View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๑
ถาม : กระผมอ่านกระโถนข้างธรรมาสน์ เรื่องพระคาถาเงินล้านและโสตัตตะภิญญาให้แบ่งเวลาภาวนา แต่ทำไมไม่ควบพระคาถาทั้งสองอย่างนี้ไปเลย เพราะเหตุใดครับ ?
ตอบ : ก็เพราะว่ามึงเก่งเกินไปนะสิ..! คาถาเขาทำทีละอย่างเพื่อให้เกิดผล ถ้าทำสองอย่างแล้วเกิดผลก็จะเก่งเกินมนุษย์มนาไปหน่อย
ถาม : เรื่องการผสมทอง หลวงพ่อวัดท่าซุงให้เอาแร่ ๓ อย่าง ผสมกันลงไปก่อน แล้วเอาแร่ปากนกแก้วใส่ลงไปทีหลัง แต่ของพระอาจารย์ให้เอาแร่เพรียงไฟลงตามทีหลัง ความจริงเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปลองทำดู...ทำแล้วก็จะรู้ความจริงเอง
ถาม : ในระยะหลัง ๆ นี้ มีข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นอย่างมาก กระผมและกัลยาณมิตรจึงมีความคิดที่จะช่วยเหลือสังคม ช่วยลดอัตราการฆ่าตัวตายของคนที่หมดหวัง ท้อแท้ ไม่มีทางออก และขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องผลของการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจจะหนักมากกว่าปัญหาที่ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายประสบอยู่ในขณะนี้ ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของการวางแผนงาน และศึกษาความเป็นไปได้ การประชาสัมพันธ์ การวัดผล และอื่น ๆ
แต่ก็มีข้อที่สงสัยอยู่ประการหนึ่งว่า การกระทำดังกล่าว จะเป็นการไปยุ่งในกรรมของคนอื่นหรือไม่ ? และจะทำให้ตนเองและมิตรสหายต้องมารับผลกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรของพวกเขาเหล่านั้นแทนหรือไม่ ? เพราะคณะทำงานล้วนแต่เป็นคนสามัญชนทั่วไปที่ต้องการช่วยเหลือสังคม ยังไม่ได้เป็นผู้ที่มี ทิพจักขุญาณ หรือมีฤทธิ์ทางใจที่เพียงพอที่จะรู้ถึงบุพกรรมของพวกเขาเหล่านั้น และช่วยแก้ไขที่ต้นเหตุที่แท้จริง
ตอบ : ถ้ารักที่จะทำงาน โอกาสที่ทำงานโดยไม่มีโทษกับทุกฝ่ายเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ก็มีอยู่สองอย่าง ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำไปเลย หรือถ้าจะทำก็รีบทำเสียโดยไม่ต้องไปสนใจเรื่องผลกระทบ แต่สงสัยอยู่อย่างเดียวว่าจะประชาสัมพันธ์อย่างไรให้คนที่จะฆ่าตัวตายรู้เรื่อง ?
ถาม : การที่เรานึกถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้าทั้งก่อนและหลังการตรัสรู้ นึกถึงทีไรมักจะมีอาการปีติเกิดขึ้น เช่น รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ บางทีก็น้ำตาไหล ใจสั่น หายใจแรง และเมื่อผ่านอาการที่ว่านั้นไปแล้ว เช่น ร้องไห้เสร็จแล้ว จิตรู้สึกจะมีความควบแน่นดีมาก โดยที่ไม่ได้ดูลมหายใจเลย เพียงแค่นึกถึงเรื่องของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ทราบว่าเพียงแค่เรานึกถึงแค่นี้ทำไมจิตถึงมีอาการควบแน่นได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดูลมหายใจเลยครับ และวิธีนี้เป็นการฝึกพุทธานุสติที่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถามว่าถูกต้องไหม ? ก็ถูก ถามว่าทำไมไม่ได้ภาวนาแล้วถึงเป็น ? ใครบอกว่าต้องภาวนาแล้วถึงจะเป็น ?
การที่เราร้องไห้น้ำตาไหลด้วยปีติในส่วนนั้น ก็แสดงว่าขณะนั้นจิตของเราที่กำหนดตามไปในเนื้อหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตก็เริ่มทรงสมาธิตามลำดับไป ตอนที่น้ำตาไหลคือตอนที่ก้าวถึงส่วนของปีติ เมื่อก้าวข้ามส่วนของปีติไปก็ย่อมทรงฌานได้ ในเมื่อทรงฌานอาการควบแน่นก็เป็นเรื่องปกติ ต้องบอกว่าคนถามโง่จนไม่รู้ว่าอาการของฌานเป็นอย่างไร
ถาม : การที่เราชอบนึกถึงบทแผ่เมตตาให้ตัวเอง ที่ว่าขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข กับการที่เรานึกถึงตอนที่กำลังปล่อยสัตว์ ถือว่าเป็นการฝึกสมาธิโดยการเจริญเมตตาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นอาการอย่างเดียวกัน โดยถือหลักว่าถ้าตัวเราไม่มีความสุข แล้วเราจะเอาความสุขไปแบ่งปันคนอื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะตัวเราต้องรักต้องเมตตาตนเอง กลัวว่าตนเองจะลงสู่อบายภูมิ จึงพยายามยับยั้งหักห้ามตนเองไม่ให้ละเมิดในเรื่องของศีล
แต่คราวนี้บางคนก็ไปผูกเป็นคำแผ่เมตตาเฉพาะตัวขึ้นมา ซึ่งความจริงคำแผ่เมตตาแบบนั้นมีประโยชน์น้อย ควรจะพิจารณาให้เห็นว่าถ้าเราไม่เมตตาต่อตนเอง ไปทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมก็ต้องลงอบายภูมิอย่างแน่นอน แล้วก็เมตตาต่อตนเอง กระทำแต่เรื่องที่ดี ๆ จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากกว่า
ถาม : คนเราไม่ฆ่าสัตว์เองแต่กินเนื้อสัตว์ที่คนอื่นฆ่ามา ไม่บาปเหมือนกันหรือ แล้วกรรมมันต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : พระพุทธเจ้ากำหนดลักษณะของการฆ่าซึ่งคนอื่นไม่ได้รู้ชัดเอาไว้ ท่านว่า ๑. สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ๒. เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ๓. เราพยายามฆ่า ๔. สัตว์นั้นชีวิตตกล่วงไปจากความพยายามนั้น ถ้าครบทั้ง ๔ อย่างนี้ถือว่าเรากระทำการฆ่าสัตว์ ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วการที่เราไปกินเนื้อสัตว์ที่เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับ ๔ ข้อนี้ผิดตรงไหน ?
ถาม : เวลาถือศีล สมาทานศีลว่าไม่ฆ่าสัตว์ แต่เรากินเนื้อสัตว์ มันแตกต่างกันหรือ ?
ตอบ : แบบเดียวกัน เรากินเนื้อสัตว์ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ? ก็นอนตายอยู่ในตลาดแล้ว เราก็รู้ว่าไม่มีชีวิต เราลงมือฆ่าหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ทำ สัตว์นั้นตายเพราะการฆ่าของเราหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ตายเพราะเรา
ถาม : คนที่ไปล่าสัตว์มากินเป็นอาหาร ต่างกับคนที่รอซื้อเนื้อสัตว์มากินอย่างไร ?
ตอบ : คนที่ล่าสัตว์ย่อมรู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ตั้งใจฆ่า ลงมือฆ่าและฆ่าได้สำเร็จ
ถาม : คนที่เขาอยู่ที่ถิ่นกันดาร ต้องหาอาหารเอง ไปล่าสัตว์เอง ไม่บาปแย่เลยหรือ ?
ตอบ : ไม่แย่เท่าไรหรอก ก็บาปเท่าที่ทำแค่นั้นแหละ
ถาม : บางวัดที่มีญาติโยมมาช่วยล้างภาชนะของพระภิกษุแล้วไม่ค่อยสะอาด จะด้วยคิดว่าสะอาดพอสำหรับตัวเอง ความมักง่าย หรือ คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร ถ้าหากมีพระองค์ไหนเป็นอะไรก็เป็นเหตุสุดวิสัย แต่ผู้ล้างไม่ได้มีเจตนาทำร้ายพระในวัด หากในวัดมีพระอรหันต์และท่านต้องละสังขารเพราะภาชนะไม่สะอาด จะเกิดโทษอนันตริยกรรมแก่ผู้ล้างหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าอยู่ดี ๆ ไปคิดหาเรื่องลงนรก ขอให้คิดต่อไป...!
ถาม : ภาวนาพระคาถาแล้วทั้งภาพคาถาในหนังสือสวดมนต์มาบ้าง เสียงสวดมนต์มาบ้าง ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสลับกันได้ครับ ?
ตอบ : เอาที่เราสบายใจ
ถาม : การสวดพระคาถาเงินล้านมีข้อห้าม คือ ห้ามเล่นการพนันรวมไปถึงสลากกินแบ่ง ถ้าหากหน่วยงานที่สังกัดมีการออกสลากและขอแกมบังคับให้สมาชิกต้องช่วยกันซื้อ ถ้าจำใจต้องซื้อจะผิดข้อห้ามดังกล่าวหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใครเป็นคนกำหนดข้อห้าม ? อาตมาใช้พระคาถานี้มาครึ่งชีวิต ไม่เคยได้ยินว่ามีข้อห้าม
ถาม : การประเดิมรถตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ หากแม่ซื้อไว้ใช้เองเป็นหลัก แต่ชื่อในทะเบียนที่ตั้งใจโอนเป็นชื่อลูก ใครควรเป็นคนประเดิมรถครับ ?
ตอบ : ไปด้วยกัน
ถาม : การที่พ่อแม่มีคดีความและมีการอ้างลูกเป็นพยาน หากลูกให้การตามจริงแล้วพ่อแม่เดือดร้อนเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นบาปอยู่
ถาม : ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ให้การไปตามจริง
ถาม : เวลามีความคิดที่อาจจะก่อบาปหรือเกิดอธิษฐานที่เราไม่ต้องการขึ้น หากรู้สึกไม่ชอบใจกับความคิดดังกล่าว จะถือว่าเกิดมโนกรรมที่เป็นบาปหรือเป็นอธิษฐานในแบบที่ไม่ต้องการหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งใจอย่างนั้นไหม ? ถ้าตั้งใจก็เป็นอธิษฐาน ถ้าอธิษฐานในทางที่ผิด อย่างเช่นตั้งใจว่า ใครทำความดีกูจะขวางเขาให้หมด หรือไม่ก็..ใครทำความดีอยู่ที่ไหน กูจะฆ่าเขาให้หมด แบบนี้ก็ถือว่าเป็นความผิดในมโนกรรม
ถาม : หนูกำลังอ่านหนังธรรมะศึกษาชั้นเอก กำลังอ่านถึงตอนที่พราหมณ์พาวรีส่งศิษย์ทั้ง ๑๖ คนมาถามพระพุทธเจ้า แล้วงงกับหนังสือ เพราะอธิบายไว้ได้งงมาก คำถามแต่ละคนถามไว้ในหมวดไหน อย่างไร กราบขอหลวงพ่อเมตตาอธิบายอย่างย่อ ๆ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ย่อไม่ได้ คำถามของพราหมณ์พาวรีเป็นคำถามสำหรับพระอนาคามีขึ้นไป ถ้าขืนย่ออาตมาก็จะเก่งเกินมนุษย์มนาเท่านั้น
ถาม : พระสมเด็จหลังยันต์นะโมตาบอดที่พระอาจารย์จารมีอานุภาพด้านไหนคะ ?
ตอบ : ต้องไปถามพระท่านเอง
ถาม : แล้วจะมีอีกไหมคะ ?
ตอบ : โปรดรอ..ถ้ามีเมื่อไรก็ได้เห็น
พระอาจารย์จารยันต์หลังพระสมเด็จ
ถาม : พอก่อนได้ไหมครับ ผมปวดหัว ?
ตอบ : ตูเองก็ปวดไปทั้งหัวแล้ว ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ คนที่เขาจับพลังไม่ได้ เขาจะไม่รู้ว่ากำลังของพระท่านแรงขนาดไหน อาตมาก็แค่นึกถึงท่านเท่านั้นเอง เวลาท่านครอบลงมานี่ท่านครอบทั่วบริเวณนั้น ใครอยู่ใกล้ก็โดนหมด จะได้รู้ว่าท่านสงเคราะห์เราได้จริง ๆ บอกแล้วว่าคุณพระรัตนตรัยนั้นมีอยู่ในทุกที่
วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไม่ไหว..ปวดหัวไปหมดแล้ว ยอมแพ้ท่าน แรงเหลือเกิน เดี๋ยวถ้าพรุ่งนี้ไหวจะจารต่อให้ เวลากำลังท่านกดลงมาพวกเรารับไม่ค่อยจะไหว อาตมาไม่ได้ประท้วงหรอก ชินแล้ว แต่ทิดเฟิร์สประท้วงว่ารับไม่ไหว
ใครใช้พระสมเด็จว่าคาถาชินบัญชรได้ ให้ว่าคาถาชินบัญชรไปเลย ถ้าว่าไม่ได้ให้นึกถึงหลวงปู่โต วัดระฆังก็พอ พระของท่าน ท่านให้พรไว้ว่า จะใหม่จะเก่า จะจริงจะปลอมอย่างไร ถ้านึกถึงท่านมีอานุภาพเท่ากันหมด คราวนี้อาตมาจารไปนึกถึงท่านไป กำลังของท่านกดลงมานี่จะตายเอาเลย
สาระสำคัญของพระเครื่องก็คือ ให้เรานึกถึงพระให้ได้ การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติ นึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ คราวนี้ถ้าเรานึกว่า พระสงฆ์นั้นสืบทอดคำสอนจากพระพุทธเจ้ามา ก็เป็นธัมมานุสติด้วย จึงสำคัญตรงที่ว่า เรานึกถึงพระได้ไหม ? ถ้านึกถึงพระได้ก็ใช้ได้เหมือนกันหมด
มีคนเขาถวายมาร่วมบุญมา เขาส่งแล้วมีคนสงสัยว่าจะเป็นพระแท้หรือเปล่า ? อาตมาก็เลยเขียน "หนังสือสุทธิ" ยืนยันให้ว่าเป็นพระแท้
ถาม : นี่ต่อเนื่องกันไปนาน ?
ตอบ : กำลังท่านกดลงมานี่หัวจะระเบิด ถ้าพักเดียวผ่านไปก็ไม่เท่าไรหรอก แต่นี่หลายองค์เลยนานเกินไปหน่อย
พูดกับลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ "อย่าตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจถึงจะรับได้ ตั้งใจเกินไปแล้วจะไปรับอะไรได้ ? แสดงว่าไม่ได้เข้าใจหลักการปฏิบัติเลยใช่ไหม ? ต้องเป็นธรรมชาติที่สุด ไม่รู้ไม่ชี้ ต้องกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ"
ถาม : หลักการของเต๋าชัด ๆ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า Natural Wisdom ก็คือทุกชาติทุกภาษาจะมีความที่เหมือนกันอยู่ อย่างเช่นว่าทำไมต้องสร้างบ้านอย่างนี้ ก็คือภูมิปัญญาที่สั่งสมกันต่อมาว่า ต้องสร้างอย่างนี้แล้วจะปลอดภัย ก็แบบเดียวกัน
เหมือนเราต้องการจะออกประตูนั้น แล้ววิ่งเลยประตูจะออกได้ไหม ? แล้วถ้าวิ่งไม่ถึงจะออกได้ไหม ? ก็แค่ช่องนิดเดียวเอง ถ้ายื่นคอเลยหน้าต่างจะไปเห็นอะไร ? หรือถ้ายื่นไม่ถึงก็ยิ่งไม่เห็นอะไร..ใช่ไหม ? ก็หลักการเดียวกันทั้งหมด ถ้าจับได้ทีเดียวก็ "อ๋อ" ไปตลอดนั่นแหละ
ถาม : ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ใหม่ ๆ นี่ตูก็คลำแล้วคลำอีก ลองแล้วลองอีก สูงบ้างต่ำบ้างยุ่งไปหมด ขนาดจำว่าคาถาบทนี้ใช้อารมณ์อย่างนี้แล้วได้ผล พอถึงเวลาแล้วไม่ทำตามเคล็ดลับ จะใช้เลย กำลังใจเดียวกันนั่นแหละแต่ไม่ได้ผล
ถาม : ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : แสดงออกว่าเรามีความเคารพเชื่อมั่นไหม ถ้าคุณแหกคอกก็แสดงว่าออกนอกลู่นอกทาง ก็แปลว่าไม่เชื่อกัน เรื่องแบบนี้ต้องซ้อมจนชำนาญ ที่เรียกว่าเป็นวสี แบบเดียวกับที่ทิดเฟิร์สบอกว่า "ทำไมเวลาหลวงพ่อจารยันต์ไม่เห็นต้องตั้งท่า ?" แหม...ตูซ้อมมาตั้งไม่รู้กี่ชาติแล้ว จนกระทั่งรู้หมดแล้วว่าต้องใช้อย่างไร
คิดว่าเดี๋ยวจะแบกลังไปจารในงานกฐินปลดหนี้ดีกว่านะ งวดนี้จะให้ไปวัดหลวงปู่ธรรมชัยแบบ VIP เข้าไปกราบสังขารข้างในได้เลย อาตมายังไม่ทันคิดจะไป โดนหลวงปู่ท่านบีบคอให้ไป บอกหลวงพี่สมศักดิ์ว่าจะไปปีหน้า แต่ปรากฏว่าท่านจัดสรรให้ไปปีนี้เลย หลวงปู่จะเอากุฏิคืน ไหม้อะไรก็ไม่ไหม้ ไปไหม้กุฏิของท่าน หลวงปู่ธรรมชัยท่านมรณภาพปี ๒๕๓๐ หลวงปู่มหาอำพันมรณภาพปี ๒๕๓๒ ในชุด "เจ็ดเซียน" นั่น มีหลวงปู่ครูบาวงศ์ที่อยู่มายาวที่สุด
ถาม : การที่เราพิจารณาความเป็นไปในไตรลักษณ์ไปเรื่อย ๆ จนเราเห็นว่าคนที่เราไม่ชอบหน้านั้นน่าสงสาร อีกไม่นานเขาก็จะตาย เราควรจะเมตตาเขาเท่าที่เราจะเมตตาได้ จากที่เราไม่ชอบหน้าเขา เราก็รู้สึกเฉย ๆ แล้วก็สงเคราะห์ตามวาระที่เข้ามา เป็นการเจริญในพรหมวิหารสี่ที่ถูกต้องหรือไม่คะ ?
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้ ให้เลิกเกลียดขี้หน้าเขา แล้วก็หันไปเมตตาแทน
ถาม : การที่เรามองว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบบีบคั้นจิตใจ ทำให้กายใจเราเกิดความทุกข์นั้น เป็นเรื่องธรรมดา เป็นกรรมเก่าที่เราต้องเจอ เพราะเราทำมาเอง เราก็มีหน้าที่แก้เท่าที่ต้องแก้เท่าที่เราทำได้ ส่วนไหนที่เราทำไม่ได้ก็พยายามอุเบกขาไม่เดือดร้อนใจ ทำเช่นนี้เป็นการวางกำลังใจที่ถูกต้องไหมคะ แล้วขั้นตอนต่อไปหนูควรทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : คำตอบเดิม ทำอย่างไรก็ได้ให้สบายใจ
ระยะนี้มีคำถามประเภทมักง่าย อย่างเช่น..ถ้าทำอย่างนี้ต้องวางกำลังใจอย่างไร ? ถ้าไปที่โน่นจะต้องวางกำลังใจอย่างไร ? ความจริงอยากจะบอกว่า ให้ตั้งใจว่าไปตายซะ...! พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา วางกำลังใจอย่างไรให้อยู่ในกรอบของ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ใช้ได้แล้ว ฉะนั้น..ไม่ต้องไปเสียเวลาถามคนอื่นว่าทำถูกหรือทำผิด ถ้าอยู่ในกรอบก็ถูก ถ้าไม่อยู่ในกรอบก็ผิด...แค่นั้นเอง
โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่แนะนำศิษย์ให้ไปถามแบบนี้ ยิ่งโคตรมักง่ายเข้าไปใหญ่..! ถ้าครูบาอาจารย์คนไหนแนะนำมาลักษณะนั้นให้ไปถามคนนั้น ไม่ใช่มาถามอาตมา
เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราทำจริง ๆ เราจะได้คำตอบเองอยู่แล้ว อาตมาขอยืนยัน ในระหว่างที่เราทำอยู่ ถ้าไม่ได้ติดขัดจริง ๆ อย่าไปเที่ยวถาม เพราะว่าถ้าถามถูก เราก็จะฟุ้งซ่านว่าเราจะต้องทำให้ได้อย่างนั้น โอกาสที่จะเข้าถึงก็ยาก แต่ถ้าถามแล้วได้คำตอบที่ผิด ก็จะออกนอกลู่นอกทาง ออกทะเลไปเสียอีก เพราะฉะนั้น..ให้ใช้ความเพียรพยายามทำไป คำตอบจะอยู่ในตัวทุกครั้ง ขอเพียงอย่างเดียว อย่าอยากมากจนเกินไป และอย่าใจร้อน การปฏิบัติธรรมไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูป ลวก ๓ นาทีจะได้กินได้..!
