PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๒


เถรี
06-10-2019, 21:20
พูดถึงเรื่องการสร้างวิทยาลัยสงฆ์ "ในเรื่องของครูบาอาจารย์สงเคราะห์นี้อาตมาไม่สงสัย ท่านบอกว่าอย่างไรก็อย่างนั้น คราวนี้คือรอดูว่าเงินจะมาอย่างไร อาตมารับปากจะหาเงินช่วยสร้างวิทยาลัยสงฆ์ไว้ ๑๐ ล้านบาท ก็มั่นใจว่าได้แน่ แต่ตอนเช้าวันเสาร์แล้วยังได้อยู่แค่แปดล้านห้าแสน ปรากฏว่าแทบจะไม่ต้องลุ้นเลย อาจารย์สวัสดิ์ โตแก้ว เป็นอดีตมหาเปรียญ ท่านทำหน้าที่พิธีกรในงาน ประกาศว่า "ขอเรียกว่าหลวงพ่อเล็กสิบล้าน เพราะวันนี้ถวายไปสิบล้าน ยังไม่มีคนแข่ง"

เลยบอกกับโยมให้ไปกระซิบบอกอาจารย์สวัสดิ์ว่า "อนุญาตให้มีคู่แข่งได้นะ ไม่อย่างนั้นขาดเท่าไรอาตมาก็ต้องจ่ายอีก" ตัวอาคารกว้าง ๑๙ เมตรยาว ๖๙ เมตร สูง ๔ ชั้น พร้อมมุขกลาง ตอนแรกเขาตีราคามา ๓๘ ล้านบาท อาตมาบอกว่า "บริษัทไหนตีราคาเท่านี้ให้มาสร้างเลย อาตมารับเป็นคนจ่ายเอง" พอได้ยินเข้าเขารีบไปคำนวณใหม่ แล้วขยับขึ้นมาเป็น ๕๐ ล้านบาท แหม...อาคารขนาดนั้นบอกมาได้ ๓๘ ล้านบาท แปลว่าเงินสร้างวิทยาลัยสงฆ์ยังถวายได้เรื่อย ๆ นะ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ก็ยังไม่พอใช้หรอก ถึงเวลาก็ต้อง "พระอาจารย์เล็กช่วยหน่อย"

เถรี
06-10-2019, 21:23
"งานนี้ต้องบอกว่าทิดเฟิร์ส (บัณฑิต เอี่ยมตระกูล) กับน้องโบว์ (ภควรรณ พิพิธวรกิจ) เป็นอัศวินม้าขาวมาช่วยไว้ เพราะว่าเอาเงินจากการจำหน่ายพระกริ่งจินดามณีมนต์พระกาฬ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับสมเด็จแหวกม่านอีกจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมแล้ว ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท มาถวายช่วยชีวิตไว้พอดี

ตอนเช้าทิดเฟิร์สก็เอาพระสมเด็จแหวกม่านไปให้แจกในงาน ๓๐๐ องค์ กำลังแจกอยู่ ครูบาหน่อแก้วฟ้าแทรกพรวดเข้ามา บอกว่า "ขอผมด้วย" ถามว่าทำไม ? ท่านถามว่า "สมเด็จแหวกม่านใช่ไหม ?" นั่งอยู่ตั้งห่างยังรู้อีกแน่ะ

สมเด็จแหวกม่านต้นตำรับจริง ๆ ก็คือหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวยท่านสงเคราะห์ลูกศิษย์แบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ใครได้สมเด็จแหวกม่านไป ไม่ว่าชีวิตจะมีอุปสรรคเท่าไรก็ผ่านพ้นไปได้ ด้วยแรงครูช่วยแหวกให้ แล้วทิดเฟิร์สถึงเวลาก็บวงสรวงขออนุญาตสร้าง อยากให้พวกเราได้เห็นรูปตอนบวงสรวง เมฆหนาทึบมาก พอเริ่มทำพิธีบวงสรวงแบบกลายเป็นช่อง มีรัศมีสีทองพุ่งตรงมายังที่บวงสรวงพอดี ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้กล้องเก่ง ไอ้เรื่องที่ไม่ควรถ่ายติดก็ถ่ายติดอยู่เรื่อย"

เถรี
06-10-2019, 22:28
พระอาจารย์ให้พรคู่รักที่กำลังจะแต่งงาน "ขอให้อยู่ทน ๆ จนไม่ต้องทนก็อยู่ได้ มีใครให้อวยพรอย่างนี้กันบ้าง ?"

เถรี
07-10-2019, 08:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงตักบาตรเทโวฯ อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนสามวัน ทางสำนักงานวัฒนธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีจะไปจัดงานถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ อาตมาก็บอกแล้วว่า ต่อให้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดมา อาตมาก็ไม่ออกไปหรอก เพราะว่าเขาเชิญผู้ว่ามาเป็นประธาน

เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเรื่องมาก เข้ากรรมฐานแล้วไม่ออกมาหรอก..!"

เถรี
07-10-2019, 08:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บ้านสบายใจมีใครสบายใจบ้างไหม ? จนป่านนี้หลวงพ่อสมปองยังไม่ออกจากไอซียูเลย อาตมาคาดการณ์ไว้ว่า ออกมาก็คือหามออกไปเผาเลย"

เถรี
07-10-2019, 08:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเจอท่านเจ้าคุณปิง อาตมาจะลองให้สอบถามคณะสงฆ์ทางมหายานของเมืองจีน ว่าพระจีนมีเป็นมะเร็งบ้างไหม ? เพราะว่าท่านฉันเจ

คนไทยเราบอกว่าสาเหตุหนึ่งของมะเร็งคือกินเนื้อสัตว์ จะให้ลองตรวจสอบดูว่า ถ้าฉันเจแล้วยังเป็นมะเร็ง ก็แปลว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้ แต่เขาบอกว่าคนจีนไม่ค่อยเป็นมะเร็ง เพราะว่ากินน้ำชาเป็นปกติ น้ำชามีสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเซลล์มะเร็งได้

แต่เท่าที่อาตมาลองชิมชามาสารพัดชนิด ชาที่อร่อยที่สุดที่ชิมมายังคงเป็นชาญี่ปุ่น ถ้าชาอินเดีย ชาซีลอน (ลังกา) บางทีรสชาติอุบาทว์มาก ชอบทำกลิ่นผลไม้ใส่ลงไป ใบชาก็ต้องมีกลิ่นของชา นี่ไปใส่สารปรับให้มีกลิ่นผลไม้ กลิ่นมะม่วงบ้าง แอปเปิ้ลบ้าง ถ้าเห็นซองชาสี ๆ แล้วมีรูปผลไม้ อาตมาจะไม่แตะเลย

แต่คราวนี้สุดยอดใบชาของจีน อาตมาก็ยังไม่เคยลอง เนื่องจากราคาแพงมาก"

เถรี
07-10-2019, 20:06
ถาม : อุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลมีอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ที่ผลบุญเข้ามาตอนนั้น แล้วขัดขวางไม่ให้อกุศลทำงาน

เถรี
07-10-2019, 20:11
ถาม : ดิฉันอยากจะรักษาศีล ๘ แต่ในบางครั้งต้องร้องเพลงให้เด็กฟัง หรือฟังเพลงสื่อการสอนของเด็กในหน้าที่ และบางครั้งจะต้องเดินทางไปทำงานในสถานที่ที่เขาเปิดเพลง ซึ่งดิฉันไม่มีเจตนาที่อยากจะฟังเพลงเลย เพราะรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังรักษาศีล ๘ อยู่ ดิฉันจะแก้ไขอย่างไรไม่ให้ละเมิดการรักษาศีล ๘ ได้คะ ?
ตอบ : การฟังเพลงที่คนอื่นเขาเปิด ไม่ใช่เจตนาของเรา ศีลแปดไม่ขาด ส่วนการร้องเพลง อย่างเช่นสอนเด็ก ถ้าเราคิดว่าเป็นการที่ศีลขาด เราก็รักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่นตั้งแต่ก่อนไปทำงานจนถึงที่ทำงาน เรารักษาศีลแปดให้สมบูรณ์ ในช่วงที่เราทำงานจะขาดจะพร่องก็ช่างมัน กลับมาถึงบ้านเมื่อไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาของเราต่อไป

เถรี
07-10-2019, 20:24
ถาม : บางวันหนูได้อาราธนาศีล ๘ ก่อนนอน และหลับในศีล ๘ จนกระทั่งตื่นในตอนเช้า เสร็จแล้วก็อาราธนาเป็นศีล ๕ ใหม่ เพราะว่าบางทีมีเหตุที่ไม่สามารถรักษาศีล ๘ ได้ในระหว่างวัน การที่หนูได้ทำแบบนี้จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ปรามาสแต่ขาดทุน เพราะว่าถึงเวลาเราก็ลดลงมารักษาแค่ศีล ๕ แต่บางทีเราอาจจะรักษาได้ตั้งเจ็ดข้อครึ่ง..!

เถรี
07-10-2019, 21:04
ถาม : หนูรู้ว่าหนูมีจิตที่คิดอิจฉาริษยาค่ะ เช่น ไม่อยากให้ผู้อื่นได้ดีในสิ่งที่เขาจะได้รับ อยากให้ตัวเองได้รับสิ่งนั้นแทน หนูรู้ว่ามีจิตคิดแบบนี้นั้นเลวมาก ซึ่งหนูไม่อยากให้ตัวเองมีจิตคิดแบบนี้ค่ะ หนูพยายามพิจารณาแล้ว แต่ก็ยังกลับมาคิดวนเวียนอยู่ หนูควรจะพิจารณาอย่างไรให้จิตยอมรับและพลอยยินดีกับผู้อื่นได้คะ ?
ตอบ : แผ่เมตตาบ่อย ๆ เราจะริษยาหรือไม่ริษยา เขาก็ได้รับผลอย่างนั้น เพราะว่าเขาได้ทำไว้ เราจะริษยาหรือไม่ริษยาเราก็ตาย เขาก็ตาย พิจารณาไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง

เถรี
07-10-2019, 21:23
ถาม : ครั้งหนึ่งได้เดินบนทางลอยฟ้าสี่แยกกลางเมืองหลวง ขณะเดินเลี้ยวขวาแล้วหยิบมือถือมาดู ตอนนั้นหางตาเห็นเหมือนมีผ้าลงมาคลุมแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้สนใจ ก็เดินไปเรื่อยพร้อมดูมือถือ พอเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง พบว่าเรากลับเดินมาทางซ้ายฝั่งตรงกันข้าม เป็นระยะไกลพอสมควร มั่นใจว่าไม่ได้เดินเลี้ยวผิดแน่ ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยคุ้นเคยเหมือนถนนอีก ๓ เส้นทางที่ผ่านบ่อย ซึ่งเมื่อผ่านก็จะนึกอุทิศบุญให้ผู้ที่อยู่เสมอ ช่วงตอนนั้นภายหลังจากสวดมนต์จะอุทิศบุญระบุให้ผู้ที่อยู่เฉพาะบริเวณสี่แยกทุกครั้ง ผู้ที่อยู่แถวถนนเส้นที่เลี้ยวผิดนี้ เขาต้องการให้เราระลึกและอุทิศบุญให้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ทราบว่าจะโดนแบบเดียวกับอาตมาหรือเปล่า ? ก่อนหน้านี้ไม่รอบคอบ เวลาเดินทางตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ตลอดเส้นทางที่เดินทาง ก็เลยโดนพาเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย เพราะว่าเขาอยากได้

ถาม : ถ้าจะอธิษฐานอุทิศบุญกุศลโดยระบุชื่อถนนหรือสถานที่เฉพาะพวกเขาที่อยู่แถวนั้นจะได้รับมากกว่าการอุทิศแบบรวม ๆ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อุทิศเป็นการเฉพาะจะปลอดภัยกว่า ไม่อย่างนั้นก็จะเจอแบบอาตมา ไปจนเกือบทั่วกรุงเทพฯ กว่าจะรู้ตัว

เถรี
07-10-2019, 21:30
ถาม : หลวงพ่อเคยเล่าเกี่ยวกับอาการคล้ายจะเป็นไข้ เวลาที่ไม่ได้อุทิศบุญต่อผู้ต้องการบุญจำนวนมาก ๆ ซึ่งกรณีเช่นนี้ อีกสักระยะหนึ่งจะหายไปเอง แล้วในกรณีที่เรากำหนดจิตแผ่เมตตาอุทิศบุญให้พวกเขา สักพักก็จะหายเองเหมือนกันโดยไม่ต้องรักษาหรือรับประทานยาใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ลองทำดูเดี๋ยวก็รู้เอง มาถามให้เสียเวลาทำไม ?

เถรี
07-10-2019, 21:45
ถาม : แมวบางตัวได้รับมรดกทรัพย์สินมากมายร่ำรวยกว่าหลาย ๆ คน แมวบางตัวเพียงคนเห็นภาพถ่ายทางอินเทอร์เน็ตครั้งแรก ก็รู้สึกชอบรักเอ็นดูมาก จนมีแฟนคลับติดตามเป็นแสนราย แมว ๒ ตัว เขาทำบุญอะไรมา ในขณะที่แมวหรือสุนัขบางตัว ชีวิตลำบากมาก เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วโพสต์ขอรับความช่วยเหลือ กลับได้รับความสนใจน้อยมากครับ ?
ตอบ : ถามสั้น ๆ ว่าอยากเป็นแมวสองตัวนั้นมากใช่ไหม ? แมวรวยเท่าไร ? แล้วแมวใช้เงินเองได้ไหม ? แมวโด่งดังเป็นเซเล็บดังเท่าไร ? แมวรู้เรื่องด้วยไหม ? ก็รำคาญอยู่อย่างเดียวคือมีคนตามถ่ายรูป ฉะนั้น...แทนที่จะคิดว่าแมวสร้างบุญไว้ อาตมาว่าน่าจะสร้างกรรมไว้มากกว่า..!

เถรี
07-10-2019, 21:50
ถาม : หากเราขับรถชนพ่อแม่หรือพระอริยเจ้า จนถึงแก่ความตายโดยไม่ได้เจตนา จะมีผลทำให้ต้องอนันตริยกรรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เจตนาหรือไม่เจตนา ถ้าทำสำเร็จก็โดนเหมือนกัน

เถรี
07-10-2019, 21:53
ถาม : ถ้าหากผมร่วมปิดทองคำขาวพระประธานของวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งแผ่นทองคำขาวผลิตโดยใช้ส่วนผสมของทองคำและแร่อื่น ๆ อยากทราบว่า การปิดทองคำขาวนี้จะได้รับอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตำราไม่มีบอกเอาไว้ บอกไว้แต่ปิดด้วยทองคำ ฉะนั้น..ถ้าแหกคอกก็ต้องไปหาคำตอบเอาเอง

เถรี
09-10-2019, 08:12
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่ก่อนที่จะลงมา นั่งลงบัญชีกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร คราวนี้ทางวัดออกกติกาไว้ว่า ต้องเข้าโรงพยาบาลรัฐเท่านั้นถึงเบิกได้ เพราะว่าเจอโรงพยาบาลเอกชนไป ๒ รายเกือบจะหมดกองทุน..!

มีพระรูปหนึ่งท่านทำงานแล้วตกจากนั่งร้านลงมา กระดูกขาแตก ถึงเวลาเดินทางไปรักษาในตัวเมือง ด้วยความที่ท่านเป็นคนรับผิดชอบงานมาก ไม่อยากทิ้งงานนาน ท่านก็ใช้วิธีเช่ารถไป พอใช้วิธีเช่ารถไปกลับหลายครั้ง รายจ่ายก็เยอะ จึงบอกท่านว่าให้ทำหนังสือมาขอเบิก เพราะว่าปกติต้องเอาบิลมาเบิก ท่านก็ทำหนังสือมาขอเบิก อาตมาก็จ่ายไป

ก็ปรากฏว่าหลวงตาอีกรูปหนึ่งมาขอเบิกค่ารถ อาตมาบอกว่าไม่ให้ เพราะว่าหลวงตาไม่ได้เดือดร้อนด้วยเรื่องงานอะไรเลย จะไปรถอะไรก็ได้ แล้วท่านก็ชอบไปไกล อย่างที่อาตมาเรียกว่าไปแรด..! แต่อาตมาไม่ได้อธิบายให้ฟัง คาดว่าจนป่านนี้ท่านก็ยังสงสัยว่า ทำไมรูปหนึ่งเบิกค่ารถได้ อีกรูปหนึ่งเบิกไม่ได้ ? เพราะว่าถ้าไม่มีการควบคุม ก็คงจะเบิกใช้กันครึกครื้น

มีพระบางรูปตัดแว่นไป ๒๗,๐๐๐ บาท ใช้สิทธิ์เบิก ตัดแว่นเสร็จรุ่งขึ้นก็สึก น่าประหารชีวิตมาก..! ก็เลยว่า เออ..เรื่องของเงิน ต่อให้เราเคร่งครัดเข้มงวดแค่ไหนก็ตาม ก็ยังมีช่องโหว่ให้คนเขาหาประโยชน์ได้อยู่ดี ปล่อยเขาไปเถอะ จะไปทางไหนก็ไป"

เถรี
09-10-2019, 08:20
เด็กคลานไปคลานมาในบ้าน พระอาจารย์กล่าวกับแม่ของเด็กว่า "เลี้ยงเด็กอย่าไปรักมาก ปล่อยให้เขาลำบากบ้าง หัดทำอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ จะได้รู้ว่าโลกนี้ยากลำบากแค่ไหน เห็นฝรั่งเลี้ยงลูกแล้วอาตมายังชอบใจ พอเดินได้ก็ปล่อยเลย ให้เดินตามเอา บางทีเด็กก็ร้องไห้ตามประสาเด็ก ร้องก็ร้องไป พ่อแม่เดินทิ้งไปเลย พอเด็กเห็นว่าไม่มารับจริง ๆ ก็ต้องลุกขึ้นวิ่งตาม แล้วเด็กก็จะรู้ว่า เขาใช้วิธีอ้อนหรือโวยวายไม่ได้ เพราะว่าพ่อแม่ไม่สนใจ

ปล่อยเขาไปเถอะไม่ต้องไปดูไปแลอะไรมาก ถ้าเห็นจะลงบันไดแล้วค่อยไปอุ้ม"

เถรี
09-10-2019, 08:22
"อย่ารักอย่าห่วงมาก ถามว่าทำไม ? ลูกหมาลูกแมวถึงเวลาแม่เขาทิ้งยังเอาตัวรอดได้ ลูกคนแม่ทิ้งนี่ตาย ต้องเลี้ยงให้รอดได้อย่างนั้น

เมื่อเดือนก่อนแม่ชีเอาลูกหมาไปขัง ส่งเสียงร้องสนั่นหวั่นไหวไปทั้งวัด อาตมาก็ปล่อยให้ขังไป ๓ วัน แล้วถามเหตุผลว่าแม่ชีขังลูกหมาเพราะอะไร ? ตอบไม่ได้ ถ้าเขาเจ็บไข้ได้ป่วย แยกออกมาไม่ให้ติดโรคจากตัวอื่นก็ว่าไป นี่ไปขังไว้ให้ลูกหมาแหกปากสนั่นหวั่นไหวไปทั้งวัด ปล่อยเขาออกมาอยู่กับแม่ก็เงียบแล้ว

บางทีเห็นลูกหมาเดินตามแม่เป็นพรวนก็ไปรำคาญแทนแม่หมา เอาลูกหมาไปขัง เลยกลายเป็นว่าคนเราหลงประเด็น เลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงแมวก็ติดแมว เลี้ยงคนก็ติดคน"

เถรี
09-10-2019, 08:27
"แม่ชีเขามีความดีตรงนี้แหละ ใครเข้ามาอยู่ในวัดเป็นคนของเขาหมด แต่พอไม่ได้ดั่งใจก็ด่ากระจาย..! อาตมาเลยสรุปอย่างที่ว่า เลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงแมวก็ติดแมว เลี้ยงคนก็ติดคน ตอนตายเกาะใครก็เป็นลูกคนนั้น ถ้าเกาะเด็กผู้ชายก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เป็นลูกเขาเสียที ถ้าเกาะหมาเกาะแมวก็ง่ายหน่อย เพราะที่วัดลูกหมาเยอะ...!

เลี้ยงสัตว์ ให้สัตว์รู้ตัวว่าเป็นสัตว์ อย่าไปเลี้ยงสัตว์ให้เป็นพ่อเป็นแม่ของตัวเอง หลายคนเลี้ยงลักษณะอย่างนั้น ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ละทีตัวเองก็จะตายตาม กลายเป็นยึดติด คราวนี้พอสภาพจิตยึดติดอยู่อย่างนั้น ถึงเวลาก็ต้องไปเกิดตามนั้น หมาแมวเกาะคนเขาได้เปรียบ ถึงเวลาก็ไปเกิดเป็นคน ถ้าเกาะพระก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่เป็นคนแล้วไปเกาะหมาเกาะแมวไปเกิดเป็นลูกหมาลูกแมว เสียชาติเกิด..! ทำอย่างไรที่จะทำให้เราเลี้ยงแล้วปล่อยวางได้"

เถรี
09-10-2019, 08:29
"สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษี อาตมาเลี้ยงอีเห็น เลี้ยงดีเกินไปตัวใหญ่เกือบเท่าหมา ถึงเวลาก็เล่นกับหมาจนชิน พออาตมาไม่อยู่ก็ไปเล่นกับหมา โดนหมาขย้ำตาย เพราะว่าตอนที่อยู่ พอเห็นหมาทำท่าเอาจริง อาตมาก็จะตวาดห้าม พอกลับไปคนงานเขารายงานว่า "หลวงพ่อครับ...อีเห็นโดนหมากัดตายแล้ว" ถามว่า "มึงทำอย่างไร ?" "เอาไปฝังครับ" "ทำไมโง่อย่างนี้วะ..ไม่เอาไปผัดเผ็ด..!"

