบ้านเราสูงจนกระทั่งต่างประเทศถอนการลงทุนไปมาก เอาเถอะ...เป็นภาระของรัฐบาลเขาไปแก้ไขเอา เพราะเขาบอกว่าเศรษฐกิจดี เราไม่เชื่อรัฐบาลแล้วจะเชื่อใคร..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านเจ้าคุณวีระ (พระวิสุทธิพงษ์เมธี) ส่ง "อาหารใจยามเช้า" มาให้ ก็เลยถามไปว่าส่งผิดหรือเปล่า ? นี่ตอนเย็น เวลาท่านเจออะไรที่สะกิดใจ ท่านก็จะเขียนโยงเข้าหาหลักธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็ส่งทุกเช้า จากนั้นก็รวมเป็นเล่ม
ท่านเจ้าคุณวีระต้องบอกว่าเป็นตัวอย่างของความเพียร สอบประโยค ๖ ได้แล้วไปตกประโยค ๗ ท่านก็เลยขอเป็นพระครูศรีฯ เพราะว่าพระครูสัญญาบัตรถ้าเป็นประโยค ๖ จะขึ้นต้นด้วยคำว่าศรี เป็นพระครูศรีกิตติสุนทรอยู่หลายปีเต็มที ๒๑ ปีให้หลังสอบประโยค ๗ ได้ จากพระครูศรีฯ เลยเลื่อนเป็นเจ้าคุณวิสุทธิพงษ์เมธีโดยอัตโนมัติ เพราะว่าเปรียญเอกเป็นสิทธิของเจ้าคุณ ปรับเลื่อนโดยอัตโนมัติ
ตอนแรกก็คิดว่าท่านจะพรรษามากกว่า ปรากฏว่าพอถึงเวลาท่านมากราบก็ตกใจ ตกลงใครพรรษามากกว่า ? “อ๋อ...อาจารย์เล็กมากกว่าครับ”
"เดี๋ยวนี้พออยู่ไปนาน ๆ แล้วอายุพรรษามากขึ้นเรื่อย ๆ เจอหน้าพระ พอถามว่าพรรษาเท่าไร ? ส่วนใหญ่มักยืนยันว่าท่านน้อยกว่า เพราะว่าท่านดูอายุกาลพรรษาพระอาจารย์เล็กจากในประวัติเรียบร้อยแล้ว
วันก่อนวันเกิดเจ้าคณะอำเภอ ท่านพระครูกาญจนโชติ “กราบขอพรหลวงพ่อรองอำเภอหน่อยครับ” ก็เลยบอกท่านว่า “ขอให้ได้อยู่ทำงานเพื่อคณะสงฆ์ไปจนถึงเกษียณนะครับ” ท่านก็หัวเราะ “ผมวางแผนเกษียณพร้อมกับรองอำเภอวัดเขื่อนวชิราลงกรณ” บรรลัยเลย..! เล่นจะไปยกทีมอย่างนั้น อาตมาก็ตายอยู่คนเดียวสิครับ เพราะว่าวัดเขื่อนฯ ท่านจะ ๘๐ ปีอยู่แล้ว ทางพระท่านให้เกษียณที่อายุ ๘๐ ปี
เพื่อนต่างจังหวัดเขาถามว่าอาจารย์เล็กทำไมไม่เอาเสียเอง ? ก็หลวงพ่อวัดเขื่อนฯ ท่าน ๗๐ กว่าแล้ว ให้ท่านเป็นจนเกษียณผมยังอายุไม่เท่าท่านตอนนี้เลย แล้วผมจะรีบไปเอาทำไม ? เพราะว่าตำแหน่งก็มาพร้อมกับหน้าที่ อาตมาไม่ได้อยากเหนื่อย แต่ว่าท้ายสุดหลวงพ่อเจ้าคณะภาคท่านก็ตั้งให้เป็นจนได้ พอกติกาครบตั้งให้เป็นขึ้นมา คราวนี้เจ้าคณะอำเภอกลับวางแผนจะลาออก ขอเกษียณตัวเอง"
"อยู่ไป ๆ อายุการพรรษามากขึ้น ๆ แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่อายุกาลพรรษามากกว่า แต่ว่าท่านให้การยอมรับเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติแล้วก็ความรู้ความสามารถ ก็เลยตอนนี้ไปไหนมีแต่โดนยันไปนั่งข้างหน้า ต้องบอกว่าผลกรรมเก่า ๆ ที่ทำมา
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเลยว่า การถวายตาลปัตรแก่พระสงฆ์ ถวายธรรมาสน์ ถวายอาสนะ ตาลปัตรอยู่หน้าสุด ธรรมาสน์กับอาสนะมีแต่เสริมให้สูงขึ้นมา คราวนี้ของหน้าสุดก็มี ของเสริมให้สูงก็มี พออานิสงส์ส่งผลก็เป็นอย่างเอ็งนี่แหละ..!"
"เมื่อเช้านี้ท่านเจ้าคุณวีระเขียนเรื่องทุกข์ใจเพราะงาน ส่วนวันนี้เขียนเรื่องทุกข์ใจเพราะตกงาน สรุปแล้วมีแต่ทุกข์ทั้งคู่ แต่ท่านเป็นคนเขียนหนังสืออ่านง่าย ก็คือสามารถย่อยสลายหลักธรรมของพระพุทธเจ้าลงมาเป็นภาษาง่าย ๆ ได้ ท่านพิมพ์มาหลายเล่มแล้ว ถึงเวลาก็ออกเป็นหนังสืออาหารใจยามเช้า มาเป็นเล่ม ๆ เลย"
ถาม : คนละอย่างกับกระโถนข้างธรรมาสน์ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน ของท่านออกมาเป็นแนววิชาการ เขียนอะไรต้องมีอ้างอิง ต้องมีหลักฐาน มาจากพระไตรปิฎกเล่มไหน ข้อไหน ออกไปลักษณะวิชาการมาก กระโถนข้างธรรมาสน์ออกไปแนวไร้สาระ แต่คราวนี้ก็อย่างว่า ของอาตมาได้เปรียบตรงที่ว่ามีครูบาอาจารย์ดี พอถึงเวลาอะไรที่เหมาะกับยุคสมัยท่านจะให้ทำอย่างนั้น พอนาน ๆ ไปกระโถนข้างธรรมาสน์ก็อาจจะกลายเป็นสาระเนื้อหาหนักเกินไป แต่ว่าเหมาะกับยุคนี้ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ออกมา ๑๙๐ ฉบับแล้ว ใครจะไปนึกว่าอยู่ยั้งยืนยงมาได้ขนาดนี้
ถาม : คำว่า คนแก่ หรือผู้สูงวัยในทางธรรม บอกอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : อนิจจา วต สังขารา ชัดเจนที่สุด ส่วนอื่น ๆ ก็เหลือแต่ว่ามีคุณความดีส่วนตัวเท่าไร วัยวุฒิได้แล้ว คุณวุฒิอาจจะได้ด้วย
คราวนี้บางทีวัยวุฒิได้ คุณวุฒิไม่ได้ คุณวุฒิเป็นความดีส่วนตัวที่คนอื่นเขายอมรับ บางคนวัยวุฒิน้อยแต่คุณวุฒิสูงมาก คนให้การยอมรับ ก็จำเป็นต้องแบกภาระหน้าที่ไป
อาตมาเองนี่วัยวุฒิได้ คุณวุฒิได้ แต่หน้าตาดันไม่ไปด้วย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร โดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสตัฟฟ์เอาไว้แค่นี้ ท่านเจ้าคุณอนันต์ตอนที่ยังอยู่ ไม่ได้เจอหน้ากัน ๑๐ กว่าปีเกือบ ๒๐ ปี ไปถึง “ไอ้ท่านนี่ไม่ยอมแก่กับใครเลย” กราบเรียนว่า “แก่ครับ เพียงแต่ท่านเจ้าคุณไม่ได้สังเกต ผมได้แว่นเพิ่มมาอันหนึ่ง” “เออ..ใช่”
เวลาไปร่วมงานกันกับพรรคพวกเพื่อนฝูง ส่วนใหญ่เขาแซงกันไปหมด ก็แบบเดียวกับหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอนั่นแหละ ปีนี้ท่านทำบุญอายุ ๕๔ ปี สงสารท่านมากเลย ผมขาวเกือบหมดหัวแล้ว เพราะว่างานคณะสงฆ์ทั้งอำเภอจึงเครียดมาก แล้วคราวนี้ท่านเองไม่ใช่นักปฏิบัติโดยตรง แต่ว่ามีอะไรท่านก็จะถาม อย่างเช่น “อาจารย์เล็ก ลูกศิษย์ผมจะไปจับใบดำใบแดง มีคาถาแคล้วคลาดไหมครับ ?” ท่านใช้คนเป็นนะ พอถึงเวลาก็ไปบอกให้เขาภาวนาไปก่อนเลย ๑ ชั่วโมงเต็ม ๆ ถามว่าทำไมต้องนานขนาดนั้น ? เขาต้องการความมีสมาธิ ถ้าให้ภาวนาไม่กี่นาทีสมาธิจะไม่พอ