หลายคนตั้งคำถามในลักษณะจะให้อาตมารับรองว่าเป็นการกระทำที่ถูกแล้ว เป็นการปฏิบัติที่ถูกแล้ว แล้วก็เอาไปคุยเกทับคนอื่นในเฟซบุ๊กบ้าง ในไลน์บ้าง ถ้าลักษณะนี้จะเห็นว่าอาตมาจะตะแบงข้างเสมอ เพราะว่าตอบไปแล้วนอกจากไม่เกิดประโยชน์ ยังจะเกิดโทษอีกต่างหาก
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม พอไปถึงจุดหนึ่ง เรากำลังจะได้ดี ก็จะโดนชักให้เสีย ด้วยการอยากพูด อยากบอก อยากสอนคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เรียนไม่จบ ขอยืนยันว่ายังเรียนไม่จบ ไปสอนคนอื่นมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะว่าเราอาจจะพาคนอื่นหลงเตลิดเปิดเปิงไปอีกหลายชาติ กว่าจะกลับทางเดิมได้
หลายอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาก็โปรดค้นหาแหล่งความรู้เพื่อยืนยันด้วย อย่างเช่นมีข้อห้ามในการภาวนาคาถาเงินล้านขึ้นมา อาตมาทำมาครึ่งค่อนชีวิตไม่เคยได้ยินว่ามี
สมัยนี้เรื่องของสื่อโซเชียลทำให้ข้อมูลต่าง ๆ ไปเร็วมาก เราก็ควรที่จะระมัดระวังเอาไว้ด้วย อย่างเมื่อวานนี้มีการแชร์เกี่ยวกับการแต่งกลอนที่อ้างว่าเป็นลายมือของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อาตมามองก็รู้ว่าไม่ใช่ลายพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน แต่เขาก็แชร์กันไป จนกระทั่งทางการต้องออกมาบอกเองว่าไม่ใช่
แม้กระทั่งคำสอนที่บอกว่าพ่อสอนลูก เป็นสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สอนพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อ่านดูก็รู้ว่าเนื้อหาเหล่านั้นแปลมาจากต่างประเทศ แต่ก็แชร์กันไปจนคนส่วนมากทุกวันนี้ก็เชื่อว่าใช่
ปัจจุบันนี้มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โอกาสที่เราแชร์อะไรแล้วผิดพลาดหาคุกหาตะรางใส่ตัวมีมาก โปรดระมัดระวังด้วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลเรื่องวัตถุมงคลรับเอายันต์เกราะเพชรมาส่ง เพื่อจะเอาเข้าพิธีตอนอาตมาเข้ากรรมฐานสามวันก่อนที่จะออกมารับกฐิน
ยันต์เกราะเพชรรุ่นนี้เป็นโลหะ มีทั้งทองคำ เงิน ทองแดง ทองเหลือง ทองทิพย์ มี ๒ ขนาด คือใหญ่กับเล็ก ขนาดเล็กกว้างประมาณ ๑ นิ้วฟุต ขนาดใหญ่ก็กว้างกว่านั้นเล็กน้อย ไม่ได้กว้างมาก ที่ทำเป็นยันต์เกราะเพชรโลหะ ก็เผื่อว่าท่านใดจะเลี่ยมแขวนติดตัวในลักษณะของพระก็ได้ เพราะว่าไม่ใหญ่มาก ใครอยากจะม้วนเป็นตะกรุดก็ได้ ให้ไปลงมือทำเอาเอง
แต่ส่วนที่อาตมาตั้งใจก็คือ ระยะหลังคนมาขอชนวนเพื่อเอาไปหล่อพระหรือสร้างวัตถุมงคลเยอะมาก อาตมาเบื่อที่จะจารแล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าเราทำยันต์เกราะเพชรเป็นโลหะเอาไว้ ถึงเวลาใครมาขอชนวน ส่งไปให้คนละแผ่นก็จบ ซึ่งตรงนี้หลังจากเข้าพิธีแล้วก็ต้องดู ถ้าเจ้าหน้าที่มีความพร้อมก็อาจจะจำหน่ายต้นเดือนหน้าเลย ขอยืนยันว่าราคาไม่แพง
ระยะหลังนี้มีญาติโยมจำนวนมากที่มาปรารภในเรื่องของไสยศาสตร์ว่า ตนเองและครอบครัวโดนบ้าง เพื่อนฝูงญาติพี่น้องคนรู้จักโดนบ้าง ถ้าหากท่านทั้งหลายพกยันต์เกราะเพชรไว้ หากมีการภาวนาสวด อิติปิ โสฯ สามห้องเป็นปกติ สามารถอธิษฐานเพื่อป้องกันไสยศาสตร์ได้"
"แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งที่มาแล้วบอกว่าโดนไสยศาสตร์ แล้วอาตมาไล่ให้ไปหาหมอแผนปัจจุบันเพราะว่าอยู่ในวัยทอง เป็นอาการของคนฮอร์โมนพร่อง ไม่ใช่อาการของคนโดนไสยศาสตร์ เพราะฉะนั้น...ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ให้ไปหาหมอแผนปัจจุบันก่อน ถ้าหมอรักษาไม่ได้ค่อยไปหาอาตมา ไม่ใช่ถึงเวลาก็มาบ่นว่าโดนไสยศาสตร์อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งบ้านโดนกันหมด
ไปนึกถึงเมื่อหลายปีก่อน มีญาติโยมพาลูกสาวตัวเองมา บอกว่าโดนไสยศาสตร์ หนีไปอยู่กับผู้ชาย กว่าจะตามกลับมาได้แทบล้มประดาตาย บอกว่าโดนผีเข้าโดนผีคุม อาตมาบอกว่าไม่มีอะไรเลย ผีกิเลสคุมให้อยากไปหาผู้ชายเท่านั้น
เรื่องของผู้หญิงผู้ชายจะเป็นไปในลักษณะของธรรมชาติ คือดึงดูดกันโดยธรรมชาติ แล้วยังมีเรื่องของวาระกรรมมาเสริมด้วย ฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่คราวนี้คนเป็นพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจว่า เลี้ยงลูกมาเป็นสิบปียี่สิบปี เจอไอ้บ้านั่น ๕ นาทีทำไมไปรักเขามากกว่าพ่อแม่ ? รายนั้นอาตมาเองก็เอาน้ำราดโครมไป ๑ ถังเพื่อความสบายใจของพ่อแม่ ซึ่งลูกสาวก็ชอบใจมาก บอกว่าพ่อแม่จะได้หายบ้าเสียที แต่อาตมาก็บอกเขาไปว่าเดี๋ยวลูกคุณก็ไปอีก"
"เมื่อเกิดเหตุพวกนี้ขึ้นมา เราก็มักจะวิ่งไปหาหมอ โดยเฉพาะหมอไสยศาสตร์ หรือไม่ก็พวกทรงเจ้าเข้าผี โอกาสที่จะได้ของแถมมีเยอะมาก โปรดระมัดระวังด้วย วิธีแก้ไขของเขาแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่ทำให้พวกเราต้องสิ้นเปลืองมาก ต้องเรียกว่าเรา แส่ ไปหาเขาเอง ถ้าไม่ไปก็ไม่เดือดร้อน
หลายสำนักที่ไม่ได้หลอกลวง แต่มีความสามารถจริง ๆ อาตมาก็ขอบอกว่า เขาสามารถเอาไสยศาสตร์ออกจากเราได้ เขาก็สามารถใส่กลับเข้าไปได้ ถ้าเขาไม่มีศีลไม่มีธรรมพอ ไม่มีหลักยึดตามครูบาอาจารย์พอ เราก็จะโดนผูกไว้ กลายเป็นตัวทำเงินให้เขา ซึ่งเราไม่ต้องไปโทษใครเลย เพราะว่าเราตะกายไปหาเขาเอง
เรื่องของไสยศาสตร์ถ้าเราภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว ไม่ต้องมาก แค่อุปจารสมาธิขั้นปลาย ไม่ต้องถึงปฐมฌาน ไสยศาสตร์ก็ทำอันตรายไม่ได้แล้ว เพียงแต่อย่าเผลอหลุดจากสมาธิเท่านั้น
ในส่วนนี้ครูบาอาจารย์ตั้งแต่หลวงปู่ปานหรือหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจึงได้แนะนำให้มีวัตถุมงคลติดตัว และอาราธนาป้องกันไว้ เพราะว่าวัตถุมงคลถ้าทำถูกต้องตามพิธีกรรมจริง ๆ แต่ละชิ้นจะมีเทวดาช่วยรักษา เราเผลอได้ แต่เทวดาอยู่ในความเป็นทิพย์ ท่านไม่เผลอ แต่ขออย่างเดียวว่าให้อาราธนาไว้ทุกวัน ไม่ใช่แขวนขึ้นคอเฉย ๆ ทั้งปีทั้งชาติไม่ได้นึกถึงเลย ถ้าทำอย่างนั้นเทวดาท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเรา ท่านก็จะนั่งมองเฉย ๆ เหมือนกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องกายภาพบำบัดต้องอาศัยความเพียรระดับดื้อเลย ทำไมใช้คำว่า ดื้อ ? ถ้าไม่ดื้อไม่ด้านพอทำไม่สำเร็จหรอก อย่างอาตมาทั้งมือกระดิกได้แค่หัวแม่มือข้างเดียว ทำอย่างไรที่จะกลับมาใช้ได้ดีทั้ง ๕ นิ้ว ถ้าใช้ภาษาปฏิบัติคือความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ ก็คือการที่เรามี จิตตะ กำลังใจปักมั่น มี วิริยะ พากเพียรไม่ท้อถอย ดูตัวอย่างครูบาเหนือชัยในปัจจุบัน ตอนนี้ท่านถ่วงถุงทราย เคลื่อนไหวโดยมีถุงทรายผูกอยู่ ต่อไปถ้าเอาถุงทรายออกจะเคลื่อนไหวได้สะดวกกว่า ต้องดื้อในระดับนั้นจึงจะแก้ได้ เป็นพวกเราเส้นโลหิตใหญ่ในสมองแตก ยอมนอนเป็นอัมพาตดีกว่า...ใช่ไหม ?
หลายคนกำลังไม่พอ ถามว่ากำลังอะไร ? กำลังสมาธิ ฉะนั้น...ใครที่ดื้อด้านมาก ๆ ในอดีตเคยทำสมาธิได้ดีมาก่อน ถ้าสมาธิไม่ดีดื้อไม่ขึ้นหรอก ที่อาตมาเคยใช้คำพูดว่า การปฏิบัติธรรมต้องหน้าด้าน คือลักษณะอย่างนี้ ถ้าไม่สำเร็จไม่เลิก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันคนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่เป็นการอ่านในสมาร์ทโฟน แต่จะมีอะไรที่ผิดพลาดเยอะมาก สมัยนี้ต่อให้ตั้งใจพิมพ์ให้ถูก บางทีนิ้วก็ไปจิ้มผิดตัว บางคนก็ไปตั้งใจพิมพ์ให้ผิด ซึ่งจะมีสำนวน มีคำพูด อยู่ในลักษณะว่าเป็นที่เข้าใจกันว่าคำนี้หมายถึงอะไร ลักษณะเดียวกับศัพท์แสลงในสมัยก่อน ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ตายเกลี้ยงไปแล้ว น่าจะเหลือแต่คำว่า “กิ๊ก” กระมัง ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนตุลาคมนี้วัดท่าขนุนมี ๒ งาน งานบำเพ็ญกุศลถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีการบวชเนกขัมมะและสวดพระพุทธมนต์ตามที่สำนักพุทธฯ เขามีคำสั่ง อีกงานหนึ่งก็คือกฐินกับตักบาตรเทโวฯ ที่เป็นวันเดียวกัน คือ วันที่ ๒๕ ตุลาคม
พอดีว่าบันไดใหม่ที่ทำขึ้นพระพุทธเจติยคีรี บนยอดเขาของวัดท่าขนุนเรียบร้อยแล้ว แต่จะรอเปิดวันตักบาตรเทโวฯ คราวนี้ขึ้นไม่ยากแล้ว ก่อนหน้านี้ขั้นบันไดใหญ่และชันมาก บางคนต้องก้าวถึง ๓ ก้าวกว่าจะได้หนึ่งขั้นบันได เดี๋ยวนี้ทำเป็นขั้นเล็กขึ้นง่าย ๆ แล้วความลาดชันประมาณ ๓๐ องศาเท่านั้น เลยขึ้นง่ายหน่อย อาตมาใช้เวลาแค่ ๓-๔ นาทีเองถึงยอดแล้ว ญาติโยมก็เอาสัก ๒๐ นาทีก็พอ อย่าเยอะมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานการณ์บ้านเมืองของเราก็ไม่ค่อยปกติ บางอย่างรู้ก็พูดไม่ได้ เมื่อรู้ถึงคนหมู่มากก็เป็นการไปยุ่งเกี่ยวกับวาระกรรม เขาก็ถือว่าฝืนกฎของกรรม ฝืนกฎของกรรมเมื่อไรตัวอาตมาก็จะเละเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจัยทอดกฐินของญาติโยม ถ้าไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นกฐินวัดท่าขนุน อาตมาก็จะเอาลงเป็นกฐิน ๒ วัด น่าจะปีนี้เหลือสองวัดเพราะว่าให้เกาะพระฤๅษียืนด้วยตัวเองไปแล้ว แล้วปีหน้าก็จะเหลือแค่วัดเดียว
อยากจะให้บรรดาท่านเจ้าอาวาสที่ส่งไปท่านยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ถ้าหากว่ามัวแต่พึ่งพาส่วนกลางจะยืนด้วยตัวเองไม่ได้เสียที ต้องบอกว่าอาตมาเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ เราจะเห็นว่าพวกสัตว์เลี้ยงลูกนี่ ถ้าลูกไม่แข็งแรงจะปล่อยตายไปเลย เพราะฉะนั้น..อาตมาก็ต้องเลี้ยงแบบธรรมชาติ ถ้ายืนหยัดด้วยตัวเองไม่ได้ก็ปล่อยตายไปเลย
ที่วัดพอตอนเย็น ๆ แม่ไก่ก็จะบินขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ถ้าลูกไก่ตามมาไม่ได้แม่ก็จะลงมาบินขึ้นให้ดู ๒-๓ เที่ยว ถ้ายังตามไม่ได้อีกแม่ก็ทิ้งเลย เอาตัวรอดเองก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าเจอกัน ส่วนใหญ่ญาติโยมที่วัดจะไม่เข้าใจว่า อาตมาปล่อยต้นไม้รก ๆ ไว้ทำไม กิ่งล่าง ๆ เอาไว้ให้ลูกไก่บินขึ้น ถ้าบินถึงก็สามารถบินต่อไปกิ่งบนได้ บางคนไปตัดข้างล่างเสียหมด ลูกไก่ก็ขึ้นไม่ได้"
"ปีนี้กฐินถ้าใครจะไปก็ต้องลางานหนึ่งวัน เพราะว่ากฐินไม่ได้ตรงกับวันหยุด เนื่องจากว่าทางวัดท่าขนุนมีตักบาตรเทโวฯ ถ้าอีกไม่กี่วันทอดกฐิน ญาติโยมก็ต้องไปวัด ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง
งานตักบาตรเทโวฯ ที่วัดท่าขนุน ญาติโยมทางทองผาภูมิเขาก็ไปกันเกือบทั้งอำเภออยู่แล้ว จึงทอดกฐินไปเลยให้หมดเรื่องหมดราว จะได้สตางค์น้อยได้สตางค์มากก็ไม่ใช่สาระ สาระสำคัญอยู่ตรงที่ได้ทำบุญ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรำคาญเสียงระฆังบ้างไหม ? ปรากฏว่าคนที่ฟ้องว่าพระตีระฆังก่อความรำคาญเป็นอิสลาม แล้วตัวรองหัวหน้าเขตที่ทำหนังสือถึงวัดเพื่อห้ามการตีระฆังก็เป็นอิสลาม ชัดเจนหรือยังว่าเขาบีบพระเราเข้ามาทุกวิถีทาง ?
ส่วนบรรดานักวิชาการที่ออกมาแสดงความเห็น อย่างเช่นว่าเป็นพระเป็นเจ้าสอนคนอื่นให้มีสติ ทำไมตัวเองขาดสติไปทำเรื่องที่รบกวนชาวบ้าน ? หรือว่าในระหว่างกิจกรรมที่เป็นแค่เปลือก เป็นแค่รูปแบบ ทำไมถึงไม่เน้นการปฏิบัติภายใน ? อาตมาขอยืนยันว่านักวิชาการเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่มือปืนรับจ้างที่ช่วยอิสลามทำลายศาสนาพุทธ ก็แปลว่าเกิดมาโง่จริง ๆ
โบราณสมัยก่อนใช้เสียงระฆังเป็นสัญญาณ ทันทีที่ได้ยินเสียงระฆังเราจะต้องนึกถึงวัด นั่นก็คือการระลึกถึงอนุสติใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว สัญญาณระฆังปลุกพระขึ้นมาเพื่อที่จะทำวัตรสวดมนต์เจริญกรรมฐาน ถ้าคนรู้ระบบตรงนี้อนุโมทนาตามไป ก็จะได้บุญกุศลติดตัวโดยไม่ต้องลงแรง กระทั่งวัดของอาตมา ถ้าหากว่าเสียงระฆังดัง หมาจะรีบวิ่งมาเลยเพราะรู้ว่าจะได้กิน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่อาตมาเห็นอยู่ที่วัดก็คือ ถ้าตีระฆังแล้วรำคาญและหอนใส่ก็มีแต่หมาเท่านั้น..!
เรื่องนี้ในเมื่อออกมาชัดเจนแล้วว่าที่ฟ้องเขาอยู่ทั้ง ๆ ที่คนทั้งคอนโดไม่มีใครว่า เพราะว่าเป็นอิสลาม แล้วตัวรองหัวหน้าเขตที่เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นคนทำหนังสือถึงวัดก็เป็นอิสลาม ต้องบอกว่านักสืบโซเชียลสมัยนี้ของเราเก่งมาก ไม่ว่าคุณจะไปทำอะไรที่ไหน อยู่ในรูไหน เขาขุดออกมาหมด
ระยะหลังนี่ทำอะไรอย่าออกสื่อ ออกสื่อเมื่อไรเตรียมตัวได้ อาตมาเห็นข่าววันแรก เขาบอกว่า "ช่วยจัดให้หน่อยสิ ไอ้สองคนนี้เป็นใคร" พักเดียวเท่านั้นแหละมาเพียบเลย ต้องบอกว่าสื่อโซเชียลก็ดีอยู่อย่างก็คือ ไม่มีใครที่จะเป็นความลับได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนฝนตกทั้งคืน กลางวันแดดเปรี้ยงเลย ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงมาก โปรดระมัดระวังรักษาสุขภาพด้วย ชำรุดขึ้นมาจะซ่อมไม่ไหว
เมื่องานวันที่ ๑๔ กันยายน มีการทำบุญถวายบูรพาจารย์วัดท่าขนุน ก็ขอทางด้านโรงพยาบาลเอาวัคซีนกันไข้หวัดใหญ่ ๑๐๐ ชุด มาฉีดถวายพระที่มาร่วมงาน ปรากฏว่าวัคซีนจริง ๆ แล้วมีกันไข้หวัดหลัก ๆ อยู่ ๒ อย่าง ส่วนอย่างที่ ๓ เป็นไข้หวัดที่เกิดขึ้นเฉพาะฤดูกาลหรือว่าเฉพาะเวลา แต่ละชุดราคาหลายร้อยบาท เพียงแต่ว่าช่วงที่ผ่านมาอาตมาเป็นหวัดไปเดือนกว่า ก็เลยซาบซึ้งว่าถ้าเป็นแล้วแย่ จึงตั้งใจว่ายอมจ่ายเงินเพื่อที่อย่างน้อย ๆ ก็กันไข้หวัดใหญ่ให้กับบรรดาพระที่นิมนต์มา
แต่ปรากฏว่าแพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ เป็นคนควักกระเป๋าเอง โดยที่แจ้งว่ามีเพื่อนหลายคนร่วมบุญมาด้วย อาตมาก็เลยไม่รู้ว่าเงิน ๗๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ บาท ตกลงว่าหมอนวลจันทร์จ่ายเองกี่บาท ? แต่ว่าอาตมาไม่ต้องจ่าย"
"มีเรื่องหนึ่งที่พวกเราคิดกันไม่ค่อยจะถึง คือ ปัจจุบันนี้การคมนาคมไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เครื่องบิน รถยนต์ สะดวกคล่องตัวมาก โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็เลยแพร่สะดวกไปด้วย ถึงเวลาโรคระบาดอาจจะอยู่แอฟริกา แต่ท้ายสุดก็นั่งเครื่องบินมาถึงเมืองไทย
สมมติว่าไข้หวัดนกระบาดที่เชียงราย คือทางเหนือจะหนาวก่อน ปรากฏว่าคนเชียงรายนั่งเครื่องบินไปเที่ยวสุไหงโกลก ไข้หวัดก็พลอยนั่งเครื่องบินตามไปด้วย ดังนั้น..การแพร่ระบาดก็จะเร็วขึ้นตามความสะดวกสบายในการคมนาคม เราจะเห็นว่าพอถึงเวลามีโรคระบาด แต่ละสนามบินก็จะมีเขตกักกัน อยู่ในลักษณะตรวจสอบว่าเราเป็นหรือไม่เป็น บางที่ทันสมัยมาก ๆ มีเครื่องวัดอุณหภูมิจากตัวเราด้วย ใครจับไข้ตอนนั้นพอดีก็ซวยไป
สมัยก่อนโรคระบาดไปช้า เพราะว่าการเดินทางที่สะดวกที่สุดก็คือไปทางเรือ จากประเทศไทยไปอินเดียก็เป็นเดือน ถ้าจะไปยุโรปอเมริกาก็หลายเดือน"
ถาม : ...(โรคซึมเศร้า)...