พวกนั้นก็เอ๋อรับประทาน ตอนเลี้ยงเห็นรักนักรักหนา แต่พอตายกลับจะกิน..! บอกว่าให้รู้จักแยกแยะด้วย เลี้ยงเขารักเขาก็เป็นเรื่องปกติ แต่ต้องรู้ว่าพลัดพรากตายจากเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อตายแล้วทำประโยชน์ได้มากที่สุดอย่างไรก็ทำไป บางคนบอกว่าเลี้ยงมากับมือกินไม่ลง บอกถ้ากินไม่ลง เอ็งทำมา เดี๋ยวข้าจะกินเอง..!

เมตตากรุณาเป็นของดีแต่ต้องมีอุเบกขาด้วย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรายึดติด ถ้าเมตตาเกินประมาณเจอบุคคลบางประเภท ได้คืบจะเอาศอกไม่รู้จบ ถึงเวลาสงสาร โดนเขาหลอกหมดไปหลายล้าน เดี๋ยวนี้ฉายาเพราะมาก "ดาโดนหลอก" รู้จักกันวันเดียวแต่งงานกัน จะบอกว่าไม่ได้แต่งเพราะเห็นแก่เงิน คงไม่มีใครเชื่อ อย่าไปนินทาเขามาก เดี๋ยวจะโดนกับตัวเอง...!"

เถรี
09-10-2019, 08:34
ถาม : ผลจากสุขและทุกข์ที่บุคคลอื่นกระทำต่อเรา ซึ่งเป็นผลมาจากกรรมในอดีตที่เราทำมาเอง อยากทราบว่า ตะกรุดมหาสะท้อนจะยังมีผลต่อบุคคลที่กระทำกับเราหรือไม่ ถ้าสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำต่อเรานั้น เป็นเพราะกรรมของเราเองที่จะต้องรับ ?
ตอบ : จะเป็นหรือไม่เป็นก็แล้วแต่ ตะกรุดทำหน้าที่เหมือนกับตำรวจ ถึงเวลาก็มีหน้าที่ไล่จับผู้ร้าย ไม่ได้สนใจว่าผู้ร้ายนั้นเคยเป็นเจ้าหนี้เรา แล้วมาขโมยของเขาคืนหรือเปล่า

เถรี
09-10-2019, 08:43
ถาม : พระโพธิสัตว์ศึกษาแนวทางการบำเพ็ญบารมีแล้วถูกใจการบำเพ็ญบารมีแบบปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะก็ตาม แปลว่าบำเพ็ญบารมีมาทางนั้นหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องนี้ตอนแรกก็ไม่ได้คิดที่จะทำอย่างนั้น แต่วิสัยเดิมของตนเอง จริตวิสัยเป็นอย่างไร ก็จะเป็นเช่นนั้นไปเอง

เถรี
09-10-2019, 08:44
ถาม : คนที่อธิษฐานว่าให้บุญส่งผลให้ตนเองบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระมหาสาวก พระสาวกปกติ แล้วแต่ว่าจะถึงอันไหนก่อน กำลังบารมีจะดึงไปทางไหนแรงที่สุดครับ ?
ตอบ : ก็คงเป็นปกติสาวกก่อน ตั้งใจว่าถ้าเก็บเงินได้ ๑๐๐ บาทจะซื้อขนมครก ก็ได้ขนมครกก่อนเลย

เถรี
09-10-2019, 08:47
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่จำเป็นต้องมีลักษณะคล้ายกัน เหมือนอย่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บังคับว่าต้องมีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ พระอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บังคับข้อนี้เอาไว้ แต่ส่วนใหญ่ถ้าสร้างสมบารมีมา ก็จะสมบูรณ์เต็มในบุญบารมีของท่านเช่นกัน เพียงแต่บางท่านที่ยังมีเศษกรรมเก่าอยู่ ก็อาจจะทำให้รูปร่างลักษณะไม่เต็มสมบูรณ์เช่นกัน

เถรี
09-10-2019, 08:51
ถาม : ชาดกนอกนิบาตที่เรียกว่า ปัญญาสชาดก เป็นพระชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : จริงหรือไม่จริง ไม่ใช่สาระ สาระสำคัญคือ ถึงเวลาเราน้อมใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ? ถ้านึกได้ก็เป็นอนุสติ ถ้ายิ่งมองไปว่าพระองค์ท่านเกิดแล้วเกิดอีก มีแต่ความทุกข์ไม่รู้จักจบ แต่ท้ายสุดพระองค์ท่านก็สามารถหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ เห็นพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างในการทำความดีเช่นนั้น แล้วเราทำบ้างจึงจะเกิดประโยชน์แก่เราอย่างสูงสุด

เถรี
10-10-2019, 08:06
ถาม : ทำไมอรรถกถาซึ่งรวบรวมโดยพระพุทธโฆสะ ที่เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ จึงมีบางจุดไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ? เช่น รัตนะจงกรมกัณฑ์ว่า เทวดาที่บรรลุในคราวที่ทรงเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตรจำนวน ๑๘,๐๐๐ โกฏิ ในขณะที่พระไตรปิฎกหรืออรรถกถาอื่นว่า ๑๘ โกฎิ และไม่สรุปบางเรื่อง เช่น เรื่องสูกรมัททวะ ว่าคือเนื้อหมู ข้าวสุกอ่อนปรุงด้วยปัญจโครสและถั่ว หรือว่าเป็นวิธีปรุงรสแบบหนึ่งครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของตัวเลขที่ผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ อาตมายังทำผิดเองบ่อยไป มีอยู่เที่ยวหนึ่งทำบัญชี คิดแล้วคิดอีกไม่ลงตัวเสียที ท้ายสุดก็ต้องไปไล่ดูทีละบรรทัด แล้วก็ไปเจอว่าเขียน ๖๓๐ เป็น ๓๖๐

ส่วนในเรื่องที่จะไประบุว่าสูกรมัททวะคืออะไร บางทีท่านรู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้ ท่านก็ไม่ได้อธิบายไว้ แค่เขียนชื่อลงไปเฉย ๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่คนจะเขียนตำราสักเล่มหนึ่งก็ต้องมีข้อบกพร่อง ไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง

เถรี
10-10-2019, 08:08
ถาม : คนที่มีความรู้สึกร่วมกับเรื่องต่าง ๆ ง่ายคือจริตแบบใดครับ ?
ตอบ : เรียกว่าใจอ่อน แสดงว่าสติ สมาธิ ปัญญามีน้อย โดยเฉพาะในเรื่องของสมาธิ

เถรี
10-10-2019, 08:12
ถาม : คนที่เมื่อไปเป็นลูกค้าในร้านค้าใดก็ตาม ระหว่างที่คนเหล่านั้นกำลังอุดหนุนอยู่ ร้านค้าเหล่านั้นจากที่เงียบเหงา ก็มักจะมีลูกค้าตามเข้ามาอุดหนุนไม่มากก็น้อยเสมอ หากเปิดร้านค้าเองจะมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนเสมอแบบเดียวกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไปเปิดดู แล้วจะได้คำตอบเอง

เถรี
10-10-2019, 08:14
ถาม : เมื่อก่อนนี้หากมีคนมาปรึกษาเรื่องอยากฆ่าตัวตาย ลูกคงต้องหาทางช่วยจนสุดทาง เขาก็ฆ่าจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เห็นใจตนเองมันดิ้นรนเหลือเกินเจ้าค่ะ แต่ ณ ตอนนี้ คนในครอบครัวปรารภว่าจะยิงคู่อริและฆ่าตัวตาย ลูกฟังแล้วใจลูกมันเฉยชาเหลือเกิน ทั้งที่เขาเป็นคนในครอบครัว ได้คิดหดหู่ปลงใจในภพชาติ ในการเกิดและลงตรงคำว่า "กรรม" เขายืนยันว่าเตรียมการไว้แล้ว

ทำไมลูกไม่ดิ้นรนไม่ร้องขอก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ ทำไมมันเฉย ใจนิ่งเหลือเกินเจ้าค่ะ มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ลูกกลายเป็นคนไม่ดีหรือเปล่าเจ้าคะ ที่ไม่สนใจแม้คนในครอบครัว ขาดเมตตาหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ตอนนี้ไม่ได้ขาดเมตตา แต่เลยเมตตา เป็นอุเบกขาไปแล้ว ซึ่งทุกคนควรที่จะทำให้ได้แบบนั้น

เถรี
10-10-2019, 08:16
ถาม : การที่ผมภาวนาพระคาถาเงินล้าน โดยหวังว่าจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินชีวิต แต่เนื่องจากผมยังต้องเรียนหนังสืออยู่ เลยคิดว่าควรจะภาวนาคาถาสหัสสเนตโตฯ ของท่านปู่พระอินทร์ไปด้วย ผมอยากทราบว่า ถ้าผมแบ่งเวลาในการภาวนา โดยแบ่งเป็นตอนเช้าภาวนาพระคาถาเงินล้านประมาณ ๓๐ นาที แล้วก็ใช้เวลาว่างที่เหลือในวันนั้นภาวนาคาถาสหัสสเนตโตฯ ของท่านปู่พระอินทร์อย่างเดียว จะได้หรือไม่ครับ หรือผมควรจะภาวนาแค่คาถาใดคาถาหนึ่งอย่างเดียวครับ ?
ตอบ : ตอบแบบวัยรุ่นสมัยนี้ว่า “เอาที่สบายใจ”

เถรี
10-10-2019, 08:20
ถาม : ช่วงหลังมาเมื่อผมภาวนาพระคาถาเงินล้านจนใจสบาย จนดิ่งลึกเข้าไป จิตจะชอบเฝือไปว่ารวยไม่เอา จะเอานิพพาน เงินทองทั้งหลายเป็นตัวขวาง เป็นตัวฉุดรั้งเราไว้กับวัฏสงสาร เราไม่ต้องการ แล้วเมื่อคลายสมาธิออกมา ก็มาทะเลาะกับตัวเองว่า เรายังทำงานหนักเพื่อหาเงินอยู่เลย คนจนก็ไปนิพพานกันน้อย เพราะต้องยุ่งอยู่กับการทำมาหากิน ไปอธิษฐานในฌานอย่างนี้ แล้วเมื่อไรจะพ้นจากการบีบคั้นจากสถานะทางการเงิน ถ้าจิตเราเฝือไปอธิษฐานในฌานแบบนี้ จะปิดลาภผลไหมครับ แล้วทำอย่างไรให้จิตหายเฝือครับ ?
ตอบ : ประเภทนี้เขาไม่เรียกว่าจิตเฝือ แสดงว่าจิตเข้าใจถึงความเป็นจริง แต่ตัวเองโง่กว่า ถึงเวลาสภาพจิตของเราเข้าถึงธรรมบางส่วน ก็จะเอาธรรมส่วนสูงนั้นไว้ก่อน นั่นเป็นส่วนของจิต ส่วนเรามีหน้าที่ เราก็ทำของเราไป ถึงเวลาเราก็ภาวนาตามปกติ

เคล็ดลับของการภาวนาคาถาเงินล้านที่จะเกิดผลก็คือ อย่าไปสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว

เถรี
10-10-2019, 08:24
ถาม : เศรษฐีนีแถวบ้านผมขับรถทำกระเป๋าเงินร่วงต่อหน้าผมแล้วเขาขับรถหนีหายไปเลย ผมเก็บได้แล้วคุยกับตัวเองแล้วว่า ผมทำไม่ได้ ผมทนเห็นเจ้าของทรัพย์เป็นทุกข์เดือดร้อน ในขณะที่เราเอาเงินเขาไปใช้ไม่ได้ ถึงอุดมการณ์นี้จะทำให้ชาตินี้ทั้งชาติผมมีฐานะแค่เท่าที่เป็นอยู่ก็ตาม ผมจึงรีบขับรถไปตามคืนเจ้าของโดยทันที ความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ถือเป็นทิฐิมานะตัวหนึ่งใช่ไหมครับ และเป็นภัยอันตรายต่อการปฏิบัติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทิฐิแปลว่าความเห็น ความเห็นมีได้ทั้งถูกและผิด คือสัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ ขึ้นอยู่กับกำลังใจตอนนั้นว่าสูงต่ำขนาดไหน ถ้ากำลังใจต่ำบางทีก็ไม่เห็นว่าผิด ถ้ากำลังใจสูงขึ้นอาจจะเห็นว่าผิดก็ได้ แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องการหักห้ามความโลภในใจของเรา ไม่ให้ไปหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ น่าจะเกิดคุณมากกว่ามีโทษ

เถรี
10-10-2019, 08:26
ถาม : ถ้าได้แค่ปฐมฌานละเอียด แต่ติดสุขในฌาน จะฟังดูขัดแย้งกันไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็ติดสุขทั้งนั้น ถ้าหากได้สติรู้ตัวเมื่อไร ก็จะเริ่มใช้กำลังฌานกระทำในสิ่งที่พอเหมาะพอสม อย่างเช่นพิจารณาธรรม

เถรี
10-10-2019, 08:27
ถาม : ท่านเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพซึ่งมรณภาพเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ท่านได้รับยันต์เกราะเพชรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านไม่เคยไปวัดท่าขนุนเลย

เถรี
10-10-2019, 08:32
ถาม : ผมได้ยินมาว่าการทำบุญในตอนที่เป็นพระ จะได้บุญมากกว่าการทำบุญในตอนที่เป็นฆราวาสแสนเท่า แล้วการที่มีพระท่านเปิดรับบริจาคเพื่อนำเงินไปทำบุญ แล้วผมไปร่วมทำบุญกับท่าน เนื่องจากการที่ท่านเป็นพระเลยได้บุญเป็นแสนเท่าจากปกติ แล้วผมก็เป็นส่วนหนึ่งในบุญที่ท่านทำ ไม่ทราบว่าผมจะได้บุญเป็นแสนเท่าไปด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าพระรูปนั้นท่านกำลังใจสะอาดแค่ไหน เพราะอานิสงส์เป็นแสนเท่านั้น ท่านทำในภาวะของอุดมเพศ คือในความเป็นพระภิกษุ ต้องบอกว่าอยู่ในลักษณะการลงทุน เราลงทุนด้วยศีล ๕ เสมือนเป็นเงิน ๕ ล้านบาท แต่พระลงทุนด้วยศีล ๒๒๗ เป็นเงิน ๒๒๗ ล้านบาท ถึงเวลาถ้าสิ่งนั้นได้กำไรขึ้นมา พระย่อมได้มากกว่าเป็นปกติ แต่ตัวเราไปร่วมบุญกับท่านต้องดูด้วยว่า กำลังใจของท่านผ่องใสแค่ไหน ละกิเลสได้มากน้อยแค่ไหน อานิสงส์ที่เราจะพึงได้ก็มากน้อยไปตามสิ่งที่ท่านทำได้

เถรี
10-10-2019, 08:35
ถาม : การที่มีคนมาทำให้ผมโกรธ แล้วผมก็พยายามที่จะระงับ ไม่แสดงความโกรธออกมาทางกายและวาจา แต่ในใจก็ยังรู้ตัวว่ายังโกรธเขาอยู่ ผมเลยไม่คุยด้วยและไม่ไปคบค้าสมาคมกับเขาอีกเลย ผมอยากทราบว่าการที่ผมยังไม่ยกโทษให้เขา แต่ผมก็ยังอยู่ในขอบเขตของการไม่จองล้างจองผลาญ ไม่เอาคืนเขา ไม่ทราบว่าการที่ผมวางกำลังใจแบบนี้ จะถือว่าผมบกพร่องในกรรมบถ ๑๐ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเรียกว่าบกพร่องในกรรมบถ ๑๐ ก็ถือว่าเป็นความบกพร่อง เพราะในกรรมบถ ๑๐ มีเว้นจากการพยาบาท คำว่าพยาบาทนั้นก็คือผูกโกรธ โกรธนาน โกรธไม่เลิก ลองพิจารณาดูว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ?

เถรี
13-10-2019, 20:11
หลายส่วนที่พวกเราถามมา ส่วนใหญ่จะถามเลยหัวไป คำถามที่ควรจะมีประโยชน์ อย่างเช่นว่าตนเองปฏิบัติมา ตอนนี้มีสภาพอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะก้าวหน้า ไม่ค่อยจะมี ไปสนใจแต่เรื่องของชาวบ้านหรือไม่ก็เรื่องเลยตายทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ตัวเราเหมือนอยู่ในบ้านที่ไฟกำลังไหม้ แทนที่จะขวนขวายรีบหนีไปให้พ้นกลับนอนสบายอยู่ รังแต่จะโดนไฟไหม้คาบ้านไป ของบางอย่างรู้ไปก็ไม่เจ็บไม่คันแต่ก็อยากรู้ แต่สิ่งที่ควรที่จะรู้กลับไม่ขวนขวายรู้คือทางพ้นทุกข์ ต้องบอกว่าน่าเสียดาย

อย่างที่บางคำถามศึกษาพระไตรปิฎก ศึกษาวิสุทธิมรรค เจอข้อบกพร่องแล้วก็มัวแต่สงสัยอยู่ เหมือนกับอาหารอยู่ตรงหน้าของเรา มัวแต่สงสัยอยู่ว่าทำอย่างไร ? มันใช่ไหม ? แทนที่จะกินให้อิ่มแล้วก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง

เรื่องพวกนี้แก้ยาก เพราะนิสัยส่วนใหญ่ฝังรากลึกชาติแล้วชาติเล่า ส่วนหยาบ ๆ ที่แสดงออกแก้ไขได้ง่าย เพราะควบคุมด้วยศีลก็ได้แล้ว ส่วนละเอียดต้องควบคุมด้วยสมาธิ แก้ไขด้วยปัญญา เป็นเรื่องยาก เพราะถ้ากำลังของเราน้อย ทำไม่ถึง บางคนก็ไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้เสียด้วยซ้ำไป

เถรี
13-10-2019, 20:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เราทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่งานเล็กก็ตาม ไม่มีใครทำด้วยความมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าจะสำเร็จ ทุกอย่างต้องศึกษาลู่ทางให้ดีที่สุด แล้วก็ตัดสินลงมือทำไปตามข้อมูลที่มีอยู่ ระหว่างนั้นถ้ามีปัญหาก็ต้องปรับแก้ไปตามหน้างาน ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้พวกเราเจอมาทุกคน ไม่ใช่ว่าพอวางแผนงานมาแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นเป๊ะ ๆ คราวนี้การปรับตามหน้างานถือว่าเป็นวิวัฒนาการ เราจะเห็นว่า ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ก็ตาม ถ้าปรับตัวไม่ได้นี่ก็สูญพันธุ์หมด

มีคนเขาบอกว่า "คนโง่มองว่าตัวเองขาดอะไร คนฉลาดมองว่าตัวเองมีอะไร" อาตมาไปบรรยายเกี่ยวกับการบริหารงานชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุนให้ประสบความสำเร็จว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็เลยบอกว่า บังเอิญอาตมาจะว่าโง่ก็ไม่ใช่ จะว่าฉลาดก็ไม่เชิง ก็เลยมองทั้ง ๒ อย่าง คือ มองว่าเราขาดอะไรแล้วสร้างใหม่ขึ้นมา มองว่าเรามีอะไรแล้วปรับให้ดียิ่งขึ้นไป

ฉะนั้น...การจะประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็คือ การล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าต้องไม่ท้อถอย คราวนี้การที่ล้มลุกคลุกคลานนั้น ก็สำคัญตรงที่ว่าใครจะลุกได้เร็วกว่า ก็คือบุคคลที่ไม่ใส่ใจกับความผิดพลาด ความล้มเหลวในชีวิต มีมุมมองที่เป็นแง่บวกเสมอ

โทมัส แอลวา เอดิสัน ทดสอบเรื่องการสร้างหลอดไฟ ล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้ว ลูกศิษย์บอกว่า "อาจารย์ครับ...เราล้มเหลวมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้ว อาจารย์ยังคิดจะทำต่ออีกหรือ ?" เอดิสันบอกกับลูกศิษย์ว่า "ใครบอกว่าฉันล้มเหลว ? ฉันประสบความสำเร็จมา ๒๐๐ กว่าครั้ง เพราะฉันรู้ว่า ๒๐๐ กว่าหนทางนั้นใช้ไม่ได้" แล้วก็ทดลองหาทางต่อไป จนกระทั่งเรามีหลอดไฟใช้จนทุกวันนี้

ฉะนั้น...สำคัญที่มุมมอง คนที่แพ้เป็น ล้มเป็น จะเจ็บน้อย ไปได้เร็ว การล้มเป็นนี่ต้องดูการต่อสู้แบบพวกยูโด ไอกิโดอะไรพวกนั้น เทควันโดก็ได้ ถ้าหากว่าโดนคู่ต่อสู้ทุ่ม หรือว่าเตะตัด ล้ม ถ้าล้มเป็นจะไม่เจ็บ หรือไม่ก็ผ่อนหนักให้เป็นเบา เจ็บก็เจ็บไม่มาก

คนที่ผิดพลาด ล้มลงแล้วมัวแต่คร่ำครวญอยู่ตรงนั้น จะประสบความสำเร็จยาก ประมาณว่าจิตตก หมดกำลังใจที่จะไปต่อ แต่คนที่ล้มแล้วลุกเลย ไปต่อได้ระยะทางที่ไกลกว่า ถึงที่หมายเร็วกว่า"

เถรี
13-10-2019, 20:17
"เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน แต่ละคนผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ผิดแล้วต้องเริ่มต้นใหม่ ดูว่าที่ถูกกว่านี้ยังมีอยู่ เราล้มครั้งแล้วครั้งเล่า จิตตกครั้งแล้วครั้งเล่า สมาธิตก กรรมฐานแตก นับไม่ถ้วน ความผิดพลาดอยู่ตรงไหน ? เขาถึงได้บอกว่าผิดเป็นครู ก็คือเอาไว้สอนตัวเองว่าจะไม่ผิดอย่างนั้นอีก แต่ส่วนใหญ่พวกเราผิดจนเป็นศาตราจารย์แล้ว แต่ก็ยังแก้ไม่ได้...! คือไม่ใช่ผิดเป็นครูเฉย ๆ แต่ผิดจนเป็นอาจารย์ของอาจารย์ไปแล้ว

เหตุที่การปฏิบัติธรรมของเราล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะว่าเรายังไม่เข็ด ล้มกี่ครั้งก็ไม่เข็ด คนที่เข็ดจะรู้จักระมัดระวัง แล้วก็แก้ไข เพราะว่าไม่อยากเป็นอย่างนั้นอีก แต่คนที่ไม่เข็ด ไม่อยากเป็น แต่ไม่สนใจที่จะแก้ไข ต่างกันอยู่นิดเดียว หรือไม่มีกัลยาณมิตรคอยบอกว่า ทางนี้ไม่ดี ทางนี้ไม่ถูก อย่าไป หรือถึงบอกกูก็จะดื้อไป

อาตมาเองอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ปีแล้วปีเล่าจนกระทั่งมั่นใจว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านบอกเรา คือเรื่องที่ท่านเองผิดมานับครั้งไม่ถ้วน ผิดจนกระทั่งท่านหาทางที่ถูกที่สุด ง่ายที่สุดให้กับเราแล้ว แม้ว่าทางนั้นจะเป็นประเภททะเลไฟ กะทะน้ำมันเดือดอะไรก็ไปเถอะ ถ้าทุกด้านคือทางตาย ทางด้านนี้จะตายน้อยที่สุด

แต่พวกเราที่บอกว่ามอบกายถวายชีวิต แล้วไม่ได้มอบอย่างแท้จริง ถึงเวลาครูบาอาจารย์บอกก็ฟัง ๆ ไปอย่างนั้น ลำบากหน่อย กูก็ถอยแล้ว เจออุปสรรคหน่อย กูก็ไม่เอาแล้ว แล้วแบบนี้จะประสบความสำเร็จก็คงจะยาก ต้องยิ่งแพ้ยิ่งสู้ สู้จนกว่าจะชนะ"

เถรี
13-10-2019, 20:32
"มีนางงามอเมริกันคนหนึ่ง มีแมวมองมาบอกว่า คุณสวยพอที่จะเป็นนางงามอเมริกาได้ เขาก็เลยไปสมัครประกวด ปีแรกก็ตกรอบ ปีที่สองก็ตกรอบ ปีที่สามก็ตกรอบ ปีที่สี่ก็ตกรอบ ปีที่ห้าก็ตกรอบ คุณเธอถามว่า "ทุกคนรู้ไหมว่าปีที่หกเกิดอะไรขึ้น ? ฉันก็ยังคงตกรอบ" แล้วเขาบอกทำไม ? บอกให้รู้ว่าเขาสู้ไม่ถอย ท้ายที่สุดเขาก็เป็นนางงามอเมริกาจริง ๆ เพราะว่าเขาปรับปรุงแก้ไข ศึกษาจากประสบการณ์ที่ขึ้นเวทีมาหลายปี กรรมการต้องการอะไร คนดูต้องการอะไร ความสวยเขามีพออยู่แล้ว มีใครบ้างขึ้นประกวดล้มเหลวมาตลอดหลายปี แล้วยังกล้าขึ้นประกวดอีก ?

