เถรี
29-10-2018, 21:07
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากการที่ญาติโยมทั้งหลายมาทำบุญกันที่บ้านเติมบุญแห่งนี้ จะเห็นได้ชัดว่าในส่วนของทานบารมีนั้น พวกเราทำได้โดยที่ไม่มีอะไรบกพร่อง เราก็ควรที่จะไปเน้นในเรื่องของศีลและการภาวนา
การรักษาศีลของเรานั้น เราต้องตั้งใจรักษา เพราะว่าการที่เราตั้งใจงดเว้นจึงจะมีอานิสงส์ โดยเฉพาะคำว่า ตั้งใจ ตัวนี้ คือการเอาสติจดจ่ออยู่กับศีล ระมัดระวังศีลเป็นปกติ ขยับตัวก็รู้ว่าศีลแต่ละข้อจะขาดหรือไม่ พยายามระมัดระวังไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีลเช่นกัน
ถ้าหากว่าสติของเราจดจ่ออยู่ลักษณะอย่างนี้ สมาธิก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จัดว่าเป็นสมาธิในสีลานุสติ เราก็แค่ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย สมาธิของเรายิ่งทรงตัวเท่าไร สติที่จะระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่องก็ยิ่งว่องไว ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
เมื่อสมาธิทรงตัวถึงระดับแล้ว โดยธรรมชาติเลยก็จะคลายตัวออกมา ตรงช่วงนี้ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าเมื่อสมาธิคลายตัวออกมาถ้าเราไม่หาสิ่งที่ดี ๆ ให้คิด ก็จะคิดไปใน รัก โลภ โกรธ หลง เองโดยอัตโนมัติ และจะเป็นการคิดที่เรารั้งกลับได้ยาก เพราะว่าเป็นการเอากำลังในสมาธิที่เราทำได้ไปคิดฟุ้งซ่าน
ดังนั้น..เมื่อสมาธิเริ่มคลายตัวออกมาแล้ว ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา อย่างเช่นพยายามดูให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไป เราเดิน นั่ง ยืน นอนอยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา และพิจารณาให้เห็นขั้นสุดท้ายว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สักแต่ว่าเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากการที่ญาติโยมทั้งหลายมาทำบุญกันที่บ้านเติมบุญแห่งนี้ จะเห็นได้ชัดว่าในส่วนของทานบารมีนั้น พวกเราทำได้โดยที่ไม่มีอะไรบกพร่อง เราก็ควรที่จะไปเน้นในเรื่องของศีลและการภาวนา
การรักษาศีลของเรานั้น เราต้องตั้งใจรักษา เพราะว่าการที่เราตั้งใจงดเว้นจึงจะมีอานิสงส์ โดยเฉพาะคำว่า ตั้งใจ ตัวนี้ คือการเอาสติจดจ่ออยู่กับศีล ระมัดระวังศีลเป็นปกติ ขยับตัวก็รู้ว่าศีลแต่ละข้อจะขาดหรือไม่ พยายามระมัดระวังไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีลเช่นกัน
ถ้าหากว่าสติของเราจดจ่ออยู่ลักษณะอย่างนี้ สมาธิก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จัดว่าเป็นสมาธิในสีลานุสติ เราก็แค่ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย สมาธิของเรายิ่งทรงตัวเท่าไร สติที่จะระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่องก็ยิ่งว่องไว ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
เมื่อสมาธิทรงตัวถึงระดับแล้ว โดยธรรมชาติเลยก็จะคลายตัวออกมา ตรงช่วงนี้ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าเมื่อสมาธิคลายตัวออกมาถ้าเราไม่หาสิ่งที่ดี ๆ ให้คิด ก็จะคิดไปใน รัก โลภ โกรธ หลง เองโดยอัตโนมัติ และจะเป็นการคิดที่เรารั้งกลับได้ยาก เพราะว่าเป็นการเอากำลังในสมาธิที่เราทำได้ไปคิดฟุ้งซ่าน
ดังนั้น..เมื่อสมาธิเริ่มคลายตัวออกมาแล้ว ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา อย่างเช่นพยายามดูให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไป เราเดิน นั่ง ยืน นอนอยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา และพิจารณาให้เห็นขั้นสุดท้ายว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สักแต่ว่าเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น