View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๒
นายกระรอก
06-01-2019, 14:05
หลังกล่าวคำขอขมา “ถ้าใช้ “อิมินา” ต้องลง “ปูเชมะ” ถ้าเป็น “อิมัง” ถึงจะลง “ปูเชมิ” ของพวกเราไม่ใช่เซียนบาลี เรื่องผิดเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
นายกระรอก
06-01-2019, 14:09
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/mali1/2562/01/ftepv1546745099.jpg
หลังจากถวายผ้าป่า “ภาษาบาลีพวกเราไม่ถนัด บางทีก็เอาความเข้าใจของเราใส่เข้าไป บาลีใช้ ป.ปลา “ปังสุกูละจีวะรานิ” แปลว่า จีวรอันมาจากผ้าเปื้อนฝุ่น แต่พอแปลงเป็นไทยเขาเปลี่ยนเป็น บ.ใบไม้ เราจะออกเสียงว่า “บังสุกุล” ไม่ใช่ “บังสกุล” นะ ดังนั้น..ของพวกนี้ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะว่าผิด ๆ ไปเรื่อย หลายท่านก็ “บังสุกูละจีวะรานิ” กลายเป็นบาลีปนไทย ซึ่งผิด
แล้วยิ่งเด็กรุ่นใหม่บางทีไปไกลเลย “คิกขุสังโฆ” ต้อง “ภิกขุสังโฆ” พระภิกษุอันเป็นหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ภิกษุผู้น่ารัก..! ไปกันไกลมาก เพราะฉะนั้น..อะไรที่เราเป็นชาวพุทธพยายามทำให้ถูก ทำให้ดีไว้ แบบเดียวกับ “พุทธะปูชา” อย่าลืมว่าบาลีเขาใช้ ป.ปลา พอมาเป็นภาษาไทยถึงเป็น “พุทธบูชา” ดังนั้น..ถ้าเขา “พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต” เราก็ ปูชา ตามเขา “ปูเชมิ” เราก็ ปู ตามเขาไป ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็นผิด โดยเฉพาะบางส่วนผิดแล้วความหมายเพี้ยนไปเลย จะทำให้คนที่รับช่วงต่อ ๆ ไป ผิดไปด้วย”
นายกระรอก
06-01-2019, 14:12
“ในช่วงปีใหม่พวกเราตั้งใจมาทำสามีจิกรรม คือ กระทำสิ่งที่ดีงาม เป็นแบบอย่าง เป็นธรรมเนียมประเพณีแต่เดิม ๆ มา ได้แก่ การขอขมาพระรัตนตรัย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะว่าการที่เราทั้งหลายได้คิด พูด ทำ ก็จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างในขณะที่สภาพจิตของเรายังหยาบอยู่ มีการล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยโดยรู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี เราก็มาขอขมากัน ซึ่งความจริงพระท่านก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เพียงแต่ว่าการแสดงออกด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจของเรา ก็คือเรารู้ว่าผิด เราขอขมา ถ้าหากว่าเป็นเด็กกระทำต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เห็นก็ให้ความเอ็นดู ให้ความเมตตา ก็ให้อภัย ก็เท่ากับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับเข้าสู่ความดีงามเหมือนเดิม
ส่วนในเรื่องของการสร้างบุญสร้างกุศลรับปีใหม่ เช่นการถวายผ้าป่า ก็ถือว่าเป็นการสร้างเสริมบุญกุศลรับศักราชใหม่ เอาสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต ซึ่งถ้าเราสามารถทำได้โดยตลอด สิ่งชั่วทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะเข้าสู่ชีวิตของเราได้ เพราะว่าความดีความชั่วนั้น สภาพจิตของเรารับได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำชั่วทำดีพร้อม ๆ กันได้ ถ้าหากว่าความดี อาศัยอยู่ในใจของเราที่เหมือนเก้าอี้ตัวเดียว ความชั่วก็เข้าไม่ได้ แต่ถ้าความชั่วเข้ามาก่อน ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน”
นายกระรอก
06-01-2019, 14:14
“ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้จะเห็นว่า เรามีการขอขมาพระรัตนตรัย รับศีล ถวายทาน ในส่วนนี้ที่ท่านทั้งหลายตั้งใจทำก็เป็นส่วนของทาน ของศีล คราวนี้การที่ตั้งใจฟังโอวาท ก็คือตัวสมาธิภาวนา แปลว่าเราทั้งหลายได้ทำบุญกุศลในส่วนของไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา โดยสมบูรณ์พร้อมในช่วงปีใหม่นี้แล้ว
อาตมภาพในฐานะพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน เป็นที่สุด
ได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ประสบแต่ความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังทุกประการ สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านตั้งความปรารถนาแล้ว ถ้าไม่เกินวิสัยในผลบุญที่ได้สะสมมาจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ก็ขอให้ความปรารถนาของท่านทั้งหลาย จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ”
ถาม : ฟังเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วมีกำลังใจทำอานาปานสติ ช่วงนอนหลับอยู่มีเงาดำนั่งทับ เขางอแขน กดแขนทั้งสองข้างของผม ผมเกิดอาการกลัวจึงหลับตาข่มจิต แม้จะหลับตาก็เห็นชัดว่าแขนของเขายืดตรงยาว ทำท่าจะลุกออก สุดท้ายผมจึงกลัว แล้วลุกขึ้นวิ่ง เปิดประตูหนีออกไปหายายแต่ก็ถูกดึงกลับ แบบนี้หลายครั้งจึงปล่อย เงาดำตนนั้นเป็นผู้ใดครับ ? และเขาต้องการอะไรครับ ?
ตอบ : ก็ถามเขาเองสิวะ..! อยู่ตรงนั้นไม่ถามก็ช่วยไม่ได้..! โดนครั้งเดียวทำเป็นขวัญหนีดีฝ่อ อาตมาโดนอยู่สามปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน
ถาม : ความรู้สึกตึง ๆ ระหว่างคิ้วและส่วนอื่น ๆ บริเวณศีรษะ เช่น ที่ศีรษะ ขมับกับใบหูสองข้าง ช่วงกระหม่อม กระโหลกด้านหลังใกล้กับท้ายทอย บางครั้งเป็นทั้งศีรษะไปถึงบ่าสองข้าง ไม่เคยเป็นส่วนลงต่ำกว่าบ่า ไม่มีอาการเวทนา คืออะไร ? ตอนหลังไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิก็เป็น เพียงแต่จะมีอาการแรงมากหรือแรงน้อย
ตอบ : เป็นอาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวในระดับหนึ่ง
ถาม : การตั้งจิตอุทิศบุญกุศลในระหว่างพระสวดให้พร ผลจะแตกต่างจากการอุทิศบุญเองอย่างไร ?
ตอบ : เหมือนกัน เพราะว่าต้องอุทิศเองทั้งคู่ ไม่ได้มีความต่างกันตรงไหน ยกเว้นว่าเวลาพระให้พร แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตารับ กลับมัวแต่ไปอุทิศส่วนกุศลอยู่ ผลก็เลยได้น้อยไปหน่อย
ถาม : การปิดวาจา จะช่วยเสริมด้านการปฏิบัติธรรมให้ดีขึ้นหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องฟังคำพูดของหลวงปู่บุดดา ท่านว่า “ถ้าไม่พูดแล้วมันคิดไหมเล่า ?”
ถาม : เรื่องเปรตคนเป็น คือเป็นเปรตก่อนทั้งที่ยังไม่ตาย ตอนกลางคืนเวลาหลับ จิตเป็นเปรตออกมาเดินหิวโหยที่วัด ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้แสดงว่าเมื่อตายแล้วไม่พ้นจากการเป็นเปรตแน่นอนใช่หรือไม่ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ามนุสสเปโต ถ้าหากไม่มีบุญอื่นมาช่วย ตายแล้วต้องไปเป็นเปรตอย่างแน่นอน
ถาม : จะมีวิธีแก้ไขหรือช่วยเหลือได้อย่างไร ?
ตอบ : บอกให้เขาสร้างบุญสร้างกุศลให้มากเข้าไว้ โดยเฉพาะการทำสมาธิภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว ถ้ายอมทำก็ยังพอมีโอกาสรอดได้บ้าง
ถาม : การให้ผู้อื่นกู้ยืมเงินเราโดยเก็บดอกเบี้ยแพง ๆ เช่น ร้อยละสิบ สิบห้า ยี่สิบต่อเดือนนี้ แม้เป็นการยินยอมทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ จะถือว่าเป็นบาปต่อเจ้าหนี้ไหมคะ และผลกรรมนี้จะส่งผลอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าตัดกำลังใจได้ก็ไม่มีผลอะไรเลย เพราะว่าลูกหนี้ทะลึ่งมากู้เอง คนกู้ต้องรู้อยู่แล้วว่าดอกเท่าไร แต่ถ้าตัดกำลังใจไม่ได้ คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราทำให้เขาลำบาก เราทำให้เขาเดือดร้อน เราไปเก็บเขาแพง ๆ ก็หาเรื่องลงนรก เพราะว่าใจของเราเศร้าหมอง
ถาม : การให้ผู้อื่นยืมเงินโดยไม่เก็บดอกเบี้ย โดยหวังผลแค่ว่าต้องการช่วยเหลือเขานี้ถือเป็นบุญอย่างหนึ่งไหมคะ ?
ตอบ : ก็ให้เขาไปเลย อย่าไปให้ยืม
ถาม : การที่ลูกหนี้เบี้ยวหนี้เรานี้ เหตุเป็นเพราะกรรมเราของเราหรือไม่คะ เราควรจะวางใจอย่างไร หรือแก้ไขอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : มีทั้งกรรมใหม่และกรรมเก่า ต้องทำใจแบบอาตมา คือ เงินที่ให้เขายืมถือว่าตกน้ำ ถ้าได้คืนมาก็กำไร ไม่ได้คืนมาก็เท่าทุน
ถาม : ในสังสารวัฏนี้ เราอยู่ภายใต้กฎอื่นนอกเหนือจากกฎแห่งกรรมไหมคะ ? อย่างเช่นว่า ถ้าเรารู้สึกไม่ค่อยมีความสุข เราจะบอกว่าเป็นเพราะวิบากกรรมของเราอย่างเดียวหรือคะ เป็นเพราะสาเหตุอื่นด้วยไหมคะ ?
ตอบ : เห็นเขาบอกว่ามีกฎพลังงานของไอน์สไตน์ด้วยนะ เคยได้ยินไหม ...(หัวเราะ)... จำไว้ว่ากฎหรือทฤษฎีของคนอื่นเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครคัดค้าน ถ้าเขาคัดค้านได้ขึ้นมากฎเกณฑ์หรือทฤษฎีนั้นก็จะตกไป แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นอริยสัจคือความเป็นจริงแท้ จะเป็นได้อย่างเดียวคือทฤษฎีสัมบูรณ์ ทฤษฎีที่ไม่มีใครคัดค้านได้ เพราะฉะนั้น..นอกจากกฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงซึ่งครอบคลุมทุกสิ่ง ถ้ายังอยากทะลึ่งมีมากกว่านั้นอีกก็จะเก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้ว...!
ถาม : ถ้าเราไม่ถวายสังฆทาน แต่ไปทำทานในรูปแบบวิหารทาน หรือให้เงินพ่อแม่ ถึงแม้จะไม่เยอะ บวกกับภาวนาคาถาเงินล้านทุกวัน วันละ ๑๐๐ จบ ขึ้นไป ถ้าอยากทราบว่าให้เงินพ่อแม่มีอานิสงส์มากมายแค่ไหน ?
ตอบ : ก็เป็นแค่ทาน ถ้าเป็นแค่ทาน อานิสงส์ก็ไม่เกินสังฆทานและวิหารทาน อย่างไรการให้พ่อแม่ก็ไม่ใช่สังฆทานอยู่แล้ว
ถาม : เวลาที่อ่านหนังสือ จิตใจไม่จดจ่อกับหนังสือเลยครับ อ่านไปแล้วจำเนื้อความในหนังสือไม่ได้ รู้สึกเหมือนมึนหัวตลอดเวลา บางครั้งคิดจะเขียนอีกอย่างหนึ่ง แต่กลับเขียนลงในกระดาษอีกอย่างหนึ่ง เวลาตรวจทานสิ่งที่เขียนลงไป ก็ไม่พบสิ่งที่เขียนผิด เหมือนมีอะไรมาบังตาไว้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร หรือเป็นเพราะกรรมอะไร ลูกควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ขาดสติอย่างมาก มีทางเดียวก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกให้มาก ๆ ไว้ ก็แปลว่าแก้ได้ด้วยอานาปานสติ ภาวนาจับลมหายใจอย่างเดียว
ถาม : เมื่อเรียน ๒ อย่างพร้อมกัน คือ เรียนภาษาบาลีและเรียนปริญญาตรี จะต้องปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้ได้ผลดีทั้งสองทาง ?
ตอบ : ต้องทุ่มเทมากกว่าคนอื่นอย่างน้อย ๕ เท่า โดยเฉพาะภาษาบาลี
ถาม : ผมขออนุญาตปรึกษาครับ ผมจะแต่งงาน ผมสามารถแจกพระเครื่องเป็นของชำร่วยในงานแต่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : แจกได้ โดยเฉพาะพระเครื่องแพง ๆ อย่างสมเด็จวัดระฆัง...! อะไรประมาณนี้
ถาม : ทำไมพอเรานั่งสมาธิไปแล้วสักครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวอุ่นขึ้นจนหายหนาวไปเลยครับ ทั้ง ๆ ที่อากาศเย็นมาก เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : เกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุประการแรกก็คือ สภาพจิตพอเริ่มทรงตัวจะไม่สนใจอาการภายนอก ก็แปลว่าพอสมาธิทรงตัวแล้วจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน จึงไม่รับรู้อาการภายนอก ประการที่สองก็คือ พอสมาธิทรงตัว ลมละเอียดมากขึ้น การสันดาปเผาผลาญในร่างกายมีมากขึ้น ความอุ่นก็เลยมากขึ้น บางคนถึงขนาดนั่งเหงื่อแตกเลยก็มี
ถาม : ทราบมาว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่มีพระสัพพัญญุตญาณ ท่านมี "อสาธารณญาณ" อีก ๕ ข้อที่เหลือที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีหมดทุกอย่าง ยกเว้นสัพพัญญุตญาณเท่านั้น
ถาม : การนึกถึงภาพวัด เช่น วัดพระแก้ว จัดเป็นอนุสติด้านใดบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าหากนึกว่าวัดนั้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนาก็จัดเป็นพุทธานุสติ ถ้านึกว่าเราเคยไปฟังเทศน์ที่นั่นก็เป็นธัมมานุสติ ถ้านึกว่าในหลวงเคยไปบวชที่นั่นก็เป็นสังฆานุสติ อยู่ที่ว่าเราจะนึกถึงส่วนประกอบอะไร แต่โดยส่วนใหญ่เมื่อนึกถึงวัด เราก็มักจะนึกถึงพระพุทธรูป ก็จัดเป็นพุทธานุสติ
ถาม : วัตถุมงคลของวัดที่มีคาถาอาราธนาเฉพาะ เช่น พระขุนแผนเกราะเพชร กำไลนวหรคุณ หรือตะกรุดมหาสะท้อน ต้องอาราธนาด้วยคาถา อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ฯ ด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างไหนมีคาถาเฉพาะก็ไม่ต้องใช้
ถาม : หากโรงแรมหรือคอนโดตั้งศาลพระภูมิในทิศตะวันตก ผู้พักอาศัยอื่น ๆ นอกจากเจ้าของอาคารจะได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ และแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : เดือดร้อนแค่คนตั้งเท่านั้น วิธีแก้ไขก็คือบอกเขาให้ตั้งให้ถูกต้อง แต่เขาก็คงไม่ฟังเราหรอก
ถาม : มีปริวาสวัดหนึ่งจัดแต่องค์สวดมีสองรูป ต่างรูปต่างสวดให้พร้อมกัน พระมาขออยู่ปริวาสก็มาชุดละสองรูป รูปที่เป็นองค์สวดก็สวดคนละฉายา สวดพร้อมกัน เป็นโมฆะไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สับสนในชีวิตก็ไม่เป็นไร ถ้าสวดผิดก็มีปัญหา
ถาม : การสร้างบ้านเพื่อเลี้ยงนกนางแอ่น แล้วเก็บรังขายอย่างที่เขาเลี้ยงกัน เป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็เท่ากับขโมยรังนก ถ้าขโมยของเขาก็ย่อมบาปอยู่แล้ว
ถาม : ผมได้อ่านเรื่องค้างคาวฟังธรรม ที่ในอดีตกาลค้างคาวได้ฟังอภิธรรม ไม่เข้าใจอภิธรรม แต่ชอบใจในเสียง พอค้างคาวตายแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์ และกลับมาเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้ฟังอภิธรรมบทเดิม และบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ผมสงสัยว่าถ้าคนเปิดเทปอภิธรรมฟังจาก internet หรือที่อื่น ๆ แต่ไม่เข้าใจเนื้อหาของอภิธรรม ถ้าเขาเกิดอีกทีในยุคของพระพุทธเจ้าในอนาคต คนเหล่านี้ฟังอภิธรรมอีกที แล้วจะได้เป็นพระอรหันต์แบบในเรื่องค้างคาวหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าสภาพจิตเขาจดจ่ออยู่กับพระอภิธรรมนั้นหรือเปล่า ? ถ้าจดจ่ออยู่จนกระทั่งไปเกิดในสุคติแท้แน่นอนแบบเดียวกับค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัวนั้น โอกาสที่จะได้ฟังรอบใหม่แล้วบรรลุก็มี แต่ถ้าฟังแล้วใจไม่เกาะ ดันไปลงทุคติเสียก่อน พระพุทธเจ้าผ่านไปหลายองค์ยังไม่ได้ขึ้นมาเลย
ถาม : ผมอ่านเกี่ยวกับเทวดา ที่มีบริวารเป็นนางฟ้า ๕๐๐ องค์เป็นอย่างต่ำ ผมสงสัยว่าถ้าอยากมีนางฟ้าเยอะ ๆ ต้องทำบุญเป็นประเภทไหนดีครับ ?
ตอบ : สร้างบุญกุศลอะไรก็ได้ ยิ่งบุญใหญ่มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น เพราะว่าเรายิ่งสร้างกุศลบารมีมากเท่าไร บริวารก็จะมากเท่านั้น จะสร้างโบสถ์สัก ๗-๘ หลังก็ได้
ถาม : ผมอ่านเกี่ยวกับพระพรหม พระพรหมท่านเสวยสุขจากฌานสมาบัติ และมีวิมานอยู่คนเดียว ผมสงสัยว่าพระพรหมบุญเยอะกว่าเทวดา ทำไมพระพรหมถึงไม่มีบริวารให้รับใช้ครับ ?
ตอบ : ทำไมต้องมีบริวารรับใช้ วัน ๆ ได้แต่นั่งเข้าฌานเงียบอยู่ จะไปใช้ใคร ?
ถาม : อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้ง ผมสงสัยว่า สมมติมีพรรคการเมืองซื้อเสียงด้วยการแจกเงิน จะเป็นอกุศลกรรมหรือไม่ครับ เพราะไม่มีศีลข้อไหนห้ามซื้อเสียง ?
ตอบ : ไปถาม กกต...! ถ้าเจตนาทุจริต ใจของตนเองรู้ว่ากระทำทุจริต ก็ต้องเศร้าหมอง จัดเป็นอกุศลกรรมอยู่แล้ว
ถาม : รัฐบาลปัจจุบันได้แจกเงิน ๕๐๐ บาทให้แก่คนจน และเงินเหล่านี้ก็มาจากภาษี ผมสงสัยว่าคนที่เสียภาษีและรัฐบาลจะได้บุญหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราเสียภาษีแล้วตั้งใจให้ไปแจกคนจนหรือเปล่า ? ถ้าเสียภาษีตามหน้าที่อย่างเดียวก็ไม่ได้บุญอะไร แต่ถ้าตั้งใจว่าภาษีของเราจะให้รัฐบาลเอาไปแจกคนจน ส่วนบุญก็เป็นของเราด้วย
ถาม : ก่อนที่หลวงพ่อจะเรียนจบปริญญาเอก หลวงพ่อก็มีภาระหน้าที่มากมาย อยากถามว่าหลวงพ่อมีเทคนิคอย่างไรให้เรียนเก่ง ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะมีงานมากที่ต้องดูแล ?
ตอบ : ไม่มีเทคนิคอะไรหรอก อาจารย์สอนอะไรก็จำให้หมดแค่นั้นเอง
ถาม : บุคคลที่ทรงฌานได้ ญาณก็จะเกิดเพราะอาศัยฌาน บุคคลเหล่านี้สามารถเอากำลังญาณมาตัดกิเลสได้ง่าย ๆ เลยได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ยังไม่มีกำลังญาณตัวไหนที่ใช้ตัดกิเลสได้..! สิ่งที่ตัดกิเลสได้คือกำลังของฌานเท่านั้น ญาณเป็นเพียงเครื่องรู้เพื่อให้เราตระหนักอย่างแท้จริงว่า การเวียนว่ายตายเกิดนับกัปไม่ถ้วนเช่นนี้ เรายังปรารถนาอีกหรือไม่ ? และต้องตัดสินใจเอง การตัดสินใจนั้นใช้กำลังของฌาน
บางคนอาจจะสงสัยว่าอาสวักขยญาณ (เครื่องรู้ว่ากิเลสสิ้นไปแล้ว) มีไว้เพื่ออะไร ? ก็มีไว้รู้ว่าเรียนจบแล้วแค่นั้นเอง
ถาม : ญาณในอุปกิเลส ๑๐ แตกต่างกับญาณที่จะตัดกิเลสอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ญาณในอุปกิเลสนั้น “รู้...แต่ไม่ช่วยในการตัดกิเลส” ก็คือจะคิดอะไรก็ตาม ก็จะมีเหตุมีผลกว้างไกล เข้าใจไปทุกเรื่อง แต่ถ้ารู้จักพิจารณาจะเห็นว่า ไม่มีเรื่องไหนช่วยในการตัดกิเลสเลยแม้แต่เรื่องเดียว
ถาม : ในศีลของพระภิกษุ การฉันขมิ้นชันและกระเทียมเพื่อรักษาโรค การฉันน้ำมะนาวเพื่อช่วยให้ขับถ่าย จะถือว่าเป็นเภสัช สามารถบริโภคได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องประเคนตลอดชีวิตได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขมิ้นชันและกระเทียม จัดเป็นมูลเภสัชคือมีรากเป็นยา มะนาวจัดเป็นผลเภสัช มีผลเป็นยา ถ้าคิดว่าเก็บเอาไว้ได้โดยไม่เสีย และเราไม่เอาไปปะปนกับของอื่นเพื่อฉัน ประเคนครั้งเดียวก็ฉันได้ตลอดชีวิต
ถาม : ยาแก้หิวของครูบาคำมูล ที่บอกว่าให้นำส่วนผสมทุกอย่างมาป่นแล้วปั้นเป็นลูกกลอน เราสามารถนำส่วนประกอบของยาทุกอย่างมาปั่นโดยนำเข้าเครื่องปั่นผลไม้ แล้วนำมาปั้นเป็นลูกกลอนได้ไหมครับ ?
ตอบ : คิดว่าถ้าปั่นแล้วสามารถปั้นได้ก็เชิญ
ถาม : ส่วนกล้วยน้ำว้า ต้องเอาสุกงอมขนาดไหน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ต้องการแค่ห่าม ๆ เท่านั้น แล้วต้องตากแห้งด้วย
ถาม : เมื่อปั้นเป็นลูกกลอนแล้วสามารถเก็บได้ในระยะเวลาขนาดไหนครับ ?
ตอบ : ลองดูก็แล้วกัน ถ้ารักษาดีอาจจะอยู่ได้เป็นเดือน รักษาไม่ดี อาจจะขึ้นราภายใน ๓ วัน
ถาม : เหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณ สามารถช่วยกันเชื้อโรคหรือโรคระบาดที่เกิดจากเทวดาที่ทำหน้าที่ให้ทุกข์ให้โทษในส่วนนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปลองดู ถ้าไม่มีกฎของกรรมสนองอยู่ก็น่าจะกันได้ แต่ถ้ามีเมื่อไร ต่อให้พกเป็นร้อยเหรียญก็ไม่มีประโยชน์
ถาม : ในคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจตก ให้เอาอิทธิบาท ๔ เข้าช่วย ตัวของผมเองเวลากำลังใจตก เมื่อนำคำสอนที่เป็นหนังสือและเสียงเทศน์ของครูบาอาจารย์มาอ่านมาฟัง จะทำให้สามารถมีกำลังใจกลับขึ้นมาได้ หรือไม่ก็ไปหาครูบาอาจารย์เพื่อได้พูดได้คุยกับท่าน เพื่อให้มีกำลังใจกลับคืนมา ตรงนี้ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นตัวฉันทะ นอกจากวิธีนี้ หลวงพ่อพอมีวิธีใดบ้างครับที่จะทำให้เกิดฉันทะในการปฏิบัติธรรมขึ้นมาอยู่เสมอ ?
ตอบ : ตั้งใจมองว่านรกรอเราอยู่ข้างหน้า ถ้ากำลังใจเอ็งยังตกอยู่ก็ลงนรกแน่ ๆ..!
ถาม : ตะกรุดแม่พระธรณีของหลวงปู่เนป่อง ในส่วนของวัสดุที่นำมาทำตะกรุดสามารถใช้โลหะอะไรก็ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้จำกัด ขอให้เป็นโลหะเท่านั้น
ถาม : ส่วนวิธีการทำตะกรุด สมมติว่าผมอ่านรายละเอียดเจอในเว็บวัดท่าขนุนแล้ว สามารถถวายพานบูชาครูตามที่กล่าวมาแล้วทำได้เลยไหมครับ ?
ตอบ : ได้เลย
ถาม : เคยอ่านเจอที่พระอาจารย์กล่าวว่า ยางที่มาจากต้นยางนา ถ้านำมากินจะช่วยรักษาโรค หรือปรับสภาพข้อเข่าต่าง ๆ ตามร่างกาย แต่จะมีข้อเสียคือกลิ่นตัวจะเหม็นไปสองปี หากผมและเพื่อน ๆ จะนำมากิน ต้องจัดเตรียมและเอามากินอย่างไรบ้างครับ
ตอบ : ไปศึกษาตำราเอาเอง อย่าเสียเวลามาถาม สมัยนี้ขืนไปเผายางเจาะน้ำมัน ป่าไม้ก็ลากไปเข้าคุกเท่านั้นเอง
สมัยก่อนเขาเผาต้นยางเพื่อเอาน้ำมันกันเป็นปกติ เหมือนอย่างกับเวลาเราโดนไฟไหม้แล้วพองเป็นตุ่มน้ำ พอความร้อนเกิดขึ้น ยางก็จะส่งน้ำไปตรงจุดนั้นเพื่อที่จะรักษาตัวเอง ก็กลายเป็นน้ำมันยาง น้ำมันยางจะมีลักษณะเหนียวข้นมาก ไม่ซึมลงดิน ถึงเวลาเขาขุดหลุมดินใหญ่ ๆ เอาใบไม้รอง แล้วก็เทน้ำมันลงไป เมื่อรวบรวมได้จำนวนมากพอ ถึงเวลาก็ค่อยไปหาครุ หาถังมาใส่ แล้วหาบออกจากป่าไปขาย
ลองไปค้นหาดู มีหมู่บ้านหนึ่งชื่อหมู่บ้านยางห้าหลุม ยางห้าหลุมหมายถึงบนต้นยางที่เราเผาเพื่อเอาน้ำมัน โดยปกติต้นยางทั่วไปโตประมาณโอบกว่าหรือสองโอบ อย่างเก่งก็ได้แค่สองหลุมคือหน้าหลังอย่างละหลุม ยางต้นหนึ่งสามารถเผาเอาน้ำมันยางได้ถึงห้าหลุม ถ้าล้มนอนลงมาคาดว่ายังสูงเลยหัวของเรา
สมัยนี้ไม่ค่อยได้ใช้น้ำมันยางกันแล้ว อันดับแรกเราไม่ได้สัญจรทางน้ำ ก็เลยไม่ได้ใช้น้ำมันมาคลุกกับชันเพื่อที่จะยาเรือ ไม่เช่นนั้นหน้านี้ก็ต้องเอาเรือขึ้นคาน ขึ้นคาน แปลว่า ไม่ได้ใช้งาน เพราะฉะนั้นสาวคนไหนขึ้นคานแปลว่าไม่ได้ใช้งาน แต่สมัยนี้มักจะไม่ค่อยได้ขึ้นคาน เพราะว่าเลยไปถึงหลังคาแล้ว...!
เมื่อใกล้จะถึงหน้าน้ำก็จัดการตอกหมันยาเรือ หมันก็คือเปลือกต้นหมัน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นเส้น ๆ สามารถทุบแผ่ออกมาเป็นแผ่นได้ ถ้าท้องเรือถ่างกว้างมากช่วงหน้าแล้ง ก็เอาเส้นหมันยัดเข้าไปตอกอัด เสร็จแล้วก็ยาด้วยชันผสมน้ำมันยาง พูดง่าย ๆ ก็คือได้เรือใหม่เอี่ยมเลย หลังจากคว่ำทิ้งไว้ให้แห้ง พอน้ำมาก็เอาลงจากคานไปใช้งาน
แต่สาว ๆ สมัยนี้ขึ้นแล้วไม่ค่อยลงจากคาน สาเหตุหลัก ๆ เลยก็คือ สมัยนี้ผู้หญิงทำงาน สมัยก่อนที่ต้องแต่งงานเพราะว่าต้องอาศัยครอบครัวผู้ชายเลี้ยง สมัยนี้ไม่ต้องอาศัยผู้ชายเลี้ยงก็อยู่ได้ จึงเป็นโสดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
กลับมาจากทำงานเหนื่อยจะตายชัก ดันมีเจ้านายนั่งอยู่ที่บ้านอีกคนหนึ่ง แถมยังเอาแต่ใจตัวเองด้วย เลยอยู่คนเดียวดีกว่า..ประมาณนั้น
เรื่องพวกนี้เลยกลายเป็นว่า ประเทศไหนยิ่งเจริญมาก การที่ผู้หญิงอยู่เป็นโสดก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ทำงานเลี้ยงตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชาย ถ้าไม่เจอคนที่ถูกใจจริง ๆ สมัยนี้เขาไม่แต่งงานให้เสียเวลาหรอก ไม่อยากได้เจ้านายเพิ่มขึ้นมาในชีวิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้หญิงมีทุกข์มากกว่าผู้ชาย ๕ อย่าง ก็คือต้องมีระดู ต้องปรนนิบัติสามี ต้องตั้งครรภ์ ต้องเลี้ยงดูบุตร ต้องดูแลญาติสามี มีแต่เรื่องเหนื่อย
โดยเฉพาะสมัยนี้ใครไปเป็นสะใภ้คนจีนก็ตายแน่ ๆ เพราะว่าคนจีนสมัยนี้อยู่ในยุคลูกเทวดา ตอนนี้เริ่มผ่อนผันว่ามีลูกคนที่ ๒ คนที่ ๓ ต้องจ่ายเงินให้รัฐบาลเท่าไร แต่ลูกคนแรก ๆ ก็ยังเป็นลูกเทวดาอยู่ดี พ่อแม่เอาใจ ปู่ย่าเอาใจ ตายายเอาใจ
ฉะนั้น..ถ้าใครไปแต่งงานกับคนจีนก็นรกชัด ๆ จะเห็นว่าสมัยนี้เขาก็ควานหากัน ไม่ว่าจะสาวไทย สาวเวียดนาม เพื่อไปแต่งงานกับหนุ่มจีน ใครคิดว่ามองนรกเห็นไม่ชัดก็ลองดู...!