ประเดี๋ยวถึงเวลาท่านก็โทรมา “อุ๊ย...ขนลุกหมดเลย คาถาอาจารย์เล็กได้ผลจริง ๆ ด้วย” ก็เขาไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้ว ก็จำเป็น แต่คราวนี้อย่างน้อยเราต้องมีหลักประกันว่าเขาจะได้สมาธิจริง ๆ ก็เลยเอาไปเลยชั่วโมงหนึ่ง ก็แบบเดียวกับเมื่อเช้าที่มา เขามาบอกว่าแย่งกันสอบเข้าตำรวจเป็นแสน เขาเองไม่ได้อ่านหนังสือ แค่ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์แล้วสอบได้ เขาทำได้ก็ถือเป็นความสามารถส่วนตัว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอความกรุณา ใครไปเที่ยวกรุณาอย่าซื้อของมาฝาก..ขี้เกียจรับ คืออาตมาไปเองก็ซื้อของแค่ชิ้นเดียว แต่โยมซื้อมาฝากกันทีคนหนึ่ง ๒-๓ สามชิ้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ไดโนเสาร์ ชื่อวัดเป็นทางการ คือ วัดสักกะวัน คือป่าไม้สัก ชาวบ้านเรียกวัดภูกุ้มข้าว ที่มีฟอสซิลไดโนเสาร์เยอะ ๆ เขาก็เลยเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รับราชการหรือว่าทำงานบริษัท ก็ล้วนแล้วแต่หวังความก้าวหน้า เพราะฉะนั้น..สำคัญที่ผู้บริหาร ถึงเวลาก็ต้องมีรางวัลให้ แต่ก็อย่างว่า...ตำแหน่งน้อยคนมาก ทำอย่างไรที่จะจัดสรรให้พอดี ให้พอเหมาะพอสม ก็ต้องบอกว่าเป็นศิลปะในการปกครองคนอย่างหนึ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องกล้าตัดสินใจแล้วก็กล้ารับผิดชอบ ก็คือผิดก็ต้องกล้ารับ ชอบก็ต้องกล้ารับ ชอบตัวนี้ไม่ใช่ Like ชอบตัวนี้คือถูก ไม่ใช่ Like แต่เป็น Right ภาษาไทยกับอังกฤษก็คล้าย ๆ กัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเขาส่งคลิปมาให้ดู ที่เขาประกาศให้วันที่ ๕ ธันวาคมเป็นวันกษัตริย์โลก พยายามฟังเลขานุการ UN ประกาศ เออ...เจ้านี่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวก็ Siamese People เดี๋ยวก็ Thai People มึงจะบ้าหรือ ? คือคนสยามแล้วก็คนไทย
ในเมื่อเป็น Siamese คุณไม่ต้องมี People ต่อท้าย Siamese บอกอยู่แล้วว่าคนสยาม ก็แบบเดียวกับสมัยก่อน Burma คือประเทศพม่า แต่ Burmese คือคนพม่า คำระบุชัดอยู่แล้ว ระดับเลขา UN ดันไปต่อ People น่าทุบหัว..! บ่น ๆ ไปพระท่านก็หัวเราะ บอกว่าเอ็งไม่ต้องหัวเราะหรอก ข้ารู้ภาษาอังกฤษไม่เยอะหรอก แต่ดันรู้เยอะกว่าไอ้นี่"
"สมัยก่อนเราเรียกประเทศสยาม ภาษาอังกฤษเขียนว่า Siam ตรง ๆ เลย แต่ฝรั่งอ่าน Si-am เพราะฉะนั้น..คนสยามก็เลยเป็น Siamese เราก็มีชื่อเสียงหลายอย่าง Siamese Cat แมวเก้าแต้ม บางคนเรียก Chocolate Point แล้วก็ Siamese Talk พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย เพราะว่าช่วงสงครามโลก ของเราฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าเราเป็นฝ่ายญี่ปุ่น อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะว่าเรามีเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่น คำว่า Siamese ก็เลยมีทั้งความหมายที่ดีแล้วก็ไม่ดีอยู่ในที่เดียวกัน
พอมาสมัยรัชกาลที่ ๖ เปลี่ยนเป็นประเทศไทย ไทยตัวนี้จริง ๆ ไม่มี ย.ยักษ์ตามหลัง ไท ในความหมายนี้คือ เป็นอิสระ เป็นใหญ่ด้วยตัวเอง พอไปใส่ ย.ยักษ์ตามหลัง ไทยกลายเป็น ผู้ให้ ไทในความหมายดั้งเดิมแปลได้อีกอย่างว่า คน
อย่างสมัยก่อนเขาก็มีไทดำ ไทแดง ไทลาว ไทอาหม เวลาไปเขตปกครองตัวเองกวางสีจ้วงหรือไปแถวยูนาน เจอคนไทยเก่า ๆ ก็ถาม “มึงเป็นไทยบ้านใด๋ ?” ก็คือเป็นคนบ้านไหน"
"คำศัพท์คำเดียวแปลได้หลายความหมาย แต่ว่าพอเป็นประเทศไทย คนจีนเขาเรียกภาษาจีนกลางว่า “ไท่กว๋อ” ถ้าเป็นแต้จิ๋วก็ “ไท่ก๊ก” ถ้าเป็นของเก่าก็ “เสียมก๊ก” ประเทศสยาม ถ้ารุ่นเก่าขึ้นไปอีกบันทึกก็เป็น “เสียมหลอฮกก๊ก” หลอฮก ก็คือละโว้ ก็คือสยามละโว้
ถ้าเป็น “เสียมโถโลโปตี” เก่าหนักเข้าไปอีก สยามทวาราวดี เวลาสอนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ บางทีก็บอกว่าพระเถระชาวเขมรมีชื่อเสียงมาก ช่วยแปลวิมุตติมรรคไว้ให้จีน ได้รับการบันทึกเอาไว้ในจดหมายเหตุของจีนว่า หนังสือลงว่า “เส็งโปโลสังฆปาละ” เออ..บ้า...ก็คือท่านสังฆปาละ แต่คนจีนเรียกเส็งโปโล คนแปลไปแปลซ้อนกัน
ประเทศจีนดีอยู่อย่างหนึ่ง อะไรเข้าไปเปลี่ยนชื่อเป็นจีนหมด ไม่มีชื่อภาษาอื่นเลย"
"บ้านเราจริง ๆ จะว่าไปแล้วก็คือ คนแต้จิ๋วเข้ามามากในยุคปลายอยุธยาแล้วก็ธนบุรี เพราะว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านเป็นเชื้อจีนแต้จิ๋ว ถึงเวลามีคนเชื้อชาติเดียวกับตัวเอง หรือแซ่เดียวกับตัวเองเป็นใหญ่เป็นโต เขาก็แห่กันมาพึ่ง บ้านเราก็เลยมีจีนแต่จิ๋วมาก ทำให้พวกวรรณกรรมจีนรุ่นแรก ๆ มาจนกระทั่งถึงนิยายกำลังภายใน แปลเป็นภาษาแต้จิ๋วเสียเกือบทั้งหมด
วรรณกรรมจีนเรื่องแรกเลยที่แปลเป็นจีนกลาง ไม่ใช่ฮกเกี้ยน ไม่ใช่แต้จิ๋ว ลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐวันอาทิตย์ พระเอกชื่อติงหลาน ประกาศิตเหยี่ยวพญายม ไอ้ติงหลานนี่ถ้าแปลแบบแต้จิ๋วเดิมก็คือเต็งลั้ง พอมาตอนหลังความนิยมในการเรียนภาษาจีนมีมากขึ้น ๆ คนรู้ภาษาจีนกลางมากขึ้น เรื่องถัด ๆ มาก็เลยแปลเป็นภาษาจีนกลาง ยุคท้าย ๆ อย่างชอลิ้วเฮียง มาเป็นจีนกลางก็เป็นฉู่หลิวเซียง ถ้านักเขียนก็จากโกวเล้งกลายเป็นกู่หลง เหง่ยคังกลายเป็นอี้กวง"
มีคนนำสมเด็จพระคำข้าวมาถวายเป็นร้อยองค์ "ใครต้องการสมเด็จคำข้าว ไปใช้คู่พระคาถาเงินล้าน ลงไปบูชาที่ห้องข้างล่าง มีจำหน่ายองค์ละ ๑,๕๐๐ บาท พร้อมกรอบสแตนเลส ต้องบอกว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ต้องขยันภาวนาพระคาถาเงินล้าน พระคาถาเงินล้านก็ต้องใช้คู่กับสมเด็จคำข้าวมหาลาภ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถ มีชื่อเสียง ญาติโยมไปรบกวนหัวไม่วางหางไม่เว้น เวลาพักผ่อนไม่มี ก็ทำให้ท่านอายุสั้นไปด้วย อย่างหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค มรณภาพตอนอายุ ๖๓ ปี นั่นเยอะมากแล้ว อย่างหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อายุ ๖๐ ปีเอง หลวงพ่อเต่า วัดน้ำพุ อายุ ๕๘ ปี
