เข้าระบบ

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑


เถรี
06-08-2018, 08:35
ถาม : ภาวนาโสตัตตะภิญญาสามารถจับภาพพระด้วยได้ไหมคะ หรือขึ้นไปภาวนาบนพระนิพพานได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำได้...สบายใจอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ ไม่มีใครเขาห้ามหรอก

เถรี
06-08-2018, 08:35
ถาม : ลูกหลานที่ติดตามหลวงพ่อมานาน ๆ แต่มาสายสุขวิปัสสโกมีไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่เคยปรากฏ แต่ถ้าเป็นสายอื่นหลงมาก็มีอยู่บ้าง

เถรี
06-08-2018, 08:42
ถาม : บุคคลที่ชอบเรื่องการฝึกแบบอภิญญาตั้งแต่อดีตชาติ แต่ไม่เคยได้อภิญญามาก่อนเลยมีไหมคะ ?
ตอบ : มี...เพราะว่าบุคคลที่ฝึกอภิญญา กว่าจะปรากฏผลก็หลายแสนชาติ

ถาม : มีไหมคะที่บุคคลที่ฝึกกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอจนถึงฌาน ๔ แต่ยังไม่ได้ฤทธิ์ เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะได้หรือคะ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติถ้าไม่ได้มาสายอภิญญา เพราะว่าบุคคลที่ฝึกสมาธิสักแสนคน จะทรงฌานได้สักคนก็แสนยาก ผู้ที่ทรงฌานได้แสนคนจะทรงฌาน ๔ ได้สักคนก็แสนยาก บุคคลที่ทรงฌาน ๔ เป็นแสนคน จะได้ทิพจักขุญาณสักคนก็แสนยาก

ถาม : เป็นไปได้ไหมคะว่าที่ยังไม่ได้ฤทธิ์เพราะครูบาอาจารย์อยากให้มุ่งตรงเพื่อตัดกิเลสเข้าสู่พระนิพพานค่ะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ครูบาอาจารย์ไม่มีอารมณ์มาบังคับหรอกว่าคุณจะทำอะไร ขึ้นอยู่กับความขยันเฉพาะตัว ถึงเวลาจะไปทางไหน ถ้าตักเตือนก็แล้ว สะกิดแล้วไม่ฟัง ในเมื่ออยากจะเป็นอย่างนั้น ก็ปล่อยเลยตามเลย ทำเต็มที่แล้วไม่ได้ผล ก็แปลว่าไม่ได้มาด้านนั้นจริง ๆ หรืออีกอย่างก็คือทำยังไม่พอ

เถรี
06-08-2018, 08:46
ถาม : ที่พระอาจารย์เคยกล่าวถึงการขอหวยจากลูกกรอก ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ครับว่า ลูกกรอกสามารถรู้หวยหรือรู้ตัวเลขรางวัลที่จะออกในวันรุ่งขึ้นได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เขารู้ล่วงหน้าได้เป็นเดือนเป็นปี ไม่ใช่รู้แค่วันรุ่งขึ้น เรื่องของผีหรือเทวดาเขามีความเป็นทิพย์เป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : การที่เราสามารถขอหวยและถูกหวยจากการขอลูกกรอกได้ทุกงวดจนร่ำรวย เราต้องทำบุญในด้านทานทุก ๆ ครั้งที่ถูกหวยใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องมีพื้นฐานของทานบารมีมาก่อนในอดีตชาติ และสร้างบุญประเภทไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน อย่างเช่นเห็นกองบุญการกุศลที่ไหนก็ไปร่วมทำกับเขาเลย ถ้าทำบุญแบบตั้งเจตนามาก่อนก็จะรวยไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาเล่นหวย

เถรี
06-08-2018, 08:55
ถาม : ปรอทสำเร็จหลวงปู่ครูบาศรีอ่องสามารถป้องกันโรคให้กับคนที่อยู่รอบข้างเราได้ด้วยหรือไม่ครับ หรือป้องกันโรคให้กับผู้บูชาเพียงคนเดียว ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วใช้สำหรับบุคคลเพียงคนเดียว

ถาม : เวลาพกพาจำเป็นต้องให้ปรอทสัมผัสกับผิวกายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น แต่ควรจะอยู่ลักษณะการเปิดเปลือยเสียบางส่วน เพื่อให้พลังงานออกมาได้เต็มที่ บางคนเอาไปเลี่ยมเสียหนาเลย บางทีท่านที่ทำถ้ากำลังน้อยหน่อยก็ส่งออกมาได้ไม่เต็มที่

ถาม : สามารถนำปรอทสำเร็จหลวงปู่ครูบาศรีอ่องฝังใต้ผิวหนังได้หรือเปล่าครับ และจะมีอันตรายต่อร่างกายจากปรอทหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่เคยทำ ลองไปทำดู แล้วช่วยให้คำตอบด้วย

เถรี
06-08-2018, 09:00
ถาม : การอาราธนาพระเครื่องวัตถุมงคลในใจ โดยไม่ได้พนมมือและเปล่งเสียง ท่านจะรับรู้และช่วยคุ้มครองเราหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจด้วยความเคารพ ก็เหมือนกับออกเสียงนั่นแหละ

เถรี
06-08-2018, 09:05
ถาม : วิชาชาตรีหรือวิชาลูกเบานับว่าเป็นวิชาที่ทำยาก ต้องได้รับอนุญาตจากพระจึงสามารถทำได้ แต่ทำไมวิชาลูกเบาจึงมีและทำได้ง่ายกว่าในอิสลามครับ ?
ตอบ : ต้องไปเป็นอิสลาม จะได้ไม่ต้องขอจากพระท่าน เรื่องของลูกเบาเป็นการฝืนกฎของกรรมอย่างหนึ่ง ก็คือเราอาจจะต้องบาดเจ็บล้มตาย แต่ว่าท่านช่วยเพื่อไม่ให้เราได้รับผลขนาดนั้น บางส่วนของเราเองถ้าเป็นการฝืนกฎของกรรม เราก็ต้องรับเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้ผู้ที่ทรงสัพพัญญูอย่างพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ท่านรู้ในเรื่องวาระกรรม รู้กฎของกรรมทุกอย่าง ให้พระองค์ท่านเป็นผู้อนุญาตจะดีกว่า

เถรี
06-08-2018, 09:14
ถาม : เวลาผมคิดว่าร่างกายของคนเรานั้นสกปรก จิตก็มักจะต่อต้านทุกที โดยมักจะคิดสวนขึ้นมาว่า แม้จะสกปรก แต่พออาบน้ำเสร็จแล้ว เราก็ยังถือว่าสะอาด ถ้ามีผู้หญิงอาบน้ำเสร็จแล้วใหม่ ๆ เราก็ยังอยากจะไปสัมผัส เพราะถือว่าตอนนั้นสะอาด คิดอย่างไรก็ปลงไม่ตกสักที

แต่พอคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของคนเรา สิ่งมีชีวิต วัตถุสิ่งของ ต้นไม้ อาคารบ้านเรือน ทุกอย่างในที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายไป กลายเป็น ดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นความร้อน แม้ร่างกายของตัวเอง ที่มีกระดูกเป็นแกนกลาง สุดท้ายก็ต้องเสื่อมสลาย ผุพังลงไป พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกว่าเห็นภาพชัดเจน เข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น จิตสงบได้ดียิ่งขึ้น ไม่เหมือนกับตอนที่คิดว่าร่างกายสกปรก

ไม่ทราบว่าทำไมเวลาที่คิดว่าร่างกายสกปรก จิตกลับฟุ้งซ่าน แต่พอคิดว่าทุกอย่างสุดท้ายแล้วก็ต้องเสื่อมสลาย ค่อย ๆ ผุพังไปหมด จิตกลับรู้สึกว่าเข้าใจอะไรมากขึ้น จิตสงบมากขึ้นครับ ?
ตอบ : กรรมฐานแต่ละกองเหมาะหรือไม่เหมาะกับแต่ละคน ในเมื่อเจอกองที่ไม่เหมาะกับตนเอง แม้กระทั่งลูกชายนายช่างทอง ซึ่งมีอาจารย์คือพระสารีบุตร ก็ยังไม่สามารถที่จะได้มรรคได้ผลอะไร ต้องรอได้กรรมฐานที่เหมาะกับตัวเอง จึงจะได้มรรคได้ผล

ดังนั้น...ในส่วนไหนก็ตามที่เหมาะแก่เรา ก็ให้ทำกองนั้นแทน กองอื่นวางทิ้งไปเลย เพราะว่ากรรมฐานทุกกอง ถ้าทำเป็นก็เข้าสู่พระนิพพานได้ทั้งหมด

ถาม :การที่คิดว่าทุกอย่างนั้นจะต้องเสื่อมสลายไปหมด ไม่ช้าก็เร็ว แบบนี้ถือว่าเป็นวิปัสสนาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นวิปัสสนาในส่วนของอนิจจสัญญา ก็คือเห็นความไม่เที่ยงเป็นปกติ

เถรี
06-08-2018, 20:33
ถาม : ทำไมบางครั้งกล่าวเรียกแบบลอย ๆ ไม่ระบุว่าเป็นใครชัดเจน เช่น พูดเรียกลอย ๆ ขึ้นรถกันได้แล้ว โดยไม่พูดเรียกว่าทุกคนคณะ…..ขึ้นรถได้แล้ว จะทำให้ผู้อยู่อีกภพภูมิหนึ่งสามารถแทรกมาขึ้นรถด้วยได้ ? พอดีมีน้องผู้หญิงไปงานศพตา เจอเศษฟันใต้เมรุคิดว่าเป็นของตา จึงหยิบขึ้นมาพูดว่าไปอยู่ด้วยกันนะ วิญญาณตาก็มาและมีผีปอบวิชา (ที่เคยถูกเลี้ยงแล้วนำมาปล่อยวัด) ตามติดมาด้วย ?
ตอบ : ลักษณะนั้นคือ ถ้าอยู่บริเวณนั้นแล้วเราเอ่ยปากชวน ก็แปลว่าชวนเขาไปด้วย พวกนี้ตีขลุมกันได้ ขณะเดียวกันต้องมีเวรมีกรรมเนื่องกันด้วย ไม่อย่างนั้นวาระเช่นนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น

เถรี
06-08-2018, 20:35
ถาม : ถ้าเราเผลอใช้เท้าเหยียบพระเครื่องหรือวัตถุมงคลโดยไม่ตั้งใจ เช่น ทำพระตกไว้ในที่มืด เดินหาแล้วไปเหยียบพอดีแบบนี้ จะต้องขอขมาลาโทษอย่างไรจึงจะดีที่สุด ?
ตอบ : ขอขมาตามปกติ

เถรี
06-08-2018, 20:46
ถาม : หลวงปู่รูปหนึ่งสมัยสิบพรรษามาธุระพร้อมฆราวาสผู้ชายที่กรุงเทพฯ แต่ผู้ชายที่มาด้วยกลับมัวมาสนุกในที่สถานที่อโคจร เมื่อพระท่านทราบด้วยญาณ จึงตัดสินใจเดินกลับวัดที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไกลมากเพียงรูปเดียว นึกในใจว่าถ้าไม่มีคนนิมนต์ขึ้นรถ ก็จะเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงวัด สักพักก็มีรถแท็กซี่รุ่นเก่ามาจอด มีผู้ชายสองคนนั่งหน้า คนขับรถนิมนต์ท่านขึ้นรถตน บอกว่าจะพาไปส่ง ท่านจึงขึ้น

พอขึ้นนั่งก็ได้กลิ่นซากศพแห้ง ในรถมีใยแมงมุมและฝุ่นเกาะเต็ม มองชายสองคนหน้ารถ คนนั่งข้างคนขับเหมือนหัวจะหลุดจากบ่า ส่วนคนขับพยายามปิดบังใบหน้า แต่ท่านสังเกตเห็นว่าหน้าเขาเละ ๆ จึงทราบว่าสองคนนี้ไม่ใช่คน ท่านจึงชวนเขาคุย ไม่ว่าท่านคิดอะไร เขาก็รู้หมด จนถึงถนนเส้นหนึ่ง เขาบอกว่าส่งท่านได้เท่านี้ แต่จะโบกเรียกรถให้ แล้วเขาก็โบกรถบรรทุกให้ไปส่งท่านถึงวัด เขาบอกว่าได้ส่งพระแบบนี้มาหลายรูปแล้ว ท่านจึงทราบว่าเขาขับรถมาส่งท่านได้แค่ในเขตที่เขาตายเท่านั้น การที่ผีจะทำแบบนี้ได้ เกิดจากอะไร ?