นอกจากคุณสามีที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างกับลูกเทวดาแล้ว ไหนจะพ่อแม่ปู่ย่าตายายอีก ทุกคนก็จะมาจิกหัวใช้เราเพื่อให้บริการลูกเขาให้ได้ดั่งใจ บริการหลานเขาให้ได้ดั่งใจ แค่คิดดูก็สยดสยองแล้ว
มีบางคนเขาบอกว่า "ตั้งแต่มีเมีย ชีวิตกูเปลี่ยนมากเลย เดี๋ยวนี้ใส่เสื้อรีดกลีบโง้งทุกวัน" เพื่อนก็บอกว่า "ดีนี่...เมียดูแลดี" "ดูแลดีกับผีสิ มันใช้กูรีดเอง...!"
สรุปว่าจะปีใหม่ปีเก่า ความทุกข์ของคนมีอยู่เท่าเดิม อายุยิ่งมากขึ้นก็ทุกข์มากกว่าเดิม เหตุที่ทุกข์มากขึ้นเพราะว่าร่างกายทำอะไรไม่ได้อย่างใจ แต่ความทุกข์เท่าเดิม ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เหมือนกับทุกข์มากขึ้น มีใครรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขเหลือเกิน อยากจะเกิดอีกบ้าง ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อปลายปีที่ผ่านมาจัดปฏิบัติธรรม ให้สิทธิ์ผู้ที่ลงชื่อบวชไว้ได้จองแผ่นยันต์เกราะเพชรเนื้อทองคำ มีหลายท่านที่ไปปฏิบัติธรรมตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย แต่ไม่ลงชื่อ ประมาณว่ามักน้อยสันโดษ ไม่จำเป็นต้องมีชื่อปรากฏก็ได้
แล้วก็มีคนมาถามว่า “อาจารย์...แล้วอย่างนี้ทำอย่างไร ?” “อ๋อ..ก็เรื่องของเขา มักน้อยสันโดษถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากเกินไปกูถือว่าดัดจริต...!"
"ส่วนใหญ่พวกเราแยกไม่ออก ที่แยกไม่ออกก็คืออะไรที่ควรจะแสดงตน อะไรไม่ควรที่จะแสดงตน ถ้าเป็นเรื่องของหลักฐาน เรื่องของทะเบียน อย่างไรก็ต้องแสดงตน แต่ถ้าคุณจะปลีกวิเวก ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ ไม่มีใครว่าคุณ แสดงว่าตีความหลักธรรมผิด
ปวิเวกตา ปลีกตัวออกจากหมู่ ไม่ใช่ให้ทิ้งสังคม เพียงแต่ว่าอย่าไปยุ่งกับสังคมมากจนเสียการปฏิบัติ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันรัฐบาลเรามีความประพฤติที่เป็นสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ก็คือพวกกูทำอะไรไม่ผิด ถ้าคนอื่นทำผิดหมด ขนาด ปปช.หน่วยงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่จะต้องบริสุทธิ์สะอาดและเป็นมาตรฐาน ยังตัดสินว่าการยืมนาฬิกาเพื่อน ๒๒ เรือนเป็นเรื่องปกติ ปัญญาอ่อนชัด ๆ...!
ในเมื่อหน่วยงานที่ควรจะบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุดยังกลายเป็นอย่างนี้เสียแล้ว ก็ไม่ต้องไปหวังพึ่งใคร ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ทำมาหากินของเราไป ไม่ต้องไปใส่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างไรเสียหลวงปู่เกลี้ยงก็นำหน้าไปแล้ว สถานการณ์ที่น่าจะย่ำแย่ถึงขีดสุดก็น่าจะเบาลงไปหน่อยหนึ่ง"
"อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง คือ พระมหาฉลาด กิตฺติสมฺปนฺโน ป.ธ. ๖ ปกติท่านเรียนบาลีอยู่ พูดง่าย ๆ ว่าเตรียมตัวที่จะเป็นคุณมหาประโยค ๙ ตั้งแต่หนุ่ม ๆ ปรากฏว่าหลวงปู่เกลี้ยงถูกใจ ขอตัวไปศึกษาวิชาด้วย เรียนอยู่หลายปี ก็คาดว่าน่าจะสืบทอดอะไรต่อมิอะไรได้มาก เพราะว่าหลวงปู่รักและเมตตาเป็นพิเศษ
หลวงปู่เกลี้ยงมีความเหมือนหลวงปู่สำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่าอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือมีเทวดาคอยตามสงเคราะห์ ถึงเวลาใครเดือดร้อนมาถามหลวงปู่ เทวดาจะบอกว่าแก้ไขอย่างไร อาตมาบอกได้เพราะว่าหลวงปู่มรณภาพแล้ว ถ้าท่านยังอยู่ก็บอกไม่ได้"
"ครูบาอาจารย์ล่วงลับไปทุกวัน ๆ ตัวเราเองมีอะไรที่พอจะอวดเขาได้บ้างว่าเราปฏิบัติแล้วมีผล ? เราไม่ใช่หนูที่อยู่บนถังข้าวสารโดยที่ไม่ได้กินอะไรเลย เราไม่ใช่ทัพพีที่คาหม้อแกงอยู่โดยไม่รู้รสอะไรเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักรู้ แล้วก็ตักเตือนตัวเอง ไม่เช่นนั้นปีแล้วปีเล่าผ่านไป เดี๋ยวจะตายเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการ แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนคนรับจ้างเลี้ยงวัว แต่ไม่เคยได้ลิ้มปัญจโครสเลย
ปัญจโครสคือสิ่งของ ๕ อย่างจากวัวที่พอจะเอามาเป็นอาหารได้ มีเนยใส เนยข้น นมสด นมส้ม น้ำมันเปรียง น้ำมันเปรียงคือน้ำมันที่เคี่ยวจากวัว สมัยอาตมาเด็ก ๆ เห็นกินแต่น้ำมันหมูกัน หลังจากนั้นมาก็มีน้ำมันพืชแหกโค้งเข้ามาเขาเรียกน้ำมันบัว ใส่ปีบมาขาย ต่อมาก็มีการฮิตน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดทานตะวัน และมายืนตายที่น้ำมันปาล์ม ยิ่งกินก็ยิ่งแย่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นหวัดคราวนี้ทำให้เชื่อที่ท่านอาจารย์บ๊ะท่านบอกว่า ถ้าไปต่างประเทศจะเป็นการเปลี่ยนดวง เพราะว่าจากดวงดี ๆ กลายเป็นเละเทะไปหมดเลย..! ...(หัวเราะ)..."
พระอาจารย์กล่าวว่า "สีผึ้งหลวงพ่อทาบจะสีเขียวอมดำ เขียวอย่างเดียวไม่ได้ ดำอย่างเดียวก็ไม่ได้ ไม่ต้องไปดูเลยนะว่าตลับต้องหน้าตาอย่างนี้ เพราะท่านบอกว่าใครมีตลับอะไรก็เอามาใส่ เราก็แค่ดูตลับให้ได้ยุคได้สมัยหน่อยก็พอ แต่ถ้าใครไปเปลี่ยนตลับก็ซวยอีก นึกถึงคนสมัยก่อนเขาทำอะไรก็ประณีต ตลับสีผึ้งหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ประเภทวัตถุโบราณชัด ๆ เป็นตลับที่ปั๊มลายขึ้นดอกรุ่นแรก ๆ เลย
ส่วนสีผึ้งหลวงพ่อเดิมเป็นตลับฝากระจกตลับกลม ๆ น่าจะกว้างสัก ๒-๒.๕ นิ้ว ฝาเป็นกระจก เรียกว่า "ตลับคันฉ่อง" ใครเห็นตลับสีผึ้งเก่า ๆ ด้านหน้าเป็นกระจกมัว ๆ นี่รีบตะครุบเอาไว้ก่อนเลย ถ้าโชคดีเขี่ยดูข้างใน เจอสิงห์สามขวัญด้วยก็ถือว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง
แต่ถ้าหากว่าเป็นของหลวงปู่จันทร์ วัดป่าข่อย ท่านจะเอาพระนางพญาหรือไม่ก็พระลีลาทุ่งเศรษฐีใส่ไว้ คนไปขอสีผึ้งหลวงปู่จันทร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากได้สีผึ้ง แต่อยากได้พระ ก็คือของแพงปานนั้น หลวงปู่ท่านมีท่านเอาใส่ตลับสีผึ้งเฉยเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปริญญาโทมีวิชา Insight Meditation ลูกศิษย์บอกว่าถ้าพระอาจารย์เล็กไม่สอน เขาก็ไม่รู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เป็นวิชาสอนของอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ท่านเป็นดอกเตอร์ด้วย ประโยค ๙ ด้วย แต่ท่านไม่สามารถอธิบายให้ลูกศิษย์เข้าใจได้ เห็นชัด ๆ ว่าเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าหากว่าไม่ได้ทำจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะพูดให้เขาเข้าใจได้ เพราะว่าตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ
พอชั่วโมงแรกเดินเข้าห้องไปบรรดาลูกศิษย์ก็เฮ ถามว่า "มึงจะเฮกันทำไมวะ ?" อ๋อ...ดีใจที่พระอาจารย์มาสอน "เออ..หัดให้สำรวมกิริยาบ้าง นี่วิชากรรมฐาน ไม่ใช่เห็นหน้าอาจารย์แล้วก็เฮแบบนี้"
ถาม : เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรครับ ?
ตอบ : เนื้อหาการปฏิบัติสมถวิปัสสนา Insight Meditation ไม่ใช่ยกย่างเหยียบ
จะว่าไปแล้วหลักสูตรเขาตั้งไว้ดี แต่หาพระสอนได้ยาก เพราะว่าส่วนที่เป็นปัตจัตตัง เวลาลูกศิษย์ซักถาม ถ้าตัวเองไม่ได้ปฏิบัติก็จนแต้ม อาตมาต้องไปคุมกรรมฐานให้เขา ๑๕ วัน แต่ว่ามีเวลาให้เขาจริง ๆ ประมาณ ๗-๘ วันเท่านั้น แต่ก็ยังดี เพราะว่าบางอย่างอาจารย์คนคุมเขาขาดมัชฌิมาปฏิปทา รู้ ๆ อยู่ว่านี่คือกรรมฐาน แต่ไม่รู้ว่ามัชฌิมาอยู่ตรงไหน นิสิตทุกคนไม่ได้ไปด้วยศรัทธา แต่ว่าไปเพราะหลักสูตรบังคับว่าจะต้องปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติคุณก็ไม่ผ่าน เมื่อไม่ได้มาด้วยศรัทธา เราก็ต้องรู้ว่าทำอย่างไรจะให้พอเหมาะพอดี
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปถึงศูนย์ปฏิบัติธรรมวันแรก บรรดาอาจารย์ก็แห่มา ๔-๕ คน ทั้งพระทั้งฆราวาส บอกว่า “ไม่ไหว นิสิตเขาต่อต้านทุกรูปแบบ เอาไม่อยู่ ถ้าอาจารย์ไม่มานี่พวกผมหนีแน่” อาจารย์ยังไม่ทันจะลุกเลย นิสิตปริญญาโท ๗-๘ คนล้อมอาจารย์มาอีกชั้นหนึ่ง ฟ้องซ้ำเข้ามาอีก นี่คือคู่กรณีนะ ระหว่างนิสิตกับอาจารย์
พอฟังเสร็จสรรพเรียบร้อยอาตมาก็บอก “ไป ๆ ๆ มีหน้าที่อะไรไปทำ เดี๋ยวจัดการให้” ปัญหาก็คือการขาดมัชฌิมาปฏิปทา นิสิตไปหาเจ้าภาพมาเลี้ยงอาหาร พอกลับมาแล้วโดนซ่อมเพราะว่าปฏิบัติธรรมไม่ครบ "คุณหายไประหว่างชั่วโมงปฏิบัติธรรม" เป็นกู..กูก็โกรธวะ อุตส่าห์ไปหาข้าวมาให้กิน เสือกซ่อมกูอีก แล้วต่อไปจะคุยกันรู้เรื่องไหม ? แล้วก็ไปบอกว่านิสิตดื้อ ต่อต้าน ไม่ยอมทำตาม ตกลงใครกันแน่ที่ผิด ?
แต่คราวนี้อาตมาในฐานะอาจารย์ผู้อยู่ตรงกลาง อาจารย์ก็ฟ้อง ลูกศิษย์ก็ฟ้อง แล้วตูจะทำอย่างไร ? ก็ต้องหาจุดพอเหมาะพอดีของเขาให้ได้ ก็เลยบอกว่า "ใครที่ขาดชั่วโมงปฏิบัติเดี๋ยวมาปฏิบัติกับอาจารย์เล็กตรงนี้ ส่วนของอาจารย์คุณจะทำอะไรของคุณทำไปเลย ตอนนี้ผมอยู่แล้ว" หายไปจากที่นั่ง ๒ ชั่วโมงไปนำเจ้าภาพเข้ามาที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเพื่อมาเลี้ยงเพล กลับมาโดนซ่อม ๒ ชั่วโมง โปรดใช้หัวแม่เท้าตรองดูหน่อยแล้วกันว่าเขาไปทำอะไร ? ถ้าหนีการปฏิบัติก็ว่าไปอย่าง"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเพิ่งไปฝึกซ้อมภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์มา ชอบสุด ๆ สำเนียงสิงคโปร์ก็คือสำเนียงไทยแท้นั่นแหละ ขำที่สุดคือแท็กซี่ หน้ารถแท็กซี่ติดรูปท้าวมหาพรหม ติดหลวงปู่ทวด ติดพระสีวลี เขาบอกว่าต้องไปไหว้ท้าวมหาพรหมทุกปี แล้วก็ถวายนางรำละครชาตรีทุกครั้ง เขาบอกว่า “He makes my life easy and smooth.” เขาว่าช่วยเขาได้เยอะเลย ดำรงชีวิตทำมาหากินก็สะดวกง่ายดาย เขาเรียกว่า "อากง" ท้าวมหาพรหมตูกลายเป็นอากงเขาไปแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปสิงคโปร์คราวนี้ยอมรับเลยว่าสู้หนุ่ม ๆ สาว ๆ เขาไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะลูกสาวลูกชายขายาวเหลือเกิน เดิน ๒ ก้าวเท่ากับอาตมาเดิน ๓ ก้าว พักเดียวก็โดนทิ้งเสียลิบเลย ดีอยู่อย่างหนึ่งคือไปไหนก็ไม่หลง มองไปก็เห็นเพราะว่าเขาตัวสูง ส่วนอาตมาใส่จีวรเขามองมาก็เห็น ไปไหนไม่หลงหรอก ยกเว้นว่าขึ้นรถไม่ทัน พอเห็นว่าประตูจะปิดนี่อย่าไปเสี่ยง เดี๋ยวได้ไปแค่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งของคณะไม่ได้ไปด้วย
รถไฟใต้ดินสิงคโปร์ไม่มีคนขับสักคัน ทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติหมด ถ้าถามว่ามีใครมาตรวจบัตรตรวจตั๋วอะไรไหม ? ไม่มี...ตั้งแต่ก่อนเราจะผ่านเข้าไปเขาตรวจเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่าบัตรเงินไม่พอเขาก็ไม่ปล่อยให้ผ่าน กลับไปเติมใหม่เสียดี ๆ
ไม่เหมือนประเทศจีน ประเทศจีนนี่อาตมาเห็นคาตาเลย คนหน้าแตะบัตรคนหลังผลักกระเด็นแล้วก็วิ่งตามเข้าไป เล่นวิธีง่าย ๆ ตอนออกก็ทำแบบเดียวกัน พอถึงเวลาก็เล็ง ผลักคนหน้าปลิวแล้วก็วิ่งพรวดผ่านไป ความซื่อสัตย์ต่างกันมาก
เราจะไปว่าสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ๆ ก็ไม่ใช่ คนร้อยพ่อพันแม่ แต่ความที่เขาเข้มงวดมานานก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ทุกคนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม เป็นกฎที่ไม่ต้องเขียน รู้กันอยู่ว่าต้องทำอย่างนี้"
"ไปสิงคโปร์อย่าลืมเจ้าพ่อหลักเมืองนะ พลเรือเอก เซอร์โธมัส ฟิลลิปส์ สเปนเซอร์ มารับยันดอนเมืองเลย แถมมาแย่งข้าวกินด้วย เข้าร้านอาหารญี่ปุ่นนั่งอยู่ ท่านดึงถ้วยซุปไป อาตมาก็เฮ้ย...เดี๋ยวคนเขาแตกตื่น พอดีคุณชวงเห็นหัวเราะใหญ่เลย ถามว่าเป็นอะไรอยู่ ๆ ถ้วยวิ่งได้เอง อ๋อ...โดนผีแกล้ง
ไปที่นั่นคุณชวงอุตส่าห์ซื้อซิการ์ฮาวาน่าไปเลย เพราะว่าลูกสาวเรียนอยู่ที่นั่น เอาไปฝากฝัง แต่พอจุดซิการ์ให้ พ่อเจ้าประคุณเดินเป่าใส่หัวไปตลอดทาง แต่ละคนขนหัวตั้งเด่ คือกลิ่นซิการ์ตามอยู่ตลอด สิงคโปร์เขาจะไม่มีคนที่เดินสูบบุหรี่ ส่วนพวกเราเดินไปเถอะ ถึงเวลาหยุดจะข้ามถนน ประเภทกลิ่นซิการ์เป่าใส่หัวเลย"
"วันแรกไป หลวงปู่ใหญ่โลกอุดรมา ก็กราบท่าน ว่าจะเรียกท่านเซอร์ฯ มากราบหลวงปู่ มองไปอีกทีท่านเซอร์ฯ อยู่ชายทะเล บอกว่าไปทำอะไรไกลขนาดนั้น ? เขาบอกหลวงปู่ไม่ได้มาคนเดียว อ้าว...แล้วทำไมตูเห็นคนเดียว ? หลวงปู่ท่านบอกว่า โดยธรรมเนียมถ้าผู้ใหญ่อยู่ เด็ก ๆ ก็ไม่มาโผล่หน้าแข่งบารมีหรอก
บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อท่านมากันเยอะ ก็ไม่รู้ว่ามาทำอะไรถึงขนาดเต็มชายทะเลไปหมด ปรากฏว่ากลับมาเมืองไทยเพิ่งจะรู้...เกิดสึนามิ นี่ถ้าไม่มีท่านมีหวัง..! วันที่สึนามิเกิด พวกเราก็ไปอยู่ริมทะเลกันทั้งวัน"
ถาม : ชาผู่เอ๋อร์ค่ะ เห็นพระอาจารย์ฉันได้แต่น้ำร้อนกับน้ำชา เลยเอาชามาถวายค่ะ ?
ตอบ : ผู่เอ๋อร์เป็นชาเสีย คือสมัยก่อนเขาขนใส่พวกหลังล่อ หลังลา หลังม้าไปจำหน่าย ส่วนใหญ่ก็ออกไปจำหน่ายทางด้านมองโกเลีย โดนแดด โดนฝน โดนลม หีบห่อก็เสีย น้ำเข้าได้ ชาเลยอัดกลายเป็นก้อนไปเลย คราวนี้ก็อย่างว่านั่นแหละ พ่อค้าขนไปแล้วไม่อยากทิ้งก็ขายอย่างนั้น ปรากฏว่าพวกมองโกลเขาก็กินทั้งอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะว่าส่วนใหญ่เขาก็เอาไปต้มกับพวกนมเนย ก็เลยกลายเป็นว่าชาเสียของคนจีน แต่คนมองโกลกินกันเป็นปกติ ท้ายสุดกลายเป็นดี จึงต้องตั้งใจทำกันขึ้นมา
ถาม : ถวายเต่าบ้านสบายใจให้หลวงพ่อ หลวงพ่อจะได้อายุยืนแข็งแรง ?
ตอบ : จะให้ตูอายุยืนเป็นเต่า ? ตัวคนทำท่านยังไม่ยอมอยู่ด้วยเลย ตั้งท่าจะไปอย่างเดียว ทีอาตมาจะให้อยู่นาน ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนจีนเขาหาฮวงจุ้ย ลักษณะที่ว่าหน้าติดเขา หลังติดน้ำ ซ้ายขวาถ้ามีเนินเขากระหนาบได้จะดี เพราะว่าพื้นที่ก็คือ ซ้ายพยัคฆ์ขาว ขวามังกรเขียว หน้าหงส์แดง หลังเต่าดำ"
ถาม : (มีคนมาเบิกวัตถุมงคล) เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก มีดหมอล้วน ๆ เลย ?
ตอบ : บางคนมีวิสัยนักรบเก่า เห็นมีดเห็นไม้แล้วชอบ
มีดของหลวงปู่จ้อย วัดศรีอุทุมพร ก็เริ่มแพงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดกว่ารุ่นหลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว
มีดหมอสายหลวงพ่อเดิมหลุดออกมาถึงยุคนี้แล้วเริ่มกลายเป็นของโหล ที่บอกว่าเป็นของโหลเพราะว่าสั่งผลิตเพื่อการพาณิชย์โดยตรง ความประณีตมีน้อยมาก รุ่นเก่า ๆ นี่ถ้าเราดูจะเห็นความต่างจากรุ่นใหม่อย่างชัดเจน รุ่นเก่าเขาถักแหมรัดปลอกมีดละเอียดยิบอย่างกับเส้นผม รุ่นใหม่ ๆ เส้นหยาบดูไม่ได้เลย
ถาม : ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ?
ตอบ : หาฤกษ์วันศุกร์ข้างขึ้นเดือนคู่ คู่คือเดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๘ ข้างขึ้น ถ้าเดือน ๘ ข้างแรมกับเดือน ๑๐ เขาไม่ขึ้นบ้านใหม่กัน เพราะว่าอยู่ในพรรษา
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนที่แล้วอาตมาจ่ายค่าเทอมอ่วมอรทัยเลย คือช่วงนี้ค่าใช้จ่ายการศึกษาประมาณเดือนละ ๒ แสนบาท แต่ถ้าค่าเทอมออกนี่เป็นล้านบาทเลย แม้กระทั่งวิทยาลัยสงฆ์ตอนนี้ค่าเทอมก็แพงมาก สมัยอาตมาเรียนอยู่ปริญญาตรี บางเทอม ๒๔ หน่วยกิต ค่าเทอมแค่ ๑,๘๐๐ - ๑,๙๐๐ บาท สมัยนี้ค่าเทอม ๖,๐๐๐ - ๗,๐๐๐ บาท นี่ขนาดถูก ๆ แล้วนะ แตกต่างกับสมัยนั้นขนาดไหน ?
ปริญญาโทอาตมาเรียนเต็มที่ไม่เกิน ๑๘,๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้ปริญญาโทเทอมหนึ่งปาไป ๓๐,๐๐๐ กว่าบาท ปริญญาเอกตอนที่เรียนอยู่ ๓๕๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้เขาบอกว่า ๔๕๐,๐๐๐ บาท แล้วก็ได้โปรด...เป็นพระอยู่อย่าได้สึก เป็นฆราวาสอยู่กรุณาอย่าบวช ต้องเรียนให้จบก่อน เพราะว่าค่าเปลี่ยนชื่อ ๕,๐๐๐ บาท ก็คือถ้าบวชพระอยู่แล้วไปสึกเป็นฆราวาส จะเอาปริญญาบัตรเป็นนาย จ่ายมา ๕,๐๐๐ บาท หรือว่าเป็นนายอยู่ดี ๆ ดันทะลึ่งเป็นพระก็เตรียมไว้ ๕,๐๐๐ บาทเช่นกัน
เริ่มกลายเป็นระบบการค้าเต็มตัว ทำให้ห่างไกลจากวัตถุประสงค์ในการตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ของในหลวงรัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ กำหนดว่าเอาไว้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาสูง คราวนี้จากการเรียนในรุ่นก่อน ๆ ก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านสอนเพื่อสงเคราะห์พระเณรที่ไม่มีโอกาสเรียนทางโลก เพราะฉะนั้น..ค่าเทอมจึงต่ำมาก
มาระยะหลังนี้กฎเกณฑ์กติกาทุกอย่างกลายเป็นเตะสกัดพระเณรไม่ให้เรียน อย่างเช่นปริญญาโทต้องมีพื้นฐานคอมพิวเตอร์ ๑๗๐ คะแนน ต้องสอบ TOEFL ได้ ๓๐๐ คะแนนขึ้นไป ปริญญาเอกต้องมีพื้นฐานคอมพิวเตอร์ ๒๒๐ คะแนน ต้องสอบ TOEFL ได้ ๕๐๐ คะแนนขึ้นไป TOEFL ระดับนั้นต้องไปเรียนต่างประเทศ ไม่ใช่เรียนในบ้านเรา"
พระอาจารย์คืนของให้คนที่มารับแล้วกล่าวว่า "บางคนบอกว่าข้าวของหล่นเป็นลางร้ายอะไรหรือเปล่า ? อาตมาบอกว่าเป็นลางดี ถามว่าทำไม ? เพราะว่าหล่นแล้วยังเจอ ส่วนใหญ่ประเภทหล่นแล้วหาไม่เจอนี่ลำบากเลย"
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงงานประจำปีของวัดท่าขนุน อาตมาได้ขอให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ เอาวัคซีนกันไข้หวัดใหญ่มาฉีดให้กับพระที่นิมนต์มา บอกว่าเอามา ๑๐๐ ชุด ผู้อำนวยการร้องโอ๊ย..! ถามว่าทำไม ? "ชุดละ ๗๐๐ บาทค่ะ" "อ๋อ...นั่นเป็นปัญหาของผู้อำนวยการ อาตมามีหน้าที่ขออย่างเดียว" ท้ายสุดท่านผู้อำนวยการไม่รู้ไปหาใครมาหารสอง จ่ายคนละครึ่ง ได้ทำบุญแบบโดนบังคับ ประมาณว่าถ้าไม่ทำก็เกรงว่าต่อไปวัดท่าขนุนจะไม่ช่วยทางโรงพยาบาลอีก ก็เลยต้องกัดฟันทำ
โดยปกติแล้วถ้าเป็นวัดอื่น ก็จะขอให้ช่วยนั่นช่วยนี่ เป็นประธานทำอย่างนั้น เป็นเจ้าภาพทำอย่างนี้ วัดท่าขนุนไม่เคยขอ อยู่ ๆ ก็ขอวัคซีนกันไข้หวัดใหญ่ไปเลย คิดว่าเป็นเรื่องที่หมอพอจะสงเคราะห์ได้ แต่ปรากฏว่าสงเคราะห์ไม่ออก เพราะว่าเวลารับวัคซีนมาจากกระทรวงสาธารณสุข เขามียอดแน่นอน ฉีดให้ใครไปจะต้องมีชื่อปรากฏ ท้ายสุดหมอก็เลยต้องซื้อมาถวายเอง"
"ถามเพื่อนพระที่ฉีดยาไปว่า "ตกลงว่าวัคซีนกันไข้หวัดได้ไหม ?" ท่านบอกว่า "บางทีก็กันไม่ได้นะครับ" ทำไมต้องบางทีด้วย ? ก็คือเป็นหวัดแต่ไม่มีอาการ แต่ทำท่าจะตายเอา ท่านว่าอย่างนั้น
ท่านบอกรู้ว่าตัวเองเป็นหวัด แต่ไม่มีน้ำมูก แล้วก็ไม่ไอ แต่ตัวร้อน คอแห้ง ก็แปลว่าวัคซีนกันได้เฉพาะเชื้อบางตัว ส่วนตัวไหนกันไม่ได้ก็เป็นซะดี ๆ แต่เป็นแบบไม่ออกอาการมาก"
พระอาจารย์เล่าว่า "แม่ซื้อปลาสลิด ไลน์ไปบอกลูกว่า "ปลาสลิดอร่อย..บางบ่อ" ลูกก็ถามว่า "ไม่อร่อยทุกบ่อหรือแม่ ?" แสดงว่าไม่รู้จักของดี แม่โมโหเลยบอก "บางบ่อมีปลา บางบ่อมีตีน..!" สมัยก่อนอะไรที่ไหนเขามีชื่อเสียง ก็ปรากฏชื่อบ้านนามเมืองอยู่ ปลาสลิดอร่อยต้องบางบ่อ ปลาช่อนต้องแปดริ้ว ด้วยความที่ลูกไม่เคยได้ยิน ปลาสลิดบางบ่อรสชาติดี พอแม่บอกว่าอร่อยนะ..บางบ่อ ลูกเลยถามว่าไม่อร่อยทุกบ่อหรือ ?
"บาง" คือสถานที่ใกล้น้ำ เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมถึงเรียกว่าบาง ที่น้ำท่วมไม่ถึงเรียกว่า "ดอน" ถ้าอีสานเรียกว่า "โคก" ที่ไหนน้ำขังเรียกว่า "หนอง" เรียกว่า "บึง" พวกเราอาจจะสงสัยว่ากรุงเทพฯ มีบึงทองหลาง สมัยนี้น้ำไม่ขังเฉพาะแถวนั้นแล้ว ขังทั้งกรุงเทพฯ เลย..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งวดนี้ที่ไม่สบายเกิดจากการไปสิงคโปร์ รู้อยู่ว่าตัวเองมีโรคประจำตัวคือมาลาเรียเรื้อรัง เป็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ จนป่านนี้ก็ ๓๘ ปีเข้าไปแล้ว ปกติจะพกเบี้ยแก้ติดตัวตลอด คราวนี้ไปสิงคโปร์เทคโนโลยีเขาสุดยอดมาก กลัวว่าตอนผ่านด่านจะมีปัญหา ก็เลยปลดอาวุธ จากที่พกเบี้ยแก้ ๔ ตัวก็ไม่เหลือสักตัวเดียว
เบี้ยแก้มีอานุภาพอย่างหนึ่งคือ ข่มไข้ป่าหรือมาลาเรียได้ ไปปลดอาวุธเสียเกลี้ยง เป็นสาเหตุแรกเลยที่ทำให้ป่วย สาเหตุที่สองก็คือเป็นมาลาเรียต้องพักผ่อนให้พอ ถ้าพักไม่พอเสร็จแน่ ๆ โดยปกติก็นอนเช้า นอนกลางวัน นอนเย็น อยู่สิงคโปร์นี่เดินเช้ายันเย็น"
"สาเหตุที่สามก็คือ ปกติจะฉันน้ำร้อนเพราะว่าถ้าโดนน้ำเย็นแล้วไข้จะขึ้น ปรากฏว่าไปที่นั่นไม่ได้พกกระบอกน้ำร้อนไป ก็ฉันได้แต่น้ำไม่ร้อน ก็คือไม่เย็นแต่ก็คือน้ำเย็น ฉันไปตลอด ๓ วันแล้วจะไปเหลืออะไร ส่วนสาเหตุประการสุดท้าย ปกติถ้านอนห้องปรับอากาศ อาตมาจะตั้งอุณหภูมิไว้ที่ ๒๗-๒๘ องศาเซลเซียส แล้วก็ใส่กันหนาวตัวหนึ่งห่มผ้านอน
ไปสิงคโปร์เขาบอกว่าร้อนกว่าบ้านเราอีก ไม่ต้องเอาเสื้อกันหนาวไปหรอก อาตมาก็ไม่เอาไป ปรากฏว่าไอ้ลูกชายนอนร่วมห้อง ปกติเปิดเครื่องปรับอากาศ ๒๐ องศาเซลเซียส ก็เลยพบกันครึ่งทาง เปิดที่ ๒๔ องศาเซลเซียส อาตมาก็นอนสั่นแหง็ก ๆ ทั้งคืน สรุปว่าไข้ขึ้น มาลาเรียซ้ำ เพราะฉะนั้น..โปรดจำเอาไว้ว่า ใครเป็นมาลาเรียโปรดรักษาตัวตามแนวที่อาตมาเป็นมาแล้ว ๓๐ กว่าปี พลาดเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน ศรีสะเกษ ท่านบอกว่าถ้าอายุท่านไม่ถึง ๑๐๐ ปี ท่านจะไม่ทำวัตถุมงคลให้ใครใช้ แล้วท่านก็ทำได้จริง ๆ เสียด้วย ก็คือ ๑๐๐ ปีไปแล้วถึงได้ทำ ถ้าเป็นอาตมานี่คาดว่าอยู่ไม่ถึงแน่นอน แค่ ๖๐ ปียังทำท่าจะไปแหล่ไม่ไปแหล่
เมื่อช่วงประมาณหนึ่งเดือนผ่านมา น่าจะเป็นหลวงปู่ทวนทางภาคตะวันออก อายุ ๑๐๓ ปี เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เลยมรณภาพ หมายความว่าถ้ารถไม่ชนเอ็งอย่าหวังเลยว่าข้าจะตาย ถ้าหลวงปู่ท่านยังอยู่จะถามท่านหน่อย ว่าหลวงปู่อยู่มาจนป่านนี้ไม่เบื่อบ้างหรือ ? อะไรจะบุญดีป่านนั้น ร้อยกับสามปี ถ้ารถไม่ชนก็ไม่ตาย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ ถวายโล่เชิดชูเกียรติ พร้อมกับทองคำ ๒ บาท บอกว่าเอาไปทำอะไรก็ได้ แล้วตูจะเอาไว้ทำอะไร ? ก็ต้องเอาไปหล่อพระ จะเอาไปหมั้นสาวก็แค่ ๒ บาท สรุปว่าสร้างโรงพยาบาลบ้าง อะไรบ้างไปหลายล้าน ได้โล่มา ๑ อัน"
ถาม : เพื่อนเขาเขียนดวงลงแผ่นทอง แล้วเอาไปหล่อ เขาจะมีความเชื่อเรื่องนี้ ?