หลวงพ่อเต่า วัดน้ำพุ ก็คล้าย ๆ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็คือรักษาโรคไสยศาสตร์สารพัด ชาวบ้านแห่กันไปวันหนึ่งเป็นพัน ท้ายสุดท่านเองช่วยเขาจนไม่ได้พักผ่อน อายุแค่ ๕๘ ปีก็มรณภาพ
หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ คนก็แห่กันไปหาท่าน ปัจจุบันนี้นักการเมืองในบริเวณภาคกลางแถวนั้น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ถ้าไม่มีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ ไม่ต้องไปลงสมัคร ไม่มีทางสู้คู่แข่งที่เขามีได้"
"ตอนแรกคณะลิเกหอมหวลที่ไม่ค่อยจะมีงาน ท่านจึงลงตะโพนให้ ปรากฏว่ากลายเป็นคณะลิเกที่โด่งดังที่สุดของประเทศไทย คนอื่น ๆ อยากได้บ้าง ท่านจึงต้องทำขึ้นมา พวกนักการเมืองเขาต้องการเรื่องชื่อเสียง แต่ละคนแสวงหา บางรายสู้ราคาเป็นแสนเลยก็มี ส่วนมะเฟืองนี่เขาเอาไว้หนุนฐานะ คำว่า เฟือง ออกเสียงคล้าย เฟื่อง เฟื่องฟู
หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ คล้าย ๆ กับหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม สร้างวัตถุมงคลอะไรก็ดังทุกอย่าง แต่ว่าตะโพนหลวงพ่อภักตร์ ระยะหลังนี่คนปลอมกันมาก ต้องดูเป็น ตะโพนหลวงพ่อภักตร์เป็นเขากวาง คนปลอมส่วนใหญ่ไม่รู้ จะใช้งาช้างทำปลอม แล้วก่อนที่ท่านจะใส่ขั้วแขวนตะโพน ท่านจะบรรจุผงวิเศษไว้ด้วย ถ้าส่องดูไม่มีผงนี่ ไม่ต้องไปจับ ของปลอมแน่นอน ขอยืนยันว่าเป็นผงนะ ผงผสมกาว ไม่ใช่ว่าประเภทเอากาวมาอุดเฉย ๆ ดูความเก่าของขั้วแขวน ดูผง ดูเนื้อ ของปลอมส่วนใหญ่จะทำด้วยงาช้าง"
"บรรดาเกจิอาจารย์ของจังหวัดอ่างทอง ต้องบอกว่าเป็นแหล่งรวมเบี้ยแก้ ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่
เบี้ยแก้ของหลวงพ่อภักตร์แพงที่สุด หายากที่สุด แต่ของหลวงพ่อภักตร์ไม่ติด ๑ ใน ๕ เบี้ยแก้ของประเทศไทย เพราะว่าหายาก ไม่ค่อยมีหมุนเวียนในตลาด ไปติดของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำแทน คืออะไรที่หายากไป บางทีไม่ติดอันดับ เพราะว่าคนไม่มี เบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ตัวแรก อาตมาบูชามา ๔๕,๐๐๐ บาท เจ้าของเขายังทำท่าไม่อยากจะขาย"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่บูชาวัตถุมงคล "ถ้าไม่ใช่เงินเหลือเฟือ อย่าไปดูของแพง ของแพงเขาไว้สำหรับคนที่ไม่เดือดร้อน บางคนเขาบอกว่า ชีวิตนี้เราไม่มีวาสนาที่จะได้สมเด็จวัดระฆังไว้ครอบครอง เพราะว่าแพงเกินเหตุ ก็เลยมีแต่นักการเมือง มีแต่เศรษฐีที่ครอบครองพระสมเด็จวัดระฆังเสียส่วนใหญ่
จึงมาตัดพ้อต่อว่าว่าเขาทำบุญอะไรเอาไว้ ? คนจะรวย ต้องมีทานบารมีมาก่อน โดยเฉพาะสังฆทาน ในอดีตเขาได้ทำเอาไว้ ปัจจุบันเขามีฐานะดี เราจะไปว่าอะไรได้"
"ไม่เหมือนกับอินทกเทพบุตร ใส่บาตรทีเดียวรวยอื้อไปเลย ถามว่าอินทกเทพบุตรรวยขนาดไหน ? รวยบุญ..รวยชนิดที่แม้แต่พระอินทร์มา ท่านก็ไม่ต้องลุกให้ อย่างปัจจุบันในจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าหากว่าพระเถระมา ทั้งจังหวัดมีที่อาตมาต้องลุกให้ท่านนั่งไม่ถึง ๑๐ รูป ส่วนใหญ่ท่านหลบไปนั่งข้างหลังกัน ท่านบอกว่าให้พระอาจารย์เล็กนั่งข้างหน้า เพราะว่าทำบุญมาต่างกัน"
"อินทกเทพบุตรใส่บาตรครั้งเดียวในชีวิต แต่ต้องบอกว่าบังเอิญมาก เพราะว่าพระ ๖ รูปที่ไปรับบาตรเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด อานิสงส์ของพระอริยเจ้าระดับสูงสุด บวกกับอานิสงส์สังฆทาน เพราะว่าไปเกิน ๔ รูป สองอย่างรวมกันเข้าไป...มากจนไม่ต้องนับ ขนาดพระอินทร์มายังไม่ต้องหลีกให้เลย เป็นลูกน้อง แต่ผู้บังคับบัญชาการสูงสุดใน ๖ ชั้นสวรรค์มาถึง ยังไม่ต้องลุกให้
ส่วนอังกุรเทพบุตรทำบุญ ทำทาน เปิดโรงทาน ๔ มุมเมือง ให้ทานทั้งกลางวันกลางคืนตลอด ๒๐,๐๐๐ ปี ใครมาก็ต้องลุกให้เขา เพราะว่าท่านไปทำทานในยุคที่โลกไม่มีศีลไม่มีธรรม ให้ทานแก่บุคคลที่ไม่มีศีล ดีกว่าให้ทานสัตว์เดรัจฉานหน่อยเดียวเท่านั้น"
"พวกเราถ้ามีโอกาสก็ทำบุญเป็นสังฆทานเอาไว้ เนื่องจากสังฆทานไม่จำกัดที่ผู้รับ เพราะว่าผู้รับเป็นเพียงตัวแทนของคณะสงฆ์เท่านั้น ผู้รับจะอีเหละเขละขละขนาดไหนก็ถวายไปเถอะ แบบเดียวกับที่เศรษฐีถวายสังฆทานด้วยความเคารพนบนอบสุดชีวิต แล้วก็ช่วยยกไทยธรรมไปส่งที่วัด ก่อนที่พระท่านขึ้นกุฏิ จะต้องล้างเท้าก่อน เนื่องจากสมัยนั้นพระท่านเดินเท้าเปล่า
เศรษฐียืนขวางตรงที่ล้างเท้าอยู่ พระท่านหยิบขันไม่ได้ พระท่านขอให้ช่วยหยิบขันล้างเท้าให้หน่อย เศรษฐีจึงเอาเท้าเขี่ยให้ คนเห็นก็สงสัย เมื่อสักครู่นี้เพิ่งจะถวายสังฆทานด้วยความเคารพสุดชีวิต ตอนนี้มาถึงกุฏิพระ ดันเอาเท้าเขี่ยให้ เศรษฐีบอกว่าท่านถวายสังฆทาน สังฆะ หมายถึง หมู่สงฆ์ทั้งหมด มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ท่านต้องเคารพ แต่ว่าสำหรับพระภิกษุรูปนี้โดยส่วนตัวแล้ว ความประพฤติใช้ไม่ได้ ท่านไม่เคารพ เอาเท้าเขี่ยให้ยังเสียดายเท้า แสดงว่าเศรษฐีท่านแยกแยะออก"
"ถ้าต้องเลือกระหว่างตะโพนกับมะเฟือง อาตมาขอให้เลือกมะเฟือง เพราะว่าหายากกว่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้านี้อากาศที่ตลาดทองผาภูมิ ๑๑.๒ องศาเซลเซียส ที่เกาะพระฤๅษีน่าจะเหลือประมาณ ๘ องศาเซลเซียส ที่เกาะพระฤๅษีจะน้อยกว่าข้างนอกอย่างน้อย ๓ องศาเสมอ แถวเกาะพระฤๅษีกับแถวชะแลคล้าย ๆ กัน เพราะว่าพื้นที่ต่อเนื่องถึงกัน
