เถรี
18-07-2019, 08:24
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนกรกฎาคมของเรา แต่ต้องมาปลายเดือนมิถุนายนแทน เพราะว่าวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนกรกฎาคมนั้น ติดงานสำคัญ คืองานบวงสรวงไหว้ครูประจำปี และเป่ายันต์เกราะเพชร
ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนการปฏิบัติธรรมว่า การที่พวกเราปฏิบัติธรรมนั้น เราได้ปฏิญาณตนว่า ขอมอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แปลว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลนั้น จะยากเย็นแสนเข็ญถึงขนาดสิ้นชีวิตลงไปเราก็ต้องยอม ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นขนาดนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสนั้นฝังรากลึกอยู่ในใจของเรามานับชาติไม่ถ้วน ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะขุดคุ้ยรื้อถอนอย่างจริงใจ เราก็ไม่สามารถที่จะรื้อถอนกิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้
ถ้าหากว่าตามแนวการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น ท่านใช้คำว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา คำว่า อาตาปี คือประกอบความเพียรซึ่งเป็นตบะในการเผากิเลส ถามว่าความเพียรระดับไหนถึงจะเผากิเลสให้หมดสิ้นหรือว่าตายลงไปได้ ? ก็คงประมาณว่าต้องขนาดเผาเหล็กจนละลาย แต่พวกเราทั้งหลายเมื่อประกอบความเพียรไปในเบื้องต้น พอกิเลสเริ่มรู้ตัวว่าเราเอาจริง ก็จะดิ้นรนแสดงมายาการออกมา อย่างเช่นว่า ไม่ไหวแล้ว เมื่อยเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน จะขาดใจตายลงไปแล้ว อาการของโรคทุกอย่างกำเริบหมด เหล่านี้เป็นต้น
ความจริงการปฏิบัติธรรมของเราก็คือการบำเพ็ญเพียรเพื่อเผากิเลส แต่พอกิเลสเริ่มร้อนก็หลอกลวงเราว่าเราจะตาย ซึ่งความจริงสิ่งที่จะตายก็คือกิเลส เพียงแต่ว่ากิเลสอาศัยร่างกายของเราอยู่ เรามีความรักความห่วงใยในร่างกายนี้มาก เราก็โดนกิเลสหลอกทุกทีว่าร่างกายนี้จะตาย แล้วเราก็เชื่อ หลงผิด ไปปล่อยให้กิเลสมีโอกาสในการเจริญเติบโตต่อไป
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนกรกฎาคมของเรา แต่ต้องมาปลายเดือนมิถุนายนแทน เพราะว่าวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ต้นเดือนกรกฎาคมนั้น ติดงานสำคัญ คืองานบวงสรวงไหว้ครูประจำปี และเป่ายันต์เกราะเพชร
ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนการปฏิบัติธรรมว่า การที่พวกเราปฏิบัติธรรมนั้น เราได้ปฏิญาณตนว่า ขอมอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แปลว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลนั้น จะยากเย็นแสนเข็ญถึงขนาดสิ้นชีวิตลงไปเราก็ต้องยอม ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นขนาดนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสนั้นฝังรากลึกอยู่ในใจของเรามานับชาติไม่ถ้วน ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นที่จะขุดคุ้ยรื้อถอนอย่างจริงใจ เราก็ไม่สามารถที่จะรื้อถอนกิเลสออกจากจิตจากใจของเราได้
ถ้าหากว่าตามแนวการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น ท่านใช้คำว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา คำว่า อาตาปี คือประกอบความเพียรซึ่งเป็นตบะในการเผากิเลส ถามว่าความเพียรระดับไหนถึงจะเผากิเลสให้หมดสิ้นหรือว่าตายลงไปได้ ? ก็คงประมาณว่าต้องขนาดเผาเหล็กจนละลาย แต่พวกเราทั้งหลายเมื่อประกอบความเพียรไปในเบื้องต้น พอกิเลสเริ่มรู้ตัวว่าเราเอาจริง ก็จะดิ้นรนแสดงมายาการออกมา อย่างเช่นว่า ไม่ไหวแล้ว เมื่อยเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน จะขาดใจตายลงไปแล้ว อาการของโรคทุกอย่างกำเริบหมด เหล่านี้เป็นต้น
ความจริงการปฏิบัติธรรมของเราก็คือการบำเพ็ญเพียรเพื่อเผากิเลส แต่พอกิเลสเริ่มร้อนก็หลอกลวงเราว่าเราจะตาย ซึ่งความจริงสิ่งที่จะตายก็คือกิเลส เพียงแต่ว่ากิเลสอาศัยร่างกายของเราอยู่ เรามีความรักความห่วงใยในร่างกายนี้มาก เราก็โดนกิเลสหลอกทุกทีว่าร่างกายนี้จะตาย แล้วเราก็เชื่อ หลงผิด ไปปล่อยให้กิเลสมีโอกาสในการเจริญเติบโตต่อไป