ตอบ : ก็เขียนลงบนแผ่นทองแท้ ไม่มีปัญหา...หล่อได้ แต่ถ้าเขียนลงบนแผ่นทองเหลืองมาหล่อพระทองคำ ก็คงไม่มีใครเขาทำให้หรอก
ปกติสมัยโบราณเขาเขียนแผ่นดวงแล้วบรรจุไว้ในองค์พระ ไม่ใช่เขียนแล้วหล่อเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้เขียนแล้วก็หลอมเป็นน้ำหมด แล้วจะเขียนไปทำอะไร ? หมายความว่าดวงแหลกลาญตามนั้นไปแล้วใช่ไหม ?
สมัยก่อนตามตำราพิชัยสงครามของหลวงพ่อพระมหาเถรคันฉ่อง หรือในสมณศักดิ์ของไทยคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านให้ใช้ไม้โพธิ์นิพพาน คือกิ่งโพธิ์ที่หักลงมาเอง ไปพลีเอามา แล้วมาตากแห้ง พอได้ที่ก็แกะเป็นพระพุทธรูป โดยเฉพาะเป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ซึ่งความเชื่อถือก็คือสามารถห้ามทุกข์โศกโรคภัยได้ทุกอย่าง แล้วก็เจาะฐานฝังสิ่งที่เป็นมงคล อย่างเช่นว่าพวกแผ่นเงิน แผ่นทอง
ใครมีงาช้างงอกก็ใส่ลงไปด้วย มีพระบรมสารีริกธาตุก็บรรจุลงไปด้วย โดยเฉพาะบรรจุดวงเจ้าของพระไว้ ถือว่าจะอยู่ภายใต้การปกปักรักษาด้วยบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน
พระที่แกะจากไม้โพธิ์นิพพานที่ดังที่สุดคือหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ก็ไม่ได้มีมาก แต่ว่าท่านที่ได้ไปแล้วมีความเจริญรุ่งเรืองจริง ๆ ท่านที่รอง ๆ ลงไปอย่างเช่นว่า หลวงปู่รอด วัดโคนอน หลวงพ่อโนรี วัดโพธิ์มอญ ของหลวงปู่รอดกับหลวงพ่อโนรีท่านทำเป็นพระปิดตา อีกท่านหนึ่งอยู่ในระดับอาจารย์ของหลวงปู่บุญเลย แต่ว่าหายากมาก ทำเป็นพระปิดตาเหมือนกัน คือหลวงพ่อเบี้ย วัดโคกพระเจดีย์ อาตมาเป็นลูกนครปฐมแท้ ๆ หาพระปิดตาของหลวงปู่เบี้ย วัดโคกพระเจดีย์ ทั้งชีวิตได้มาแค่ ๒ องค์
ถาม : วัดโคกพระเจดีย์อยู่แถวไหนครับ ?
ตอบ : ที่นครปฐมนั่นแหละ ใกล้ ๆ ดอนยายหอม สมัยก่อนมีโคกพระเจดีย์ มีโคกอีหอม ทีนี้พออยู่ไปอยู่มาอีหอมแก่ไปเรื่อย ๆ ก็เลยกลายเป็นยายหอม
ถาม : วัดเดียวกันหรือครับ ?
ตอบ : โคกอีหอมนั่นแหละก็คือดอนยายหอมปัจจุบันนี้ รุ่นสมัยหลวงพ่อเบี้ยนั่นก็คือหลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเงินอีกทีหนึ่ง แล้วของหลวงพ่อรุ่งนี้ต้องตะกรุดไม้ไผ่ เหนียวสะเด็ดยาด หรือพระปิดตาก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่คนนครปฐมจริง ๆ จะไม่ค่อยรู้จักกัน
ถาม : หลวงพ่อวัดดอนยายหอม ศพท่านยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ยังอยู่ แต่ไม่ได้เปิดหรอก เป็นโลงทองทึบเก็บเอาไว้ ของหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอมเขาก็เก็บ
ถาม : หลวงพ่อแช่ม รุ่นหลังหลวงพ่อเงินหรือครับ ?
ตอบ : รุ่นหลัง เป็นลูกศิษย์ ปัจจุบันก็หลวงพ่ออวยพร ลูกศิษย์หลวงพ่อแช่มอีกทีหนึ่ง ระยะหลังนี้ก็ออกพุทธาภิเษกพร้อม ๆ กันอยู่เรื่อย สงสารหลวงพ่ออวยพรเหมือนกัน ท่านมาดังตอนแก่...เหนื่อยตายชักเลย ถ้าดังตอนหนุ่ม ๆ ยังพอกรำงานไหว คิดดูแล้วกันว่าหลวงพ่ออวยพรท่านได้พระครูทีหลังอาตมา ๒ ปี อายุก็มากปานนั้นแล้ว
ถาม : วัดกลางบางแก้วอยู่ใกล้กับวัดตุ๊กตาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่...อยู่ตรงข้ามวัดตุ๊กตา แค่ถนนกั้นอยู่เส้นเดียว ถนนกว้างกว่าพรมผืนนี้หน่อยเดียวเอง อยู่คนละฝั่งถนนกัน วัดตุ๊กตานั่นวัดหลวงปู่ปาน พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่บุญ
สมัยก่อนคนจะสร้างวัดอยู่ที่ศรัทธา ไม่เหมือนสมัยนี้กำหนดไว้ว่า ต้องห่างจากวัดเดิมอย่างน้อย ๒ กิโลเมตร แถว ๆ นั้นวัดรวมกันเป็นกระจุกเยอะแยะไปหมด
หลวงพ่อเพี้ยน วัดตุ๊กตาท่านก็แวะไปที่วัดท่าขนุนบ่อย ท่านบอกว่าแวะมาก็ไม่เจอ เจอทีไรก็เจอที่วัดของท่านเองนั่นแหละ ท่านก็เลยบ่น ถ้าขึ้นสังขละบุรีท่านจะแวะวัดท่าขนุน แวะไปก็ไม่ค่อยจะเจอกันหรอก
หลวงพ่อเพี้ยนก็จะ ๙๐ ปีแล้วกระมัง ท่านจัดงานหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว อาตมาได้ยินก็ไปช่วยท่าน ปรากฏว่าไปเห็นมีญาติโยมอยู่ประมาณ ๓๐-๔๐ คน อาตมาก็ เออ...ครูบาอาจารย์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ จัดงานทีคนมา ๓๐-๔๐ คน ถ้าเป็นวัดท่าขนุนก็ประมาณว่ามีพระมากกว่าโยมอะไรประมาณนั้น
มีโยมเอาพระมาถวาย "สร้างพระถ้าทำไม่ถูกวิธีโบราณก็มีโทษมากกว่าประโยชน์ ส่วนใหญ่แล้วเราก็มักจะประเภท “เฮี้ยน” อยากทำ รูปในหลวงยังต้องขอพระบรมราชานุญาตแทบเป็นแทบตาย แล้วพระพุทธเจ้านี่ในหลวงต้องกราบนะ อยากจะสร้างก็สร้าง เป็นอะไรที่น่าเป็นห่วงมากเลย เอาศรัทธาเป็นที่ตั้งอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอื่นเลย ก็แปลว่ามีศรัทธาแต่ขาดปัญญา
โบราณของเราละเอียดอ่อน ทำอะไรทุกขั้นตอน มีพลี มีบวงสรวง มีบอกกล่าว สมัยนี้ของเราประเภททำไปเรื่อยเปื่อย โบราณเขาถึงได้บอกว่า ทำอะไรของเขาต้อง “ดีนอก ดีใน” ก็คือครบถ้วนทุกอย่าง ทั้งพิธีกรรม ทั้งพิธีการ ทั้งกำลังใจ สมัยนี้ประเภทนอกก็ไม่ดี ภายในก็ไม่ได้ พากันบรรลัยหมด
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน ท่านจะสร้างพระต่อเมื่อพระท่านสั่งเท่านั้น หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน สร้างพระนี่ ท่านเสกไม่เหมือนใคร พิมพ์พระเสร็จเอาเข้าเตาเผา แล้วเดินจงกรมภาวนารอบเตาเผานั่นแหละ จนกว่าจะเผาเสร็จ เผากันข้ามวันข้ามคืน เป็นพวกเราเดิน ๓ ชั่วโมงก็ลิ้นห้อยแล้ว"
ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ยาก เหตุที่ยากมี ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือญาติโยมเป็นผู้ขาดศรัทธาในพระศาสนาเอง เพราะว่าเขาไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นประโยชน์ว่าศาสนามีไปเพื่ออะไร ขนาดนั้นเลย สมัยก่อนเราบังคับเลย ลูกผู้ชายอย่างน้อยต้องบวชอย่างน้อย ๑ พรรษา สมัยนี้ยอมบวช ๗ วันก็ดีตายชักแล้ว
สมัยก่อนเรียกว่าบวชเรียน บวชเข้าไปแล้วต้องศึกษาเล่าเรียนจริง ๆ อย่างน้อยต้องมีวิชาอะไรสักอย่างหนึ่งติดตัวไว้ เพื่อรักษาตัวเอง เพื่อรักษาครอบครัว รักษาลูกเมีย ทำอะไรไม่เป็นอย่างน้อยก็ต้องทำน้ำมนต์สะเดาะให้ลูกคลอดง่าย จะต้องประเภทเสกกล้วย เสกดอกบัวให้เมียกินแล้วคลอดง่ายได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้แต่งหรอก สมัยนี้มีไหมเล่า ? ให้หมอผ่าอย่างเดียว..!
ถ้าสมัยอยุธยายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ใครไม่บวชไม่ให้รับราชการ ในเมื่อเขาเห็นประโยชน์เขาถึงได้บวช แต่สมัยนี้ไม่ได้บังคับอะไรนี่ ถ้าหากว่าบริษัทใหญ่ ๆ อย่างซีพีหรือไม่ก็เบียร์สิงห์ประกาศดูสิ ถ้าไม่บวชมาก่อนนี่จะไม่รับเข้าทำงาน ดูจะวิ่งตีนพลิกเพื่อบวชกันไหม ? ก็เพราะว่าไม่มีกฎเกณฑ์กติกาเหมือนก่อนนี้ ลองประกาศว่าผู้หญิงไม่ผ่านการปฏิบัติธรรม ๓ เดือนที่มีวุฒิบัตรรับรอง ผู้ชายไม่ผ่านการบวช ๑ พรรษาไม่รับเข้าทำงาน รับรองว่าบวชกันวัดแตกเลย
ประการที่สองก็คือกระแสสังคมดึงคนไกลวัด แม้กระทั่งโครงการยกวัดมาไว้ที่เซเว่น ขนาดวัดยังไม่ค่อยจะเข้ากัน ยังยกไปไว้เซเว่นอีก แล้วจะเหลืออะไร ? คนไปเซเว่นเป็นปกติ แล้วยกวัดไปไว้เซเว่น เออดี...กูจะได้ไม่ต้องไปวัดเลย..!
ถาม : เขาเอาวัดไปเซเว่น เริ่มเมื่อไรครับ ?
ตอบ : เริ่มมาหลายปีแล้ว แล้วไม่ต้องมานิมนต์พระอาจารย์เล็กนะ ไม่ไปหรอก
ถาม : เขาทำพิธีกรรมอย่างไรครับ ?
ตอบ : นิมนต์พระไปเทศน์ที่เซเว่น ก็คือแทนที่จะช่วยกันดึงคนเข้าวัด ดันกลายเป็นช่วยกันดึงคนออกจากวัด จนกระทั่งทุกวันนี้แต่ละวัดจะต้องมีกลยุทธ์อะไรที่ดึงคนเข้าวัด ซึ่งส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือวัตถุมงคล อย่างที่สองคือหวย แต่ละวัดก็ต้องไปหาเรือเก่า ๆ หาตอตะเคียนเก่า ๆ มา เพื่อให้โยมเข้าวัดไปขูดหวยกัน แทบจะไม่เหลือบุคคลที่เข้าวัดด้วยศรัทธากันแล้ว ไปก็มีวัตถุประสงค์กันทั้งนั้น เพียงแต่วัตถุประสงค์ไกลวัด ใกล้วัดเท่าไร ?
พระครูปฐมสาธุวัฒน์ (อาจารย์เทพ) วัดสี่แยกเจริญพร ปีใหม่นี้ญาติโยมไปถ่ายรูปกับทุ่งทานตะวันของท่าน ท่านก็มีรถการ์ตูนบ้าง รูปตัวการ์ตูนบ้าง ฯลฯ ไปให้เด็กเซลฟี่กัน ท่านบอกว่า “คนเข้าวัดดีมากเลยครับอาจารย์ วัน ๆ หนึ่ง ๗๐๐-๘๐๐ คน แต่ไม่มีใครทำบุญเลย มัวแต่เซลฟี่กันอยู่..!”
ถาม : ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าศาสนาจะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ตอบ : ขึ้นในช่วงของท่านนั่นแหละ นี่ก็เลยช่วงของท่านมาแล้ว
ถาม : ก็ไม่ต่อเนื่องถึง ๕,๐๐๐ ปีสิครับ ?
ตอบ : เราลองนึกถึงว่าพอถึงยอดเขาแล้วมีแต่ลงนะ ลงถึง ๕,๐๐๐ ปีไม่กลิ้งหลุดไปเสียก่อนก็นับว่าบุญแล้ว โดยเฉพาะปัจจุบันนี้แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าของเราก็ไหลตามกระแสโลกไปมาก อย่างของอาจารย์เทพ วัดสี่แยกเจริญพร ท่านก็ทำตามกระแส ก็คือคนชอบอย่างนั้น มีมาให้ถ่ายรูปอะไร แล้วท่านก็ต้องไปปลูกทานตะวันทีหนึ่งเป็นสิบ ๆ ไร่ เสร็จแล้วก็หาไอ้นั่นมาตั้ง หาไอ้นี่มาตั้งให้เขาไปถ่ายรูปกัน
จะว่าไปแล้วก็คือเป็นการดึงคนเข้าวัดอย่างหนึ่ง แต่เป็นงานที่ทำแล้วเหนื่อย ผลตอบแทนน้อย เพราะว่าคนที่มาเขาไม่ได้หวังศีลหวังธรรมอะไร เขาหวังแค่ได้รูปถ่าย ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้เราต้องยอมรับว่าศาสนาของเราอยู่ในขาลง
อีกประการหนึ่ง ปัจจุบันราชการก็ยื่นมือเข้ามามีบทบาทไปเสียทุกส่วน พอถึงเวลาก็ชี้นิ้วสั่งพระ กระดาษใบหนึ่งสั่งพระต้องทำอย่างนั้น พระต้องทำอย่างนี้ พอถึงเวลาต้องรายงานปีละกี่ครั้ง วันก่อนเพิ่งจะด่ากระจายไป "ถ้ายุ่งยากมากนักก็ไม่ต้องมายุ่งกับทางวัด เอาเงินมาถวายพระ ๕,๐๐๐ บาท แล้วต้องส่งรายงานปีละ ๔ เล่ม ค่าพิมพ์รายงานกูยังไม่พอเลย...!"
พูดถึงมีดหมอหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว "เนื้อเหล็กใบมีดเป็นเอกลักษณ์หลวงปู่ยิ้มเลย ไม่รู้ว่าท่านผสมโลหะอย่างไร ตำราไหนก็ไม่เหมือน ของหลวงปู่บุญก็ไม่เหมือน เหมือนกับว่าอย่างไรสนิมก็กินไม่ได้ เป็นอะไรที่แปลกมาก มีดหมอของหลวงปู่บุญจะเป็นสนิมขุมหมดเลย แต่ของหลวงปู่ยิ้ม เนื้อจะออกเป็นสีเหมือนปีกแมงภู่ คือ สีเหลือบน้ำเงิน"
"วิธีผสมโลหะแบบหลวงปู่ยิ้ม น่าจะหมดไปตั้งแต่สมัยหลวงปู่เหรียญ เจ้าอาวาสรูปต่อมาก็ไม่ได้เรียนไว้ สงสัยอยู่อย่างเดียวว่าสารพัดโลหะที่เก็บมาก็เหมือน ๆ กัน แล้วทำไมท่านหลอมเนื้อนี้ได้ คนอื่นหลอมไม่ได้ ?
เขาบอกว่าหลวงปู่ยิ้มท่านทำได้ทีละไม่กี่เล่ม ท่านคงต้องใช้เวลาเยอะในการหลอมแล้วหลอมอีก แต่ของท่านอื่นไม่ได้หลอมหลายรอบขนาดนั้น ขี้โลหะออกไม่หมด สนิมก็เลยยังกินได้อยู่
เคยไปอ่านตำราของจีน เขาบอกว่า โลหะ ๓๐๐ ชั่ง หลอมเหลือ ๓๐ ตำลึง หลอมเป็นปี ๆ เหลือไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ เหลือแต่แก่นจริง ๆ ประเภทหลอมกันทีหนึ่งก็ไม้หมดเป็นป่าเลย"
พูดถึงงาช้าง "นี่คืองาเป็น ได้มาขณะที่เจ้าของงายังไม่ตาย งาเป็นจะมีพลังชีวิต ของอย่างนี้พอดูไปนาน ๆ แล้วจะชำนาญ มองดูจะรู้เลยว่าใช่หรือไม่ใช่"
พระอาจารย์กล่าวถึงแก้วน้ำค้าง "สมัยที่อยู่ชายแดน มีฐานที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขึ้นไปแจกธงมหาพิชัยสงคราม ชื่อฐานเพชรน้ำค้าง ที่บริเวณฐานบนเนินเขาจะมีหินงอก เป็นลักษณะใส ๆ แต่งอกเติมขึ้นมาได้เรื่อย ๆ เหมือนดอกกะหล่ำ ซ้อนขึ้นมา ๆ เขาเรียกว่า เพชรน้ำค้าง น่าจะเป็นแก้วน้ำค้างที่ว่านี่แหละ เพราะว่าดูจากลักษณะแล้วเขาโตได้เรื่อย ๆ ส่วนแก้วน้ำหายคือจุยเจียของจีน
แก้วน้ำค้างน่าจะเป็นเพชรน้ำค้างที่อาตมาเคยเจอมา แต่ตอนนั้นที่ใหญ่ที่สุดก็เล็กกว่ากำปั้นหน่อย ยังโตไม่ได้ที่ แต่โตได้เรื่อย ๆ โตขึ้นมาเรื่อย มีเล็ก ๆ มีปานกลาง มีใหญ่หน่อย ทั้งเนินเขาลูกนั้น เป็นหมดทั้งเนินเลย น่าเสียดายว่าสมัยนี้น่าจะโดนรื้อทิ้งไปแล้ว"
ถาม : อยู่ที่จังหวัดอะไรครับ ?
ตอบ : สระแก้ว ก่อนหน้านี้คือปราจีนบุรี ขนาด ๑๓ เซนติเมตร ข้อมูลเขาบอกว่า พระพุทธรูปแกะจากแก้วน้ำค้าง ๔ องค์ เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้านครน่านทูลเกล้าฯ ถวาย คุณสมบัตินำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้
ถาม : แก้วเขียวในวิหารถ้ำอาศรมมรกต เป็นหยกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าดูจากสีน่าจะเป็นหยก แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นมรกต ครั้งแรกในชีวิตที่โดนก็คือ ถ่ายรูปแล้วได้แต่เครื่องทรง ความรั้นของอาตมาว่าใครห้ามที่ไหน กูถ่ายที่นั่น อยากถ่ายใช่ไหม ? ถ่ายไปเลย ได้มาทุกอย่างยกเว้นองค์พระ เป็นอะไรที่ตลกมากแต่ขำไม่ออก..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ของบางอย่างตอนได้มาแรก ๆ ก็ตื่นเต้น พอนาน ๆ ไป ก็ชักจะเฉย ๆ ชินชา สามารถให้เขาต่อได้ ตั้งแต่สมัยฆราวาสแล้ว สันดานนี้แก้ไม่หาย ก็คือจะอยากได้ แล้วก็ต้องเอาให้ได้ พอได้มาก็เลิกตื่นเต้น ให้เขาต่อได้
เป็นคนที่ออกข้างนอกแล้วพกเงินไปเท่าไรก็หมด ท้ายสุดต้องดัดสันดานตัวเอง ใช้วิธีเอาไปแค่นี้ หมดแค่นี้ก็จบ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สัญชาตญาณผึ้งหรือต่อแตน ถึงเวลาก็จดจำทิศเดิม ถ้าย้ายรังของเขาไปแค่ ๒ เมตร เขาก็หาไม่เจอแล้ว
ครั้งนั้นอาตมาโดนต่อต่อยไป ๑๓ ที มืออ้วนเบ้อเริ่มเลย เป็นต่อฝักบัว ไปทำรังอยู่ตรงหน้าต่างที่เกาะพระฤๅษี ก็กลัวว่าโยมที่ไม่รู้เปิดหน้าต่างออกไปจะซวย อาตมาก็เลยจะไปเด็ดรังออก เอาบันไดพาดขึ้นไป แล้วก็เด็ดรัง ต่อก็บินหึ่งมาล้อมอยู่นั่น
คราวนี้ขั้วรังเหนียวเป็นบ้าเลย ตอนที่เด็ดอยู่เขาก็ไม่ทำอะไรนะ แต่ตอนที่ดึงแล้วขาดปึ้ง...! ต่อทั้งฝูงพุ่งใส่พร้อมกันเลย มือข้างเดียวโดนไป ๑๓ ที เอารังนั้นไปผูกไว้กับต้นไม้ เสร็จแล้วก็มาดูมือตัวเอง แหม...ค่อย ๆ อ้วนขึ้น ๆ จนกระทั่งกางอยู่อย่างนี้..กำไม่ได้
ต้องบอกว่าอาตมามีความอดทนต่อความเจ็บปวดมากหน่อย ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับใครเขา มีไอ้บ้าที่ไหน อยู่ ๆ ก็เดินเข้าไปเด็ดรังต่อหน้าตาเฉย
ที่อนาถที่สุดก็คือเรื่องของยันต์เกราะเพชร โดนตรงไหนจะไปไม่เกินข้อนั้น คราวนี้โดนทั้งมือก็อยู่ที่ข้อมือแค่นี้ ก็อ้วนปี๋ น่าจะเป็นส่วนของยันต์เกราะเพชรด้วยที่ช่วยให้ไม่ปวดมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอไม่สบายก็ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนที่พระท่านสั่งทำเหรียญทำน้ำมนต์เพื่อรักษาโรคให้ญาติโยม หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ตัวผมก็ป่วยแหง็ก ๆ อยู่เองแบบนี้ ทำไปแล้วใครจะเชื่อ
ไม่นึกว่าอาตมาเองก็ศึกษาวิธีทำเหรียญทำน้ำมนต์มาแล้ว จากบัดนั้นจนบัดนี้ก็ยังไม่เคยทิ้ง ก็คือยังมีการภาวนาอยู่ทุกวัน แต่ก็ยังป่วยอยู่ดี แสดงว่าเรื่องวาระกรรมที่เข้ามา ของดีขนาดไหนก็แก้ไม่ได้ กันไม่ได้ ท่านถึงบอกได้ว่า อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบาก ถึงเวลาวิบากกรรมเข้ามาก็ต้องทนรับไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเรานี่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาก โทรศัพท์มือถือออกใหม่ปุ๊บจะต้องมีคนซื้อ อาตมาไปยุโรป เจอพวกวัยรุ่นใช้แต่ละเครื่องหน้าจอลายพร้อยเลย ทางด้านโน้นถ้าอยากได้ คุณต้องหาเงินซื้อเอง ทางด้านเราถ้าอยากได้ ขอพ่อแม่ซื้อให้ เด็กไทยจึงไม่รู้จักคำว่าลำบากเป็นอย่างไร ส่วนของเขาเด็กมีความรับผิดชอบ ถึงเวลาก็ซื้อเฉพาะที่ตัวเองหาเงินไหว
เขามาขอเซลฟี่อาตมา ดูหน้าจอแล้ว หือม์...มองแทบจะไม่เห็นแล้วก็ยังใช้อยู่ เป็นพระเดินไปตามถนน ไม่เกิน ๓ ก้าวจะต้องมีคนขอเซลฟี่ด้วย คิดดูว่ากว่าจะเดินสุดถนน โดนไปกี่รูป ? บางรายก็กลัวว่าถ่ายรูปแล้วจะเสียเงิน ก็แอบถ่ายไกล ๆ"
"เวลาไปตามแหล่งเที่ยวอย่างโคลอสเซียม จะมีพวกแต่งตัวเป็นนักรบแกลดิเอเตอร์โบราณของโรมัน มาให้คนถ่ายรูปด้วย ยังบอกกับเพื่อน ๆ ว่า ถ้าเราไปยืนสักพักเดียว ได้ค่าเครื่องบินกลับเมืองไทยเลย เขาถ่ายทีได้ ๑๐ ยูโร ๑๐ ยูโรก็ตั้ง ๔๐๐ บาท ส่วนพวกเรานี่ไปทางด้านไหนประเภทกล้องหันตามเป็นร้อย เดินไปมุมไหนพวกนักท่องเที่ยวจะต้องหันกล้องมา
ตอนแรก ๆ ก็ไม่เข้าใจ เขาถามว่ามาจากอังกฤษหรือ ? หน้าตาตูเหมือนฝรั่งตรงไหนวะ ? ไปเข้าใจทีหลังว่าพระภิกษุเถรวาทที่แต่งตัวแบบพวกเราเริ่มต้นที่อังกฤษ ก็คือวัดจิตตวิเวกของหลวงพ่อสุเมโธ เมื่อเขาเห็นหน้าตาแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ ก็ถามว่ามาจากอังกฤษหรือ ? ถามอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่ถามว่ามาจากอังกฤษ ก็ถามว่ามาจากเส้าหลินหรือเปล่า ? เป็นกังฟูไหม ?"
"อยู่ฝรั่งเศส ไปห้องอาหาร ปรากฏว่าผิดเวลา เขานัดพวกเรา ๗ โมงครึ่ง อาตมาไปถึง ๗ โมง เห็นเขากำลังเดินเข้าห้องอาหารก็ตามเขาไปด้วย ไปถึงก็ตักอาหารเรียบร้อย บริกรเขามาขอดูบัตรห้องหน่อย ก็หยิบให้ดู เขาบอกของอาตมาต้องอีกรอบหนึ่ง ก็เลยยกอาหารให้เขาดูทั้งจานว่า ตักแล้วจะให้ทำอย่างไร ? ท้ายสุดเขาก็เลยเกาหัว พาเดินไปมุมข้างหลัง ไปนั่งกินตรงนี้ก็แล้วกัน
ไปผิดเวลาครึ่งชั่วโมง ไปเร็วกว่า ปรากฏว่าเป็นเวลาของทัวร์คณะอื่น ก็ไปนั่งกับบรรดาป้า ๆ ฝรั่ง ๓ - ๔ คน เขาก็ถามกันใหญ่ มาจากไหน ? ประเทศอะไร ? เป็นกังฟูหรือเปล่า ? อาตมาบอกว่าไม่เป็น เป็นแต่มวยไทย ปรากฏว่าคุณป้าเขาทำท่าสยดสยองบอก You are very terrible! เขาบอกว่าโหดร้ายมาก
ถามว่าป้าเคยดูมวยไทยหรือ ? เขาบอกว่าเคยบินไปดูที่ฝรั่งเศส ต่อยกันเลือดท่วมเลย น่ากลัวมาก อาตมาก็ไม่รู้ว่ามวยไทยจะแพร่หลายขนาดนั้น พอดีช่วงนั้นพี่บัวขาวกำลังดัง พอบอกว่าเป็นมวยไทย คุณป้าเลิกคุยด้วยเลย ก้มหน้าก้มตากิน กลัวโดนอาตมาเตะหรืออย่างไรไม่รู้..?!"
"ที่มีปัญหาที่สุดมักจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน ตอนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ถึงเวลาก็เข้าห้องอาหารตามเวลา นักท่องเที่ยวจีนก็แย่งกันตัก อีโล้งโช้งเช้งไปหมด มีอยู่รายหนึ่ง ตักออมเล็ตคนเดียว ๓ ทัพพี ออมเล็ตที่คนไทยเรียกว่าไข่คน อาตมาอยากจะเรียกว่าไข่ม้วนมากกว่า ออมเล็ตแบบไข่ม้วนยังดี ม้วนเป็นแผ่นมา แต่นี่เป็นไข่คนประเภทเป็นก้อนเล็ก ๆ ตักซะท่วมเลย ถือแล้วหกอีกต่างหาก เจ้าหน้าที่ห้องอาหารด่าซะไม่มีละ..!
สำหรับบ้านเขา ข้าวปลาอาหารทุกอย่างหายาก เขาก็ให้คุณค่ามาก คือตักเท่าไรต้องกินจนหมด แล้วนักท่องเที่ยวจีนกินเหลือเละเทะไปหมด แบบเดียวกับที่มาบ้านเราแล้วแย่งกันตักกุ้งเผา จะตีกันตาย ถ้าหากว่าให้เขากินเองจะแพง ทีนี้พอเป็นบุฟเฟ่ต์ก็แย่งกันตักกุ้งเผา แล้วคนจีนไปไหนก็ติดนิสัย คือเสียงดังแล้วไม่เกรงใจใคร
พวกเราถ่ายรูปอยู่ ถ้าเขาเห็นมุมสวย เขาจะพรวดเข้าไปยืนมุมนั้นเลย ไม่สนใจว่าเราถ่ายหรือยัง ก็กูจะถ่าย..ประมาณนี้ อยู่บ้านเขาแท้ ๆ ถึงเวลาไปดูสถานที่ท่องเที่ยว ก็เบียดกัน ถองกัน กระแทกกัน ด่ากัน ไปประเทศจีนนี่ต้องดูตารางให้ดี ๆ อย่าไปตรงกับวันชาติเป็นอันขาดนะ วันชาติจีนนี่เขาหยุดกันที ๘ วัน ๑๐ วัน ถ้าอยากจะดูคนจีนนี่ไปวันชาติ พูดง่าย ๆ ว่าลงทะเลไปนี่ไม่เห็นน้ำเลย เห็นแต่หัวคนจีน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกัน"
"ประชากรเขามาก ในเมื่อคนเป็นพัน ๆ ล้านอัดอยู่ด้วยกัน ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ ในเมื่อต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ บางอย่างก็น่าเกลียดในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะมารยาทในสังคมไม่ค่อยจะมี แย่งกันแหลกเลย"
นายกระรอก
15-01-2019, 19:45
พระอาจารย์กล่าวว่า “โรคภัยไข้เจ็บถามหาแต่ละที คนจีนเขาบอกว่า “โรคมาเหมือนฟ้าถล่ม โรคไปเหมือนสาวเส้นไหม” คือมาทีก็ตูม..! แล้วตอนไปนี่ไปยากเหลือเกิน”
นายกระรอก
15-01-2019, 19:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “หนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เป็นฉบับที่ ๑๗๙ เดือนหน้าจะเป็น ๑๘๐ ครบรอบกี่ปี ? ครบ ๑๕ ปี มีใครสังเกตบ้างว่าเปลี่ยนจากเก็บตกบ้านอนุสาวรีย์มาเป็นเก็บตกบ้านวิริยบารมีมา ๒ เดือนแล้ว ไม่ก็อ่านไปเรื่อยเปื่อยเลย รู้อยู่อย่างเดียวว่ายังมีเก็บตกอยู่..ใช่ไหม ?”