เคยถามเจ้าที่ว่าทำไมหนาวมาก ? ท่านบอกว่าแร่ธาตุโลหะใต้ดินมีเยอะครับ แร่โลหะพอมีมาก ดูดความร้อนมากหน้าร้อนก็ร้อนจัด พอถึงเวลาคลายความร้อนเร็ว หน้าหนาวก็หนาวจัด
เราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ถ้าอากาศหนาวจัดของภาคกลาง มักจะมีทองผาภูมิติดอันดับอยู่เป็นประจำ สรุปว่ากรมอุตุนิยมวิทยาสู้เจ้าที่ไม่ได้ เจ้าที่ท่านบอกรายละเอียดได้ แร่โลหะข้างใต้ของทองผาภูมิ ส่วนหนึ่งก็คือตะกั่ว โดนปิดเหมืองตะกั่วไป ๔ เหมืองแล้ว ก็คือเหมืองสองท่อ เหมืองคลิตี้ เหมืองพุจือ เหมืองบ้องตี้ เพราะว่าไปทิ้งสารพิษลงในลำห้วยคลิตี้ ทำให้ชาวบ้านเขาป่วยทีเป็นร้อย ๆ คน ต่อสู้กันมาหลายปี ท้ายสุดศาลสั่งปิดเหมืองตะกั่วจนหมด"
"จะว่าไปแล้วคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมก็ไม่รอบคอบ แล้วก็เชื่อคนง่าย เหมืองสองท่อที่น้ำล้างแร่ลงมาที่เกาะพระฤๅษี เขาทำระบบกำจัดสารพิษสุดยอดมาก บ่อท้าย ๆ เขาเลี้ยงปลาให้ดูทุกบ่อ แต่เป็นแค่เหมืองรับแขก ส่วนเหมืองคลิตี้ เหมืองพุจือ เหมืองบ้องตี้ อยู่ลึกเข้าไปอีกมาก รถวิ่งไปอีกหลายชั่วโมง จากเกาะพระฤๅษีวิ่งไปเหมืองคลิตี้ประมาณชั่วโมงครึ่ง แล้วถนนก็เตาขนมครกดี ๆ นี่เอง หน้าฝนต่อให้มีรถขับเคลื่อนสี่ล้อก็ยังอาจจะต้องทั้งขุดทั้งเข็น"
"คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเชื่อคนง่าย...เขาบอกอะไรแล้วเชื่ออย่างหนึ่ง ไม่ยอมลำบากเดินทางเข้าไปให้ถึงที่อีกอย่างหนึ่ง พวกเหมืองลึก ๆ ก็ทำอีเหละเขละขละตามแบบของเขา ปล่อยน้ำที่ล้างแร่ลงไปในลำธารเลย ได้ยินเขาบอกว่าต้องใช้เวลาหลายสิบปีที่จะต้องค่อย ๆ ขุดลอกลำห้วยทั้งสายเพื่อฟื้นฟูใหม่
อาตมาเองธุดงค์ไปอยู่แถวนั้นหลายปี ก็น่าจะกินน้ำในห้วยคลิตี้ไปไม่เบา มิน่าว่าป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่เป็นประจำ แล้วที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ สมัยนั้นถ้าเร่งรีบ วันลาหมด กลัวว่าจะกลับวัดท่าซุงไม่ทัน ก็โบกรถแร่ ซึ่งขนสารตะกั่วมาเต็มท้ายรถของเขา รถ ๑๐ ล้อนั่นแหละ ถึงเวลาก็ยืนมาท้ายกระบะ ขาจมอยู่ครึ่งแข้งบนกองตะกั่วนั่น
ตะกั่วที่ออกมาจากโรงงาน เหมือนอย่างกับบดเป็นผงทราย แล้วก็เปียก ๆ เพราะว่าต้องผ่านการล้าง ผ่านขั้นตอนของเขาออกมา ถึงเวลาพวกคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปตรวจสอบก็เรียบร้อยทุกอย่าง ที่ไหนได้...ชาวบ้านป่วยจะตายกันหมด จนกระทั่งพวกเอ็นจีโอบุกเข้าไปเอาตะกอนลำธารมาตรวจสอบ พบสารตะกั่วล้วน ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนจะชวนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เคยได้ยินภาษิตจีนที่ว่า "ผ่านทะเลเห็นน้ำไร้ความหมาย" ไหม ? ก็คือเห็นมามากกว่านี้แล้ว คนเราถ้าเจอทะเลมา แหล่งน้ำทั่ว ๆ ไปก็กลายเป็นของเล็กของน้อย"
ถาม : วันก่อนที่โดนดุในงานกฐินที่เกาะ หลวงพี่ท่านบอกแล้วครับว่าผิดตรงไหน ?
ตอบ : ถ้ารอคนอื่นเขาบอกแล้วค่อยแก้ไขก็ยาก เราต้องหาเจอด้วยตัวเอง โดยทั่ว ๆ ไปคนอื่นจะไม่บอกว่าเราผิดพลาดตรงไหน เพราะว่าเกรงใจเรา ถ้าเราไม่รู้ด้วยตัวเองก็แก้ไขไม่ได้ตลอดชีวิต
ถาม : ระหว่างทองคำบริสุทธิ์กับทองคำบางสะพาน จะนำไปหล่อพระ อานิสงส์ไหนดีกว่าครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่ามีไหม ? หากว่ามีก็อานิสงส์เดียวกัน ก็คืออานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำเหมือนกัน ทองบางสะพานเป็นทองธรรมชาติ บางทีมีสิ่งปนเปื้อนอยู่ ถึงเวลาหลอมไปแล้วก็อาจจะทำให้เนื้อหาหายไปส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นทองคำแท่งที่ซื้อมาจากทางร้าน เขาหลอมมาดีแล้ว เนื้อหาก็จะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ทองคำเป็นโลหธาตุพิเศษ มีความขลังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว เป็นธาตุโลหะที่ไม่เป็นสนิม แล้วที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือ ดวงดาวอื่น ๆ ก็เห็นว่าทองคำเป็นโลหะที่มีค่าเหมือนกัน ฉะนั้น..หลายดวงดาวใช้ทองคำเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนเหมือนกับเงินในโลกของเราเลย
เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่าจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวที่ประกอบด้วยมนุษย์และสัตว์นับแสน ๆ ดวง ทำไมดวงอื่นเขาก็รู้เหมือนกันว่าทองคำเป็นโลหะมีค่า ? อย่างดวงดาวบางดวงเพชรพลอยสำหรับเขาไม่มีค่า เหมือนกรวดเหมือนทรายบ้านเรา เพราะว่ามีจำนวนมาก แต่ว่าทองคำกลับเป็นโลหะธาตุที่ทุกที่เขายอมรับว่ามีค่า
สาเหตุหนึ่งก็น่าจะเกิดจากทองคำไม่โดนกัดกร่อนตามธรรมชาติ เป็นโลหะที่ไม่ขึ้นสนิม ในเมื่อเป็นโลหะที่ไม่ขึ้นสนิม ไม่มีการกัดกร่อนตามธรรมชาติ ก็อยู่ยั้งยืนยง มีอย่างเดียวคือถ้าอยู่เป็นหมื่นเป็นแสนปีก็จะสูญเสียประกายไป ต้องเอามาขัดมาหลอมใหม่
อาตมาเคยมีพระกรุหลายองค์ที่โบราณเขาสร้างด้วยทองคำ มาถึงรุ่นของเรากลายเป็นสีเหลืองซีด ๆ เก่า ๆ แต่ทองคำก็คือทองคำ หลอมใหม่เมื่อไรก็สดใสเมื่อนั้น ปัจจุบันนี้ทองคำถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันความมั่นคง ประเทศจีนใช้วิธีทยอยซื้อทองคำ ปัจจุบันประเทศจีนมีทองคำเป็นทุนสำรองน่าจะถึงระดับหมื่นตันแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะไปเข้าใจว่าบ้านเติมบุญกับบ้านสายลมรับสังฆทานพร้อมกัน โปรดอย่าเข้าใจผิด...บ้านเติมบุญมีกำหนดการทั้งปี ออกตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่มีการออกทีละขยัก เพราะว่าทุกอย่างต้องพร้อม ไม่อย่างนั้นแล้วถ้ากิจการงานอื่นแทรกเข้ามาก็บรรลัยเลย"