อาตมาเล่าให้พวกเราฟังว่า เฉพาะแค่ปฐมฌาน อาตมาใช้เวลาทุ่มเทอยู่ ๓ ปี กว่าที่จะทำได้ พวกเราภาวนา ๓ นาที ใจไม่สงบ กูก็เลิกแล้ว แล้วทำไมอาตมาดื้อทำได้ ? ก็เพราะว่าเชื่อครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งหาวิธีที่ดีที่สุด ที่ง่ายที่สุดมาบอกเราแล้ว ในเมื่อเราเชื่อท่านก็ต้องทำให้ได้อย่างท่าน ถ้าทำไม่ได้อย่างท่าน แสดงว่าความพยายามของเรายังไม่พอ

ฉะนั้น...ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่อให้เป็นมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กหรือว่าวอร์เรน บัฟเฟต ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ใช่ว่าเขามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เขาตัดสินใจจากข้อมูลที่มีอยู่ว่า ถ้าทำแล้วโอกาสสำเร็จมีมากกว่าเขาก็ทำ อาตมาก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนั้น ประเมินสถานการณ์แล้ว มีโอกาสชนะ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ถึงจะทำ น้อยกว่านั้นไม่ทำ หลังจากมีประสบการณ์มากขึ้น ๆ ๗๐ ก็เอา ๖๐ ก็เอา ๕๐ ก็เอา เพราะมั่นใจว่าสามารถแก้ไขหน้างานให้ดีและประสบความสำเร็จได้ ปัจจุบันนี้นะหรือ ? ๑ เปอร์เซ็นต์ก็เอา โห...ถ้าสามารถเติมอีก ๙๙ ให้เต็มได้นี่กูเก่งสุด ๆ ชีวิตนี้จะมีรสชาติมาก..!"

เถรี
13-10-2019, 20:49
"เคยไปฟังเขาอบรมคนขายประกัน จับพลัดจับผลูได้เข้าไปฟังกับเขาด้วย คนที่ประสบความสำเร็จเขามาบอกเคล็ดลับให้คนที่กำลังเข้าไปทำว่า คุณไปหาลูกค้าคนที่ ๑ พลาด คนที่ ๒ พลาด คนที่ ๓ พลาด คนที่ ๔ พลาด อย่าเพิ่งท้อใจ ให้ทำต่อไป เขาเองไปประสบความสำเร็จกับลูกค้าคนที่ ๘๑ เขาพลาดมา ๘๐ คนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ท้อ

พอคนที่ ๘๑ ยอมเซ็นสัญญาทำกรมธรรม์กับเขา เขาถามลูกค้าคนนั้นว่าตัดสินใจทำเพราะอะไร เมื่อรู้ความต้องการของลูกค้าก็ไปนำเสนอลูกค้าคนต่อไปได้ง่ายขึ้น พอได้ลูกค้าคนต่อไปก็ถามเขาอีกว่าทำเพราะอะไร ต้องการอะไร แล้วก็นำเสนอลูกค้าคนต่อไป ท้ายสุดเขาประสบความสำเร็จ ได้รางวัลไปเที่ยวต่างประเทศจนเบื่อไปเอง ถ้าเขาท้อตั้งแต่ ๒๐ คนแรก หรือ ๕๐ คนแรก เขาจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าที่เขาประสบความสำเร็จคือคนที่ ๘๑

พระพุทธเจ้าตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ก็คือหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา คำแรกเลยคือ ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง อันนี้พูดมาแล้วฟังไม่รู้เรื่อง ก็คือ ความอดทนเท่านั้นที่จะหลอมเคี่ยวเรา จนกระทั่งประสบความสำเร็จออกมาเป็นศิลปะวัตถุที่งดงาม เป็นที่ตรึงตราต้องใจของบุคคลทั่วไป ตบะก็คือความร้อนในการเผากิเลส เผาแล้วเปลี่ยนสภาพวัตถุ เผาเพื่อให้เหมาะแก่การใช้งาน ถ้าหากว่าไม่อดทน ประสบความสำเร็จยาก เด็กรุ่นหลังนี่น่ากลัวมาก น่ากลัวที่ว่าขาดความอดทน

อุปสรรคมากมีที่ขัดขวาง.............ต้องถากถางบุกบั่นไม่หวั่นไหว
ถึงทุกข์ยากลำบากสักเพียงใด..........ต้องฝ่าฟันพ้นไปได้สักวัน
ของสิ่งใดการได้มาถ้าลำบาก...........ต้องทุกข์ยากมักมีค่ามหาศาล
ดุจเหล็กกล้าผ่านการทุบชุบเป็นนาน...........จึงตระการเป็นอาวุธสุดแหลมคม

ช่างซามูไรชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้ที่ตีซามูไรอันดับหนึ่งของโลก เล่มหนึ่งไม่แพงเท่าไรหรอก ห้าแสนกว่าบาท...! เขาบอกว่าเหล็กดีต้องทนร้อยหลอมพันทุบได้ ก็แปลว่าผ่านการหลอม ผ่านการเคี่ยวกรำครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านการทุบ ผ่านการขัดมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นอาวุธที่งดงาม ใช้งานได้อย่างใจ ใคร ๆ ก็ต้องการ สรุป...คนขี้เกียจไม่ประสบความสำเร็จหรอก ยกเว้นสร้างบุญในชาติก่อน ๆ มามากพอ ซึ่งก็แปลว่าขยันมาในอดีตจนเหลือเฟือแล้ว"

เถรี
13-10-2019, 20:53
"เด็กรุ่นใหม่ฉาบฉวยขาดความอดทน ต้องการรวยเร็ว ไม่ได้ดูรุ่นเก่าเป็นตัวอย่าง รุ่นปู่ย่าตาทวดของอาตมา หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน มื้อหน้าจะมีกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ค่อย ๆ อดทนทำงาน เก็บหอมรอมริบทีละบาท ทีละสลึง พอได้เงินมาก้อนหนึ่งก็เริ่มลงทุนทำกิจการ เป็นกิจการเล็ก ๆ ขายโอเลี้ยง ขายกาแฟ ขายน้ำเต้าหู้ สะสมเงินขึ้นไป ลงทุนให้ใหญ่ขึ้น เปิดร้านขายของชำ โบราณเขาใช้คำว่า "สู้แค่หน้าตัก" ก็คือมีเท่าไรทำเท่านั้น ผิดพลาดขึ้นมาก็ไม่เป็นหนี้ใคร แต่สมัยนี้เริ่มต้นด้วยการกู้เงิน พลาดขึ้นมาก็มีหนี้ก้อนโต

ที่น่ากลัวกว่านั้น คือเด็กรุ่นใหม่ไม่พยายามศึกษา ขี้เกียจเรียน พอต่อว่าเข้าก็อ้างว่า "มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก กับ สตีฟ จ็อบส์ ไม่เห็นต้องจบปริญญาเลย ก็รวยเป็นหมื่นล้าน" อาตมาถามคืนไปว่า "แล้วมึงชื่ออะไร ? มึงชื่อสตีฟ จ็อบส์ หรือชื่อมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก สองคนนั่นเป็นแค่สองคนในห้าพันกว่าล้านคนในโลกนี้ แค่เม็ดทรายสองเม็ดในมหาสมุทรเท่านั้น แล้วคิดว่ามึงจะประสบความสำเร็จอย่างเขาใช่ไหม ?" เขาเรียกว่าดูตัวอย่างโดยที่ไม่ได้ดูตัวเองเลย"

เถรี
13-10-2019, 20:54
"หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ท่านบอกเสมอว่า "นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้" เราจะไปบอกว่า แจ็ก หม่า ไม่มีความรู้ได้ไหม ? อย่างน้อยเขาก็จบปริญญา เขาก็เป็นครู แล้วพื้นฐานที่แน่นที่สุดคือภาษาอังกฤษของเขาดี

ส่วนใหญ่แล้วพอถึงเวลา ความขี้เกียจ ฉาบฉวย สมองกลวง ก็ทำให้อ้างคนที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้ดูตัวเอง ทำอะไรก็ได้ที่งานเบา เงินดี ซึ่งมักจะหาไม่ได้ ท้ายสุดงานเบาเงินดี ก็ต้องนั่งกินเหล้าจนช็อกตาย..เดือดร้อนจนป่านนี้ยังปิดคดีไม่ได้...! เพราะฉะนั้น...คนรุ่นใหม่ได้โปรดอย่าเลี้ยงลูกให้สบาย สอนลูกให้รู้จักความลำบาก ให้เขารู้ว่าโลกเราโหดร้ายกว่าที่คิด จะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ"

เถรี
13-10-2019, 21:01
พระอาจารย์ให้พรโยมกลุ่มหนึ่ง "ขอให้ร่ำ ขอให้รวย ขอให้ถูกหวยบ่อย ๆ ....(หัวเราะ)... อันนี้อีกแล้ว ประเภทไม่อยากเหนื่อยอีกแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยเราก็จะไม่รู้คุณค่า"

เถรี
13-10-2019, 21:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้รายการข่าวช่อง ๗ สีเอาเรื่องบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนไปลง สามสี่วันนี้ก็เลยมีแต่คนโทรมาถาม ปิดกี่โมง ? กลางคืนขึ้นได้ไหม ?

จะขึ้นเวลากลางคืนไปทำอะไร ? บอกว่าให้ไปเสี่ยงชีวิตเอาเอง เพราะว่าบันไดอยู่นอกเขตวัด ขึ้นไปแล้วดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ควรจะขึ้นสักตีห้าครึ่ง คือหลังจากพระทำวัตรเช้าเสร็จ คุณเดินขึ้นไปก็สว่างพอดี ไม่อย่างนั้นเวลากลางคืนบางทีก็อันตราย มีใครทำผิดคิดร้ายก่ออาชญากรรมขึ้นมา ต้องบอกว่าแก้ไขยาก ขอร้องเถอะ...พักในวัดก่อนก็ได้ ตีห้าครึ่งแล้วค่อยขึ้นไป"

เถรี
13-10-2019, 21:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "มาเลเซียมีสมเด็จพระราชาธิบดี ต้องบอกว่าเป็นตำแหน่งที่เป็นสัญลักษณ์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็น โดยเลือกจากสุลต่านรัฐต่าง ๆ คัดเลือกกันขึ้นมา

แต่มีอยู่ ๔ รัฐคือไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิส ห้ามเป็นสมเด็จพระราชาธิบดี เพราะว่า ๔ รัฐนี้เคยเป็นของประเทศไทย แล้วมีคนไทยอยู่มาก จะเห็นว่าทุกประเทศเขากีดกันบุคคลที่ไม่ใช่เชื้อชาติของเขา มีประเทศเราที่เป็นสวรรค์ จะชาติไหน ภาษาไหนมากูรับทั้งนั้น กลายเป็นม้าอารี จะโดนเขาบี้ตายอยู่แล้วก็ยังไม่รู้ตัว..!"

เถรี
13-10-2019, 21:51
มีเด็กบ่นกับพ่อแม่ว่า "หนูเบื่อ" พระอาจารย์จึงกล่าวกับเด็กว่า "เบื่อก็อย่าเกิดสิลูก รู้ไหม..? เกิดมาก็ต้องเบื่ออย่างนี้แหละ"

เถรี
15-10-2019, 08:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องรางในตำนาน ๙ อย่าง "หมากดีที่วัดหนัง" เป็นอันดับหนึ่ง หมากทุยนี่ถ้าลูกเล็กเป็นของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หรือ หลวงพ่อผล วัดหนัง แต่ถ้าลูกใหญ่กลายเป็นของหลวงปู่รอด วัดนายโรง

ช่วงนี้กำลังหาเงินสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีอยู่ วันนี้ได้แปดล้านห้าแล้ว กำลังจะหาให้ครบสิบล้านภายในพรุ่งนี้ เชื่อเถอะ...เดี๋ยวก็มาเอง อาตมาไม่เคยนอกครู ครูจึงต้องช่วย ถึงเวลาครูบอกอะไรก็ต้องอย่างนั้นแหละ"

เถรี
15-10-2019, 08:22
"เมื่อสักครู่ตั้งใจว่าจะหยิบเอาสายคาดของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวมาด้วย แต่กลัวคนเอาไปใช้งานจริง เพราะว่าเก่าและกรอบ ถ้าเอาไปใช้จริง ๆ เดี๋ยวจะแตกหักหมด น่าเสียดาย...สภาพสมบูรณ์มาก ก็เลยไม่หยิบลงมา

หลวงปู่ยิ้ม ก็มีหนึ่งในเก้าเครื่องรางสะท้านแผ่นดิน คือ "แหวนอักขระวัดหนองบัว"

หมากดี ที่วัดหนัง
เบี้ยขลัง วัดนายโรง
ไม้ครู คู่วัดอินทร์
มีดบิน วัดหนองโพธิ์
พิสมร วัดพวงมาลัย
ครั่งเหลือร้าย วัดโตนดหลวง
ราหู คู่วัดศีรษะ
แหวนอักขระ วัดหนองบัว
ลูกแร่ที่บางไผ่
ฤทธิ์เหลือร้ายหาใดปานฯ

เก้าเครื่องรางสะท้านแผ่นดิน"

เถรี
15-10-2019, 08:24
"หมากดีที่วัดหนัง ก็คือหมากทุยของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงปู่เอี่ยมเป็นพระเถระที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เคารพนับถือมากที่สุด พระองค์ท่านจะเดินทางไปยุโรป ทรงไปกราบถามหลวงปู่เอี่ยมว่าจะมีอันตรายอะไรไหม ? หลวงปู่เอี่ยมทูลว่ามี แต่แก้ไขได้ด้วยพุทธบารมี เสร็จแล้วก็เขียนผ้ายันต์ถวายให้ พร้อมกับพระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า

คราวนี้พอเรือพระที่นั่งวิ่งไป ไปเจอน้ำวนจะดูดเรือเข้าไป พระองค์ท่านนึกได้ว่าหลวงปู่เอี่ยมบอกว่าถ้ามีอันตรายให้ใช้ผ้ายันต์นี้ จึงตั้งสัตยาธิษฐานโบกผ้ายันต์ ปรากฎว่าเกิดลมพายุ พัดเรือหลุดจากวังวนออกไป

พอไปถึงฝรั่งเศส เขาแกล้งเอาม้าพยศมาให้พระองค์ท่านขี่ ท่านดูท่าไม่ดีก็เลยเสกหญ้าด้วยคาถามงกุฎพระพุทธเจ้าส่งให้ม้ากิน กลายเป็นม้าเชื่อง ๆ ไปเลย ฉะนั้น...ของหลวงปู่เอี่ยมเขาไม่ได้หาแต่หมากทุย เพราะว่าหมากทุยหายาก นาน ๆ จะเจอหมากตายพรายก็คือตายคาต้นสักที คราวนี้ที่ตายคาต้นส่วนใหญ่ก็ลูกเล็ก ๆ เท่าที่เจอมาเต็มที่ก็ประมาณหัวนิ้วโป้ง แต่ว่าของหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านไปเจอประเภทตายตอนเป็นลูกใหญ่"

เถรี
15-10-2019, 08:25
"เบี้ยขลัง วัดนายโรง เป็นเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด วัดนายโรง แต่จริง ๆ แล้วชื่อเสียงก็ตีคู่มากับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว แต่เนื่องจากว่าหลวงปู่บุญท่านอยู่ต่างจังหวัด สมัยโน้นหลวงปู่รอดถือว่าอยู่ธนบุรี ยังพอไปมาหาสู่ได้ง่ายกว่า หลวงปู่รอดก็เลยมีชื่อเสียงมากกว่า แต่จริง ๆ แล้วท่านเรียนมาจากอาจารย์เดียวกัน"

เถรี
15-10-2019, 08:26
"ไม้ครูคู่วัดอินทร์ ไม้ครูนี่หายากมาก หลวงปู่ภู วัดอินทร์ท่านธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าปี กว่าจะหาวัสดุมาทำไม้ครูได้ วัสดุก็คือกอไผ่ที่โดนฟ้าผ่า ล้มไปทางทิศตะวันออก และต้องรอจนกว่าจะมีโขลงช้างผ่านมาแล้วเดินข้ามไปทั้งโขลง โดยที่ไม่มีตัวไหนดึงมากิน

หลวงปู่ท่านธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าปีจึงได้มา เสร็จแล้วก็ต้องทำพิธีพลีกรรม ขอเทวดา ขอเจ้าที่ ตัดมาทำเป็นไม้เท้า ต้องเอาไปจิ้มศพที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารให้ได้ครบ ๗ ศพ แล้วค่อยมาจักเป็นตอกเก็บเอาไว้ พอถึงเวลาก็ทำ เขียนพระนามพระพุทธเจ้า บรรจุไว้ข้างใน ก็เลยเรียกว่าไม้ครู แต่จริง ๆ แล้วก็คือตะกรุด ตะกรุดไม้ครู"

เถรี
15-10-2019, 08:28
"มีดบินวัดหนองโพธิ์ ก็คือมีดหมอเทพศาสตรา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ความจริงหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล ทำมีดหมอสำเร็จก่อน แล้วเป็นศิษย์พี่ แต่หลวงพ่อเดิม วัดของท่านอยู่ข้างสถานีรถไฟ หลวงพ่อรุ่งอยู่หนองสีนวล เดินเท้าไปอีกเป็นวัน ใคร ๆ จึงแห่ลงที่หนองโพธิ์กันหมด เพราะว่าลงรถไฟแล้วเข้าวัดได้เลย หลวงพ่อเดิมก็เลยดังระเบิดเถิดเทิง ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อรุ่งเป็นคนช่วยกำกับในการทำมีดหมอรุ่นแรก ๆ ให้หลวงพ่อเดิม

ฉะนั้น...คนนครสวรรค์นี่รื่นเริงบันเทิงใจมาก มีมีดหมอหลวงพ่อเดิม ขายเล่มหนึ่งสามแสนห้าแสน มีดหมอหลวงพ่อรุ่งเก็บไว้ใช้ เขาบอกว่า "มีดหลวงพ่อรุ่งเอาไว้ใช้ มีดหลวงพ่อเดิมเอาไว้ขาย" เพราะว่าของหลวงพ่อรุ่งนี่สองสามหมื่นหาได้ ถ้าสวย ๆ เต็มที่ก็สี่ห้าหมื่นเท่านั้น"

เถรี
15-10-2019, 08:30
"พิสมรวัดพวงมาลัย เป็นตะกรุดของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ต้องไปตัดใบลานที่ตำบลบางปืน คราวนี้วัดพวงมาลัยกับบางปืน สมัยก่อนกว่าจะไป แจวเรือกันเป็นวัน ๆ คนก็บ่นท่านว่า ทำไมต้องไปหาไกลขนาดนั้นด้วย ใบลานแถววัดเราก็เยอะแยะ