นายกระรอก
15-01-2019, 19:50
ถาม : เก็บโควตาไว้ลาต้นเดือนเจ้าค่ะ ?
ตอบ : คนอื่นเขาไม่สงสัยหรือ ? ต้องเริ่มมีคนสงสัยแล้วแหละ
ถาม : เพื่อนเขาบอกว่าบินเป็นอาชีพเสริม ทำงานเป็นอาชีพหลัก
ตอบ : ใกล้เคียงแล้ว ใกล้จะได้โกนหัวแล้ว ..(หัวเราะ)..
สมัยก่อนหลวงพ่อก็ไปวัดเป็นอาชีพหลัก ทำงานเป็นอาชีพเสริม เถ้าแก่หัวฟัดหัวเหวี่ยงทุกครั้ง ก็บอกว่า ไม่พอใจก็ไล่ผมออกไปเลยสิ..เขาไม่กล้าไล่
ตอนช่วงนั้นก็กลายเป็นว่า เถ้าแก่จะรู้กำหนดการวัดท่าซุงดีกว่า เพราะว่าเขาต้องจ่ายงานให้ทำคุ้มกับตอนที่ไม่อยู่ ไป ๆ มา ๆ เขาจะเข้าถึงธรรมก่อนหลวงพ่อเสียอีก
นายกระรอก
15-01-2019, 19:52
โยมถวายยา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “โบราณเขารู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าแต่ละชาติแต่ละภาษาจะมียามหัศจรรย์ของตัวเองอยู่ ตำราเวชศาสตร์อินเดียกับของไทยก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าตอนหลังไทยคบกับจีนมาก ก็มีตำราแพทย์แผนจีนเพิ่มเติมเข้ามาอีก”
นายกระรอก
15-01-2019, 19:55
พระอาจารย์กล่าวว่า “สุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล เกิดในปัจจุบันนี้เยอะมากเลยนะ อย่างที่ ๑ เขาบอกว่า เห็นโค ๔ ตัว วิ่งมาทางทิศทั้งสี่ ทำท่าเหมือนจะชนกัน แล้ววิ่งแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ทำอะไร ท่านบอกว่า กาลต่อไปข้างหน้า พระราชาทั้งหลายจะไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล มหาเมฆตั้งขึ้นมาแล้วก็หายไปโดยไม่มีฝน
ข้อที่ ๒ ฝันว่า เห็นต้นไม้กองไม้สูงเพียงคืบเพียงศอกก็ออกดอกออกผล พระพุทธเจ้าทำนายว่า ภายหน้ากุมารีทั้งหลายจะมีสามีและบุตรธิดาตั้งแต่ยังเด็ก เดี๋ยวนี้น่าภูมิใจมาก ประเทศไทยเรามีคุณแม่วัยใส ท้องในวัยเรียนมากเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย และเป็นอันดับสองของโลก..!”
นายกระรอก
15-01-2019, 19:59
"คือบ้านเราไปเลือกค่านิยมของฝรั่งมา แต่ว่าเอามาไม่หมด ค่านิยมของฝรั่งบางทีเราว่าเขาฟรีเซ็กซ์ ก็คือมีเพศสัมพันธ์กันอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องดูตาม้าตาเรือกันแล้ว หารู้ไม่ว่าเขามีหลักการ อย่างพ่อแม่นี่พอลูกสาวเริ่มมีรอบเดือนก็สั่งเลย จำไว้ No condom, no sex พูดง่าย ๆ คือ ถ้าผู้ชายไม่ใช้ถุงยาง ไม่มีเครื่องป้องกัน ห้ามมีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด เพราะว่าเราจะลำบากเอง แล้วเด็กฝรั่งพอวัยทีนก็คือตั้งแต่อายุ ๑๓ ขึ้นไป พ่อแม่จะให้ทำงานเองแล้ว เริ่มไล่ลูกไปหางานทำแล้ว เป็นพี่เลี้ยงเด็กบ้าง ทำคุกกี้ขายบ้าง ส่งหนังสือพิมพ์บ้าง ส่งนมบ้าง ให้เด็กหาเงินใช้ตั้งแต่เล็ก
คราวนี้ของเขาเองรู้ว่าเงินหายาก ถ้าหากว่ามีครอบครัว พ่อแม่ก็ไม่ช่วยเลี้ยง ถ้าคุณอยากลำบากก็ท้องสิ เด็กเขาก็ต้องหาทางป้องกันของเขาเอง แล้วชีวิตของเด็กฝรั่งเขา ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราว่าเขาฟรีเซ็กซ์ ส่วนใหญ่จะอยู่แค่ช่วงมัธยม พอมหาวิทยาลัยแล้ว ทุกคนทุ่มเทชีวิตกับการเรียน เพราะว่าพ่อแม่ส่งเต็มที่แค่มัธยม ที่เหลืออยากเรียนต้องไปหาเรียนเอง กู้เงินเรียนเอง ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียน ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อใช้หนี้ ตรงนี้เราไม่ดูกัน บ้านเรานี่จบปริญญาตรียังแบมือขอเงินแม่ใช้เลย แล้วดันไปเลียนแบบฟรีเซ็กซ์ของเขามา"
นายกระรอก
15-01-2019, 20:01
"โดยเฉพาะว่าของฝรั่งเขา ถ้าแต่งงานกันไปเมื่อไร นอกใจกันเมื่อไร โดนเรียกร้องค่าเสียหายหูตูบ ชนิดที่หมดเนื้อหมดตัวกันไปข้างหนึ่งเลย ดูตัวอย่างไทเกอร์ วูดส์ โดนไปเป็นพันล้าน คือของฝรั่งคุณว่าเขาฟรีเซ็กส์ก็ใช่ แต่ถ้าหากว่านิ้วนางสวมแหวนเมื่อไรนี่หมดสิทธิ์เลยนะ ถ้ายังไปทำตัวให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้นี่ ฟ้องเมื่อไรก็แพ้เมื่อนั้น แปลว่าห้ามนอกใจกันอย่างเด็ดขาด สังคมเขาบังคับเลย
ส่วนบ้านเรานี่เอามาแค่ฟรีเซ็กส์ สนุก แล้วก็ทุกข์ถนัด กลายเป็นคุณแม่วัยใสกันมากมาย จะโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ผู้ชายเองก็ไม่รู้จักป้องกันด้วย เอาแต่สนุกอย่างเดียว โดยที่ลืมไปว่าโรคเอดส์ยังอาละวาดอยู่ แต่ละชั่วโมงทั่วโลกตายด้วยโรคเอดส์เป็นสิบ ๆ เพียงแต่ว่าสถิติไม่ปรากฏชัดเจน แล้วบ้านเราก็ไม่ได้ตีข่าวให้คนตระหนักและสำนึก แล้วก็ยังตายด้วยเอดส์กัน ถ้าอยากรู้ว่าหนักแค่ไหนก็ไปดูวัดพระบาทน้ำพุ ประเภทเอาไปโยนทิ้งไว้ข้างกำแพง ปล่อยให้พระอุ้มเข้าวัดไปรักษาเอง"
นายกระรอก
15-01-2019, 20:03
"เพราะฉะนั้น..บ้านเรามักจะเสพรับวัฒนธรรมต่างชาติโดยปราศจากการใช้สติปัญญายั้งคิดและไตร่ตรอง ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ โอกาสพลาดก็มีสูงมาก สถิติปัจจุบันนี้ อุบัติเหตุทางรถยนต์ตายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ปีที่แล้ว ๑๓,๙๘๓ ศพ เขาบอกว่าซีเรียถล่มขีปนาวุธใส่กันทั้งปียังตายไม่ถึงร้อยเลย บ้านเราเฉพาะเมาแล้วขับ อุบัติเหตุทางรถยนต์ตายปีหนึ่งเป็นหมื่น ถามว่าเอามาจากไหน ? เพิ่งจะดูสถิติเขามา เขาบอกว่าเทียบย้อนหลังไป ๕ ปีก่อนเพิ่งจะอยู่ที่ระดับ ๙,๐๐๐ กว่า ปีที่ผ่านมา ๑๓,๐๐๐ กว่า เกือบ ๑๔,๐๐๐ น่าปลื้มใจ
สถิติความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยมากที่สุดในโลก แซงอินเดียที่ผูกขาดตลอดปีตลอดชาติไปแล้ว รัฐบาล คสช. ต้องรู้สึกภูมิใจแน่ ๆ เลย อยู่แค่ ๕ ปีเท่านั้น สามารถทำสถิตินี้ขึ้นมาได้..!"
นายกระรอก
16-01-2019, 19:39
พระอาจารย์กล่าวว่า “จะเลื่อนเลือกตั้งไหม ? เขาตั้งธงไว้แล้ว..ใช่ไหม ? ไปดูแฮชแท็ก “เลื่อนหาแม่มึงเหรอ” คนไปช่วยกันกดไลค์ไปเกือบล้านแล้ว เดี๋ยวนี้อะไรก็ดี ติดแฮชแท็กกันเข้าไป ทั่วโลกถึงเวลาค้นเจอหมด กลายเป็นแฮชแท็กยอดฮิตอันดับ ๑๒ ของโลกไปเลย แค่ไม่กี่วันกดไปเกือบหกแสนไลค์..!”
นายกระรอก
16-01-2019, 19:41
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคล “ถ้าหากว่าสงสัยรับประกันว่าไม่ขลัง ต้องเชื่ออย่างเดียว จำเอาไว้ให้แม่น ๆ”
นายกระรอก
16-01-2019, 19:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของพระเกจิอาจารย์ ท่านเหมือนกับสร้างบุญร่วมกันมา พอมีชื่อเสียงก็มีชื่อเสียงเป็นรุ่น ๆ ไป ไล่ ๆ กันไปเลย ถึงได้บอกว่าช่วงอาตมาเด็ก ๆ นี่ มีแต่ชื่อเสียงของหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่าน กรอกหูซ้ายหูขวาเต็มไปหมด ที่ใกล้บ้านที่สุดเลยก็คือหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ท่านมีฉายา "แดงไม้ใหญ่" ถามว่าทำไมต้อง "แดงไม้ใหญ่" ? อย่างหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ไปหาไม้พร้อมกับท่านแล้วได้มาแต่ต้นเล็ก หลวงพ่อแดงท่านได้มาต้นใหญ่เป็นโอบ ถามว่าทำไม ? เกวียนหลวงพ่อแดงที่ไปขนไม้เทียมควาย ควายอึดกว่าวัว ลากน้ำหนักได้เยอะกว่า แต่ของคนอื่นนั้นเกวียนเทียมวัว แล้วทำไมไม่เอาควายไปเทียมบ้าง ? ลองไปฝึกควายเทียมเกวียนดูสิว่ายากแค่ไหน ..(หัวเราะ)..
ควายเป็นอะไรที่ปฏิเสธเกวียนที่สุดแล้ว แต่ว่าหลวงพ่อแดงท่านทำได้ โดยเฉพาะท่านไปหาไม้ สมัยก่อนก็มักจะโดนเจ้าที่เล่นงานเอา ลูกศิษย์โดนก็หกล้มหกลุก หัวทิ่มหัวตำมา หลวงพ่อแดงบอก “มา..ไปกับข้า” ไปก็ไม่ได้ไปทำอะไรหรอก ไปนั่งกรรมฐาน แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้ รุ่งขึ้นต้นไม้ล้มเองเสียอย่างนั้น แสดงว่าเขาเต็มใจยกบ้านให้..!
ถามว่าทำไมหลวงพ่อแดงเก่งขนาดนั้น ? อ๋อ..ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ..(หัวเราะ)..”
นายกระรอก
16-01-2019, 19:51
ถาม : ที่เขาบอกว่าควายใช้ในที่แจ้ง วัวใช้ในที่ร่ม ?
ตอบ : วัวทนร้อนมากกว่า ควายชอบเย็น คราวนี้งานอะไรที่ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยนี่ ควายไม่ค่อยอยากทำหรอก แล้วเวลาควายดื้อขึ้นมานี่เอาอยู่ยาก เพราะว่าควายแข็งแรงมาก
สมัยอาตมาอายุสัก ๑๕-๑๖ ปี ทางบ้านเริ่มทำไร่อ้อย เอาควายมาไถกลบร่องอ้อย โอ้โฮ..ควายคู่นั้นน่ารักสุด ๆ สั่งอะไรได้อย่างนั้นเลย โดยเฉพาะว่าไม่กินใบอ้อย ปกติควายเข้าดงอ้อยก็กินยอดด้วนหมด พอถึงเวลาเริ่มสักสิบโมงครึ่ง สิบเอ็ดโมง เจ้าของต้องปลดจากไถให้ไปพักแล้ว ควายร้อนจนน้ำลายฟูมปากเลย..สงสารควาย พอบ่ายสองบ่ายสามแดดร้อนน้อยแล้วค่อยเอามาไถอีกทีหนึ่ง
นายกระรอก
16-01-2019, 19:54
“แล้วที่อัศจรรย์ก็คือ ควายตัวเล็กลงไปเรื่อย ๆ สมัยอาตมาวัยรุ่น ควายตัวหนึ่งหนักตันกว่า สมัยนี้ถึง ๖๐๐ กิโลกรัมก็เก่งตายชักแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าผสมสายเลือดใกล้ชิดไปเรื่อย หาสายเลือดใหม่ ๆ ไม่ได้ ถึงเวลาผสมสายเลือดชิดไปเรื่อยก็แกร็นไปเรื่อย แบบเดียวกับพวกชาวเขาโดยเฉพาะกะเหรี่ยง แต่งไปแต่งมาก็ญาติตัวเองนั่นแหละ เลยตัวเล็กลง ๆ เดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงสูงถึงไหล่อาตมาก็สูงมากแล้ว ลักษณะเดียวกัน ตอนแรกก็ว่า เอ๊ะ..เรายังเด็กควายเลยดูตัวโตหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่ น้ำหนักตัวยืนยันอยู่”
ถาม : เกี่ยวกับที่ปลายพระศาสนา สัตว์โลกจะตัวเล็กลงเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ก็น่าจะใช่ แต่ว่าเราก็เห็นว่าญี่ปุ่นเขาเปลี่ยนแปลงได้ ถึงเวลาใช้โภชนาการเข้าช่วย สมัยก่อนที่เราเรียก “ไอ้ยุ่น” น่ะ ความจริงก็มาจากคำว่าญี่ปุ่น แล้วมาผวนเรียกกลับหลังเป็น “ยุ่นปี่” แล้วก็เป็นไอ้ยุ่น แต่ความหมายหนึ่งก็คือไอ้เตี้ย ..(หัวเราะ).. พอเรียกไอ้ยุ่นแปลว่าเตี้ย ปรากฏว่าญี่ปุ่นแก้ไขได้ ปัจจุบันนี้ตัวโตกว่าเราอีก
นายกระรอก
16-01-2019, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาเป็นคนภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะว่าภูมิคุ้มกันไม่ทำงาน คล้าย ๆ จะเป็นเอดส์ ใครมีเชื้ออะไรมาหน่อยหนึ่งก็ติดหมด แค่เดินผ่านเขาหายใจใส่หน้าก็เป็นแล้ว สงสัยโดนท่านเซอร์เป่าซิการ์ใส่มาตลอดทางก็เลยเป็นหวัด ผีอะไรจะเฮี้ยนขนาดนั้น เอาซิการ์วางไว้ตรงที่สูบบุหรี่ กลับมาอีกทีหายไปทั้งอัน แล้วก็มีแต่กลิ่นซิการ์ตามมา ..(หัวเราะ)..
ไปดูพิพิธภัณฑ์ทหาร Zilo fort ก็สงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อท่านเซอร์เลย ปรากฏว่าห้องสุดท้ายเขียนไว้ชัดเลย Admiral Sir Phillips Spencer คำว่า Admiral คือนายพลเรือ พลเรือเอก ถ้าพลเอกทหารบกเป็น General ถ้าหากว่าพลอากาศเอกก็เป็น Air Force General
ยศทางทหารยศหนึ่งที่หายไปคือ Field Marshal ของเราเรียกว่ายศจอมพล ก็คือเหนือนายพลทั้งหมด แล้วมาตอนหลังประเทศอเมริกาที่เลือกตั้ง Marshal ถ้าเป็นปัจจุบันของเราก็น่าจะประมาณผู้ใหญ่บ้าน แต่เขาเรียก Marshal ที่เราไปแปลว่านายพลประจำเมือง ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณผู้ใหญ่บ้าน ดังนั้น..จอมพลเลยต้องเป็น Field Marshal บอกให้รู้เลยว่ามาจากสนามรบ ..(หัวเราะ)..”
นายกระรอก
16-01-2019, 20:04
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปีที่แล้วอาตมาติดขบวนป้าติ๋มไปญี่ปุ่น ปีนี้ติดขบวนคุณชวงไปสิงคโปร์ ถามว่าเมื่อไรจะจัดทัวร์เองบ้าง ? ไม่จัดแล้ว โดนต่อว่าเยอะไปหน่อย พวกจองไม่ทันก็ "แน่ละสิ..เราไม่ใช่คนในนี่"”
ถาม : มีด้วยหรือ ?
ตอบ : มี..เยอะมากด้วย น้อยอกน้อยใจไปนั่งบ่นกัน
อีกประเภทหนึ่งก็ตามเช็คราคา ทำไมทัวร์โน้นจัดราคาถูกกว่า แล้วทำไมเอ็งไม่ไปกับเขา ? ไม่ได้ดูว่าของเราพักโรงแรมสี่ดาวตลอด แถมยังนั่งเครื่องภายในอีก จะเอาราคาเดียวกับเขา เลยขี้เกียจฟัง..รำคาญหู ต่อไปใครจัดก็จัดไปเถอะ อาตมาไม่จัดหรอก ใครจัดแล้วมาชวนถ้าว่างก็จะไปด้วย
ความจริงของคุณสิทธา ลาภกระจ่าง เขาให้มา ๔ ที่นั่ง ปรากฏว่าติดงานครูบาเหนือชัยไปไม่ได้ เลยต้องให้พระอื่นไปแทน
นายกระรอก
17-01-2019, 19:54
พระอาจารย์กล่าวว่า “ดูคำอธิบายภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพระพุทธรูป ปรากฏว่ามีอย่างเช่นว่า Ayutthaya period กับ Ayutthaya style พยายามพิจารณาอยู่ตั้งนาน อ๋อ..ถ้าหากว่าระบุ ‘Period’ ได้แปลว่ารู้อายุการสร้างแน่นอน ว่าอยู่ประมาณช่วง พ.ศ. ไหน แต่ถ้าหากว่าไม่รู้อายุการสร้างแน่นอน รู้แค่ว่าเป็นศิลปะอยุธยา จะใช้คำว่า ‘Style’ พิจารณากันอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าต่างกันตรงไหน”
นายกระรอก
17-01-2019, 19:55
ถาม : ของที่เขาเอามาออกโรงทาน เอากลับไปกินที่บ้านได้ไหม ?
ตอบ : ได้..โรงทานไม่ใช่ของสงฆ์ โรงทานเจ้าของเขาตั้งใจเลี้ยง จะขนไปไหนก็ขนไปเถอะ ถ้าเจ้าของเขาไม่ด่าเอา ..(หัวเราะ).. โรงทานเป็นสิทธิของเจ้าของ ไม่ใช่สิทธิของวัด ไม่ใช่ของสงฆ์
นายกระรอก
17-01-2019, 19:57
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นกระเป๋าถือของโยมแล้วนึกถึงสมัยก่อน มีโยมผู้หญิงที่รู้จักอยู่คนหนึ่ง สะพายกระเป๋าถือวิ่งข้ามถนนแล้วสายกระเป๋าขาด พอสายขาดเขาก็หยุดแล้วเลี้ยวกลับไปเก็บกระเป๋า รถวิ่งมาก็กะระยะว่าจะวิ่งผ่านข้างหลัง พอเขาเลี้ยวกลับไปเก็บกระเป๋า ระยะการวิ่งของรถเขาเสียหมด ไปไหนไม่ได้ ต้องหักหลบคว่ำคะเมนไปเลย แล้วอะไรก็ไม่ว่า รถคันนั้นบรรทุกไก่สดมาเต็มรถ ที่เขาจะเอาไปส่งตลาด ก็เลยมีไก่กระจายเกลื่อนทั้งถนนเลย”
นายกระรอก
17-01-2019, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีโยมอยู่คนหนึ่งเขียนบอกว่าถวายแหวนทองคำ ๑ สลึง อาตมาชั่งอย่างไรก็ได้ ๕๐ สตางค์ ตกลงเจ้าของเขารู้หรือเปล่าว่าตัวเองใส่แหวนหนัก ๕๐ สตางค์ ?”
นายกระรอก
17-01-2019, 20:01
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนพบเพนิซิลลินเขาก็มั่นใจว่าชนะพวกโรคติดเชื้อได้ ปรากฏว่าชนะได้พักเดียว โรคนี่เขาเป็นไปตามวาระกรรมของคน ต่อให้มียาแก้ชนิดนี้ได้ วาระกรรมก็ทำให้มีโรคชนิดอื่นเกิดขึ้นมา”
ถาม : พวกตำรายาไทยโบราณละคะ ?
ตอบ : จำเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาได้ไหม ? ทั้งพืชพรรณว่านยาก็ถอยรส ป่าหมดไป..แล้วจะเหลืออะไร ?
นายกระรอก
17-01-2019, 20:03
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนเขาบอกว่ามีวิทยาธร หรือครูยา ถึงเวลาไปเก็บไปพลีทำไม่ถูก ฤทธิ์ยาก็ไม่บังเกิด บางทีต้องพูดเป็นรหัส ปู่หมออาจจะบอกเด็กลูกมือ “เฮ้ย..ไปเอาช้างมาเชือกหนึ่ง” เด็กต้องเข้าใจว่านั่นคือบอระเพ็ดพุงช้าง เพราะว่าถ้าบอกไปเอาบอระเพ็ดพุงช้างมา เดี๋ยวฤทธิ์ยาหนีหมด”
นายกระรอก
17-01-2019, 20:04
พระอาจารย์กล่าวว่า “สัตว์โลกที่อยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณสืบสายมาถึงปัจจุบันได้ต้องมีอะไรดี คลิปล่าสุดที่หนูทะเลทรายหนีนกอินทรี ท้ายสุดต้องไปซ่อนอยู่ในกะโหลกวัวที่ตายแล้ว แล้วนกอินทรีก็ไปได้กิ้งก่าไปแทน กิ้งก่าทะเลทรายตัวใหญ่ไล่กินตัวเล็ก พอตัวเล็กพุ่งหลบไปอยู่ใต้ท้องเต่า ตัวใหญ่ต้องกระโดดข้ามหลังเต่าไป ปรากฏว่าหลุดไปอยู่ในที่โล่ง โดนนกอินทรีคว้าไปเลย”
นายกระรอก
17-01-2019, 20:07
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยก่อนเวลาจัดงานปฏิบัติธรรม จะให้สิทธิ์ผู้ปฏิบัติธรรมบูชาวัตถุมงคลแต่ละรุ่นได้ คราวนี้เว้นว่างไปนาน เพราะว่าพอไปออกบูชาในเว็บก็หมดก่อน มางวดนี้ปีใหม่ปฏิบัติธรรมแล้ว ให้สิทธิ์ผู้ปฏิบัติธรรมบูชาแผ่นยันต์เกราะเพชรเนื้อทองคำได้ บางคนดีใจเกือบจะร้องไห้ เพราะตั้งใจว่าจะมาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ไม่นึกว่าจะได้สิทธิ์ อาตมาก็ไปบอกเอาคืนสุดท้ายเลย ไม่มีใครเตรียมตัวทัน”
นายกระรอก
18-01-2019, 19:53
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครบ้านอยู่ปักษ์ใต้บ้าง ? "ปาบึก" ลงทะเลไปแล้ว แต่น่ากลัวตรงที่ว่า ถ้าลงทะเลแล้วทองผาภูมิจะหนาวมากขึ้น คือร่องมรสุมสุราษฎร์ธานีเป็นร่องเดียวกับร่องมรสุมกาญจนบุรี มาจากทะเลอันดามันเหมือนกัน ถามว่ากาญจนบุรีเกี่ยวอะไรกับทะเลอันดามัน ? ทางด้านกาญจนบุรีด้านล่างไม่เกี่ยวหรอก แต่ด้านทองผาภูมิพอข้ามสันเขาก็เห็นทะเลอันดามันแล้ว
มีอยู่ปีหนึ่งแล้งจัด ท้าวมหาราชท่านไล่คลื่นจากกลางทะเล ดันเอาความชื้นขึ้นมาให้ฝนตก ท่านเอาไม้กระบองกวาดน้ำทะเล โอ้โฮ..มาเป็นภูเขาเลย ลักษณะแบบสึนามิชัด ๆ ปรากฏว่าเกิดจากกลางทะเลไล่ขึ้นมา พอใกล้ฝั่งก็ต่ำลง ๆ จนกระทั่งไม่มีอันตราย แต่ว่าความที่กำแพงน้ำสูงมาก เลยดันความชื้นข้ามเขามา ก็เลยมากลายเป็นฝนที่เมืองไทย รอดตายไป จะว่าไปแล้วเรื่องของพรหมเทวดา บางทีท่านก็สงเคราะห์ตามที่ผู้นำหรือว่าบุคคลที่ท่านเกรงใจร้องขอไว้ อย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นผู้นำประเทศ เป็นที่เกรงใจของเขา ถึงเวลาขออะไรท่านก็ให้”
นายกระรอก
18-01-2019, 19:54
พระอาจารย์กล่าวว่า “ขึ้นชื่อว่าปีใหม่ อาตมาไม่ได้เห็นอะไรใหม่เลย แม้แต่โยมก็หน้าเก่า ๆ สรุปว่าตกลงมีอะไรใหม่บ้าง ?”
นายกระรอก
18-01-2019, 19:55
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงเดือนที่ผ่านมา ทางวัดมอบพระพุทธรูปให้วัดอื่น ๆ ไป ๗-๘ องค์ โดยเฉพาะพระพุทธรูปทรงเครื่องลพบุรีหน้าตัก ๑๐๐ นิ้ว..! หน้าตัก ๑๐๐ นิ้วคือเท่าไร ? ประมาณ ๕ ศอก ตอนแรกยกออกไม่ได้ ประตูเล็กกว่าองค์พระ ก็เลยต้องขอร้องพระท่านว่าช่วยออกไปหน่อยเถอะ แล้วอยู่ ๆ องค์พระท่านก็เล็กลงประมาณศอกหนึ่ง ..(หัวเราะ).. ไม่รู้เหมือนกันว่าคนยกเขาสังเกตกันหรือเปล่า ?”
นายกระรอก
18-01-2019, 19:57
พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่พระนาคปรกสร้างผิดแบบ เพราะว่าถ้าสร้างถูกแบบ พวกเราจะงง ๆ ว่ามีแบบนี้ด้วยหรือ ? พระนาคปรกจริง ๆ ก็คือพญานาคหรืองูใหญ่ พันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไปถึงพระอังสา (หัวไหล่) แล้วก็ไปแผ่แม่เบี้ยปรกอยู่ข้างบน ลักษณะนั้นถึงจะกันลมกันฝนจริง ๆ แต่คราวนี้ถ้าทำออกมาอย่างนั้น เขาเห็นว่าพุทธลักษณะไม่สง่างาม ก็เลยทำเป็นนาคปรกแบบที่นิยมกันอยู่นี้”
นายกระรอก
18-01-2019, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนไทยเราแต่ดั้งแต่เดิมผิวดำ คราวนี้ที่เห็นขาว ๆ นั่นลูกเจ๊ก แล้วเราก็ไปนิยมความขาวกัน ลองไปต่างประเทศดูสิ ฝรั่งมองแต่ดำ ๆ พวกขาว ๆ ไปนี่เขาไม่แลเลย
เขาบอกว่าพวกซีด ๆ ขาว ๆ เป็นพวก White collar ก็คือทำงานอยู่แต่ในสำนักงานไม่ได้ไปไหน พวกผิวเกรียม ๆ ดำ ๆ เป็นพวกเที่ยวบ่อย เป็นคนรวย”
นายกระรอก
18-01-2019, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า “เขาเรียกว่าพระปลุก ไม่ใช่ปลุกพระ ..(หัวเราะ).. ถึงเวลาพระท่านเตือนสติ คือท่านปลุกเรา ไม่ใช่เราปลุกท่าน ส่วนใหญ่เข้าใจผิด เข้าใจว่าพระสงฆ์ไปปลุกพระพุทธ พระพุทธต่างหากที่ปลุกพระสงฆ์”
นายกระรอก
18-01-2019, 20:01
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถั่งเช่าของแท้ต้องเก็บที่ทิเบต ซึ่งไม่ต้องไปหรอก บริเวณไหนที่มีถั่งเช่าขึ้น บรรดาเถ้าแก่ร้านขายยาเขาจะไปจ้างทั้งหมู่บ้านเลย ให้เก็บส่งเขาโดยเฉพาะ รับเงินไปก่อน เอาของมาทีหลัง แล้วก็มีบรรดาท่านทั้งหลายที่ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัว ใช้วิธีเอาถั่งเช่าไปอบ กลั่นสกัดเสร็จสรรพ แล้วซากที่เหลือก็ไปตากแห้งขายอีกทีหนึ่ง พวกนี้สมควรตาย..!