ตอบ : ต้องบอกว่าเกิดจากใจที่ไม่มีเครื่องยึด ฉะนั้น...อยู่ที่ตัวเขาเอง ถ้าสภาพจิตของตัวเองมีเครื่องยึด ไม่มัวไปคิดถึงเรื่องของตัวเองอยู่ก็ไม่เป็นหรอก ถ้าสามารถคิดถึงพระได้ทั้งวันเหมือนกับที่คิดสงสารตัวเองนี่บรรลุไปนานแล้ว
โรคซึมเศร้าเป็นสักกายทิฐิอย่างหนึ่ง คิดถึงแต่ตัวเอง รักแต่ตัวเอง สงสารแต่ตัวเอง ห่วงแต่ตัวเอง แต่ว่าคิดผิด รักผิด สงสารผิด เท่านั้นเอง
ถาม : ก่อนจะไปงานออกนิโรธกรรมครูบาวิฑูรย์ ขอพระให้เดินทางโดยปลอดภัย ปรากฏว่าคืนนั้นฝันเห็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านมาในชุดฆราวาส ไม่ใช่พระ แต่มีพระมากันอีกเยอะ อันนี้เป็นนิมิตหมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์บอกไม่ได้หรอก ต้องอยู่ในเหตุการณ์ด้วยถึงจะบอกได้ เห็นพระถือว่าดีก็แล้วกัน
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีงานศพงานหนึ่งที่อาตมาเป็นเจ้าภาพ ลูกหลานของงานนั้นน่าจะอายุประมาณ ๕ ขวบ แต่เขาเป็นเด็กดาวน์ซินโดรม เด็กที่ด้อยสติปัญญาจะมีอาการที่แสดงออกมาให้เห็นชัด ๆ ว่าใช่ แต่พออาตมาไปนั่ง เด็กคนนั้นหน้าตาเปลี่ยนเป็นเฉลียวฉลาดสุด ๆ แปลกมาก..แล้วคว้าจีวรพระไว้ไม่ยอมปล่อยอีกด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดท่าขนุนพัฒนาให้เข้าสู่ยุคพระพุทธศาสนา ๔.๐ ไปแล้ว วัดอื่นตามไม่ทัน ตอนนี้ที่วัดกำลังวางระบบติดตั้ง Wifi ฟรีทั่ววัด กลางวันจะได้ ๑๐๐ เมกะไบต์ กลางคืนได้ ๒๐๐ เมกะไบต์ พูดง่าย ๆ ว่าโหลดหนังเรื่องหนึ่งไม่ถึงครึ่งนาที เสียดาย...พระไม่ได้ดูหนัง แล้วก็ติดตั้งป้ายโฆษณาแบบเคลื่อนไหวที่หน้าวัด
คราวนี้ที่ทำเกิดจาก ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือต้องเห็นประโยชน์ ถ้าพูดแบบ "อวย" ตัวเองก็คือต้องมีวิสัยทัศน์ อย่างที่สองคือต้องมีสตางค์ ไม่อย่างนั้นติดตั้งไม่ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้งานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์เขาจัดได้ดี อาจจะเป็นเพราะว่าปีก่อนมีการผิดพลาด จนกระทั่งหลวงปู่ครูบาบุญยังตกเสลี่ยงบาดเจ็บมาแล้ว ปีนี้ทำการแก้ไขก็เลยจัดงานได้ดี
แต่คราวนี้โฆษกก็คือท่านธีร์นวัช ปรารภถึงเรื่องราวในบ้านในเมืองของเราว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง ท้ายสุดท่านก็ควักเหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณออกมา แล้วท่านก็บอกว่า “ผมไม่กลัวหรอก เพราะว่าผมพกเหรียญนี้แล้ว” อาตมาเองก็ขำ ๆ ว่าไม่น่าจะมาโฆษณากลางงานคนอื่นเขา แล้วอีกอย่างหนึ่งโฆษณาไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเหรียญนั้นหมดเกลี้ยงไปแล้ว
อาตมาขออนุญาตสร้างใหม่ ท่านท้าวเวสสุวรรณก็ไม่อนุญาต ท่านบอกว่าถ้ามากเกินไปจะออกนอกสายที่เคยสร้างบุญร่วมกันมา ซึ่งไม่ใช่ภาระของท่านที่ต้องตามไปดูแลเขา ในเมื่อท่านไม่อนุญาต ใครมีของเก่าก็เฉลี่ย ๆ แบ่งกันไป อาตมาเองก็ไม่ได้บอกเขาหรอกว่า อาตมาเองก็พกอยู่เหรียญหนึ่งเหมือนกัน..!"
"การที่เราสร้างพระเองแล้วเอาไว้ใช้งานเอง ก็คือลักษณะบูชาติดตัว เป็นเรื่องที่คนเขาไม่ค่อยจะพูดกัน เพราะว่าพูดไปก็เหมือนกับเชียร์ตัวเอง แต่ว่าปัจจุบันหลายที่ก็มักจะโฆษณาในลักษณะแบบนี้ ไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ใช้จริงใช้ไม่จริงก็ตีโฆษณากันไป
แบบเดียวกับพวกที่โฆษณาจำหน่ายวัวธนูหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล พวกนั้นเขาโฆษณาว่า ตอนมรณภาพในย่ามของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีวัวธนูหลวงปู่คำแสนอยู่เท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ถ้าไม่ใช่อาตมา ก็มีคนรู้น้อยมาก เพราะว่าอาตมาเป็นคนเอาย่ามไปถวายหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ตอนที่ท่านยังเป็นพระครูปลัดอยู่
ในระหว่างที่หลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ร่างกายแข็งแรง ไปไหนมาไหนอาตมาเป็นคนล้วงย่ามท่านประจำ พอท่านส่งย่ามให้ อาตมาก็จะล้วงดูว่าท่านพกอะไรบ้าง แล้วก็เจอดีเข้า เพราะว่าครั้งแรกที่ล้วงย่ามท่าน พอแหย่มือลงไปเหมือนกับโดนไฟเป็นหมื่น ๆ โวลต์ช็อตกระเด้งเลย หลวงพ่อท่านเหลือบตาดูแล้วท่านก็หัวเราะ บอกว่า “สมน้ำหน้ามึง..!”
อาตมาก็สงสัยว่าอะไรที่ช็อตได้ขนาดนั้น ก็เลยล้วงซ้ำอีกทีแบบไม่กลัวตาย ปรากฏว่าเป็นมีดหมอ มีดหมอที่พวกเราเรียกกันว่าดาบฟ้าฟื้น ซึ่งเป็นรุ่นที่ถอนโบสถ์วัดท่าซุง บางคนเรียกว่ามีดหมอ ภปร. - สก. แล้วก็มีลูกแก้วจักรพรรดิใหญ่ ๑ องค์ เล็ก ๑ องค์ มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในขวดเล็กลักษณะเป็นหลอด แล้วก็ชุดเป่ายานัตถุ์ของท่าน และก็มีขวดยานัตถุ์สำรองอีก ๑ ขวด พร้อมกับผ้าเช็ดน้ำมูก มีปากกาหนึ่งด้าม ทั้งย่ามมีอยู่แค่นั้นแหละ แล้วก็ไปโฆษณากันบอกว่า มีกระทั่งวัวธนูหลวงปู่คำแสนอยู่ในย่าม อาตมาก็สงสัยว่า "นี่กูไม่เห็นหรืออย่างไร ?" "
"ไม่ใช่ว่าวัวธนูของหลวงปู่คำแสนท่านไม่ดี วัวธนูของหลวงปู่คำแสนอาตมาถือว่าเป็นวัวธนูเนื้อโลหะอันดับหนึ่งของประเทศเลย แต่คราวนี้คนขายคงอยากจะขายมากก็สร้างนิทานขึ้นมา
ในวงการพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง บรรดาผู้ที่รู้จริงและมีคุณธรรมพอก็จะเตือนกันว่า จะบูชาวัตถุมงคลให้บูชาด้วยตา อย่าบูชาด้วยหู คำว่าบูชาด้วยตา ก็คือให้ดูความแท้ความเทียมให้ถูกต้องตามหลักสากลนิยม อย่าไปฟังนิทานจนเกิดศรัทธาเลื่อมใสแล้วไปแย่งกันบูชา จะโดนเขาต้มเอาง่าย ๆ
อาตมาก็เลยขำว่า ท่านธีร์นวัชอยู่กลางงานเป็นโฆษกให้งานเขา แต่มาโฆษณาเหรียญท้าวเวสสุวรรณของวัดท่าขนุน ซึ่งหมดไปแล้วด้วย ปกติโดยมารยาทแล้ว พิธีกรหรือโฆษกอยู่วัดไหนก็ต้องพูดให้วัดนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่สำนักสงฆ์ปรียนันท์แล้วก็มาพูดให้วัดท่าขนุน ถ้าลักษณะนั้นเขาถือว่าผิดมารยาท แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าท่านขนาดชนะประกวดสามเณรธรรมาสน์ทองมา เรื่องอย่างนี้เดี๋ยวท่านรู้ผิด ท่านก็แก้ไขเอง"
ถาม : หากในอดีตเราเคยผิดสังฆาทิเสส จบวันที่เราสึกหรือตลอดชีวิตครับ ?
ตอบ : สังฆาทิเสส ถ้าหากว่าได้แก้ไขก็เป็นอันว่าจบ ถ้าไม่ได้แก้ไขก็มีอย่างเดียว คือไปบวชใหม่แล้วแก้
ถาม : ทั้งหมด ๑๐ ก็คือแก้ ๑๐ วัน ?
ตอบ : ๑๖ วัน ก็คือ ๑๐ วัน บวกมานัตต์อีก ๖ วัน
ถาม : พอดีกราบเรียนหลวงตาวัดเขาวงไว้แล้ว ?
ตอบ : เอาสักเดือนเลยก็ได้ เผื่อเหนียวไว้ก่อน
ถาม : ตอนนี้อยู่กับแม่แล้วทะเลาะกัน ?
ตอบ : อนุญาตให้ทะเลาะกับแม่เดือนหนึ่งช่วงปิดเทอมนี้ เขาบอกแล้วว่าลูกสาวต้องให้พ่อเลี้ยง ลูกชายต้องให้แม่เลี้ยง ไม่อย่างนั้นไม่เข้ากันหรอก
ถาม : อยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะ ?
ตอบ : อย่าบ่น เรื่องข้างในบ้านอย่าบ่นให้คนอื่นฟัง
ถาม : สิ่งที่ผมยังต้องทำต่อคืออะไรครับ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ทำไปเถอะ ให้อารมณ์ใจพ้นจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้ก็พอ
ถาม : พระอาจารย์จะสร้างพิพิธภัณฑ์ ผมจะถวายพระสมเด็จและไม้เพดานโบสถ์วัดพระแก้วครับ ?
ตอบ : พระสมเด็จรับ ไม้เพดานโบสถ์ไม่รับ ไม่อยากเป็นหนี้สงฆ์ อะไรที่อยู่ในวัดแล้วเราไปเอามานี่...หาเรื่องลงอเวจีชัด ๆ..!
ขอญาติโยมอย่าได้เข้าใจผิด อาตมาสร้างพิพิธภัณฑ์ทางพระพุทธศาสนา นี่หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธประวัติและผลงานของพระพุทธเจ้า อีกส่วนหนึ่งก็เป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องราง ไม่ใช่วัตถุมงคลที่เป็นรูปพระ
ถาม : แล้วถวายพระสมเด็จได้ไหมครับ?
ตอบ : ได้...เพราะว่าจะเอาไปขายแล้วเอาเงินไปสร้างให้
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาบอกว่าวันศุกร์ต้นเดือนเป็นวันรถติดแห่งชาติ ถ้าฝนตกซ้ำเข้าไปด้วยก็ยิ่งอาการหนักใหญ่ ในเรื่องของการแก้ปัญหาจราจรในบ้านเมืองของเรา ไม่มีความจริงใจมาตั้งแต่ต้น ถนนในกรุงเทพฯ ทั้งหมดรองรับรถยนต์ได้ประมาณ ๔ ล้านคัน แต่รถในกรุงเทพฯ จดทะเบียนไปเกือบ ๑๐ ล้านคัน ถ้าออกมาพร้อม ๆ กันก็ไม่มีที่ให้วิ่งหรอก
ถ้ารัฐบาลทุกประเทศจะแก้ปัญหารถติดแบบมีความจริงใจ ต้องสนับสนุนการขนส่งสาธารณะ ให้มีความคล่องตัวมากที่สุด อย่างเช่นว่ารถไฟบนดิน รถไฟใต้ดิน รถเมล์ แท็กซี่ เหล่านี้เป็นต้น แต่คราวนี้บ้านเราการแก้ไขปัญหากันแบบไม่จริงจังและไม่จริงใจ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทุกบริษัท เป็นนายทุนให้กับพรรคการเมือง บ้านเราก็เลยต้องสนับสนุนให้ขายรถให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ให้รถออกสู่ท้องถนนให้น้อยที่สุด
ถ้าจะแก้ไขกันจริง ๆ อันดับแรกเลยต้องจำกัดจำนวนรถยนต์ ถ้าเอาอย่างออสเตรเลีย คุณจะซื้อรถคันใหม่ก็เอารถคันเก่ามาให้เขายุบทิ้งเป็นเศษเหล็กก่อน แล้วเอาทะเบียนรถคันเก่าไปทำข้อมูลเป็นคันใหม่ ถ้าลักษณะอย่างนี้ในบ้านเรารถเก่าจะขายดีมาก เหลือแต่ทะเบียนก็จะซื้อ เหลือซากรถก็จะซื้อ เพื่อเอาทะเบียนไปซื้อคันใหม่
จำกัดจำนวนรถใหม่วิธีที่สอง อย่างเช่นว่าให้เพิ่มได้ร้อยละไม่เกินหนึ่งคันหรือสองคัน เป็นต้น แต่ว่าวิธีนี้ก็น่าจะทำให้บรรดาผู้เกี่ยวข้องหากินกันได้ครึกครื้น เพราะว่าใครอยากได้รถใหม่ในปีนี้ ก็ต้องไปวิ่งเต้น หาเส้นสายวางเงินกันอุตลุด เพื่อที่จะได้โควตาไปซื้อรถ"
"วิธีต่อไปก็คือปรับการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟบนดินใต้ดินให้ถึงตรงเวลา อย่างญี่ปุ่นรถไฟจะไปถึงสถานีผิดเวลาไม่เกิน ๓ วินาที คนญี่ปุ่นจะรู้ว่าถ้าขึ้นรถไฟทันเที่ยวไหน แล้วจะไปทำงานทันเวลา
ต่อไปก็คือจำกัดจำนวนรถที่เข้าสู่เขตเมืองชั้นใน อย่างเช่นว่าถ้าจะเข้าไปแถวจักรวรรดิ เยาวราช สีลม ฯลฯ จะต้องห้ามเข้าบริเวณไหนบ้าง ถ้าอย่างนั้นกิจการที่จอดรถจะรุ่งเรืองมาก เพราะว่าเอารถเข้าไม่ได้ต้องหาที่จอด คนก็จะสร้างตึกให้รถจอดแทนที่จะสร้างตึกให้คนอยู่
วิธีต่อไปจำกัดการใช้รถ โดยมีการหมดอายุของรถเหมือนของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นใช้รถยนต์ได้ไม่เกิน ๓ ปี จะไม่มีรถเก่าให้มาเสียอยู่บนท้องถนน ญี่ปุ่นถ้าใช้รถยนต์ส่วนตัวลำบาก อันดับแรกเลยก็คือจ่ายฟรีปีละ ๕๐,๐๐๐ เยน เป็นค่าใบอนุญาตให้มีรถยนต์ อันดับต่อไปคือค่าจอดรถแพงมาก ถ้าไม่มีที่จอดรถแล้วไปซื้อรถยนต์ บริษัทโดน ไม่ใช่คนซื้อโดนนะ ค่าจอดรถญี่ปุ่นชั่วโมงละ ๘๐๐ เยน หรือ ๒๔๐ บาทไทย แบบดึก ๆ เลยก็ชั่วโมงหนึ่ง ๒๐๐-๓๐๐ เยน"
"เราจะเห็นว่าวิธีการแก้ปัญหาเรื่องรถติดมีเยอะมาก แต่อย่างที่บอกไว้ว่าบ้านเราขาดความจริงใจ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก อะไรที่ทำแล้วช่วยให้รถไม่ติดเขาไม่ทำกันหรอก เพราะว่าทำไปแล้วจะทำให้คนรวยเดือดร้อน
ต่างประเทศอย่างพวกยุโรปนั่งรถคันแค่นี้ ...(ทำมือ)... ฝรั่งตัวเล็กกว่าควายนิดเดียว ยอมนั่งรถที่ใหญ่กว่ามอเตอร์ไซค์หน่อยเดียว นอกจากจะช่วยไม่ให้รถติด ช่วยให้มีที่จอดมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้อากาศดี เพราะว่ารถเล็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นรถไฟฟ้า บ้านเราน่ะหรือ ? กูมีลูก ๕ คนก็รถ ๕ คัน ไม่ได้คิดจะใช้รถด้วยกันเลย ไม่ได้คิดจะใช้ขนส่งสาธารณะ เพราะว่าขาดสำนึกเพื่อส่วนรวม
อาตมาเองนั่งรถแท็กซี่ ทิ้งรถเอาไว้ในบ้านนี้ จะไปสอนหนังสือ จะไปธุระปะปัง...นั่งแท็กซี่ ไปงานกิจนิมนต์ในกรุงเทพฯ...นั่งแท็กซี่ เพื่อนพระบอกว่ามีรถดี ๆ ทำไมไม่รู้จักใช้ ถ้าเราเอารถไปแล้วจะเดือดร้อนแค่ไหน บางงานวัดเขาก็เล็ก ๆ ที่จอดแทบจะไม่มี อย่างเช่นอีกไม่นานต้องไปพุทธาภิเษกที่วัดอรุณฯ อาตมาก็ตั้งใจนั่งแท็กซี่ไป ลงเรือจ้างไป ไปถึงเดินเอา..สบายมาก ไม่ต้องหาที่จอดรถ คนอื่นไปนี่หน้ามืด หาที่จอดรถไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่โดยสิทธิ์แล้วอาตมามีสิทธิ์เอารถเข้าไป เพราะว่าเป็นภาวนาอาจารย์ที่เขานิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคล อย่างไรเขาก็ต้องหาที่ให้จอด แต่ก็ไม่เอาไป
ไปเพิ่มรถอยู่บนถนนอีกคันหนึ่ง ค่าน้ำมันใกล้เคียงกัน ไม่ต้องหาที่จอดรถ ไม่ต้องห่วงคนขับรถ ไม่ต้องกลัวเสียกลัวชน เพราะว่าไม่ใช่รถเรา เป็นรถแท็กซี่ ถ้าไม่ใช่อาตมาเข็ดตั้งแต่พรรษาแรกจะนั่งรถเมล์หรือมอเตอร์ไซค์ให้ดู"
"พรรษาแรกที่บวช ติดรถหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ท่านก็เข้าบ้านพักทหารอากาศดอนเมือง ของพลอากาศโทอาทร โรจนวิภาต อาตมาไม่ได้ไปด้วย เพราะว่าลามาเยี่ยมบ้าน ก็ลงแค่ด้านหน้าหมู่บ้าน แถวนั้นมีแต่รถสองแถว สมัยนี้ไม่มีสองแถว เปลี่ยนเป็นมินิบัสแล้ว
พอรถสองแถวมาก็ขึ้น เหยียบยังไม่ทันจะเต็มตีนเลยเขาก็กระชากออก อาตมาหัวทิ่มใส่โยมผู้หญิงเต็ม ๆ ท่ามกลางความตกใจของญาติโยม มีคนสละที่ให้นั่ง พอใกล้จะถึงบ้านลุกขึ้นเพื่อที่จะกดกริ่ง เพิ่งลุกได้ครึ่งตัวโชเฟอร์กระทืบเบรกอีก หัวทิ่มใส่โยมผู้หญิงอีก แล้วเจ้ากรรมเถอะ...เป็นโยมคนเดิม อย่างกับเจตนาเลย
ตั้งแต่วันนั้นอาตมาสาบานเลย รถอื่นไม่ขึ้น ถ้าจะขึ้นก็ขึ้นรถแท็กซี่ แต่เมื่อเดือนก่อนก็มีเวรกรรมอีก โบกรถเสร็จสรรพขึ้นแท็กซี่ไป เสียงโชเฟอร์ถามว่า ไปไหนคะ ? อาตมามองอย่างไรก็ผู้ชาย เขาบอกว่า "ไม่ต้องเกรงใจค่ะ ไม่มีใครดูออกหรอกว่าเป็นผู้หญิง" ถ้าไม่ได้ยินเสียงนะ เขาเสียงเพราะมากเลย แต่หน้าตาผู้ชายชัด ๆ
ด้วยความเคยชินอาตมาก็ชอบนั่งด้านหน้า ไม่ชอบไปนั่งเต๊ะท่าอยู่ข้างหลัง พอนั่งไปเสียงถามว่า "จะไปไหนคะ ?" ตกใจ..หันไปมองกี่ทีก็ผู้ชาย เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า เขามีใบหน้าเป็นอาวุธ ถึงได้กล้าขับรถแท็กซี่ เอาแค่นี้แหละ พูดมากเดี๋ยวจะหาว่าไปด่ารัฐบาลอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บ้านเมืองเราใน ๑๐ อันดับประเทศในอาเซียนนี่ เราน่าจะรั้งท้ายสุด ตามใครไม่ทันเลยแม้แต่ประเทศเดียว เวียดนามแซงหน้าไปลิบแล้ว ระดมดอกเตอร์ ๑,๕๐๐ กว่าคนช่วยกันปรับแผนยุทธศาสตร์ชาติอยู่ทุกเดือน ถ้าไม่ใช่เวียดนามเจอภัยธรรมชาติหนักกว่าไทย ป่านนี้เวียดนามน่าจะติดอันดับต้น ๆ ของอาเซียนไปแล้ว
ไทยเราก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย ในอาเซียนเราเป็นรองแต่สิงคโปร์เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ไทยเราเป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน สิงคโปร์ไม่ต้องไปตามเขาหรอก เขาอยู่อันดับ ๑ ของโลก ถามว่าอันดับ ๑ ตรงไหน ? เรื่องการศึกษา
ต่างประเทศเขาวัดความเจริญของชาติตรงการสนับสนุนการศึกษา ถ้าใครดูพระบรมราโชวาทหรือฟังพระบรมราโชวาทในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ท่านตรัสว่า ศีลธรรมและการศึกษาจะสร้างชาติให้เจริญ พระองค์ท่านมองปัญหาแตกมาตั้งแต่ไม่รู้ยุคไหนสมัยไหนแล้ว แต่จนบัดนี้รัฐบาลของเรายังสนองพระบรมราโชบายไม่ได้เลย
ต่างประเทศเขาลงทุนเรื่องการศึกษาหนักมาก คนที่เก่งที่สุดต้องเป็นครู บ้านเราคนที่สอบอะไรไม่ติดค่อยไปเข้าวิทยาลัยครู ขออภัยบรรดาครูทั้งหลายด้วย เพราะว่าท่านก็เป็นคนเหลือเลือกเหมือนกัน..! ในเมื่อเป็นบุคคลเหลือเลือกแล้ว จะไปสอนอนาคตของชาติให้ดีได้อย่างไร ? เกาหลีใต้หกล้มหกลุก ก่อนหน้านั้นถ้าเอ่ยชื่อแดวู ซัมซุง มีแต่ก็อปปี้ชาวบ้านเขาตลอด แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านต้องไล่ก็อปปี้เกาหลี ประเทศเกาหลีเงินเดือนครูสูงกว่าหมอและวิศวกร เดือนละหลายแสนบาทไทย เพื่อที่จะเอาไปสอนคนของเขาให้มีคุณภาพ"
"อาตมาบอกมาตั้งแต่ตอนบวชใหม่ ๆ จนป่านนี้ ๓๐ กว่าปีมาแล้วว่า ถ้าอาตมาเป็นรัฐบาลจะไม่ทำอะไรหรอก แค่ไปขอพระบรมราโชบายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าจะทำอะไรเท่านั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไปก็พอ เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำก็เพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้านทุกคน
รัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย เมื่อมีโอกาสเข้าเฝ้าในยุคนั้น กราบทูลถามในหลวงรัชกาลที่ ๙ ว่าชาวบ้านจุดประทัดแก้บนที่ลานพระรูปทุกวันเสียงดังมาก บางทีจุดกันเป็นหมื่นดอก ไม่ทราบว่าเสียงรบกวนถึงพระราชวังสวนจิตรลดาหรือเปล่า จะให้จัดการอย่างไร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ถามว่าผิดกฎหมายหรือเปล่า ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็เป็นสิทธิเสรีภาพของชาวบ้านที่จะแสดงออก คนอื่นก็ต้องทนเอา เราเองก็ต้องทน แต่ถ้าผิดกฎหมายต่อให้ดังไม่ถึงสวนจิตรลดาก็ต้องจัดการ ไม่ใช่เอาพระองค์ท่านเป็นเกณฑ์ แต่ให้เอาหลักของกฎหมายและระเบียบวินัยเป็นเกณฑ์ ชัดไหม ? ไม่ใช่ตีระฆังหน่อยแล้วก็มีปัญหาแล้ว ให้ดูว่าผิดกฎหมายหรือเปล่า ?"
