นักเดินทางสังสารวัฏ
10-01-2019, 17:09
๑. อัตตาหิ อัตตโน นาโถ แปลว่า ตนเป็นที่เพิ่งแห่งตน และ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แปลว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน ผมอยากทราบว่า ทำไมประโยคแรกมีอัตตาที่แปลว่าตัวตน แต่ประโยคที่สองบอกว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ซึ่งมีความย้อนแย้งกันและทำให้ผมสับสน หลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับ
๒. ผมสงสัยว่านักปฎิบัติเจริญวิปัสสนาจำเป็นต้องพิจารณาปฏิจจสมุปบาทไหมครับ เพื่อจะได้รู้เหตุรู้ผล เพื่อที่จะได้ตัดเหตุของความทุกข์ได้ พอตัดเหตุของความทุกข์ได้ ความทุกข์ก็ไม่เกิด
๒.๑ การที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนให้เห็นทุกข์ของการเกิดเป็นมนุษย์ และทุกข์ของการเกิดเป็นพรหม เทวดา เพราะยังไม่เที่ยง หมดบุญเมื่อไร ก็อาจจะตกนรกก็ได้ ถ้าไม่มีความดีรองรับไว้ และให้ตั้งใจว่าชาตินี้เราจะไปแดนพระนิพพานอย่างเดียว เป็นการพิจารณาปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่าครับ เพราะเราตัดตัณหาในการเกิด พอตัณหาไม่มีการเกิดก็ไม่มี เพราะเราตัดเหตุของการเกิดคือตัณหาไปแล้ว ที่ ๆ เราจะไปก็คือแดนพระนิพพานที่เดียว
๓. อยากทราบว่าเวลาเรารู้ตัวว่ากำลังคิดชั่ว และหยุดความคิดได้ด้วยมรณานุสติ จัดว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณหรือเปล่าครับ
๒. ผมสงสัยว่านักปฎิบัติเจริญวิปัสสนาจำเป็นต้องพิจารณาปฏิจจสมุปบาทไหมครับ เพื่อจะได้รู้เหตุรู้ผล เพื่อที่จะได้ตัดเหตุของความทุกข์ได้ พอตัดเหตุของความทุกข์ได้ ความทุกข์ก็ไม่เกิด
๒.๑ การที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนให้เห็นทุกข์ของการเกิดเป็นมนุษย์ และทุกข์ของการเกิดเป็นพรหม เทวดา เพราะยังไม่เที่ยง หมดบุญเมื่อไร ก็อาจจะตกนรกก็ได้ ถ้าไม่มีความดีรองรับไว้ และให้ตั้งใจว่าชาตินี้เราจะไปแดนพระนิพพานอย่างเดียว เป็นการพิจารณาปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่าครับ เพราะเราตัดตัณหาในการเกิด พอตัณหาไม่มีการเกิดก็ไม่มี เพราะเราตัดเหตุของการเกิดคือตัณหาไปแล้ว ที่ ๆ เราจะไปก็คือแดนพระนิพพานที่เดียว
๓. อยากทราบว่าเวลาเรารู้ตัวว่ากำลังคิดชั่ว และหยุดความคิดได้ด้วยมรณานุสติ จัดว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณหรือเปล่าครับ