ถั่งเช่าชื่อเต็ม ๆ ก็คือ “ตังทังแห่เช่า” แปลว่า ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า คล้าย ๆ กับจั๊กจั่นจันทร์หอม ก็คือถึงเวลาแล้วพวกเชื้อราที่ขึ้นอยู่กับตัวสัตว์ก็งอกออกมาเป็นต้น”
นายกระรอก
18-01-2019, 20:05
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ และช่วงวัยรุ่น เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็รักษากันไปตามมีตามเกิด เครื่องมือเครื่องไม้ก็ไม่เห็นมีอะไรเยอะแยะ ประเภทเฝือกปูนพลาสเตอร์นี่ไม่ต้องคิดถึงเลย สมัยนั้นมีแต่เฝือกไม้ไผ่ ถึงเวลาก็เหลาไม้ไผ่มัด เข้าเฝือก ต่อกระดูก เสกน้ำมันมนต์ทา
ไปนึกถึงหลวงพ่อสำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่า อายุ ๗๐ กว่า ๘๐ แล้ว ไปตกหลุมลูกนิมิต ขาหักสองข้างเลย นั่งเสกน้ำมันทาให้ตัวเองอยู่เกือบ ๖ เดือนกว่าจะหาย ท่านบอกว่า วาระกรรมมาถึงจริง ๆ กราบเรียนถามว่า "แล้วไปทำอีท่าไหน หลวงพ่อถึงโดนแบบนี้ ?" ท่านบอกว่า เขานิมนต์ไปงานปิดทองฝังลูกนิมิต เห็นเสื่อปูอยู่ก็นึกว่าเขาปูให้พระนั่ง ก็เลยเดินเข้าไป ที่ไหนได้..เขาปิดหลุมลูกนิมิตไว้ ท่านก็เลยตกลงไปขาหักเลย
พระเห็นเสื่อปูอยู่ ไม่มีคนนั่ง ก็ต้องมั่นใจว่าเขาเอาไว้ให้พระนั่ง..ใช่ไหม ? พอเดินเข้าไปก็ผลุบหายลงหลุมไปเลย แล้วเทวดาที่รักษาท่าน ปกติมีอะไรจะบอก แต่วันนั้นไม่บอก แสดงว่าเป็นวาระกรรมจริง ๆ”
นายกระรอก
19-01-2019, 19:39
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีญาติโยมถวายผ้าคลุมไหล่มาเป็นร้อยผืนแล้ว แต่อาตมาไม่ได้ใช้ เพราะว่าเวลาหนาวอาตมาลากผ้าห่มไปแทน ผ้าคลุมไหล่ผืนเล็กไป ดังนั้น..ถึงเวลาโปรดอย่าน้อยใจ อาตมาไม่มีไฟธาตุเหลือ หนาวง่าย ผ้าคลุมไหล่เอาไม่อยู่หรอก..ต้องผ้าห่มเลย
แล้วผ้าห่มสมัยนี้ก็เจ้ากรรมนะ ทำไมถึงประหยัดขนาดนั้น ? เผลอหน่อยก็เท้าโผล่ อาตมาก็ว่าตัวเองไม่ได้สูงมาก ทำไมทำผ้าห่มเล็ก ๆ กัน ขอสัก ๓ เมตรไม่ได้หรือ ? โดยเฉพาะตอนไปญี่ปุ่น เท้าโผล่ไปเกือบศอก คือผ้าห่มกับเตียงจะเท่ากันพอดี ส่วนของอาตมานอนแล้วเท้าล้นเตียงไป คือญี่ปุ่นเขาก็ทำตามหุ่นของเขา ไม่ได้ทำสำหรับของเรา ไปเช่าอพาร์ตเมนท์เขานอน ปรากฏว่าเท้าโผล่..หนาว เจ้าที่ก็ยืนมองอยู่อย่างเดียว หนาวจะตายชัก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็เลยประท้วง ช่วยกันหน่อยสิวะ ปรากฏว่าอุ่นสบายเหมือนนอนอยู่ที่วัด ตื่นสายเลย..!
อาตมาถ้านอนห้องมีเครื่องปรับอากาศจะเปิดที่ ๒๗ องศา แล้วอากาศ ๔-๕ องศานี่ ไม่ตายก็บุญโขแล้ว”
นายกระรอก
19-01-2019, 19:43
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันนี้ไม่หิวเพราะว่าฉันเห็ดหลินจือลงไป ๑ ขวดตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งวันนี้ยังปัสสาวะเป็นกลิ่นเห็ดหลินจืออยู่เลย อะไรสารอาหารจะอยู่ยงคงกระพันนานขนาดนั้น
มีพวกยา อาหารบางอย่าง ถึงเวลากินเข้าไปแล้วจะปัสสาวะออกมาเป็นกลิ่นนั้นเลย อย่างสะตอ หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่งนี่ลงไปก็ทั้งวัน ปัสสาวะเมื่อไรก็เป็นกลิ่นหน่อไม้ฝรั่งเมื่อนั้น แต่ว่ามีหัวไชเท้า ถ้ากินลงไปนี่ล้างเกลี้ยงเลย อะไรลงไปหัวไชเท้าล้างหมด
ดังนั้น..ใครที่แพ้ยา เขาให้เอาหัวไชเท้าต้มน้ำเฉย ๆ แล้วซดน้ำเข้าไปให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ ถ้าอยากรู้ว่าหัวไชเท้ามีฤทธิ์ขนาดไหน ? ใครที่อยู่ในระหว่างกินยาแก้อักเสบอยู่ลองดูได้ ส่วนใหญ่ยาแก้อักเสบพอเรากินเข้าไป เราจะปัสสาวะเป็นกลิ่นยาแก้อักเสบ กินน้ำต้มหัวไชเท้าตามลงไปเลย รับรองว่ากลิ่นหายเกลี้ยงไม่เหลือเลย กลายเป็นกินยาเสียเปล่าไปเลย
เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาถ้าใครแพ้ยาฝรั่ง ให้รีบต้มหัวไชเท้าซดน้ำเข้าไป ถ้ารู้สึกว่ารสชาติทนไม่ได้ก็เติมเกลือสักนิดหนึ่ง เติมกุ้งแห้งสักหน่อยหนึ่ง ปลาหมึกปิ้งอีกหน่อยก็ได้..! เคยทำกับข้าวกันหรือเปล่า ? รู้ไหมว่าทำอย่างไรถึงอร่อย ? ที่อาตมาบอกมานี่ลองมาหมดแล้วนะ”
นายกระรอก
19-01-2019, 19:46
ถาม : ไช่โป้วได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจะแก้ฤทธิ์ยาที่เราแพ้ก็ต้องใช้หัวไชเท้าสด หัวผักกาดสีขาวอย่างเดียว แครอตก็ไม่ได้ เป็นสีส้ม..ใช้ไม่ได้ บีตรูทยิ่งไม่ได้ใหญ่ แดงแปร๊ดเลย
แล้วต้นอะไรนะที่หัวเป็นคนในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ? "แมนเดรก" ใช่ไหม ? แมนเดรกนี่ถ้าหากว่าของจีนก็คือโสมคน แต่ของฝรั่งกลายเป็นต้นวิ่งได้เลย ..(หัวเราะ).. ออกหัวมาเป็นคน
นายกระรอก
19-01-2019, 19:49
“สมัยก่อนเขาต้องรอต้นโสมธรรมชาติ อายุเป็นร้อย ๆ ปี เป็นพันปีได้ยิ่งดี แต่สมัยนี้เขาเล่นปลูกในสวน ปลูกในเรือนกระจก บังคับให้ออกตามเวลา แต่เขาก็ต้องมีอายุนะ ต่ำสุดต้อง ๓ ปี อย่างพวกโสมเกาหลีเป็นโสมในเรือนกระจกหมดเลย ถึงเวลาไปประเทศเกาหลีก็โดนต้อนไปซื้อโสม ไปประเทศจีนโดนต้อนไปซื้อชา หิวข้าวจะตายชัก ไม่พาไปกินข้าวสักที บอกให้ชิมชาก่อน ถ้าไม่ชิมก็รอไปเถอะ..! นิสัยคนไทยไม่ได้มีนิสัยไปกินน้ำชากัน บางคนไม่รู้รสว่าเป็นอย่างไร แยกไม่ออกว่าสี กลิ่น รส เป็นแบบไหน ?
เขาถึงบอกว่า “ให้คนไทยไปกินชา ก็เหมือนเอาวัวไปกินโบตั๋น” ของเขาต้องประณีต สวยงาม ดันเคี้ยวกินไปเลย”
นายกระรอก
19-01-2019, 19:55
ถาม : หลังจากที่สวดพระคาถาเงินล้าน เราสามารถอธิษฐานขอผลได้หรือไม่ ?
ตอบ : เรื่องของพระคาถาเงินล้าน ถ้าเราทำดีทำถูก ผลจะเกิดเอง ถ้าหากว่าเราไปทำเพราะอยาก จะโดนตัดไปเกือบหมด เพราะว่าตัวอยากจริง ๆ ก็คือตัวฟุ้งซ่าน ดังนั้น..เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง ถ้าทำแบบนั้นจะได้ผลเร็วกว่า ไม่อย่างนั้นความตั้งใจของเราจะกลายเป็นตัวฟุ้งซ่าน ตัวอยากได้
มีคนเอาเต่ามาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำอะไรรู้ว่าญาติโยมเขาศรัทธามากก็อย่าทำห่างคุณพระรัตนตรัย เดี๋ยวคนคิดถึงแต่เต่าก็ไปเกิดเป็นลูกเต่ากันหมด ถึงเวลาก็ว่า เอ...หาดไม้ขาวปีนี้ ทำไมเต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่กันเยอะ ? อ๋อ...พวกเราจะไปเกิดเป็นลูกเต่ากันเยอะเลย ฉะนั้น...เป็นครูบาอาจารย์ทำอะไรต้องระมัดระวัง ถ้าคนนึกถึงเต่าอย่างเดียว ไม่ได้นึกถึงพระนี่ซวยจริง ๆ"
"ครูบาอาจารย์ที่สร้างพญาเต่าเรือน อันดับหนึ่งเลยต้องยกให้หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รองลงไปก็หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พญาเต่าเรือนหลวงปู่ศุขมีทั้งหล่อโลหะ ก็คือเนื้อชิน แล้วก็มีทั้งแกะด้วยงาช้าง"
"พญาเต่าเรือนอันดับต่อไป ยกให้หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย เต่าของหลวงพ่อสนิทเป็นเต่าเรือนสร้างจากหินสบู่ วิธีแยกแยะง่ายที่สุดก็คือดูลายมือของท่าน แต่ของหลวงพ่อสนิทท่านทำมาแต่ละอย่าง ล้วนแล้วเพื่อความอยู่ดีกินดีของลูกศิษย์ มักจะมาสายเมตตาค้าขาย
ที่น่ากลัวที่สุดของหลวงพ่อสนิท คือ สาลิกาจับปากโลง ก็คือสร้างมาจากผงตามตำราของท่าน ส่วนหลังที่หล่อเป็นโลหะว่าขลังแล้ว ยังสู้ผงไม่ได้ ถ้าใครคิดว่าตัวเองแก่ ๆ แล้วจะหาแฟนละก็...หาสาลิกาจับปากโลงของหลวงพ่อสนิทไปใช้ แล้วจะรู้ว่าน่ากลัวแค่ไหน แต่ว่าบรรดาลูกศิษย์จะหวงมาก อาตมาเองมีอยู่ ๓- ๔ ตัว ไม่กล้ามอง กลัวว่าจะเผลอเอามาใช้...!
ของเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ ถ้าอาตมาเก็บก็ท่วมวัดไปนานแล้ว แต่ละปีญาติโยมถวายให้เยอะมาก จึงต้องปล่อยต่อไปเรื่อยเพื่อการกุศล"
"งานชิ้นท้าย ๆ ของวัดท่าขนุนตอนนี้ก็คือ พิพิธภัณฑ์เครื่องรางของขลัง เป็นแค่ส่วนเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นพุทธประวัติ หรือไม่ก็พระราชประวัติในหลวงรัชกาลที่ ๙ ประวัติหลวงปู่สาย ฯลฯ แบ่งเป็นห้อง ๆ จะมีเครื่องรางเป็นไฮไลท์ ใครชอบก็ไปเดินน้ำลายหกเรี่ยราดอยู่แถวนั้น
เวลาใช้ข้าวของพวกเสือสิงห์กระทิงแรด เครื่องรางรูปสัตว์อะไร ให้นึกถึงหลวงพ่อที่สร้างนะ ไม่ใช่ไปนึกถึงรูปสัตว์พวกนั้น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไปเกิดเป็นลูกหมาลูกแมวก็ยุ่งกันใหญ่"
"หลวงพ่อสนิทมีเครื่องรางอย่างหนึ่งเรียก หนูกับแมว ก็คือขนาดศัตรูยังอยู่ด้วยกันได้ เมตตามหานิยมขนาดนั้น
คาถาหนูกินนมแมวว่า นะขะมิจัง อุโภระหัง นะมะขามิ ถ้าหากว่าอยู่กับใครลำบากก็ภาวนาไว้เรื่อย ๆ
ยังมีคาถาวัวกินนมเสือที่เขาเรียกว่า คาถาสุกิตติมา คือ สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต
ที่หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (ติสสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์เทพวรารามท่านเอาไว้ลงก้นขันน้ำมนต์ เขาเรียกง่าย ๆ ว่ายันต์สุกิตติมา
หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็เอาไว้ลงหลังพระปิดตาจัมโบ้ปลดหนี้ของท่าน เรียกว่าคาถาวัวกินนมเสือ มาจากธรรมบทเรื่องหลวิชัยคาวี
เรื่องของเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลัง นอกจากประกอบด้วยศรัทธาแล้วยังต้องมีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธินี่เสียเปล่าเลย"
ถาม : ตอนเด็ก ๆ เคยไปปาจรวดเล่นแถวศาลพระภูมิ แล้วคราวนี้จรวดขึ้นไปวนศาลอยู่หลายรอบ ที่เห็นก็คือเห็นเป็นผู้หญิงออกมาจับจรวด อยากถามว่าโดยปกติแล้ว ศาลพระภูมิไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายดูแลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คำว่าภุมมเทวดาคือเทวดาที่รักษาพื้นที่ เขาไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นผู้ชาย ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นตาแก่ ขึ้นอยู่กับว่าใครรักษาพื้นที่นั้น พวกเราพอพูดถึงพระภูมิเจ้าที่เมื่อไร ก็นึกถึงลุงแก่หนวดเฟิ้มเลย..ใช่ไหม ? แต่ละท่านนี่หล่อกว่าพระเอกลิเกอีก
มีโยมมารับวัตถุมงคล "พระของหลวงพ่อเวก วัดศาลาหมูสี ค่อนข้างจะหายากหน่อย พระหลวงพ่อเวกเขาเรียกกันว่าพระตั้งตัว ทำให้ลูกศิษย์ไปทำมาหากินโดยเฉพาะ"
ถาม : หลวงพ่อมีวิธีอาราธนาพระหลวงพ่อเวกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้บอกอะไรไว้เลย ตั้งใจนึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว
ถาม : ไม่มีข้อห้าม ?
ตอบ : ไม่มี เอาไปแล้วตั้งใจทำมาหากินก็พอ
โยมเอาวัตถุมงคลมาให้พระอาจารย์ดู "เล่มนี้เป็นมีดหมอของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล เป็นศิษย์พี่ของหลวงพ่อเดิม คนนครสวรรค์บอกว่ามีดหมอหลวงพ่อเดิมมีไว้ขาย มีดหมอหลวงพ่อรุ่งมีไว้ใช้
วัดของหลวงพ่อเดิมท่านอยู่ข้างสถานีรถไฟ หลวงพ่อเดิมก็เลยดังกว่า ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อรุ่งท่านทำมีดหมอมาก่อน ด้วยความที่เขาเห็นว่าศึกษามาจากครูบาอาจารย์เดียวกัน วิชาการเหมือน ๆ กัน ในเมื่อหลวงพ่อรุ่งไม่ดัง ของไม่แพง ก็เก็บเอาไว้ใช้ ของหลวงพ่อเดิม ดังมาก ราคาแพง ก็เก็บเอาไว้ขาย"
ถาม : มีดหมอของท่านมีโอกาสเป็นสีขาวไหมครับ ?
ตอบ : มีดหมอรุ่นนั้นด้วยความที่เป็นโลหะผสม โอกาสที่จะขาววาววับเลยนั้นไม่มี รักษาอย่างไรก็ไม่ขาว จะเป็นสนิมขุมแบบนี้ทุกเล่ม เป็นวิธีในการพิจารณาความแท้เทียมอย่างหนึ่ง
ถาม : ใช่ปลัดขิกของหลวงพ่อโสกไหมครับ ?
ตอบ : ปลัดขิกของหลวงพ่อโสกจะไม่ใหญ่อย่างนี้ คุณอย่าลืมว่าเขาควายเผือก ถ้าชิ้นใหญ่ก็จะทำวัตถุมงคลได้น้อย แล้วลูกศิษย์ของท่านรออยู่บานเบิกเลย
ปลัดขิกของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก เต็มที่ก็แค่นี้ จะไม่ใหญ่กว่านี้ มักจะขนาดนิ้วก้อยมากกว่า เพราะว่าวัสดุหายาก แล้วช่างที่แกะปลัดขิกของท่าน จะแกะหัวใหญ่ปลายเล็ก เหมือนกับว่าหัวปลัดใหญ่แล้วเรียวมาทางปลาย แล้วจะโค้งหน่อย ๆ ทุกอัน ประเภทมหึมาขนาดนี้ เปลืองของตายชัก กว่าฟ้าจะผ่าควายเผือกตายแต่ละตัวไม่ใช่ง่าย ๆ ทำขนาดใหญ่ก็เปลืองมาก ส่วนใหญ่พวกรุ่นหลัง ๆ มาทำเลียนแบบ พออายุมากหน่อยคนก็ตีเป็นของหลวงพ่อโสก เพราะว่าขายได้ราคา
ถาม : นี่เป็นตะกรุดของท่านใดครับ ?
ตอบ : ตะกรุดจันทร์เพ็ญของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
ถาม : มีอานุภาพด้านใด ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็มหาเสน่ห์ แต่จริง ๆ แล้วท่านทำไว้ทุกอย่าง
ลายนี้ถ้าหากว่าเป็นทองแดงหรือทองฝาบาตรจะเป็นของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม แต่ถ้าหากว่าเป็นเนื้อตะกั่ว จะเป็นของหลวงปู่ศุข ถ้าต้องการรู้ว่าเป็นของหลวงปู่ศุขหรือของที่อื่นทำเลียนแบบ ให้ดูเนื้อหัวตะกั่วที่จะหลอมติดเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้ายุคหลวงปู่ศุขมา ใช้งานมาขนาดนั้น จะหลอมเป็นเนื้อเดียวกันหมด พูดง่าย ๆ ก็คือติดกันเป็นเนื้อเดียว จะไม่เห็นว่าเป็นแผ่นที่ม้วนเลย
พระอาจารย์เตือนโยม "เลี้ยงหมาอย่าห่วงหมามาก สงเคราะห์เขาได้แค่ไหนก็แค่นั้น กังวลมากเดี๋ยวก็ไปเกิดเป็นลูกหมาอีก ต้องบอกว่า กัมมัสสะกา มีกรรมเป็นของตัว ถ้าหากว่าทำกรรมเอาไว้ก็เรื่องของเขาเถอะ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้มีคนถวายเต่ามาเป็น ๑๐ ตัว แต่ไม่มีเต่าที่อยากได้ เต่าที่อยากได้คือเต่าทองคำตัวเท่าเรือนยอด คำว่า เต่าเรือน มาจากตรงนั้น
เรือนยอดสมัยนี้ก็ประมาณว่ามณฑปจตุรมุขอะไรอย่างนั้น บาลีเขาว่า กูฎาคาร เรือนยอด กูฎะ คือยื่นออกมา กูฎาคาระ อาคารที่มียอดยื่นออกไป ก็เลยเรียกเรือนยอด"
"ที่อยู่สมัยอินเดียโบราณเขามี วิหาโร วิหารคือที่อยู่ทั่วไป ค่อนข้างใหญ่หน่อย อัฑฒโยโค เขาบอกว่าเรือนมุงซีกเดียว บ้านเราเรียกว่าเพิงหมาแหงน ปาสาโท ปราสาท คือเรือนหลายชั้น อย่างตึกตั้งแต่ ๒ ชั้นขึ้นไปเขาเรียกว่าปราสาท ปราสาทไม่ใช่ประเภทปราสาทราชวังแบบบ้านเรา ปราสาทของเขาคือเรือนที่มีหลาย ๆ ชั้น หัมมิยะ เขาบอกว่าเรือนยอดตัด อธิบายแล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง รู้จักค่ายไหม ? เป็นค่ายมีแต่กำแพงไม่มีหลังคา
ทุกวันนี้บรรดาพระอุปัชฌาย์ถึงเวลาก็สอนลูกศิษย์ อติเรกลาโภ วิหาโร อฑฺฒโยโค ปาสาโท หมฺมิยํ คุหา ฯ สอนไปเถอะ ไม่รู้หรอกว่าหัมมิยะหน้าตาเป็นอย่างไร แปลเป็นไทยก็เรือนยอดตัด คือ ไม่มีหลังคา ภาษาไทยเข้าใจง่ายที่สุดคือ “ค่าย” ตั้งค่ายไม่มีหลังคา มีแต่กำแพง
คูหา คือ ถ้ำ จิตตัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คุหาสะยัง บาลีบอกว่า จิตเดียวเที่ยวไป ปราศจากร่างกาย ปราศจากรูปร่าง อาศัยคูหาคือร่างกายนี้อยู่"
"เฉพาะที่อยู่อย่างเดียวก็ปวดหัวแล้ว ยังมีประเภทอยู่ในที่แปลก ๆ อยู่โคนไม้ อยู่ในโพรงไม้ อยู่ในโอ่ง ก็เข้าท่าดี คือทำอะไรแปลก ๆ ให้เขาเห็นขลัง เขาจะได้นับถือ
บางท่านก็ประพฤติวัตร เรียกว่าทำตัวเหมือนโค กินแต่หญ้าเป็นอาหาร ทำตัวเหมือนสุนัข กินเฉพาะอุจจาระเป็นอาหาร เป็นต้น เขาเชื่อว่าทรมานตนดังนั้นแล้วเกิดตบะ พระเจ้าเกิดรักใคร่ชอบพอที่เห็นมีความเพียรในการบำเพ็ญตบะ ก็จะรับไปอยู่กับพระองค์ด้วย ต้องบอกพระเจ้าของเขาค่อนข้างซาดิสม์นะ...!"
พระอาจารย์กล่าวว่า “มหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ท่านตั้งใจสร้างหลวงพ่อหายโศกขนาดนี้เพื่อเอาไว้ติดหน้ารถโดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นหลวงปู่มหาอำพันท่านก็ติดย่ามเลย
หลวงปู่มหาอำพันจะมีรูปพระแก้วมรกตองค์ประมาณนี้ใส่ย่ามอยู่ตลอด ถึงเวลาก่อนนอนก็เอามามอง หลับตานึกถึง จนกระทั่งพุทธนิมิตชัดเจนแล้วท่านถึงจะยอมนอน พระระดับนั้นยังไม่ยอมประมาทเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “โยมเขามักจะสงสัยว่าคนเป็นร้อยเป็นพันอาตมาจำชื่อหมดได้อย่างไร ? ..(หัวเราะ).. บอกว่าจำคนใหม่คนเดียวเขาไม่ค่อยจะเชื่อกัน”
พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงปู่เกลี้ยงว่า “ยังจำได้ ท่านบอกว่า “เกลี้ยงทุกข์ เกลี้ยงโศก เกลี้ยงโรค เกลี้ยงภัย” ไปกราบท่าน ท่านชี้บอกมหาโรจน์ (พระมหานัทกฤต ทีปงฺกโร) บอกว่า “ไม่ต้องตามใครเลย ให้ตามองค์นี้” ..(หัวเราะ)..
หลวงปู่เกลี้ยง วัดโนนแกด มรณภาพอายุ ๑๑๒ ปี ส่วนอีกท่านที่ไปก่อนหลวงปู่ ๓-๔ ชั่วโมงก็คือ คุณสอาด เปี่ยมพงษ์สานต์ อายุ ๘๘ ปี คุณสอาดกับคุณนฤมลเพิ่งจะไปวัดท่าขนุนไม่นานนี้เอง ชอบย่องไปทำบุญที่วัดท่าขนุน ไปถึงก็ถามว่ายังลุกนั่งสะดวกไหม ? ยังสะดวก แข็งแรงมากเลย อายุ ๘๐ กว่าปี ลุกนั่งยังสะดวกดีกว่าอาตมาอีก ต้องบอกว่าทำบุญไว้ดี อายุ ๘๘ ปี ไม่เห็นมีโรคมีภัยอะไร บทจะตายก็ตายเอาเฉย ๆ เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทรุ่นเก่า”
“จำได้ไหมว่าปีที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ เขาก็เด็ดเอาพระดีไปตั้งแต่ต้นปีเลย เริ่มแรกก็ ๑๒ มกราคม หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัสฯ ไปก่อนเลย แล้วหลังจากนั้นก็ตามไปเป็นชุด ๆ สถานการณ์ประเทศชาติถ้าไม่ค่อยดีเมื่อไร พระที่เป็นสุปฏิปันโนก็มักจะละสังขารเพื่อตัดเคราะห์ตัดกรรมให้ประเทศ”
“ปีที่แล้วพระสุปฏิปันโนก็ทิ้งขันธ์ไปหลายรูป หลวงตาบัวเพิ่งไปไม่นาน หลวงปู่ลีลูกศิษย์ก็ตามไปถวายการรับใช้ติด ๆ เลย คู่นี้ลูกศิษย์กับอาจารย์รักกันจริง หลวงปู่ลีท่านมอบกายถวายชีวิตให้หลวงตาบัวมาตั้งแต่สมัยบวชใหม่ ๆ ยอมจริง ๆ องค์นี้ เรื่องของกิเลสในใจมีเท่าไรหลวงตาบัวถลกออกมาหมด หลวงปู่ลีมอบกายถวายชีวิตให้เลย
ครูบาอาจารย์รู้จิตรู้ใจความจริงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าเราคิดชั่วอะไรท่านก็บอกได้ ส่วนใหญ่ก็ต้องถือมารยาท ไม่ใช่ลูกศิษย์ลูกหาที่ขึ้นขันขึ้นครูถวายตัวเป็นศิษย์จริง ๆ ก็ไม่ไปยุ่งกับเรื่องในใจเขาหรอก เพราะถือคติว่า ดูใจตัวเองได้ประโยชน์ ดูใจคนอื่นไม่ได้อะไร”
พระอาจารย์กล่าวว่า “พฤษภาคมนี้ของเรามีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แล้วทำไมพระองค์ท่านไม่เอาวันที่ ๕ ไปเลย ? ไปเอาวันที่ ๔ แทน คือพวกเราชินกับการหยุดวันที่ ๕ ไปแล้ว พระองค์คงเห็นว่าเดี๋ยวจะไปทับของทูลกระหม่อมพ่อ
พระองค์ท่านต้องเรียกทูลกระหม่อมพ่อ ถ้าเรียกสมเด็จพ่อนี่ลดยศฮวบเลย เรียกสมเด็จพ่อนี่ยศเท่ากับเสด็จในกรมเท่านั้น”
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมคนนี้เขาชื่อไพรศาล ไม่ใช่ไพศาลนะ คือตัว ‘ไพศาล’ หรือ ‘วิสาล’ แปลว่ากว้างขวางอย่างวิเศษ แต่ชื่อของเขาไพรศาล มี ร.เรือ ด้วย ในเมื่อมี ร.เรือ สาละ ตัวนี้แปลว่าคอก เพราะฉะนั้น..ไพรศาลตัวนี้แปลว่าป่าที่เป็นคอก อย่างโคสาละ แปลว่า คอกวัว โคศาล บ้านเราอ่านว่า สาน แต่บาลีออกเสียงอะต่อท้ายเป็น สา-ละ
มักขลิโคสาล เป็นทาสในเรือนเบี้ย เป็นหนึ่งในอาจารย์ใหญ่ในสมัยนั้น จะมีคณาจารย์อยู่ ๖๒ ราย แต่ว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ที่คนเคารพนับถือทั้งประเทศอยู่ ๖ ราย มักขลิโคสาล เป็นทาสในเรือนเบี้ย เจ้านายให้แบกหม้อน้ำมันไปตลาดเพื่อเอาไปขาย ฝนตกใหม่ ๆ พื้นลื่น เจ้านายก็ต้องคอยเตือนว่า “มาขลิ มาขลิ” คือ “ระวังจะลื่น ระวังจะลื่น” คราวนี้ตานี่เกิดในคอกวัว ก็เลยมีฉายาต่อท้ายว่าโคสาละ ก็คือ ‘ไอ้ลื่นที่เกิดในคอกวัว’
ต้องบอกว่าเจ้านายปากศักดิ์สิทธิ์ ไปไหนก็ “ระวังลื่น ระวังลื่น ระวังลื่น” ท้ายสุดตามักขลิก็ลื่นหงายท้องตีนชี้ฟ้า หม้อน้ำมันตกแตก เจ้านายโมโหมาก คว้าหมับเข้าที่ผ้านุ่งลากเข้ามาจะตีด้วยไม้เท้า มักขลิตกใจดิ้นหลุดมือไป ทำไมถึงหลุด ? ผ้าหลุดติดอยู่กับเจ้านาย...ไปแต่ตัว สมัยก่อนทาสส่วนใหญ่มีแต่ผ้านุ่งไม่มีผ้าห่ม ผ้านุ่งก็ลักษณะเหมือนกับสบงพระ ผ้าห่มก็คือจีวร ประมาณนั้น ถ้าหากว่าคนที่มีฐานะก็ต้องมีทั้งผ้านุ่งผ้าห่ม แบบจูเฬกสาฎกมีแต่ผ้านุ่งไม่มีผ้าห่ม ออกจากบ้านลำบาก เขาถือว่าไร้วัฒนธรรม เหมือนกับสมัยนี้เดินไปไม่ใส่เสื้อ"
"มักขลิไปซ่อนในป่า กลัวเจ้านายตี ทนหิวไม่ไหวก็ย่องออกจากป่ามา เจอบ้านคนก็ไปขออาหารกิน คนสมัยนั้นเห็น โอ้โฮ...คนนี้มักน้อยมาก กระทั่งผ้าสักผืนก็ไม่นุ่ง จะต้องเป็นพระอรหันต์แน่เลย จึงเอาข้าวปลาอาหารมาประเคนเสียเยอะ มักขลิก็เลยกลายเป็นอาจารย์ใหญ่ มีคนเคารพนับถือ ก็บอกกันปากต่อปากไป เห็นว่าการไม่นุ่งผ้าทำให้เกิดลาภผลเงินทองขึ้นมา ก็เลยพาลแก้ผ้าเดินเทิ่ง ๆ ไปเลย แกก็เลยบัญญัติลัทธินัตถิกทิฏฐิขึ้นมา ไม่ต้องทำอะไรเลยถึงเวลามีเอง
อ่านประวัติบรรดาอาจารย์ใหญ่ของยุคนั้นแล้ว ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าของเราถึงได้แหวกวงความเชื่อของเขาออกมาได้ เพราะว่าอาจารย์ใหญ่ยุคนั้นเป็นทฤษฎีเหลวไหลเสียเยอะ ประมาณว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ถึงเวลาก็ดังเอง ถึงเวลาก็รวยเอง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม กรรมดีกรรมชั่วที่เราทำ ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ก็จักได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว คราวนี้บาลีแปลมาแล้วคนฟังต่อแปลไม่หมด ไปแปลว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เข้าใจกันอีกว่ากรรมแต่ละอย่างมีตามวาระ ตามความหนักเบา ตามหน้าที่ ฯลฯ พอถึงเวลาก็เลยกลายเป็นว่าทำดีแล้วยังไม่ทันได้ดี ก็ไปตั้งทฤษฎีใหม่ว่า ‘ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป’ นั่นเขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิแปลว่าความเห็น Concept ผิด แนวคิดผิด"
"ฟังคำว่ามิจฉาทิฏฐิแล้วดูน่ากลัวมาก ก็เพราะว่าเหมือนกับกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อ ๆ ไปก็ผิดหมด พระพุทธเจ้าถึงได้ว่า หนทางแห่งการหลุดพ้นต้องเริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง อย่างสมัยก่อนเขาบำเพ็ญตบะ ทำตนให้ลำบาก เชื่อว่าเมื่อพระเจ้าพอใจก็จะรับไปอยู่ด้วย อันนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติคือความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าอดกลั้นทำความดี ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจได้ นั่นน่ะสุดยอดตบะเลย
คราวนี้คนอินเดียมีความฉลาด ต้องบอกว่าหัวหมอมาตั้งแต่เกิด จนเขาบอกว่าถ้าเจอแขกกับงูให้ตีแขกก่อน อาตมาบอกว่าถ้าเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน แขกสะดุ้งเหย็ง “อีนี่ตีจ๋านทำอะไรนาย แขกน่ารักนะ” คนอินเดียเป็นคนเจ้าคารม เป็นสุดยอดของแนวคิด แต่ละคนจะต้องมีหลักการคิดอะไรสักอย่างอยู่ในใจของตัวเอง แต่ดีอยู่ตรงที่ว่า ถ้าหากว่าแนวคิดของเราดีกว่า เขาจะยอมเคารพนับถือ ดีไม่ดีก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ไปเลย"
"ในเมื่อบ่มเพาะแนวคิดก็เกิดตรรกะวิภาษขึ้นมา ก็คือการโต้เถียงกัน ปะทะสังสรรค์กันทางแนวคิด ภาษาบาลีเรียกว่า วิวาทะ ที่คนไทยเรียกว่า วิวาท วิวาทบ้านเรานี่ความหมายผิด กลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกัน
แบบเดียวกับเมื่อตอนบ่ายที่กล่าวถึง บึกบึน ที่เป็นภาษาลาว ความหมายของไทยปัจจุบัน บึกบึนคือกำยำล่ำสัน แข็งแรงกว่าชาวบ้านเขา บึกบึนภาษาลาวเป็นพวกประเภทดื้อตะบันไปข้างหน้าอย่างเดียว ใครเว้าลาวได้บ้าง ? รู้จักไหม? บึนไปข้างหน้า คือ ไม่หลีกใคร มุดไปอย่างเดียวเลย จะไปให้ได้ ประเภทดื้อหัวชนฝา ความหมายเปลี่ยนกลายเป็นแข็งแรง บาลีความหมายก็เปลี่ยนได้เช่นกัน
ในเมื่อวิวาทะ วาทะคือคำพูด วิ แปลได้ ๓ ความหมาย เป็นคำอุปสรรค คือ คำที่นำหน้าหรือขวางหน้า ถ้าไม่มีคำนี้นำความหมายก็ยังเป็นความหมายหนึ่ง พอมีคำนำเข้าไปความหมายเปลี่ยน แปลว่าวิเศษก็ได้ แจ่มแจ้งก็ได้ แตกต่างก็ได้ เพราะฉะนั้น..วิวาทหรือวิวาทะตัวนี้ คือ มีคำพูดที่ต่างกัน ไม่เป็นไปในแนวเดียวกัน ในเมื่อความเห็นไม่ตรงกัน การพนันก็ต้องเกิดขึ้น นั่งเถียงกันว่าใครจะชนะ"
"เพราะฉะนั้นบาลีคำหนึ่งจึงมีหลายความหมาย ต้องดูบริบทสิ่งแวดล้อมช่วงนั้นว่าควรจะหมายถึงอะไร อย่างเช่น อนุ แปลว่า น้อย ก็ได้ แปลว่า ภายหลัง ก็ได้ แปลว่า ตาม ก็ได้ อนุภรรยา...เมียน้อย อนุชน...คนรุ่นหลัง อนุจร...ผู้ตามหลัง เกิดเขาบอกว่า “หลวงพ่อเล็กเดินทางไปต่างประเทศพร้อมพระอนุจร” ก็จะได้รู้ว่าอนุตัวนี้ต้องแปลว่าติดตาม ตามหลัง คือ มีพระติดตามไป
เพราะฉะนั้น..บริบทคือสิ่งแวดล้อม จะทำให้เราตีความว่าคำนี้แปลว่าอะไร บางคำความหมายเยอะมาก "ใน ใกล้ ที่ ครั้นเมื่อ ในเพราะ เหนือ บน ณ" ๘ ความหมาย ก็ต้องรู้ว่าหมายถึงอะไร คำนี้ต้องแปลว่า นั่งใกล้ คำนี้ต้องแปลว่า นั่งใน คำนี้ต้องแปลว่า นั่งบน คำนี้แปลว่า นั่งเหนือ แปลไป ๗-๘ ความหมาย ต้องดูว่ารูปประโยคเป็นอย่างไร กล่าวถึงอะไร"
"สรุปว่าในเมื่อแขกบ่มเพาะความสามารถในการวิวาท ก็คือถกเถียงกันแบบตรรกะวิภาษ คือใช้คำพูดใช้เหตุผลในการหักล้างกัน เมื่อเจอพระพุทธเจ้าเข้า ได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ไม่เคยได้ยินจากที่อื่นมาก่อน เกิดชอบใจ ประกาศถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
พระพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต เจอพราหมณ์กำลังไถนาอยู่ พระพุทธเจ้าก็ถามว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ? พราหมณ์ก็บอกว่าจะต้องมีวัว จะต้องมีแอก จะต้องมีเชือก จะต้องมีไถ จะต้องมีผาล ฯลฯ อธิบายแต่ละอย่างว่าทำอะไรบ้าง "แล้วท่านเล่า ประกอบอาชีพอะไร ?" พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านก็ทำนาเหมือนกัน พราหมณ์ถามว่า "ไหนละเชือกของท่าน ? ไหนละไถของท่าน ? ไหนละผานของท่าน ?"