ท่านบอกว่าเขาถือเคล็ด บางปืนคล้องกับคำว่าบังปืน กันอาวุธปืนได้ ได้มาก็หาฤกษ์งามยามดีลงอักขระ เสร็จแล้วก็ม้วนเป็นตะกรุด ซึ่งมียาวมีสั้น พอถึงเวลาญาติโยมใครตัดมาท่านก็ทำให้ ถ้ายาวหน่อยก็ม้วนเป็นตะกรุดยาว ๆ เหมือนมวนบุหรี่ใหญ่หน่อย ก็เรียกว่า ตะกรุดใบลานบังปืน ถ้าหากว่าสั้นลงมาหน่อย ม้วนใหญ่ เขาเรียก ตะกรุดลูกกลอง ถ้าสั้น ๆ ม้วนแล้วถักเลย เรียกว่าพิสมร จริง ๆ แล้วก็คืออย่างเดียวกัน"

เถรี
15-10-2019, 08:35
"สมัยก่อนท่านเจ้าเมืองสมุทรสาครไปไหนนี่เครียด ไปเมื่อไรเขาก็ถาม "ท่านเจ้าคุณ มีของดีหลวงปู่วัดพวงมาลัยมาบ้างไหม ?" โดยเฉพาะเข้ากรุงเทพฯ มา ผู้ใหญ่สมัยนั้นไม่ว่าจะเชื้อพระวงศ์หรือว่าผู้ใหญ่ในวงราชการก็ถามหากัน ที่วัดพวงมาลัยมีตำหนักเอาไว้ต้อนรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ คิดดูว่าท่านดังขนาดไหน ดังขนาดไม่มีวัสดุเหลือเอาไว้ทำตะกรุด ต้องเอาสังกะสีมุงหลังคามาทำตะกรุด ฉะนั้น...เจอตะกรุดสังกะสีผุ ๆ เก่า ๆ รีบคว้าเอาไว้เลย มีรายเดียวที่ทำแบบนี้

แต่ที่หนักกว่าก็คือหลวงพ่อเต๋ วัดสามงาม อันนั้นหาอะไรไม่ได้จริง ๆ ก็เอาถุงปูนที่ก่อสร้างนั่นแหละ มาตัด ๆ เขียนอักขระแล้วก็ม้วนเป็นตะกรุดให้ นอกจากมีตะกรุดสังกะสีแล้วจึงยังมีตะกรุดถุงปูนอีก"

เถรี
15-10-2019, 08:39
"ครั่งเหลือร้ายวัดโตนดหลวง เป็นของหลวงปู่ทองศุข หลวงปู่ทองศุขอยู่ใจกลางเพชรบุรี ดงคนดุ สมัยก่อนคนเพชรบุรีหาแต่อาจารย์เหนียวอย่างเดียวเลย ทางนั้นก็สุดยอดทั้งนั้น ลูกศิษย์แต่ละอาจารย์ไม่มีอะไรทำก็ลองของกันเอง

หลวงปู่ทองศุขท่านเอาครั่งพุทรา ต้องเป็นกิ่งที่ชี้ตะวันออกอย่างเดียว เอามาทำวัตถุมงคล เป็นตะกรุดพอกครั่ง ใบลานพอกครั่ง ลูกอมพอกครั่ง หนังหน้าผากเสือพอกครั่ง แม้กระทั่งเบี้ยแก้พอกครั่ง หายากที่สุดก็คือเบี้ยแก้ แต่ที่หายากกว่านั้นก็คือพระที่ทำจากครั่ง เป็นเรื่องแปลก คนไปเที่ยวหาตะกรุด หาอย่างอื่น อาตมาหาพระ พระที่ทำขึ้นมาจากครั่งของท่าน

หลวงปู่ทองศุขท่านเก่งขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพระอาจารย์เมืองเพชรบุรีรุ่นหลัง ๆ ที่ดังคับบ้านคับเมืองนี่ลูกศิษย์หลวงปู่ทองศุขทั้งนั้นแหละ"

ถาม : ครั่งเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ครั่งเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ ถึงเวลากินน้ำเลี้ยงต้นไม้แล้วก็ขี้เอาไว้ แล้วก็ไปขูด ๆ มารวมกัน เคยเห็นเขาตีตราพัสดุไปรษณีย์รุ่นเก่า ๆ ไหม ? นั่นแหละขี้ครั่ง

เถรี
15-10-2019, 08:45
หลวงปู่ทองศุขมีวิชามหาสูญที่ไม่มีใครได้รับถ่ายทอดไว้...น่าเสียดาย มีเด็กอยู่คนหนึ่งเกิดมาเป็นปานแดงเต็มหลังเลย แล้วปานแดงผิวอ่อนมาก โดนผ้าก็แสบร้อน ร้องจ้าอยู่ทั้งวัน แม่อุ้มไปหาหลวงปู่ทองศุขถามว่าช่วยได้ไหม หลวงปู่ทองศุขท่านก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ท้ายสุดก็เอ้า...พอได้ ท่านให้วางเด็กลงแล้วเอาเท้าเหยียบแล้วว่าคาถา ไม่น่าเชื่อปานเต็มหลังหายไปเลย แต่หลวงปู่ก็คงต้องไปรับกรรมแทนเขา เพราะว่าป่วยหนักไปเป็นปีเลย

ถาม : เหมือนโนราห์ เขามีวิชาที่ใช้เหยียบบนลูกมะนาวก่อน ?
ตอบ : ทางด้านเราก็มี เรียกว่าเหยียบฉ่า ถึงเวลาก็เอาผาลไถเผาจนแดง เหยียบว่าคาถา ควันขึ้นโขมงเลย แล้วไปเหยียบคนป่วยให้หายได้

เถรี
15-10-2019, 08:46
ราหูคู่วัดศีรษะ ราหูกะลาแกะ กะลาตาเดียวของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง อัศจรรย์ที่ว่าครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ ทางภาคเหนือกับหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ภาคกลาง ทำกะลาตาเดียวแกะเป็นราหูเหมือนกัน ทำวัวธนูพอกครั่งเหมือนกัน เขาบอกว่าตำรานี้มาจากเวียงจันทร์ หลวงพ่อน้อยท่านก็เป็นลาวเวียงจันทร์อพยพมา ครูบานันตาก็น่าจะใช่ เพราะว่าทางล้านนากับล้านช้างสมัยก่อนไปมาหาสู่กันอยู่ โดยเฉพาะพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชก็ประเภทเจ้าชายเชียงใหม่ไปครองกรุงเวียงจันทร์

ราหูของหลวงพ่อน้อย เขาบอกว่ากลับร้ายกลายเป็นดี หนุนดวง

เถรี
15-10-2019, 08:47
แหวนอักขระ วัดหนองบัว ก็แหวนของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ทำแหวน ทำพิรอดแขน ทำเชือกคาดเอว ต้องหาผ้าห่อศพ ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร เขียนอักขระแล้วก็ถัก หลังจากนั้นก็ชุบรัก เป็นแหวนบ้าง เป็นพิรอดแขนบ้าง เป็นเชือกคาดเอวบ้าง

เถรี
16-10-2019, 20:48
ลูกแร่ที่บางไผ่ เป็นวัตถุมงคลที่สร้างจากโลหะพิเศษ ที่เรียกว่าแร่บางไผ่ ของ หลวงปู่จัน วัดโมลี เขาหาพระปิดตาแร่บางไผ่ ส่วนอาตมาหาลูกอมแร่บางไผ่ หายากกว่าตั้งเยอะ แต่ละปีกว่าจะได้สักลูกหนึ่งก็แทบน้ำตาเล็ด เพราะว่าเจ้าของเขาหวงมาก

เถรี
16-10-2019, 20:51
หมากดีวัดหนัง เบี้ยขลังวัดนายโรง ไม้ครูอยู่วัดอินทร์ มีดบินต้องวัดหนองโพธิ์ พิสมรวัดพวงมาลัย ครั่งเหลือร้ายวัดโตนดหลวง ราหูคู่วัดศีรษะฯ แหวนอักขระวัดหนองบัว ลูกแร่ที่บางไผ่ ครบ ๙ อย่าง

แต่คราวนี้ครูบาอาจารย์สมัยนั้นท่านไม่ได้เก่งอย่างเดียว ส่วนใหญ่แล้วท่านทำได้หลายอย่าง อย่างหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ท่านทำหมากทุย ที่ดังเพราะมีน้อย ตะกรุดมงกุฎพระพุทธเจ้าของท่านก็หายากพอกัน ต้องบอกว่าราคาแพงมากทีเดียว

เถรี
16-10-2019, 20:53
หลวงปู่รอด วัดนายโรง ทำเบี้ยแก้ ท่านก็มีหมากทุย มีตะกรุดของท่าน ถึงได้บอกกับโยมว่า เดี๋ยวหยิบหมากทุยของหลวงปู่รอดวัดนายโรงลงมาหนึ่งลูก แต่ของหลวงปู่รอดนี่จะลูกใหญ่ พอได้ลูกหมากตายพรายมา ท่านจะคว้านไส้ออก ใช้กระดาษสาเขียนอักขระใส่ลงไป พอกชันโรง แล้วก็ถักเชือกบ้าง ไม่ถักเชือกบ้าง

สมัยก่อนส่วนใหญ่เขาหาของพวกประเภทมหาอุตม์ แคล้วคลาด โดยเฉพาะทางบ้านของอาตมา เขาหาพิรอดแขนหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ถามว่าหาทำไม ? สมัยก่อนเวาลาเกณฑ์ทหาร เขาต้องจับใบดำใบแดง ลูกชายบ้านไหนใส่พิรอดแขนหลวงปู่บุญไปจับ ไม่เคยติดทหารเลยสักคน แคล้วคลาดได้ขนาดนั้น รอดสมชื่อจริง ๆ

เถรี
16-10-2019, 20:54
มารุ่นของอาตมานี่แม่ไม่ต้องหาอะไรทั้งนั้น สมัครเข้าไปเรียน หมดเรื่องหมดราวไปเลย โดนแม่ด่าตั้งแต่อำเภอยันบ้าน...!

โดยปกติคนเราจะกลัวการเปลี่ยนแปลง อาตมาเป็นคนที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง หักมุมชีวิตตัวเองเล่นมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ อยู่บ้านดี ๆ ก็สมัครไปเรียนทหาร เป็นทหารกำลังรุ่ง ๆ ก็ลาออกมาทำงาน ทำงานกำลังรุ่ง ๆ ก็ไปบวช อยู่วัดท่าซุงจนกระทั่งกลายเป็นมาเฟีย ก็ออกจากวัดมา เป็นเจ้าอาวาส จนเขาให้เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นไปเป็นมาก็ลาออกอีก ชีวิตแบบนี้มีรสชาติมาก

เถรี
16-10-2019, 20:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดินทางไปไหน ถ้าเจ้าที่เขายินดีด้วย ก็จะดีทุกอย่าง อาตมาไปหน้าร้อนก็มีหิมะให้ดู ที่ขำที่สุดก็คือไปยอดเขาทิตลิส หิมะกระหน่ำทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าร้อน แล้วหนังสือพิมพ์ของสวิสเขาลงข่าวว่า เมื่อ ๒๖ ปีที่แล้วก็มีเหตุการณ์แบบนี้ครั้งหนึ่ง อาตมาก็มานั่งไล่ไปไล่มา อ๋อ...๒๖ ปีที่แล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไป ...(หัวเราะ)... ไปที่นั่นแหละ..พอ ๒๖ ปีให้หลังหลวงลูกไปบ้าง เขาก็กระหน่ำหิมะให้ดู อยากเห็นหิมะกัน ต้องบอกว่าเจ้าที่ท่านน่ารักมาก

ไปปากีสถานก็หน้าร้อน ปรากฏว่าฝนตก แล้วที่คาราโครัม ภูเขาจะถล่มตลอดเวลา มัคคุเทศก์สั่งคนขับรถถอยเลย บอกว่าไปต่อไม่ได้..ตายแน่..! อาตมาบอกให้ขึ้นหน้าไปเถอะ เขาก็ทำท่าจะขาดใจตาย ปรากฏว่าฝนกลายเป็นหิมะไปต่อหน้าต่อตาเลย ถามเขาว่าคราวนี้ไปได้หรือยัง ? เขาบอกว่า "Snow ok, rain not ok." ถามเขาว่าทำไม ? เขาบอกว่าหิมะตกลงมา ช่วยคลุมไม่ให้หินไหลได้ แต่ถ้าฝนลงมา จะพาหินไหลถล่มลงมา"

เถรี
16-10-2019, 22:05
ถาม : ปกติขึ้นบ้านใหม่มีกำหนดไหมครับว่าไม่เกินระยะเวลาเท่าไร ?
ตอบ : ไม่มี ขอให้ได้ฤกษ์วันนั้นก็พอ

ถาม : สมมติเรายุบรวมตั้งศาลใหม่กับขึ้นบ้านใหม่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ฤกษ์วันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ เป็นวันเดียวกันมีไหมเล่า ?

เถรี
16-10-2019, 22:07
ถาม : พุทธาภิเษกสายเรา ถ้าไม่ได้ตอนเช้า เราบวงสรวงตอนเช้าเสร็จก่อน แล้วค่อยเสกใหม่ตอนเย็นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่พระท่านจะบอกว่าอย่างไร

ถาม : ทำไมที่อื่นเขาไม่ได้มีกำหนดเวลาก่อนเที่ยงเหมือนบ้านเรา แต่ทำไมเขายังมาครับ ?
ตอบ : ตำราไม่เหมือนกัน ของเราทำมาอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น ไปแหกคอกตามเขาได้ที่ไหน ?

เถรี
16-10-2019, 22:57
ถาม : ได้มีดหมอมา ไม่ทราบว่าแท้หรือเปล่าค่ะ ?
ตอบ : มีดหมอเล่มนี้เขาพยายามจะทำให้เป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ไม่เป็นไร...เอาไปเข้าพิธีที่ไหนก็ได้ ที่ใช้คำว่าพยายามทำ เพราะว่าฝีมือหยาบมาก ดูแค่นี้ก็รู้ ลายมือจารของหลวงพ่อเดิมท่านจะเบา แล้วก็พริ้วมาก ถ้าหากว่ามีจารจะเป็นรอยเหมือนกับจาง ๆ แต่ว่าสม่ำเสมอ สมัยนี้ปลอมกันเก่งมาก แล้วอีกอย่างก็คือใบมีดเล่มนี้เป็นลักษณะของเหล็กน้ำพี้ หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยทำ

เถรี
19-10-2019, 20:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เล่นวัตถุมงคลอย่าไปโลภ ถ้ามีจุดสงสัย แม้เล็กน้อยแค่ไหน ก็อย่าไปแตะ ถ้ามีคำถามขึ้นมาเมื่อไร ต้องหยุดไว้ก่อน ไม่ใช่ โอ๊ย...ชิ้นนี้สวยมาก อย่างไรก็ต้องเอาไว้ให้ได้ ถ้าแบบนั้นก็เตรียมตัวตายได้เลย

บางคนบอกให้จับพลัง คุณบ้าหรือเปล่า ? ตูจับได้แล้วคนอื่นจับได้ไหม ? ต้องเอาที่เป็นวิทยาศาสตร์สิพ่อคุณ เราดูได้ คนอื่นดูได้ เอะอะก็จะให้จับพลัง แล้วจะมีสักกี่คนที่จับได้จริง ๆ"

เถรี
19-10-2019, 20:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านเจ้ากรมฯ เสริมกับคุณหมอสมศักดิ์ ความรู้ท่านดั่งพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เพราะว่าท่านเชื่อตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก ก็คืออ่านพระไตรปิฎกปีละจบ"

เถรี
19-10-2019, 20:29
มีโยมเอา มะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่ มาถวาย "เขาเรียกว่า มะงั่วรู้หาว มะนาวรู้โห่ ไม่ใช่มะม่วง ถ้ามะม่วงนั่นคนละประเภทกัน มะงั่วบางทีเขาเรียกว่าส้มซ่า มะงั่วกับมะนาวก็คือไม้ตระกูลเดียวกัน ตระกูลส้ม

นี่ดันกลายเป็นมะม่วงรู้หาว มะนาวรู้โห่ มะม่วงกับมะนาวคนละตระกูลกัน ไปกันได้ที่ไหน ? ระยะเวลาแค่ไม่นาน ชื่อยังเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้แล้ว เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักมะงั่ว ก็คือส้มซ่า ส้มลูกใหญ่ ๆ ผิวขรุขระ ๆ คล้าย ๆ กับมะกรูด แต่ว่าเป็นมะกรูดขนาดยักษ์"

เถรี
19-10-2019, 20:39
ถาม : คำอธิบายที่ว่า เกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ คำว่า เป็น เราจะใช้คำว่า คือ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ได้

ถาม : คำว่า เป็น มันเหมือนบังคับครับ ?
ตอบ : แล้วคุณคิดว่าบังคับไหม ? คุณคิดว่าถ้าไม่มีคำว่า เป็น แล้วจะทุกข์ไหม ? ขนาด เป็นทุกข์ ยังไม่สนใจที่จะดู แล้วถ้าคิดว่า คือทุกข์ แล้วคนจะแลไหม ?

เถรี
19-10-2019, 20:57
ถาม : สังโยชน์ข้อนึกถึงความตาย จะตายในวันนี้นะ หรือไม่ก็ต้องตายเดี๋ยวนี้นะ สองคำนี้ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันอย่างไร ต่างกันแค่คำพูด คนเรากำลังใจไม่เท่ากัน คนกำลังใจสูงก็เดี๋ยวนี้ คนกำลังใจต่ำก็วันนี้ คนกำลังใจห่วยแตกก็แค่...เราต้องตาย ส่วนพวกไม่เอาไหนก็กูไม่มีวันตาย กรอกหูเท่าไรก็ไม่ฟัง

ถาม : ถ้ายอมรับ รู้สึกว่าตายก็ตายวะ ?
ตอบ : ถ้าเราจะแยกแยะละเอียด การที่รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น สภาพจิตก็ยังไม่ยอมรับ เพราะว่าแค่รู้เห็น แต่ถ้ายอมรับนี่เท่ากับเป็นสมบัติของเรา ไอ้รู้สึกนี่เป็นสมบัติของคนอื่นอยู่ จะมาเถียงทำไมกับคำพวกนี้ เสียเวลาเปล่า ๆ สอนตัวเองให้จบดีกว่า ไม่ใช่ไปสอนคนอื่น

เถรี
19-10-2019, 21:07
ถาม : ....(ไม่ชัด)....เป็นด้วยตัวเองหรือว่าเบา ?
ตอบ : เบาก็ทำไป ของพวกนี้อยู่ที่ตัวเราจะทำ รู้สึกว่าเบาไปก็เพิ่มขึ้นมา รู้สึกว่าหนักไปก็หย่อนลง เป็นเรื่องเฉพาะตัว คุณจะทำอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ว่าอย่าไปคิดว่าคนอื่นเขาเป็นเหมือนกับเรา เพราะว่าถ้าถึงเวลาแล้วเราชอบอาหารรสนี้ แล้วคิดว่าคนอื่นเขาชอบรสนี้ ไปยัดเยียดให้คนอื่นกิน เขาก็จะด่าเอา

เถรี
19-10-2019, 21:23
ถาม : เจ็บสะโพก ?
ตอบ : เจ็บก็มี ๒ อย่าง อย่างแรกก็ทน อย่างที่สองก็ไปหาหมอ ไปหาหมอไฉ้ที่ซอยประชาอุทิศ ๑๙/๑ ร้านเขาชื่อพญาเวชคลินิก เขาจัดกระดูกให้ ไม่กี่ทีก็หายแล้ว เดือนที่แล้วอาตมาประเภทบ้านหมุนแผ่นดินแกว่ง ไปให้เขาผลักกร๊อบเดียวก็หายแล้ว เพราะว่ากระดูกคอเคลื่อน

ถาม : ไม่เจ็บหรือคะ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้เจ็บกว่าที่เรากำลังเป็นอยู่หรอก

เถรี
19-10-2019, 21:25
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอาตมาไปรับรางวัลวัฒนคุณาธร ๒ รางวัล ก็คือรางวัลตัวบุคคล และรางวัลของหน่วยงาน ทั้งหมดที่เขาแจก ๔๐๑ รางวัล มีพระ ๒ รูปที่ได้ ๒ รางวัล นอกนั้นก็คนละรางวัลเดียว แล้วรางวัลตัวบุคคลมีพระได้แค่ ๑๗ รูปเท่านั้น นอกนั้นเป็นฆราวาสทั้งหมด

ส่วนหนึ่งที่เห็นก็คือ ทางกระทรวงวัฒนธรรมยังให้เกียรติพระอย่างมาก ก็คือให้พระนั่งเก้าอี้ แล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม มาคุกเข่าแจกหรือว่าถวายรางวัลให้

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่มีฆราวาสมอบรางวัลแล้วนั่งเก้าอี้ ให้พระเดินเข้าไปรับ โดยที่พระยืนต่ำกว่า เพราะว่าเก้าอี้อยู่บนแท่น ภาพอย่างนั้นออกไปทำให้ประธานที่มาแจกเสียหายมาก โดนคนตำหนิมากว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางคนก็ตั้งใจเอาใจผู้ใหญ่ที่เป็นฆราวาสมากจนเกินไป ในเมื่อเอาใจมากจนเกินไป ผู้ใหญ่เองต้องรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ไม่ใช่ไปตามใจลูกน้องตลอด ถ้าตามใจลูกน้องตลอด บางอย่างนอกจากจะโดนเขาตำหนิว่าไม่รู้กาลเทศะแล้ว ก็ยังมีโทษติดตัวด้วย อย่างเช่นว่า โทษในการปรามาสพระรัตนตรัย เป็นต้น"

เถรี
19-10-2019, 21:27
"คราวนี้มีอยู่ส่วนหนึ่งก็คือเขาพาพระขึ้นไปพักที่ชั้น ๒ ของอาคารศูนย์วัฒนธรรม ต้องขึ้นบันไดไป ๒ ช่วง ตอนแรกเจ้าหน้าที่ก็เดินนำ พอถึงช่วงที่สองอาตมาก็เดินนำเจ้าหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่เขาน่าจะอายุน้อยกว่าอาตมาเกินครึ่ง คำว่าเกินครึ่งก็คือว่าเขาน่าจะอายุไม่ถึง ๓๐ หรือประมาณ ๓๐ ปี ส่วนอาตมา ๖๐ ปี

เดินขึ้นบันไดช่วงแรกเขาเดินนำ เดินไปเดินมาก็เดินช้าลง เดินไม่ออก ขึ้นบันไดไม่ไหว อาตมาเองขี้เกียจรอ ก็เลยเดินนำหน้าแทน ทำให้เห็นว่า พวกเราส่วนใหญ่แล้วขาดการออกกำลังกายอย่างมาก ร่างกายก็เลยไม่แข็งแรง"

เถรี
19-10-2019, 21:30
ถาม : ศีลเต็ม ?
ตอบ : ศีลจะเต็มต้องมีสมาธิด้วย ถ้าสมาธิไม่ดี จะรักษาศีลให้ครบถ้วนไม่ได้ เพราะว่าสติไม่พอ ฉะนั้น..ถ้าเรารู้ตัวว่า เราขยับเมื่อไร ศีลจะขาดหรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นถือว่าเต็ม ก็แปลว่า สติสมาธิต้องสมบูรณ์พร้อม จะคิดจะพูดจะทำ จะรู้ตัวว่าศีลตัวเองจะขาดไหม ?