ตอบ : การตั้งเจตนาอย่างหนึ่ง กรรมที่เนื่องกันมาในอดีตอย่างหนึ่ง มาบรรจบพบกันพอดี ขณะเดียวกันบุคคลนั้นก็ต้องสร้างความดีมาในระดับหนึ่งด้วย ถ้าความดีไม่พอที่เขาจะสงเคราะห์ ประเภทขอร้องให้ตาย เขาก็ไม่มา

เถรี
06-08-2018, 20:48
ถาม : หากผมต้องการจะอธิษฐานตัดความสัมพันธ์กับคนที่เคยมีให้กันมาในอดีตทุกภพทุกชาติ ในทุกความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ความรู้สึกแบบพี่น้อง ญาติสนิทในครอบครัวให้ขาดสะบั้นลงไม่เหลือเยื่อใย โดยอนุโลมให้เหลือไว้เฉพาะบุญกุศลความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลส่งเสริมกันในทางปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เพื่อการส่งเสริมกันในการทำประโยชน์แก่พระศาสนาเท่านั้น ผมต้องวางกำลังใจอย่างไร จำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิทรงตัวในระดับใด และต้องใช้เครื่องบูชาหรือของทำพิธีอย่างไรบ้างครับ ?

ตอบ : ทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ได้ แล้วตัดกิเลสเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ทุกอย่างที่ว่ามาจะจบหมดเลย

เถรี
06-08-2018, 20:51
ถาม : ต้องทำบุญประเภทใด ถึงจะสามารถทำให้เราเป็นคนที่แยกแยะถูกผิดได้ครับ ?
ตอบ : พยายามภาวนาไว้มาก ๆ เกิดใหม่เมื่อไรจะได้มีปัญญาในลักษณะสัมมาทิฐิ เห็นถูกเป็นถูก เห็นผิดเป็นผิด ไม่เกิดอาการวิปลาสที่เห็นตรงกันข้าม อย่างเช่นว่า สิ่งปกติไม่สวยไม่งาม แต่เราเห็นว่าสวยงาม เป็นต้น

เถรี
06-08-2018, 20:57
ถาม : สมมุติว่ามีเด็กไปขโมยเงินพ่อแม่ครั้งเดียว ๑ พันบาท และเด็กอีกคนขโมยเงินพ่อแม่ ครั้งละ ๕ บาท ๑๐ บาท แต่ขโมยเรื่อย ๆ จนครบ ๑ พันบาท อยากทราบว่าจะบาปเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : คนที่ขโมยบ่อยบาปมากกว่า เพราะโอกาสที่จะเป็นอาจิณณกรรมมีมาก ถ้าทำอาจิณณกรรมมาก ๆ ทำทุกวัน จะมีโทษเท่ากับอนันตริยกรรม คือลงอเวจีมหานรก

เถรี
06-08-2018, 22:07
ถาม : นิสัยของพระโพธิสัตว์หลัก ๆ เลยคือชอบเสียสละตั้งแต่ทรัพย์สิน อวัยวะ จนไปถึงชีวิตของตนเอง ผมอยากทราบว่านิสัยที่ชอบเสียสละแบบนี้เป็นเองตั้งแต่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้า หรือว่าต้องสั่งสมมาในอดีตชาติครับ ?
ตอบ : สั่งสมไปจนถึงระดับอุปบารมีแล้วจึงจะเป็นเช่นนั้น ถ้าต่ำกว่านั้นก็ยังไม่เป็น

เถรี
06-08-2018, 22:11
ถาม : โลกธรรม ๘ จะทำอย่างไรไม่ให้จิตใจเราไปยินดียินร้ายกับโลกธรรม ๘ ครับ ? เพราะธรรมดามนุษย์คนเราก็อยากได้เงิน อยากได้ ลาภ ยศ สักการะ และจะเสียใจและโกรธเมื่อเสีย ลาภ ยศ สักการะ
ตอบ : ใช้สองวิธี วิธีแรกทรงฌานเอาไว้ หยุดจิตอยู่กับปัจจุบัน ถ้าสภาพจิตทรงฌานหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ ก็จะไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบข้าง อีกวิธีหนึ่งคืออย่างน้อย ๆ เข้าถึงความเป็นพระสกทาคามี ถ้าถึงระดับนั้นแล้ว ความยินดียินร้ายในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้แทบจะไม่ปรากฏแก่ท่านแล้ว

เถรี
06-08-2018, 22:13
ถาม : บุคคลที่เคยได้ฌาน แต่ตอนตายไม่ได้เข้าฌานตาย แต่นึกความดีได้แล้วได้ไปสวรรค์ไปเป็นเทวดา อยากถามว่าจะไปเกิดเป็นพรหมต่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหมดอายุของเทวดาแล้ว ส่วนใหญ่จะไปเป็นพรหมตามกำลังความดีเดิมที่เคยทำได้

เถรี
06-08-2018, 22:17
ถาม : คนที่ทำงานในด้านการปกครองเช่นนักการเมือง ควรจะมีธรรมะข้อใดบ้างครับ ?
ตอบ : เยอะมาก อันดับแรกทศพิธราชธรรม ไม่ใช่ธรรมะที่เหมาะกับพระมหากษัตริย์เท่านั้น หากแต่เหมาะกับผู้ปกครองทุกระดับ ลำดับต่อไปคือให้มีอปริหานิยธรรมทั้ง ๗ ต่อไปก็ต้องมีสัปปุริสธรรมทั้ง ๗ ต้องเว้นจากอคติ ๔ เป็นต้น พูดง่าย ๆ ว่าหลักธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้าควรที่จะต้องมีไว้

เถรี
06-08-2018, 22:24
ถาม : เมื่อหลายปีก่อนญาติผู้ใหญ่ของผมได้บูชาพระเครื่องจากคนที่ขโมยพระของผู้อื่นมา ปัจจุบันพระเครื่องเหล่านั้นอยู่ในความครอบครองของผม ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ ? (ตัวผมเองไม่รู้จักกับคนที่ขโมยและไม่รู้จักกับผู้ที่ถูกขโมยครับ)
ตอบ : สร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๕ นิ้วไปชดใช้คืน เอาไปถวายสงฆ์ในลักษณะองค์ต่อองค์

เถรี
06-08-2018, 22:26
ถาม : ปัจจุบันมีผู้เป็นตัวแทนประกาศข่าว รวบรวมกับรับฝากเงินทองทำบุญ นอกจากความสุจริตและหิริโอตัปปะแล้ว ผู้เป็นตัวแทนควรมีคุณสมบัติอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้เกิดต่อตนและผู้ร่วมทำบุญมากขึ้น ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องมีพรหมวิหารสี่ ไม่อย่างนั้นไปไม่รอดหรอก ถ้าขาดความเมตตากรุณาต่อเขาจริง ๆ เหนื่อยขึ้นมาก็เลิกแล้ว

เถรี
06-08-2018, 22:27
ถาม : พระอาจารย์เคยกล่าวถึงขันทีที่ถูกตัดอวัยวะเพศแล้ว กามราคะได้ทำให้บ้าอำนาจ ถ้าเป็นกรณีสภาพกายสังขารไม่สามารถสนองกามราคะได้อีกแล้ว อาทิเช่น คนแก่ชรามาก นอกจากบ้าอำนาจแล้ว กามราคะยังจะสามารถทำให้ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจทำอะไรได้อีกและออกมาเป็นรูปแบบใดได้อีกบ้าง ?
ตอบ : หัวดื้อ รั้น ไม่ฟังใคร

เถรี
06-08-2018, 22:29
ถาม : การออกรถตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ นับที่การวางมัดจำหรือการรับรถจากเจ้าของเดิมมาไว้กับตัวครับ ?
ตอบ : เอารถมาไว้กับเรา

ถาม : หากอยู่คนละจังหวัดกับรถ เลยฝากคนรู้จักที่อยู่แถบนั้น ไปวางมัดจำและรับรถมาไว้ที่บ้านของคนรู้จักคนนั้น นั่นนับเป็นการออกรถแล้วใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : นับได้

ถาม : หากจำเป็นต้องออกรถสีดำมา แล้วมาเปลี่ยนสีใหม่ทั้งคันเป็นสีอื่น จะยังคงผิดข้อห้ามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ผิดข้อห้ามหรอก แต่ผิดกฎหมาย เปลี่ยนแล้วก็ไปแจ้งกองทะเบียนเขาด้วยว่าเปลี่ยนสีแล้ว

เถรี
06-08-2018, 22:34
ถาม : โยมกำลังพักผ่อนนอนกลางวัน แล้วก็จับลมหายใจไปด้วย ขณะนั้น ร่างกายมีทุกขเวทนา ปวดเมื่อยและชาตามแขน พอจิตเริ่มเป็นสมาธิก็เริ่มมีสุขเวทนาปนไปกับทุกขเวทนา แล้วจึงพิจารณาว่าเวทนาไม่ใช่เรา แล้วสุขที่เหนือเวทนาไปคือสุขกว่านั้น แล้วจิตก็เริ่มอยู่เหนือเวทนาจริง ๆ เป็นสภาวะที่เหนือทุกข์เหนือสุข แล้วโยมก็หลับไปเลย พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่น่าหลับไปเลย น่าจะพิจารณาต่อ โยมอยากเรียนถามหลวงพ่อว่า สภาวะที่เกิดขึ้นคืออะไร ?

ตอบ : สภาวะที่เกิดขึ้นคือสภาพจิตเริ่มทรงฌานแล้ว ถ้าเริ่มทรงเป็นฌาน จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ถ้าทรงฌานระดับต่ำก็ไม่รับรู้น้อย ถ้าทรงฌานระดับสูงก็ไม่รับรู้มาก วิธีที่ดีที่สุดคือตั้งสติอยู่เฉพาะหน้า ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเผลอเมื่อไรก็หลับ

เถรี
06-08-2018, 22:39
ถาม : คนธรรพ์ที่มีวิมานอยู่ตามต้นไม้ มีแต่เพศหญิง ไม่มีเพศชาย เวลาเสพกามจึงต้องออกล่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์ ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ :ไปเอาที่ไหนมา ? ที่อยู่กับต้นไม้คือรุกขเทวดา เกี่ยวอะไรกับคนธรรพ์ ? แสดงว่าอ่านการ์ตูนมากไป ที่ว่ามาน่าจะเป็นผีแม่หม้ายมากกว่า ...(หัวเราะ)...

เถรี
06-08-2018, 22:41
ถาม : พอเคลิ้มหลับเหมือนมีบทคาถาบทหนึ่งโผล่ขึ้นมา พอจะจับได้ประมาณว่า "จิตติ จิตตัง สัพพะเมโทสัง มหาจิตติ" ค่ะ แต่ไม่ทราบว่าตกหล่นไหม หรือจริงไหม เช้าขึ้นมาจึงไปค้นดูในเว็บ แต่ไม่พบคาถานี้ ?
ตอบ : ถ้าค้นเจออาตมาจะถวายหัวให้ “เฮียกู” เลย ของอะไรที่เป็นของเฉพาะตนจะไปหาที่ไหนมา ถ้าไปหาข้อมูลประเภทนั้นเจอก็บ้าแล้ว

เถรี
06-08-2018, 22:45
ถาม : หากมีการนำแผ่นยันต์ที่มีการจารอักขระต่าง ๆ เช่น ยันต์มหาสะท้อน, ยันต์ทำน้ำมนต์, หรือยันต์โสฬส เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดด้วยตนเอง เช่น พิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุน, วัดท่าซุง หรือที่ต่าง ๆ โดยมิได้แจ้งขออนุญาตนำเข้าพิธีกับทางผู้จัดพิธี ยันต์ต่าง ๆ เหล่านี้จะมีพุทธานุภาพของยันต์เท่ากับการที่พระท่านสั่งให้ทำหรือไม่ครับ ? หรือจะเป็นวัตถุมงคลหนึ่งชิ้นที่ไม่มีพุทธานุภาพพิเศษตามแบบแผ่นยันต์ที่ได้จัดสร้างครับ ?