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า หิริ อีสา งอนไถ (เครื่องบังคับทิศทาง) คือความละอายชั่ว มโน โยตฺตํ ความคิดเป็นเส้นเชือกในการบังคับ สติ เม ผาลปาจนํ สติเหมือนผาลไถที่คอยพลิกดิน จะดีหรือชั่วก็อยู่ตรงนั้นแหละ ว่าจะพลิกอะไรขึ้นมา พราหมณ์ได้ยินจึงประกาศถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ไม่เคยฟังอะไรที่ชัดเจนอย่างนี้มาก่อน แต่นั่นหมายความว่าท่านต้องพูดกับชาวนา คนทำนาเขาอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้อยู่ พระพุทธเจ้ายกขึ้นมาเขาเข้าใจทันที
แบบเดียวกับที่ท่านยกเรื่องของราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ให้ชฎิลสามพี่น้องที่บูชาไฟฟัง ฟังปุ๊บเขาก็เข้าใจ เพราะว่าตรงกับสิ่งที่เขาทำอยู่
ดังนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เป็นไปตามสภาพของบุคคลและสังคมนั้น ๆ พระองค์ท่านถึงได้ตรัสว่าบุคคลที่ประกอบด้วยความสำเร็จ จะต้องมีตั้งแต่ ธัมมัญญุตา...รู้เหตุ อัตถัญญุตา...รู้ผล ฯลฯ ไล่ไปเรื่อย จนกระทั่งถึง ปริสัญญุตา...รู้ชุมชน รู้หมู่คนว่าต้องการอะไร ปุคคลปโรปรัญญุตา...รู้ว่าบุคคลนี้เป็นอย่างไร ต้องการอย่างไร ก็จะแสดงเฉพาะกรณีไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ทองผาภูมิขอให้กรมคชบาลส่งเจ้าหน้าที่ไปดูลักษณะช้างตัวหนึ่ง เพราะว่าด้วยสายตาของชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ดูแล้วว่าน่าจะเป็นช้างเผือก เป็นช้างเผือกตระกูลวิษณุพงศ์ ปรากฏว่าจนป่านนี้ข่าวคราวก็ยังเงียบ ๆ อยู่ ที่พวกเราตื่นเต้นกันเพราะว่า ถ้าเป็นช้างเผือกก็จะเป็นเชือกแรกในรัชกาลที่ ๑๐”
ถาม : ช้างเผือกมีลำดับตระกูลไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าพรหมพงศ์เขาจะถือว่าสูงสุด แล้วก็อิศวรพงศ์ วิษณุพงศ์
ถาม : ช่วงนี้อารมณ์เหมือนกับอากาศประเทศเราตอนนี้เลยครับ เดี๋ยวก็ขุ่นมัว เดี๋ยวก็ร้อนหนาว ?
ตอบ : พยายามรักษาใจให้นิ่งสิ อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับปัจจุบันไว้ ก็จะไม่ไหลไปไหน ก็ไม่ขุ่นมัว
รู้ ๆ อยู่ว่าเป็นเพราะอะไรก็ต้องแก้ได้ ส่วนใหญ่แล้วเหมือนผงเข้าตาตัวเอง จะเขี่ยเองก็มองไม่เห็น รู้ว่าอารมณ์ขุ่นมัวก็รักษาอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับปัจจุบันตรงหน้า พักเดียวก็ผ่องใสแล้ว กิเลสนี่มารยาเยอะ มักจะดึงเราไปสนใจเรื่องอื่นให้ลืม ๆ ตรงหน้านี้ พอเราลืมตรงหน้าก็เจ๊งเลย
เคล็ดลับของการปฏิบัติธรรมก็คือ หยุดอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต ความทุกข์ก็น้อยแล้ว ส่วนใหญ่เราทุกข์เพราะเราคิดเอง ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง คิดแล้วก็ฟุ้งซ่าน อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ ไม่น่าเป็นอย่างนั้น ไม่น่าเป็นอย่างนี้ สรุปแล้ว กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มาครบเลย
ไอ้ไม่อยากก็คืออยาก ไม่อยากแก่..อยากไม่แก่ ไม่อยากเจ็บ..อยากไม่เจ็บ ไม่อยากตาย..อยากไม่ตาย บอกว่าไม่อยากก็ฟังดูดี ที่ไหนได้..อยากเต็ม ๆ เลย ท่านถึงได้เรียก ‘วิภว’ คนละสภาพ ตรงกันข้ามกัน
ถาม : ที่บ้านตั้งศาลไว้ แต่เก่ามากแล้ว อยากจะเปลี่ยนศาลใหม่ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวท่านแล้วก็เปลี่ยนใหม่
ถาม : ต้องบวงสรวงใหม่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง
ถาม : ที่บ้านหนูศาลเก่าแล้ว ถ้ารื้อศาลออก หนูไม่ตั้งใหม่ ?
ตอบ : ถ้าเขามีอยู่ ไปเอาออกแล้วไม่ตั้งใหม่ก็หาเรื่องซวยนะสิ..!
ถาม : แต่แรกผมสนใจในเรื่องการสวดมนต์เรื่องพระคาถาต่าง ๆ ขณะเดียวกันตอนนี้ผมชอบเรื่องกรรมฐานเจริญด้วยลม มีพระคาถาบางบท เช่น พระคาถาพุทโธ เดิมทีเดียวผมได้ภาวนาในลักษณะของสมาธิ พอตอนหลังผมมาฟังเทปของพระอาจารย์ช่วงหนึ่งที่บอกว่า หลวงปู่ฤๅษีลิงดำท่านสอนให้ทำลมหายใจ ผมก็ทำ เข้าพุท-ออกโธ จะมีอาการแกว่งตอนเย็น ๆ ค่ำ ๆ แต่พอกลางคืนผมจะทำได้ทรงตัวขึ้น จะทำลมให้เกิดความสงบ จะทำได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เรื่องของการภาวนาต้องบอกว่า เขาให้หวังความสงบก่อน ถ้าหากว่าจิตใจของเราสงบผ่องใส จะรู้ว่ากิเลสหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงจะสามารถที่จะไปตัดไปละได้ ส่วนเรื่องผลพิเศษต่าง ๆ ของคำภาวนาอย่างพวกพระคาถาต่าง ๆ เป็นแค่ของแถมเท่านั้น พระคาถาต่าง ๆ จะเกิดผลต่อเมื่อใจของเราสงบระงับได้ระดับหนึ่งถึงจะมีพลังพอ
ดังนั้น..จริง ๆ จะว่าไปแล้วปัญหาทั้งหมดเป็นปัญหาเดียวกัน ก็เลยสำคัญตรงที่ว่าเราทำอย่างไรให้ใจของเราสงบ ถ้าใจของเราสงบได้จะใช้คำภาวนาอะไรก็ตามก็จะเกิดผลทั้งหมด
ถาม : ลมเข้าลมออกจะไม่เท่ากัน ?
ตอบ : จะเข้าจะออกอย่างไรก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงระลึกรู้ตามไปได้เท่านั้น
ถาม : พอผมฟังเทปหลวงพ่อฤๅษีบ่อยทุกวัน ท่านว่าอย่าทิ้งองค์ภาวนาในการทำลมเข้าและลมออก แต่ถ้าจิตฟุ้งซ่านมากก็ให้ละองค์ภาวนา ให้รู้แต่ลมหายใจอย่างเดียวว่าสั้นหรือยาว แบบนี้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสงสัยว่าถูกหรือไม่ถูก ชาตินี้ก็ไม่ต้องทำอะไร ครูบาอาจารย์บอกอย่างไรเขาให้ทำตามนั้น ทำแล้วเกิดผลไม่เกิดผล ตัวเราเองจะเป็นเครื่องยืนยันเอง
ถาม : เวลาที่ผมพุทโธแล้วฟุ้งซ่าน ผมจะเปลี่ยนไปนับลมหายใจเข้าออกได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราทำว่าเหมาะอย่างไร บางคนก็เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งไปเดิน ไปจับทำงานอะไร แต่ว่าให้สติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกก็ใช้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาเราฟุ้งซ่านแล้วก็ไปนั่งสู้กับมัน ทั้ง ๆ ที่เรายังฟุ้งอยู่ แต่ความจริงแล้วถ้าเราสามารถหยุดใจอยู่กับปัจจุบัน คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ไม่คิดเรื่องอื่น ก็จะสงบเอง
แต่ว่าส่วนมากพอถึงเวลาเราฟุ้งซ่าน กำลังสมาธิเราไม่มี ก็มักจะโดนกิเลสลากให้ฟุ้งใหญ่โตไปเรื่อย ก็อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถไปเดิน ไปทำงานทำการ โดยเอาสติจับที่ลมหายใจเข้าออกตามไปด้วย น่าจะได้ผลง่ายกว่า
ถาม : แล้วจะกลับมานั่งใหม่ได้ ?
ตอบ : ถึงเวลาพอทรงตัวแล้วค่อยกลับมานั่งใหม่
ถาม : ผมนำใบโคคาสด ๆ จากอเมริกาใต้มา ใบโคคาที่ใช้เป็นพวกสารโคเคอีน อย่างนี้ผิดศีลข้อที่ ๕ ไหมครับ ?
ตอบ : ดูที่เจตนาของเรา ถ้าเจตนาของเราต้องการเสพเพื่อที่จะให้เคลิบเคลิ้มขาดสติก็ผิด
ถาม : ศีล ๘ ข้อวิกาลโภชนาฯ ตามจริงต้องหลังเที่ยงหรือหลังบ่ายสอง ?
ตอบ : บ้านเราเขายึดถือหลังเที่ยงก็หลังเที่ยงไป ที่หลังบ่ายสองนั่นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้สำหรับบุคคลที่เลิกงานตอนเที่ยง ในเมื่อเลิกงานตอนเที่ยง ไปกินหลังเที่ยงไม่ได้ก็อดนะสิ ก็เลยบอกว่าโดยปกติแล้วถ้าเราถือว่าเป็นมื้อกลางวันมื้อเดียว ก็อย่าให้เกินบ่ายสองโมง
ถาม : หลังเที่ยงแล้ว สิ่งที่ฆราวาสกินได้มีอะไรบ้าง ?
ตอบ : ดูตามแบบของพระก็ได้ น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น ประมาณนี้
ถาม : พวกน้ำผลไม้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นของพระ เขาห้ามมหาผล ของฆราวาสไม่เห็นว่าห้าม เพราะว่ามหาผลส่วนใหญ่มีฮอร์โมนเยอะ รับฮอร์โมนเข้าไปเยอะ ๆ พระหาที่ไปไม่ได้ก็งุ่นง่านตาย
ถาม : เวลาเดินทางไปต่างประเทศ ขณะอยู่บนเครื่องบินจะใช้เวลาที่ไหน ?
ตอบ : ใช้เวลาของเขา
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า “ชื่อคุณเขียนว่า “ฐิติ” จะอ่าน “ธิติ” ได้อย่างไร ? ภาษาไทยแท้ ๆ ยังอ่านผิดอีก
ไม่ใช่แต่โยมอย่างเดียว พระก็ออกเสียงผิดกันตลอด ระยะหลัง ๆ ของวัดท่าขนุนให้แก้ไขจนเหลือผิดน้อยมากแล้ว อย่างเช่น “สุสะมารัทธายะ” กลายเป็น “รัทถายะ” ทุกที การออกเสียงพอออกผิดจะกลายเป็นคนละความหมายกันไป
สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุงก็มีหลวงพี่ฐิติ ออกเสียงต่ำเป็นเสียงสูงทุกที “โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง” ท่านจะออกเป็น “โขรัมปะ” ทุกครั้งไป”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมารับสังฆทานที่บ้านเติมบุญแห่งนี้ก็เป็นปีที่ ๒ แล้ว ปกติตามสัญญาที่เขียนเอาไว้จะต้องมีการขึ้นค่าเช่า ปรากฏว่าเจ้าของบ้านใจดีบอกว่าไม่ขึ้น ..(หัวเราะ).. เพราะว่าพวกเราดูแลบ้านให้เขาดีมาก สิ่งที่เจ้าของบ้านเช่ากลัวมากที่สุดก็คือ การปล่อยปละละเลยจากคนเช่า บางบ้านเข้าไปนี่กองขยะชัด ๆ เลย
พระครูแสง น้องชายไปทำงานอยู่ซาอุดีอาระเบีย ๕ ปี กลับมาก็ต้องบอกว่ารวยมาเลย คราวนี้มีปัญหาที่ว่า พอมาแล้วเขาซื้อบ้าน เมื่อตัวเองไปบวชก็เลยต้องให้คนอื่นเช่า ไปเก็บค่าเช่าทีไรด่าแหลกทุกที..! เพราะว่าบ้านเละเป็นโจ๊กเลย ..(หัวเราะ)..”
ถาม : น้องชายเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองเลย มีเทคนิคอะไรทำให้เขายอมรักษาด้วยวิธีสมุนไพร ถ้าไปหาพระ เขาคงปรามาสแน่นอน ?
ตอบ : เทคนิคไม่มี อยู่ที่ตัวเขาเอง อยากหายเขาก็ดิ้นรนรักษา ถ้าไม่อยากหาย บีบคอให้ตายก็รักษาไม่ได้
ถาม : หมอจะให้เขาตัดกระเพาะแล้วค่ะ ถ้าตัดแล้วรักษาด้วยสมุนไพรน่าจะยาก ?
ตอบ : ลองถามอาจารย์บ๊ะดูดีกว่า
พวกมะเร็งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์เกิดจากความเครียด พอเครียดแล้วฮอร์โมนแปรปรวนก็เลยเป็น ผู้ชายก็มักจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้หญิงก็เป็นมะเร็งเต้านมบ้าง มะเร็งปากมดลูกบ้าง สำคัญตรงที่ว่าหายเครียดได้ไหม ? ถ้าหายเครียดได้บางทีไม่ต้องรักษาก็หายไปเฉย ๆ แต่ว่ามีเทคนิคอย่างหนึ่งก็คือว่า มะเร็งเกิดในที่ขาดออกซิเจน เพราะฉะนั้น..วิธีหายใจแบบโยคะหรืออานาปานสติน่าจะช่วยได้เยอะ เพียงแต่ว่าเขายอมทำไหม ? หรือว่าจะปรามาสหนักเข้าไปอีก ?
ถาม : เสียดายมาก เมื่อก่อนเขาเคยฝึกธรรมกาย ..(ไม่ชัด).. พอช่วงเขาปล่อยข่าวทำลาย เขาก็หนีห่าง ไม่เอาเลย ?
ตอบ : ต้องบอกว่าขาดปัญญาไปหน่อย ตัวเองทำแล้วเห็นผลแท้ ๆ ยังจะไปเชื่อใคร ปกติก็ต้องเชื่อตัวเอง แต่ก็อย่างว่าแหละ...ธรรมดา ปุถุชนย่อมถือมงคลตื่นข่าวเป็นปกติ พระพุทธเจ้าถึงได้สอนว่าอย่าเชื่อโดยเหตุ ๑๐ ประการ ในเกสปุตตสูตร บางคนเรียกว่ากาลามสูตร เพราะว่าตรัสกับชาวกาลามะ
ถาม : ช่วงนั้นเขาปล่อยข่าวตลอด ?
ตอบ : หลวงวิจิตรวาทการท่านถึงได้เตือนไว้ว่า “อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน” ธรรมกายต้องบอกว่านอกจากเด่นเกินแล้ว ยังมีจุดผิดพลาดคือคำสอนไม่ตรงพระไตรปิฎก เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น เนื่องจากไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าสภาพพระนิพพานเป็นอย่างไร ในเมื่อไม่เข้าใจ ตัวเองไปได้ สัมผัสได้ พบเห็นได้ ก็ไปยึดมั่นว่าเป็นอัตตา..เจ๊งเลย เพราะว่าไปค้านกับคำสอนพระพุทธเจ้า
ถาม : บ้านไฟไหม้ ?
ตอบ : เสียหายมากไหม ?
ถาม : ครัวไปหมดครับ ?
ตอบ : อดีตเราเคยทำกรรมเอาไว้ ถึงเวลาปัจจุบันเขามาทวงก็ถือว่าใช้หนี้กันไปแล้วเริ่มต้นใหม่ ถ้าเราเคยทำอทินนาทานใหญ่เอาไว้ ทรัพย์สินจะเสียหายด้วยไฟไหม้ น้ำท่วม ลมพัด อะไรประมาณนั้น ก็ถือว่าใช้เศษกรรมไป ต่อไปจะได้เจริญรุ่งเรือง
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า “นามสกุลนี้จริง ๆ เป็นภาษาบาลีคือ “ปัณรสี” ปัณรส แปลว่าสิบห้า คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แต่พอไปออกเสียงเป็นภาษาเหนือก็เพี้ยนเป็น “ปันต๊ะรสี”
ภาษาเหนือติดบาลีเยอะมาก อย่าง “สะป๊ะมากมี” สะป๊ะ ก็คือ “สัพพะ” ในภาษาบาลีนั่นแหละ”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาจะต้องกัดฟันทนหายใจไว้อย่างน้อยก็อีก ๓-๔ เดือน เพื่อจะรอดูพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่เกิดมายังไม่เคยได้เห็นของจริง ต้องกัดฟันอยู่ดูให้ได้ รัฐพิธี พระราชพิธีอื่น ๆ ดูมาเยอะแยะแล้ว ไล่ตั้งแต่รัชดาภิเษกมา แต่บรมราชาภิเษกนี่เกิดไม่ทัน ต้องมาดูในยุคนี้แหละ
อายุ ๖๐ ปีผ่านไป ถึงจะมีโอกาสได้ดูสักครั้งหนึ่ง เพราะว่ารัชกาลที่ ๙ ครองราชย์ตั้ง ๗๐ ปี รัชกาลอื่นจะตามก็ยากแล้ว สมัยก่อนสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครองราชย์ ๓๐ ปี เขาก็ว่านานมาก เพราะส่วนใหญ่กว่าจะขึ้นครองราชย์ก็พระชนมายุมาก ๆ แล้วทั้งนั้น แล้วอีกอย่างหนึ่งก็มักจะมีศึกเสือเหนือใต้อยู่ตลอด ถึงพระชนมายุน้อยก็อาจจะออกรบแล้วก็สวรรคตในที่รบได้
มาถึงรัชกาลที่ ๑ ครองราชย์ ๒๗ ปีก็ว่านานมาก แต่ก็ทำลายสถิติไม่ได้ มารัชกาลที่ ๕ ครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ ๑๑ พรรษา ยาวไปเลย ทำลายสถิติได้ มีการจัดงานรัชมังคลาภิเษก
แล้วรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงครองราชย์นานถึง ๔๒ ปี คิดว่าไม่มีใครทำลายสถิติได้แล้ว รัชกาลที่ ๙ ก็ทำลายสถิติไป จัดรัชมังคลาภิเษกปี พ.ศ. ๒๕๓๑ คราวนี้พระองค์ท่านครองเสีย ๗๐ ปี อายุจะให้ถึง ๗๐ ยังยากเลย ต้องเกิดวันนั้นแล้วครองราชย์เลยจึงมีโอกาสทำลายสถิติ ..(หัวเราะ)..”
พระอาจารย์กล่าวว่า “โยมบอกว่าพ่อแม่เป็นอิสลาม มาทำบุญให้พ่อแม่ที่เสียชีวิต ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของพ่อแม่ที่มีเขาเป็นลูก”
ถาม : พ่อแม่เป็นอิสลาม ลูกมาทำให้ พ่อแม่รับได้ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาโมทนาได้ไหม ? ถ้าโมทนาได้ก็รับได้ การทำบุญให้ไม่ใช่เครื่องรับประกันว่าจะได้หมด ต้องอยู่ในเขตที่โมทนาได้ด้วย
ถาม : ถือศีล ๘ เตียงที่บ้านเป็นเตียงสี่เสา สูงประมาณเข่า ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด คำว่าที่นอนสูงที่นอนใหญ่ไม่ได้หมายถึงขาเตียงสูง แต่หมายถึงฟูกสูง ฟูกสูงที่เขาบอก คือ ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี...สูงได้คืบหนึ่งนะ สมัยนี้ก็คือหนาเป็นศอก ทำให้ตายก็ไม่ถึงศอกหรอก นอนไปเถอะ ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเพราะกลัวพระจะติดสบาย อาตมาก็เอาผ้าห่มปูกับพื้นแล้วนอนเลย
ที่นอนสูงที่นอนใหญ่เขาหมายถึงตัวที่นอน ไม่ได้หมายถึงขาเตียง ขาเตียงสูง ๆ ก็ดี ถึงเวลาจะได้แอบเขาได้ ..(หัวเราะ).. เห็นในการ์ตูนชอบมุดใต้เตียงไม่ใช่หรือ..?!
แม้กระทั่งไปต่างประเทศ นอนห้องสูท อาตมาเองก็ยังคงนอนกับพื้นเหมือนเดิม เพราะว่านอนเตียงแล้วปวดหลัง โห..ห้องเขามหึมามโหฬาร จะมีห้องด้านหน้าสำหรับรับแขก ห้องด้านใน และห้องนอน คนเดียวจะนอนอะไรขนาดนั้น..! ถึงเวลาบริกรจะเข้ามาช่วยเปิดเครื่องปรับอากาศ เปิดไฟ เปิดสารพัด แล้วก็เดินวนอยู่นั่น ไม่ไปจนกว่าจะได้ทิป ..(หัวเราะ).. ไปต่างประเทศต้องมือหนัก ๆ หน่อย
มีประเทศเดียวที่ไปแล้วไม่ต้องจ่ายทิปก็คือญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถ้าไปให้ทิปนี่โกรธนะ ..(หัวเราะ).. เขาถือว่าเขาทำงานได้ค่าตอบแทนอยู่แล้ว ต้องบอกว่ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรี ส่วนถ้าไปอินเดีย เนปาล ก็ “One dollar, one dollar” เอะอะก็ ๑ ดอลลาร์ ทำไมไม่เอาสัก ๒-๓ ดอลลาร์วะ ?
โยมซื้อรองเท้าคู่ใหม่มาถวายพระอาจารย์ "ไม่ต้องหรอก ใช้ได้ก็ใช้ไปก่อน อาตมาไม่ได้มีนิสัยชอบของใหม่ เป็นคนค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยเปลี่ยนอะไรง่าย ๆ หรอก ไปโดนเขาขโมยเปลี่ยนรองเท้าทีหนึ่ง เขาทนไม่ได้ที่เห็นใส่รองเท้าหมาแทะ..! กลับมาใส่รองเท้า เอ๊ะ..วันนี้ทำไมรองเท้าฝืดแท้ ? ปรากฎว่าเขาเปลี่ยนให้ใหม่เอี่ยมมาเลย ของเก่าไม่รู้ว่าโดยขโมยไปไว้ที่ไหน ?"
ถาม : จะไปผ่าตัด ?
ตอบ : สมัยนี้หมอเก่ง ขนาดผ่าสมองยังไม่เป็นอะไรเลย บอกวิสัญญีแพทย์ว่าวางยาสลบแบบตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจ็บ เขาทำได้นะ ปกติพอฤทธิ์ยาหมดเราจะเจ็บ แต่หมอสมัยใหม่เขามีตัวยาของเขา วางแล้วตื่นขึ้นมาจะไม่เจ็บ
เมื่อสักครู่หมอไพบูลย์มา ท่านเป็นวิสัญญีแพทย์ เคยบอกว่า “ถ้าพระอาจารย์จะผ่าเมื่อไรบอกผม เดี๋ยวผมวางยาให้ รับรองว่าตื่นมาไม่เจ็บแผล” ได้แต่หวังว่าคงไม่ต้องใช้บริการของท่านนะ ..(หัวเราะ)..
ถาม : งานที่ทำมีเวลาภาวนาได้มาก แต่มีความเสี่ยงบางอย่าง ผมก็เลยไม่รู้ว่า อันนี้ก็ดี อันนี้ก็เสีย จะต้องวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ถึงเวลาก็ลงรายการซ้ายขวา ดีอย่างไร...ไม่ดีอย่างไร...ก็ไล่ไป อันไหนดีมากกว่าก็เอาอันนั้นแหละ
ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากลัวการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจริง ๆ ก็คือกลัวตายอย่างหนึ่ง ในเมื่อกลัวการเปลี่ยนแปลงก็ไม่มั่นใจตัวเอง ขอบอกว่า ถ้าหากว่าต้องตัดสินใจ ในโลกน้อยคนที่จะมั่นใจตัวเอง เพียงแต่เขาตัดสินใจจากประสบการณ์ ว่าสิ่งนี้ถ้าหากว่าทำแล้วน่าจะดีกว่า เขาก็กล้าตัดสินใจ ก็แค่นั้นเอง ไม่มีใครมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก
ถาม : น่าจะดีกว่าในทางโลก แต่ทางธรรมน่าจะแย่ลง ?
ตอบ : เราก็หาเวลาปฏิบัติของเราเองสิ นอนให้น้อยลงบ้าง..! เล่นไลน์เล่นเฟซบุ๊กยังเล่นได้ข้ามวันข้ามคืน ก็เอาเวลามาภาวนาแทนสิ
ถาม : ถ้าเราอยู่ในส่วนงานที่ต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเกิดความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ จะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่านับก็ใช่ แต่เราลองดูว่าสิ่งนั้นเป็นความต้องการของบริษัทหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเป็นความต้องการของบริษัทหรือของหน่วยงาน เขามีงบประมาณส่วนนั้นอยู่แล้ว เราก็ถือว่าเราทำตามหน้าที่
ถาม : ถ้าลูกน้องเรามีนิสัยแนวศรีธนญชัย มีธรรมข้อใดสามารถนำไปใช้ได้ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าพระเดชเขามีเอาไว้เหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่พระคุณ ในเมื่อศรีธนญชัยมาก ๆ ก็คาดโทษไว้สิ ถึงเวลาก็...คาดโทษ...ภาคทัณฑ์...ตัดเงินเดือน...ตบหน้า...ยึดเมีย...ไล่ออก...! อะไรก็ทำไป
ถาม : ไม่มั่นใจว่าที่ภาวนาอยู่จะได้ผลไหม แต่ไหน ๆ แล้วก็ทำไป สิ่งที่ทำอยู่คือเราไม่ได้นั่งภาวนา แต่เวลาขับรถ กินข้าว ล้างจาน การภาวนาพระคาถาเงินล้านจะได้ผลไหมครับ ?
ตอบ : ต้องภาวนาในทุกอิริยาบถ จะกินจะขี้ก็ต้องภาวนาได้..!