พูดถึงเรื่องลายมืออ่านยาก "เรื่องลายมือต้องหลวงพี่อาจินต์ของอาตมา หลวงพี่อาจินต์เห็นว่าอาตมาต้องไปเบิกธนาณัติให้หลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะว่าช่วงนั้นอยู่เฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อท่าน พอจดหมายมาก็แกะ ถ้าเป็นธนาณัติก็ต้องไปเบิก หลวงพี่อาจินต์เห็นก็ "เล็ก..วันนี้ไปตลาดใช่ไหม ?" "ไปครับ" "ผมฝากซื้อของหน่อย" แล้วก็ส่งใบฝากมา อาตมาก็พยายามแคะ "อ่านไม่ออกจริง ๆ ว่ะ ตัวนี้หลวงพี่เขียนว่าอะไร ?" หลวงพี่อาจินต์มองแล้ว "ไม่รู้เหมือนกัน ?" เจ้าของลายมืออ่านไม่ออก แล้วตูจะอ่านออกไหมนี่..!??
ลองไปขอดูเถอะ อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่า เรืออากาศโทอาจินต์ หีบพร เป็นอาจารย์ของโรงเรียนนายเรืออากาศมาได้อย่างไร ลายมือแบบนั้นคล้าย ๆ กับเชาวเลข เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแล้ว สมัยก่อนเชาวเลขเป็นการจดที่เป็นสัญลักษณ์มากกว่าตัวหนังสือ พอจดไปแล้วเราจะอ่านออก โดยเฉพาะพวกนักข่าวต้องเป็น เนื่องจากสัมภาษณ์สมัยก่อนหาเครื่องบันทึกเสียงยาก เวลานักข่าวสัมภาษณ์ถามเสร็จ เป้าหมายตอบมาก็ต้องรีบจดให้ทัน ลายมือหลวงพี่อาจินต์ของอาตมานี่ยิ่งกว่าเชาวเลขอีก เพราะว่าอาตมาอ่านไม่ออก เอาแค่นี้เถอะ...นินทาพี่ไม่ดี เดี๋ยวบาปกรรมตามทัน"
พูดถึงเครื่องรางของขลัง "หลายคนสงสัยว่าอาตมาทำไมตัดใจจากของดีของรักได้ ก็เพราะว่าอาตมาเคยตัดมามากกว่านั้นแล้ว ของที่รักมากกว่านั้นตัดมาแล้ว ของแค่นี้ก็ต้องตัดได้สิ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่เอากัลปังหามาทำวัตถุมงคลแล้วโด่งดังที่สุด ต้องยกให้หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่ออี๋เอากัลปังหามาทำวัตถุมงคลทั้งปลัดขิก เม็ดพริกคหบดี แล้วก็มีตะกรุดด้วย อาจเป็นเพราะว่าไม่มีเวลาแกะ เลยตัดเป็นตะกรุดเลย ความจริงถ้าแกะสักหน่อยก็คือปลัดขิกนั่นแหละ บางทีคนไปขอเยอะ ๆ ท่านไม่มีเวลาทำให้ ก็ตัดแล้วรีบจารให้ ไม่ทันได้แกะ
ดังนั้นต้องดูลายมือจาร ถ้าหากว่าจำลายมือจารได้ก็ใช่ ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋กับหลวงพ่อเหลือโด่งดังพอ ๆ กัน แต่ว่าของหลวงพ่อเหลือนี่ลายมือท่านแปลก ๆ เหมือนเป็นตัวขอมเหลี่ยม ๆ ไม่มีหาง ออกแนวคล้าย ๆ กับอักขระพม่า หรือไม่ก็ออกแนวไปทางอักษรเมือง แต่ว่าเป็นเหลี่ยม ๆ ใครจำลายมือท่านได้ก็ได้เปรียบ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปเจอวัตถุมงคลชิ้นหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นตะกรุดงาช้าง อาตมาว่าไม่ใช่ ตะกรุดอะไรใหญ่อย่างกับถ่านไฟฉาย ๓ ท่อน แต่จำลายมือที่จารได้ว่าเป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ก็เลยไม่สนใจว่าเป็นอะไรแล้ว เอาไว้ก่อน
ลายมือครูบาอาจารย์เป็นของที่ปลอมยาก อย่างหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ ท่านจารลงบนพระที่เป็นเนื้อเมฆสิทธิ์ อาตมาลองพยายามดูแล้วจารไม่เข้า แสดงว่าท่านต้องใช้กสิณช่วย หรืออย่างหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ท่านจารลงบนหลังเบี้ยเลย จารลึกด้วย จารลึกเหมือนอาตมาจารบนลูกอมเทียนชัย แล้วเบี้ยที่ไหนจารเข้า ? มีอย่างเดียวคือต้องใช้อำนาจกสิณช่วย แต่ก็อย่างว่าแหละ...ถ้าไม่ได้ขึ้นครู ไม่ได้รับอนุญาต อาตมาเองก็มิบังอาจที่จะไปจารในลักษณะอย่างนั้น"
ถาม : กรรมที่ไปทำแท้งเด็กไว้ กรรมนั้นจะส่งผลอย่างไรบ้าง และจะมีวิธีอุทิศส่วนกุศลให้ผลกรรมนี้เบาบางลง หรืออโหสิกรรมในชาตินี้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับเด็กคนนั้น ถ้าเด็กเขาไม่ได้อาฆาตมาดร้ายอะไรก็ไม่เท่าไร ถ้าเขาอาฆาตก็หนักหน่อย วิธีที่ดีที่สุดก็คือหาทางปล่อยชีวิตสัตว์ อุทิศกุศลให้เขาบ่อย ๆ ต้องใช้คำว่าบ่อย ๆ แล้วก็ไม่แน่ด้วยว่าเขาจะอโหสิกรรมให้หรือเปล่า ? แต่ทำไปเรื่อย ๆ ถ้าเขาใจอ่อนเมื่อไรก็จบ ถ้าเขาไม่ใจอ่อนเราก็ทนทำต่อไป ส่วนใหญ่กรรมพวกนี้จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยมาก
ถาม : กรรมที่ทำให้คนในครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย ๆ มีวิธีแก้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : หุบปาก อมมะนาวไว้ ไม่พูดก็ไม่ต้องทะเลาะกัน ฟังดูเหมือนง่ายนะ แต่จริง ๆ แล้วยาก โบราณเขาบอกว่าถ้าคนหนึ่งเป็นไฟ อีกคนหนึ่งต้องเป็นน้ำ ไม่ใช่ไฟกับไฟ แบบนั้นก็ไหม้บรรลัยหมดทั้งบ้าน
ถาม : ผมนอนมีสติ พอตื่นเช้ามา พอคลายสมาธิพูดออกมา กิเลสก็ตีเละเทะเลยครับ ?
ตอบ: ทำไมไม่ระมัดระวัง ?
ถาม : ผมอ่อนแอมากช่วงตื่นนอนกับก่อนหลับครับ ?
ตอบ : เขาให้ภาวนาก่อนตื่น ภาวนากำลังใจทรงตัว แล้วระมัดระวังไว้ค่อย ๆ ตื่น ไม่ใช่ประเภทพรวดเดียวออกมาเลย เหมือนกับแก้ผ้าวิ่ง ไม่ได้ใส่เกราะก็โดนเขาตีตาย
ถาม : อย่างเราเตรียมสอบสองวิชา เราเตรียมพร้อมไว้แล้ว อยู่ ๆ กิเลสเขาเอาวิชาที่แปดมาทดสอบอย่างนี้ ?
ตอบ : ก็เป็นเรื่องปกติ
ถาม : ถ้าตัวมีแต่แผลเหวอะหวะ จะให้ลุกขึ้นสู้ต่อไปหรือครับ ?
ตอบ : สู้ต่อไป บอกแล้วว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านกว่าจะรอดมาได้ เย็บจนหาที่เย็บไม่เจอแล้ว เนื้อเดิมไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน โดนทุกคนแหละ จำไว้ว่าถ้าเราเอาจริง เขาก็เอาจริงกับเรา แต่ถ้าเรารู้จักเอาจริง ทางของเราจะสั้นกว่าคนอื่นเขา
ถาม : ผมกลัวว่าผมอยู่นานไป ผมจะตายจากความดี ตอนนี้ผมก็ไม่มีความดีอะไรให้ภูมิใจ แต่ไม่อยากทำชั่วไปมากกว่านี้ ?
ตอบ : ก็พยายามสู้ต่อไป
ถาม : ตอนทำสมาธิเขาก็แหย่ให้เราตาย ๆ ไป ผมก็คิดว่าเอาชีวิตไปเลย ยินดีให้ เขาก็เงียบไป ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเขาขู่เราได้แค่นั้นเอง เขาทำไม่ได้หรอก
ถาม : ถ้ามโนมยิทธิเป็นเหมือนการได้รถยนต์ ทิพจักขุญาณทางเสียงเป็นเหมือนยางอะไหล่ ถ้าผมจะเอาแต่รถยนต์ แล้วถอดยางอะไหล่ทิ้งได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ คุณไปบอกว่าเป็นยางอะไหล่ ตูจะบอกว่าเป็นตัวขับเคลื่อนมากกว่า ไม่มีระบบขับเคลื่อนจะไปอย่างไรวะ ?
ถาม : ผมรำคาญเสียงอมนุษย์ครับ ผมก็ถามว่าทำไมต้องมาคุยข้าง ๆ หูผม เขาบอกว่าถ้าคุยกับคนอื่นเดี๋ยวไม่ได้ยิน ?
ตอบ : ก็อยากไปสนใจเองนี่หว่า บอกเขาสิว่า คราวหน้ามาคุยกรุณาให้หวยด้วย
ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่าให้ใช้กำลังสมาธิต่อต้านสิ่งที่ไม่ดี ผมมีความเห็นแย้งว่า ก็ผมแบกหมูอยู่ หลวงพ่อจะใช้ให้ผมไปแบกช้าง แต่ตอนนี้ชีวิตโดนบีบทุกอย่างให้เหลือแค่ทางที่หลวงพ่อแนะนำ ทำมาแล้วรู้สึกดีขึ้น ก็เลยมาขอขมาครับ ?
ตอบ : ครูบาอาจารย์ที่เดินผ่านทางมาก่อน รู้ว่าวิธีไหนดีที่สุด แนะนำแล้วเอ็งไม่ฟัง ก็เรื่องของเอ็ง แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ?
ทนต่อไป ถ้าเป็นหนังญี่ปุ่นเขาบอก “สู้ต่อไป...ไอ้มดแดง” โดนแค่นี้ทำเป็นคร่ำครวญ ยังมีอีกเยอะ อะไรที่โดนแล้วจะไม่มามุมนั้นอีกหรอก แต่จะตะแบงข้างไปมุมอื่น รอรับได้เลย..!
มีโยมเกิดปีติน้ำตาไหล "อาตมาเคยเช็ดหน้าตั้งแต่เช้ายันเย็น แสบไปทั้งหน้า พอจะห้ามเอาไว้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าอย่าไปห้าม ถ้าข้ามไม่ได้ก็จะมาอีก จึงต้องปล่อยเต็มที่ไปเลย
อย่างพระครูแสง (พระน้องชาย) ท่านไปน้ำตาไหลบนรถเมล์ ส่วนใหญ่คนอื่นเขาไม่รู้ ๆ อยู่ ๆ ก็ไปนั่งร้องไห้บนรถเมล์ คนเขาก็สงสัยว่าเป็นอะไร อาตมาไปนั่งน้ำตาไหลอยู่ที่บ้านสายลม เช็ดหน้าตั้งแต่เช้ายันเย็น เช็ดจนแสบไปหมด เช็ดจนหน้าจะถลอก แต่ว่าดีตรงที่ว่าข้ามแล้วก็ข้ามเลย ไม่เป็นแบบนั้นอีก"
ถาม : พระคำข้าวรุ่นพิเศษที่เรียกว่ารุ่นปืนแตกเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่งอยู่ในกระจังรูปพัดยศ ด้านหลังเป็นยันต์เกราะเพชรพร้อมกับตัวหนังสือ คราวนี้หลวงพ่อท่านเสกด้วยคาถาปืนแตก ทางโรงงานเขาตั้งใจทำมาเพื่อเสนอขายให้ แต่หลวงพ่อรู้ดีว่าพวกนี้ถ้าทำมาให้ แปลว่าเขาเองก็เก็บไว้เป็นครึ่ง ๆ ท่านก็เลยไม่เอา พอไม่เอาท้ายสุดเขาก็ต้องถวายให้ฟรี ไม่อย่างนั้นไม่มีของทางวัดเข้าพิธี ของตัวเองก็จะขายไม่ได้
ถาม : คำว่าปืนแตกนี่ไม่ใช่ปืนแตกจริง ๆ ?
ตอบ : เสกด้วยคาถาปืนแตก
ถาม : คาถาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามหลวงพ่อท่านเอง เพราะว่าเท่าที่ท่านบอกมามีตั้งสองสามบท
ถาม : แปลว่าเขาเอาไปถวายท่าน ?
ตอบ : เอาไปเสนอขาย พูดง่าย ๆ ก็คือว่า พอหลวงพ่อท่านสั่งพระสมเด็จพระคำข้าวทีหนึ่งเป็นล้านองค์ หลับหูหลับตาอย่างไรเขาได้เงินล้านในมือแน่ ก็เลยเอาไปเสนออีกรุ่นหนึ่ง คราวนี้หลวงพ่อท่านไม่เอา เขาก็เลยถวายมา
ถาม : จำนวนหนึ่งแสนองค์ ?
ตอบ : หนึ่งแสนองค์... มูลค่าที่ทำไป ตีว่าอย่างไม่มี ๆ สักองค์ละ ๕๐ สตางค์ ก็ต้องปาเข้าไปห้าหมื่นบาทแล้ว
ถาม : แล้วรุ่นที่มีพระธาตุล่ะครับ ?
ตอบ : รุ่นนั้นท่านสั่งพิเศษเพื่อที่จะบรรจุผงคำข้าว แต่คราวนี้ด้วยความที่มีรายการประหยัดจนเกินเหตุจากคนติดต่อ จากผงน้ำมันก็เลยไม่ใช่ผงน้ำมัน เพื่อที่จะประหยัดให้มีส่วนต่างเข้ากระเป๋าให้เยอะที่สุด พระรุ่นนั้นก็เลยค่อนข้างจะแตกหักบิ่นง่าย
ถาม : พระองค์นี้เป็นพระอะไรคะ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะว่าเขาให้มา ดูทรงแล้วน่าจะแกะเป็นหลวงปู่ทวดเพราะว่ารูปพระสงฆ์นั่งบัวอยู่ หลวงปู่ทวดเป็น ๑ ใน ๕ พระนิรันตรายที่คนนิยมมากที่สุดในประเทศไทย
ถาม : แล้ว ๕ องค์ มีองค์ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : หลวงปู่ทวดมาเป็นอันดับหนึ่ง ถัดไปเป็น หลวงพ่อคูณ หลวงพ่อโสธร หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
พระอาจารย์กล่าวว่า “ของมาถึงมืออาตมาแล้วไม่แพงหรอก ยกเว้นกระทู้คนมีเงินฯ กระทู้นั้นเอาไว้สำหรับคนมีเงินอย่างเดียว..! นี่ก็ใกล้จะได้เวลาเปิดอีกแล้ว
ปีนี้เก็บของแพงได้หลายชิ้น มีพิสมรหลวงพ่อแก้ว ลูกสะกดหลวงปู่ศุข แต่ว่าของพวกนี้บางทีคนที่เขาไม่รู้จักของ เขาก็ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ มีอยู่ชิ้นหนึ่งเขาแจ้งมาผิด เขาแจ้งว่าเป็นตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน แต่อาตมาดูแล้วเป็นของหลวงพ่อทบ วัดชนแดน แต่ก็บอกเขาไปว่า หลวงพ่อทบราคานี้ก็ซื้อได้ ...(หัวเราะ)... ถ้าขายก็เอา แล้วของเขาสวยด้วย เพราะว่าเก็บหัวตะกรุดเรียบกริบเลย”
ถาม : มีความรู้สึกเหมือนมีวิญญาณแฝงมาเกาะอยู่ ไม่ไปผุดไปเกิด ?
ตอบ : คุณพกเบี้ยแก้อยู่จะไปกลัวอะไรกับวิญญาณแฝง..! ไปหาหมอบอกว่าแก่แล้วฮอร์โมนพร่อง ให้หมอช่วยจัดฮอร์โมนเพิ่มให้หน่อย
ถาม : ตักบาตรเทโว วัดท่าขนุนมีพระกี่รูป ?
ตอบ : เฉพาะของวัดท่าขนุน ๔๒ รูป แต่คราวนี้ถ้าวัดใกล้เคียงมาด้วยก็น่าจะเกือบ ๖๐ รูป เพราะว่าวัดใกล้เคียงก็วัดท่าขนุนนั่นแหละ อาตมาบังคับให้ไปจำพรรษาที่นั่น เพราะว่าถ้าวัดอื่น ๆ มีพระไม่ครบ ๕ รูป บางคนเขาบอกว่ารับกฐินไม่ได้ เป็นพวกที่อ่านพระวินัยไม่ทั่ว ...(หัวเราะ)... ไม่ให้เขานินทาก็เลยเอาให้ครบ ๕ รูป
แต่ละท่านพอไปที่อื่นนี่ทำท่าจะขาดใจตาย ไม่อยากจะไป เพราะไม่ได้ฟังอะไรที่หลวงพ่อเล่า จริง ๆ แล้วอาตมาก็ไม่ได้สอนธรรมะอะไรมากมายหรอก เพราะว่าแต่ละอย่างพอบอกไปแล้ว ก็ให้ท่านไปทำกันเอง แต่ที่อบรมพระอยู่ทุกเย็นเวลาอยู่วัดนั้น ส่วนใหญ่เอาประสบการณ์การปฏิบัติของตนเองบ้าง การทำงานบ้าง แล้วก็เอาปัญหาเฉพาะหน้าตอนนั้น ๆ มาบ้าง เอามาวิเคราะห์ให้พวกท่านฟังว่าควรจะทำอย่างไร ควรจะเลือกอย่างไร เป็นการเรียนลัด ถึงเวลาท่านเจอเหตุการณ์แบบนั้นก็จะได้รู้วิธีแก้ไขไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นอันว่าปีนี้เหลือกฐินวัดท่าขนุนวัดเดียว โยมที่ทำมา ๓ วัด อาตมาจะเฉลี่ยแบ่งไปให้ ปีนี้บังคับให้ท่านเริ่มยืนกันด้วยตัวเองได้แล้ว
เรื่องของพระ บัญชีวัดจะพลาดไม่ได้ พระมีราคาแค่ ๙๙ สตางค์ ถึงบาทเมื่อไรขาดความเป็นพระไปเลย ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง
วันก่อนทางวัดเกาะพระฤๅษีบอกว่า พอพระอาจารย์บอกว่าให้หากฐินกันเอง รู้สึกว่าจะโดนตัดขาดลอยแล้ว ก็เริ่มปลูกผักกัน เริ่มรู้จักหากินเอง อาตมาตอบไปว่า "ภิกษุขุดซึ่งแผ่นดิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์" บอกท่านไปแค่นั้นแหละ คือบางทีศีลพระเยอะไปแล้วท่านลืม ...(หัวเราะ)...
"โย ปะนะ ภิกขุ ปะฐะวิง ขะเณยยะ วา ขะณาเปยยะ วา ปาจิตติยัง" ภิกษุขุดซึ่งแผ่นดิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ โบราณท่านว่าในดินมีตัวสัตว์ ขุดไปเดี๋ยวโดนตัวสัตว์ตาย ในเมื่อเขาถืออย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เลยห้ามพระไม่ให้ขุดดินไปด้วย เพราะว่าถ้าไปทำแล้วเขาไม่เลื่อมใสขึ้นมา ศาสนาที่เพิ่งจะตั้งใหม่ ๆ จะพังเอาง่าย ๆ”
มีญาติโยมขอทำบุญกับพระอาคันตุกะ พระอาจารย์จึงกล่าวกับพระท่านว่า “รับ ๆ ไปเถอะครับ ญาติโยมแถวนี้เจออะไรก็ทำบุญดะไปหมด ขนาดเขาเอาขันทองเหลืองมาจะให้ผมหล่อพระนะ พอโยมเขาวางลง ผมหลับตาให้พร พอลืมตาขึ้นมา ธนบัตรอยู่ในขันตั้งหลายใบ ...(หัวเราะ)... เห็นกันไม่ได้ พอเห็นเขาใส่เลย ต้องบอกว่าทานบารมีดีมาก”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะสังเกตว่าหลวงพ่อโต วัดระฆัง หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ แต่ละท่านที่รู้จักพระพุทธเจ้า เข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ ชื่อเสียงจะเป็นอมตะแบบนี้ทุกรูป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ร่วมบุญกฐินปลดหนี้ปีนี้ เท่ากับเราได้ปลดหนี้ ๒ วัดโดยไม่ตั้งใจ เพราะว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ ๆ ก็มีโยมโทรไปถามว่า “กฐินปลดหนี้วัดสระแก้วของพระอาจารย์วันที่ ๑๑ พฤศจิกายนไม่ใช่หรือ ?” ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า “ทางวัดสระแก้วขึ้นป้ายว่าทอดกฐิน ๒๗ ตุลาคมครับ” อ้าว...บรรลัยแล้ว ก็เลยต้องรีบโทรไปหาท่านอาจารย์ปู่
ท่านอาจารย์ปู่ก็คือ พระครูปลัดสุวัฒนบัณฑิตคุณ หรือ ดร.พระมหาไพเราะ ฐิตสีโล ท่านเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมา ๔๐ กว่าปี คราวนี้อาจารย์ปู่ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกับอาตมา อาตมาไม่ค่อยรู้เด็กรู้ผู้ใหญ่หรอก แซงใครได้แซงหมด ...(หัวเราะ)...