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่เด็ก "เลี้ยงลูกอย่ารักลูกมากเกินไป ปล่อยทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ บ้าง จะได้เอาตัวรอดเป็น ไม่อย่างนั้นแล้วจะออกสังคมไม่ได้ สังคมยุคนี้เป็นยุคคนกินคน..! ถ้ามัวแต่ไปปกป้องดูแลเหมือนไข่ในหิน ถึงเวลาออกไปก็โดนเขากินหมด..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยุคพระศรีอาริยเมตไตรยก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ยุคนั้นถ้าคนลงจากบ้านจะจำกันไม่ได้ เพราะว่าหน้าตาออกมาจาก "ยันฮี" เหมือนกันหมด อันนั้นเขาสวยด้วยบุญนะ ไม่ได้สวยด้วยมีดหมอ อาตมาเห็นสมัยนี้แล้วยังขำ ๆ หลายรายหน้าตาพิมพ์เดียวกัน ถึงเวลาคนอื่นจำผิด ถ่ายรูปติดกล้องไป ไอ้เจ้านี่ก็ซวยด้วย กว่าจะยืนยันตัวเองได้ว่าไม่ได้ทำความผิด ก็โดนสอบสวนไปหลายยก
ตอนนี้ส่วนที่น่ากลัวที่สุดคือบรรดาคุณหมอ หมอจะตกงาน ปัจจุบันนี้หมอคนหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยกับคนไข้ ๑๒ นาที สามารถวินิจฉัยโรคได้ ๗๒ เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญญาประดิษฐ์ใช้เวลากับคนไข้ ๓ นาที วินิจฉัยโรคได้ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ จ่ายยาเก่งกว่าหมออีก เป็นการระดมความรู้จากทั้งโลกมารวมกัน"
พูดถึงโยมที่กำลังตั้งครรภ์ "หลายรายทำบุญมาดี ไม่ต้องทรมานมากกับการคลอด เขาบอกว่าเขารู้สึกปวดท้องเหมือนจะถ่ายหนัก เบ่งหน่อยเดียว ลูกก็ออกมาแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรกับใคร ต้องบอกว่าทำบุญไว้ดีเกินไป
ส่วนบางรายก็ปวดท้องไปเถอะ ๓ วัน ๕ วัน ท้ายสุดหมอเขาก็เลยสั่งผ่าทั้งหมด ต่อให้เราไม่ผ่าเขาก็จะผ่า จะขู่เราว่า มดลูกเปิดแล้วบ้าง น้ำคร่ำแห้งแล้วบ้าง เด็กจะอันตราย พ่อแม่ก็ประสาทกลับ ยอมให้ผ่าแต่โดยดี
สมัยก่อนเขาบอกว่าแม่คลอดลูกเหมือนไปศึกไปสงคราม ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือเปล่า ? สมัยนี้แม่คลอดลูกก็ยังเหมือนไปศึกไปสงครามอยู่ แต่รอดแน่นอน แต่ที่เหมือนไปศึกไปสงคราม เพราะว่าได้บาดแผลติดตัวมา โดนหมอผ่า..!"
"งานนี้พระครูวิโรจน์กาญจนเขต อดีตพระมหานัทกฤต ทีปงฺกโร ให้หมอเจาะสันหลัง ก่อนจะไปให้หมอเจาะ โทรมา "หลวงพ่อครับ ขอเป็นวัณโรคนะครับ ไม่เป็นมะเร็ง" "เออ..ของอย่างนี้เลือกได้ด้วยนะ" ไม่ทราบว่าไปติดเชื้ออะไรมา ตอนนี้ผอมกะหร่องเลย
ท่านบอกว่าที่ท่านเลือกวัณโรค เพราะว่าสมัยนี้วัณโรครักษาง่าย แต่มะเร็งยังไม่มียาอะไรรักษาได้แน่นอน ท่านก็เลยบอกว่า "หลวงพ่อครับ ขอเป็นวัณโรคนะครับ ไม่เอามะเร็ง" หุ่นผอม ๆ แบบนี้ก็น่าจะมะเร็งรับประทาน ตอนนี้น้ำหนักคงจะเหลือไล่ ๆ อาตมา แล้วเทอมนี้ให้ท่านช่วยสอนวิชาวิสุทธิมรรคศึกษาแทนด้วย ยังถามท่านว่าไหวไหม ? "ยังไหวครับ" "ถ้าไหวก็ไปสอน" ทีนี้ถ้าหากว่าเป็นวัณโรคก็คงจะได้ใส่หน้ากากสอน"
โยมเอาวัตถุมงคลมาให้ดู "องค์นี้น่าจะเป็นผงมหาโสฬส ลองไปหาข้อมูลดู เพราะว่าเนื้อเป็นสีขาว ผงคลุกรักออกสีน้ำตาลเข้มจนดำ เป็นเนื้อผงมหาโสฬสก็ถือว่าโชคดี หายากกว่าหลายเท่า ที่เขาต้องคลุกรักเพราะว่าต้องการเพิ่มเนื้อ จะได้สร้างได้มากองค์ขึ้น
คุณลองคิดดูว่าต้องใช้ชอล์กค่อย ๆ เขียน ค่อย ๆ ลบ กว่าจะได้ผงพอทำพระองค์หนึ่งนี่นานแค่ไหน ? แล้วยังเสกอีก ๓ ปี กว่าจะเขียนเสร็จ กว่าจะสร้างพระ กว่าจะเสกเสร็จ ไม่หนี ๔ - ๕ ปีเข้าไปแล้ว"
พระอาจารย์เตือนว่า "เตรียมพร้อมรับมือภัยแล้งแต่เนิ่น ๆ นะ ตุนน้ำเอาไว้ในบ้านบ้าง หาถัง ๕๐ ลิตร ถัง ๑๐๐ ลิตร ถังสีฟ้า ๆ มาใส่น้ำไว้สัก ๒ - ๓ ถัง เผื่อน้ำมาไม่พอใช้ จะได้มีใช้อีกสักวันสองวัน ญาติโยมยังไม่เจอความอนาถของคนเมืองแบบอาตมา สมัยประมาณปี ๒๕๑๙ - ๒๕๒๐ เข้ากรุงเทพฯ มา จะหุงข้าว ต้องลุกขึ้นมารองน้ำตั้งแต่ตี ๔ ถึงจะมีน้ำพอหุงข้าว ถ้าจะซักผ้าก็ต้องตื่นมารองน้ำตั้งแต่ตี ๒
สมัยนั้นน้ำหายาก โทรศัพท์หายาก วางมัดจำ ๓,๐๐๐ บาท ขอโทรศัพท์บ้าน ๑๐ ปียังไม่ได้เลย พอองค์การโทรศัพท์เริ่มฟื้นตื่น ออกหมายเลขโทรศัพท์บ้านสองล้านหมายเลขมาได้ไม่กี่วัน มือถือก็ตามมา โทรศัพท์บ้านตายเกลี้ยง..!
ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ตายโคม ตายโคมก็คือไข่กำลังจะฟักเป็นตัวแล้วตายคาไข่"
"เทคโนโลยีแต่ละอย่างไปเร็วมาก ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือทำหน้าที่แทนโทรทัศน์ แทนโทรศัพท์ แทนคอมพิวเตอร์ แทนเครื่องคิดเลข แทนนาฬิกา แทนกล้องถ่ายรูป เพราะฉะนั้น..อย่างอื่นที่ว่ามานี่จวนจะตายหมดแล้ว
ความเจริญเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่ให้เขาสนับสนุนให้เรามีความคล่องตัว ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรม หรือการดำเนินชีวิตทางโลก แต่อย่าให้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้เรื่องการกีฬาของบ้านเราค่อนข้างจะตกต่ำ ๘ ปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลไทยตกรอบแรกซีเกมส์ แต่ขอโทษ..เขมรเข้ารอบไปแล้ว
เราจะเห็นว่าในระดับเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นกีฬามหาวิทยาลัยโลก หรือในระดับที่ยังใช้นักศึกษาแข่งขันอยู่ ของเราสู้ได้ทั้งโลก แต่พอถึงระดับชาติ ระดับผู้ใหญ่เมื่อไร เรื่องของผลประโยชน์จะเข้ามา เพราะว่ามีผู้สนับสนุน มีเงินเดือน มีเงินพิเศษ ในเมื่อมีผลประโยชน์เข้ามา ก็เลยทำให้ทุกอย่างต่อรองกันด้วยผลประโยชน์ ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม แล้วความก้าวหน้าจะมีมาจากไหน ?"