ถาม : ถ้าภาวนาคาถาเร็วบ้างช้าบ้าง ตามอารมณ์ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์สม่ำเสมอเท่านั้น ถึงเวลามีผลแน่นอน คราวนี้คุณเข้าใจหรือยัง คำว่าวิจิกิจฉาคืออะไร ? ก็คืออารมณ์นี้ อารมณ์ขาดความมั่นใจว่าทำแล้วจะได้ผลจริงหรือเปล่า ถ้าตราบใดที่ตัวนี้ยังอยู่ แปลว่ากำลังใจยังไม่ทรงตัว ถ้ากำลังใจยังไม่ทรงตัวจริง ๆ โอกาสที่จะได้ผลก็น้อย ฉะนั้น..เรามีหน้าที่ทำ จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เกิดก็เรื่องของเขา
ถาม : คาถาเงินล้านต้องภาวนากี่ล้านจบจึงจะมีผล ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องกี่ล้านจบ สำคัญตรงจริงจังสม่ำเสมอ บอกแล้วว่า ๓ จบ ๗ จบ ๙ จบ เขาก็มีผลกันทั้งนั้น สำคัญตรงที่เราทำจริงหรือเปล่า ?
ถาม : เวลานึกถึงภาพพระ ถ้าไม่มีลมหายใจเป็นพื้นฐาน แต่ใช้คำภาวนาแทนจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีลมหายใจเป็นพื้นฐานกำกับ ก็จะมีความมั่นคงมากกว่า
ถาม : ภาวนากสิณไฟ เวลานึกถึงลูกไฟ ไม่ได้มาเป็นลูก ๆ แต่มาเป็นทะเลเพลิง จะทำอย่างไร ?
ตอบ : รักษาภาพนั้นไว้ เขาเรียกว่าปฏิภาคนิมิต ก็คือขยายใหญ่ได้ แต่คราวนี้เรายังทำให้เล็กไม่ได้ ก็แค่กำหนดนึกถึงเท่านั้น เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าจะทำจริง ๆ ต้องสละเวลาทำไปเลย ไม่ใช่ไปรอจนนิมิตมาแล้วค่อยมาทำ
ถาม : พระพุทธชินราชเป็นองค์แทนของสมเด็จพระพุทธกัสสปหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่านึกถึงใคร พระพุทธรูปทุกองค์ ถ้านึกเหมารวมคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเหมารวมก็มักจะเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่คราวนี้ถ้าเรานึกจำเพาะเจาะจง เรานึกถึงองค์ไหนก็องค์นั้นแหละ
ถาม : ถ้าเราสูบบุหรี่ แล้วกลิ่นเหม็นไปรบกวนคนอื่น ผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิดศีลตรงไหน เพียงแต่ว่าสังคมรังเกียจ
เอาตัวอย่างนักบวช ถ้าคุณไปสูบบุหรี่ที่ลังกาหรืออินเดีย เขาเห็นว่าแย่ขนาดปาราชิกเลย เขาถือว่าคุณเป็นนักบวชแล้วของแค่นี้ละไม่ได้หรือ ? ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่ไม่มีโทษ แต่ชาวบ้านเขาเห็นว่าเป็นโทษ เขาเรียกว่า “โลกวัชชะ” คือโลกติเตียน ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันของเราก็เพิ่มปัณณัตติกวัชชะ ก็คือกฎหมายห้ามด้วย ก็เลยกลายเป็นว่าการสูบบุหรี่ต้องดูด้วยว่าอยู่ในที่สาธารณะหรือเปล่า ?
การสูบจริง ๆ เงินก็เงินของเราเอง โรคภัยไข้เจ็บก็กินเราเอง ไม่ได้เดือดร้อนใครหรอก เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาแล้วทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนหรือเปล่า ? เพราะว่าเขาไม่สูบกันทั้งหมด แล้วเราไปสูบอยู่คนเดียว โทษเกิดกับคนอื่นน้อย แต่โทษเกิดกับเราเยอะ ถ้าหากว่ามีปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมา
ถาม : อย่างเราเผากองขยะ แล้วส่งกลิ่นเหม็นเข้าบ้านคนอื่น จะบาปไหม ?
ตอบ : ถ้าหากนับว่าเป็นบาปก็เป็น แต่ขณะเดียวกันจะไม่ให้เป็นก็ไม่เป็น ต้องดูที่เจตนา เราเจตนาเผาเพื่อให้เพื่อนบ้านเดือดร้อนหรือเปล่า ? ถ้าไม่มีเจตนาตรงนั้น โทษก็ไม่มี
ถาม : เขาไม่ระวังครับ ?
ตอบ : พยายามฟุ้งซ่านให้มาก ๆ เข้าไว้ สภาพจิตจะได้ไม่ต้องรวมตัวกันสักที ตายตอนนี้ก็ลงนรกไปเลย..!
ถาม : อุปบารมีของพุทธภูมิกับอุปบารมีของสาวกภูมิเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เท่ากันหรอก อุปบารมีของพุทธภูมิก็คงประมาณช้าง อุปบารมีของสาวกภูมิก็อาจจะแค่มด
คุณทักษิณ ชินวัตร ใช้เงินสบาย ๆ อาจจะวันละ ๔-๕ แสนบาท เราใช้เงินสบาย ๆ แบบไม่เดือดร้อนนี่หลักพันก็แย่แล้วในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น..อุปบารมีของพุทธภูมิยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคิด ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสละชีวิตเป็นทานได้
ถาม : ถ้าเรายืนอ่านหนังสือฟรีในร้าน บาปไหมครับ ?
ตอบ : เขาก็ทำกันเยอะนะ ถ้าหากเจ้าของร้านเขาไม่ไล่ก็ไม่เป็นไร สมัยก่อนที่ชอบใจที่สุดคือร้านหนังสือดอกหญ้า จัดมุมให้นั่งอ่านเลย ชอบใจแล้วก็ค่อยซื้อไป อันนั้นต้องบอกว่านักเลงจริง
ถาม : อยู่บนสวรรค์ก็สร้างบารมีด้วยการภาวนาได้ จะมาเกิดบนโลกทำไมครับ ?
ตอบ : โอกาสที่จะไม่สร้างมีเยอะมากกว่าจึงต้องมาเกิด คุณอย่าไปคิดว่าขึ้นสวรรค์แล้วไปสร้างบารมี มัวแต่เพลินกับความสุขอยู่ โอกาสสร้างบุญน้อยมากเลยนะ ความสุขของข้างบนประณีตกว่าเราเยอะ ไม่ว่าจะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทุกประเภท มีแต่จะให้ติดหนักกว่าข้างล่างอีก ไม่ได้คูณแสนนะ คูณเป็นล้านเลย
ถาม : น่าจะมีเทคโนโลยีช่วยเรื่องสายตาที่เสียแล้วให้กลับมาดีได้ ?
ตอบ : เทคโนโลยีนั้นดีขึ้นทุกวัน แต่เวรกรรมมีเท่าเดิม สมัยก่อนเวลาอาตมารับหลวงพ่อวัดท่าซุงจากตึกริมน้ำเพื่อไปตึกรับแขก ต้องลงบันได ๓ ขั้น พอกางร่ม ด้วยความที่กลัวหลวงพ่อจะร้อนก็กางให้เงาตกใส่ท่าน ท่านบอกให้กางไปที่บันได ก็กางตามที่ท่านสั่ง
พอท่านเดินลงมาแล้วท่านบอกว่า "แดดสะท้อนขาวหมด ข้ามองบันไดไม่เห็น เพราะฉะนั้นต้องกางร่มให้เงามาลงที่บันได" ตั้งแต่นั้นมาอาตมาก็กางร่มให้บันไดตลอด คนอื่นไม่รู้เขาก็บ่น “กางร่มประสาอะไรวะ ไม่เห็นจะบังหลวงพ่อเลย ?” กางให้เงามาลงที่บันไดท่านจะได้เดินได้
ถาม : ยังดีที่หลวงพ่อยังมองเห็นได้ตลอด แต่หลวงปู่ปานมองไม่เห็น ท่านสายตาเสีย ?
ตอบ : สมัยก่อนมีแต่เทียน ท่านจะมีเวลาว่างมาเขียนเลขเขียนยันต์อะไรก็ตอนกลางคืน เพราะว่าต้องดูแลรักษาคนไข้ตลอด คราวนี้พอเทียนไม่สว่างพอ เพ่งมาก ๆ เข้าสายตาก็เสียหมด ตอนที่ท่านรับตำแหน่งพระครูสมัยรัชกาลที่ ๗ ท่านถึงได้บอก “ตอนนี้ข้าเป็นพระครูแล้ว ข้าไม่หลีกใครแล้วนะ ไม่ว่าจะหนามเหนิมร่องเริ่งก็ไม่หลีก พ่อเหยียบแหลกละมึง” ก็ท่านมองไม่เห็นแล้ว
ถาม : สมัยนั้นพระครูนี่ตำแหน่งสูงมาก ?
ตอบ : พระครูสมัยนั้นดังกว่าเจ้าคุณชั้นธรรมสมัยนี้อีก เจ้าคุณชั้นเทพชั้นธรรมสมัยนี้ดังสู้พระครูสมัยโน้นไม่ได้หรอก สมัยนั้นท่านที่ขึ้นถึงระดับเจ้าคุณได้ ก็เห็นมีแต่เจ้าคุณสามัญ อย่างหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ก็เป็นเจ้าคุณวิสุทธิรังษี เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ หลวงปู่ดี วัดเหนือไปไกลหน่อย ไปถึงเจ้าคุณชั้นเทพฯ เพราะว่าอายุท่านยืน
หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว เป็นเจ้าคุณโสภณสมาจารย์ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า เป็นเจ้าคุณกาญจนวิบูลย์ ก็เจ้าคุณสามัญกันทั้งนั้น หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ก็เจ้าคุณสามัญ เป็นพระพุทธวิถีนายก นั่นขนาดระดับเจ้าคุณแล้วท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลเลยนะ เจ้าคณะมณฑลก็ประมาณเจ้าคณะภาคสมัยนี้
สมัยนี้นะหรือ อย่างไม่มี ๆ เจ้าคณะภาคเขาก็เป็นชั้นเทพชั้นธรรมกัน สมัยโน้นเป็นเจ้าคุณสามัญทำงานได้เยอะกว่าอีก ชาวบ้านเขาศรัทธา ไม่ก็เป็นหลวงตาแก่ ๆ อย่างหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ไม่เห็นต้องเป็นอะไร คนก็เคารพนับถือกันทั้งบ้านทั้งเมือง ขอให้เก่งจริงเท่านั้นแหละ
พอสิ้นหลวงปู่ปานแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ขลุกกับหลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่จง ๒ รูป สมัยเขาโน้นเรียกสามเสืออยุธยา มีวัดบางนมโค วัดเจ้าเจ็ด วัดหน้าต่างนอก วัดเจ้าเจ็ดหลวงพ่อท่านไปไกลหน่อย ไปเป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นพระครูพรหมวิหารคุณ
ก็ไม่นึกว่าหลวงปู่ปานกับหลวงปู่จงรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ปานอายุ ๖๑ ปีก็มรณภาพ หลวงปู่จงอยู่มา ๙๐ กว่าปี อยู่ต่อมาอีก ๓๐ กว่าปี เวลามีงานประจำปีวัดบางนมโค ช่วงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ นิมนต์หลวงปู่จงมาลงนะหน้าทอง เป่ากระหม่อมให้ญาติโยม มีงาน ๓ วัน ๓ คืน
ถาม : พระอาจารย์ทันหลวงปู่จงหรือครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อจงมรณภาพตอนผมอายุ ๖ ขวบแล้ว นั่นท่านไม่ได้รีบตายนะ ผม ๖ ขวบแล้วหลวงพ่อจงเพิ่งจะมรณภาพ
ส่วนใหญ่สมัยก่อนแม่หรือยายเขาแจวเรือไปกัน คราวนี้หลวงพ่อจงท่านลงนะหน้าทองเป่ากระหม่อมให้เขา กว่าจะเสร็จงานแทบจะเป็นลมตาย ได้มา ๘,๐๐๐ บาท แต่ ๘,๐๐๐ บาทสมัยก่อนมหาศาล เพราะว่าสร้างโบสถ์ทั้งหลังแค่ ๕,๐๐๐ บาทเอง
เราตีว่าโบสถ์สมัยนี้ ๒๐ ล้านบาท ถ้า ๕,๐๐๐ บาทเท่ากับ ๒๐ ล้านบาท โอ้โฮ...หลวงปู่ได้ไปตั้งเท่าไร ไม่ปาเข้าไป ๓๐-๔๐ ล้านบาทหรือ ? ปรากฏว่าคนไปปิดทองรูปหล่อหลวงปู่ปานหยอดตู้ได้ ๘,๐๐๐ บาทเท่ากัน หลวงพ่อจงบอกว่า "เสียท่าท่านปานว่ะ ข้านั่งเป่าหัวเขาเหนื่อยจะเป็นลมได้ ๘,๐๐๐ บาท ท่านปานนั่งเฉย ๆ ได้ ๘,๐๐๐ บาทเหมือนกัน...!"
จะเห็นว่าในเรื่องของพุทธภูมินี่บริวารมากจริง ๆ เคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงพ่อปานใครดังกว่ากัน ?" หลวงพ่อบอกว่าข้าดังสู้ไม่ได้ รุ่นของข้านี่มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ มีทั้งโทรศัพท์ รุ่นหลวงพ่อปานต้องพายเรือไปบอกข่าว เพราะฉะนั้น..ลองคิดดูว่ารุ่นของท่านมีทุกอย่าง โฆษณาได้หมด แต่จัดงานทีหนึ่งคนมา ๒๐๐,๐๐๐ คน รุ่นของหลวงปู่ปานแค่พายเรือไปบอก คนก็มากันแน่น หุงข้าว ๘ กระทะพร้อมกันไม่พอให้คนกิน ท่านบอกว่าหลวงพ่อปานดังกว่าเยอะ
ถาม : ถ้ามีสื่ออย่างสมัยนี้ละก็...?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงเลย ถ้ามีสื่ออย่างสมัยนี้วัดบางนมโคแตกกระจาย ไม่พอให้คนเข้าหรอก
ถาม : หุงกระทะใบบัวทีละ ๘ กระทะเลย ?
ตอบ : ไปนึกถึงวัดเขาตะมะยะ หุงแบบนั้นเลย แต่ของเขา ๑๐ กระทะก็ไม่พอคนกิน
ถาม : ล้างชามก็...?
ตอบ : ล้างชามเขาใช้เขย่าเอา ไปวัดเขาตะมะยะนี่ถ้วยโถโอชามทุกอย่างเป็นสเตนเลสหมด นั่นแหละคือประสบการณ์จริง พอถึงเวลารีบ ๆ ล้าง รีบ ๆ เขย่า ถ้าหากว่าเป็นกระเบื้องนี่แตกบรรลัยหมด
ตี ๔ พระฉัน พระฉันเสร็จก็สามเณร แม่ชีฉันต่อ กว่าฆราวาสจะกินเสร็จเรียบร้อย ก็มื้อต่อไปแล้ว คิดดูว่าคนไปกินทีหนึ่งเป็นหมื่น ๆ คนทุกวัน แล้วอาหารเจตลอด ต้มฟักเขียว ต้มฟักทอง ต้มหน่อไม้ ฯลฯ วนไปวนมาอยู่แค่นี้แหละ คนก็กินกันได้กินกันดี คนหิวขึ้นมามีอะไรก็กินหมดนั่นแหละ
เราไปครั้งแรกผมก็เกรงใจหลวงปู่ ไปนั่งฉันที่ร้านอาหารข้างนอกแล้วค่อยเข้าไป ไปถึงเห็นหน้าท่านบอกเลย “คราวหน้ามากินข้างในนะ อย่าไปกินข้างนอกให้เสียสตางค์” ผมไปแต่ละทีจะไปค้างที่วัดท่านครั้งละ ๓ วัน
กล่าวถึงธงมหาระงับ "ทางด้านหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน เรียนวิชามหาระงับมาจากทางด้านสายหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ตอนที่โรงงานไผ่สมจิตรจัดงานบวชลูกชาย ฟ้ามืดตื๋อ ผมก็บอกไว ๆ หน่อย เดี๋ยวไม่ทันฝน เขาบอกว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมเอาธงหลวงปู่สายปักไว้แล้ว” จริงของเขา...ฝนไม่ตก
ก็แบบเดียวกับปัจจุบันนี้เวลาวัดท่าขนุนจัดงาน ฟ้ามืดแค่ไหนชาวบ้านก็ไม่หนี รู้แล้วว่าถ้าระหว่างมีงานฝนไม่ตกแน่ มีอยู่อย่างเดียวคือเลิกงานแล้วต้องหนีฝนให้ทัน ตอนที่สร้างศาลา ๑๐๐ ปี เทปูนดาดฟ้า ๒๒๐ คิว ก็ต้องเรียกรถ Plant ปูนจากทางด้านลิ่นถิ่นขึ้นมา
ตอนแรกเขามีรถแค่ ๔ คัน บอกเขาว่าเอารถข้างล่าง (ในเมือง) ขึ้นมาด้วย อย่าให้ขาดช่วง เขาก็เตรียมไว้ ปรากฏว่าคนขับเขาบอกว่าฝนไม่ตกแค่วัดกับ Plant ปูนเท่านั้น ระยะทาง ๒๐ กิโลเมตรช่วงกลางนั่นตกหมด ถ้าฝนตกเขาก็ทำงานไม่ได้ เราก็ทำงานไม่ได้ แล้วเขาก็เอาวิศวกรจากข้างล่างขึ้นมา ๒ คนเพื่อเตรียมซ่อมรถโดยเฉพาะ เขาบอกว่าทุกครั้งที่มีการเทปูนมาก ๆ ลักษณะนี้ มักจะต้องมีรถคันใดคันหนึ่งพัง แต่ครั้งนี้ ๘ คันวิ่งได้ตลอดไม่มีเสียเลย
ตั้งแต่นั้นมาวัดท่าขนุนสั่งงานอะไรเขาวิ่งใส่เลย ก็คือเขาเห็นแล้วว่าเรื่องของพระสงเคราะห์นั้นเป็นไปได้จริง ๆ ถ้าเราเทปูนไม่เสร็จอย่างไรฝนก็ไม่ตก เทเสร็จแล้วต้องรอปูนแห้งด้วยนะ ถ้าปูนไม่แห้งเจอฝนเข้าทรายจะลอยหน้าหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอสมัยก่อนเขาใช้งานกันจริง ๆ เขาก็ลับคมตามปกติ พลาดไปโดนเมื่อไรก็แหว่ง โดยเฉพาะมีดหมอสายใต้ของหลวงปู่ทองเฒ่า ที่เจอมาคมกริบทุกเล่มเลย เขาใช้งานกันจริง ๆ
คำว่า มีดหมอ เป็นแค่คุณสมบัติพิเศษที่ครูบาอาจารย์ท่านเสกเพิ่มขึ้นมาให้ จริง ๆ แล้ว ก็คือมีดที่ใช้งานของชาวบ้านนั่นแหละ เราจะเห็นว่าประเภทเหน็บเอวเหน็บหลัง มีของหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ถ้าเล่มใหญ่หน่อยท่านสั่งลบคมหมดเลย กลัวว่าลูกศิษย์จะเอาไปฟันกัน"
ถาม : มีงูกินหางไหมครับ ?
ตอบ : กว่าจะได้สักตัวหนึ่งก็รอเป็นชาติเลย ปกติงูกินหางตัวเองก็หายากอยู่แล้ว กินหางตัวอื่นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ใช่ประเภทเคราะห์หามยามดีจริง ๆ ไม่มีทางได้เจอหรอก เขาเรียกว่า นาคบาศก์
ที่น่าเสียดายคือ มีคลิปถ่ายคนไปเจองูกินหางตัวเอง กินจนเป็นวงกำไล เขาก็ไปกระทุ้ง ๆ ให้งูคลายออก พองูคลายออกมาก็เลื้อยหนีไป ต้องบอกว่าคนไม่รู้จักของดี นาคบาศก์นี่เขาถือว่าเป็นอาวุธของท้าวเวสสุวรรณ ถ้าไม่ใช่ประเภทมีบุญเนื่องกันมาจริง ๆ ไม่มีทางที่จะไปได้เจออย่างนั้นหรอก ไอ้นั่นก็โคตรฉลาดเลย ไปกระทุ้งให้หลุด..!
ถาม : เราจะได้มาได้อย่างไร ?
ตอบ : ก็พองูกินตัวเองจนสุดก็ตาย ได้ตัวมาก็เอามาตากแห้ง เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์ในตัว คราวนี้ถ้าเป็นแบบใหญ่ก็จะเป็นงูสองตัวกินหางกัน งูสองตัวกินหางกันถ้าได้งูเห่าหรืองูจงอางนี่ โอ๊ย...ขลังสุด ๆ
ถ้าเราดูรูปวาดโบราณจะมีพระศิวะ จะมีท้าววิรูปักษ์ จะมีท้าวเวสสุวรรณ บางทีจะเห็นมีสังวาลย์นาคพาดตัวอยู่ นั่นแหละคือนาคบาศก์ของท่าน
บาศก์ มาจากบาลีว่า ปาสะ แปลว่า บ่วง ท้าวเวสสุวรรณมีบ่วงไว้จับผี ทำด้วยพญานาค ปาสะ พอมาเป็นภาษาไทยเป็น บาศะ หรือ บาศก์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มุตฺตาหํ ภิกฺขเว สพฺพปาเสหิ
มุตตะ คือ หลุดพ้น อะหัง คือ ตัวเรา ตัวเราหลุดพ้นแล้ว สพฺพปาเสหิ จากบ่วงทั้งปวง เย ทิพา เย จะ มนุสฺสา ทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ โอ้โฮ...เป็นอะไรที่ประกาศได้เต็มปากเต็มคำมาก เราไปพูดอย่างนั้นได้ที่ไหน ท่านบอกว่าหมดกิเลสก็คือหมดจริง ๆ ปาเสหิตัวนี้ก็คือปาสะ ก็คือบ่วงบาศก์
ถาม : พระอาจารย์เรียนบาลีด้วยหรือครับ ?
ตอบ : เรียนอยู่ระยะหนึ่ง พอท่องไปท่องมาแล้วเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะอยู่ในหัว แล้วเข้าใจหมดเลย ตอนเช้า ๆ บิณฑบาตก็เขียนใส่ซองปัจจัยที่เขาถวายมา ถึงแกะออกมาแล้วก็ไม่ทิ้ง เป็นซองเล็ก ๆ เขียนใส่ไว้ประเภทเดินไปท่องไป ๆ โยมบางคนเห็นก็ “อาจารย์ จดหมายแฟนหรือ ?” ไม่คิดจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นเลยใช่ไหม ? โยมส่วนใหญ่เขาเอาซองถวายพระก็ใส่ซองสีชมพูมา ผมก็เขียนตัวหนังสือเสียเต็มซองเลย
ตอนแรกท่องไป ท่องสักแต่ว่าจำ ไม่เข้าใจ พอวันนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร ท่องไปท่องมา รู้สึกเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะอยู่ในหัวตัวเอง แล้วเข้าใจหมดเลย ทุกวันนี้เวลาไปนั่งแปลให้ประโยค ๙ เขาฟัง เขาก็ยังงง ๆ ว่าอาจารย์แปลได้ลึกขนาดนี้เลยหรือ ? อือ...ก็เข้าใจ
อย่างช่วงที่ผ่านมาการปฏิบัติธรรมของนิสิต มจร. อาจารย์ที่คุมก็เป็นประโยค ๙ ผู้ดูแลก็ประโยค ๙, ด็อกเตอร์ ลูกศิษย์ก็ประโยค ๙ ถ้าผมแปลผิดนี่ตาย..! มีอยู่อย่างเดียวก็คือจะต้องแปลให้ลึกกว่าที่เขารู้
ต้องจับไมค์ฯ พูดวันหนึ่งอย่างน้อย ๔ รอบ รอบละประมาณชั่วโมงหนึ่ง ผมเองเป็นคนที่ไม่เรียกนิสิตเข้าห้องปฏิบัติธรรม แต่ใช้วิธีเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ เขาอยากฟังเดี๋ยวก็มาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียก คราวนี้พอมีบาลีก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่ามาอย่างไรไปอย่างไร
ถาม : หลวงปู่ปานท่านสร้างสำนักเรียนบาลี มีถึงประโยคไหนครับ ?
ตอบ : ไม่รู้ครับ แต่ผมจำได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่ามีนักเรียน ๓๐๐ กว่ารูป ต้องหุงข้าวเลี้ยงกันทุกวัน แล้วคิดดูว่าท่านรักษาคนตั้งเท่าไร แล้วยังต้องสอนหนังสืออีก ถึงเวลายังต้องสร้างวัตถุมงคลอีก...โอ๊ยตาย วัดท่าขนุนแค่พระ ๔๐-๕๐ รูป ผมก็จะปวดหัวตายแล้ว นั่นพระ ๓๐๐-๔๐๐ รูป
ถาม : เลี้ยงขนาดนั้น ชาวบ้านถวายข้าวไม่รู้กี่เกวียน ?
ตอบ : มีหลายบ้านที่ใช้คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ทำน้ำมนต์รดนาเลย แล้วมีผลมหาศาล เขาก็ถือว่าเขาตัดส่วนที่เขาได้เกินมาไปถวายวัด
ถาม : ผมยังงงหลวงปู่ปาน ทำไมท่านไม่รับพัดยศ ทำไมท่านไม่สอบบาลี ?
ตอบ : คาดว่า...ท่านไม่อยากมีภาระมากไปกว่านั้น เพราะว่าถ้ารับมาก็เป็นภาระโดยตรง แบบเดียวกับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ตั้งท่านเป็นพระครูประทวน ก็คือพระครูกวย ชุตินฺธโร พระครูสัญญาบัตรอย่างอาตมานี่จะมีราชทินนามที่ในหลวงท่านทรงตั้งให้ แต่ถ้าพระครูประทวนจะขึ้นต้นด้วยคำว่าพระครู แล้วก็ตามด้วยชื่อเลย อย่างพระครูส้มเกลี้ยง แล้วจะไปรู้ว่าเป็นประทวนตรี ประทวนโท ประทวนเอก ก็ต่อเมื่อได้ใบประทวนตั้งมา
หลวงพ่อกวยท่านบอกว่า “บอกเขาว่าข้าไม่เอา ข้าสอนคนไม่เป็น” ก็คือถ้าเป็นพระครูแล้วต้องสอนเขา ต้องเป็นครู แต่ท้ายสุดเขาก็ยัดให้ท่านจนได้ เห็นเป็นครูบาอาจารย์ดังระเบิดเถิดเทิง ไม่มีอะไรติดตัวเลย อย่างน้อยเป็นพระครูประทวนก็ยังดี เพราะฉะนั้น..ส่วนใหญ่พอเราได้ยินพระครูกวย ก็สงสัยหลวงพ่อกวยท่านเป็นพระครูอะไร ? ราชทินนามท่านทำไมถึงไม่มี ? ท่านเป็นพระครูประทวนอยู่ แล้ว พระครูประทวนเหมือนกับทหารนายสิบ ถ้าพระครูสัญญาบัตรเหมือนกับทหารนายร้อย ในสัญญาบัตรเขาจะมีราชทินนามที่ทรงตั้งมา
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำอธิษฐานของศาลาวัด (สารวัตร) บางอย่างก็เป็นไปไม่ได้ "ขอคำว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่สำเร็จ" นี่พอได้อยู่ แต่ "ขอให้ความทุกข์จงอย่าปรากฏ" เป็นไปไม่ได้หรอก เกิดมาเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้นแหละ
เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เขาใช้คำว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง เกิดมาทุกข์แล้วทุกข์เล่า ซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ ปุนัปปุนัง นี่ประเภททุกข์แล้วทุกข์อีก"
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ได้สร้างสำนักเรียน แต่ทำไมพระสอบบาลีกันได้เยอะ ?
ตอบ : ท่านเรียนกันเอง ผมเองสอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดด้วย ทั้ง ๆ ที่เรียนเอง ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ท่านเพิ่งจะเป็นเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลีใหม่ ๆ ท่านตามตัวผมเลย บอกว่าจะเอาไปเข้าสำนักเรียน หลวงพ่อท่านถามว่าจะไปไหม ? ผมบอก "ไม่ไปครับ ผมรู้ว่าถ้าห่างพ่อแล้วผมเลวแน่ ๆ เลย" ตอนนั้นเพิ่งจะ ๓ - ๔ พรรษาเอง
ถาม : พระอาจารย์บวชปี ๒๕๒๖ หรือครับ ?
ตอบ : บวชปี ๒๕๒๙ พ.ศ. ๒๕๒๙ สอบนวกะกับนักธรรมตรีได้ พ.ศ.๒๕๓๐ เว้นไปปีหนึ่ง ไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน พ.ศ.๒๕๓๑ สอบโท พ.ศ.๒๕๓๒ สอบเอก เรียนเองแต่ได้ที่หนึ่งของจังหวัด ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะเรียนหรอก หลวงพ่อท่านบอกว่า "เรียนเอาไว้หน่อย เอาไว้เป็นไม้กันหมา" ถามว่ากันอย่างไรครับ ? ท่านบอก “พวกปริยัติมักจะดูถูกว่าพระปฏิบัติโง่ เพราะฉะนั้น..เอ็งทำให้เขารู้เสียว่าเราไม่ได้โง่ เรียนเก่งกว่าเขาอีก”
การที่พระวัดท่าซุงอ่านหนังสือเองแล้วสอบได้เพราะว่าสมาธิดีกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ไปดูโทรทัศน์ ไม่ไปฟังวิทยุเหมือนคนอื่น วัดอื่นนี่เรื่องพวกนี้เขาถือเป็นเรื่องปกติ บอกเขาว่าวัดท่าขนุนไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอะไรทั้งนั้นก็ไม่มีใครเชื่อ
ตอนช่วงที่ผมเป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ จะเรียกใช้แม่ชี เรียกใช้เณรแต่ละทียากมากเลย เพราะว่าเขามัวแต่รุมกันอยู่หน้าโทรทัศน์ พอเป็นเจ้าอาวาสก็สั่งเลย "ทำอย่างไรก็ได้ ให้โทรทัศน์หายไปจากวัดในวันนี้..!" พวกนั้นรู้ฤทธิ์ตั้งแต่ตอนเป็นรองเจ้าอาวาสแล้วก็เข็ดกัน สรุปแล้วร้านขายของเก่าก็รวยไป ๓ เครื่อง ๑๐,๐๐๐ บาท ...(หัวเราะ)...