พอโทรไปหาท่านอาจารย์ปู่ ท่านก็ตกใจ “ผมลืมไปจริง ๆ เลยอาจารย์พระครู ขอโทษด้วย” ถามว่า "แล้วจะทำอย่างไรละครับ วันที่ ๒๗ ตุลาคมผมก็ไปไม่ได้ด้วยเพราะว่ามีงานอื่นอยู่" เลยให้ท่านไปเจรจากับเจ้าภาพ ปรากฏว่าเจ้าภาพคือ ศ.ดร.มานิตย์ เอื้อทวีกุล ถ้าใครไม่รู้จักก็โปรดทราบว่า ท่านเป็นซีอีโอของประตูน้ำคอมเพล็กซ์ ท่านอาจารย์มานิตย์ก็ย้ายวันไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าระดับ ศ.ดร.นี่งานเยอะกว่าอาตมาอีก
ท้ายสุดก็เลยต้องคุยกัน สรุปว่าอาตมายกให้ท่านอาจารย์มานิตย์เป็นเจ้าภาพไป เดี๋ยวอาตมาจะแบ่งเงินจากกองนี้ไปร่วมกับท่าน ตามเจตนาที่พวกเราว่าจะปลดหนี้ให้กับวัดสระแก้ว"
"เสร็จแล้วก็ติดต่อไปทางด้านหลวงพี่สมศักดิ์ของอาตมา โยมต้องเรียก “หลวงพ่อ” เพราะว่าท่านอายุ ๖๐ กว่าปีแล้ว หลวงพี่สมศักดิ์เจอกันครั้งล่าสุดตอนอบรมประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ท่านไปแทนหลวงปู่ของท่าน เมื่อไปอบรมก็คุยกัน ท่านบอก “อาจารย์พระครู ผมช่วงนี้แย่มากเลย ก็คือไฟไหม้กุฏิเก่าหลวงปู่ธรรมชัย พวกโรงบดยา ยุ้งข้าวอะไรหมด ต้องใช้งบประมาณถึง ๓ ล้านบาทเพื่อบูรณะซ่อมแซมขึ้นมา”
ก็บอกกับท่านว่า "โดยปกติแล้วผมจัดกฐินให้ปีละวัดเดียว หลวงพี่รอหน่อยได้ไหม ? ถ้าหลวงพี่รอได้ปีหน้าผมจะจัดไปให้" ท่านบอกว่า “รอไม่ได้ก็ต้องรอแหละครับ พอสิ้นหลวงปู่ธรรมชัยแล้วคนก็ไปน้อยลงเรื่อย ๆ” ท่านบอกว่าวันเสาร์-อาทิตย์สมัยหลวงปู่คนเข้าวัดหลายหมื่น แต่เสาร์อาทิตย์นี้ท่านเพิ่งจะรับสังฆทานได้เงินมา ๑๐๐ เดียวเท่านั้น
พอโทรไปปรากฏว่ากฐินของวัดทุ่งหลวงเป็นวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน เป็นวันเดียวที่อาตมาว่าง ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นผมเอาไปให้หลวงพี่ก็แล้วกัน ถือว่าเร็วขึ้น หลวงพี่จะมีเจ้าภาพกี่รายเอามาได้เลย ผมแค่ไปร่วมด้วยเท่านั้น" ตกลงว่าปีนี้เราได้ทอดกฐินปลดหนี้ ๒ วัดโดยไม่ได้ตั้งใจ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมรุ่นต่อไปไม่มีเขาดินให้เที่ยวแล้วนะ ยังไม่รู้เลยว่าจะไปตั้งที่ไหน ตอนนี้ก็แยกย้ายกันเอาสัตว์ไปฝากไว้ที่อื่น
ถ้าหากว่าไม่มีเขาดิน ก็ไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ที่นี่เปิดเสียจนกระทั่งใกล้ชิดกับสัตว์มาก อย่างพวกพังพอนแอฟริกันที่ฝรั่งเรียกว่าเมียร์แคท อาตมาอุ้มเล่นได้เลย เจ้าหน้าที่เผลอเมื่อไรก็คว้าหมับ ตัวที่อยากอุ้มมากเลยเป็นหมาป่า กลมเป็นตัวอ้นเลย ขุดรูอยู่ใต้ดิน จำไม่ได้ว่าชื่อหมาป่าอะไร ตัวอ้วน ๆ สั้น ๆ ถ้าโยมรู้จักอ้น แค่เอาอ้นมาทำปากแหลม ๆ ต่อหางหน่อยก็เป็นหมาป่าชนิดนี้แล้ว
ถ้าเอาอย่างอาตมา ผ่านตรงไหนมีอาหารเลี้ยงสัตว์ก็ซื้อไปทุกที่ ตอนแรกก็ซื้อเม็ดขนุน ไม่ใช่เม็ดขนุนที่เป็นขนมนะ เม็ดขนุนที่มาจากต้นขนุนจริง ๆ เป็นเม็ดขนุนต้มเกลือ อาตมาไปเจอยีราฟ เจอกวาง เจออะไรส่งให้กินหมด สัตว์พวกนี้เขาขาดเกลือ กินเสร็จก็อมมือของเราไปด้วยเพราะว่ามือเค็ม ...(หัวเราะ)..."
พระอาจารย์มหาอุดรฝากหนังสือมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคุณเห็นว่า ๑๐ กว่าปีแล้วบรรดาอาจารย์ยังจำผมได้ คุณก็น่าจะรู้ว่าวีรกรรมตอนเรียนของผมขนาดไหน นั่งเถียงกับท่านอาจารย์ทุกวิชา เรียนกับท่านตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ อาจารย์ท่านสงสัยว่าภาษาอังกฤษพอเป็นกิริยาทำไมต้องมี ๒ ตัวซ้อนกัน อย่างเช่น sit เป็น sitting ผมบอกไปว่า "อ๋อ...ท่านอาจารย์นึกถึงบาลีสิครับ บาลีก็สัญโญโค ซ้อนตัวอักษร" "เออใช่ ผมลืมไปเลยว่าในบาลีก็มี" บอกว่าภาษาทุกอย่างในโลกไปจากบาลี"
ถาม : ปารคูคือบาลีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปารคู แปลว่าถึงฝั่ง ผู้ถึงฝั่ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมต้องเข้าใจว่าส่วนใหญ่แล้วสมัยก่อนวัดอยู่ห่างจากชุมชน เหตุที่อยู่ห่างจากชุมชนเพราะโบราณเขามีข้อถือ เขาว่า “บ้านใกล้วัด ไม้ปัดหลังคา หมาเยี่ยมหน้าต่าง ถือเป็นเรื่องกาลกิณี ไม่สมควร”
บ้านใกล้วัด..เดี๋ยวลูกสาวชาวบ้านทำโป๊ให้ดู พระก็อยู่ไม่ได้ เพราะสมัยก่อนเขากระโจมอกอาบน้ำกัน ไม้ปัดหลังคา..ก็แปลว่าต้นไม้ใหญ่อยู่ใกล้บ้าน ถ้าหากว่าลมแรงกิ่งหักใส่บ้าง ต้นล้มใส่บ้าง บ้านก็พัง หมาเยี่ยมหน้าต่าง..ถ้าหน้าต่างเตี้ยขนาดหมาโผล่ไปได้นี่ ขโมยขึ้นบ้านสบาย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วัดก็อยู่ห่างจากชุมชน แต่คราวนี้พอพื้นที่ไม่มี ชุมชนก็ขยายไปหาวัด พอขยายไปจนล้อมวัดก็ด่าพระที่ตีระฆัง ไอ้พวกบ้า...! ต้องบอกว่าไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ไม่เห็นประโยชน์ของเสียงระฆัง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า เสียงระฆังเป็นสัญญาณของผู้ชนะกิเลส เพราะว่าเตือนพระให้ตื่นไปทำกรรมฐาน ให้ไปทำวัตรเช้า เอาแค่วัดท่าขนุนก็พอ อาตมาติดเสียงตามสายแล้วก็เปิดเสียงระฆังใส่ไป ปรากฏว่าโยมเขาโทรมาชื่นชม เขาบอกว่าเวลาที่น่านอนที่สุด แล้วหลวงพ่อให้พระแหวกกิเลสขึ้นมาทำความดีได้นี่สุดยอดจริง ๆ นั่นคือคนที่เขาเห็นประโยชน์ ตัวเองทำไม่ได้ก็โมทนากับคนอื่น
เพราะฉะนั้น...นักการเมืองคนไหนบอกว่า ถ้าทำเสียงหนวกหูให้ย้ายวัดออกไป ไอ้นั่นใช้หัวแม่ตีนคิด...! ถ้าหากว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจบริบทของสังคมว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร อย่าไปเลือกเป็นตัวแทนของเราเลย รับรองว่าประเทศชาติฉิบหายวายป่วงไปหมด เพราะว่าวิธีแก้ปัญหาของเขาแก้ผิดจุด"
"ส่วนบรรดานักวิชาการที่บอกว่า พระควรที่จะไปนั่งสมาธิดีกว่ามาตีระฆัง ก็แสดงว่าใช้หัวแม่ตีนคิดเหมือนกัน เพราะว่าเป็นสมาธิตั้งแต่ก่อนตีระฆังแล้ว เราต้องกำหนดสติว่าเวลานี้เราต้องตีระฆังเพื่อที่จะไปตีระฆังให้ตรงเวลา นอกจากจะเตือนสติพระให้รู้เวลาทำความดีแล้ว ยังเป็นการเตือนสติโยมด้วยว่า นี่เป็นเวลาสร้างความดีของพระ ถ้าใครสามารถลุกขึ้นมาสร้างความดีพร้อมกันได้ก็เอา ถ้าใครลุกมาสร้างความดีพร้อมกันไม่ได้ก็ให้อนุโมทนา
พวกที่ตีระฆังแล้วเขารำคาญอาตมาเห็นที่วัดมีอยู่ประเภทเดียว ก็คือพวกที่ตีเมื่อไรก็หอนเมื่อนั้น...!"
มีโยมเอาอาหารญี่ปุ่นมาถวาย “วันนี้อาตมาคงต้องนั่งตัวตรงไปอีกหลายชั่วโมง เพราะว่าฉันเพลไป ๑ ปิ่นโต ปกติถ้าไปกินอาหารญี่ปุ่นที่บ้านเขาไม่ค่อยจะอิ่มหรอก เขาให้นิดเดียว แต่พอมาบ้านเรานี่ แหม...ปิ่นโตหนึ่งอัดมาเยอะมาก กว่าจะยัดลงไปได้หมดนี่เกือบตายเลย
ปิ่นโตไม่ใช่ภาษาไทย มาจากเบนโตะของญี่ปุ่น ก็คือกล่องใส่ข้าว กล่องใส่ข้าวประเทศไทยดัดแปลงใช้ได้สารพัด อย่างเช่นว่า หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านเอาปิ่นโตข้าวมาทำตะกรุด เอาขาปิ่นโตไปทำเป็นแหมรัดมีดหมอ ถ้าใครบอกว่าตะกรุดขาปิ่นโตอย่าไปเชื่อนะ ขาปิ่นโตไม่มีใครสามารถม้วนตะกรุดได้หรอก เพราะว่าหนาและแข็งมาก
แต่เป็นตะกรุดฝาปิ่นโต หรือไม่ก็ตะกรุดก้นกล่องปิ่นโตก็พอได้ รุ่นพวกเราอาจจะเกิดไม่ทัน ตลับปิ่นโตอะลูมิเนียมทรงสี่เหลี่ยม แล้วก็มีช่องแบ่งใส่กับข้าวเล็ก ๆ ช่องหนึ่ง ใหญ่ประมาณหนึ่งในสี่ อีกสามส่วนก็เอาไว้ใส่ข้าว แล้วทางด้านฝาจะทำลักษณะเป็นช่องเหมือนกันเพื่อให้สัมพันธ์กับด้านล่าง แต่จะมียางขอบคอยกันไม่ให้อาหารที่เป็นน้ำหกออกมาได้ แล้วก็จะมีขาล็อก ซึ่งเป็นตัวขายื่นขึ้นไป มีลักษณะเหมือนกับเป็นท่อพลาสติกหมุน ๆ ได้ ดันขึ้นไปล็อกทางด้านใส่กับข้าวซ้ายขวา แล้วก็ล็อกทางด้านท้ายที่ใส่ข้าวอีกจุดหนึ่ง ซึ่งวัสดุรุ่นนั้นทำด้วยอะลูมิเนียม"
"คราวนี้หลวงปู่หลวงพ่อในยุคนั้น พอเกิดสงครามโลหะหายาก อะไรที่พอจะเอามาทำวัตถุมงคลให้ลูกศิษย์ได้ก็เอาหมด ก็เลยมีตะกรุดฝาปิ่นโต ตะกรุดฝาบาตร ตะกรุดสังกะสี หรือแม้แต่ตะกรุดถุงปูน ต้องบอกว่าหลวงปู่หลวงพ่อที่ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาให้ความเคารพเลื่อมใส สร้างของออกมาแล้วดีจริง ขลังจริง ลูกศิษย์ก็ไปรอ จนกระทั่งท่านไม่มีวัสดุจะสร้าง ก็ต้องใช้วิธีนั้น
ส่วนมีดหมอรุ่นเก่า ๆ "แหม" ก็คือโลหะรัดฝักหรือที่รัดปลอกมีด วิธีง่ายที่สุดก็คือใช้ขาปิ่นโต แต่ว่าเป็นปิ่นโตแบบเถาที่ขาจะเป็นอะลูมิเนียม ตัวปิ่นโตจะเป็นโลหะเคลือบสี ก็จะใช้ขาปิ่นโตนี้มาทำเป็นตัวรัดปลอก ซึ่งยุคแรก ๆ ที่สร้างก็คือของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล ยุคถัดมาก็อย่างของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม แล้วก็หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน
พอมาระยะหลังเริ่มมีวัสดุมากขึ้น สงครามผ่านไป เครื่องจักรต่าง ๆ ดีขึ้น ใช้วิธีสั่งจากโรงงานผลิตมา ก็จะดูเรียบร้อยขึ้น เพราะฉะนั้น..ของใครถ้าเจอแหมรัดมีดบุบบิบบู้บี้ มีแต่รอยค้อนทุบนี่ให้มั่นใจเลย ถ้าหากว่าไม่ใช่อะลูมิเนียมขาปิ่นโตก็จะเป็นเงินแท้ไปเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้มีระบบอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ก็เลยทำให้ไม่มีการลงทุนเพื่อเปิดสาขาธนาคารต่าง ๆ ธนาคารที่มีอยู่ก็ต้องพยายามลดตัวเองลงไป ท้ายที่สุดอาจจะต้องมีการขายที่ตั้งหรือว่าขายอาคารสำนักงาน เพราะว่าการโอนเงินด้วยสมาร์ทโฟนเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ในบ้านเรายังล้าสมัย ผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งมากที่สุดเป็นแอฟริกา ประเทศที่มีคนตัวดำ ๆ พุงป่อง ๆ นั่นแหละ ที่เราเห็นว่าล้าหลังที่สุด กลับใช้อินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งมากที่สุดในโลก เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า กว่าเขาจะเดินทางไปถึงเมืองที่มีธนาคาร อาจจะโดนสิงโตคาบไปรับประทานก่อน..! ก็เลยต้องใช้วิธีทำธุรกรรมออนไลน์ เพราะฉะนั้น..บ้านเขาเราจะไปดูถูกว่าล้าหลัง เป็นพวกชนเผ่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ เขาใช้อินเทอร์เน็ตเก่งกว่าเราเยอะ
ฝรั่งเขาทดสอบช่วงที่ iPad กำลังฮิตใหม่ ๆ เขาเอา iPad ไปทิ้งไว้ที่แต่ละหมู่บ้านจำนวน ๔๐ แห่งด้วยกัน สองเดือนผ่านไปกลับไปปรากฏว่าเด็กใช้ iPad เป็นทุกคน..! ไม่ต้องสอนอะไรเลยนะ เขากดเปิดของเขาเอง จิ้มโน่นจิ้มนี่เองจนเล่นเป็น ให้เวลาสองเดือนโดยไม่มีใครสอน เรื่องพวกนี้เราจะไปคิดว่าเป็นเรื่องยาก...ไม่ใช่หรอก อยู่ที่ว่าจะสนใจไหม เด็กเขาเห็นเป็นของเล่นเขาก็ต้องเล่นจนได้”
ถาม : เมื่อวานเขานิมนต์ผมไปฉันเพลที่วัดหนึ่ง เขามีฉลองหล่อหลวงปู่ปานองค์ใหญ่ ๕ ศอก ?
ตอบ : ทางด้านทองผาภูมิของอาตมา พื้นเดิมไม่มีทางด้านหลวงปู่หลวงพ่อท่าน ก็เลยไม่กล้าทำอะไรเป็นที่เอิกเกริก มีช่วงครบรอบ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อฤๅษีฯ ก็หล่อรูปท่านกับหลวงปู่ปานเอาไว้บนชั้นสามเลย พูดง่าย ๆ ว่าเราคิดถึงก็ขึ้นไปกราบไปไหว้ของเราเอง ไม่ต้องเอามาโชว์ให้เจ้าของที่เขาหมั่นไส้ ...(หัวเราะ)...
ที่นั่นของเขาต้องหลวงปู่สาย หลวงพ่อเดิม คือหลวงพ่อเดิมเป็นบูรพาจารย์ หลวงปู่สายเป็นลูกศิษย์ ดังนั้น..อยู่ที่ไหนต้องดูตาม้าตาเรือด้วย ไม่ใช่ไปทำส่งเดช ไปทำส่งเดชคนเขาด่า เขาจะซวย ไม่ใช่เรา ...(หัวเราะ)...
ถาม : หลวงปู่สายเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเดิม ?
ตอบ : ใช่..ท่านธุดงค์ไปทางทองผาภูมิแล้วญาติโยมเขาเลื่อมใส ก็เลยนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น
ถาม : เวลาทำสังฆกรรม ถ้าคนละนิกายบางอย่างก็ไม่ต้องร่วมกับเขา ?
ตอบ : ผมว่าเป็นเรื่องความเข้มงวดที่ไม่เข้าท่า อย่างของผมไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ๔ ปี เขาไม่ให้ลงโบสถ์ด้วย วันไหนวันพระใหญ่ก็ให้ผมบอกบริสุทธิ์แล้วก็อยู่ในกุฏิ ไม่ต้องไปลงโบสถ์ ผมก็ว่าแล้วกูจะบอกบริสุทธิ์ทำไม ? มึงไม่ให้กูลงแปลว่ากูไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว..! ...(หัวเราะ)... แต่คราวนี้เราอยู่กับเขา ให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแหละ
การเคร่งครัดต่อพระวินัยเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเคร่งครัดในลักษณะยึดติดเป็นสีลัพพตุปาทานก็คือ ถือว่าการปฏิบัติของเราดีกว่าผู้อื่น นี่เป็นสักกายทิฐิเต็ม ๆ ผมเจอพระธรรมยุตมากต่อมากด้วยกัน ที่ท่านทำถึง ทำดีจริง ๆ ไม่เห็นท่านรังเกียจอะไร คลุกคลีตีโมงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อย่างสมัยก่อนหลวงปู่บุดดา ไม่มีใครนึกว่าท่านเป็นพระธรรมยุตนะ ไปไหนไปกัน เวลารับเงินหลวงปู่ก็รับด้วย ...(หัวเราะ)... อย่างหลวงปู่กล่อม วัดอาวุธฯ ท่านเป็นเจ้าคุณใหญ่โต ก็ไม่เห็นท่านจะถือสาหาความอะไร ไปถึงท่านกราบก่อนเลย หลวงพ่อหลวงปู่แต่ละรูปท่านหลบกันอุตลุด
ตอนนั้นหลวงปู่กล่อมท่านเป็นพระเทพวราลังการ เจ้าคุณชั้นเทพ หลวงปู่ธรรมชัยยังไม่ได้พระครูเลย ไปถึงท่านกราบหลวงปู่ธรรมชัยก่อนเลย “พระเดชพระคุณครับ เกล้ากระผมรู้ตัวว่ามาสายพุทธภูมิ แต่เกล้าฯ ไม่รู้ว่าตัวเองขาดตรงไหนบ้าง ขอพระเดชพระคุณได้โปรดเมตตาช่วยชี้แนะให้ด้วยครับ” หลวงปู่ธรรมชัยเบี่ยงข้างพับเพียบพนมมือแต้เลย “ขออภัยครับ พระเดชพระคุณ ยังขาดวิริยบารมีกับปัญญาบารมี ต้องเร่งเพิ่มอีกหน่อยครับ”
หลวงปู่ท่านนั่งรถสองแถวไป ลงรถหน้าวัดถือไม้เท้าเดินก๊อก ๆ มา “ไอ้หนู..หลวงพ่อมหาวีระอยู่ด้านไหนลูก ?” อาตมาก็ถามหลวงปู่มาจากไหน ท่านว่า “มาจากวัดอาวุธฯ กรุงเทพฯ” บอกอย่างนั้นยังไม่รู้จักเลย ...(หัวเราะ)... กราบเรียนว่า “แล้วจะให้ผมเรียนหลวงพ่อว่าผู้ใดมาละครับ ?” ท่านก็บอกว่า “ให้บอกว่าพระเทพวราลังการมา”
ปรากฏว่าเดินไม่ถึงกุฏิ หลวงพ่อท่านเดินออกมารับอยู่ด้านหน้าตึกเลย ท่านรู้กัน ไม่ให้ลูกศิษย์ต้องลำบากใจ หลวงพ่อเดินมารับเองเลย ตอนหลังเป็นเจ้าคุณธรรมฯ แล้วถึงมรณภาพ แต่ส่วนใหญ่พวกเราถ้าได้ยินวัดอาวุธฯ แล้วจะนึกอยู่สองอย่าง นึกถึงหลวงปู่บุดดา หรือไม่ก็คุณยายแม่ชีบุญเรือน
ถาม : หลวงปู่ชุ่ม คาถา วิวะ อะวะ สุสะตะ วิวะ สวาหะ คือองค์เดียวกับที่สร้างลูกแก้วสารพัดนึกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่....วัดวังมุยนั่นแหละ
เหลือเชื่อที่ว่าครูบาอาจารย์รุ่นเก่ากว่าหลวงปู่ชุ่มมีเยอะแยะ ดังกว่าหลวงปู่ชุ่มก็มีเยอะแยะ แต่วัตถุมงคลหลวงปู่ชุ่มประเภทเครื่องรางอย่างเช่นพวกตะกรุดนี่ เขาหาของท่านกันทั้งภาคเหนือ แสดงว่าต้องมีประสบการณ์กันเยอะมากจริง ๆ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าคนเหนือไปถามหาตะกรุดนี่ เขาหาของหลวงปู่ชุ่มกัน
ถาม : วัดวังมุยอยู่จังหวัดไหนครับ ?