ตอบ : เป็นแค่วัตถุมงคลธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ละอย่างจะให้มีผลพิเศษต้องจัดตามพิธีของเขาให้เต็มพิธี โดยเฉพาะหลายคนมักง่ายเอาของมาเป็นลัง ๆ ให้อาตมาอธิษฐานจิตที่นี่ บอกไปว่าอธิษฐานไปไม่ได้สักสลึงสักเฟื้องก็ไม่ค่อยจะฟังกัน อะไรก็ตามถ้าต้องการเต็มที่ เราก็ต้องจัดพิธีเต็มที่ไปด้วย ไม่ใช่มักง่ายยกมาให้เสกกันเฉย ๆ ง่าย ๆ แบบนั้น

เถรี
06-08-2018, 22:49
ถาม : ถ้าเรามีธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท แต่จะทำบุญแค่ ๘๐ บาท เราเอาธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท นี้ไปติดที่พุ่มกฐินที่อยู่ในตลาดสด แล้วแลกเงินทอนเอาธนบัตรฉบับละ ๒๐ บาท มาหนึ่งฉบับที่พุ่มกฐินมาใช้จ่าย แบบนี้จะมีโทษไหมครับ ? คือบางท่านเขาบอกว่า ถ้าเราแลกธนบัตรจากพุ่มกฐินมาใช้จะมีโทษ เพราะพลังงานบุญ และคำอธิษฐานของคนที่ทำบุญจะติดอยู่กับกระดาษธนบัตร หรือติดอยู่กับโลหะผสมที่เป็นเหรียญหนึ่งบาทครับ หากมีโทษต่อไปจะได้ไม่กล้าแลกอีกครับ
ตอบ : มีโทษอย่างเดียวคือ ถ้าเขาเข้าใจผิดว่าเราขโมยเงินจากพุ่มกฐิน มีหวังโดน "ตื้บ" แน่นอน ส่วนโทษอื่นไม่มี

เถรี
06-08-2018, 23:01
ถาม : เมื่อเรายกจิตกราบพระบนพระนิพพาน ขณะที่จิตอยู่บนนั้น เราสามารถวางกำลังใจให้เป็นอรูปฌานได้หรือไม่ เเละวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอรูปฌานจะต้องทิ้งรูปทุกอย่างจนหมด ไม่สามารถที่จะเห็นพระบนพระนิพพานได้

เถรี
06-08-2018, 23:09
ถาม : แต่ก่อนภาวนาพระคาถาเงินล้านมาเป็นปีแล้วได้ผลดีมากตอนนี้เลยเปลี่ยนมาภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา ภาวนามา ได้ ๒ เดือนแล้ว ซึ่งหนูวางกำลังใจคือภาวนาไปตามหน้าที่ พยายามให้ได้ตอนเช้า ๑ ชั่วโมง ตอนเย็น ๑ ชั่วโมง มีอาการคือหัวใจเต้นเร็ว ก็คิดว่าตายเป็นตาย แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รบกวนพระอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีที่ถูกต้องให้ด้วยค่ะ
ตอบ : โดยปกติแล้วการที่เราภาวนาอะไรจนเคยชิน ควรที่จะใช้คำภาวนานั้นต่อไป ไม่ใช่นึกอยากที่จะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เพราะว่าการที่เราเปลี่ยนคำภาวนา สภาพจิตที่พะวงกับของเดิม ก็เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง อยากจะภาวนาของใหม่ก็อยาก ของเก่าก็ทิ้งไม่ได้ เป็นต้น กว่าจะได้ดีก็ต้องใช้ระยะเวลานาน ส่วนภาวนาแล้วยังไม่เกิดผลอะไรก็แปลว่ายังทำไม่พอ ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป

เถรี
06-08-2018, 23:11
ถาม : ถ้าหากว่าผมใช้โฟมฉีดอัดเข้าไปในแบบหล่อพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกให้ออกมาเป็นพระพุทธรูป ผมจะได้อานิสงส์สร้างพระชำระหนี้สงฆ์และอานิสงส์อื่น ๆ เท่ากับพระที่หล่อด้วยทองเหลืองหรือปูนหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขอให้ทำขึ้นมาเท่านั้นแหละ จะเป็นวัสดุอะไรก็มีอานิสงส์เหมือนกัน

เถรี
06-08-2018, 23:14
ถาม : ผมมีคำถามอยากจะปรึกษา เนื่องจากว่าเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคมที่ผ่านมา กระผมได้ฝันว่าเข้าไปอยู่ในศาลาวัดแห่งหนึ่งซึ่งกำลังมีงานอยู่ ได้เห็นพระรูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เรียกตนเข้าไปขึ้นครูกับท่าน โดยมีเงิน ๑๐๐ บาท กับเครื่องบูชา และปรากฏอักษรไทยที่อ่านเป็นบาลีสามบรรทัด แต่ในฝันนั้นสลัวมากจนมองไม่เห็น ท่านจึงกล่าวนำและให้ว่าตาม ผมก็ว่าตามจนเสร็จ สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เลยเอาชื่อนี้ไปหาดูในกูเกิ้ล ปรากฏว่ามีจริง ๆ จึงอยากเรียนถามว่าครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปเกือบร้อยปี มีการขึ้นครูแบบนี้ด้วยหรือครับ ? ถ้าหากมีผมควรทำอย่างไรต่อครับ ?
ตอบ : ถ้าครูบาอาจารย์มรณภาพไปแล้ว ท่านไปอยู่ในเขตของเทวดา พรหม หรือบนพระนิพพาน บุคคลใดก็ตามถ้ายังมีบุญมีกรรมสัมพันธ์กันมา ท่านก็สามารถสงเคราะห์เขาได้

เถรี
08-08-2018, 09:34
ถาม : ต้นโพธิ์ที่ผมปลูกไว้ที่บ้าน รอเวลานำไปปลูกที่วัด มีคนเอาผมที่ตัดมาทิ้งใส่กระถางต้นโพธิ์ กระผมรู้สึกสกปรก ถ้านำไปปลูกวัด ผมจะได้รับกรรมไม่ดีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็แค่เอาออกเท่านั้น หรือเขาตัดผมมาทิ้งแล้วเราไม่มีปัญญาจะเอาออก ?

เถรี
08-08-2018, 09:37
ถาม : หลวงพ่อเคยเล่าว่า มีพระที่ตั้งสัจจะว่าถ้าบิณฑบาตกับเทวดาไม่ได้ จะไม่ยอมกินข้าว สุดท้ายท่านก็ไม่ได้เลย ถ้าฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว แต่ทำไมกลับไม่ได้ ขอความเมตตาช่วยขยายความด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะต้องมีอะไรขยายความ เขาเรียกว่าตั้งกำลังใจผิด พรหมเทวดาส่วนใหญ่เขาชอบทดสอบเรา ในเมื่อตั้งใจขนาดนั้นเขาก็อยากรู้ว่าเราแน่จริงแค่ไหน ก็แค่ “ขอดูว่ามึงจะอดได้สักกี่วัน ?”

เถรี
08-08-2018, 09:42
ในส่วนของบางคำถามจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ฟุ้งซ่านเกินไป คำถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติทุกอย่าง ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำ ก็จะได้คำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าความอดทนไม่พอ ยังทำไม่ได้ ยังทำไม่ถึง ก็ชิงมาถามก่อน ผลเสียก็มี คือ จะทำให้ฟุ้งซ่าน เหตุที่ฟุ้งเพราะว่าพอถึงเวลาได้รับคำตอบไป ก็พยายามจับดูอาการว่าเมื่อไรจะเป็นอย่างนั้น เมื่อไรจะได้อย่างนั้น ก็ไม่ต้องได้กันเสียที

เถรี
09-08-2018, 09:19
ถาม : กลัวเขาปล่อยข่าว ?
ตอบ : จงกลัวต่อไป ก็รู้อยู่เขาปล่อยข่าวดันทะลึ่งไปกลัว ฟันธงไปแล้วว่าเขาปล่อยข่าว ยังจะไปบ้ากลัวตามที่เขาปล่อยอีก

ถ้าเป็นนักปฏิบัติประเภทนี้เขาเรียกว่าวิตกจริต กังวลไปทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เอามาแบกไว้ แล้วก็มาบ่นว่าเครียด ประเภทนี้ต้องโยนเรื่องเพิ่มให้แบกให้เข็ด...! คนเราถ้าไม่เข็ดก็ไม่อยากเลิก ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษ รู้จักเข็ด

แม้กระทั่งพวกเราส่วนใหญ่ที่เป็นนักปฏิบัติก็ตาม ทุกวันนี้ที่เอาดีไม่ได้เพราะว่ายังไม่เข็ด ปฏิบัติภาวนามาดี ๆ แล้วก็ปล่อยให้อารมณ์ล้มหกคะเมนเก้เค้ พังไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้ ? ถึงเวลาก็จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก แต่ไม่เคยเข็ด เพราะว่าถ้าเข็ด เราก็จะรู้จักรักษาอารมณ์นั้นไว้ ไม่ยอมให้หลุดไปไหน

เราลองนึกถึงบรรดาหน่วยกู้ภัยที่เข้าไปช่วยนักฟุตบอลทีมหมูป่าที่อยู่ในถ้ำ ต้องมีสายช่วยชีวิต ก็คือวางไลน์เข้าไปก่อน ถึงเวลาจะเข้าจะออกก็เกาะสายกันสุดชีวิต เพราะว่าถ้าพลาดหมายถึงตาย นั่นก็คือ รู้จักกลัว รู้จักเข็ด แต่พวกเราในเมื่อยังไม่กลัวจริง ยังไม่เข็ดจริง ก็ปล่อยให้สมาธิตก จิตตก กรรมฐานแตกกันเป็นระยะ ๆ ไป

เถรี
09-08-2018, 09:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้ ใครไม่กลัวเขื่อนแตกก็ไปทำบุญวันแม่ด้วยกัน อาตมานิมนต์เพื่อนพระที่เป็นสายพระปฏิบัติมาประมาณ ๓๐ รูป แต่ส่วนใหญ่มักจะติดงานกัน ท่านมาเท่าไรก็เอาแค่นั้นแหละ เพราะว่าอย่างไรพระสายปฏิบัติ โอกาสที่เราได้อานิสงส์จากการทำบุญจะมีมากกว่า

อย่างหลวงปู่อำนวยก็อายุร่วมร้อยปีแล้ว ท่านเดินทางมาไกลจาก อ.หาดใหญ่ ท่านไม่ชอบนั่งเครื่องบิน ท่านนั่งรถตู้มา เป็นอาตมาถ้าแก่ขนาดนั้นแล้วยังนั่งรถตู้ได้ก็สุดยอดแล้ว "

เถรี
09-08-2018, 09:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังในส่วนของงานคณะสงฆ์มีมาก แต่ด้วยความที่ไม่มีการประชาสัมพันธ์ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าพระภิกษุสามเณรทำงานกันขนาดไหน โดยเฉพาะการช่วยเหลือชาวบ้าน ระยะหลังอาตมาก็ต้องเอางานที่ทำแต่ละวันลงไลน์กลุ่ม เพื่อให้เขาแชร์กันออกไปให้ดู ว่าในส่วนของการช่วยชาวบ้านช่วยชุมชน เรามีการทำกันเป็นปกติ จนกระทั่งบางท่านบอกว่า พระอาจารย์เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทำงานขนาดนี้ ก็บอกว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่ทุกวัน เพียงแต่ว่าก่อนนั้นไม่ได้ออกสื่อเท่านั้นเอง

ในเมื่อเรารู้สึกว่าข่าวที่ไม่ดีมีมาก ก็ต้องเอาส่วนที่ดีมาคานกับเขา ต่อให้เป็นน้ำแก้วเดียวไปดับไฟที่กำลังเผาบ้านก็จำเป็นต้องทำ เราจะไปคิดว่าสู้เขาไม่ได้แล้วไม่ทำ...นั่นก็ไม่ใช่ สำคัญตรงที่ว่าเราได้ทำหรือเปล่า ? ถ้าเราได้ทำก็มีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว โดยเฉพาะถ้าเราทำอย่างเต็มที่แล้ว"