ตอนพวก "ชายเล็ก" พวก "หนูผี" เป็นเณรเล็ก ๆ อยู่ ปกติไม่ค่อยได้เห็นหัวพวกนี้หรอก วันนั้นผมได้จอ PC ใหม่มา พวกเขาก็วนไปวนมาอยู่รอบผมนั่นแหละ "พระอาจารย์มีอะไรจะเรียกใช้ไหมครับ ?" "หลวงพ่อมีอะไรจะเรียกใช้ไหมครับ ?" บอกว่า "ไม่มีหรอก" เขาก็ยังเล่นกันง่วนอยู่แถวนั้นแหละ ตอนไปฉันเพล ผมแอบไปได้ยินเขาคุยกันว่า “พระอาจารย์ท่านไม่ดูโทรทัศน์จริง ๆ ว่ะ”
เขาเห็นจอคอมพิวเตอร์ ๒๒ นิ้วของผม คิดว่าเอาไว้ดูหนัง ทั้งที่ผมเอาไว้ทำงาน ถามว่าทำไมต้องจอใหญ่ ๆ ? เพราะว่าผมแก่แล้ว จอเล็กผมมองไม่ค่อยเห็น คราวนี้เขาเห็นจอใหญ่ก็คิดว่าเอาไว้ดูหนัง อุตส่าห์มาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นวัน ไม่ได้เห็นอะไรเลยนอกจากนั่งพิมพ์งานทั้งวัน ผมก็คิดว่าทำไมวันนี้เณรว่าง่ายจัง ไม่ไปไหนเลย รอให้เรียกใช้ อ๋อ..มารอดูว่าเมื่อไรผมจะดูหนัง เขาจะได้ดูด้วย
ญาติโยมโหลดหนังไว้ให้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลย เขาบอกว่า "สนุกมากเลยครับ ท่านอาจารย์ Bulletproof Monk" ภาษาไทยก็พระกันกระสุน แต่ว่าเป็นพระทิเบต ที่เวลามีเรื่องแล้วยิงไม่เข้า โยมอุตส่าห์โหลดมาให้ จนป่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ กองอยู่ตรงนั้นแหละ
ถาม : เขารู้สึกอย่างไรครับ เพราะว่าปกติเขาเคยดูของพวกนี้ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าหากคุณรับไม่ได้ก็ไปอยู่วัดอื่น เดี๋ยวผมจะทำเรื่องย้ายให้ ผมไม่ได้ง้อเขา ท้ายสุดเขาต้องง้อผมเอง แล้วช่วงนั้นก็มีพระอยู่รูปหนึ่ง ติดยาบ้าขนาดฉีดเข้าเส้นทุกวัน ไม่มีใครกล้าจัดการ ผมไปถึงบอกเขาเลย “คุณเลือกเอา ถ้าหากว่าจะไปอยู่วัดอื่นผมจะทำเรื่องย้ายให้ หรือไม่ก็พรุ่งนี้ผมจะแจ้งความ” ท่านย้ายออกไปเลย ก็ไม่เห็นท่านจะว่าอะไร
สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์ปล่อยปละละเลยเรื่องพวกนี้จนกระทั่งเสียหายเยอะ โดยเฉพาะพวกต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในวัด ๒๐๐ - ๓๐๐ คน ไม่ช่วยงานวัดผมไม่ว่า แต่เวลาวัดมีงาน พอถึงเวลาก็ต้องช่วยพระยกข้าวปลาอาหารเข้าโรงครัว ปรากฏเขายกไปบ้านของเขาเอง ก็ถามว่าแล้วทำไมไปให้พวกนี้อยู่ ? เขาบอกว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยหลวงปู่สายแล้ว ไล่ก็ไม่ไป เออ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการให้
ผมลงไปบอกพวกเขาว่า "ให้ทุกคนย้ายออกได้แล้ว เพราะว่าอาตมาจะใช้ที่ตรงนี้ก่อสร้าง ถ้าใครย้ายออก สังกะสี ไม้ เสา ยกให้เลย ขนไปได้เลย แต่ถ้าผมรื้อเองนี่ไม่ให้นะ" ว่าแล้วก็สั่งช่างขุดหลุมแรกติดบ้านเขาเลย มีปัญญามึงก็อยู่ไป ทางนี้ก็ก่อสร้างตึงตังโครมครามไป พักเดี๋ยวก็ย้ายกันเกลี้ยง อยากอยู่ก็อยู่ไป ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ทนเสียงได้ก็ทนไปสิ ถ้าไปก็ได้ของ แต่ถ้าหากว่าให้ผมจัดการเองนี่ไม่ได้อะไรเลยนะ
มีแต่คนอัศจรรย์ว่าพระอาจารย์เล็กทำได้อย่างไร ทำไมเขาไม่เดินขบวนประท้วง ? ก็อย่างน้อยต้องมีประโยชน์ให้เขา พวกสังกะสี พวกกระเบื้อง พวกไม้ พวกเสา ที่เป็นของวัดเก่า ๆ ก็เอาไปเลย ผมไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
ถาม : ให้อุบายเขาเลือก ?
ตอบ : เขาเลือกด้านที่ดีของเขา ซึ่งผมต้องการ ก็แบบเดียวกับที่ผมจับพระอาคันตุกะพกปืน มีโพยหวย ๔ ใบ บอกเขาว่า “ผมให้คุณเลือก ถ้าคุณจะสึกผมจะสึกให้ แต่ถ้าคุณไม่สึก ผมจะแจ้งความ ปล่อยให้เขาดำเนินคดีไป" เขาก็ยอมสึก ฟังดูเหมือนกับว่าผมเมตตาเปิดโอกาสให้เขาเลือก แต่จริง ๆ แล้วโอกาสที่เขาจะเลือกคือทางที่ผมต้องการ อย่าไปเปิดโอกาสให้เขามากกว่านั้น
ถาม : ทำไมไม่ให้โอกาสว่าให้ย้ายไปอยู่อีกวัด ?
ตอบ : ไม่ได้ เขามาทำให้พระศาสนาเสียหาย พวกนี้ย้ายไปอยู่วัดอื่นก็จะทำเหมือนเดิม
ถาม : พระอาจารย์อยู่ท่าขนุนมากี่ปีครับ ?
ตอบ : ๒๖ ปี เป็นรองเจ้าอาวาสปี ๒๕๔๔ เป็นเจ้าอาวาสปี ๒๕๕๑ ปีนี้เป็นเจ้าอาวาสปีที่ ๑๑ แต่ว่าไปอยู่ที่ทองผาภูมิโน่นตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ ช่วงตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ถึง ๒๕๓๕ ยังวิ่งไปวิ่งมาหาหลวงปู่สายอยู่แถวนั้น
ช่วงนั้นก็ไปกราบขอวิชาความรู้จากหลวงพ่อลำใย หลวงปู่สาย หลวงพ่ออุตตมะ ไม่เคยเข้าไปหาท่านอาจารย์ยันตระเลย มีคนถามว่าทำไมไม่เข้าไปหาท่านอาจารย์ยันตระ ท่านดังมากนะ ? บอกว่าท่านดังมากเลยไม่อยากเข้า เป็นเรื่องที่รู้แต่พูดไม่ได้
ช่วงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ พระอาจารย์ยันตระพาลูกศิษย์ไปกราบศพ เขาจะไม่ให้ท่านเข้าวัด คราวนี้ตอนประชุมกรรมการสงฆ์ ผมก็เลยประท้วง บอกว่าท่านพาลูกศิษย์มา ๒๗ คันรถนะครับ คันรถละ ๔๐ คน นี่ตั้งเท่าไร เขาไปพูดกันคนละทีเราก็เละเป็นโจ๊กแล้ว เรื่องแบบนี้เรารู้กันเอง ไม่ใช่เรื่องที่ชาวบ้านเขารู้กันทั่วไป
ในความรู้สึกของชาวบ้านก็คือท่านเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น...ถ้าหากเราไม่ต้อนรับเขานี่วัดเราเสีย ท่านก็เลยให้ผมไปต้อนรับเอง คนอื่นเขาทำใจไม่ได้ ผมก็ไปต้อนรับท่าน ท้ายสุดท่านทำบุญมา ๔๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ก็แค่บอกลูกศิษย์ของท่าน ๒๐ กว่าคันรถนั่นแหละ คนละหนุบคนละหนับ ทำบุญมา ๔๐๐,๐๐๐ กว่าบาท
ถาม : ชิ้นนี้ใช่ของหลวงพ่อเดิมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ฝีมือหยาบเกิน จำไว้เลยว่าถ้าสีสม่ำเสมอกันทั้งอัน ไม่รมควันมาก็ทอดน้ำมันมา สีจึงผิดธรรมชาติ จำไว้เลยว่าถ้าหากว่างาธรรมชาติจะไม่สีเดียวกันสม่ำเสมอทั้งชิ้น
ถาม : สมมติเป็นช่างคนเดียวกัน แต่คนละหลวงพ่อ จะแยกได้อย่างไร ?
ตอบ : เหมือนกัน ดูอายุได้ เพราะว่าในยุคนั้นมีแต่หลวงพ่อเดิมเท่านั้นแหละ
พูดถึงเหรียญหลวงพ่อหายโศก "หายโศก ภาษาบาลีว่า อโสโก ในมงคลสูตรท่านว่า อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
อะโสกัง ความเป็นผู้ไม่เศร้าโศก คือสภาพจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหว วิระชัง ไร้ธุลีมาแปดเปื้อน เขมัง มีแต่ความเกษมชื่นบาน ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้ใจเศร้าหมองได้
ต้องบอกว่าจุดมุ่งหมายของความเป็นมนุษย์ก็คือหายโศก การเข้าถึงความไม่เศร้าโศก เราจะเห็นว่าแม้แต่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าอโศกมหาราชก็ใช้คำว่า อโศก เป็นผู้ไม่เศร้าโศกแล้ว
แม้แต่หลวงพ่อลีสร้างวัด ก็สร้างชื่อวัดอโศการาม มี ๒ ความหมายด้วยกัน ความหมายแรกท่านคือพระเจ้าอโศกมหาราชมาเกิดใหม่ ความหมายที่สองคือ เป็นอารามหรือวัดแห่งความไม่เศร้าโศก ใครเข้ามาก็ต้องมีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว"
พระเจ้าอโศกมหาราช แต่เดิมฉายาว่า จัณฑาโศก อโศกผู้ดุร้าย อโศกผู้โหดร้าย ไม่ว่ารบที่ไหนก็ฆ่าแหลกที่นั่น ไปรบที่แคว้นกลิงครัฐคืนเดียว ฆ่าข้าศึกไปสองแสนกว่า ต้องบอกว่าเลือดท่วมเท้าช้าง ท่านเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา เครียด ตื่นกลางดึก อยู่บนปราสาทชั้นบนก็เดินไปเดินมายันสว่าง ต้องบอกว่าบุญของท่านมาถึง เพราะว่านิโครธสามเณรออกมาเดินบิณฑบาตพอดี
พระเจ้าอโศกเห็นเข้า "นักบวชที่ไหนหนอ ช่างสงบงาม ดูต่างกับเราเหลือเกิน" ก็เลยให้ราชบุรุษนิมนต์เข้ามารับภัตตาหารในวัง สอบถามว่าเป็นใคร ชอบใจหลักธรรมของใคร ท่านก็บอกว่าเป็นสามเณร ปฏิบัติตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา
พระองค์ก็เล่าความเดือดเนื้อร้อนใจของตัวเองให้ฟัง นิโครธสามเณรก็เลยบอกว่าให้เปลี่ยนวิธี การแผ่ขยายดินแดนสร้างอาณาเขตแบบเดิมใช้วิชัยยุทธก็คือใช้การรบ ให้เปลี่ยนเป็นธรรมยุทธก็คือการรบด้วยธรรมะ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ยินแล้วชอบใจ ก็เลยหันมาประกาศสนับสนุนพระพุทธศาสนา ถือศีล ปฏิบัติธรรม เลิกเข่นฆ่าผู้อื่น แว่นแคว้นอื่น ๆ พอได้ยินก็โล่งใจ ไม่รู้ว่ากษัติรย์ผู้ดุร้ายจะไปถล่มบ้านเมืองของตัวเองเมื่อไร พอได้ยินว่าอีกฝ่ายหนึ่งตั้งใจเป็นธรรมกษัตริย์แล้ว ก็เลยพากันอ่อนน้อม ขอเป็นข้าขัณฑสีมาด้วย
มีโยมถวายวัตถุมงคล "ส่วนใหญ่แล้วพอญาติโยมไปถึงระดับหนึ่งก็เกิดความอิ่มตัว ควรที่จะเรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรม บอกแล้วว่าวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ เรามั่นใจอะไร มีอย่างละชิ้นสองชิ้นก็พอ ใหม่ ๆ ก็เก็บทุกรุ่น รุ่นละเยอะ ๆ ไป ๆ มา ๆ ถึงจุดอิ่มตัวก็เลิก ยกให้คนอื่นบ้าง ตั้งร้านจำหน่ายบ้าง เอาไปถวายครูบาอาจารย์บ้าง"
เสียงไมโครโฟนที่บ้านเติมบุญดับไป "เรื่องเครื่องเสียงอย่างหนึ่ง ที่วัดอาตมาเตือนแล้วเตือนอีก บอกว่าพระทุกรูปไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องเสียง ให้ตั้งระดับเสียงตั้งอะไรให้เรียบร้อย แล้วให้เหลือเปิดสวิทช์ตัวเดียวก็ใช้งานได้เลย ก็จะมีพวกเก่ง ถึงเวลาก็ปิดตัวโน้น ตัวนี้ ตัวนั้น พอคนใหม่ไปเปิดก็เปิดไม่ได้ ด่าไปเท่าไรก็ไม่เคยจำ
อย่าคิดว่าคนอื่นเก่งเหมือนตัวเองหมด หลายคนบอกว่า ถ้าหากว่าเปิดสวิทช์ตัวเดียว ไฟวิ่งเข้าตรงเครื่องจะพัง อาตมาก็บอกว่า “พังกูก็มีปัญญาซื้อใหม่” ขนาดนั้นยังไม่ฟัง ถึงเวลาก็ปิดอีก คนไม่เป็นไปเปิดสวิทช์ ๓ ตัว ๔ ตัว เสียงก็ยังไม่ดังสักที"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนทองผาภูมิน่าสงสารมาก มีปัญหาเกี่ยวกับไต จะฟอกไต ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาในตัวเมือง ๑๔๐ กิโลเมตร ไปถึงถ้าเครื่องไม่ว่าง ก็ไม่ได้ฟอก ท้ายสุดผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิก็เลยมาปรึกษาพระอาจารย์เล็ก ในฐานะประธานโครงการพัฒนาโรงพยาบาล อาตมาจึงสร้างห้องฟอกไตให้เขา
ตอนสร้างไม่ยากหรอก ๖ เดือนก็เสร็จ แต่ตอนรอเขาตรวจเพื่อให้ผ่านเป็นปีเลย กว่าคณะกรรมการของกระทรวงสาธารณสุขจะเยื้องย่างมาตรวจ กว่าจะกลับไปประชุมกัน กว่าผลการประชุมบอกว่าผ่านหรือไม่ผ่าน รวม ๆ แล้วปีกว่า ถ้าคนไข้อาการหนักก็ตายไปแล้ว
สรุปว่าปัจจุบันนี้ โรงพยาบาลทองผาภูมิมีหน่วยไตเทียมหรือห้องฟอกไตแล้ว สามารถรับคนไข้ได้ ๖ คนพร้อมกัน มีล้างไตตรงช่องท้องห้องหนึ่ง อีก ๕ ห้องเป็นการฟอกไตปกติ
ตอนนี้ที่กำลังจะหาให้เขาก็คือเครื่องฟอกไตที่ราคาแพงกว่าปกติ คือทั่ว ๆ ไปประมาณห้าหกแสนบาท แต่ว่าเครื่องนี้ราคาเป็นล้านเลย ถามว่าต่างกันตรงไหน ? เขาบอกว่าฟอกไตแล้วไม่ต้องไปนอนหมดสภาพ ๒ วันเหมือนอย่างกับเครื่องรุ่นเดิมที่มีอยู่
ตอนนี้ทางโรงพยาบาลก็เร่งเดินเอกสารเกี่ยวกับการใช้บัตรทองในการฟอกไต ปัจจุบันนี้ใครจะฟอกไตต้องจ่ายเงิน แต่คนไข้ก็เต็มใจ เพราะว่าไม่ต้องเดินทางไกล ที่แน่ ๆ ก็คือมีเตียงให้เลย ถ้าหากใครไม่รู้ว่าการฟอกไตสำคัญอย่างไร ก็แค่ไม่ได้ฟอกสัก ๓ วันก็ถึงตายได้"
"ร่างกายรับสารอาหารเข้าไปก็ไม่ได้มีแต่สารอาหารอย่างเดียว มีสารพิษด้วย พอร่างกายใช้น้ำก็ต้องกรองน้ำเสียออกจากร่างกาย คราวนี้หน้าที่พวกนี้เป็นหน้าที่ของไต ถ้าหากว่าใครไตชำรุดก็ทำหน้าที่ไม่ได้เต็มที่ ต้องบอกว่าเดินเฉียดประตูแห่งความตาย
ปัจจุบันนี้ต้องฟอกไตกันมาก เพราะว่าอาหารที่เรากินมีสารพิษมาก โดยเฉพาะใครที่กินเนื้อสัตว์มาก กินอาหารโปรตีนมากเกินต้องการ ร่างกายก็จะต้องดึงออก ร่างกายเราต้องการอาหารโปรตีน คิดเป็นเนื้อประมาณวันหนึ่งเต็มที่ไม่เกิดขีดครึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าใครกินสเต็กชิ้นหนึ่งก็จะเกินโควตาอยู่แล้ว บางคนประเภทอาหารเนื้อ ๓ มื้อเลย ในเมื่อไตทำงานหนัก รับไม่ไหวก็พัง แล้วก็ต้องไปฟอกไตกัน
ตอนนี้ผลงานวิจัยที่ยืนยันอย่างชัดเจนก็คือว่า การกินเนื้อสัตว์มาก ๆ เป็นต้นเหตุของเบาหวาน ไม่ใช่การกินของหวานเป็นต้นเหตุของเบาหวาน การกินของหวานไม่ใช่ต้นเหตุ เป็นปลายเหตุ ก็คือเมื่อกินเข้าไป ร่างกายไม่ผลิตอินซูลิน ไม่สามารถจะกำจัดน้ำตาลในเลือดได้ ก็ซ้ำหนัก แต่สาเหตุใหญ่จริง ๆ คือกินเนื้อมากไป"
"ฉะนั้น...ตอนนี้ทั่วโลกแตกตื่นกันหมด ทุกคนพยายามจะปรับเปลี่ยนหันมากินอาหารแบบตะวันออก อย่างอาหารไทยของเรานี่ดังมาก เพราะเขาเห็นว่ามีพวกเครื่องเทศ สมุนไพร ในการรักษาโรคในตัวเยอะแยะไปหมด อย่างพวกแกงส้ม ต้มยำ แกงเลียงอะไรเหล่านี้ แต่คนไทยเราไปกินอะไร ? ไปกินพิซซ่า ไปกินเคเอฟซี ไปกินสเต็ก กลัวจะไม่ตายแบบฝรั่ง ฝรั่งกลัวตายหันมากินอาหารแบบไทย คนไทยไม่กลัวตาย หันไปกินอาหารแบบฝรั่ง
ในเมื่อทุกอย่างกลับข้างกัน ฝรั่งเครียดจากการทำมาหากิน เข้าวัด นั่งสมาธิ ส่วนคนไทยอยู่กับการสวดมนต์ไหว้พระเป็นปกติ เบื่อ..หันไปแข่งกันทำมาหากินแบบฝรั่งแล้วเครียด ไล่งับกันเป็นงูกินหาง
พวกเรามีของที่ต่างชาติเขาบอกว่าดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรม แต่ว่าเราไม่ค่อยเห็นคุณค่ากัน ต่างชาติเห็นคุณค่า ฮือฮาไปตั้งหลักสูตรสมาธิ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เปิดสอนกันอย่างครึกโครม ส่วนคนไทยเราบอกให้นั่งสมาธิ ไม่ไหว...เมื่อย นั่งเขี่ยไลน์ที ๓ ชั่วโมงไม่รู้สึกเมื่อย เกินระดับนิโรธสมาบัติอีก...!"
ถาม : เมื่อเราเดินสมาธิ ข้างในธาตุสี่แปรปรวน อยากได้วิธีเดินลมปราณครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า ขันธมาร พอเราเริ่มทำสมาธิ มารรู้ว่าเราจะพ้นมือแล้ว ก็ก่อกวน เราก็ไปรู้สึกว่าธาตุแปรปรวนก็เท่านั้นเอง แค่เราทำสมาธิให้ทรงตัวก็จบแล้ว เพราะว่าเป็นการปรับธาตุอยู่ในตัว เราจะเห็นว่าถ้าสมาธิทรงตัวแล้ว ไม่เพียงแต่ รัก โลภ โกรธ หลง ดับสนิทเท่านั้น แม้กระทั่งอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ก็โดนอำนาจของสมาธิกดดับไปด้วย นั่นคือลักษณะของการปรับธาตุโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ถ้าหากว่าเราออกจากสมาธิมาจะรู้สึกว่าเบาสบาย อยากจะเหาะ อยากจะบินได้ นั่นคือลักษณะของการปรับธาตุเป็นปกติ ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่ามารหลอกให้เรากลัว จะได้ไม่ต้องทำ พอเราเลิกทำ...ก็สบาย เป็นทาสมารต่อไป
ถาม : จะขายที่ เขามาติดต่อหลายเจ้า ไม่ตกลงสักที ?
ตอบ : ตั้งใจนึกถึงเจ้าที่ ขอให้มาโมทนาบุญสังฆทานนี้ ต่อไปถ้าหากว่าขายที่ได้แล้ว เราทำบุญอะไรให้เขาโมทนาได้โดยที่เราไม่ต้องบอกกล่าว
ถาม : อยากจะเห็นผีทำอย่างไรคะ ? (เด็กถาม)
ตอบ : พยายามนั่งสมาธิ พอใจสงบเดี๋ยวก็เห็นเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ทางด้านมูลนิธิหลวงปู่วิเวียรเอาเงินมาถวายให้หนึ่งแสนบาท บอกว่าอาตมาช่วยให้พระหลวงปู่ดังขึ้นเยอะเลย อาตมาบอกว่าปกติหลวงปู่ท่านก็ดังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนรุ่นหลังไม่ค่อยจะรู้จักเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องกระเช้าของขวัญสำหรับพระแล้ว ถ้าแอบทำเครื่องหมายไว้ วันดีคืนดีอาจจะย้อนกลับมาหาตัวเองได้ เป็นมติของพระผู้ใหญ่ที่ว่า กระเช้าของขวัญราคาค่อนข้างแพง พระที่ได้ไปส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รื้อไปใช้ ก็เลยอนุญาตว่าถ้าหากว่ามีอยู่ ถึงเวลาจะไปมุทิตาสักการะพระเถระที่ไหนก็ให้ใช้กระเช้าเก่า ๆ นั่นแหละ วันดีคืนดีอาจจะมีของเราย้อนกลับมาหาเราเอง
แต่ถ้าหากว่าเป็นหลวงพ่อกุ้ยไฮ้ (ท่านพระครูภาวนาโชติคุณ) วัดถ้ำสิงห์โตทอง จัดงานทีหนึ่ง สั่งกระเช้าเป็นร้อยกระเช้าเลย ถามว่าทำไม ? ลูกศิษย์ท่านทำงานอยู่บริษัทนั้น ก็เลยสั่งให้เขาจัดมา ก็แปลว่าใครไปงานหลวงพ่อกุ้ยไฮ้จะได้กระเช้าใหม่เสมอ แต่วันดีคืนดีหลวงพ่อกุ้ยไฮ้ก็อาจจะได้กระเช้าเก่าของตัวเองคืนมา
เป็นการประหยัดอย่างหนึ่ง พระเถระท่านให้พรไว้เลย ถึงเวลาไปมุทิตาสักการะไม่จำเป็นต้องซื้อกระเช้าใหม่ ถ้ามีของเก่าให้เอาของเก่ามา"
ถาม : คนที่เสียชีวิต หมดอายุขัย เขาจะไปอยู่ที่ไหนคะ ?
ตอบ : ไปตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำไว้ เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้ว่าใจสุดท้ายเขาเกาะอะไร
บางทีสร้างบุญมาตลอดชีวิต เคยสร้างกรรมไว้นิดเดียว อาสันนกรรมก่อนตาย ดันไปเกาะส่วนไม่ดีนิดเดียวก็ซวยไป ที่ทำเอาไว้ก็ไม่ต้องเลย ลงไปข้างล่างรับไปก่อน ถึงเวลาหมดแล้วค่อยขึ้นข้างบน เพราะฉะนั้น..เรื่องของคนตายเอาแน่นอนไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหากัมมวิภังคสูตร บอกว่า โยคีบุคคลผู้เจริญภาวนา ยังฌาน ๔ ให้บังเกิด มีทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ ไปเห็นนรกสวรรค์แล้วกล่าวว่า บุคคลผู้ทำความดีไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลผู้ทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่
บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ตายแล้วไปดีแน่นอน
บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ตายแล้วไม่แน่ว่าจะไปไม่ดี
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ตายแล้วไม่แน่ว่าจะไปดี
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ตายแล้วไปที่ชั่วแน่นอน
เพราะฉะนั้น..ต้องดูกรรมเก่ากรรมใหม่ด้วย อย่างสุปติฏฐิตเทพบุตร ในชีวิตเห็นว่าทำชั่วมาตลอด ไม่เคยเห็นทำความดีอะไรเลย แต่ปรากฏว่าในอดีตชาติเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ ก่อนหมดลมหายใจนิดเดียว พระพุทธเจ้าท่านเสด็จผ่านไปให้เห็น ได้นึกถึงเป็นพุทธานุสติ ตายจากตอนนั้นก็ไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์
แต่ว่าท่านทำความดีนิดเดียวก็เลยมีอายุความดีแค่ ๗ วันมนุษย์ เพียงแต่ว่าผลบุญที่เคยสร้างพระพุทธรูปในอดีตตามมาทัน พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ท่านหมดอายุพอดี ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ จุติเดี๋ยวนั้น เกิดใหม่เดี๋ยวนั้น อยู่ข้างบนต่อเลย พระองค์ท่านถึงได้ตรัสว่า เห็นว่าคนทำดีแล้วจะไปสวรรค์โดยส่วนเดียว หรือทำชั่วแล้วไปนรกโดยส่วนเดียวนี่ไม่ใช่
ความจริงสูตรนี้เป็นสูตรแรก ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงให้อาตมาไปอ่าน สมัยก่อนคนชอบมาถามว่า ญาติพี่น้องตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ? ลำบากไหม ? ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ? ก็บอกเขาไปเรื่อย ท้ายสุด หลวงพ่อท่านต้องห้าม ท่านบอกว่ามีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ต่อไปอย่าทำ
ถามว่าทำไมครับ ? ท่านบอกว่า ถ้าเขาทำดีมาทั้งชีวิต ตายแล้วไปดีก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าทำดีมาทั้งชีวิตตายแล้วไปไม่ดี ลูกหลานจะมีกำลังใจทำบุญไหม ? บางคนทำชั่วมาทั้งชีวิต ตายแล้วดันไปดีอย่างนี้ คนก็หันไปทำชั่วกันหมด ท่านก็เลยห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน ให้อาตมาไปอ่านมหากัมมวิภังคสูตร บอกให้ไปดูว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร
ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโทษมากกว่า คิดอยู่อย่างเดียวว่าสงเคราะห์เขา แต่ลืมไป..สายตาไม่ยาวไกลพอ ไม่รู้ในเรื่องของยถากัมมุตาญาณ ในเมื่อไม่รู้รายละเอียด ขืนไปบอก คนทำดีตลอดชีวิตแล้วไปนรก อันนี้ลูกหลานขาดใจตายแน่นอน ตัวเองทำชั่วมาเสียเยอะแยะจะรอดไหม พ่อแม่ทำดีขนาดนั้นยังไม่รอดเลย แล้วเราจะทำไปทำไม ?
ก็เลยกลายเป็นมีส่วนเสียมากกว่าส่วนดี ระยะหลังถ้าไม่ใช่ผีมายืนบอกจริง ๆ อาตมาก็ไม่ได้บอกใคร แต่ถ้ามายืนกำกับบอกให้ว่าผมตายแล้วไปที่ไหน หรือดิฉันตายแล้วไปไหนก็ว่าไปอีกอย่าง
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนนั่งมาตั้งแต่ ๖ โมงเช้ายัน ๓ ทุ่ม ไม่มีปัญหา เพราะว่ายังหนุ่มอยู่ กำลังยังดี แต่ตอนนี้ไม่ไหว ๖๐ ปีแล้ว จะนั่งให้พ้นแต่ละช่วงก็แสนจะแย่ ถึงเวลาพอร่างกายไม่ไหวขึ้นมา แต่ละนาทีเหมือนกับนานเป็นชั่วโมง
แรก ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหัดให้นั่งกัน พระหนีเตลิดเปิดเปิงกันหมด ช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๓๐ ถ้าจำไม่ผิดเป็นวันมาฆบูชา หลวงพ่อท่านก็ลงรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ พระเราก็ไปนั่งสวดมนต์วันพระ เจริญพุทธมนต์เสร็จ ฉันอาหารกันตรงนั้น หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระเอ๊ย...วันนี้ฉันเสร็จแล้วให้นั่งอยู่นี่แหละ ญาติโยมเขามาวัด เขาอยากเห็นพระเยอะ ๆ เห็นแล้วชื่นใจ ต่อไปให้นั่งอยู่อย่างนี้ตลอดจนกว่าหลวงพ่อจะสั่งให้เลิกนะ" ก็ได้แต่ครับ
ไม่เคยนึกเลยว่าการที่นั่งตั้งแต่ ๙ โมงเช้ายันบ่าย ๔ โมง รสชาติชีวิตเป็นอย่างไร หัวเข่าจะหลุด ตั้งแต่นั้นมาวันพระไหนที่หลวงพ่อลงศาลา แต่ละท่านก็อ้างมีงานประจำ เผ่นกันหมด คราวนี้อาตมาจะอ้างอย่างไร งานประจำก็คือเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อท่านก็นั่งอยู่ตรงนั้น ก็ต้องทนนั่งต่อไป ก็เหลือแต่หลวงปู่หลวงตาแก่ ๆ อย่างหลวงตาสมชาย หลวงปู่ทองเทศ หลวงตาเจริญ พระแก่ไม่มีงานประจำ หรือว่ามีงานประจำอย่างหลวงตาสมชายก็แค่ไปเติมคลอรีนน้ำประปาอาทิตย์ละครั้งเดียว ก็ทนนั่งไปเถอะ
ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่ง ไป ๆ มา ๆ พอมานั่งอยู่ตรงนี้ อ๋อ...หลวงพ่อท่านหัดไว้ให้ตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว ท่านเองก็นั่งโยกซ้าย โยกขวา คุยกับโยมไปตลอดทั้งวัน พวกเรานั่งเฉย ๆ จะตายให้ได้"
"ความจริงถ้าทำงานอื่นอยู่ก็จะหาข้ออ้างหนีเหมือนกัน คราวนี้งานประจำของตัวเองก็คือเฝ้าหน้าห้องของหลวงพ่อ ท่านนั่งอยู่ตรงไหนก็ต้องอยู่ตรงนั้น หนีก็หนีไม่ได้ ต้องทนนั่งเอา
พอนั่งผ่านไปสักครึ่งวัน รอบตัวก็มีแต่กลิ่นยาหม่อง หลวงตาคนโน้นบ้าง หลวงปู่คนนี้บ้าง ควักเอามาทาหัวเข่ากันเข้าไป พลิกซ้ายก็แล้ว พลิกขวาก็แล้ว เข้าสมาธิสมาบัติทุกอย่างก็แล้ว ไม่หมดวันสักที"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นตัวอย่างไหม ? โยม ๒ คนนี้มาหาพระ ใส่กางเกงขายาวสีขาวนุ่งทับมา เดี๋ยวพอขึ้นรถก็รูดออก ไปเที่ยวต่อได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่ค่อยใส่ใจกัน ก็เลยทำให้หลายคนนุ่งขาสั้นมาบ้าง ใส่กระโปรงสั้นบ้าง โดยที่คิดว่าเดี๋ยวจะไปที่อื่นต่อ สองคนนี้เขาก็ไปต่อเหมือนกัน แต่ว่ามีกางเกงนุ่งทับมาอีกชั้นหนึ่ง
เราลองไปนึกถึงว่า เราบังคับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นุ่งสั้น จะต้องนุ่งผ้าถุง จะต้องมีกางเกงขายาวก่อนจะเข้าโบสถ์เข้าวัด ปรากฏว่าคนไทยเราไปทำเสียเอง ก็ไม่ต้องโทษใคร เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความละเอียดของใจ กำลังใจละเอียดก็เห็นทุกข์เห็นโทษ กำลังใจหยาบก็จะไม่เห็นโทษตรงนี้"
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนมกราคม ๒๕๖๒ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.