เถรี
19-10-2019, 21:31
ถาม : ย้ายที่ทำงาน ?
ตอบ : ตัดสินใจไปที่ไหนก็เหมือนกัน คำว่าเหมือนกัน ก็คือไปเริ่มต้นก็ต้องผจญกับสารพัดเรื่อง จนกระทั่งเริ่มจะเข้าที่ เรารู้ว่าจะรับมืออย่างไร เราก็ดันไปย้าย ก็เท่ากับหาเรื่องเหนื่อยเอง

เถรี
19-10-2019, 21:37
ถาม : สมาธิตกค่ะ ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : สมาธิตกเกิดจากการรักษากำลังใจไม่ต่อเนื่อง ไปเผลอปล่อยให้กิเลสกินเราได้ ถ้าไม่อยากสมาธิตกก็มีอย่างเดียว พยายามอยู่กับลมหายใจ อย่าให้หลุดไปไหน หลุดเมื่อไรโดนเมื่อนั้น

รู้...รู้ทุกคน แต่ก็ตกจนได้แหละ ไปพยายามใหม่ ไม่ต้องถามว่าทำอย่างไร ให้ทำแบบเดิม แต่ตั้งสติรักษากำลังเอาไว้

เถรี
19-10-2019, 21:38
ถาม : ทิพจักขุญาณ ?
ตอบ : ทิพจักขุญาณสำหรับพวกเรามีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ยิ่งรู้ชัดเจน ยิ่งโดนหลอกง่าย

เถรี
19-10-2019, 21:45
ถาม : ผมทำพระปรอทปิดตาของหลวงปู่ละมัยชำรุด จะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ยิ่งแตกหลายชิ้นยิ่งดี แต่จริง ๆ แล้วปรอทหลอมง่ายจะตาย แค่ไฟอ่อน ๆ ก็ละลายได้แล้ว ไปหาแบบมาแล้วก็ทำใหม่เลยก็ได้

ถาม : ผมควรเก็บไว้อย่างนี้หรืออย่างไรดีครับ ?
ตอบ : แล้วแต่จะตัดสินใจเอง

เถรี
19-10-2019, 21:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ต้องบอกว่าน้ำท่วมได้ทั่วถึงมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายพื้นที่แล้งสาหัส ช่วงนี้ก็จะลงไปท่วมปักษ์ใต้แทน คราวนี้จากที่ผ่านมา ความช่วยเหลือจากพระ จากญาติโยม ไปถึงผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมก่อน รัฐบาลขยับไม่ทันสักเรื่อง

ที่รัฐบาลขยับไม่ทันสักเรื่องเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน อันดับแรกก็คือลำดับความสำคัญของงานผิด ก็คือเรื่องของน้ำท่วมชาวบ้านเดือดร้อน ต้องช่วยเหลือโดยให้ความช่วยเหลือถึงมือเขาให้เร็วที่สุด ก็มาติดอยู่ในข้อที่สอง ก็คือว่าติดด้วยขั้นตอนของทางราชการ กว่าจะประชุม กว่าจะอนุมัติงบประมาณ กว่าจะส่งความช่วยเหลือไปถึง...ชาวบ้านตายหมดแล้ว..!

ต้องบอกว่ารัฐบาลเพิ่งจะทำหน้าที่ได้ไม่กี่วัน คะแนนนิยมก็ตกรูดมหาราช ไม่เหลือเค้าลุงตู่ที่ญาติโยมชื่นชมในวันปฏิวัติ เพราะว่าตลอดระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา ทุกคนเห็นชัดว่าการที่บอกว่าคนอื่นเลว ตัวเองเป็นคนดี เข้ามาเพื่อแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด อะไรที่บอกว่ารัฐบาลเก่าทำเป็นสิ่งที่ไม่ดี ชั่วช้าสามานย์ รัฐบาลใหม่ทำหมดทุกอย่าง และทำหนักกว่าด้วย จึงทำให้คะแนนนิยมหล่นหายไปเลย"

เถรี
19-10-2019, 21:49
"ตอนนี้รัฐบาลพูดอะไรก็มีแต่จุดอ่อนให้เขาตี แม้กระทั่งไปพูดต่างประเทศ ต้องบอกว่าคนทั่วโลกได้ยินพร้อมกัน ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน รัฐบาลก็ยังกล่าวหาว่าสื่อไปบิดเบือนเพื่อตั้งใจที่จะลดเครดิตของรัฐบาล

ปัจจุบันนี้สิ่งที่รัฐบาลควรทำที่สุดมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือดูผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ แล้วลดผลกระทบนั้นให้เกิดกับประเทศของเราให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ทั้งโลกเดือดร้อน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยและรัฐมนตรีทุกกระทรวง ไม่มีใครให้ความสำคัญตรงจุดนี้

ประการที่สองก็คือ ดึงความเชื่อมั่นของประชาชนกลับคืนมา...แต่ว่ายาก เพราะว่า ๕ ปีที่ผ่านมา คุณเป็นคนผลาญความเชื่อมั่นของชาวบ้านเอง ถ้าชาวบ้านไม่เชื่อมั่นไม่ศรัทธา ต่อให้เป็นเทวดาลงมาก็ไม่สามารถที่จะบริหารประเทศชาติให้ดีได้หรอก"

เถรี
19-10-2019, 21:52
"เมื่อชาวบ้านไม่เชื่อมั่น นักลงทุนไม่เชื่อมั่น การลงทุนไม่เกิด ก็จะเกิดสภาพเศรษฐกิจตึงตัวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ประการต่อไปก็คือการวางแผนบริหารประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะแก้ปัญหาฝนแล้งน้ำท่วม ไม่ใช่ถึงเวลาก็แก้กันไปตามหน้างาน ปีละครั้งปีละหน แล้วก็หลงลืมไปอีก เพราะว่าเรื่องเหล่านี้มีแต่จะหนักข้อขึ้น สาเหตุใหญ่เกิดจากการที่คนเราทำลายธรรมชาติ เพื่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคต่าง ๆ

โดยเฉพาะถนนหนทางไปขวางทางน้ำ ถึงเวลาน้ำมาแล้วไปไม่ได้ก็ท่วม จะไปบอกว่าเราไปทำท่อระบายน้ำไว้ ก่อนหน้านี้น้ำไหลได้ทีหนึ่งหน้ากว้าง ๕ กิโลเมตร ๑๐ กิโลเมตร อยู่ ๆ มาเหลือท่อกว้างแค่ ๒ เมตร ๓ เมตร แล้วจะผ่านไปได้สักเท่าไร ? เพราะฉะนั้น..การบูรณาการที่พูดกันมา ๒๐-๓๐ ปี ยังไม่ได้กระทำอย่างแท้จริงสักครั้งเดียว เพราะว่าหน่วยราชการของเราส่วนใหญ่ถนัดทำอะไรด้วยตัวคนเดียว ขาดการประสานงานกับหน่วยงานอื่น ถึงเวลาต่างคนต่างทำต่างคนต่างแก้ จึงกลายเป็นลิงแก้แห ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง"

เถรี
19-10-2019, 21:53
"หัวหน้าหน่วยงานต่ำสุดคือรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ จะต้องเรียกเอาผู้อำนวยการกลุ่มทุกกรมกอง หรืออธิบดีทุกกรมมาชี้แจงแนวทางว่า ตอนนี้รัฐบาลต้องการจะแก้ไขปัญหาฝนแล้งอย่างไร ? ต้องการจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างไร ? แล้วทุกกรมกองทำไปในทางเดียวกัน ไม่อย่างนั้นแก้ให้ตายก็ไม่สำเร็จ

เรื่องนี้ถามว่ารัฐบาลรู้ไหม ?..รู้ รัฐมนตรีรู้ไหม ?..รู้ แต่ด้วยความที่ต้องบอกว่าตัวกูของกูมาก ทำอะไรก็หวังที่จะดึงคะแนนเสียง ในเมื่อทำทุกอย่างเป็นการเมืองจนเกินไป จึงทำให้เกิดความฉิบหายวายป่วงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน"

เถรี
19-10-2019, 22:02
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าพิจารณาขันธ์ ๕ คือร่างกาย แต่ทีนี้ขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าเราพิจารณาทีละอัน ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าให้พิจารณาทีละอย่างอยู่แล้ว ไปพิจารณาทีเดียว ๕ อย่างก็เพี้ยนเท่านั้น

ถาม : ตามสายเขาจะไปล้อกับปฏิจจสมุปบาท ?
ตอบ : ไม่ต้องไปยุ่งปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่ใช่คล่องตัวระดับพระอนาคามีจะจับไม่ติด พวกนั้นหาเรื่องทำให้ยาก

พระพุทธเจ้าให้ดูทีละอย่าง บอกทีละอย่าง ถามทีละคำ รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วา ติ รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? อนิจจัง ภันเต ไม่เที่ยงขอรับ ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ? ทุกขัง ภันเต เป็นทุกข์ขอรับ

พระองค์ท่านว่าไปทีละอย่าง แบบสอนเด็กอนุบาลเดินทีละก้าวเลย แล้วก็ทีละอย่าง ไม่ใช่ทีเดียว ๕ อย่าง

เถรี
19-10-2019, 22:03
ถาม : เวลาเราพิจารณา บางวันไม่รับฟังเลยค่ะ ต่อให้มัน...?
ตอบ : ต่อให้ไม่เอาอะไรก็ต้องทำ เหมือนกับว่าถึงเวลาถ้ากระแสน้ำแรงมาก เราว่ายอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะไปได้ แต่ก็ต้องจ้วงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะไหลตามกระแสนั้นไป

เถรี
19-10-2019, 22:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็ยังเลือกทำบุญในส่วนของสังฆทาน วิหาร แล้วก็ธรรมทาน ถ้าบอกว่ามีประโยชน์น้อย พวกเราก็คงจะช็อกตาตั้ง เพราะอย่าลืมว่า แม้ว่าจะเป็นสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน ก็ยังอยู่ในระดับของทานเท่านั้น ยังมีระดับของศีลที่สูงกว่านั้น ระดับของภาวนาที่สูงกว่านั้น แต่หลายคนกลับติดอยู่แค่นี้


ผลอะไรไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำทานอย่างเดียว โดยหวังว่าผลของทานจะไปแก้ไขวิถีชีวิตของเราได้ดีขึ้น ต้องบอกว่าหลงทางไปไกล สิ่งที่จะแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้นก็คือการภาวนา ถ้าสมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเกิด จะเห็นหนทางแก้ไขได้เร็วยิ่งขึ้น

ถามว่าแล้วทำทานไม่ถูกหรือ ? ถูก...แต่ถูกไม่หมด เพราะว่าส่วนใหญ่เราไปหวังผลของทานในการเปลี่ยนแปลง..ซึ่งยาก การทำทานเราทำตามหน้าที่ ทำตามรูปแบบ ทำตามกำลังใจที่เราสละออก แต่ผลที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้นอย่างชัดเจนก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าควบคุมกาย วาจา ใจของเราทั้งหมด"

เถรี
19-10-2019, 22:08
"แต่ปัจจุบันนี้จำนวนมากด้วยกัน ถึงเวลา เอ้า...ไปทำบุญ ดวงไม่ดี...ไปทำบุญ ถ้าอยากจะดวงดีจริง ๆ ให้ภาวนาไว้ทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หรือตลอดทั้งวันได้ยิ่งดี ไม่ใช่ดวงไม่ดีแล้วไปทำทาน เหมือนกับภูเขาถล่มทับแล้วเอาไม้จิ้มฟันไปค้ำไว้ โอกาสค้ำอยู่มีน้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย..!

เพราะฉะนั้น..ถ้าภูเขาถล่มทับก็ต้องเอาระดับภูเขาไปค้ำไว้ ก็คือเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่พวกเรามักถนัดในการซื้อความสบายใจ ได้จ่ายเงินทำทาน มักง่าย..! ให้ไปตั้งหน้าตั้งตาขัดเกลารักษาศีลตัวเอง ให้ไปนั่งสมาธิภาวนารู้สึกว่ายาก เพราะฉะนั้น..ทำให้ตายก็ได้ผลแค่หน่อยหนึ่ง แล้ว "ไอ้เต้ย" ก็จะไปสงสัยว่า ทำมาทั้งชีวิตทำไมได้แค่นี้ ? ปล่อยไปเถอะ...ให้โง่ต่อไป กัณฑ์เทศน์ก็คือธรรมทาน ก็ยังเป็นทานอยู่ดี ส่วนการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตัวเองไม่มีเลย เมื่อไร ๆ ก็ยังหลุดยังรั่วอยู่ตลอด แล้วแม่ง..จะดีขึ้นได้อย่างไร ?!!"

เถรี
19-10-2019, 22:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้กรุงเทพฯ อ่วม เจอทั้งฝน เจอทั้งลูกเห็บ ที่น่ากลัวกว่าก็คือทองผาภูมิ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทองผาภูมิเวลาฝนตก บรรยากาศเหมือนอย่างกับหน้าฝนทางยุโรป คือฝนมาพร้อมกับความหนาว โอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นหิมะเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ดูแนวโน้มแล้วว่ามีแน่ ในส่วนนี้ละไว้ไม่ต้องกล่าวถึง

ที่อยากจะพูดก็คือว่า ช่วงปลายฝนต้นหนาว บ้านไหนมีคนแก่ บ้านไหนมีคนป่วยต้องดูแลให้ดี พลาดเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้นแหละ เพราะว่าพวกเราไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องโบราณ ๆ เท่าไร ช่วงอากาศเปลี่ยนร่างกายคนที่อ่อนแอจะปรับไม่ทัน คนแก่อย่างหนึ่ง คนป่วยอย่างหนึ่ง ถ้าดูแลไม่ดีก็ไปหมด เราก็มักจะคิดว่าไม่เป็นไร กว่าจะรู้ตัวก็แข็งทื่อไปแล้ว

ช่วงเดือนนี้ที่ทองผาภูมิ พระมรณภาพไป ๒ รูป รูปหนึ่งเป็นเจ้าคณะตำบล เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นเจ้าอาวาส คงจะหาใครทดแทนได้ยาก เพราะว่าท่านเป็นกะเหรี่ยงแต่มีการศึกษาสูง แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ท่านเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้านได้ดีมาก ปรากฏว่ามรณภาพด้วยโรคมะเร็ง"

เถรี
19-10-2019, 22:30
"ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นพระแก่อายุ ๘๓ ปี นอนอยู่ กว่าลูกวัดจะไปเจอก็แข็งไปแล้ว เมื่อวันพุธที่ผ่านมา อาตมาก็เพิ่งจะไปเยี่ยมหลวงพ่อเผ่า เจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำสหกรณ์นิคม ท่านเป็นศิษย์สายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง นี่ก็เป็นมะเร็ง ก็ต้องบอกว่าไปผิดจังหวะ ไปตอนที่หมอกำลังให้ยาระงับปวดอยู่พอดี หลวงพ่อเผ่านี่ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะว่าท่านเป็นพระสายปฏิบัติโดยตรง ถ้าฉวยโอกาสเป็นนี่จะได้ดีไปเลย

ก็แปลว่าช่วงปีที่ผ่านมาคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ หรือว่าจังหวัดกาญจนบุรี สูญเสียเจ้าคณะปกครองหลายรูป โดยเฉพาะเป็นมะเร็ง ซึ่งตรงส่วนนี้จะว่าเป็นเรื่องน่ากลัวก็ใช่ แต่ให้เป็นเรื่องน่ากลัวให้เราเห็นแล้วไม่อยากเกิด ไม่อยากมีร่างกายนี้ที่เป็นรังของโรค ไม่อยากเกิดมาในโลกนี้ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ไม่ใช่ไปกลัวแล้วหาทางหลบหนี

แล้วอีกอย่างเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ถ้าในอดีตฆ่าคนฆ่าสัตว์ไว้เยอะ ชาตินี้ก็ป่วยบ่อยป่วยหนัก ถ้าในอดีตประกอบด้วยเมตตาบารมี ก็จะไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยกับใคร"

เถรี
19-10-2019, 22:33
"เมื่อประมาณอาทิตย์ที่ผ่านมา ไปปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับที่พักสงฆ์เขาธัมมสรณ์ อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เขาไปขุดกรุเอาวัตถุโบราณออกมาหลายรูป...! ก็ประมาณ ๙๐ กว่าปี มีที่หนุ่มมากเลยก็คือท่านเจ้าคุณสมชาย วัดปริวาส ท่านก็ ๖๗ ปี หลวงพ่อบุญส่ง ๖๔ ปี พอถึงเวลาหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละรูปเข้ามา อาตมาก็รีบลุกไหว้เอาไว้ก่อน จนกระทั่งหลวงพ่อเจ้าคุณสมชายท่านสงสัย เลยบอกกับท่านว่า ที่เขานิมนต์มานี่ ๖๐ อย่างผมเป็นเด็กไปเลยครับ มั่นใจได้เลยว่ามีแต่คนแก่กว่า ว่าแล้วก็ไหว้เอาไว้ก่อน

ที่เอ่ยถึงอย่างนี้เพราะว่า หลวงปู่หลายรูปที่อายุเกิน ๙๐ ปีแล้วร่างกายยังแข็งแรงมาก แสดงว่าปาณาติบาตเก่ามีน้อยมาก หลวงพ่อสมชายกับหลวงพ่อบุญส่งไม่ได้อยู่ในระดับ ๙๐ กว่าอย่างเขา แต่ในระดับเลข ๖๐ กว่า อาตมายังเกือบจะเล็กที่สุด คราวนี้พอมีโอกาสสนทนาพาทีกัน มีหลวงปู่อายุมาก ๆ หลายท่านบอกว่า เดี๋ยวนี้แก่แล้วธาตุไฟน้อย ฉันอะไรลงไปหน่อยหนึ่งก็อืดอิ่มไปทั้งวัน เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ถ้าใครอ้วน ๆ แล้วธาตุไฟน้อยน่าจะอยู่ได้นาน ดังนั้น...ทางเปลือกนอกเราเห็นว่าท่านยังแข็งแรง แต่จริง ๆ แล้วสภาพร่างกายก็เสื่อมไปตามอายุ"

เถรี
21-10-2019, 08:34
"พอรุ่งขึ้นก็ไปอีก ๒ งาน ไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ก็เป็นเรื่องแปลก...ครูบาวิฑูรย์ท่านเข้านิโรธกรรม ๙ วัน อาตมาเข้า ๓ วันน้ำหนักหายไป ๔ กิโลกรัม ครูบาวิฑูรย์เข้า ๙ วัน รู้สึกว่าไม่มีอะไรหายเลย มีแต่จะมากขึ้น..!