เถรี
09-08-2018, 09:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้คนที่เมืองกาญจน์ฯ กำลังลุ้นใจจดใจจ่ออยู่ ก็คือเขื่อนจะปล่อยน้ำเต็มที่เมื่อไร ? เพราะว่าทางด้านศรีสวัสดิ์ คือเขื่อนศรีนครินทร์นี่ใหญ่มหึมาเลย แล้วทางด้านทองผาภูมิ เขื่อนวชิราลงกรณก็เป็นแสน ๆ ไร่ ทางด้านทองผาภูมิฝนตกต่อเนื่องกันมาเดือนครึ่งแล้ว...ไม่หยุดเลย ใครที่ไปปฏิบัติธรรมช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ก็คงจะรู้รสชาติชีวิต ซักผ้าตากไว้เถอะ...ไม่มีแห้งหรอก วิธีจะทำให้ผ้าแห้งก็คือพอตากหมาด ๆ แล้ว ถ้าจะเดินทางขึ้นรถก็เอาไปด้วย เปิดเครื่องปรับอากาศในรถให้ดูดแห้งไปเอง

คราวนี้ระดับน้ำในเขื่อนก็ขึ้นสูงจนน่ากลัว อย่างเช่นว่าเปิดทิ้งวันละ ๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตร แต่น้ำลงไปวันละเกือบ ๑๘๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ต้องบอกว่าเข้ากับออกไม่สัมพันธ์กัน มีอยู่ปีหนึ่งที่เขื่อนวชิราลงกรณกับเขื่อนศรีนครินทร์เปิดน้ำพร้อมกัน เมืองกาญจน์ฯ อยู่ใต้น้ำไป ๒ เมตรกว่า เขาด่ากันขรม ไม่เปิดก็ไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวสภาพเขื่อนรับไม่ไหว แต่พอเปิดพร้อมกันขึ้นมา ญาติโยมก็เดือดร้อน เพราะว่าน้ำระบายไม่ทัน แล้วยิ่งถ้าไปเจอช่วงข้างขึ้นมีน้ำทะเลหนุนด้วย ดันออกปากอ่าวแม่กลองไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็เดือดร้อนไป ๔-๕ วัน

ตอนนี้ก็เลยมีการบนบานศาลกล่าวเป็นการใหญ่ แต่บนเท่าไรฝนก็ไม่หยุด ช่วงนี้น้ำท่วมสังขละบุรีทางบ้านเกาะสะเดิ่ง สะเหน่พ่อง กองม่องทะ อาตมาเอาของไปช่วยมา ๓ รอบแล้ว ช่วยในนามเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ๑ ครั้ง ช่วยในนามเทศบาลตำบลท่าขนุน ๑ ครั้ง และช่วยในนามคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ๑ ครั้ง ตอนนี้ข้าวของไปกองพะเนินอยู่ที่สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลไล่โว่กับหมู่บ้านกองม่องทะ เพราะว่าเกินกว่านั้นยังเข้าไม่ได้ เนื่องจากว่าน้ำห้วยหลากแรงมาก ถามว่าแรงขนาดไหน ? ขนาดรถไม่กล้าข้ามสะพานเพราะว่ารถลอย ถ้าฝนหยุดสัก ๒ วัน ระดับน้ำลดให้รถขับเคลื่อนสี่ล้อผ่านสะพานได้ ถึงจะขนของเข้าไปได้

เมื่อหลายปีก่อนที่มีข่าวว่าผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจะแก เดินทางออกมาประชุมแล้วขากลับโดนเสือลากไปกิน ก็เพราะว่าพอจะข้ามสะพานแล้วน้ำแรงจนข้ามไม่ได้ ท่านก็เลาะลำห้วยไปเรื่อย ๆ กะว่าจะหาช่วงแคบที่น้ำเบาหน่อยแล้วก็ข้าม แต่ลืมไปว่านั่นคือป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มัวแต่เลาะหาทางข้ามอยู่ เสือก็คงจะหิวพอกัน เพราะว่าฝนกระหน่ำปานนั้น หาอะไรกินยาก ก็เลยลากเอา ผอ.สาบสูญไป จนทุกวันนี้ยังหาซากไม่เจอเลย"

เถรี
09-08-2018, 09:55
"เรื่องของภัยธรรมชาติปีนี้โดนกันทั่วถึง ที่ลาวเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก สร้างยังไม่ทันจะเสร็จเลยก็แตกแล้ว หลายหมู่บ้านหายลงใต้น้ำไปในพริบตา ประเทศจีนน้ำท่วมหลายมณฑล ผู้คนทั้งล้มตายทั้งเดือดร้อน ญี่ปุ่นก็น้ำท่วม

ตามมาด้วยคลื่นความร้อน ตอนนี้คลื่นความร้อนไปถล่มเกาหลีต่อ ญี่ปุ่นก็ร้อนตายไปหลายสิบ อินโดนีเซียภูเขาไฟระเบิด ดินถล่ม ต้องบอกว่ารอบ ๆ บ้านเราแค่นี้ก็แย่แล้ว อินเดียยังน้ำท่วมใหญ่ คนไม่มีที่จะอยู่เป็นล้าน ๆ พม่าน้ำท่วมใหญ่ รัฐบาลสั่งอพยพชาวบ้านที่อยู่บริเวณทางน้ำเป็นแสน ๆ คนออก ขนาดสั่งอพยพนี่เดินลุยน้ำไปครึ่งตัวแล้ว ลาวเขื่อนแตก เวียดนามน้ำท่วม

วันก่อนเจอพระเขมร เป็นลูกศิษย์เรียน มจร. อยู่ บอกว่าบ้านคุณโชคดีนะ โตนเลสาบน้ำไม่เคยเต็มเปี่ยมมาหลายปีแล้ว โตนเลสาบเป็นทะเลสาบน้ำจืด ต้องบอกว่าใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แล้วก็เป็นแหล่งอาหารเลี้ยงชาวกัมพูชาทั้งประเทศเลย โตนเลสาบต่อเนื่องกับบรรดาแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ออกสู่สามเหลี่ยมดินดอนแม่น้ำโขง โตนเลสาบก็เลยมีน้ำขึ้นน้ำลง ถึงเวลาถ้าน้ำลงบางทีปลาหากินเพลิน ลงตามน้ำไม่ทัน...ตกคาอยู่บนบก คนเขมรเขาแบกหาบเข้าป่า ถามว่าไปหาอะไร ? ไปเก็บปลา ไม่ต้องจับนะ ไปเก็บเอาเลย ปลาตามน้ำลงไม่ทัน เขาอุดมสมบูรณ์ขนาดนั้น

หวังอยู่อย่างเดียวว่าน้ำเต็มทะเลสาบหรือล้นทะเลสาบ แต่อย่าให้เป็นอุทกภัย เพราะว่าคนแถวปากดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงนี้ เขาเคยชินกับน้ำ นอนในเรือ นอนเรือนแพ เขาไม่ค่อยเดือดร้อนกัน แต่ที่ไม่ค่อยดีก็คือพวกหมู่บ้านที่ต้อนรับท่องเที่ยว เขาเลี้ยงจระเข้ไว้มาก ขังคอกเอาไว้ พูดง่าย ๆ ว่าขังคอกเอาไว้เหมือนขังหมูขังหมา เขาไม่ได้ทำบ่อจระเข้แบบของเรา เพราะว่าลอยน้ำอยู่ คราวนี้ถ้าหากว่าน้ำขึ้นสูง ๆ ไอ้เข้หลุดไปได้นี่เป็นเรื่องเลยนะ ตัวเล็ก ๆ ก็พอไหว ตัวใหญ่ ๆ หาอะไรกินไม่ได้ก็คงจะกินคนกันบ้างแหละ

ทางด้านเราฝนตก น้ำท่วม ทางด้านยุโรปอเมริกาฝนแล้ง ไฟไหม้ เหมือนกับบรรยากาศจะเปลี่ยนทิศแล้ว เพราะว่าอย่างทองผาภูมิช่วงเดือนครึ่งที่ผ่านมานี้หน้าหนาวชัด ๆ ก็คือฝนตกทั้งวันทั้งคืน แล้วมีลมแรงด้วย ลักษณะเดียวกับฝนตกทางยุโรป"

เถรี
09-08-2018, 21:51
ถาม : เรื่องถอนโบสถ์ ผมต้องไปดูว่าถอนโบสถ์วันไหนด้วยครับ ?
ตอบ : การถอนโบสถ์นั่นเป็นวันเวลาที่เรากำหนดกันเอง เพราะว่าต้องนิมนต์พระ นิมนต์พระน้อยก็ช้า ต้องสวดถอนกันนาน เพราะว่าต้องยืนกันทุกตารางนิ้วเลย ถ้าหากว่านิมนต์พระมามากก็เร็ว แบบเดียวกับวัดท่านอาจารย์ตี๋ วัดทุ่งกระพังโหม ท่านนิมนต์ ๗๐๐ รูป หมุน ๓ ทีก็รอบโบสถ์แล้ว แต่ถ้านิมนต์น้อยก็สวดนาน แต่ว่าจ่ายน้อย ถ้านิมนต์มาก อย่างน้อย ๆ ก็รูปละ ๒๐๐-๓๐๐ บาท นึกเอาเองก็แล้วกันว่าค่าใช้จ่ายเท่าไร

ที่เขาจำเป็นต้องสวดถอนโบสถ์ก่อน เพราะเขากลัวว่าเรื่องของการผูกโบสถ์ที่อยู่ไปชั่วฟ้าดินสลาย ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้นต่อให้ไม่มีซากวัดเก่าเหลืออยู่ แต่ถ้าเกิดไปคาบเกี่ยวกันอยู่ ที่เรียกว่า สีมาสังกระ ก็จะมีปัญหา

สมมติว่าโบสถ์ใหม่อยู่อย่างนี้ โบสถ์เก่าเคยอยู่อย่างนี้ พระกำลังทำสังฆกรรมอยู่ โยมดันนั่งกันอยู่ตรงที่โบสถ์เก่านี้เป็นกระจุก เราก็ซวยเลย เพราะถือว่าอยู่ในสีมาเดียวกัน ก็เลยต้องสวดถอนก่อนแล้วค่อยผูก คือเอาให้สะอาดบริสุทธิ์จริง ๆ ว่าตรงนี้ไม่มีเขตสีมาเก่า แล้วค่อยสวดผูกใหม่

เรื่องผูกโบสถ์ถอนโบสถ์อะไรนี่จัดการกันเองได้เลย เพราะว่าส่วนใหญ่เขาก็นิมนต์พระใกล้ ๆ นั่นแหละ มีกี่วัดก็ขนกันมา ไปกันแต่ละทีก็เห็นแล้วใจหาย แต่ละคันนั่งท้ายรถกระบะไป ๑๐ กว่า ๒๐ รูป ถ้าเกิดอุบัติเหตุนี่ยุ่งเลย

เถรี
09-08-2018, 22:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะว่าเป็นของสูงควรค่าแก่การเคารพ ถ้าเราไม่เคารพแล้วใครจะเคารพ ? เพราะฉะนั้นเราถึงต้องมีตัวบทกฎหมายที่ชาวโลกเขารับกันไม่ได้ ที่ชาวโลกเขารับไม่ได้เพราะเขาคิดว่า ก็ในเมื่อเป็นคนเหมือนกัน แล้วทำไมถึงต้องไปให้ความเคารพลักษณะอย่างนั้น ทั้งที่สิทธิมนุษยชนก็เท่ากัน ฯลฯ

เรื่องนั้นก็จริง เพียงแต่ว่าเขาเองไม่ได้เข้าใจตรงจุดนี้ เพราะว่าผ่านพ้นไปแล้ว ช่วงที่เขาต้องมีกษัตริย์เป็นเครื่องยึดโยงประชากร เขาไม่มีแล้ว"

เถรี
09-08-2018, 22:16
มีโยมใช้ผ้าปิดปากมา พระอาจารย์จึงกล่าวถามว่า "ปิดปากทำไมจ๊ะ ? เป็นอะไรหรือ ? ถ้าหากว่าเป็นหวัดเขาให้ปิดจมูกไปด้วย เพราะว่าถึงเราปิดปากเชื้อโรคก็ออกทางจมูก ไปปิดแต่ปากแล้วจะมีประโยชน์อะไร ? ยกเว้นเราตั้งใจว่าจะไม่คุยกับใคร แล้วก็ปิดปากไปเลย"