โยมมาขอพรปีใหม่ "ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๓ ไม่ว่าท่านจะปรารถนาสิ่งใด ถ้าหากว่าเป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอให้ความปรารถนานั้นจงสำเร็จทุกประการด้วยเทอญ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้ต้องหนีงานตรงนี้ ไปรับรางวัลอีกแล้ว รางวัลหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ ไม่น่าเชื่อว่าทำไปทำมาจนเป็นต้นแบบ แต่การเป็นต้นแบบนั้นไม่ค่อยดี เพราะว่าคนไปดูงานแต่ละครั้ง ทางเราจะมีค่าใช้จ่ายสามหมื่นสี่หมื่น ต้องเลี้ยงเขา ต้องเรียกคนเอางานมาให้เขาดู ต้องมีรางวัลนักแสดง แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ควักได้ก็ควักไปเรื่อย บางคนก็ไม่เกรงใจเลย พาเด็กนักเรียนมาดูงาน ๓๐๐ คน ตาย..! เด็ก ๓๐๐ คนนี่กินกระจายขนาดไหน ? แต่ก็เอาเถอะ..อย่างน้อยถ้าสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาได้ก็ทำไป
ปัจจุบันนี้อาตมารับรางวัลค่อนข้างมาก ของพรุ่งนี้เป็นชิ้นที่ ๑๐ ของปีแล้ว ๑๒ เดือนรับ ๑๐ รางวัลนี่โหดเกินไปไหม ? ก็เพราะว่าทำงานต่อเนื่องมาหลายปี ก็เหมือนกับว่าช่วงนี้เป็นช่วงออกดอกออกผล หน่วยงานต่าง ๆ ทุกหน่วยงานที่เคยมาร่วมมือกันเห็นผลงานตรงนี้ ก็ขอรางวัลโน้นให้ ขอรางวัลนี้ให้ ความจริงจะว่าไปแล้วก็ดี เพราะว่ารางวัลที่ได้มา ทำให้บุคลากรที่เราใช้งานอยู่เขามีกำลังใจ แต่ถ้าถามลำพังตัวเองแล้ว เขาจะให้หรือไม่ให้อาตมาก็ทำ ทำจนเข้าเส้นเลือดระดับ "ลิซึ่ม" ไปแล้ว"
"ในเรื่องของการทำความดีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตรัสไว้ว่า ต่อให้เป็นการปิดทองหลังพระ ถ้าเราปิดไปนานมากพอ ก็จะล้นออกมาข้างหน้าแล้วคนเขาเห็นเอง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่อาตมาทำเพราะต้องการรางวัล แต่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก ทำเพื่อค้ำจุนพระศาสนา ถึงเวลาคนเขาเห็น กลายเป็นรางวัลมา ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนทางโลก ๆ แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่านั้น ก็คือการที่คนส่วนใหญ่เข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ของพระพุทธเจ้า เพราะว่านั่นถึงจะเป็นประโยชน์ที่แท้จริง
คราวนี้เรื่องของการช่วยคนเข้าถึงธรรม จะวัดเป็นรูปธรรมได้ยาก ในเมื่อวัดเป็นรูปธรรมได้ยาก ก็ทำให้คนไม่สามารถที่จะให้เป็นรางวัลอะไรออกมายืนยันได้ ไม่อย่างนั้นอาตมาน่าจะได้อีกหลายรางวัล..!"
โยมถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าหนักตัก ๓ เซนติเมตร "พระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นนี้ ต้องบอกว่าเป็นการสร้างแบบธรรมะจัดสรร ที่บอกว่าเป็นธรรมะจัดสรร เพราะว่าครั้งแรกอาตมาสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๑ เซนติเมตร โยมเขาบอกว่า ถ้าได้ใหญ่กว่านี้สัก ๓ เท่าจะกำลังสวย อาตมาก็พาซื่อ ขยายหน้าตักเป็น ๓ เซนติเมตร
ปรากฏว่าหน้าตัก ๓ เซนติเมตรใหญ่กว่าเป็น ๑๐ เท่า ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมะจัดสรร ท่านอาจจะอยากได้ขนาดนี้ เพราะว่าเห็นชัดเจนดี แล้วก็สร้างได้แค่ไม่กี่องค์ เพราะว่าใช้เนื้อเงินเยอะกว่าหลายเท่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาบอกว่าคนจบปริญญาเอกพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง อาตมาเองก็ยังสงสัยว่าตัวเองพูดแล้วคนอื่นรู้เรื่องหรือเปล่า ? ที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะว่าหลายคนขึ้นแล้วลงไม่เป็น สมัยก่อนอาตมาบรรยายร่วมกับ ดร.โกมล แพรกทอง ท่านเป็นคนที่มีความรู้ในสาขาของตนลึกซึ้งมาก แต่เวลาไปบรรยายท่านใช้คำสูง อย่างเช่นว่า อุปโภคบริโภค เศรษฐกิจ ชาวบ้านมีแต่กะเหรี่ยงล้วน ๆ รู้จักแต่ "ออมี ออที" แล้วจะไปทำอย่างไร ? อาตมาก็ต้องไปแปลเป็นไทยให้เขาฟังอีกที ว่าที่พูดมานั้นท่านหมายถึงอะไร"
"ที่เขาบอกว่าบางคนจบปริญญาเอกแล้วพูดไม่รู้เรื่อง ก็คือลักษณะอย่างนี้ ติดวิชาการมากเกินไปจนใช้ภาษาชาวบ้านไม่เป็น
สมัยก่อนที่ยังทำงานอยู่ส่วนเผยแผ่จริยธรรมของกรมป่าไม้ เวลาบรรยายให้ทางด้านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตก็ดี หรือว่าการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยก็ดี บางทีอาตมามีแค่ชั่วโมงถึงสองชั่วโมง แต่พอพูดไปพูดมา พวกวิทยากรเขาบอกว่า "หลวงพ่อว่ายาวไปเลยครับ" โดนไป ๖ - ๗ ชั่วโมงก็มี เพราะว่าคนอื่นพูดแล้วชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง นั่งหลับกันหมด แต่อาตมาก็ชอบนะ เพราะว่าได้ค่าพูดชั่วโมงละ ๘๐๐ บาท..!
เขาเรียกว่าขึ้นแล้วลงไม่เป็น เหลียวหลังไม่เป็น การปฏิบัติธรรมที่ดีต้องเหลียวหลังแลหน้า มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง ถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับหลักธรรม ? ก็คือหลักวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ทำอะไรไปถึงไหน ? ยังเหลืออีกเท่าไร ? ตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ?"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนท่านเจ้าคุณอนันต์ท่านยังเป็นพระครูปลัดอยู่ ท่านบอกกับบรรดาพระน้อง ๆ ว่า “ถ้าพวกคุณอยากธุดงค์แบบมีเสือมีช้างก็ไปหาท่านเล็กนะ” เจอไป ๒ รุ่นเท่านั้นแหละ ไม่มีใครไปอีกเลย โดยเฉพาะรุ่นของท่านโย
อาตมาถามพวกเขาว่า “ไปธุดงค์ คุณจะฉันหรือไม่ฉัน ? ถ้าจะฉัน ผมจะได้แบกเสบียงไปเผื่อ ถ้าไม่ฉัน ก็ไม่ต้องเอาไป” พวกท่านบอกว่า “ตามใจหลวงพี่ครับ” “ถ้าตามใจผม ก็ไม่ต้องฉัน” หายเข้าป่าไป ๓ วัน พวกท่านบอกว่า “หลวงพี่กลับเถอะครับ ไม่มีแรงจะเดินแล้ว” เดินออกมาเหลืออีกประมาณ ๑๖ กิโลเมตรจะถึงถนน ท่านเป็ดก็ไม่ไปแล้ว บอกว่า “ผมยอมตายอยู่ตรงนี้แหละ เดินไม่ไหวแล้ว..!”
ส่วนท่านสหชาติเดินตามมาจนเหลืออีกประมาณ ๓ - ๔ กิโลเมตรจะถึงถนน ก็หมดสภาพ อาตมาก็เลยต้องแบกกลดสะพายบาตรและย่าม ๓ ชุด ออกมาข้างนอกคนเดียว มาถึงก็บอกชาวบ้านที่ขี่มอเตอร์ไซค์ว่า “รบกวนเข้าไปช่วยเก็บพระให้ที อาตมาทำพระหล่นอยู่ในป่า ๒ รูป..!” พอพักฟื้นดี กลับไปวัดท่าซุง ข่าวที่ว่า “หลวงพี่เล็กพารุ่นน้องไปฝึกธรรมปีติ” ก็ระบือลือลั่น..!