แต่นึกไปนึกมาว่าอาตมาแก่จริง ที่แก่จริงเพราะว่าครูบาวิฑูรย์นั้น อาตมารู้จักตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร แล้วก็ช่วยประคับประคองกัน ก็ไม่รู้ว่าจะยืนหยัดเป็นหลักให้กับญาติโยมได้นานเท่าไร เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว บรรดาพระที่นิมนต์ไปเป็นเนื้อนาบุญให้กับพวกเราในช่วงวันที่ ๑๒ สิงหาคมนั้น มาสายพระโพธิสัตว์เสียเกือบทั้งหมด ซึ่งในเมื่อมาสายพระโพธิสัตว์ ถึงเวลาแล้วโอกาสที่จะเลี้ยวผิดจะมีสูงมาก ถึงได้บอกว่าต้องช่วยกันประคับประคอง ช่วยกันหนุนเสริม ขณะเดียวกันถ้าท่านอาวุโสน้อยกว่า ก็ช่วยตักเตือน

เพื่อที่ให้อย่างน้อย ๆ พวกเราได้มีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเอาไว้เป็นเนื้อนาบุญบ้าง เพราะว่าทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลเป็น ๑๐๐ ครั้ง ก็สู้ทำบุญกับบุคคลที่มีศีลแล้วศีลขาดไม่ได้ บุคคลที่มีศีลและศีลขาด เราทำบุญด้วย ๑๐๐ ครั้ง สู้บุคคลที่มีศีลบริสุทธิ์ครั้งเดียวก็ไม่ได้ ไล่ขึ้นไปจนถึงศีล สมาธิ ปัญญา ในเมื่อส่วนใหญ่แล้วพื้นฐานการปฏิบัติท่านแน่น แต่เนื่องจากว่าข้อจำกัดของความเป็นพระโพธิสัตว์ ก็คือโอกาสเข้าถึงมรรคผลนั้นไม่มี ก็ต้องช่วยกันประคองสุดชีวิต ท่านจะได้ไม่หลุดออกนอกทาง"

เถรี
21-10-2019, 08:36
"หลังจากออกจากงานครูบาวิฑูรย์ ซึ่งอาตมาก็ทำอย่างนั้นทุกปี ก็คือไปวัดท่าซุงต่อ เพราะว่างานมักจะเป็นวันเดียวกัน พอไปวัดท่าซุงคราวนี้ก็เวรกรรมแล้ว แก่ขนานแท้เลย เพราะว่ารุ่นพี่ก็เหลือน้อยลง ๆ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงรูปปัจจุบันก็เป็นน้องตั้ง ๔ - ๕ พรรษา ก็เลยกลายเป็นว่าต่อให้ไม่สำนึกตัวว่าตัวเองแก่ ก็ยังต้องมีอะไรที่คอยเตือนสติอยู่เสมอให้รู้ว่าแก่จริง ๆ แล้ว



เพราะว่าญาติโยมหลายท่านมา อาตมาว่าเป็นคนจำคนแม่น ยังเกือบจะจำไม่ได้ โยมผู้หญิงบางคนก็ผมขาวหมดหัวแล้ว บางคนก็อ้วนจนผิดรูปผิดร่างไปเลย บางคนก็มาเดินหาอาตมา ซึ่งไม่น่าจะต้องหาเพราะว่ายังมีเค้าเก่าอยู่มาก อย่างไรอาตมาก็เปลี่ยนน้อย แต่ปรากฏว่าอาตมาจำเขาได้ทุกคน แต่บางคนมาเดินหาว่าพระอาจารย์เล็กนั่งอยู่ตรงไหน..? น่าตายมาก...! แค่ ๒๐ กว่าปีจำกันไม่ได้เสียแล้ว


คราวนี้ในส่วนที่เห็นชัดก็คือบรรดาคนรู้จักเก่า ๆ ล้มหายตายจากไปมาก ที่อยู่ก็เฒ่าชะแรแก่ชรา ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตือนตัวเองให้เร่งรัดในเรื่องของการปฏิบัติให้มากไว้ เพราะว่าสังขารร่างกายไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร ถ้าเรามัวแต่ประมาทอยู่ พอถึงเวลาไม่ได้ความดีอย่างที่หวัง ก็จะกลายเป็นเสียชาติเกิด"

เถรี
21-10-2019, 08:38
"ตอนนี้อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงพ่อสมปอง ต้องบอกว่าเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ไม่นึกว่าท่านจะทรมานมานานขนาดนี้ ๒๐ กว่าเกือบ ๓๐ ปี ปกติคนเป็นมะเร็งไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้ แต่ท่านก็อยู่ของท่านมาได้

เหตุที่อาตมารู้ชัดก็เพราะว่าช่วงที่ท่านเป็นใหม่ ๆ ท่านมาถามว่ามีไผ่ดำที่ไหนบ้าง ไม่ใช่ไพลนะ ไผ่...ต้นไผ่ ท่านมาถามว่า “หลวงพี่เดินป่ามามาก เจอไผ่ดำที่ไหนบ้าง ?” ก็บอกท่านว่าเคยเจอที่ดอยอ่างขาง “ช่วยหาให้หน่อยครับ ผมจะเอามาทำยา” ถามท่านว่าจะรักษาอะไร ? “มะเร็งครับ” ก็ไม่น่าเชื่อว่า...จากที่ท่านรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง มาจนถึงปัจจุบันนี้ ลากยาวมาได้ ๒๐ กว่าปี เพราะว่าปกติที่รู้ก็คือ มักจะไปภายในไม่กี่ปี

โดยเฉพาะถ้าเป็นมะเร็งตับ กว่าอาการจะออกก็มักจะระยะสี่ไปแล้ว เกินกำลังที่หมอจะรักษา คราวนี้ที่กล่าวมาก็คือว่าธรรมดาของร่างกายเป็นรังของโรค และสภาพอากาศที่เปลี่ยนทำให้ร่างกายปรับตามไม่ทัน ธาตุสี่แปรปรวน เพราะยิ่งอายุมาก ๆ เลือดลมอ่อนโทรม ไม่ได้ไหลคล่องเหมือนกับหนุ่ม ๆ สาว ๆ เผลอเมื่อไรก็มักจะไปเลย"

เถรี
21-10-2019, 08:42
"เพราะฉะนั้นช่วงรอยต่อของอากาศ คนแก่หรือคนป่วยมักจะตายกันมาก แต่คราวนี้ปัจจุบันรอยต่อของอากาศไม่ชัดเจน...เป็นทั้งปี ปีนี้ต้นไม้ที่วัดท่าขนุนผลัดใบไป ๗-๘ รอบ พอถึงเวลาฝนหมดสักวันสองวัน อากาศเย็นเหมือนกับหน้าหนาว ต้นไม้คิดว่าหน้าหนาวแล้วก็ทิ้งใบ ทิ้งใบได้ ๒-๓ วันฝนตก...ก็แตกใบใหม่ แม้กระทั่งต้นไม้ยังทำใจไม่ถูกเลยว่านี่คือฤดูอะไร แต่คนเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนต้นไม้ พออากาศเปลี่ยน สุขภาพชำรุด ก็มักจะไปง่าย ๆ

อาตมาเองช่วงที่ผ่านมาต้องบอกว่าเกิดอาการพื้นแกว่ง ไม่ใช่บ้านหมุนนะ เวลาเดินแล้วเหมือนกับพื้นตะแคงไปตะแคงมา ก็คืออาการบ้านหมุนนั่นแหละ แต่อาตมาไม่รู้สึกว่าหมุน...รู้สึกว่าแกว่ง ตอนแรกก็คิดว่าเกิดจากพักผ่อนไม่พอ..มีงานตลอด แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เป็นกระดูกคอเคลื่อนไปทับเส้นประสาท ไปให้หมอนวดเขาดันกรึ๊บเดียวหาย ถ้าไปหาหมอปัจจุบัน หมอปัจจุบันก็ให้กินยาปรับความดัน บอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งอาตมาโดนมาจนเข็ด ก็เลยเลิกเชื่อหมอปัจจุบัน หันไปเอาใจใส่กับหมอแผนโบราณแทน

ใครที่มีอาการบ้านหมุนโปรดระวังไว้ด้วย แสดงว่าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ค่อยจะพอ อาการที่เลือดเลี้ยงสมองไม่ค่อยจะพอก็มักจะเป็นเพราะว่า กระดูกเคลื่อนไปทับเส้นประสาท กระดูกที่จะเคลื่อนไปเบียดประสาทได้ ก็คือกระดูกคอกับกระดูกกราม ถามว่ากรามเคลื่อนอย่างไร ? อ้าปากกว้างไปก็เคลื่อนได้ เคี้ยวอาหารชิ้นใหญ่ไป แข็งไป ก็เคลื่อนได้...อนาถชีวิต..!"

เถรี
21-10-2019, 09:01
ฝนตกที่บ้านเติมบุญ "สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบอาบน้ำฝน ปรากฏว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งกำลังเล่นน้ำฝนอยู่แล้วฟ้าแลบแปล๊บ โดนไฟดูดกระโดดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าไฟฟ้าลงมากับน้ำได้อย่างไร ใครจะลองประสบการณ์นี้ดูบ้างก็ได้

เวลาฝนตกก็อาบน้ำฝน แต่ก็อย่าไปอาบแบบพระสมัยพุทธกาลนะ เพราะว่าอินเดียหาน้ำยาก ท่าน้ำก็มีน้อย คำว่าท่าน้ำก็คือสถานที่เหมาะที่จะลงไปที่แม่น้ำ ที่ไหนที่เหมาะ มีท่าน้ำอยู่ คนก็ประเดประดังไปอยู่ที่นั่น พระท่านก็ลงไปสรงน้ำกันที่ท่าน้ำกันเยอะแยะ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปจะสรงน้ำ เจอพระอยู่ท่านก็เกรงใจ ก็นั่งรอจนจะค่ำ ประตูเมืองจะปิดก็ต้องเสด็จกลับ พระองค์จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยสั่งให้พระที่อยู่ในมัธยมประเทศ คือภาคกลางของชมพูทวีป ๑๕ วันอาบน้ำได้ทีหนึ่ง ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต..! คนไทยเราขนาดไปยุโรปหน้าหนาวก็ยังอาบน้ำกันจัง"

เถรี
21-10-2019, 09:04
"คราวนี้พวกเราเคยชินกับการอาบน้ำ เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ถ้าไปเจอ ๑๕ วันอาบได้ครั้งหนึ่งก็ตาย แต่ถ้าเราเคยชินกับการอาบน้อย ๆ นาน ๆ ที ร่างกายก็จะปรับได้ เหมือนกับบรรดาพวกบุชแมนที่อยู่ในทะเลทราย ไม่ต้องพูดถึงน้ำอาบหรอก น้ำกินยังหายากเลย เขาอยู่ของเขาได้โดยไม่ต้องอาบน้ำ เพราะว่าร่างกายปรับเอง พอถึงเวลารู้สึกว่าตัวสกปรก ก็เอาฝุ่นทรายขึ้นมาถูตัวขัดตัวหน่อยหนึ่ง แล้วปัดทิ้งไปก็ใช้ได้แล้ว เป็นพวกเราบ้างก็คงจะพิลึก

เขาทำได้เพราะว่าบ้านเขาร้อนแห้ง อย่างของอินเดียแบบนั้นอากาศแห้งจัดมาก ผู้หญิงเขาซักส่าหรีเสร็จสะบัด ๆ แล้วคลี่กางไว้เหนือหัว พักเดียวก็แห้งแล้ว อากาศไม่มีความชื้น แต่บ้านเราความชื้นในอากาศมีมาก พอถึงเวลาความชื้นในร่างกายระเหยออกไปชนกับความชื้นของอากาศ ถ้าไปไม่ได้ก็จะกลายเป็นเหงื่อ ในเมื่อพวกเรามีเหงื่อมาก ไม่อาบน้ำก็ไม่ไหว แต่ของเขาไม่มีเหงื่อเลย เพราะฉะนั้น การห้ามอาบน้ำก่อน ๑๕ วัน พระองค์ท่านถึงได้ห้ามเฉพาะมัธยมประเทศ คือประเทศที่เป็นส่วนกลางของอินเดีย

อย่างของพวกเราถ้านับก็เป็นปัจจันตประเทศ เป็นประเทศชายขอบ ถ้าปัจจันตประเทศให้อาบได้เป็นนิตย์ ไม่ต้องอาบัติ ก็คือไม่ปรับว่าศีลขาด"

เถรี
21-10-2019, 09:05
"ต้องบอกว่าศีลข้อนี้เกิดจากการที่ไม่ได้คิดถึงคนอื่น พอตัวเองมีโอกาสลงก็แช่เสียเพลิดเพลินเจริญใจไม่ขึ้นเสียที จนพระเจ้าแผ่นดินท่านลงไปอาบไม่ได้ ถ้าทุกคนรู้จักเกรงใจคนอื่น ใช้ทรัพยากรแต่พอสมควร โลกเราก็คงไม่ย่ำแย่จนถึงปัจจุบันนี้ ทุกวันนี้ฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นไปตามฤดูกาล เพราะว่าพวกเราไปล้างผลาญทรัพยากรเสียมากจนเกินไป"

เถรี
21-10-2019, 09:11
ถาม : การปฏิบัติธรรม ถ้าเราถอดถอนในอุปาทานทั้งหมด ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติไป อยากทราบว่ามาถูกทางหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็มาถูกทาง แต่ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย

ถาม : ถ้าดับทุกอย่างหมดแล้ว ดับภพ ดับชาติ เห็นแต่พระพุทธเจ้าอยู่เหนือเศียรเกล้า อย่างนี้มาถูกทางไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าใช้คำพูดผิด การดับภพดับชาติถ้าทำได้จริงก็ไปพระนิพพานนานแล้ว ไม่มาเกิดใหม่หรอก เพราะคำว่าภพก็คือที่เกิด ชาติก็คือการเกิด เราเองแค่ใช้กำลังสมาธิข่มกิเลสลงไปชั่วคราวเหลือแต่ภาพพระ แล้วก็ไปบอกว่าดับภพดับชาติ ภาษาแบบนี้ไปคุยกับคนอื่นเขาไม่รู้เรื่องหรอก

ถาม : ก็คือให้จับภาพพระ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ แล้วก็ยืดระยะให้ยาวนานที่สุด

เถรี
21-10-2019, 09:13
ถาม : ถ้าเห็นพระรูปหนึ่งแล้วเหมือนเราระลึกชาติได้ว่า เป็นเราในชาติที่แล้ว อย่างนี้คิดไปเองหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถือว่าคิดไปเองก่อนก็แล้วกัน เพราะว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ ก็คือทำอย่างไรไม่ให้เรายึดมั่นถือมั่น แล้วที่คุณใช้คำว่าถอดถอนทั้งหมดนั่น จริง ๆ แล้วก็คือถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น แต่คราวนี้ของเราไปถอนทั้งหมดจึงเสียเวลา เพราะว่าเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง อุปาทานยึดมั่นจะมีได้เพราะว่ามีร่างกาย แค่ถอนความต้องการในร่างกายนี้เสียก็หมดเรื่อง

ถาม : ก็คือที่เราเห็นเราอาจจะคิดไปเองว่าเราระลึกชาติได้ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คิดว่าคิดไปเองไว้ก่อน เพราะสิ่งอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องถ่วงทำให้เราไปยึดติดทั้งนั้น แทนที่จะถอดถอนกลับไปเพิ่มขึ้นมาอีก

เถรี
21-10-2019, 09:14
ถาม : มโนมยิทธิควรฝึกอย่างไรคะ ?
ตอบ : มโนมยิทธิ ถ้าอยากฝึกก็ไปวัดท่าซุงหรือที่บ้านสายลมช่วงต้นเดือนก็มี ไปฝึกที่นั่น แต่ขอเตือนไปว่าถ้ายึดติดง่าย ๆ อย่างของคุณนี่ ถ้าไปฝึกจะยุ่งกว่านี้อีก เพราะว่าตอนที่รู้เห็นบ้างไม่รู้เห็นบ้าง ยังไปยึดนั่นยึดนี่อยู่แล้ว ถ้าไปรู้เห็นชัด ๆ เข้าจะยิ่งหนัก การรู้เห็นทำให้โดนหลอกได้ง่ายที่สุด ไปเถอะ..ถ้าอยากก็ฝึก ฝึกเสร็จแล้วก็เตรียมตัวโดนเขาหลอกด้วย...!

เถรี
21-10-2019, 09:17
ถาม : จะมีวิธีกำหนดจิต แบ่งจิตอย่างไรระหว่างพระนิพพานกับทำงานอย่างอื่นให้มั่นคง ?
ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ ถ้าขาดการซ้อมก็ไม่เก่งหรอก

ถาม : ระหว่างวันหลุดหมดค่ะ ?
ตอบ : ก็ถึงได้บอกให้ซ้อมบ่อย ๆ พอทำไปบ่อยเคยชินแล้วจะเป็นอัตโนมัติ

เรื่องของการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องของสมาธิภาวนา ต้องซักซ้อมกันอย่างเข้มข้น ทวนแล้วทวนอีก ซ้อมแล้วซ้อมอีกอยู่ทุกวัน ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้ผ่านไป ทำแล้วต้องหวังผลให้ใช้งานได้จริงด้วย

เถรี
26-10-2019, 20:22
โยมมาขอให้พระอาจารย์ตั้งชื่อลูกให้ “อาตมาตั้งไม่เป็นหรอก เกิดมาไม่เคยตั้งชื่อให้ใคร ชอบอะไรก็ตั้งไปเถอะ... พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลทั้งนั้นแหละ ให้อาตมาตั้งชื่อนี่ไม่เป็นหรอก แต่ถ้าใครตั้งชื่อมาแล้วไม่เข้าท่า ไม่ถูกหลักภาษานี่ช่วยด่าได้..!”

เถรี
26-10-2019, 20:25
ถาม : มีข่าวช้างป่าตกเหวนรกที่เขาใหญ่ ๗ เชือก ?
ตอบ : ช้างหนีอะไรหรือเปล่า ? เพราะว่าปกติไม่มีทางที่จะลงไปทีเดียวขนาดนั้น ช้างป่าตกลงไปทีละ ๗ เชือกมีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือหนีนายพรานที่ล่า อย่างที่สองคือหนีสัตว์ที่ล่า แต่สัตว์ที่ล่าแล้วช้างหนีนี่หายาก เพราะว่าถ้าจนแต้มช้างก็จะหันหน้าสู้ ต่อให้เสือใหญ่ก็สู้ไม่ไหวหรอก

หรือว่าไปเจอตะบองพลำเข้า เด็กรุ่นใหม่คงไม่รู้จักกระมัง ? ตะบองพลำเป็นตะขาบป่า กินช้างเป็นอาหาร นึกเอาแล้วกันว่าตัวใหญ่แค่ไหน ...(หัวเราะ)... ที่ครูพนมเทียนเขียนไว้ในเพชรพระอุมา พวกนี้บางทีจำศีลอยู่ในที่ลึก ๆ พอภูมิอากาศเปลี่ยนก็ออกมา หรือจำศีลแล้วพวกดันไปถล่มด้วยระเบิดก็ออกมา

รุ่นของอาตมานี่ผู้ใหญ่เขาสอนไว้ว่า ถ้าเจอตะขาบตัวกว้างได้หนึ่งฝ่ามือ ให้เอากระทะครอบแล้วตีแรง ๆ ถึงเวลาเสียงกระทะดังเหมือนฟ้าร้องหรือฟ้าผ่า เจ้านั่นจะพ่นไข่มุกพลังของเขาออกมาต่อต้าน เราก็เก็บเสีย แต่อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่า เด็ก ๆ อย่างเราเจอตะขาบตัวแค่นั้นแล้วจะกล้าไหม ? ...(หัวเราะ)... คือไม่ใช่ตัวยาวหนึ่งฝ่ามือนะ แต่ตัวใหญ่หนึ่งฝ่ามือเลย

เถรี
26-10-2019, 20:25
ช้างเป็นสัตว์ที่ปีนเขาเก่งมาก ถ้าเป็นสถานที่ซึ่งช้างหมดปัญญาจริง ๆ นี่เขาไม่ไปหรอก อาตมาเคยเดินธุดงค์ เจอภูเขาชันมาก ช้างยังลงได้ ขนาดเราเป็นคนยังเห็นแล้วใจหาย ก็เลยลงตามรอยช้าง จะมีรอยเหมือนกับไถลลงไป แล้วมีรอยเท้ากดลึกอยู่ แต่เวลาเดินป่าถ้าไม่มีทางเดินแล้วเดินตามรอยช้างนี่จะเหนื่อยมาก เพราะว่าทางเป็นขี้โคลนท่วมหัวเข่า

เถรี
26-10-2019, 20:27
เคยกลับออกมาแล้วเป็นหิด รู้จักหิดไหม ? หิดเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชอบขึ้นตามผิวหนัง เป็นตุ่มใส ๆ โดยเฉพาะขึ้นตามง่ามมือง่ามเท้า สมัยอาตมาเด็ก ๆ โรคหิดระบาดเยอะมาก เกามันอย่าบอกใครเลย ทั้งแสบทั้งคัน ครั้งนั้นเป็นหิดลายพร้อยไปทั้งตัว เพราะว่าหกล้มหกลุกอยู่ในรอยเท้าช้างไปตลอดทาง

ถ้าถามว่าที่อื่นไม่มีเดินหรือ ? เดินได้..แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าป่ารกมาก โดยเฉพาะหนามหวาย คมและเกี่ยวติดแน่นอย่าบอกใคร เดินไปข้างหน้าก็โดนกระชากกลับหลัง

มีอยู่เที่ยวหนึ่งโดนช้างหลอก พาขึ้นยอดเขาไป แล้วช้างก็หายไปทั้งขบวน มองไปมองมาข้างหน้าเป็นหนามทั้งดง สงสัยว่าช้างจะย่ำรอยเดิมแล้วกลับ ด้วยความที่ไม่ทันสังเกต คิดว่ามีแต่รอยขึ้นหน้าก็ตามไปเรื่อย แล้วไปค้างเติ่งอยู่ข้างบน ด้วยความที่ตัวเล็กกว่าช้าง ก็เลยหาช่องมุดไป แล้วก็มุดจนได้ดี ก็คือไปเจอหมามุ่ยทั้งดง นับเป็นรสชาติของชีวิต..!

พอลงห้วยขาแข้งได้นี่พุ่งหลาวลงน้ำเลย ...(หัวเราะ)... ลงห้วยได้ก็เอาทรายขัด ขัดทั้งตัว เพราะว่าถ้ามีขนหมามุ่ยหักคาเนื้ออยู่แม้แต่นิดเดียว ก็จะคันไปเรื่อยจนกว่าจะหมดฤทธิ์ ผ้าทุกผืนต้องซักทั้งหมด ซักแล้วสะบัดจนกว่าจะมั่นใจว่าหมดแล้วจริง ๆ

เวลาพระมาเล่าเรื่องธุดงค์หรือเรื่องเดินป่าให้ฟังแล้วสนุก ลองไปเองดูบ้างสิ จะได้รู้ว่ารสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร

เถรี
26-10-2019, 20:30
พระอาจารย์กล่าวว่า “ภูเตศวร แปลว่า เจ้าแห่งผี หมายถึงท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวรรณมีเทพอาวุธคือกระบอง เรียกว่าคทาวุธ มีบ่วงจับวิญญาณ ที่ผีกลัวนักกลัวหนา ก็คือนาคบาศก์ ขว้างออกไปเป็นพญานาคไปรัด ทำให้วิญญาณสลาย

มีอยู่เที่ยวหนึ่งเดินทางแล้วไม่ค่อยสบาย กลัวว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา เห็นท้าวมหาราชท่านมาดูแลให้ ถามท่านว่า “ดูแลแบบนี้จะช่วยอะไรได้ ?” ท่านบอกว่า ถ้าท่านตั้งใจจริง ๆ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้ แล้วท่านก็ซัดอาวุธนำหน้าไปให้ดู สรรพสิ่งโดนกวาดราบเป็นหน้ากลอง โล่งอย่างกับรถเกรดนำหน้าไปสัก ๕๐ คัน ไม่ใช่เรียงตามกันไปนะ แต่ราบแบบเรียงกันเป็นหน้ากระดานไปเลย..!”