ตอบ : อยู่ตำบลประตูป่า อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้คือวัดที่อยู่ในป่า แต่มาตอนนี้กลายเป็นวัดที่อยู่ในเมือง วัดที่ครูบาวิฑูรย์ท่านบวชนั่นแหละ
ถาม : คาถาวิวะ อะวะฯ บทนี้ป้องกันภัยธรรมชาติ ไฟป่า น้ำป่า หรือสัตว์ร้ายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านให้เอาไว้สำหรับใช้ตอนธุดงค์
ถ้าใครไม่เคยเจอน้ำป่า ไม่รู้หรอกว่าน่ากลัวแค่ไหน อาตมาธุดงค์ไปเจอเข้าเต็ม ๆ น้ำมาเป็นภูเขาเลากา ต้นไม้ใหญ่น้อยโดนม้วนมาเกลี้ยงเลย เสียงคึก ๆ ๆ อย่างกับแผ่นดินไหวมาเลย
ถาม : ตอนนั้นพระอาจารย์ภาวนาคาถาบทนี้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าผมโชคดี เพราะว่าที่อาตมาพักอยู่ข้างน้ำก็จริง แต่เป็นลำห้วยแห้งและกว้างมาก กว้างเป็นแม่น้ำเลย เพราะฉะนั้น..ถึงน้ำป่าม้วนมาเป็นภูเขาแต่ตูมเดียวก็เลยไปเลย ถ้ามีประเภทแถมมานี่ยุ่งแน่
ตอนแรกเจอพายุลูกเห็บก่อน ฝนตกลงมาก่อนสักสิบกว่านาที แล้วอยู่ ๆ ก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...เราตาลายหรือนี่ เห็นเม็ดฝนเด้ง ๆ เอามือไปรองแล้วไม่ใช่เม็ดฝน แต่เป็นน้ำแข็ง ตกมาแล้วเด้ง แรก ๆ ก็ประมาณนิ้วก้อย เดี๋ยวก็โตเท่านิ้วชี้ เดี๋ยวก็เท่าหัวแม่มือ คราวนี้ดังกราวสนั่นไปทั้งป่าเลย
พอลูกเห็บลงได้พักหนึ่งก็หยุด แล้วฝนก็ต่อ พอฝนหยุด พวกอาตมาก็กำลังเก็บฟืนมาเพื่อที่จะก่อฟืนผิงให้ตัวแห้ง ปรากฏว่าเสียงคึก ๆ ๆ มาแต่ไกล หันไปดู...โอ้โฮ ภูเขาชัด ๆ..! คว้าย่ามได้ก็เผ่นดีกว่า ...(หัวเราะ)...
ถาม : แล้วหนีอย่างไรครับตอนนั้น ?
ตอบ : ตอนนั้นอยู่ที่ต่ำ จุดที่เราพักอยู่ข้างลำห้วย ก็ต้องวิ่งขึ้นเนิน
เมื่อตอนน้ำท่วมสังขละบุรีปีนี้ กระทิงตายไป ๔ ตัว โดนน้ำป่ากวาดไปจมน้ำตาย ตอนแรกพวกป่าไม้เขาคิดว่านายพรานล่า แต่ปรากฏว่าพอไปดูแล้วไม่มีบาดแผลอะไร มีแต่ร่องรอยบริเวณน้ำท่วมก็เลยมั่นใจว่าจมน้ำตาย
ถาม : คล้ายสึนามิไหมครับ ?
ตอบ : แบบนั้นเลย เพียงแต่มาแค่ช่วงแคบ ๆ สึนามินั่นกวาดเต็มหน้าหาด
สึนามิจริง ๆ ถ้าเฉพาะตัวน้ำนี่คนไม่ตายง่าย ๆ หรอก แต่คราวนี้คลื่นกวาดอย่างอื่นมาด้วย บ้านช่อง เรือนโรง ต้นไม้ กระทั่งรถราเอามาหมด กระแทกเข้าแล้วคนจะไปเหลืออะไร
ถาม : ที่อินโดนีเซียเห็นว่าเสียชีวิตหลายพันคนเลยครับ
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ซึ่งไปปิดเครื่องเตือนภัยก่อน เพราะว่าผ่านไปเกือบ ๓๐ นาที เห็นว่าไม่มีอะไรก็ปิด ปรากฏว่าคลื่นมาช้า ดูจากในคลิปมีคนตะโกนเตือนจากชั้นบนที่เป็นลานจอดรถบนตึกสูง ๆ แต่ข้างล่างไม่สนใจเพราะว่าเขาไม่เห็น เพราะว่ามีแนวเหมือนบังกะโลบังอยู่ เขาตะโกนเท่าไรก็เฉย มีแต่จะเดินลงไปชายหาดเสียด้วยซ้ำ คนข้างบนเห็นว่ามาเป็นกำแพงแล้ว พอรู้ตัวก็หนีไม่ทัน
ถาม : ประมาทปิดเครื่องเตือนภัย ?
ตอบ : คงจะกลัวเปลืองไฟกระมัง ? เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วไม่เห็นจะมีอะไร แต่ที่หนักที่สุดก็ของบ้านเรานี่แหละ ตายทุกประเทศรวมกันเป็นแสนเลย
ถาม : การดื่มกาแฟเป็นการเร่งการเต้นของหัวใจ ทำให้เกิดผลไม่ดีต่อร่างกาย แล้วการวิ่งบนลู่วิ่ง ที่การเต้นของหัวใจขึ้นจาก ๘๐ เป็น ๑๖๐ ตรงนี้แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : การวิ่งนั้นเป็นการที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่กาแฟนั้นขึ้นทันทีทันใด คือลักษณะค่อย ๆ อุ่นเครื่องเหมือนกับ warm ขึ้นไป ก็จะมี warm up และ warm down แต่กาแฟนี่คือพรวดเดียว ดีดไปอยู่กลางฟ้าเลย
ถาม : การออกกำลังกายด้วยลู่วิ่งแล้วจับลมหายใจหรือภาวนาไปด้วย เรายังพอที่จะควบคุมลมหายใจได้ แต่ไม่สามารถควบคุมการเต้นของหัวใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ถ้าสมาธิทรงตัวทำได้ อาตมาปั่นจักรยานด้วยความเร็วสูงสุด หัวใจยังเต้นไม่เคยเกิน ๑๐๐ ครั้งต่อนาทีเลย ...(หัวเราะ)...
ถาม : ต้องเข้าถึงฌานไหนครับ ?
ตอบ : เอาแค่ไม่เกินปฐมฌาน ถ้าเกินแล้วจะเคลื่อนไหวยาก
ถาม : การที่เราจับลมหายใจภาวนาไปด้วย แต่อัตราการเต้นของหัวใจเรายังคงเพิ่มสูงขึ้น แสดงว่ากำลังของเรายังไม่เข้าสู่ระดับปฐมฌาน ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นปฐมฌานขึ้นไป หัวใจจะเต้นช้าเหมือนกับนักกีฬาที่ฟิตซ้อมมาดี เมื่อฟิตซ้อมมาดี หัวใจก็จะเต้นช้าโดยอัตโนมัติ แต่นี่คือเต้นช้าเพราะสมาธิคุม
ถาม : เราใช้ตัวนี้เป็นตัววัดกำลังฌานขณะเคลื่อนไหวได้ ?
ตอบ : ได้...โดยเฉพาะพวกเครื่องที่ใช้มือจับแล้ววัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ อาตมาทำให้เขาดูมาแล้ว ถึงเวลาเครื่องร้องว่า ๐ มาเลย ทั้ง ๆ ที่เราวิ่งอยู่ปกตินั่นแหละ อยู่ที่เราว่าจะเข้าสมาธิระดับไหน เล่นเอาพวกนางมารร้ายเขาโวยกัน เขาบอกแล้วยังไปได้อย่างไร ก็ไปได้นะสิ ...(หัวเราะ)...
ถาม : การกำหนดแบบมโนมยิทธิจะทำให้การเต้นของหัวใจเป็นเหมือนระดับปฐมฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าใช้ลักษณะของมโนมยิทธิจะทำให้เต้นช้าลงได้ เพราะว่าสติสมาธิอยู่นอกตัวไปแล้ว
ถาม : เวลาไปที่สูง ๆ แล้วมีอาการแพ้ความสูง เราสามารถใช้สมาธิเข้าช่วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าลมหายใจละเอียดจะไม่เป็น เพราะว่าออกซิเจนเพียงพอ เพราะฉะนั้น..สมาธิยิ่งสูง ลมหายใจจะยิ่งละเอียด คราวที่แล้วไปทิเบตมา ไม่มีใครเป็นอะไรเลย เขาห้ามอะไรนี่เราทำหมด ...(หัวเราะ)...
ถาม : พระอาจารย์ไปเมืองไหนที่ทิเบตครับ ที่ฮันซาหรือครับ ?
ตอบ : ลาซา ที่ฮันซาของปากีสถานก็ไปมา แต่อาตมาเรียกว่าหรรษา
คนที่ฮันซาอายุเฉลี่ย ๑๒๐ ปี อายุเฉลี่ยนะ...แปลว่ามีเยอะกว่านั้นอีก อากาศเขาดีจริง ๆ เราหายใจนี่รู้สึกว่าลงไปถึงหัวแม่เท้าเลย ยังคิดว่าเดี๋ยวมีโอกาสจะไปอีก แต่งวดนี้ตั้งใจจะไปสักฤดูหนาว ไม่ได้ไปสัมผัสความหนาวหรอก เพราะตอนที่ไปฤดูร้อนก็จะติดลบแล้ว แต่ที่จะไปฤดูหนาวเพราะเขาบอกว่าพวกผลไม้จะออกตอนหน้านั้น ตอนที่ไปฤดูร้อนมีแต่พวกของแห้ง แล้วชาวบ้านแถวนั้นเป็นอิสลามหมด แต่ว่าเป็นอิสลามเผ่าสไมลี่ย์ เป็นเผ่าที่ไม่เคร่งครัดและเป็นมิตรกับพวกเรามาก ๆ เลย
ถาม : อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ปากีสถาน อยู่ใกล้ ๆ จีนเลย
ถาม : ใกล้กับหิมาลัย ?
ตอบ : ไม่ใช่ใกล้...ข้ามหิมาลัยไป คือจากอิสลามาบัด ผมนั่งเครื่องบินข้ามเขาหิมาลัยไปลงที่เมืองกิลกิต จากเมืองกิลกิตก็นั่งรถไปที่ฮันซา ไม่ค่อยมีใครกล้าไปหรอก บ้านเมืองเขาดูอันตรายมากเพราะว่ามองไปทางไหนมีแต่อาวุธสงคราม ถึงเวลาเราไปไหนก็จะมีทหาร ตำรวจของเขาถืออาวุธสงครามขึ้นรถมานั่งคุมไป พอพ้นอำเภอเขาก็ลง แล้วอีกอำเภอก็มารับช่วงต่อไป
ธนาคารหรือโรงแรมนี่ประเภทว่าการ์ดของเขาพกอาวุธสงครามทั้งนั้นนะครับ...ส่วนใหญ่เป็นอาก้า ประเทศเขาโคตรน่าอยู่เลย อาวุธสงครามวางขายข้างถนนเกลื่อนไปหมด..! อยากได้อะไรไปเลือกซื้อเอา ...(หัวเราะ)...
ถาม : เมื่อก่อนนี้ปากีสถานเป็นที่พระพุทธเจ้าประสูติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า “ตักศิลา” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Taxila” อาตมาไปเพื่อดูพวกนี้แหละ จะมีเมืองโบราณจูเลียน ตักศิลา ประมาณ ๔-๕ แห่ง เป็นเขตพระพุทธศาสนาจริง ๆ ผมตั้งใจไปดูพวกนี้โดยเฉพาะเลย
ถาม : ติดกับอัฟกานิสถานไหมครับ ?
ตอบ : ติดกัน ข้ามสันเขาไปสันเดียวเท่านั้นเอง จะมีถนนอยู่ช่วงหนึ่งที่พวกอาตมาวิ่งรถอยู่ แล้วคนขับบอกว่า “ขอร้องนะครับ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม อย่าหยุดรถ” อย่าให้เขาหยุดรถ เขาบอกว่าพวกที่เดินเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะนั่น ไม่รู้จะงัดอาวุธสงครามขึ้นมาตอนไหน คือหุบเขานั้นชื่อหุบเขาสวาท เป็นแหล่งกบดานของพวกก่อการร้ายโดยเฉพาะพวกตาลีบัน
และอีกเมืองหนึ่งคือเมืองชีลาส ที่นั่นเขาขอร้องให้พวกผมอยู่แต่ในโรงแรม ห้ามออกข้างนอกเลย ผมเดินออกไปข้างนอกนี่การ์ดโรงแรม ๒ คน ไม่ใช่การ์ดทั่วไปนะ...เป็นทหารเลย เขาเดินตามมาเพื่อที่จะตามคุ้มกันว่าเราจะไปถึงไหน เมืองนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด ไม่ชอบคนแปลกหน้าโดยเฉพาะคนละศาสนากัน แต่อาตมาก็ประเภทตีซี้เขาไปเรื่อยแหละ เขาบอกว่าห้ามถ่ายรูป ผมก็ไปขอเด็กถ่ายรูป ไปอะไรให้ยุ่งไปหมด ท้ายสุดแม้กระทั่งขอยืมปืนจากทหารเขามาดู ...(หัวเราะ)... แล้วตอนที่ผมไปเขาก็กำลังประท้วงกันอยู่
เหลือเชื่ออยู่อย่างหนึ่งก็คือ ประเทศปากีสถานทำอาหารอร่อยมากเลยนะ ไม่ว่าจะแพะ แกะ ไก่ ปลา เขาทำมาอร่อยไปหมด ไม่ใช่ไม่มันอย่างเดียว แต่ไม่เหม็นด้วย ไม่เหมือนอินเดียที่เขาประเดประดังเครื่องเทศลงไปเยอะจนเรากินไม่ได้ แต่ที่ปากีสถานเขาทำมาพอดีปากเราเลย พวกอาตมาไปนี่กินกันกระจาย
ตอนแรกเขาเอาขาแกะอบมาให้ขาเดียว ปรากฏว่า ๓ ขาก็ไม่มีเหลือ ...(หัวเราะ)... คงเป็นเพราะว่าเขากินอยู่ทุกวัน เขาเลยทำจนอร่อย พวกอาตมาไปมีอยู่อย่างเดียวที่ขอแล้วเขาไม่ให้กิน ก็คืออูฐ เขาบอกว่า “It tastes very terrible.” รสชาติโคตรแย่เลย..! ...(หัวเราะ)... เขาคงกลัวเสียชื่อเลยไม่ทำให้กิน เราไปก็กะว่าพื้นบ้านเขากินอะไร เราก็จะกินตามนั้นแหละ แต่พอพูดถึงเนื้ออูฐนี่เขาสั่นหัวเลย เขาบอกอย่าเลย...รสแย่มากเลยครับ
ที่ตลกกว่านั้นก็คือออกจากโรงแรมเช้า ๆ อาตมาก็ไปเดินเล่นเพราะมาก่อนเวลาอาหาร ถ่ายรูปไปเรื่อย ไปเจอกัญชาเป็นดงเลย แล้วชาวบ้านเขาไม่รู้จัก ผมถ่ายรูปมาให้ไกด์ดู ไกด์ถามว่าอะไร ผมบอกเขาว่า Smoke grass เขาก็งง ๆ พอบอกมาลีฮวนน่า โอ้โฮ...ถามเลยว่าอยู่ไหน ? ...(หัวเราะ)... มาลีฮวนน่าเป็นภาษาสเปน เขาจะรู้จักเป็นสากลมากกว่า ของเราเรียก Smoke grass เขาไม่ค่อยรู้จัก
เป็นประเทศที่ตลกนะ พระก็ไม่รู้จัก กัญชาก็ไม่รู้จัก คือไกด์น่ะรู้จัก แต่คนแถวนั้นเขาไม่รู้...ขึ้นเป็นดงเลย เขาไม่รู้จักพระนะ อาตมาไปนี่เจ้าหน้าที่สนามบิน ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากเลย แต่งชุดเหมือนชุดปกติขาวของเรา เขาเดินมาถามว่าแต่งตัวแบบนี้นับถือศาสนาอะไร ? มาจากประเทศไหน ? นั่นขนาดสนามบินของเมืองหลวงที่เป็นประตูของเขาเลยนะ...ยังไม่รู้จักเลย ลักษณะเหมือนกับว่าเป็นประเทศอิสลามร้อยเปอร์เซ็นต์
เสร็จแล้วพอเข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่ก็ต้อนอาตมาไปทางห้องผู้หญิง เพื่อที่จะไปตรวจว่ามีอะไรพกมาหรือเปล่า อีกคนก็ดึงแขนเอาไว้ ลักษณะว่าอาตมาน่าจะเป็นผู้ชาย แล้วมาเถียงกันว่าใช่หรือเปล่า เพราะชุดที่ใส่เหมือนกับกระโปรงของผู้หญิง แล้วของเขาผู้ชายทุกคนไว้หนวดไว้เคราหมด ส่วนของอาตมาหน้าเรียบ ๆ ไป ก็เลยต้อนไปทางห้องผู้หญิงเพื่อที่จะตรวจ ...(หัวเราะ)...
พอเขารู้ความจริงนี่หัวเราะกันแทบตาย เขาไม่รู้จริง ๆ แล้วพอห่มจีวรเข้าไปก็เหมือนผู้หญิงที่ใส่กระโปรงส่าหรีของเขา ไปที่โน่นก็ดีเหมือนกันนะ เข้าใจผิดไปคนละทิศคนละทางกันหมดเลย
ถาม : เป็นประเทศมุสลิมร้อยเปอร์เซ็นต์ ?
ตอบ : ใช่...แต่ว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่ คนเขาไม่ได้โหดร้ายเหมือนอย่างที่เราคิด เขาค่อนข้างจะเป็นมิตรมากทีเดียว เพียงแต่บรรยากาศถ้าเราไม่ชินก็จะน่ากลัว มองไปทางไหนมีแต่อาวุธสงคราม
ถาม : คนที่นั่นเขาอายุยืน ?
ตอบ : แต่พวกที่อยู่ในเมืองนี่ย่ำแย่กันหมดนะ พวกอาตมาไปบริจาคเงินช่วยมูลนิธิรักษาโรคไตของเขา หนุ่ม ๆ สาว ๆ เขาฟอกไตกันเป็นว่าเล่นเลย เพราะว่าเขากินแต่เนื้อตลอด คราวนี้ร่างกายของเราต้องการเนื้อประมาณวันละไม่เกินขีดครึ่ง ที่เหลือต้องขับออก ก็เลยทำให้ไตทำงานหนัก ไตพังกันตั้งแต่หนุ่ม ๆ สาวๆ เลย
ถาม : เขากินเนื้อเยอะหรือครับ ?
ตอบ : แทบจะไม่มีผักเลย แพะ แกะ ไก่ ปลา อาหารก็มีแต่พวกแป้งนาน โรตี แค่นั้นเอง แต่คราวนี้หมู่บ้านฮันซาที่เราไป ชาวบ้านเขาปลูกผัก ผลไม้ แล้วเขาก็กินกันเป็นปกติ แทบจะมังสวิรัติเลย อายุเฉลี่ยเขาก็เลยเป็นร้อยปี แถวบ้านเขากินถั่ว ผลไม้แห้ง ต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีสารพิษเลย
พอไปดูอย่างนั้นแล้ว ไปคิดว่าที่ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงคนยุคนั้นว่าอายุ ๑๒๐ ปีเป็นปกติ ไม่ใช่ของแปลกเลยนะ เพราะว่าที่หมู่บ้านนี้ของเขาก็คือมาตรฐานนั้นเลย
ถาม : พระอานนท์อายุเท่าไรครับ ?
ตอบ : ๑๒๐ ปี
ถาม : พระพุทธองค์ถ้าท่านจะอยู่ยาวก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ แต่ว่าท่านก็ได้แค่ ๘๐ พรรษา
ถาม : พระอานนท์ไม่ทูลขอหรือครับ ?
ตอบ : ท่านนึกไม่ถึง
ถาม : คำว่ากัปหนึ่งหมายถึง ๑๐๐ ปี ?
ตอบ : ไม่ใช่ กัปตัวนี้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาแล้วต่อด้วยศูนย์ ๑๔๐ ตัว ที่เขาบอกว่าเอาผ้าอ่อนเหมือนสำลีไปลูบจนภูเขาสูง ๑๖ กิโลเมตร สึกเสมอพื้นนั่นแหละ แต่คราวนี้เขามักจะไปตีความว่า กัปคือระยะเวลาที่ยาวนานกว่าปกติ ไม่ใช่...ต้องเป็นของจริงเลย เพียงแต่ไม่มีใครเขาเชื่อว่าจะอยู่กันได้นานขนาดนั้น แบบเดียวกับหลวงปู่โลกอุดร ที่ไปถามท่านว่าอายุเท่าไร ท่านบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองอายุเท่าไร รู้แต่ว่าตอนกำลังสร้างพระปรางค์สามยอด ข้าไปยืนดูเขาสร้างอยู่” แล้วพระปรางค์สามยอดนี่พันกว่าปีแล้วนะ..! ...(หัวเราะ)...