ก็ถามแล้วว่าจะกินไหม ? ดันมาบอกว่าตามใจ ตามใจก็ไม่ต้องกิน เพราะฉะนั้นได้โปรด...ต้องการอะไรให้บอกตรง ๆ อย่าให้อาตมาตัดสินใจแทน ตัดสินใจแทนเมื่อไรก็จุกเมื่อนั้นแหละครับ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่อาตมามาบวช สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าเลี้ยงหลานมา ๓๒ คน ก็คือมีพี่ ๘ คน ความจริงพี่มี ๙ คน แต่ว่าพี่ ๘ คนที่แต่งงานไป เขาหาหลานมาให้ช่วยเลี้ยง ๓๒ คน เฉลี่ยคนละ ๔ มีพี่มุกดาคนเดียวที่ร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก แต่งงานแล้วก็แท้ง ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเลี้ยงคนที่ ๓๓ - ๓๔ คราวนี้พอเลี้ยงเยอะ ๆ แล้วเบื่อ เลี้ยงมาจนเข็ด หนีไปบวชดีกว่า..!
ต้องบอกว่าเป็นบุญของพี่มุกดา เป็นสุดยอดลูกสะใภ้ รับหน้าที่การงานแทนทุกอย่าง แทบจะแบกครอบครัวของสามีไว้ทั้งครอบครัว แต่พอถึงเวลาไม่มีลูก ครอบครัวคนจีนเขาอยากได้ลูก เขาก็หาสะใภ้รองให้ทางบ้าน พี่มุกดาก็คงประมาณว่า ทำให้ทุกอย่างแล้วยังมาทำกันอย่างนี้อีก ในเมื่ออยากได้ลูกนักก็ให้เขาทุกอย่าง จึงถอนตัวออกมาจากครอบครัวนั้น แต่ปรากฏว่าด้วยความที่ทำงานแทนเขาทุกอย่าง จนกระทั่งคนที่มาแทนทำไม่ได้ พอถึงเวลาพี่เขาถอนตัวออกมา กิจการก็เลยล่มไม่เป็นท่า"
"ไม่มีครอบครัวได้ ถือว่าโชคดี อาตมาได้ยินบางคนพูดแล้วใจหาย เขาบอกว่า เลี้ยงลูกชาย ถ้าไม่ติดยา ไม่เป็นตุ๊ด ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เลี้ยงลูกสาว ถ้าไม่ท้องก่อนเรียนจบก็ถือว่าประสบความสำเร็จ โห...ทำไมสังคมเราไปได้ไกลขนาดนี้..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในแต่ละวันการรักษากำลังใจของเราสำคัญที่สุด อย่าให้กำลังใจไหลตาม รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะว่าเราต้องคลุกคลีตีโมง ทำกิจการงานต่าง ๆ กำลังใจของเราต้องให้นิ่งสงบเหมือนกับน้ำก้นบ่อลึก ๆ ส่วนผิวน้ำต้องกระเพื่อมไปตามแรงลมบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าต้องปฏิสัมพันธ์กับบุคคล หรือว่าปฏิบัติหน้าที่การงานของตัวเอง ก็ให้ผิวหน้าของบ่อน้ำเป็นไปตามสภาพของทางโลก ส่วนกำลังใจก็ให้นิ่งสงบเหมือนกับน้ำก้นบ่อ ไม่ไหลไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรม ๘"
มีโยมเอาพระหลวงปู่ปานมาให้ดู "ปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื้อไม่ใช่ พิมพ์ไม่ใช่ คือผิดเนื้อ ผิดพิมพ์ อย่างอื่นไม่ต้องคิด ของหลวงปู่ปานจะบางกว่านี้สักหุนกว่า ๆ อันนี้หนาเกินไป ที่ว่าไม่สวย ไม่ชอบ ไม่เล่น ไม่ใช่อาตมา สำหรับอาตมาเก๊คือเก๊ แท้คือแท้ จบแค่นั้น
พระหลวงปู่ปานใช้ดินท้องนาทำ เนื้อจะไม่แน่นเปรี๊ยะเงาวับแบบนี้ ผิดเนื้อผิดพิมพ์ก็เป็นอันว่าจบกัน เพราะว่าผิดอย่างเดียวก็ไปไม่รอดแล้ว นี่ผิดหมดเลย คือถ้าทั่ว ๆ ไปใช้ได้ เพราะหลวงปู่ปานท่านให้พรเอาไว้ว่า ของท่านจะใหม่จะเก่า จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่าน มีอานุภาพเหมือนกันหมด
คราวนี้เขาให้มาใช้หนี้คุณ ในเมื่อใช้หนี้ก็โปรดเอาของจริงมาด้วย เพราะว่าเงินของเราคือเงินแท้ ถ้าไม่ได้ใช้หนี้พระแบบนี้เอาไปใช้งานได้ นึกถึงหลวงปู่ท่านก็ใช้ได้เหมือนกัน"
มีโยมซื้อมีดจากต่างประเทศมาถวาย "บ้านเราทำได้ดีกว่าตั้งเยอะ คราวหน้าของพวกนี้อย่าไปซื้อ แพงโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะเงินมาร์กของเยอรมันแพงมาก บ้านจ่าตุ่มทำได้สวยกว่านี้เยอะ ไปต่างประเทศไม่ต้องเอาของฝากมาให้อาตมา เอาชีวิตรอดกลับมาได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงถ้าอากาศหนาวขนาดนี้สัก ๔ เดือน ก็คงประหยัดเครื่องปรับอากาศไปได้เยอะ คราวนี้ต้องลุ้นกันขาดใจว่าจะได้กี่วัน
ทองผาภูมิ ๕ - ๖ ปีที่ผ่านมา ไม่เคยต่ำกว่า ๑๔ องศาเซลเซียส มาปีนี้ได้ ก่อนนี้ถ้าหากว่าเป็นธันวาคม มกราคมจะอยู่ที่ ๗ - ๘ องศามาตลอด
คราวนี้สภาพของโลกร้อนทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำลงนี่น่ากลัว เพราะว่าจะต่ำก็ต่อเมื่อความชื้นในอากาศน้อย ถ้าความชื้นในอากาศน้อย โอกาสที่จะเกิดภัยแล้งมีสูงมาก ความชื้นในอากาศถ้ามีน้อย จะดึงความชื้นจากตัวเราออกไป ยิ่งโดนดึงออกไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งหนาวมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น..คนที่ไปอยู่ในเขตหนาว ๆ หมอถึงเตือนว่าให้พยายามจิบน้ำตลอดทั้งวัน"
ถาม : (พูดถึงดวงดาวอื่น)
ตอบ : ที่อื่นเขาสบายเกินจนไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร ถ้าพระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ก็คงสอนคนที่นั่นไม่ได้
ที่นี่เขาเรียกมงคลจักรวาล เพราะว่าเป็นจักรวาลที่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ สุขทุกข์ปนกันไปจนกระทั่งเขาเห็นชัดเจน จึงเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าได้ ที่อื่นส่วนใหญ่สบายเกิน อายุก็ยืนนาน พอบอกว่าไม่เที่ยง บอกว่าเป็นทุกข์ เขาฟังไม่รู้เรื่อง
ถาม : จะเปิดร้าน เป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ก็ต้องบอกว่าดี คราวนี้สำคัญที่ว่าอันดับแรกคือทำเล อันดับที่สองทำเองหรือเปล่า ? ถ้าหวังอาศัยคนอื่นก็มีสิทธิ์เจ๊ง ประการสุดท้าย เงินทุนยืดยาวพอไหม เพราะว่าเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี
ถาม : ทำเลปลอดภัยไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ทุ่มเทไปเลย
ถาม : ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ?
ตอบ : นิดหน่อยก็แก้ได้ แล้วจะไปสนใจอะไรกับมัน ปัญหามีไว้แก้ ที่แน่ ๆ คือมีไว้พิสูจน์ว่าเรามีฝีมือหรือเปล่า ถ้าแก้ได้ก็มีฝีมือ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ไร้ฝีมือ เพราะฉะนั้น..ปัญหายิ่งเยอะยิ่งดี แก้ไขไป ได้ประสบการณ์ สนุกกับชีวิตอีกต่างหาก
ถาม : พอดีหนูได้ข่าวว่า คนนี้เขาเสีย เขาเป็นคนดี แต่ว่า...?
ตอบ : สำคัญตรงว่าจิตสุดท้ายคิดถึงอะไร หรือว่าเกาะอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ต่อให้ดีแสนดี ถ้าจิตสุดท้ายคิดถึงเรื่องไม่ดีก็เสร็จเหมือนกัน ฉะนั้น...บอกยาก
บาลีเขาเรียกว่าอาสันนกรรม กรรมก่อนตาย กำลังใจเกาะอะไรก็ไปอย่างนั้น เราต้องสร้างชนกกรรมคือกรรมที่จะพาให้เราไปเกิด เอาให้เข้มแข็ง หนักแน่น มั่นคง จนใจจดจำไว้ได้
ถาม : หนูจะไปต่างประเทศ กลัวว่าจะเจออะไรสักอย่าง เพื่อน ๆ ที่นั่นก็กลัวจะมีอันตราย ?