เถรี
09-08-2018, 22:44
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนในงานอบรมเขาถามว่า ถ้าหากว่ามีคนเข้ามาบวช เรารู้ว่าเขาเป็นพวกติดยา ทางคณะสงฆ์มีวิธีการจัดการอย่างไรบ้าง ? ก็บอกเลยว่า อันดับแรกก็คือ เจ้าอาวาสต้องพิจารณาก่อน ถ้าหากเราคิดว่าเอาอยู่ ก็เอาไปรายงานตัวกับพระอุปัชฌาย์ จับตาดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าสร้างสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ให้เขาหวนกลับไปหามันอีก อย่างของวัดท่าขนุนสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ รอบ เจริญกรรมฐาน บิณฑบาต มีงานทำความสะอาดส่วนกลาง เช้าเรียน บ่ายเรียน เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรอก ก็ฟุ้งไม่ได้

ตอนนี้เขาก็ถามว่า “ถ้าวัดอื่นจะเอาโมเดลนี้ไปใช้ หลวงพ่อหวงไหมครับ ?” จะไปหวงอะไรเล่า ? ใครอยากได้ ถ้าไม่มีมาขอพระไปช่วย ยังยกให้เลย “ถ้าเกิดเขาเข้าไปในวัดแล้วตรวจเจอฉี่สีม่วงละครับ ?” ก็มีวิธีการดำเนิน ๒ วิธีด้วยกัน ถ้าเจ้าอาวาสรักลูกศิษย์พอ มีความกล้าหาญ ขอทางการว่า นี่เป็นเพียงผู้เสพ ขอตัวเอาไว้เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเราเป็นคนรับรองความประพฤติ ส่วนใหญ่ตำรวจจะอะลุ้มอล่วยให้ เพราะว่าเกรงใจพระ แต่ถ้าเป็นผู้ขายนี่ผิดกฎหมายชัดเจน แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ก็ต้องปล่อยเป็นไปตามกรรม ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสไม่ยอมร้องขอเอาไว้ ว่าจะเป็นผู้ดูแลเองในฐานะเจ้าพนักงาน อย่างนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะจัดการอย่างอื่นได้ นอกจากดำเนินคดีตามกฎหมาย"

เถรี
09-08-2018, 23:26
"เขาก็บอกว่า "ผมก็เพิ่งจะชัดเจนว่าขั้นตอนมีอย่างนี้ ส่วนเรื่องที่จะบุกเข้าไปตรวจฉี่พระจริง ๆ นี่ทำไม่ได้นะครับ" เขาว่าอย่างนั้น อาตมาก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ เรื่องนี้ทางคณะสงฆ์เรามีหลักการปฏิบัติที่ชัดเจนก็คือ ถ้าคุณมีหลักฐานชัดเจนว่าที่วัดนี้มียาเสพติด อันดับแรกเลยไปหาเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะอำเภอที่เขาดูแลวัดนั้น ขอหนังสือร่วมมือในระหว่างหน่วยงานให้เข้าไปตรวจ ถ้ามีหนังสือร่วมมือแบบนี้เราก็สามารถเข้าไปตรวจได้

วิธีการที่สองก็คือ มีคำสั่งมาจากหน่วยงานเบื้องสูง อย่างเช่น สำนักพุทธฯ มาถึงทางด้านตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นกองกำกับการจังหวัด หรือว่าสถานีตำรวจอำเภอไหนก็ตาม เราก็สามารถถือหนังสือนี้เข้าไป แต่ถ้าจะให้ดีจริงก็คือ ขอหนังสือจากเจ้าคณะตำบลหรือเจ้าคณะอำเภอด้วยเพื่อความแน่นอน

ประการที่สาม ถ้าทำผิดซึ่งหน้าแล้วคุณบอกว่าไม่มีอำนาจ ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับ ตำรวจซวยไปด้วย คือบางทีเขาก็ลืม คิดอยู่อย่างเดียวว่าเกรงใจพระ ไม่กล้าทำ"

เถรี
10-08-2018, 09:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อพระพุทธเจ้าน้อยที่วัดสามง่าม อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์ ท่านกำหนดเป็นวันที่ ๒๖ สิงหาคม ซึ่งจริง ๆ แล้วตรงกับงานหล่อพระของวัดสระพัง ปรากฏว่าหลวงพ่อพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ยอมถอยให้ท่านอาจารย์ เลื่อนไปเป็นต้นเดือนกันยายน พอท่านโทรมาบอก อาตมาก็บอกว่าต้นเดือนกันยายนอยู่บ้านเติมบุญ ไม่ไปสักปีหนึ่งคงจะไม่เป็นไรนะ"

เถรี
10-08-2018, 09:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๒ งานทำบุญวันแม่ ที่วัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรมวันแม่ วันเสาร์ที่ ๑๑ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ วันจันทร์หยุดชดเชย กำลังดูว่าทางด้านข้าราชการเขาว่างไหม ? ถ้าว่างสักบ่าย ๓ โมง ก็จะมีการจัดเจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ด้วย

ในชุมชนของเราต้องรักใคร่สามัคคีกัน สวดมนต์แต่ละทีมากัน ๓๐๐-๕๐๐ คน ครั้งก่อนมาต่อว่าเสียไม่มี “อาจารย์ไม่เห็นมีบทสวดมนต์ให้ผมเลย” บอกไปว่า “อาตมาทำมาตั้ง ๓๐๐ ชุด แต่โยมตะบันมา ๕๐๐ กว่า ก็ต้องหมดแหละ” เขาบอกว่า “แล้วทำไมไม่พิมพ์ไว้เยอะ ๆ แค่ชุดละไม่กี่สตางค์เอง” พระเจ้า...ถ้าพิมพ์ไว้เยอะ ๆ แล้วถ้าโยมไม่มาล่ะ ? อาตมาจะเอาไปชั่งกิโลขายคืนก็ไม่ได้ราคานั้น

บางคนปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง “ไม่ได้นะ..เรื่องนี้ท่านต้องแก้ไขนะ” “ครับ..เดี๋ยวจะแก้ให้ครับ” ให้โยมเขาสบายใจขึ้นหน่อยว่าสั่งพระได้ บางเรื่องถ้าโยมเขาขาดสติ เราเป็นพระที่มีสติอยู่ก็ต้องบ้าตามกันไปเลย ทำให้โยมเขาพอใจหน่อยจะได้ไม่มาโกรธกัน"

เถรี
10-08-2018, 10:14
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=28737&stc=1&d=1533870786

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครต้องการหนังสือบันทึกประเทศไทย ฉบับวัดท่าขนุน ลองดูที่ตู้จำหน่ายวัตถุมงคล สี่สีทั้งเล่ม คิดเล่มละร้อยเดียว"

เถรี
10-08-2018, 19:15
ถาม : เมื่อวานตอนสาย ๆ เดินไปอยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่า เมื่อละบาปได้แล้วให้ละบุญด้วย ก็พิจารณาว่า เอ๊ะ...เป็นอย่างไร ? พิจารณากลับไปกลับมาก็มาลงที่ว่า ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ พระสงฆ์ที่เป็นขีณาสพต่าง ๆ ท่านไม่เอาทั้งบุญทั้งบาป แล้วท่านดำรงได้อย่างไร ก็ได้เห็นว่าเพราะมีวิหารธรรม คือ ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ ก็ไปค้นในกูเกิ้ล พบว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในเสนาสนสูตร ว่าวิหารธรรมมีอานาปานสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ และสีลานุสติ ก็เลยมาเข้าใจว่า ท่านละต่าง ๆ แล้ว ท่านก็อยู่ด้วยวิหารธรรมสิ่งนี้นั่นเอง ?

ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือตัวปัญญา เป็นปัญญาในอุเบกขา เกิดจากการหยุดปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว รู้ว่าดีเราก็ทำ รู้ว่าชั่วเราก็ละ ทำดีเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ละชั่วเพื่อความไม่ประมาท และเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ประคับประคองกาย วาจา ใจ ของตัวเราเอาไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น

พูดง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ทำเพราะดี ละเพราะชั่ว แต่ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เป็นตัวปัญญา แล้วก็ต้องบอกว่าตัวอุเบกขาที่ว่านั้นเป็นสังขารุเปกขาญาณ คือปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถึงเวลาก็ไปอย่างสง่างามที่สุด สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่ท่านทำจะเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลัง แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ ท่านทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ ต่อให้รู้ว่าพ้นปากเหวแล้วก็ยังคงไปให้ไกลที่สุด ไม่ใช่ไปยืนเอ้อระเหยอยู่แถวนั้น

ถึงได้บอกว่าตอนนี้เชื่ออย่างเดียว สงสัยแล้วค่อยมาถาม เพราะว่าอารมณ์ที่เราวางนั้นใช่แล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้ จะต้องคอยคิดอยู่เสมอว่าเราอาจจะโดนหลอก เพราะฉะนั้น..อะไรว่ามาพยายามพิจารณาดู แล้วถ้าหากว่าติดขัดตรงไหนก็มาถาม

เถรี
10-08-2018, 19:19
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ก็ใช่ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง ยิ่งสาวจะยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียดไปเรื่อย ถ้าปัญญารู้ไม่เท่าทันก็ลำบาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่าใหม่ ๆ เหมือนเรายิงช้าง ตัวใหญ่ยิงง่าย แต่พอถึงเวลาก็เล็กลงไปเรื่อย ๆ เป็นเสือ เป็นกวาง เป็นเก้ง เป็นหนู ท้ายที่สุดดันเป็นยุง...!

เรื่องของปัญญาต้องเท่าทันจริง ๆ ถ้าปัญญาเท่าทันจะเห็นชัดเจนว่า นั่นคือสิ่งที่ใหญ่และจัดการได้ง่าย แต่ถ้าปัญญาไม่เท่าทัน อนุสัยกิเลสนี่เราควานไม่ถึงหรอก การปฏิบัติใหม่ ๆ ท่านเปรียบเหมือนกับตัดต้นไม้ เราตัดต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ล้มลง ฟ้าสะท้านดินสะเทือนเลย แต่ปรากฏว่าพอขุดลงไปรากเยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก แล้วยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งเล็กลง ๆ ๆ ถ้าหากว่าตัดหมดได้จริง ๆ นั่นก็คือหลุดพ้นเลย

ถาม : จะละอนุสัยกิเลสได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สติ สมาธิ ปัญญา สร้างสติด้วยอานาปานสติให้มั่นคง จนกระทั่งทรงเป็นฌาน พยายามสร้างฌานให้มีความคล่องตัว ชนิดเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ละอย่างเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร พอเห็นทุกข์โทษชัดเจน จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ค่อย ๆ ถอนห่างออกมา ถ้าห่างขาดกันไปเลยก็จบ

ถาม : จริง ๆ แล้วเกิดจากการที่เราปล่อยให้เกิด ?
ตอบ : ก็คือถ้าหยุดการปรุงแต่งก็จะจบ แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ตาเห็นรูปคิด หูได้ยินเสียงคิด จมูกได้กลิ่นคิด ลิ้นได้รสคิด กายสัมผัสคิด คิดชอบก็กลายเป็นราคะ เป็นโลภะ คิดไม่ชอบก็เป็นโทสะ เป็นโมหะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วทำอย่างไร ? เราก็ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถจัดการกับกิเลสได้ก็อย่าไปทำเพิ่ม