ถาม : เป็นเรื่องอจิณไตย ?
ตอบ : ถ้าคนไม่เชื่อก็ต้องไม่เชื่อต่อไป
ถาม : พระอาจารย์ได้คลำหลวงปู่ ?
ตอบ : ก็ด้วยความสงสัยแหละครับ คนเราอยู่ได้อย่างไรเป็นพันปี อยู่ได้จริง ๆ หรือ ? ท่านบอกถ้าสงสัยก็คลำดูได้ ผมเองยอมให้ใครท้าที่ไหน ก็คลำสิ มีโอกาสแล้วนี่ ...(หัวเราะ)...
ถาม : ท่านใช้อิทธิฤทธิ์ให้พระอาจารย์จับดูหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ เป็นกายเนื้อมาเลย
ถาม : มีความรู้สึกเหมือนมีวิญญาณแฝงมาเกาะอยู่ ไม่ไปผุดไปเกิด ?
ตอบ : พกเบี้ยแก้อยู่ไปกลัวอะไรกับวิญญาณแฝง..! ไปหาหมอบอกว่าแก่แล้วฮอร์โมนพร่อง ให้เขาจัดฮอร์โมนเพิ่มให้หน่อย
ถาม : อย่างวัดจีนจะมีมังกรอยู่ข้างบน ถ้าเป็นวัดไทย มังกรจะเปรียบกับอะไร ?
ตอบ : ก็น่าจะเปรียบกับพญานาคหน้าโบสถ์
ถาม : พญานาคหน้าโบสถ์มีเพื่ออะไรคะ ?
ตอบ : อันดับแรก เป็นศิลปกรรมทางพุทธศาสนา ต้องบอกว่าเพื่อความสวยงาม อันดับที่สอง เป็นลักษณะของการแสดงออกซึ่งอำนาจทางศาสนา ว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์อย่างพญานาค ยังอุตส่าห์มาเฝ้าโบสถ์ให้ ประการที่สามก็คือ ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสหรือผู้รักษาวัดนั้นมีความรู้ความสามารถจริง ๆ สามารถใช้งานได้จริงด้วย ในลักษณะที่ทำเป็นพยนต์ ก็คือเป็นสิ่งที่เมื่อถึงเวลาคับขันแล้วสามารถกลายเป็นตัวตนจริง ๆ ขึ้นมาเพื่อช่วยรักษาสถานที่ได้
ถาม : พญานาคกับครุฑไม่เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พญานาคอยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง ครุฑอยู่บนฟ้าครึ่งหนึ่ง..! ...(หัวเราะ)... เดี๋ยวรอนาคี ๒ มาค่อยไปดูก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้ญาติโยมต้องระมัดระวังคนป่วยหรือคนแก่ให้ดี ๆ อากาศเปลี่ยนแรงมาก ตอนนี้ยอดดอยอินทนนท์เหลือแค่ ๓ องศาเซลเซียส
เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คนแก่ร่างกายไม่ดี เลือดลมไม่ดี ปุบปับก็ไปเลย ช่วงเดือนที่ผ่านมา อาตมาไปเฉพาะงานศพคนที่ปฏิเสธไม่ได้นี่ ๗-๘ ศพด้วยกัน งานศพของพ่อผู้ประสานงานสภาวัฒนธรรมอำเภอ ที่อาตมาเป็นประธานสภาอยู่นี่ยังไม่ได้ไปเลย เพราะว่าอยู่ช่วงรับสังฆทานนี้พอดี เขาจะเผาพรุ่งนี้ แต่อาตมายังอยู่ที่นี่ ได้สั่งการให้รองประธานสภาเอาคณะกรรมการไปช่วยงานอยู่
ตายเป็นว่าเล่นเลย ช่วงรอยต่ออากาศระหว่างปลายฝนต้นหนาว ปลายหนาวต้นร้อน ปลายร้อนต้นฝน คนมักจะตายกันมาก โดยเฉพาะปลายฝนต้นหนาว เพราะว่าอากาศจะเปลี่ยนแรง
เรื่องของสุขภาพร่างกายขึ้นอยู่กับบุญเก่ากรรมเก่าที่เราสร้างไว้ สร้างกรรมปาณาติบาตไว้มากก็ป่วยออด ๆ แอด ๆ ทั้งปี อาตมาเองนอกจากดูกรรมด้วยตัวเองแล้ว หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านยังเมตตาสงเคราะห์ให้ ท่านยืนยันว่าอาตมาเป็นทหารรบมาทุกชาติ ฆ่าเขามาทุกชาติ ก็ยังแปลกใจตัวเองอยู่ว่าทำไมชาตินี้อยู่ ๆ ก็ต้องไปเป็นทหาร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความคิดอยากจะเป็นเลย สถานการณ์บังคับให้ไป แล้วก็ต้องไปเรียน พอเรียนแล้วด้วยความที่เรียนเก่ง เขาก็ส่งให้เรียนต่อไปเรื่อย"
"ฉะนั้น..การที่อาตมาป่วยมา ๓๗ ปีนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ปี ๒๕๒๔ เป็นมาลาเรียครั้งแรกที่แถบตาพระยา พอมาปี ๒๕๓๒ ธุดงค์มาทางฝั่งทองผาภูมิโดนซ้ำเข้าไปอีก เชื้อดื้อยาฝั่งเขมรกับฝั่งพม่าจับมือกัน ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ยังไม่มีใครรักษาได้ ทรมานมาตลอด ๓๗ ปี เวลากำเริบขึ้นมาเหมือนกระดูกจะแตกเป็นชิ้น ๆ กระดูกมีกี่ท่อนรู้หมดว่าอยู่ตรงไหนบ้าง ถึงได้เข้าใจว่าที่เขาตายกัน ส่วนใหญ่ตายเพราะทนการอักเสบไม่ไหว
มาลาเรียเป็นโรคที่มีเพื่อนมาก กำเริบขึ้นมานี่เราเคยเป็นโรคเก่าอะไร จะโดนพามาหมดเลย เคยแตก หัก อักเสบ ผ่าตัดตรงไหนไว้ก็ระบมขึ้นมาหมด โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นพวกโรคกระเพาะ โรคลำไส้นี่ ข้างในไส้มีกี่ขดก็รู้หมด แต่ทำอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะว่าเขาเก็บเอาไว้ใช้หนี้ ติดหนี้เขาไว้เยอะ ทำเขาเอาไว้มาก
เวลากำเริบมาก ๆ นี่ เอามือแตะหัวไม่ได้ เส้นผมทุกเส้นเหมือนกับกลายเป็นเข็มแทงหัวอยู่ เพราะว่าปลายประสาทอักเสบหมด ก็เลยทำให้มั่นใจที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า คนเราถ้าไม่หมดอายุ ไม่หมดอาหาร ไม่หมดบุญ ไม่หมดกรรม ไม่ตายหรอก อาตมานี่ประเภทอยู่ได้ด้วยกรรม สร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ ถึงเวลากรรมรักษาเก็บไว้ทรมานเล่น พวกบุญรักษาถึงเวลาก็อยู่เสวยสุขไป หมดบุญเมื่อไรแล้วค่อยไป
เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกที่สร้างบุญสร้างกรรมเอาไว้พอประมาณ เมื่อถึงอายุขัยแล้วถึงตาย อีกประเภทหนึ่งไม่หมดอายุแต่หมดอาหาร ตายเหมือนกัน สิ่งที่พระองค์บอกเอาไว้เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าพิสูจน์ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องเจอด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เข้าใจว่าพระองค์ตรัสอะไร”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่โยมเห็นข้างฝาแล้วก็พิง พระพุทธเจ้าห้ามพระเณรนั่งพิงข้างฝา ถ้าจะพิงข้างฝาต้องมีไม้กระดานรอง เพราะว่าเวลาพิงแล้วท่านบอกว่ามลทินกายไปติด ทำให้ข้างฝาเปรอะเปื้อน ถ้านึกไม่ออกไปดูรอบ ๆ ศาลาวัดท่าขนุน ถึงเวลาหมาไปนอนขดอยู่ข้างศาลาแล้วก็เป็นรูปตัวหมาเลย ...(หัวเราะ)... คนเราถ้าพิงอยู่ที่เดียวนาน ๆ ก็เป็นลักษณะนั้น
หลังจากที่มีกระดานรองเอาไว้ ก็ปรากฏว่ากระดานเปื้อนอีก พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เย็บผ้าคลุมกระดานไว้ ถึงเวลาจะได้ถอดผ้าไปซักได้ เรื่องพวกนี้พระองค์ท่านละเอียดมาก แต่โยมเคยชิน ถึงเวลานั่งเมื่อไรก็พิงเอาไว้ก่อน”
พระอาจารย์กล่าวกับผู้สูงอายุว่า “ถ้าลุกนั่งลำบากยืนเอาก็ได้ เอาแบบโบราณ การยืนคือการแสดงความเคารพ ตอนนี้แถวทองผาภูมิพวกมอญพม่ารุ่นเก่า ๆ ยังใช้วิธีนั้นอยู่ ถึงเวลาพระเดินผ่าน ผู้ชายก็จะยืนแสดงความเคารพ ผู้หญิงก็นั่งกับพื้นไปเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เหลือเวลา ๑๘ นาที อย่ามัวแต่ช็อปปิ้ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าสุขของคฤหัสถ์ คือความสุขของฆราวาสมี ๔ อย่าง คือ มีทรัพย์ จ่ายทรัพย์ ไม่เป็นหนี้ ทำงานที่ไม่มีโทษ ช็อปปิ้งเป็นความสุขในการจ่ายทรัพย์ มีความสุขกันจริง ๆ เลย ทำเอาคนไทยโด่งดังไปทั่วโลกเพราะว่าช็อปฯ กันกระจาย
อาตมาเองปัจจุบันนี้ก็ยังช็อปปิ้งอยู่นะ ถึงเวลาก็เข้าไปในเว็บพระเครื่อง ถ้าวันไหนจับของดีราคาถูกได้จะมีความสุขมาก..! โทษใครไม่ได้เพราะว่าเจ้าของเขาไม่รู้จัก แต่อาตมารู้ แบบเดียวกับหลวงพ่อบ๊ะนั่นแหละ พอ "ตัวเล็ก" เอาเหรียญไปออกราคาร้อยเดียวนี่ท่านนั่งยิ้มกริ่มเลย ราคาในตลาดตั้งหลายพัน ...(หัวเราะ)...”
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังอ่านหนังสือว่า “ขออีกนิดหนึ่ง เดี๋ยวก็หมดแล้ว เห็นแล้วอย่าไปท้อ แค่ ๕ เล่มหนา ๆ เท่านั้นเอง นี่เล่มสุดท้ายแล้ว
อาตมาเรียนชั้น ป.๒ ก็อ่านหนังสือหมดไปหนึ่งห้องสมุดแล้ว คนได้ยินคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่เป็นเรื่องจริง สมัยนั้นเจตนาก็คืออ่านหนังสือให้แตก คำว่าอ่านหนังสือให้แตกคือแตกฉาน แปลว่าอ่านได้ทุกคำ หนังสือเล่มที่อ่านยากที่สุดก็คือตำราเพศศึกษาของ ดร.คินซีย์ อาตมาอ่านตั้งแต่ชั้น ป.๒ ที่อ่านยากเพราะว่าทับศัพท์ภาษาอังกฤษเยอะ ถึงเวลาคำไหนไม่แน่ใจว่าอ่านถูกก็วิ่งไปถามครู ครูบอกไปก็หัวเราะไป ถามเธอจะอ่านไปทำไมหนังสือแบบนี้ ? บอกไปว่าผมอยากอ่านให้ได้ทุกเล่ม
เรียนประถมต้นอ่านหนังสือหมดไปหนึ่งห้องสมุด เรียนประถมปลายอ่านหนังสือหมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด เรียนมัธยมต้นอ่านหนังสือหมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด ประเภทเล่มหนา ๆ นี่มีชื่อยืมอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ยืมหรอก เพราะฉะนั้นอาตมาอ่านพวกวรรณกรรมคลาสสิกของฝรั่งตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวก Heidi, Wuthering Heights, The Call of the Wild เป็นต้น"
"โดยเฉพาะที่สนุกและชอบมากก็คือ The Adventures of Tom Sawyer ...(หัวเราะ)... เจ้าทอมสุดแสบจริง ๆ สามารถหลอกเพื่อนมาทาสีแทนได้แล้วแถมยังได้เงินด้วย ถ้าใครอ่านจะรู้ว่าแสบแค่ไหน ส่วนหนังสือเล่มหนึ่งที่หาด้วยความอยากได้มากคือ The Red Pony ของ John Steinbeck อ่านตั้งแต่ชั้น ป.๒ อ่านแล้วชอบมาก ปรากฏว่ามาซื้อได้อีกทีตอนอายุ ๔๐ กว่า เพราะว่าเขาไม่ได้พิมพ์ใหม่ เขาพิมพ์ใหม่เป็นภาษาไทยชื่อ "ลูกม้าสีแดง"
บางเรื่องเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น อย่าง Journey to the Center of the Earth ของ Jules Verne คนที่เขียนเรื่องใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ เขาบอกว่าคณะของพระเอกหลุดออกจากใต้โลกมาได้ เพราะว่าภูเขาไฟระเบิดแล้วดันออกมาทางปล่อง เป็นจินตนาการที่ผิดสะเด็ดยาดเลย ถ้าเป็นธรรมดาภูเขาไฟระเบิดต้องกลายเป็นเถ้าไปแล้ว ...(หัวเราะ)... ความร้อนระดับที่ภูเขาไฟระเบิดเป็นพันองศาเซลเซียส ร่างกายคนทนไม่ได้หรอก แต่ว่าหลายอย่างที่เขาจินตนาการไว้อย่างเช่นเรือดำน้ำนอติลุส เรื่องเรือดำน้ำนี้อีกเป็นร้อยกว่าปีกว่าเขาจะสร้างกันได้”
ถาม : แมวที่บ้านหายไป เป็นห่วงมาก ?
ตอบ : ไม่ต้องไปตามแล้ว แมวเขามีนิสัยว่าจะไปอยู่ที่ไหนเขาก็ไป ไม่เหมือนหมา หมาจะติดเจ้าของ เราจะสังเกตว่า วันดีคืนดีแมวใครก็ไม่รู้มาอยู่กับเราเฉยเลย แมวเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของเรา เขาจะไปเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก พวกนี้เขานึกอยากจะอยู่ไหนเขาก็ไป โดยเฉพาะแมวอยู่ในเมืองนี่ไม่มีวันอดเด็ดขาด ไปทางไหนก็มีคนเลี้ยง ...(หัวเราะ)... ทำใจ...กลับมาก็เลี้ยง ไม่กลับมาก็แล้วไป
เลี้ยงหมาอย่าติดหมา เลี้ยงแมวอย่าติดแมว ไม่อย่างนั้นมัวแต่คิดถึง ตายตอนนั้นได้กลายเป็นลูกหมาลูกแมว อาตมาเองเคยเลี้ยงอีเห็น ด้วยความที่เลี้ยงด้วยนมวัวตั้งแต่เด็ก ให้กินเต็มที่ ตัวใหญ่อย่างกับหมาเลย แล้วอยู่กับหมาเขาก็เล่นกับหมาอยู่ทุกวัน เขาไม่รู้ว่าที่เขาเล่นกับหมาได้เพราะอาตมาอยู่ คราวนี้พอมารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ อย่างนี้แหละ ก็ไปเล่นกับหมาตามเดิม แต่คราวนี้หมามันเขี้ยวฟัดตายเลย อาตมากลับไปคนงานเขาบอกว่า “อาจารย์ครับ อีเห็นตายแล้วครับ” อาตมาก็บอกว่า “เออ..แล้วเอ็งทำอย่างไรวะ ?” เขาบอกว่า “ผมเอาไปฝังครับ” อาตมาบอกว่า “ไอ้บ้า.. ทำไมไม่รู้จักผัดเผ็ด..?!”
พวกนั้นก็สงสัยมากว่าอะไรกัน เห็นอาจารย์รักนักรักหนา แต่พอตายแล้วจะผัดเผ็ด อาตมาก็บอกว่า “ตอนอยู่ก็รักมัน สงเคราะห์ไป พอตายก็ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่สิวะ..!” ตัวใหญ่ขนาดนั้นเลี้ยงได้ตั้งหลายคน ดันเอาไปฝัง..!
ถาม : หนูเป็นเนื้องอกในมดลูกขนาดประมาณ ๒.๕ ซม. มียาที่กินแล้วทำให้ยุบไหมคะ ?
ตอบ : กล้ากินไหม ? น้ำคั้นขิงสด กินสักวันละประมาณ ๓๐ ซีซี กินเข้าไปนี่หัวหูหน้าตาร้อนไปหมด
ถาม : ต้องกินติดกันกี่วันคะ ?
ตอบ : กินจนกว่าจะยุบหมดนั่นแหละ คั้นเอาไว้เป็นขวด ๆ เลยก็ได้ พอถึงเวลาก็เก็บเข้าตู้เย็นไว้แล้วทยอยกิน จะไปทะลุทะลวงทุกอย่างจนหมด เผ็ดสุด ๆ..! กินลงไปนี่กระทั่งใบหูก็ร้อนไปหมด ...(หัวเราะ)...
ถาม : หนูวางพระหลวงพ่อกวยไว้ที่หน้าท้อง อยากให้ก้อนเนื้อยุบ จะเป็นอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสบายใจก็ทำไปเถอะ ท่านไม่ได้ว่าอะไรหรอก รีบไปกินน้ำคั้นขิงสด แล้วอย่าบ่นนะว่าหลวงพ่อหลอกให้กินของเผ็ดฉิบหายเลย..!
ไม่ใช่แค่นั้นนะ พวกเส้นเลือดตีบตันนี่โดนทะลวงเกลี้ยงเลย กินไปวันแรกจะรู้สึกมือเท้าเบาไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ทำท่าจะลอยเอา ...(หัวเราะ)...
เอาขิงแก่มาทุบ โขลก เติมน้ำไปเล็กน้อยแล้วคั้น เหมาะที่จะกินหน้าหนาว เพราะว่ากินไปแล้วร้อน ล้างสะอาด ๆ หน่อย ใส่ครกตำไปเลย เติมน้ำสักหน่อยหนึ่งแล้วคั้นออกมา สมัยนี้เขามีครกไฟฟ้าปั่น แต่ปั่นแล้วต้องกรองนะ ถ้าไม่กรองนี่จะไม่ใช่น้ำคั้นแล้ว จะเป็นเนื้อขิงแทน ...(หัวเราะ)... เขาเรียกเครื่องปั่น แต่อาตมาเรียกครกไฟฟ้า
พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกผักปลัง ฟัก แฟง แตง น้ำเต้า เป็นของธาตุเย็น ช่วงประจำเดือนมาอย่าไปกินเยอะ”
ถาม : อาบัติสังฆาทิเสส เวลาเราปลงอาบัติตอนเย็น จะเป็นการเปิดเผยอาบัติตอนนั้นเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : จะถืออย่างนั้นก็ได้ เพราะท่านใช้คำว่า สัพพา ครุลหุกา ทั้งหนักทั้งเบา
ถาม : เวลาตอนเราไปเข้าปริวาส ก็นับตั้งแต่ตอนเปิดนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็แปลว่าเราปิดไว้กี่วัน ก็นับมาถึงตอนที่เปิดนั้น
ถาม : แม่เขาเป็นกังวลเรื่องลูกหลานเหลือเกิน จะพูดอย่างให้เขาคลายกังวลได้บ้าง นิดหนึ่งก็ยังดี ?
ตอบ : บอกแม่ว่าถ้าคิดอย่างนี้อีกลงนรกแน่นอน..!
ถาม : ผม ภรรยา และเพื่อนเป็นเจ้าภาพทำกฐินที่วัดแห่งหนึ่ง ปัจจัยที่รวบรวมมาสามารถหักลงในค่าใช้จ่ายได้ไหมครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วถ้าทำอย่างนั้น จะต้องแจ้งทุกคนก่อนว่าเราจะทำอย่างนั้น ถ้าไม่ได้แจ้งนี่ไม่มีสิทธิ์ไปแตะเลย
ถาม : มีคนแนะนำมาว่า ให้แบ่งส่วนหนึ่งให้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาแนะนำให้เราซวยแล้วเราจะไปเชื่อเขาหรือ ? เจตนาของคนที่ร่วมบุญคือทำบุญกฐิน เขาไม่ได้ทำมาเพื่อให้เราหักเป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ยกเว้นเราประกาศชัดเจนตั้งแต่แรกว่า เงินที่ได้มาเราจะหักเป็นค่าใช้จ่ายส่วนไหนบ้าง แล้วเขายังร่วมบุญมา ถ้าอย่างนั้นถึงจะมีสิทธิ์ทำได้
ถาม : ที่ถูกต้องคือเราจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..สรุปว่าถ้าอยากได้บุญเต็มที่ ส่วนที่เป็นรายจ่ายอื่น ๆ เราก็ต้องจ่ายเอง
ถาม : พ่ออายุ ๗๙ ปี แล้วก็เริ่มมีอาการสมองเสื่อมขั้นแรก เริ่มกินยาป้องกัน งานวิจัยบอกว่าช่วยได้นิดหน่อย ปัญหาคือโยมเดือดร้อน พ่อไม่เดือดร้อนค่ะ ?
ตอบ : ไข่ลวก ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ทอด ไข่ตุ๋นอะไรก็ได้ ให้กินไปวันละ ๒ ฟอง ไม่ต้องกินยาอื่น
ถาม : ที่โยมเดือดร้อนก็คือถ้าสมองเริ่มเสื่อมแล้ว เวลา...?
ตอบ : ถ้าทำอย่างที่ว่าจะไม่เสื่อม สมองของเราส่วนใหญ่เป็นส่วนประกอบของไขมัน ๙๙ เปอร์เซ็นต์ คราวนี้เราไม่ค่อยจะมีไขมันให้ โดยเฉพาะไขมันที่เป็นประโยชน์จากไข่
ถาม : กินได้ทั้งไข่ขาวและไข่แดงหรือคะ ?
ตอบ: กินเข้าไปเถอะ เอาไว้สมองหายเสื่อม ค่อยไขมันจุกตาย..!