ตอบ : ไปได้เลย อย่างดีก็แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มีอะไรน่ากลัว บอกเพื่อนว่าจะกลัวก็กลัวไป เราจะไปเที่ยว
ถาม : อาราธนาพระไปหรือคะ ?
ตอบ : มีก็ดี อย่างน้อยก่อนตายคิดถึงพระ ก็ยังได้ไปดี
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากจะบอกว่าอาตมาโชคดี วัดอื่นเขาก็ว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าพระอาจารย์เล็กมีทีมงาน อย่างตอนนี้อาตมาไปงานไม่ได้ ก็มีคณะไปช่วยกันจัดนิทรรศการหมู่บ้านศีล ๕ ต้นแบบ พรุ่งนี้อาตมาวิ่งไปถึงก็รับรางวัลเลย แต่คนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่า การสร้างทีมงานมานี่จำนวนเงินมหาศาลขนาดไหน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หมอชี้ว่าอากาศหนาวทำให้หิวเก่ง ถ้าร่างกายเผาผลาญน้อย มีหวังอ้วนแน่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกก็เสียดายว่าขอให้ครูบาหน่อแก้วฟ้าท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดธุดงค์สมเด็จ แล้วท่านไปไม่ได้ อาตมาต้องให้เลขาฯ เก่งไปแทน ตอนนี้กลายเป็นไข่ในหิน ชาวบ้านประคบประหงมฟูมฟักเป็นอย่างดี ไปไหนชาวบ้านเขายินดีและเต็มใจต้อนรับ ก็ถือว่าโชคดีและโชคร้าย..!?
โชคดีก็คือทุกอย่างสะดวกราบรื่นหมด โชคร้ายคือไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ปัญหาอะไรทุกอย่าง ชาวบ้านช่วยกันแบกช่วยกันรับไว้หมด ในเมื่อเราไปแล้วไม่ได้แสดงฝีมือ ก็ไม่รู้ว่าเราเป็นงานจริงหรือเปล่า ? อาตมาคิดไม่เหมือนใคร ตรงไหนปัญหาเยอะ ๆ จะชอบ สนุกมาก"
"เดี๋ยวนี้มีปัญหาที่ไหน เหนือใต้ออกตก เจ้าคณะอำเภอเรียกหาวัดท่าขนุนอย่างเดียว ไปตรงไหนจบตรงนั้น อาตมาเองมีนิสัยว่า จะไม่ให้เรื่องขึ้นไปสูงกว่าตัวเอง แปลว่ามาถึงตรงนี้แล้วต้องจบ ไม่ทำให้ผู้บังคับบัญชาจะต้องเสียเวลามาเครียดมากังวล แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นอย่างนี้
บางทีสมัยก่อนเวลาเข้ามากรุงเทพฯ ถวายสักการะพระผู้ใหญ่ ท่านก็ "เฮ้ย...เป็นอย่างไรบ้าง ? มีเรื่องอะไรก็บอกนะ ผมจะได้ช่วย" ต้องคิดในใจว่า ถ้าเรื่องไหนผมไม่ไหว หลวงพ่อก็คงไม่ไหวเหมือนกันแหละครับ"
ถาม : วันนี้หนูดูยูทูบ มีเด็กไม่กี่ขวบ หกล้มเย็บจนหัวแตก หนูก็เลยสงสัยว่า อันนี้เป็นเรื่องของกรรมหรือเรื่องของอะไร ?
ตอบ : กรรมแน่ ๆ มีอะไรที่เกิดโดยไม่มีกรรม ?
ถาม : เขาเย็บโดยไม่ต้องฉีดยาชาเลย ?
ตอบ : เคยทำเขาเอาไว้ประมาณนั้น ก็ต้องโดนคืนแบบนั้น
ถาม : ไม่ร้องด้วยนะคะ ?
ตอบ : บอกเขาว่าไม่เจ็บ เด็กก็เชื่อ สมัยก่อนจ๊ะเอ๋ตกบันได ถ้าเป็นป้าเขาอยู่ก็คงร้องลั่นบ้าน แล้วเด็กก็คงช่วยร้องด้วย คราวนี้เจออาตมา บอกว่า "ลุกขึ้น..ไม่เจ็บหรอก" ก็เดินตูดเบี้ยว คือถ้าเราร้องตกใจ เด็กก็จะร้องไห้ต่อ เพราะรู้ว่าเจ็บ คราวนี้มาเจออาตมา พูดหน้าตาเฉยว่า "ลุกขึ้น ไม่เจ็บหรอก" เขาก็เชื่อว่าไม่เจ็บ
ถาม : คุณแม่มีกิจการยกให้น้องทำหมด เรื่องเงิน เรื่องอะไรทุกอย่างเลย ผมควรจะแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภาษิตจีนเขาว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยากที่จะตัดสินเรื่องในครอบครัว คราวนี้แม่ทำอย่างนั้น แล้วเราเองจะไปห้ามแม่ได้อย่างไร ถ้าท่านหลง ๆ ลืม ๆ ก็ว่าไปอย่าง นี่ท่านสติดีหมด ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ตามกฎหมายก็คือท่านให้โดยเสน่หา ต่อให้ฟ้องร้องไปเราก็แพ้ ถ้าไปขอแบ่งแล้วน้องไม่ให้ ก็ต้อง "ทำใจ" เท่านั้น
ถาม : ถ้าเราเอาพระขรรค์โสฬสปี ๒๕๕๒ ไปหลอม แล้วทำออกมาใหม่ อานุภาพจะเท่าเดิมไหมครับ ?
ตอบ : เจ๊งตั้งแต่หลอมแล้ว เพราะอธิษฐานไว้ว่าอานุภาพอยู่แค่ละลายเป็นน้ำ..!
ถาม : (เล่าความฝัน)
ตอบ : ฝัน...แล้วจะไปปฏิบัติอย่างไรกับฝัน ? ฝันดีก็เอาไว้เป็นกำลังใจ ฝันไม่ดีก็โยนทิ้งไป สำคัญว่าในความฝันนั้น ถ้าเรามีโอกาสละเมิดศีลละเมิดธรรม แล้วเราละเมิดหรือเปล่า ? ในความฝัน เราคิดถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้หรือเปล่า ? ในความฝัน กำลังใจเราเกาะดีมากกว่าชั่วหรือเปล่า ? แค่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของเรา ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ฝันปฏิบัติไม่ได้หรอก มีแต่รอให้ฝันเท่านั้น
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : แล้วคิดว่าถ้าไม่ใช่ฝันคืออะไร ? ปล่อยให้เป็นฝันไปก่อน เราเคยปฏิบัติมาอย่างไร ก็ทำไปอย่างนั้น ถ้าหากว่ากำลังใจมาถูกทางจริง สะสมกำลังพอ ก็ไปได้เลย แต่ถ้าไม่ใช่ เป็นแค่ฝัน ก็ปล่อยไป
ถาม : หนูจะดูแลอย่างไรดีคะ คุณแม่หน้ามืดล้ม ไม่ค่อยยอมพักผ่อน ?
ตอบ : ท่านไปไหนมาไหนเองได้ไหม ?
ถาม : ได้ค่ะ
ตอบ : ถ้าหากว่าได้ ท่านเคยทำอะไรก็แย่งท่านทำให้หมด เดี๋ยวท่านไม่มีงานทำก็พักเอง คนแก่ไม่ค่อยอยากพักหรอก
โยมแม่ของอาตมาทำงานงก ๆ ทั้งวัน ต้องบอกให้พัก คนเคยทำก็แบบนี้ เราก็แย่งท่านทำให้หมด ไม่มีเหลือ ท่านก็ไม่ไปทำเอง
ถาม : ควรแบ่งเวลาในการดูแลท่านอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาตมาก็ให้เวลาท่านให้มากที่สุด ขนาดเป็นพระแล้วยังเอาแม่ไปไว้ที่วัด อยู่วัดด้วยกัน คนแก่ส่วนใหญ่จะเหงา เวลาอยู่วัด บ่าย ๆ ก็ไปชวนท่านคุยสักชั่วโมงสองชั่วโมง คนแก่ได้คุยถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วจะมีความสุข ไปลองดูเถอะ เราเริ่มนิดเดียว แต่ท่านพูดต่อไปได้เป็นชั่วโมงเลย
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.