เมื่อหยุดอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา สั่งสมกำลังสมาธิจนพอ ค่อยหันไปฟัดกับกิเลส ใช้ตัวปัญญาเป็นเครื่องประกอบว่า เราจะไปมุมไหนแง่ไหนเราถึงจะชนะ แล้วก็ค่อย ๆ ตัด ค่อย ๆ ละไปทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังของเรา จนกระทั่งถ้ากำลังเพียงพอ สติสมาธิเต็มที่แล้ว ก็ตัดละกันไปทีเดียว ถึงเวลานั้นญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้น ท่านบอกว่า ญาณัง โหติ ขีณา ชาติวุสิตัง ญาณปรากฏขึ้น รู้ว่าสิ้นกิเลสแล้ว การเกิดไม่มีอีกแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง จบพรหมจรรย์ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ก็ทำไป ถ้าหากว่าจบจริง ๆ ก็หมดธุระก็ตายภายในไม่เกิน ๗ วัน ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวล ถึงเวลาเราตายจริง ๆ ก็ไม่มีใครเขามาอยู่ดูหรอก ว่าใครจะจัดการอะไรให้เรา เพราะว่าไปแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะทุ่มเทอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ควรจะไปบวชเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ขนาดนั้น อยู่ในระหว่างนี้ ก็คงได้แต่ประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้

เถรี
10-08-2018, 19:21
ถาม : ที่วัดมีสอนมโนมยิทธิไหมครับ ?
ตอบ : ของวัดท่าขนุนไม่ได้เน้นมโนมยิทธิ ของเราเน้นว่าแต่ละคนถนัดแบบไหนมาให้ทำอย่างนั้น ถ้าติดขัดแล้วค่อยมาถาม เพียงแต่ว่าทำวัตรเช้าเย็น ๓ รอบ แต่ว่าช่วงเช้ามืดเจริญกรรมฐาน ตอนตี ๔ ก็เปิดเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่เหลือก็กิจกรรมอื่น ๆ

ถาม : ตอนนี้วัดท่าซุงยังสอนมโนมยิทธิไหมครับ ?
ตอบ : ก็ยังสอนของเขาอยู่

ถาม : มีอะไรแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี จะทำอะไรก็ให้รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะว่าเป็นอนาคตของเราเอง

เถรี
10-08-2018, 19:51
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไม่เคยมีเงินติดบัญชีน้อยขนาดนี้มา ๒๕ ปีแล้ว เหลือติดบัญชีอยู่แค่หมื่นกว่าบาท เพราะว่างานประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน แม้กระทั่งหน่วยไตเทียมเขาก็มาเบิกเงินประกันผลงาน"

เถรี
10-08-2018, 20:00
มีโยมเอาผ้าไตรมาถวาย "ต่อไปมาแต่สีพระราชนิยมนะ ไม่ว่าจะเป็นสบง จีวร อะไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าพระทั้งประเทศต้องใช้สีนี้ แนวโน้มว่าจะไม่ให้พระใส่สีอื่น แบบที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า "พระเจ้าชู้" ใส่สีเหลืองสดมาเชียว ความจริงแล้วเป็นลักษณะของการตำหนิแบบครูบาอาจารย์ ก็คือวัดท่านห่มสีอย่างนี้ ท่านก็ต้องห่มตาม ไม่อย่างนั้นเจ้าอาวาสก็ไม่ให้อยู่ด้วย คราวนี้พอไปวัดป่าก็ต้องไปย้อมใหม่ให้เป็นสีแบบวัดป่า

จีวรสีนี้เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีพระราชนิยม บางคนเรียกว่า สีกรักทอง เป็นสีที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙ ท่านศึกษาค้นคว้า แล้วก็นำถวายให้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทอดพระเนตร เป็นที่ชอบพระทัย เวลาเข้าวังก็เลยห่มสีนี้ จึงเรียกกันว่าเป็นสีพระราชนิยม ก็คือเป็นสีที่พระราชานิยมชมชอบ แต่ก็ยังมีห่มสีแดง ห่มสีเหลือง ห่มสีกรักออกดำแบบพระวัดป่า

ในเมื่อมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกันทั้งประเทศ หนเหนือจะเป็นหนที่ลำบากที่สุด เพราะว่าหนเหนือส่วนใหญ่จะห่มสีเหลืองกับสีแดงแบบพระพม่า แต่ครูบาบุญชุ่มยังต้องเปลี่ยนสีเลย เพราะฉะนั้น...คนอื่นก็จงเปลี่ยนเสียดี ๆ เถอะ ในวงการสงฆ์ตอนนี้ถ้าเจอใครห่มเหลืองมาก็บอก “เฮ้ย...ยังตีโจทย์ไม่แตกใช่ไหม ? เดี๋ยวจะช่วยทำให้” เจอโจทย์ยากไปหน่อย ทำไม่ค่อยจะถูก"

เถรี
10-08-2018, 20:33
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนปลัดตั้ม (พระปลัดอาทิตย์ ชุตินฺธโร) สอนวิชาธรรมวิภาคกับพระใหม่ ท่านบอกว่า “ผมสอนไม่เหมือนคนอื่นนะ ผมจะถามเขาว่าเรื่องนี้คิดอย่างไร ? ถ้าหากว่าประสบปัญหาแบบนี้จัดการอย่างไร ?” อาตมาบอกว่า “ฟังดูเข้าท่าดีนะ แต่ใช้ไม่ได้หรอก” ท่านถามว่าทำไม ? “ที่คุณว่ามานั้น เหมาะสำหรับบุคคลที่มีพื้นฐานการปฏิบัติในระดับสูงมากแล้ว ถ้าไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาก่อนเขาจะไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะพระใหม่บวชเข้ามา เราต้องคิดอยู่เสมอว่าเขาไม่รู้อะไรเลย แล้วพยายามทำอย่างไรให้เขารู้ให้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าเรารู้อย่างนี้แล้ว ผมก็ถามว่าคุณรู้แบบผมไหม ? ก็บรรลัยสิครับ”

อาตมาถึงได้บอกว่า หลายคนซึ่งอาตมาเจอมาตั้งแต่สมัยก่อนเรียนปริญญาเอก จบด็อกเตอร์มาแล้วพูดกับชาวบ้านไม่รู้เรื่อง เพราะว่า “ขึ้นได้ ลงไม่ได้” ก็กูรู้แล้วกูก็พูดอย่างนี้ มึงจะรู้หรือเปล่าก็เรื่องของมึงเถอะ..!

ชาวบ้านทั่วไปแถว ๆ นั้น เวลาเข้าอบรม ภาษาไทยยังไม่ค่อยได้เลย รู้แต่ "ออหมี่ ออที" พอไปถึงก็ “อุปโภค บริโภค” ก็บ้ากันไปข้างหนึ่งเท่านั้น

หลายคนมีความรู้ดีมาก แต่น่าเสียดายว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าถ่ายทอดไม่เป็น คิดอยู่เสมอว่าตัวเองรู้แล้ว คนอื่นต้องรู้ตาม ครูบาอาจารย์ที่ดีต้องคิดอยู่เสมอว่า “ลูกศิษย์ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย ต้องพูดสิ่งที่ง่ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ” เพราะฉะนั้น...โยมไม่ต้องสงสัยหรอกว่าอาตมาไปสอนหนังสือ ทำไมลูกศิษย์เรียกร้องให้สอนห้องโน้น ห้องนี้ ห้องนั้น ปัจจุบันนี้ที่วัดไร่ขิงวันหนึ่งสอน ๕ ห้อง ๑๐ ชั่วโมง เขาบอกว่าคนอื่นสอนแล้วฟังไม่รู้เรื่อง เอาพระอาจารย์เล็กมาสอนเถอะ"

เถรี
10-08-2018, 20:47
"ที่ตลกที่สุดก็คือ วันก่อนเจ้าหน้าที่วิ่งไล่ตาม “ช่วยเซ็นรับเงินเดือนด้วย ๓ เดือนแล้วค่ะ” “อ้าว...แล้วคุณปล่อยให้ค้างได้อย่างไร ?” “ก็หลวงพ่อมาถึง ไม่ทันจะเห็นก็เข้าห้องไปแล้ว สอนเสร็จหลวงพ่อก็กลับเลย” ส่วนใหญ่อาตมาไปสอนหนังสือ ก็ตั้งใจเป็นธรรมทาน ของวัดไร่ขิงไม่ได้คิดเงินเขาเลย ทั้ง ๆ ที่ถ้าตามเงินเดือนปริญญาเอกคือ ๓ หมื่นกว่าบาท

ปรากฏว่าช่วงเดือนที่แล้วมีการประชุมคณาจารย์ ท่านเจ้าคุณพระเทพศาสนาภิบาล หรือหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม ท่านบอกว่า “การไม่รับเงินเดือนนั้นดี แต่คนอื่นอย่าอมของท่านสิวะ..! ให้ท่านเบิกออกมาแล้วเอาเข้ากองทุนการศึกษาของวิทยาลัยสงฆ์เอาไว้ เท่ากับว่าท่านให้ทุนการศึกษาทุกเดือน” นี่ก็คือการคิดแบบผู้ใหญ่ แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเขาก็ เออ...พระอาจารย์เล็กไม่รับ เขาก็แค่กากบาดชื่อไว้ ถึงเวลาก็ไม่ต้องจ่าย

แต่มาจะแย่ตรงที่ว่าพอรับแล้วต้องเสียภาษี เนื่องจากว่าไม่ใช่เงินการกุศล แต่เป็นเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน สรุปว่าพระอื่นเสียภาษีหรือไม่เสียก็ไม่รู้ บรรดาพระอาจารย์ที่สอนหนังสือนี่เสียแน่นอน ถ้าหากว่าปีหนึ่งไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ เสียร้อยละ ๕ ถ้าหากว่า ๓๐๐,๐๐๐ ขึ้นไป โดนแน่ ๆ ร้อยละ ๘ เลย เพราะว่าเดือนหนึ่ง ๓ หมื่นกว่า

ในเรื่องของงบประมาณ ในแต่ละหน่วยงานส่วนใหญ่จะมีรายจ่ายถัวเฉลี่ย คือถ้ารายการนี้ไม่พอ รายการโน้นเกินมา ก็เกิดการดึงกันไปดึงกันมา ทำอย่างไรให้อยู่ในเงินจำนวนนั้น อาตมาไม่รับเงินเดือนก็จริง แต่ก็โดนเขาเอาไปถัวเฉลี่ยจนหมดอยู่ดี หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มท่านทนไม่ได้ ให้เบิกออกมาแล้วให้เป็นทุนการศึกษาไป"

เถรี
10-08-2018, 20:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่ปี ๒๕๕๖ ที่ทำโครงการหล่อพระพุทธรูปทองคำ อาตมารับกิจนิมนต์ทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยที่เจ้าภาพถวายมาก็ดี หรือว่าญาติโยมที่ไปร่วมงานใส่ย่ามมาก็ดี อาตมาเอาลงหล่อพระทองคำหมดเกลี้ยงเลย จนกระทั่งถึงวันหล่อพระเสร็จ ก็แปลว่าจนประมาณกุมภาพันธ์ - มีนาคมปีหน้าโน่น คนอื่นจะเป็นเจ้าภาพหล่อไม่หล่อไม่รู้หรอก อาตมาเป็นเจ้าภาพหล่อเดือนหนึ่งหลายครั้ง

สำหรับเดือนนี้งานสำคัญก็คืองานทำบุญวันแม่ โยมพ่ออาตมาตายวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ โยมแม่ตายวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ อาตมาบอกกับทางญาติว่า "ทำบุญให้ครั้งเดียว เลือกเอาว่าจะเอาวันไหน" ทุกคนเลือกเอาวันที่ ๑๒ สิงหาคม เพราะว่าหยุดงาน ดังนั้น..ถึงบอกว่าทำบุญวันแม่ แต่จริง ๆ แล้วก็คือทำบุญให้ทั้งพ่อและแม่ด้วย แล้วเงินส่วนนี้อาตมาก็ใช้เงินส่วนตัวทำบุญ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าญาติโยมร่วมบุญมา อาตมาจะต้องเอาเข้าบัญชีส่วนตัวก่อน"

เถรี
10-08-2018, 20:58
"ตั้งแต่ทำบุญงานศพโยมแม่ หักค่าใช้จ่ายหมดทุกอย่างแล้ว โดยที่ญาติพี่น้องท่านอื่นร่วมบุญหรือไม่ร่วมบุญมาก็ตาม ก็ถือว่าอาตมาเหมาจ่ายคนเดียว มีเงินเหลืออยู่หลายแสน อาตมาเอาเข้ากองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร แล้วก็เพิ่มให้ปีละหนึ่งหมื่นบาททุกปี ถือว่าทุนตั้งต้นเกิดจากเงินทำบุญของแม่ เงินที่เหลือจึงต้องทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมให้มากที่สุด

