View Full Version : หลักบำเพ็ญภาวนาทางจิต
ชินเชาวน์
21-01-2009, 10:44
ขณะนั่งตั้งจิตในพระกัมมัฏฐานภาวนานั้น ถ้าเห็นว่าจิตหดหู่ ท้อถอยตกไปในฝ่ายโกสัชชะแล้ว 
พึงเจริญธัมมวิจยะ หรือปิติสัมโพชฌงค์ อันใดอันหนึ่งนั้นก่อน เพื่อยกจิตที่หดหู่นั้นให้เฟื่องฟูขึ้น แล้วจึงเจริญกัมมัฏฐานต่อไป 
เปรียบดังเพลิงนั้นจะดับอยู่แล้ว เอามูลโคแห้ง หญ้าแห้ง ฟางแห้ง มาใส่แล้วเป่าลมขึ้น เพลิงนั้นก็จะติดรุ่งโรจน์ขึ้นอีกได้
ขณะเมื่อจิตฟุ้งซ่านพึงเจริญ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเปกขา สัมโพชฌงค์ 
จิตนั้นก็จะระงับลงเปรียบดังจะดับกองเพลิงที่ใหญ่ฯ จะเอามูลโคสด หญ้าสด ฟืนสด มาทุ่มเทลง เพลิงนั้นก็จะดับไป
ดังนี้และเรียกว่าข่มจิต
 
 
คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี
ไม่รู้จะขยายความอย่างไรครับ หลวงปู่ท่านอธิบายได้ตรงมากแล้วครับ แต่ถ้าติดตรงบาลี โกสัชชะ ก็แปลว่า ความขี้เกียจ ธัมมวิจยะ ก็แปลว่า การใคร่ครวญในธรรม ปิติสัมโพชฌงค์ก็แปลว่า ความอิ่มใจในธรรมอันเป็นองค์ตรัสรู้ ปัสสัทธิ ก็แปลว่า ความสงบ สมาธิ อุเปกขาสัมโพชฌงค์ ก็แปลว่า ความวางเฉยจากการตั้งใจมั่นในธรรมอันเป็นเครื่องตรัสรู้ (จริง ๆ อันนี้ก็น่าจะแปลกันได้นะครับ) คือ ที่ผมได้ความรู้จากข้อธรรมข้อนี้ อย่างหนึ่งก็คือเห็นว่า เวลาขี้เกียจควรจะพิจารณาในธรรมอันทำให้จิตใจเกิดความอิ่มใจ สว่างโพลง มีความรื่นเริงในธรรม เหมือนโยนกองฟางแห้งลงไปในกองไฟ แล้วเป่าลมให้ไฟมันลุกโชน เวลาที่ฟุ้งซ่านจนเกินไปก็ใช้ธรรมอันเป็นเครื่องสงบใจในด้านต่าง มีอานาปานุสสติ เป็นต้น เข้าไปสงบไว้ เหมือนโยนกองฟางสดเข้าไปเพื่อเป็นการดับไฟกองนั้น สรุปทั้งขี้เกียจ ทั้งฟุ้งซ่าน ก็ใช้ข้อธรรมในโพชฌงค์ ๗ ประการมาเป็นหลักในการปฏิบัติได้ทั้งนั้น สมกับเป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้โดยแท้ครับ
โพชฌงค์ หรือ โพชฌงค์ ๗ คือ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ มี ๗ อย่างคือ
สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ 
ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร
ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ
ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ
สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความวางเฉย ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
โพชฌงค์ ๗ เป็นหลักธรรมส่วนหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘)
ถ้าได้อ่านในนิทานตลิ่งชัน  เรื่องพ่อนก  หลวงพ่อสมปองท่านก็เทศน์เกี่ยวกับโพชฌงค์   ๗ ไว้เหมือนกัน
ท่านบอกว่า "นกทรงอยู่ในโพชฌงค์  ๗  ประการ  เป็นสมาธิจนถึงอุเบกขา ตั้งอยู่ในฌาน  ๔  ทรงตัว   สิ่งที่ทำให้เกิดความอิ่มใจ   สติคำนึงอยู่แต่ในสัจธรรมที่เค้าได้พบ
สองคือใคร่ครวญในธรรม  แล้วเกิดความปีติชุ่มชื่นใจอิมเอิบ   พอเกิดความชุ่มชื่นใจ  อิ่มเอิบแล้ว  ปัสสัทธิก็เกิด   พอมันสงบปุ๊บ  ก็เกิดกลายเป็นสมาธิ  พอเข้าสู่สมาธิเมื่อไร   ก็เกิดการวางเฉยทุกอย่าง  นิ่ง  แยกกายจิต
พอเข้าสู่อุเบกขาธรรม  ก็ทรงเข้าสู่ฌาน  ๔  ละเอียดปุ๊บ   จิตก็ไม่ถอนออกมา   นับแต่นั้นเป็นต้นมา   เป็นอันว่าร่างนั้นจิตนั้นก็แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง  พอมาคลายสมาธิอีกทีก็อยู่ที่พรหมแล้ว"
"ข้าแต่พระนาคเสน  โพชฌงค์  มีเท่าไร"
"ขอถวายพระพร  มี  ๗ ประการ"
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า   บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เท่าไร"
"ขอถวายพระพร  บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว"
"คือข้อไหน  พระผู้เป็นเจ้า"
"ขอถวายพระพร  คือข้อ  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ (ใคร่ครวญธรรมะ)"
"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  ถ้าอย่างนั้น  พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์  ๗  ไว้ทำไม"
"ขอถวายพระพร  พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก  บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก  อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ"
"ไม่ได้พระผู้เป็นเจ้า"
"ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ  มหาบพิตร  คือ  บุคคลปราศจาก  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  แล้ว  ตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์  ๖   ไม่ได้"
"ถูกแล้ว  พระนาคเสน"
จากมิลินทปัญหา  วรรคที่  ๗  ปัญหาที่  ๘
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.