ถาม : เขามีไขมันในเส้นเลือดสูงด้วย ?
ตอบ : อาตมาก็มีสูงตั้ง ๒๗๖ ไม่เห็นจะตายสักที
ถาม : ที่เราเดือดร้อนเพราะเรากังวลไปก่อนค่ะ ?
ตอบ : ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากังวลไปก่อนก็ยังกังวลใช่ไหม ? เจริญมาก ไปทำอย่างที่ว่าก็พอแล้ว ไข่ลวกดีกว่า เช้า ๆ ใส่พริกไทยไปเยอะ ๆ ด้วย
พูดถึงโยมที่นั่งขวางประตูทางเข้า "คราวหน้าหัดระมัดระวัง อย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เราไปขวางทางคนอื่นเขา ถึงเวลาอุปสรรคในชีวิตก็จะมาก"
ถาม : การแผ่เมตตากับการอุทิศส่วนกุศล พอถึงจุดหนึ่งคล้าย ๆ กัน ?
ตอบ : เป็นส่วนของพรหมวิหาร ๔ เหมือนกัน แต่ความต่างคือ การแผ่เมตตาเหมือนกับเราให้ร่มเงาคลายร้อนแก่เขา แต่การอุทิศส่วนกุศลเท่ากับเราให้อาหารเขากินแก้หิว
ถ้าทั่ว ๆ ไป เขาหิวมา เราให้ร่มเงาคลายร้อน เขาก็มีความสบายขึ้นหน่อย แต่ก็ยังหิวอยู่ เพราะฉะนั้น...ก็ควรที่จะอุทิศส่วนกุศลให้เขา แต่โดยปกติก็คือทำทั้ง ๒ อย่างนั่นแหละ
ถาม : อารมณ์ที่ใช้อุทิศส่วนกุศล ?
ตอบ : เป็นอารมณ์ของพรหมวิหารเหมือนกัน ถ้าเราไม่รัก ไม่เมตตา เราจะไปอุทิศให้เขาทำไม ?
ถาม : การอุทิศกุศลไม่เจาะจง ?
ตอบ : อุทิศไม่เจาะจง ถ้าหากว่าบุคคลที่กำลังน้อย เขาก็รับยาก พวกแข็งแรงกว่าเบียดขึ้นหน้ามาตัวเองก็แย่ เหมือนกับอยู่ในห้องนี้แล้วพูดลอย ๆ ว่าใครก็ได้ พวกกำลังไม่ดีจะขึ้นหน้ามาได้ไหม ? ก็โดนเบียดกระเด็นไปไหนก็ไม่รู้
ถาม : การแผ่พลังเมตตา ?
ตอบ : การแผ่เมตตาต้องใช้กำลังใจที่เต็มไปด้วยความหวังดีปรารถนาดีต่อเขา อยากให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้เขามีความสุข ใครที่มีความทุกข์อยู่ ขอให้พ้นจากห้วงทุกข์ ใครที่มีความสุขอยู่ ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ต้องวางกำลังใจให้ถูกต้องก่อนแล้วถึงแผ่เมตตา ไม่ใช่ว่าจะนึกอยากจะแผ่ก็แผ่ไปเลย ต้องตั้งกำลังใจของเราก่อน
ถาม : อารมณ์เบื่อ อารมณ์วาง ถึงจุดหนึ่งทุกคนจะต้องผ่านอารมณ์นี้ก่อน ?
ตอบ : ต้องผ่านก่อน ถ้าไม่เบื่อก็จะไม่วาง ฉะนั้น...ต้องเบื่อก่อน พอเบื่อไปจนถึงที่สุดแล้วจะเกิดปัญญาเห็นว่า ธรรมดาเป็นอย่างนี้ ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ความเบื่อแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน ก็จะไม่ไปแบกเอาไว้อีก แล้วก้าวข้ามไป
ถาม : ทุกคนจะต้องผ่านในระดับอารมณ์นี้ยากเหมือนกัน ?
ตอบ : ยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับปัญญา บางคนปัญญาดี มองเห็นก็ผ่านเลย บางคนปัญญาไม่ดี ตะเกียกตะกายปีแล้วปีเล่า ก็ผ่านไม่ได้สักที เบื่ออยู่นั่นแหละ
ถาม : ถ้าเราเบื่อทำให้เกิดอารมณ์เศร้าหมอง ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา บางคนเบื่อแล้วฆ่าตัวตายไปเลยก็มี แบบเดียวกับพระ ๖๐ รูปที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟัง แล้วพระองค์ท่านก็เข้านิโรธสมาบัติ พระทั้งหมดไปจ้างปริพาชกให้ฆ่าตัวเอง ถามว่าพระพุทธเจ้ารู้ไหม ? รู้....แต่เนื่องจากว่าในอดีตพระทั้งหมดเคยสร้างกรรมนี้เอาไว้ ต้องชดใช้เขา ในเมื่อตนเองเบื่อ ปรารถนาความหลุดพ้น ถึงคนอื่นฆ่าตัวเองก็สามารถที่จะไปได้
ถาม : ถ้าเรารู้อยู่อย่างนี้ พอเริ่มเบื่อเราก็ตัดร่างกายไปเลย ?
ตอบ : ถ้าตัดได้จริง ๆ ก็จบเลย แต่ส่วนใหญ่ตอนเบื่อปัญญาจะไม่มี เบื่อขึ้นมาก็แค่ "เบื่อจริงโว้ย...!" แต่ไม่สนใจหรอกว่าจะตัดอะไร
ถาม : ถ้าใช้กำลังสมาธิข่มความเบื่อไว้ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับสมาธิก็ไม่เบื่อนะสิ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ยังไม่พอ การเข้าถึงก็คือต้องวางทุกอย่างหมดจริง ๆ คราวนี้เรายังวางไม่ได้ ก็แค่ประเภทมองเห็นเท่านั้น ยังเข้าไม่ถึงหรอก
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทุกอย่าง....ถ้าตัดไม่ได้ ก็เป็นเครื่องถ่วงเราทั้งหมด
ถาม : เวลาจับภาพพระวิสุทธิเทพ แต่บางครั้งภาพก็เปลี่ยนเป็นภาพอย่างอื่นแทน ผิดปกติไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเอาพุทธานุสติอย่างเดียวก็จับพระวิสุทธิเทพ ถ้าไม่ตั้งใจคิดว่าอะไรที่อยู่ในอนุสติทั้ง ๑๐ มา เราก็จะเอา เราก็เปลี่ยนได้ ถ้าจับแล้วเปลี่ยนถือว่าปกติ ถ้าไม่เปลี่ยนเลย ผิดปกติ
ถาม : ขึ้นอยู่กับอารมณ์สมาธิเราหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ขึ้นอยู่กับว่าบางท่านก็มาสงเคราะห์ แต่เราไม่รู้ ก็แค่เห็นเฉย ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า ผิดคนอื่นมองเห็นเท่าภูเขา ผิดของเรามองเห็นเท่าเส้นขน แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแบบนี้ สันดานคนเป็นแบบนั้น ต้องบอกว่าเป็นสักกายทิฐิรูปแบบหนึ่ง คือเห็นว่าตัวกูของกูดีกว่าเสมอ"
ถาม : ผมพยายามหาบทอาราธนาพระกริ่งปลดหนี้เนปาลในเว็บวัดท่าขนุน แต่ก็ไม่เจอครับ ผมอาราธนาเป็นภาษาไทยได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะภาษาอะไร จะใช้บทไหนก็ได้ให้นึกถึงท่านก็แล้วกัน
ถาม : เขาบอกว่าเทวดาดีกว่า มีโอกาสทำบุญมากกว่าคน ?
ตอบ : เทวดาโอกาสสร้างความดีมีน้อยกว่า เพราะว่ามัวแต่เพลิดเพลินกับทิพย์สมบัติ ในเมื่อตัวเองโอกาสทำมีน้อย ก็ต้องรอจากคนอื่น
ภพภูมิของมนุษย์เป็นภพภูมิที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมมากที่สุด ไม่สบายจนเกินไป แล้วก็ไม่ลำบากจนเกินไป สบายเกินไปก็ไม่นึกถึงความดี ลำบากจนเกินไปก็มัวแต่ตะเกียกตะกายเอาตัวรอด โอกาสนึกถึงความดีก็น้อย
ถาม : ถ้าเทวดาตั้งใจรักษาศีล เพราะไม่มีขันธ์ ๕ เบียดเบียนเหมือนคน น่าจะได้บุญมากกว่านะคะ ?
ตอบ : เขาทำเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าศีลจะเป็นศีลต้องมีความตั้งใจ ในเมื่อไม่ตั้งใจงดเว้นแล้วจะเป็นศีลได้อย่างไร ? เหมือนกับเราอยู่เฉย ๆ ไม่ทำผิดเลยแล้วบอกว่าเราเป็นคนดีได้ไหม ? แต่ถ้าตั้งใจทำแล้วลงมือทำ ภพภูมิของเขาย่อมได้เปรียบมากกว่า เพราะว่าสภาพที่จะละเมิดศีลนั้นไม่มี
ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิแล้วอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ ถ้าเราเข้าใจเนื้อหาข้อความธรรมะที่เราฟัง ขอให้ท่านเข้าใจในธรรมะนั้นด้วย จะมีผลไหมคะ ?
ตอบ : เรื่องของการบรรลุธรรมเป็นของเฉพาะตน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้วว่า บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นท่านอธิษฐานทีเดียว พวกเราก็ไปหมดแล้วสิ แต่ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำไป
ถาม : ทำไมลูกชายดื้อมาก ก้าวร้าว ?
ตอบ : อยู่ที่เราเลี้ยง ดื้อมากก็ฟาดเข้าไป...! มีไม้เรียวเท่าไรแจกให้ไปกิน ดูสิว่าจะดื้อไหวไหม ? ส่วนใหญ่แล้วเราไปเลี้ยงลูกเป็นเทวดา ไม่กล้าแตะ ถ้าเป็นย่าเป็นยายยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พ่อแม่จะตีก็ห้ามอีกต่างหาก
โบราณเขาบอก รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ไม่อย่างนั้นจะเสียหาย ถ้าดื้อมากก็ตีให้กระจายไปเลย กลับไปเริ่มฟาดได้เลย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดูซิ...ว่าจะดื้อไปได้สักกี่น้ำ เลี้ยงลูกอย่าตามใจมาก เลี้ยงให้ลูกเป็นลูก อย่าไปเลี้ยงเขาให้เป็นพ่อเป็นแม่
เคยเห็นฝรั่งเลี้ยงลูกไหม ? พอลูกเริ่มตั้งไข่ เขาปล่อยให้เดินเองเลย พ่อแม่จะไปไหนเดินนำไป เดี๋ยวลูกตะเกียกตะกายตามไปเอง อยากร้องไห้ก็ปล่อยให้ร้องไป เดี๋ยวไม่มีคนสนใจเขาก็ต้องตามมาเอง ส่วนบ้านเรานี่ไม่ได้หรอก โตเป็นควายจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ก็ยังไปอุ้มอยู่เลย
ฝรั่งเขานี่ถ้าลูกจับช้อนเล่นเมื่อไรก็ส่งจานให้กินข้าวเอง ถึงเวลาจะละเลงเละเทะขนาดไหนก็ช่างมัน หมดมื้ออาหารเก็บล้างเสร็จสรรพเรียบร้อย จับอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ถึงมื้อใหม่ไม่มีให้กิน โดนเข้าไปแค่ครั้งสองครั้งเด็กก็รู้ ถ้าหากว่าไม่กินก็จะหิว เขาก็กินเอง ส่วนบ้านเรา ๑๐ กว่าขวบ ยังวิ่งไล่ป้อนรอบบ้าน ถึงเวลามาหาพระจะเป็นจะตาย ลูกไม่ยอมกินข้าว ก็ปล่อยให้อดไปสัก ๒ วันดูซิว่าจะกินไหม ? ต้องบอกว่าเลี้ยงลูกผิดวิธีเอง
ถาม : แม่เขาให้หนูมาเรียนถามค่ะ ?
ตอบ : ไปตัดสินใจเอาเอง เขาเรียกว่าชอบมาจับพระเป็นตัวประกัน
ทุกอย่างโยมมีการคิด มีการตัดสินใจแล้ว แต่โยมจะถามพระ พอพระแนะนำให้ไม่ตรงกับที่ตัวเองต้องการ ก็ยังทำตามที่ตัวเองตัดสินใจไว้นั่นแหละ แต่ถ้าหากว่าพระแนะนำไปตรงกับที่ตัวเองคิด เขาก็อ้างหลวงพ่อแนะนำมา สรุปก็คือพระซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง
สมัยก่อนท่านอาจารย์สมพงษ์ อดีตเจ้าอาวาส ตอนนั้นท่านยังเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ มาปรึกษาว่าจะซื้อรถกระบะเครื่องสามพันรุ่นแรก อาตมาก็บอกว่าอย่าไปซื้อ รุ่นนี้เขาเรียกว่า "ไอ้อืดจอมแดก" วิ่งก็วิ่งไม่ออก กินน้ำมันฉิบหาย แต่ท่านจะซื้อ ท้ายสุดก็ซื้อมาจนได้ ซื้อมาแล้วก็ซ่อม คิดว่าตัวเองมีฝีมือ เพราะว่าท่านชอบรื้อ ๆ ถอด ๆ ท้ายสุดจากที่ซื้อมาเจ็ดแสนกว่าขายไปได้สี่แสนกว่าบาท เพราะว่าดันไปรื้อของเขาเสียกระจาย
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ รู้ว่าเขาจะจัดการกับพ่อแม่เขาอย่างไร ในเมื่อเขารู้ ถึงเวลาเขาก็ลงมือตามที่เขารู้นั่นแหละ ถึงเวลาพอเขาดื้อมา แทนที่เขาจะไม่ได้อะไร แทนที่จะโดนลงโทษ เราดันไปง้อให้เขาทำโน่นทำนี่ แล้วจะได้อย่างโน้นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งดื้อเข้าไปใหญ่"
ถาม : มุทิตา คือความยินดีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ความยินดี เวลาเห็นคนอื่นทำความดี เขาได้ดีก็ไม่อิจฉาริษยา
ถาม : ฟังคำสอนครูบาอาจารย์แล้วกลับไปคิด ?
ตอบ : ฟังแล้วทำตาม ไม่ใช่ฟังแล้วไปคิด
อยู่กับครูบาอาจารย์ไม่ได้แปลว่าเรามีข้าวของอะไรของท่านมากกว่าคนอื่นแล้วจะดี สำคัญอยู่ที่ว่าเอาคำสอนท่านไปปฏิบัติแล้วได้ผลหรือเปล่า ไม่ใช่บางคนสะสมวัตถุมงคลทุกรุ่นเพื่อจะได้ไปคุยทับคนอื่นเขา บางคนอ่านหนังสือของท่านทุกเล่มเพื่อจะได้ไปคุยทับคนอื่นเขา นั่นไม่ใช่สาระ สาระอยู่ตรงที่ว่าเราเอาคำสอนท่านไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์จริง ๆ หรือเปล่า
ในเรื่องของคำสอนมีหน้าที่ทำตามก็พอ เรื่องอื่นปล่อยไปเลย ถ้าเราทำจริง ๆ คำตอบจะได้อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาก็คือไม่ทำแต่มานั่งคิด อ่านแล้วแทนที่จะลงมือทำ กลับมานั่งคิดนั่งสงสัย กลายเป็นนิวรณ์ใหญ่ที่เรียกว่าวิจิกิจฉา แล้วชาตินี้จะไปได้อะไร ?
ถาม : คำภาวนานี่มีผลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าสมาธิของเรามีหรือเปล่า ? ถ้ามีสมาธิตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป คำภาวนาทุกอย่างจะมีผล
ถาม : รวมถึงคำอธิษฐานด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คำอธิษฐานอยู่ที่ตัวเรา ถ้าหากว่าเราทำมาน้อย ยังไม่ถึงจุดที่เพียงพอ อธิษฐานให้ตายผลก็ไม่เกิด สมมติว่าคุณจะซื้อรถเบนซ์แต่เก็บเงินได้สองหมื่น คุณจะซื้อได้ไหม ? อธิษฐานแปลว่าความตั้งใจ คุณก็ได้แค่ตั้งใจว่าจะซื้อเอาไว้ก่อน
ถาม : อุเบกขาใช้หยุดอารมณ์ได้ทุกอย่างไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำได้แค่ไหน ถ้าเป็นอุเบกขาของพระอรหันต์ก็หยุดได้ทุกอย่าง ถ้าเป็นอุเบกขาของปุถุชนก็หยุดอะไรไม่ได้สักอย่าง..!
ไปถามมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กหรือบิลเกตต์ จะซื้ออะไรเขาก็ซื้อได้ทั้งโลก แล้วเราซื้อได้อย่างเขาไหม ? ก็ขึ้นอยู่กับระดับของกำลังใจ ในเรื่องของกำลังใจ ถ้าทำดี ทำถูก ทำถึง ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น เขาเรียกว่ามโนมยา สำเร็จด้วยใจ แต่ถ้ายังทำไม่ถึงก็ต้องรอไปก่อน
มีหนังสือจากตำรวจแจ้งมาเพื่อขออนุเคราะห์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด วัดท่าขนุน
"เดี๋ยวนี้อะไรเกิดขึ้นรอบวัด ตำรวจต้องมาขอข้อมูลในวัด เพราะว่าวัดท่าขนุนมีกล้องวงจรปิดระบบ HD เลเซอร์ไนท์วิชั่น กลางวันกลางคืนชัดเท่ากัน ห้าสิบตัวราคาสี่แสนกว่าบาท อาตมาสงสัยว่ากล้องห่วย ๆ ของสภาผู้แทนราษฎรตัวหนึ่งแสนสี่คืออะไร ? ห้าสิบตัวสี่แสนกว่าบาทนี่เขาแถมฮาร์ดดิสก์ สองเทราไบต์ให้ตั้ง ๖ ตัว
คราวที่แล้วโดนจับไปคนหนึ่ง แสดงว่าเจ้านี่ไม่รู้ว่าในวัดมีกล้อง เหตุที่เขาไม่รู้เพราะว่ากล้องที่วัดตัวเล็กมาก ๆ เล็กจนไม่สะดุดตาเลย เอาเป็นว่าแค่ในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายที่เราไปงาน ไปรับยันต์ฯ ไปพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมีกล้องอยู่ ๑๒ ตัว มีใครมองเห็นบ้าง ?
เขาถามว่าหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อนาก หลวงพ่อทองคำ ไม่ได้ปิดประตูล็อกสักคืนหนึ่ง ทำไมไม่กลัวหาย ? จะไปกลัวอะไร เขาอยากได้ก็ให้เขาแบกไป ถือว่าเป็นการช่วยทำโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนึ่ง...! แบกไปเมื่อไรโดนจับแน่นอน เพราะว่ามีกล้องรอบไปหมด"
ถาม : การที่เราภาวนาพระคาถาเงินล้าน เฉพาะวันที่เราเดินทางไปทำงาน ไม่ได้ภาวนาทั้ง ๗ วัน ถือว่ามีความตลอดไหมครับ ?
ตอบ : ก็ดีกว่าไม่ได้ภาวนาเลย
ถาม : ถ้าเราภาวนา ๑๖๐ จบ ด้วยความตั้งมั่น ชาตินี้ผมพอจะมีโอกาสได้พระโพธิญาณไหมครับ ?
ตอบ : ทำไปเดี๋ยวก็รู้เอง
ถาม : ผมตั้งเป้าหมายแสนจบ ล้านจบ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่เรา อาตมาเคยภาวนาได้วันหนึ่งตั้งพันกว่าจบ แสนจบจะสักกี่วันเอง ?
ถาม : ตอนนี้พระอาจารย์ถึงล้านจบแล้วสิครับ ?
ตอบ : ป่านนี้ทะลุล้านไปนานหลายปีแล้ว
ถาม : ถ้าถึงล้านจบจะมีอะไรเห็นหน้าเห็นหลังบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ได้แค่ที่เห็นอย่างทุกวันนี้เท่านั้น
ถาม : การที่เราจับภาพพระไปเรื่อย ๆ กรรมฐานกองพระนิพพานเราได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คิดเป็นก็ได้ คิดไม่เป็นก็ได้แค่พุทธานุสติ
ถาม : จริง ๆ ภาพพระที่เรานึก ก็คือใจของเรา ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นมโนภาพ คือ ภาพที่เกิดขึ้นในห้วงนึก
ถาม : แต่ก็ไม่ใช่ใจของเรา ?
ตอบ : ใจคือใจ การกำหนดภาพเป็นการทำงานของใจ ถ้าบาลีเรียกว่าจิตกับชวนะ เป็นคนละส่วนกัน
ถาม : ถ้าเรา “อิน” มากกับภาพพระ เหมือนเราอยู่บนพระนิพพาน ภาพนั้นก็ไม่ใช่ใจของเรา ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเป็นการทำงานของใจ
ไม่ว่าจะภาพพระหรือภาพกสิณอะไรก็ตาม ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นการปรุงแต่งของใจ เรียกว่าเป็นจิตสังขารอย่างหนึ่ง แต่เป็นจิตสังขารฝ่ายกุศล สร้างความดีความเจริญให้เกิดขึ้นกับใจของเรา
ยิ่งทรงสมาธิมั่นคงจนสามารถใช้อานุภาพของกสิณหรือว่าขยายภาพพระได้ ทำให้เล็กได้ กำลังใจของเราก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น กุศลผลบุญตรงนั้นก็มีมากขึ้น แต่ก็เป็นแค่กามาวจรกุศลเท่านั้น จะไปให้มากกว่านั้น ต้องอาศัยวิปัสสนาญาณเข้ามาช่วย พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะหลุดพ้นถึงจะมี
ดังนั้น..เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตาม ถึงเวลาที่ท่านสอน ท่านจะปิดท้ายไว้เสมอ หลวงพ่อวัดท่าซุงจะให้เราเกาะพระนิพพานเป็นปกติ ส่วนพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรจะเห็นว่าทุกบรรพ ทุกตอน ถ้าหากว่าภาษาอังกฤษก็น่าจะเป็น chapter จะลงท้ายว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราจะไม่ยึดอะไร ๆ ในโลกนี้ นั่นคือการสรุปจบของแต่ละตอนเลย ก็แปลว่าถ้าทำดีทำถูก เราทำแค่นั้นก็บรรลุได้แล้ว
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.