ดังนั้น...เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า สำหรับคนอื่นทำน่าจะไปไม่รอด แต่สำหรับอาตมานี่นั่งนับเงินให้โยมอยู่ตรงนั้นแหละ นับไป ๑๐ ใบ นับอีกรอบหนึ่งเป็น ๑๒ ใบ สนุกมากเลย นับบ่อย ๆ ก็ได้เยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อวันก่อนนับสังฆทานสลากภัตให้กับพระ กองละ ๓๐๐ บาท ปรากฏว่าพอถึงเวลาจะเอามาเหน็บไม้เพื่อที่จะเอาไปเสียบที่กองสลากภัต นับไปนับมากลายเป็นกองละ ๔๐๐ บาทเกือบทุกกอง เออ...เข้าท่าโว้ย..ต้องนับบ่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครแอบร่วมบุญมาโดยไม่บอกไม่กล่าว"

เถรี
12-08-2018, 18:36
ถาม : การถวายสังฆทานแบบไม่เจาะจงว่าร่วมบุญอะไร กับบางทีเขาอยากจะเจาะจงว่าจะเอาไปทำบุญเป็นค่าน้ำค่าไฟ อานิสงส์แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย ถ้าเป็นค่าน้ำค่าไฟของวัดถือว่าเป็นสังฆทาน เพราะว่าพระทั้งวัดใช้ร่วมกัน แต่ถ้าหากว่าถวายไปแล้วท่านเอาไปใช้เฉพาะกุฏิเดียวก็ไม่ใช่สังฆทาน

ถาม : ในกรณีที่ถวายให้วัดเพื่อสังฆทาน การถวายแบบนั้นกับไม่ระบุว่าถวายสังฆทาน แบบไหนดีกว่า ?
ตอบ : ไม่ระบุดีกว่า แบบเดียวกับวันก่อนญาติโยมไปวัด ตั้งใจจะไปถวายสังฆทานกับพระอาจารย์เล็ก บอกว่าถ้าคุณตั้งใจแบบนั้นจะไม่ใช่สังฆทานนะ พระที่ทำหน้าที่รับสังฆทานมีอยู่ อาตมาตั้งพระเวรรับสังฆทานไว้ ๖ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ปีนี้เพิ่มเป็น ๘ รูป แต่เขาก็ไม่ยอม เขาจะถวายกับพระอาจารย์เล็กให้ได้ บอกว่าจะตามมาถวายที่นี่ อาตมาก็เลยสงสัย ตกลงว่าจะเป็นสังฆทานไหม ?

ถาม : การเลือกผู้รับล่ะครับ เนื้อนาบุญ ?
ตอบ : ถูก แต่ว่าควรจะเลือกในลักษณะที่ว่าท่านเป็นตัวแทนสงฆ์ ไม่ใช่จำเพาะเจาะจงว่าต้องรูปนี้ ถ้าหากว่าเรื่องของสังฆทานนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของเนื้อนาบุญ สังฆทานเป็นข้อยกเว้นพิเศษ ท่านบอกว่าวาระสุดท้ายของพระศาสนา ต่อให้เพศของพระเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหู รักษาศีลได้แค่ ๔ ข้อ คือยังไม่ล่วงในปาราชิกทั้ง ๔ ถ้าตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ก็ได้อานิสงส์เต็มเหมือนกับถวายสังฆทานซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

ถ้าสงสัยว่าเพศพระเหลือเพียงผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเป็นอย่างไร ให้ดูพระญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้พระญี่ปุ่นใส่สูทผูกไท เพียงแต่ว่าที่เสื้อจะมีเครื่องหมายติดอยู่แถบเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ให้รู้ว่านี่คือพระ พระของญี่ปุ่นเขาไปไกลแล้ว ในเมื่อไปไกลอาตมาก็โมทนา แต่ไม่ไปด้วย...ไกลเกินไป

เถรี
12-08-2018, 18:46
โยมทำอาหารมาถวาย "ทำอะไรมาก็ได้ ขออย่าหวานก็พอ อาตมาสั่งโรงครัวที่วัดแล้ว เอาน้ำตาลโยนทิ้งไปเลย ไม่ต้องเหลือไว้ สมัยนี้ขนาดน้ำพริกหรือแกงส้มยังหวานเลย กินกันเข้าไปได้อย่างไร ?

ใครที่บอกว่าอาหารรสหวานเป็นรสชาววัง ชาววังได้ยินคงงับหัวขาด..! ในวังเขาไม่กินหวาน อาหารไทยทั้งหมดมีของหวานหลังอาหารอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..อาหารจะไม่มีรสหวาน ยกเว้นพวกแกงบวนแกงบอนที่จะมีรสหวานอยู่นิดหนึ่ง นอกนั้นแล้วก็ประเภท เปรี้ยว เค็ม มัน เผ็ดเป็นปกติ เสร็จแล้วเขาจะมีของหวานตามมาหลังอาหาร แล้วของหวานเราก็วิลิศมาหรามาก

เรื่องนี้ใครไปอ้างว่ากินหวานเพราะเป็นรสชาววัง โปรดระวังไว้ เดี๋ยวชาววังเจอหน้าจะโดนงับหัวแหว่ง...!"

เถรี
12-08-2018, 18:51
ถาม : ที่วัดน้ำท่วมไหมคะ ?
ตอบ : จะไปท่วมอะไร ถ้าที่วัดน้ำท่วม กรุงเทพฯ จะอยู่ใต้น้ำ ๖๖๐ เมตร เพราะว่าทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ ๖๖๐ เมตร

ถาม : เห็นสังขละฯ ท่วม ?
ตอบ : สังขละฯ ท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าบ้านแถวนั้นอยู่ข้างห้วย บ้านเกาะสะเดิ่งนี่ยิ่งหนักเลย มีห้วยล้อมอยู่ โดยปกติแล้วก็จะโดนน้ำป่าทุกปี แต่คราวนี้น้ำป่ามาแล้วตูมหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงก็ผ่านไป แต่ปีนี้มีฝนไม่ยอมหยุดมาเดือนครึ่งแล้ว ตกหนักเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า

ตอนนี้ข้าวของที่อาตมาส่งไปช่วย ๓ รอบ ถ้าไม่ค้างที่ อบต.ไล่โว่ ก็จะไปค้างที่บ้านกองม่องทะ เพราะว่าไม่สามารถจะข้ามสะพานข้ามห้วยที่เข้าไปบ้านสะเหน่พ่องได้ น้ำแรงขนาดรถลอย หวังว่าฝนจะหยุดให้สัก ๒ วัน เพื่อที่น้ำลดแล้วจะได้ผ่านไปได้ แต่ปรากฏว่าไม่ยอมหยุดสักวัน

เถรี
12-08-2018, 18:54
ถาม : เมื่อวานเขาปล่อยน้ำในเขื่อนมา ใจคอไม่ดีเลย ?
ตอบ : ทางด้านเหนือด้านอีสานยังไม่เท่าไรหรอก เพราะว่าเขื่อนยังรับน้ำได้อีกมาก แต่ว่าทางด้านกาญจนบุรีกับทางด้านปักษ์ใต้นี่รับน้ำจนจะเต็มอยู่แล้ว น้ำเข้าอ่างวันหนึ่งเฉลี่ยประมาณ ๑๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร แล้วเขาระบายออกวันละ ๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ระบายออก ๒๘ ล้านกับเข้าไป ๑๓๐ ล้านนี่อย่างไรเสียก็มากกว่ากันไม่รู้กี่เท่า แล้วบางวันฝนหนักก็ปาไปเสียเกือบ ๑๘๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

เถรี
12-08-2018, 19:02
พระอาจารย์กล่าวถึงลูกอมหลวงปู่หงษ์ ที่ให้บูชาที่บ้านเติมบุญ

"ปกติก็เห็นเขาทำลูกอมเป็นรูปอย่างอื่น อย่างเช่น ลูกอมหนุมานครองเมืองของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นี่เล่นทำลูกอมรูปหลวงปู่หงษ์ กะจะอมอาจารย์เลยหรือ ?"

เถรี
12-08-2018, 19:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาก็เพิ่งรู้ว่า E-Donation ที่บริจาคออนไลน์ผ่าน Application ของกรุงไทยชื่อเติมบุญ อาตมาไปทำน่าจะทำเป็นคนแรกของทองผาภูมิ ปรากฏว่าได้ QR Code มาบอกเลยว่า ‘กรุงไทยเติมบุญ’ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดเองหรือว่าแอบขโมยของเราไปก็ไม่รู้ ? แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ช่วยโฆษณาบ้านเติมบุญให้"

เถรี
12-08-2018, 19:28
ถาม : ถ้าโดนเขาทำอีกรอบนี่ใช้ยันต์เกราะเพชรได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ คว้าอะไรทันก็อย่างนั้นแหละ เป็นเรื่องปกติ จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน

ถาม : เดินไปหา เขาเอาเรื่องมาให้ครับ ?
ตอบ : ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงเก่า ๆ ส่วนใหญ่มักเป็นวิสัยพุทธภูมิ ในเมื่อวิสัยพุทธภูมิก็คือตั้งใจจะเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีจนกว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ต่อให้เลิกแล้ววิสัยก็ยังมีอยู่ วิสัยมีอยู่ถึงเวลาเรื่องวิ่งมาหาเองแหละ ทนรับ ๆ ไปเถอะ..!

เถรี
12-08-2018, 20:24
ถาม : ผมนั่งภาวนาดูลมหายใจ รู้สึกตัวเองว่าไม่ได้นั่งอยู่ แต่ผมก็กลับไปดูลม ?
ตอบ : ก็ถูกแล้ว แต่อย่าไปดิ้นรนออกจากอาการอย่างนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้ ๆ แค่นั้นเอง

ถาม : พอผมตามดูไปเรื่อย ๆ สมาธิหลุดหมดเลยครับ ?
ตอบ : จะต้องหลุดเป็นปกติ เพราะว่าสมาธิของเราถ้าไม่ได้อธิษฐานตั้งเวลาไว้อย่างหนึ่ง และเข้าสุดกำลังของเราแล้วอย่างหนึ่ง ก็จะย้อนกลับเอง ถ้าย้อนกลับคลายตัวออกมา ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด ไม่อย่างนั้นแล้วจะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วฟุ้งได้ดีมาก เพราะว่าเอากำลังสมาธิไปฟุ้ง

ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลายเลย เพราะว่าเท่ากับเราไปเก็บกดอยู่ระยะหนึ่ง เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี พอรู้ตัวว่าสมาธิคลายนี่ รีบวิ่งเข้าหาวิปัสสนาญาณไว้ก่อน พยายามเห็นทุกอย่างให้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

ถาม : ผมคิดว่าก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่ผมก็ยังงง ๆ อยู่ว่าถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับว่าเราเดินสุดทางแล้วไปต่อไม่ได้ ก็จะถอยเอง เราก็แค่เริ่มใหม่ ถ้าหากว่าตอนนั้นเริ่มไม่ได้ เพราะสมาธิรู้สึกว่าเต็มที่แล้ว เราก็ไปหางานหาการอื่นทำ ประเภทกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า อะไรก็ได้ พอสภาพจิตคลายออกมาแล้ว สามารถที่จะรับได้ใหม่เราก็เข้าใหม่

หรือไม่ก็เอาอย่างอาตมา ปั่นจักรยานไปภาวนาไป ปั่นจากอ่อนนุชไปยันแถว ๆ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติโน่น กี่สิบกิโลก็ไม่รู้ ? แล้วก็ย้อนกลับมา ดูซิว่าคราวนี้มึงจะภาวนาไหม ? พอเหนื่อยแล้วจิตก็จะวิ่งไปหาการภาวนาเอง

ถาม : จักรยานที่บ้านพังแล้ว ?
ตอบ : สายพานก็ได้ พวกนี้ถ้าเวลาเหนื่อย เวลาหิว ฯลฯ สภาพจิตจะหาหลักยึด พอหาหลักยึดแล้วจดจ่ออยู่ เราก็รีบดึงเข้าหาสมาธิเลย