เถรี
26-10-2019, 20:57
พระอาจารย์กล่าวว่า “หมากทุยหลวงปู่รอด วัดนายโรง ให้เอาไฟฉายส่องดู ของเก่าส่วนใหญ่จะใช้รักจีนที่มีสีแดง ถ้าเราส่องพลิกไปพลิกมาจะต้องเห็นสีแดงสักมุมหนึ่ง รักไทยช่วงนั้นก็มีมากแล้วเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วยังนิยมรักจีน เพราะว่าซื้อตามร้านได้ง่าย ของรักไทยต้องหาคนที่กรีดยางรักเป็น

สมัยนี้ส่วนใหญ่ที่เขาทำปลอม ก็มักจะปลอมตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง เพราะว่าราคาแพงเป็นล้านเลย เขาจะใช้แผ่นเสียง รุ่นนี้เคยเห็นแผ่นเสียงกันไหม ? เป็นแผ่นครั่งกลม ๆ วางใส่เครื่อง เอาเข็มวางแล้วก็กดปุ่มเปิด พอเครื่องหมุน เข็มก็จะกรีดไปตามร่องให้เป็นเพลงขึ้นมา เขาเอาแผ่นเสียงมาหลอมละลายแล้วก็ชุบตะกรุด ก็จะออกเป็นรักเก่า คือออกเป็นสีแดง แต่มีที่สังเกตได้ง่ายก็คือ ผิวจะแตกร้าวหมด"

เถรี
26-10-2019, 20:58
"นอกจากนี้ก็มีปลอมเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม วิธีปลอมก็ง่ายมาก คือทำเบี้ยขึ้นมา เอาไปแขวนไว้กับท่อไอเสียรถ ปล่อยให้ท่อไอเสียรมไปเรื่อย จะดูเก่ามาก ...(หัวเราะ)...

วิธีดูที่ง่ายที่สุดก็คือ ขอเจ้าของแช่น้ำ ถ้าเจ้าของไม่ยอมแปลว่าปลอมแน่ เพราะว่าเบี้ยแก้ของแท้ชุบรักมานี่แช่น้ำไม่เป็นอะไร ถ้าดำเพราะท่อไอเสีย พอแช่น้ำก็จะละลายออกมาเป็นฝุ่น ๆ แต่คนที่ดูเป็นก็ไม่ต้องลองขนาดนั้นหรอก เขาจะดูว่าเชือกที่ถัก ส่วนใหญ่อายุกาลนานขนาดนั้น เชือกจะไม่มีขนเหลือแล้ว เพราะว่าจะกรอบจนขนหลุดหมด แล้วรักก็จะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเชือกเลย

ต้องบอกว่าคนปลอมมีฉันทะ เพราะว่าปลอมแล้วคุ้ม อย่างเบี้ยแก้หลวงปู่บุญ ตัวล่าสุดที่อาตมาเจอ เจ้าของขอถูก ๆ แค่แปดหมื่นบาท ถ้าดูไม่เป็นแล้วไปเจอของปลอม หรือว่าเจอของหลวงปู่เพิ่ม แล้วเขาตีเป็นของหลวงปู่บุญ เราก็ขาดทุน ...(หัวเราะ)... ดังนั้น..ของบางอย่างพอไปถึงมือเซียนแล้วราคาจะแพงมาก แพงตรงความรู้ ก็คือเขาดูเป็น ในเมื่อเขาดูเป็น ถึงเวลาเขาก็บวกค่าวิชาเข้าไปด้วย”

เถรี
26-10-2019, 21:10
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งว่า “เกรซระวังโดนเขากรอกแบบลัลลาเบลนะ โหดร้ายมากเลย..เหล้าสองกลม แต่ว่าดูจากคลิปวิดีโอแล้วก็น่าตายมาก ตั้ง ๒๐ แก้ว เขาวางทับธนบัตรใบละพันไว้เลย คุณกินได้กี่แก้ว คุณก็หยิบไปแค่นั้นใบ ๒๐ แก้วก็สองหมื่นบาท

อย่างอาตมาเจอแก้วเดียวก็คงหัวทิ่มแล้ว..! เขาเรียกว่าดริ๊งก์หนึ่ง..ใช่ไหม ? ภาษาไทยเก่า ๆ เขาเรียกว่าก๊งหนึ่ง ก๊งมาจากภาษาจีนแปลว่ามึน กินเข้าไปแล้วมึนได้ที่ก็ก๊งหนึ่ง”

ถาม : เขากะจะมอมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเขาทำแบบนี้กัน แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ต้องบอกว่าทางชีวิตเขาบังคับ ในเมื่อตัวเองมีอาชีพอย่างนี้ ก็ต้องเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

ดู ๆ แล้วลักษณะอย่างนี้ ต่อให้ได้เงินมา ตอนแก่ก็คงต้องเอาไปรักษาตัวจนหมดนั่นแหละ คืนหนึ่งกินเหล้าเป็นกลม ตับที่ไหนจะทนไหว พังบรรลัยหมด..!

เถรี
26-10-2019, 21:14
ลัลลาเบลอายุ ๒๕ ปี เขาว่าเบญจเพส ไม่ดีก็ร้ายไปเลย ส่วนใหญ่แล้วเบญจเพสมักจะไปทางร้าย

พระมหาสันติ โชติกโร เปรียญธรรม ๙ ประโยค อดีตรองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา อายุ ๔๕ ปี เขาว่าเบญจเพสที่สาม พระครูสุกิจกาญจนโสภิตนั่น ๕๙ ปี ท่านเจ้าคุณทินท่านบอกว่า แบบนี้โบราณเรียกว่า ก้าวไม่ข้าม ถ้าก้าวข้ามก็รอด

ท่านเจ้าคุณปัญญา (พระเทพปริยัติโสภณ) ก็บอกว่าตอนอายุ ๕๙ ปีเกือบไม่รอด เกือบจะตายเหมือนกัน ช่วงนั้นท่านป่วยจนกระทั่งไม่มีแรงยืน ไปไหน ต้องมีสามเณรตัวโต ๆ ช่วยจับประคดเอวรั้งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็เดินไม่ไหว สรุปแล้วที่ว่ามาทั้งหมดคือ อายุเท่าไรก็ตาย ...(หัวเราะ)...

ส่วนคนที่ควรจะตายอย่างอาตมายังรอดมาได้ปีแล้วปีเล่า สร้างปาณาติบาตเอาไว้เยอะ เขายังเก็บหนี้ไม่หมด ก็เลยไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ คนเราหมดบุญตายได้ หมดกรรมตายได้ หมดอายุตายได้ หมดอาหารตายได้ อย่างอาตมานี่ยังไม่หมดกรรม ต้องทนทรมานต่อไป

เถรี
26-10-2019, 21:15
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของข้าว สมัยโบราณเขาถือเป็นทรัพย์ ก็คือสมบัติที่มีค่ามาก เอาไปแลกของอื่นได้หมด คราวนี้เขามีคาถาเสกข้าวกิน ถ้าเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้จนถึงวันตาย พอตายแล้วจะไม่เน่า ก็คือพระอภิธรรม ๗ บท อาตมาว่าก็คงจะตายวันนั้นแหละ เพราะว่ากว่าจะเสกจบก็หิวข้าวตายพอดี..!”

เถรี
26-10-2019, 21:18
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้มีสถิติว่าผู้ชายใช้เครื่องสำอางในการแต่งตัวเกือบจะเท่ากับผู้หญิงแล้ว อาตมาฟังแล้วก็งง ๆ เหมือนกัน สรุปว่าผู้ชายเขาแย่งผู้หญิงสวยใช่ไหม ?

รุ่นของอาตมาถ้าผู้ชายหวีหัวผัดหน้า ส่วนใหญ่จะไปจีบสาว มักจะเล่นคาถา เสกแป้งทาหน้า ส่วนใหญ่ก็พวกคาถาพระลักษณ์หน้าทองบ้าง ขุนแผนชมตลาดบ้าง ...(หัวเราะ)... หรือไม่ก็เสกน้ำมันเจิมหัวเจิมหน้า แล้วแต่คาถาที่เชื่อถือ ที่ครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทมาให้เพื่องานนั้นโดยเฉพาะ แต่ใช้ต่อแล้วจะไม่ได้ผล เพราะว่าครูบาอาจารย์กลัวลูกศิษย์จะเจ้าชู้ ประเภทเจอผู้หญิงแล้วก็ฟันไม่เลือก ก็เลยให้เฉพาะกิจเท่านั้น

สมัยก่อนใช้คาถาต้องว่าพร้อมมาจากบ้าน ไม่ใช่ฉุกเฉินแล้วค่อยมาใช้ แบบนั้นไม่ทันกิน ถึงเวลาจะเข้าบ้านสาวถ้ามัวแต่ไป “โอม ศรีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามคือพระแมน แขนกูงามคือพระอินทร์…ฯ” พ่อตาคงล่อด้วยลูกซองกระเจิงเสียก่อน..!”

เถรี
26-10-2019, 21:22
“หนุ่มเพชรบุรีสมัยก่อนส่วนใหญ่หาตะกรุดหลวงพ่อกุน วัดพระนอน เขาเรียกว่าตะกรุดไมยราพสะกดทัพ ถึงเวลาค่ำ ๆ ก็ย่องไปบ้านสาว ว่าคาถาแล้วสอดไว้ใต้รอด แล้วขึ้นบ้านได้เลย..หลับทั้งบ้าน

อาตมาได้ตะกรุดหลวงพ่อกุน วัดพระนอนมาก็จะทดสอบ ปรากฏว่าบ้านสมัยนี้ไม่มีรอด ไม่มีใต้ถุนอีกต่างหาก แล้วจะไปเสียบไว้ตรงไหน ? สรุป..ก็เลยไม่ได้ทดลอง ...(หัวเราะ)... ส่วนใหญ่บางคนเขาเรียกว่าตะกรุดมหารูด เข้าผู้หญิงรูดไว้ด้านซ้าย เข้าผู้ชายรูดไว้ด้านขวา สู้ศัตรูเอาไว้ข้างหน้า หนีศัตรูเอาไว้ข้างหลัง คราวนี้ถ้าหากว่าลืมรูดแล้วจะทำอย่างไร ? ...(หัวเราะ)...”

เถรี
26-10-2019, 21:24
ถาม : อาพัดแปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : อาพัด คือลักษณะของการเสก เสกปูน เสกเหล้า เสกยา เพื่อที่จะหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็หวังทางอยู่ยงคงกระพัน เช่น อาพัดเหล้า อาพัดยา อาพัดปูน

อาพัดปูนก็เสกปูนคาดคอ ฟันเข้าไปเท่าไรไม่เข้า อาพัดเหล้าก็เสกเหล้ากิน พวกที่ทำขึ้น ๆ นี่ พอกินเข้าไปเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วของขึ้นก็เคี้ยวแก้วตามไปเลย กินแก้วเป็นกับแกล้ม..! ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกระเพาะลำไส้ถึงทนได้

อาพัดยาก็พวกยาสูบ ถึงเวลาสูบยาอึดใจหนึ่งต้องว่าคาถากี่จบ จริง ๆ แล้วก็คือการทำสมาธิ เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นมิจฉาสมาธิ ใช้ในทางที่ผิด ไม่ได้ใช้เพื่อลดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แต่เป็นการใช้เพื่อเพิ่มกิเลส ...(หัวเราะ)...

เถรี
26-10-2019, 21:24
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กผู้หญิงที่มาทำบุญว่า “หนูอย่าใส่กางเกงขาดแบบนี้นะลูก เป็นลางไม่ดี ดูเท่มากแต่ว่าไม่ดีหรอก โบราณเขาถือ”

เถรี
26-10-2019, 21:25
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของวิทยาลัยสงฆ์เป็นวิหารทานพิเศษ ก็คือเป็นธรรมทานด้วย คราวนี้ธรรมทานตัวนี้เขาใช้กี่ครั้งเราก็ได้เท่านั้นครั้ง ไม่เหมือนอย่างอื่น อย่างอื่นประเภททำเสร็จแล้วก็แล้วกัน แต่วิทยาลัยสงฆ์เป็นห้องเรียน เป็นสถานที่ประชุม เป็นที่ฝึกกรรมฐาน ถึงเวลาเขามาใช้งานกี่ครั้ง เราก็ได้อานิสงส์เท่านั้น ถ้าใช้ในด้านการศึกษาก็อานิสงส์ธรรมทาน ถ้าใช้ในด้านอื่น ๆ ก็อานิสงส์วิหารทาน ทำทีเดียวเอาให้คุ้ม

หลังจากทอดผ้าป่าไปแล้วญาติโยมยังสามารถทำบุญได้เรื่อย ๆ เพราะว่าไม่ใช่เสร็จทีเดียว ยังมีอาคารที่ต้องสร้างอีกหลายหลัง หลังที่ทอดผ้าป่าสร้างนี้เป็นอาคารเรียนรวม”

เถรี
27-10-2019, 21:26
พระอาจารย์กล่าวหลังจากกลับมาจากงานวางศิลาฤกษ์วิทยาลัยสงฆ์ "ช่วงเช้าไปบวงสรวง วางศิลาฤกษ์ วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี มีหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดยานนาวาเป็นประธาน พอวางศิลาฤกษ์เสร็จอาตมาก็แวบ มีเสียงกระซิบว่า “มันกล้าเทกระทั่งหลวงพ่อสมเด็จฯ เลยนะ” ก็บอกแล้วว่าวันนี้ผมติดงาน จะให้ผมไปก็ต้องมีเทกันบ้าง

ตอนเช้าวิ่งไปถึงที่ตั้งวิทยาลัยสงฆ์ ๐๗.๑๘ น. แล้วฤกษ์บวงสรวงอยู่ที่ ๐๗.๒๙ น. ไปถึงก่อนเวลา ๑๑ นาทีเท่านั้น หลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ชวนว่าฉันเช้าก่อน กราบเรียนท่านว่า "ฉันไม่ทันแล้วครับ ขอไปดูความเรียบร้อยของโต๊ะบวงสรวงก่อนครับ" พอเห็นว่าโต๊ะบวงสรวงเรียบร้อย ก็กราบนิมนต์หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านจุดธูปเทียน อาตมาก็ทำบวงสรวงขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ไม่เอาอะไรมากหรอก แค่งานสร้างวิทยาลัยสงฆ์ขออย่าให้มีอะไรสะดุดก็พอ

โดยเฉพาะขอให้ถึงพร้อมด้วยเงิน เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ชวนหลวงพ่อนิล ครูบาหน่อแก้วฟ้า นำเงินสิบล้านบาทไปถวายหลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ เงินก้อนนี้มันเป็นเงินก้อนทดสอบกำลังใจ เพราะว่าเมื่อวันเสาร์ตอนเช้ายังมีแค่แปดล้านห้าแสนบาท ต้องรอถึงห้าโมงเย็นถึงจะได้ครบสิบล้านบาท"

เถรี
27-10-2019, 21:32
"พอรุ่งเช้าออกมานับจริง ๆ แล้วเหลือแค่เก้าล้านเก้าแสนบาท เพราะว่ามีปึกหนึ่งที่เขามัดรวมกันอยู่แค่ ๙๐๐,๐๐๐ บาท ยังโชคดีว่าพอดีคุณตัวเล็กเอาเงินกฐินวัดท่าขนุนไปถวาย ๑๑๐,๐๐๐ บาท ก็เลยยืมเสียบไปให้เขาก่อนแสนหนึ่ง จึงได้ครบสิบล้านพอดี แต่ว่าเงินกฐินหายไปแสนหนึ่ง เดี๋ยวต้องไปเอาคืน

เสร็จแล้วหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านก็มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองโรง ให้ทุกคนเลย ตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นมาจนถึงชั้น ป.๖ อาตมาก็ไปนั่งให้ทุนการศึกษากับท่านด้วย ให้ทุนเสร็จ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดยานนาวาท่านก็มาถึง พอท่านนั่งลงก็เริ่มเข้าพิธีการ ถวายการต้อนรับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดยานนาวา เสร็จเรียบร้อย ก็กราบเรียนท่านว่าขออนุญาตให้ท่านเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะช้า

พอหลวงพ่อสมเด็จฯ เมตตาเจิมแผ่นศิลาฤกษ์เสร็จ ทางวิทยาลัยนาฏศิลป์สุพรรณบุรีส่งนักแสดงมา น่าจะเป็นรำเทพบันเทิง เทวดานางฟ้า ๔ องค์นั่ง "ซาเล้ง" มา เทวดาเดี๋ยวนี้ไม่ยอมเหาะ นั่ง "ซาเล้ง" มาแทน พอเสร็จพิธี หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดก็กล่าวรายงาน แล้วก็นิมนต์หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดยานนาวาวางศิลาฤกษ์ อาตมาก็บริการจนกระทั่งวางศิลาฤกษ์เสร็จ แล้วกระซิบบอกหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดว่า "ผมไปเลยนะครับ" แล้วก็แวบหายไปเลย

มีเสียงเพื่อนพระสังฆาธิการดังตามหลังมาว่า "ขนาดหลวงพ่อสมเด็จฯ มันยังกล้าเทเลย" ความจริงอาตมาบอกไปแล้วว่า "ถ้าจัดวันนี้ผมไปไม่ได้" แต่ว่าหลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณท่านบอกว่า "พระอาจารย์เล็กเป็นประธานอุปถัมภ์ ควรที่จะให้หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านได้เห็นหน้าเอาไว้บ้าง" เลยตัดสินใจหนีงานไปครึ่งวัน"

เถรี
27-10-2019, 21:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงปีหน้ามีอยู่งานหนึ่งที่ไม่มีใครนึกถึงแต่อาตมาอยากจัด ก็คืองานทำบุญถวายพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (ท่านอาจารย์สว่าง) วัดรัตนานุภาพ (โคกโก) ที่โดนผู้ก่อการร้ายยิงตาย เพราะว่าคบหาสมาคมทำงานพระศาสนามาด้วยกัน ๒๖ ปี แล้วท่านเป็นน้องเล็กที่สุดในคณะ

ตอนนั้นในคณะ ๖ รูปอาตมาแก่ที่สุดเพราะว่าตอนนั้นได้ ๘ พรรษา หลวงพ่อนิลได้ ๖ พรรษา อาจารย์สว่าง ๒ พรรษา อะไรจะใจถึงปานนั้น ไปปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่เพื่อพระศาสนาแม้ต้องมอบกายถวายชีวิตก็ยอม ตอนนี้หมดไปแล้ว ๔ รูป เหลืออาตมากับหลวงนิลอยู่ ๒ คน คราวนี้ท่านมรณภาพวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ พวกเราเองก็จัดสวดคาถาเงินล้านวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓ กำลังคิดอยู่ว่าจะติดป้ายว่าอุทิศส่วนกุศลให้ท่านด้วย หรือว่าจะจัดงานต่างหากดี ?"

เถรี
27-10-2019, 21:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเพื่อนพระด้วยกันท่านบอกว่า ถ้าเจอพระวัดหนึ่งต้อนรับขับสู้ดี โอภาปราศรัยดี ชักชวนในการทำบุญงานต่าง ๆ อยู่เสมอ กับไปอีกวัดหนึ่งพระท่านไม่ค่อยจะพูดจาด้วย แล้วก็มักจะเน้นแต่การปฏิบัติธรรม ไม่เน้นเรื่องการสร้างบุญ เราควรที่จะไปทำบุญที่วัดไหนระหว่าง ๒ วัดนี้ ?

อาตมาบอกว่าไปทั้ง ๒ วัดนั้นแหละ ถึงเวลาไปวัดนี้ชอบทำบุญเราก็ทำด้วย ไปวัดโน้นชอบปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติด้วย จะได้ทั้ง ๒ อย่าง มัวแต่ไปเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี"

เถรี
27-10-2019, 21:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในงานเมื่อเช้าได้เจอหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล บางคนเรียกว่า หลวงพ่อเล็ก วัดป่าเลไลยก์ ที่ท่านสร้างพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ หรือหลวงพ่ออู่ทองแกะสลักที่หน้าผามังกรบิน ภายใต้สโลแกนที่ว่า “หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน”

อาตมาถวายเงินร่วมสร้างตอนนั้นหนึ่งล้านบาท ถึงเวลาท่านเจอหน้า ท่านก็บอกว่า ท่านไปหาหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงไม่กี่ครั้ง ท่านไม่รู้หรอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเก่งแค่ไหน แต่มั่นใจว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องเก่งและมีฤทธิ์แน่ ๆ ถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า "ลูกศิษย์อย่างพวกเอ็ง ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างวัดเหมือนกับเนรมิต ถ้าหลวงพ่อเอ็งไม่เก่ง ลูกศิษย์ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก"

วันที่เจอหน้าท่านก็บอกว่า “เล็ก..เอ็งให้ที่นี่สิบล้าน ขอข้าล้านเดียวก็พอ” ถามว่าหลวงพ่อจะทำอะไร ? ท่านบอกว่าจะสร้างพระจุฬามณีเป็นยอดมงกุฎหลวงพ่ออู่ทอง ก็คือหลวงพ่ออู่ทองพิงหน้าผาอยู่ หลวงพ่อเล็กท่านตั้งใจสร้างพระจุฬามณีบนยอดผา ถ้ามองด้านตรงจะเห็นหลวงพ่ออู่ทองมียอดมงกุฎเป็นพระเจดีย์จุฬามณี

ถามว่าแล้วหลวงพ่อสร้างราคาเท่าไร ? ท่านบอก “ข้ามันคนเบี้ยน้อยหอยน้อย สร้างแค่สองล้าน” เลยกราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อ..จุฬามณีสร้างสองล้านนี่ ๓ วันก็พังแล้ว” ท่านบอกว่า “ไม่ใช่เว้ย...ช่างเขาฝีมือดี เขาเห็นใจข้า..ที่จ่ายเงินเยอะแล้ว” เลยกราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่ออย่าเพิ่งรีบตายแล้วกัน เดี๋ยวหาเงินได้ผมจะเอาไปถวาย”

เถรี
27-10-2019, 21:45
"ความจริงท่านเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด ก่อนหน้านี่เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นอะไรต่อมิอะไร แต่ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นพระปฏิบัติ จนอาตมาแอบไปเปิดโปง ตั้งแต่นั้นมาเจอหน้าเมื่อไรท่านขอเขกกบาลที ถึงเวลาไปเปิดโปงทำให้ท่านเหนื่อย แต่ท่านบอกว่าทำงานเพื่อสงฆ์ท่านยอมเหนื่อย

เมื่อต้นปีงานวันเกิดท่านนี่แหละ ท่านบอกว่า “เฮ้ย...เล็ก ไปงานข้าหน่อยนะ ปีนี้ข้า ๘๔ ปี” บอกท่านว่า "หลวงพ่อ..ผมติดงานรับสังฆทานจริง ๆ ครับ" ท่านถามว่า "สังฆทานจะสักกี่บาทกี่เฟื้องวะ ?" “หลวงพ่อ..เป็นแสนเลยนะครับ” "เออ...ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็ไปรับเถอะ" ท่านก็คิดเหมือนอย่างกับไปถวายสังฆทานตามวัดทีละร้อยสองร้อย...ก็ใช่อยู่ แต่พวกเรามีจำนวนมาก รวมกันแล้วก็เป็นแสน ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าถ้าหลวงพ่อถวายผมเป็นแสนก็จะไปให้..!"

เถรี
27-10-2019, 21:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนแก่ไม่ได้หวังอะไรจากลูกหลานมากหรอก หวังแค่ ๓ อย่าง ยามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้หวังให้เจ้าเฝ้ารักษา ยามเมื่อถึงคราวตายวายชีวา หวังลูกช่วยปิดตายามสิ้นใจ

ประโยคสุดท้ายนั้นไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าคนตายเราต้องไปปิดตาให้ แต่หมายความว่าลูกหลานสร้างสมแต่คุณงามความดี อยู่ในศีลในธรรม เป็นพลเมืองดี ทำให้พ่อแม่ไม่มีห่วง ภาษาโบราณใช้คำว่า ตายตาหลับ หวังลูกช่วยปิดตายามสิ้นใจ ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก มีความกตัญญูดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเองให้เต็มที่ก็พอแล้ว”

เถรี
27-10-2019, 21:47
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของเงินงอกเอง อาตมาเลิกคิดมานานแล้วล่ะ เพราะว่าวันก่อนนั่งนับเงินแล้วไม่พอ แล้วจะทำอย่างไร ? นับใหม่อีกรอบ นับไปนับมางอกมาจากไหนอีกล้านหนึ่งวะ ? เลิกสงสัยแล้ว มาเป็นก้อนเลย มัดใหม่ ๆ วางทิ่มลูกตาอยู่เลย คนอื่นเขาก็จะว่าขี้ลืม บังเอิญอาตมามั่นใจสมองตัวเองว่ายังไม่ลืม”

เถรี
27-10-2019, 21:53
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงครามท่านหนึ่ง หลวงพ่อพระธรรมเสนานี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมอีกท่านหนึ่ง มีคนเห็น ๒ ท่านนี้เด็ดขาดมาก เลยถามว่าหลวงพ่อสั่งห้ามพระสักลายได้ไหม ? ท่านบอกว่า "พวกเลขยันต์ช่วยรักษาประเทศชาติมา พระพุทธศาสนาถึงตั้งอยู่ได้ แล้วอยู่ ๆ จะให้ผมไปสั่งห้ามเขาหรืออย่างไร ?"

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่มีรอยสักให้เห็นเลย ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ตอนบวชเป็นสามเณรยังทันหลวงปู่อยู่ พวกสักเลขยันต์เป็นเรื่องของลูกผู้ชายสมัยก่อน เอาไว้เป็นเครื่องคุ้มตัว หรือไม่ก็เป็นการประกาศให้เขารู้ว่าเราไม่ใช่คนใจเสาะ ไม่ใช่คนกลัวเจ็บ ช่วยในการรักษาผืนแผ่นดินให้เรามาตั้งกี่ยุคกี่สมัยแล้ว ท่านบอกว่าเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ อยู่ ๆ จะให้ไปห้ามท่านทำไม่ได้

ส่วนที่ใจถึงสุด ๆ ก็ต้องหลวงพี่ชลอ...โน่น ท่านสักยันต์ตะกร้อของหลวงปู่สุด วัดกาหลงตั้งแต่ยุคท่าน แล้วลองคิดดูว่ากะโหลกโดนเข็มนี่เจ็บอย่าบอกใครเลยนะ พอวันพระโกนหัวกันใหม่ ๆ ใคร ๆ ก็นึกว่าหลวงพี่ชลอยังไม่ได้โกนหัว เพราะว่ายันต์ตะกร้อจะเต็มหัวพอดีเลย เห็นยิ้ม ๆ ใจดี ๆ นั่นแหละ อดีตตังเกเก่า ผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว"

เถรี
27-10-2019, 21:56
ถาม : อย่างการตั้งโต๊ะบวงสรวงงานแบบเมื่อเช้า จำเป็นไหมครับที่จะต้องหันหน้าไปทางตะวันออก ?
ตอบ : ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหันหน้าตะวันออกหรอก คุณลองดูว่าหน้างานอยู่ลักษณะอย่างนั้น แล้วเราไปตะแคงข้างบวงสรวงได้อย่างไร ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปยึดมั่นถือมั่นเลยไม่กล้าปรับ แบบเดียวกับการเปิดเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงบวงสรวง ผมเองโดนตั้งแต่ออกไปใหม่ ๆ เปิดเทปปั๊บท่านด่าใส่หูมาเลย “พวกเอ็งใช้ข้าจนตายแล้วยังจะใช้ต่อไปอีกหรือ ?” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาตมาก็เลิกใช้เทป นึกถึงหลวงพ่อท่านแล้วก็ลุยเลย ก็เห็นว่าขลังดี

บางทีพวกคนเก่าวัดท่าซุงไม่เข้าใจ จริง ๆ พวกเก่า ๆ ควรที่จะเข้าใจเลย เพราะว่าฝึกมโนยิทธิมา คือไปนึกถึงท่านว่าท่านเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ท่านตายเราก็ยังกวนไม่เลิกก็เกินไป ดังนั้น..โดนด่าทีเดียวจบเลย...ทำเอง ก็คิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

เถรี
27-10-2019, 22:07
เพราะว่าตั้งแต่ตอนที่อยู่วัดท่าซุง ที่ทำแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ พอหลวงพ่อท่านให้แบบมา เขียนยันต์เสร็จก็เอาไปถวายหลวงพ่อขอให้ช่วยเสกให้ด้วย ท่านบอกว่า “วิธีอะไรก็รู้หมดแล้ว ไปเสกเองสิวะ” โห..กว่าจะเสร็จ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ อีก ๑๐๘ จบ ล่อไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง แถมไม่ได้มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว

เวลาวัดมีพิธีก็แอบไปซุก หลวงพ่อท่านก็ดันเห็นอีก ท่านก็หัวเราะ บอกว่า “ตอนหลวงพ่อปานอยู่ ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนเอ็งนี่แหละ แต่พอสิ้นหลวงพ่อปานไป คนมาหาแต่ข้า ไม่มั่นใจก็ต้องมั่นใจแล้ว”

อย่างไปเจอวัดท่าทุ่งนา เห็นไหมว่าเขาสร้างพระใหญ่ตะแคงข้างให้ถนน คนขับรถผ่านไปมาจะดูพระต้องตะแคงหน้ามอง ก็หันหน้าเข้าถนนเสียก็หมดเรื่อง แต่ไม่ตรงทิศ ที่นี้เป็นเพราะยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปจึงเกิดสภาพอย่างนี้

ตอนแรกหลวงพ่อใหญ่หน้าวัดท่าขนุน ท่านบอกว่าไม่ต้องสร้างอาคาร ด้วยความเคยชินของอาตมาคือสร้างพระต้องมีอาคาร จึงไม่ค่อยสบายใจ แต่พอทำเสร็จแล้วถึงรู้ว่าต้องไม่มีอาคาร ถ้ามีอาคารพระจะไม่เด่น ตอนนี้พระสวยทุกบรรยากาศเลย

ถาม : คงกลัวว่าหันผิดทิศแล้วจะเก็บเงินไม่อยู่ ?
ตอบ : ตำราเขาบอกว่าถ้าหันผิดทิศ หาเงินเก่งเท่าไรก็ใช้จนหมด อาตมาก็ไม่ได้กังวล ปกติก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเงินของเราอยู่แล้ว ขอให้หาได้เถอะ ถ้าหาไม่ได้จะลำบาก

เถรี
28-10-2019, 23:57
ถาม : (สอบถามเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔)
ตอบ : เอาอย่างนี้...มหาสติปัฏฐานสูตรทั้ง ๔ หมวด แบ่งออกเป็นสิบ ๆ หัวข้อ ทำหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องทั้งหมด กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เอาแค่อานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องทำก็ได้ คือที่เขาเขียนว่า ปัพพะ หรือว่าบรรพ ที่แปลเป็นภาษาไทยว่าตอน ตอนของอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก ตอนของอิริยาบถสัมปชัญญะ ดูอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เหล่านี้เป็นต้น

ทำข้อใดข้อหนึ่งก็พอแล้ว บรรลุธรรมแล้ว ที่เหลือไม่ต้องไปทำหรอก..เสียเวลา ยกเว้นว่าเราจะไปเป็นครูสอนเขา อยากจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องไปทำให้ครบ

เถรี
29-10-2019, 00:02
ถาม : (สอบถามเกี่ยวกับดวงตาเห็นธรรม)
ตอบ : เอาเป็นว่า...คำว่า ดวงตาเห็นธรรม ก็คือปัญญา ถ้าปัญญาเราพอ ถึงจะเข้าใจว่าที่ท่านพูดนั้นเพื่ออะไร คราวนี้ในพระไตรปิฎกนั้น มหาสติปัฏฐานสูตรอย่างหนึ่ง พระอภิธรรมอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ท่านสอนเป็นการเฉพาะ พระอภิธรรม ๗ บทท่านสอนพรหมเทวดา ไม่ได้สอนคน ถ้าเราไม่ฉลาดเท่าพรหมเทวดา เราฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง

ส่วนมหาสติปัฏฐานสูตรท่านสอนชาวกุรุ ชาวกุรุฉลาดมาก ขนาดนกแขกเต้าที่เลี้ยงเอาไว้ยังเจริญอสุภกรรมฐานอยู่ประจำ แล้วคนจะขนาดไหน ? เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่ได้สั่งสมอบรมมามากขนาดนั้น เราก็จะไม่เข้าใจ

ดังนั้น..เราอ่านแล้วเราชอบใจบทไหนคิดว่าเหมาะกับเรา ทำบทนั้นบทเดียว เพราะว่าเราไม่ได้อ่านจนครบ ตอนท้ายของทุกบรรพหรือทุกตอนที่พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้ว่า “นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ” เราจะไม่ยึดอะไร ๆ ในโลกนี้แม้แต่น้อยหนึ่ง ถ้าทำได้อย่างนี้บรรลุธรรมหมดทุกคนแล้ว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปทำเยอะ อีกอย่างก็คือท่านไม่ได้สอนคนทั่วไป แล้วเราก็คงฉลาดไม่เท่าคนแคว้นกุรุเขา

พระพุทธเจ้าท่านสอนคนตามกำลังใจ ถึงต้องแสดงธรรมไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าสอนอย่างเดียวเป็นยาครอบจักรวาลใช้ได้หมดทุกคน พระองค์ท่านก็คงไม่ต้องเหนื่อยยากเทศน์ไว้มากขนาดนั้น เพราะฉะนั้น..เราควรจะดูว่าอะไรที่เหมาะกับเราแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ไม่ใช่ว่ายากก็จะตะกายไปทำ

ท่านที่สั่งสมบุญบารมีมาในอดีตชาติ มีปุพเพกตปุญญตาที่สั่งสมไว้มาก ท่านก็จะเห็นว่าง่าย หรือไม่ก็ท่านที่ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมระดับหนึ่งแล้ว ก็เหมือนกับคนเรียนจบปริญญาสาขาหนึ่ง สาขาอื่นก็ใกล้เคียงกันนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกว่ากันเท่าไรหรอก โดยเฉพาะถ้าวิชาสามัญก็วิชาเดียวกันเลย

เถรี
29-10-2019, 00:08
ถาม : เรื่องของกลิ่น เราจะพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกัน อยากได้กลิ่นเมื่อไรความทุกข์ก็เกิด อยากได้ยินเสียงเมื่อไรความทุกข์ก็เกิด

ถาม : มันจะทำให้เราอยาก ...(ไม่ชัด)... เรารู้อยู่ แต่ไม่หลุดสักอันหนึ่ง ?
ตอบ : คือชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ ทำอย่างไรที่เราจะเฉยได้ ก็ต้องวิ่งหาสมาธิเป็นหลัก

ถาม : ไม่ใช้สมาธิกดได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้....ถ้าไม่ใช้สมาธิกดต้องเห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนั้น เราต้องได้กลิ่น เราต้องได้ยินถือเป็นเรื่องปกติ ก็อย่าไปยินดียินร้าย อย่าไปปรุงแต่งเพิ่มว่าเป็นกลิ่นอะไร เป็นเสียงอะไร

เถรี
29-10-2019, 00:10
ถาม : เรื่องกสิณ ถ้าหากว่าตัวเนื้อ สี รูปร่างเปลี่ยนแปลงไป คือไม่ใช่เป็นรูปกลม ๆ ?
ตอบ : เป็นอย่างไรก็ได้ให้เราจับภาพนั้นได้ แต่ว่าอย่าไปใส่ใจรูปร่างลักษณะหรือสีสัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นกสิณโทษ เรามีหน้าที่นึกถึงอย่างเดียว รูปจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรอย่าไปใส่ใจ มีหน้าที่นึกถึงกับภาวนา

ถาม : นึกถึงเป็นภาพกสิณสองภาพได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าได้แล้ว ทำจนคล่องตัวแล้ว จะเอาวางไว้กี่ภาพก็ได้ แต่ถ้ายังไม่คล่องตัว เริ่มต้นใหม่ต้องเอาภาพเดียว

เถรี
29-10-2019, 00:11
ถาม : เวลาที่ภาวนาไว้ตรงกลางของร่างกาย ไม่มั่นใจว่าคือตรงไหน ?
ตอบ : เหนือสะดือขึ้นมาประมาณ ๒ นิ้วมือแนวขวาง เราลองคิดถึงว่ามีอะไรจิ้มทะลุไปข้างหลัง แล้วก็จิ้มทะลุจากซ้ายไปขวา ตรงกลางกากบาทนั่นแหละ

ถาม : แบบนี้จะต่างกับการที่เราเอาภาพพระไว้บนศีรษะแล้วไล่ขึ้นมาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าแรกเริ่มของเรา ก็คือเริ่มจับศูนย์กลางกาย ถ้ามีความคล่องตัวแล้ว เราจะเอาไว้ตรงส่วนไหน ให้ไปทางไหนก็ได้

เถรี
29-10-2019, 00:12
ถาม : การที่เราอยู่ในเพศฆราวาส กับการบวช อย่างไหนจะเห็นทุกข์ง่ายกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่เราทำถึงไหม ? ถ้าหากว่าทำถึง คลุกอยู่กับกองกิเลสจะเห็นทุกข์ง่ายกว่า แต่ถ้าทำไม่ถึง คลุกอยู่กับกองกิเลสก็ไหลตามกิเลสง่ายกว่า

เถรี
29-10-2019, 00:12
ถาม : ทำพระเครื่องหาย ถือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เผลอสติก็หายกันได้

ถาม : แล้วท่านจะอยู่กับเราไหมครับ ?
ตอบ : เราระลึกถึงท่านอยู่ก็ยังเป็นอนุสติเหมือนเดิม แต่ว่าพลังงานในการคุ้มครองก็ห่างออกไป มาไม่ถึง

เถรี
29-10-2019, 00:15
ถาม : อย่างสมาบัติเป็นครุกรรมฝ่ายกุศล แล้วญาณละครับ ?
ตอบ : ญาณเป็นผลของฌาน ต้องสร้างฌานให้เกิดได้จึงจะมีญาณ เพราะว่าฌานคือกำลังของสมาธิสมาบัติ ญาณคือเครื่องรู้ที่รู้โดยอาศัยกำลังฌานนั้น ๆ คราวนี้ถ้าเราใช้ดีใช้ถูกก็สนับสนุนการปฏิบัติเราให้คล่องตัวขึ้น ถ้าใช้ไม่ดีใช้ไม่ถูกก็โดนหลอกหัวปักหัวปำ แทนที่จะเป็นการสนับสนุนก็กลายเป็นการขัดขวางเราไป

เมื่อเช้าพระครูหน่อย มาปรารภว่า การเกิดเป็นทุกข์ เป็นการบังคับกันชัด ๆ ทำไมไม่ใช้ว่าการเกิดคือทุกข์ ? ลักษณะนี้แหละคือญาณหรือเครื่องรู้เกิด แต่อาตมาขอยืนยันว่าญาณเครื่องรู้เวลาเกิดนั้น คิดอะไรจะสมเหตุสมผลไปหมด คิดอะไรจะใช่ไปหมด แต่ให้สังเกตเอาไว้ว่า หลอกให้เราคิดไปเรื่อย ๆ โดยที่ลืมเรื่องของการตัดกิเลส มัวคิดไปเรื่อย เอ้อ..ต้องคือทุกข์ถึงจะใช่ ถ้าหากว่าเป็นทุกข์เหมือนกับว่าหนักไป นี่บังคับกันชัด ๆ ก็ไปเรื่อย...

จะมีเหตุมีผลในตัวอยู่ แต่จะหลอกให้เราคิดเตลิดเปิดเปิง แล้วก็ลืมเรื่องของการตัดกิเลส ลืมเรื่องของการดิ้นรนเพื่อความพ้นทุกข์ ก็ติดต่อไป เพราะฉะนั้น..ต้องระมัดระวังให้ดี

เถรี
29-10-2019, 00:16
ถาม : ถ้าสติของเรากับสมาธิต่างคนต่างทำงาน เราจะใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดได้อย่างไร ?
ตอบ : เอาสติประคองสมาธิไว้ เราก็จะไม่ต้องบังคับสมาธิมาก พอสติสมาธิกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แค่ขยับตัวเราก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีปัญญาบวกเข้าไปด้วย แค่คิดเราก็จะรู้ว่าการคิดนี้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ แล้วก็จะเลือกในส่วนที่เป็นประโยชน์ ละในส่วนที่เป็นโทษ

เถรี
29-10-2019, 00:17
ถาม : ผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นไปวัดหรือมาเจอพระ จะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ต่อให้อยู่บ้านก็มีโทษ เพราะผู้ชายก็อยากดูผู้หญิง ผู้หญิงก็อยากดูผู้ชาย เป็นการสร้างกิเลสให้เกิดในใจคนอื่นเขา เรียกว่าความหยาบของจิตมีมาก ก็เลยไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นทุกข์เป็นโทษต่อคนอื่นเท่าไร

ถาม : ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็ตาม ?
ตอบ : แล้วคุณคิดว่าผู้หญิงเขาอยากมองไหม ? ที่แย่กว่านั้นก็คือผู้ชายก็อยากมอง แล้วจะเดือดร้อนกว่าที่คิด..!

เถรี
29-10-2019, 00:18
ถาม : ถ้าเราชอบการพิจารณาบ่อย ๆ แล้วทางด้านเจโตวิมุตติจะเจริญขึ้นมาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพิจารณาเป็นจริง ๆ จะเป็นสมาธิเอง ถ้าพิจารณาไม่เป็นก็โดนหลอกเตลิดเปิดเปิงอย่างที่ว่านั่นแหละ เราต้องดูด้วยว่าการพิจารณาของเรานั้นเห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้และโลกนี้ไหม ? ไม่ใช่เห็นไปสารพัดเรื่อง เห็นความเป็นจริงแล้วสภาพจิตของเรายอมรับไหมว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา โลกนี้มีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อน ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมที่เราจะเกิดอีก ถ้าไม่สามารถสรุปลงตรงนี้ได้ ก็ยังเตลิดหาฝั่งไม่เจอหรอก

แต่ถ้าสามารถสรุปลงตรงนี้ได้ สภาพจิตของเรายิ่งพิจารณา ความหนักแน่นมั่นคงก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นสมาธิไปในตัว ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีกำลังของสมาธิมาช่วยจะตัดกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ในส่วนของปัญญาวิมุตติจริง ๆ ก็ต้องอาศัยกำลังของสมาธิช่วยในตอนสุดท้าย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วสมาธิเกิดแล้วท่านไม่รู้ตัว ในส่วนของเจโตวิมุตตินั้นละไว้ไม่ต้องกล่าวถึง เพราะว่าเป็นการใช้สมาธิโดยตรงอยู่แล้ว

เถรี
29-10-2019, 00:19
ถาม : เรื่องของสีหรือทิศมีผลกับเราไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงก็ส่งผลน้อยมาก ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง มัวแต่ห่วงแต่กังวลอยู่ก็ส่งผลมาก เพราะว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากบุญจากกรรมที่เราทำมา คนเราถ้าสร้างบุญไว้ดีก็อยู่ในฮวงจุ้ยที่ดี มีสิ่งต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของตนเอง เพราะเรื่องบุญเรื่องกรรมบันดาลไปเอง ไม่ต้องไปดิ้นรนมากก็ดีแล้ว ส่วนคนที่สร้างกรรมเอาไว้เยอะ ถึงเวลาดิ้นรนแทบตายก็ยังซวยตลอดชาติอยู่ดี

เถรี
29-10-2019, 00:19
ถาม : เทวดาท่านมีเรื่องทางโลก เช่น การรบกันบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ก็มีอยู่ แต่ว่าส่วนใหญ่ท่านรู้ว่าถ้ามีโทสะเมื่อไรจะสูญเสียกายทิพย์ไป ก็เท่ากับตายจากความเป็นเทวดา ไม่มีใครเขาเสี่ยงกันหรอก

เถรี
29-10-2019, 00:20
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย นายกระรอก และรัตนาวุธ