เถรี
12-08-2018, 20:32
โยมได้รับรางวัลจากธนาคารเป็นรถป้ายแดง มีคนมาติดต่อขอซื้อในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "แขกเข้าใจคำว่าทุกขลาภไหม ? ลาภที่ได้มาแล้วทำให้เกิดทุกข์ จับสลากได้รถแท้ ๆ แต่เดือดร้อนเพราะรถ บางคนไปเข้าใจว่าทุกขลาภก็คือลำบากแล้วค่อยได้ อันนี้ไม่ใช่หรอก ทุกขลาภคือได้แล้วลำบาก

เอารถไปให้เต็นท์รถเขาตีราคา เขาให้เท่าไรเอาแค่นั้นแหละ พูดง่าย ๆ ก็คือให้มา ๕ บาท ๑๐ บาท เราก็ได้ฟรีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดว่าต้องราคาแค่โน้นแค่นี้ เขาคิดให้แค่ไหนก็เอานั้น กำไรล้วน ๆ"

เถรี
12-08-2018, 20:35
"พูดถึงโชว์รูมด้านข้างนี่เพิ่งเห็นเขาทำถูกใจ รื้ออาคารข้างหน้าออกไปเลย เห็นเขาตกแต่งอยู่หลายยก ท้ายสุดก็รื้อทิ้ง เออ...ถูกใจ

อันดับแรกโชว์รูมใหญ่อยู่ข้างใน แต่ห้องเล็กอยู่ข้างหน้านี่บังหมดเลย อันดับที่สองก็คือถ้ารื้อข้างหน้าออกนี่จะมีลานจอดรถของลูกค้าเยอะเลย เพราะว่าตัวโชว์รูมเขาอ้อมบ้านเติมบุญ ในเมื่ออ้อมบ้านเติมบุญ ทางด้านโน้นจะมีมุมเดียวที่โชว์ให้ลูกค้าเห็นรถ ยังจะไปเอาไอ้หลังเล็ก ๆ ข้างหน้ามาบังอีกก็หมดเลย

ถึงเวลาลูกค้าก็ต้องมาจอดรถเต็มหน้าบ้านเติมบุญไปหมด บางวันจอดล้ำเข้ามาจนกระทั่งพวกเราจะเลี้ยวเข้าบ้านไม่ได้ ก็คือเขาจอดเกรงใจแบบไม่บังหน้าบ้านแล้ว แต่ขอบังสักครึ่งคันอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น...พอเห็นเขารื้อด้านหน้าออก เออ...เริ่มคิดเป็น ถ้าแบบนี้ถึงจะเจริญ เพราะว่าไม่มีอะไรขวางหน้าแล้ว"

เถรี
12-08-2018, 20:46
ถาม : การเจริญสมาธิ พอเราดำเนินมาเรื่อย ๆ ก็ออกไปข้างนอกเอง ?
ตอบ : พอตันแล้วเราทิ้งไม่ได้ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะถ้าตันแปลว่ากำลังของเราไม่พอที่จะข้าม จุดที่เราจะข้ามสูงเกินไป เราก็เลยเหมือนอย่างกับเดินชนกำแพง ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกย้ำแล้วย้ำอีก สลับไปสลับมาระหว่างสมถะก็คือสมาธิ กับวิปัสสนาก็คือปัญญา สลับไปสลับมาสร้างสมกำลังไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังพอก็จะก้าวข้ามไปได้เอง แล้วเราก็จะรู้สึกว่า โอ๊ย...ได้อะไรเยอะมากเลย แต่พอชิน ๆ แล้ว อ้าว...ได้แค่นิดเดียวอีกแล้ว ตอนแรกจะรู้สึกว่าได้เยอะทุกครั้งแหละ

ถาม : จะพัฒนาก้าวกระโดดเอง ?
ตอบ : ก็คือเราทำไปเรื่อย ๆ จะสะสมตัวไปเหมือนอย่างกับน้ำ พอจำนวนมากพอก็จะไหลล้นข้ามเครื่องกั้นไปเอง คราวนี้ช่วงระหว่างสะสมนี่บางคนเจอไป ๓ ปี ๕ ปี จะเบื่อไม่ได้ ต้องตั้งหน้าตั้งตาทำไปเรื่อย ๆ ไป...สู้ต่อไป

เถรี
12-08-2018, 20:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "การถามเยอะไม่ใช่เรื่องดี คนที่ถามเยอะส่วนใหญ่จะฟุ้งซ่านมาก"

เถรี
12-08-2018, 21:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครั้นจะขอร้องญาติโยมว่าอย่าเอาอาหารรสหวานมาถวายอาตมา ก็ขอไม่ได้ เพราะว่าคนกินหวานไม่รู้สึกว่าหวาน บางทีถึงเวลาเจอน้ำพริกกะปิ แหม...ของโปรด ที่ไหนได้ พอแตะเข้าไปไม่ใช่น้ำพริกกะปิธรรมดา แต่เป็นขนม หวานมาแต่ไกลเชียว น้ำพริกต้องเผ็ด เค็ม เปรี้ยว เผ็ดต้องนำ คราวนี้ของเราเล่นไปหวานนำ..เสียหมดเลย

โดยเฉพาะแกงส้ม คำว่า ส้ม ภาษาเก่าแปลว่า เปรี้ยว กลายเป็นแกงหวานแล้วจะส้มได้อย่างไร ? บ้านเราปัจจุบันนี้เป็นโรคอ้วนเกิน ๓๐% แล้ว แล้วก็เบาหวานอีก กลายเป็นโรคฮิตอันดับหนึ่ง ถ้าไม่อยากเป็นโรคนี้โปรดเอากระปุกน้ำตาลออกจากครัวไปเลย ไม่กินน้ำตาลเราไม่ตายหรอก แต่ถ้ากินเมื่อไรโรคภัยไข้เจ็บสารพัดจะถามหา

น้ำตาลที่กินได้คือน้ำตาลจากธรรมชาติ ถ้าหากว่าผ่านการสกัดแล้วก็อย่าให้ฟอกขาว อย่างเช่นน้ำตาลทรายแดง เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่กินแบบไม่บันยะบันยัง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีโภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกินอย่างหนึ่ง สอนให้มีมัชฌิมาปฏิปทา รู้ความพอเหมาะพอควรพอดีอย่างหนึ่ง อะไรที่เกินพอดีต่อให้ดีแค่ไหนก็เป็นโทษทั้งนั้น เพราะฉะนั้น...กลับบ้านไปทุบกระปุกน้ำตาลทิ้งได้แล้ว ถ้าคุณสามีหรือคุณภรรยาโวยวายหา ก็บอกว่าไปหากินข้างนอกบ้านโน่น"

เถรี
12-08-2018, 21:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังหลังพอประชุมพระสังฆาธิการ เจอหน้ากันทีไรเพื่อนพระก็โวยทุกที “ทำไมอาจารย์เล็กรักษาหุ่นจริงวะ ?” ท่านว่าอย่างนั้น อาตมาก็ไม่ได้รักษาอะไร แค่หลังเพลไปแล้วไม่ฉันอะไรนอกจากน้ำร้อน ยกเว้นว่าหมอสั่ง อย่างเช่นมีอยู่ระยะหนึ่งต้องฉันกระเจี๊ยบตอนประมาณ ๕ โมงเย็น จำนวน ๕ ฝัก กระเจี๊ยบเขียวเผา หมอบอกว่าช่วยรักษาโรคกระเพาะกับความดันด้วย ฉันอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เล่นเอาท้องร้องจ๊อกไปเลยเหมือนกัน เพราะว่าให้อาหาร ถึงจะแค่หน่อยเดียว คือประมาณนิ้วมือ ๕ นิ้ว ฝักหนึ่งก็แค่นี้ คราวนี้พอลงไปแล้วก็ไปกวนกระเพาะให้รู้ว่ามีอาหาร

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าญาติโยมอยากลดน้ำหนักไม่ยากหรอก ทำแบบอาตมา หลังเที่ยงไปแล้วก็เหลือแต่น้ำร้อนอย่างเดียว...จบ รับประกันว่าเดือนหนึ่งลดได้ ๔-๕ กิโลกรัมเป็นเรื่องปกติ

ส่วนใครที่เป็นนักปฏิบัติมานานแล้วไม่ก้าวหน้า ก็ฉวยโอกาสรักษาศีล ๘ หลังเที่ยงแล้วไม่กินอะไรยกเว้นน้ำ ฉวยโอกาสลดน้ำหนักไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว พอถึงเวลาเพื่อนชวนกินข้าวเย็นก็บอกไปว่า "อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ไม่กินหรอก" อย่าไปบอกเขาว่ารักษาศีล ๘ ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าบ้า"

เถรี
12-08-2018, 21:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะทำบุญหล่อพระพุทธเจ้าน้อยก็มาได้เลย มาร่วมบุญกัน มีซองหล่อพระของอาจารย์อาตมาเหลืออยู่ ต่อไปมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน เจ้าคุณอาจารย์ท่านเพิ่งจะหัดเป็นเจ้าอาวาส ท่านบอกว่า “ผมเป็นมือใหม่หัดขับ อาจารย์พระครูช่วยผมด้วย”

แต่จะว่าไปแล้วถือเป็นความโชคดีของญาติโยมทางด้านสามง่าม วัดสามง่ามสมัยก่อนเจ้าอาวาสรูปแรกเลยก็คือหลวงพ่อเต๋ เป็นพระเกจิอาจารย์ดังระเบิดเถิดเทิง ถามว่าดังเรื่องอะไร ? ดังเรื่องตะกรุดกับกุมารทอง ถามว่าหลวงพ่อเต๋ดังเรื่องตะกรุดขนาดไหน ? ดังขนาดไม่มีวัสดุจะทำตะกรุด ต้องไปตัดเอากระดาษถุงปูนมาลงอักขระแล้วทำตะกรุด ม้วน ๆ ให้โยมไปใช้

ถ้าได้ยินว่าตะกรุดถุงปูนนี่อย่าหัวเราะนะ ท่านไม่มีอะไรเหลือไว้ทำตะกรุดแล้ว ต้องเอาถุงปูนก่อสร้างนั่นแหละมาทำ แบบเดียวกับหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย สมัยก่อนไม่ได้มีร้านค้าให้ซื้อวัสดุมากมายแบบสมัยนี้ พอไม่มีวัสดุ หลวงพ่อแก้วก็โน่นเลย...เอาสังกะสีมุงหลังคามาตัดทำตะกรุด ญาติโยมก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าทำด้วยวัสดุอะไร ขอให้รู้ว่าหลวงพ่อทำ กูใช้ทั้งนั้นแหละ แล้วก็ขลังจริงเสียด้วย

ถัดมาก็หลวงพ่อแย้ม ส่วนใหญ่แล้วเขาเรียกหลวงปู่แย้ม เพราะว่าตอนท่านมรณภาพอายุเป็นร้อยเลย ผ่านสองเจ้าอาวาสเกือบ ๒๐๐ ปี เจ้าอาวาสรูปที่ ๓ คือท่านเจ้าคุณสมัย (พระศรีธีรวงศ์) เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานให้อาตมาตอนเรียนปริญญาตรี อาตมาก็ดีใจ เพราะว่าอย่างน้อยก็ได้พระกรรมฐานมาประคองวัดต่อไป แล้วท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอด้วย เป็นเจ้าคุณด้วย ก็เลยบอกว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์ย้ายจากวัดเดิมเถอะ ไปอยู่วัดนี้แหละ" ท่านถามว่า "จะดีหรือครับ ? คนในพื้นที่เขามีอยู่" ก็บอกไปว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นเจ้าคณะอำเภอ ถ้าไม่ตั้งคนอื่นเสียอย่างแล้วใครจะมาเป็นเจ้าอาวาสได้ ?"

เถรี
13-08-2018, 09:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่เหรียญท้าวเวสสุวรรณดังขึ้นมา คนก็แทบจะแขวนเหรียญท่านจนลืมไปว่า ด้านหน้าคือรอยพระพุทธบาท อย่างไรก็นึกถึงพระไว้ก่อนนะ แล้วค่อยนึกถึงท่านท้าวเวสสุวรรณ

คาถาบูชาที่ว่า เวสสะ ภุสสะ นั่นเป็นหัวใจพระคาถา มีบางคนไปหาอาจารย์บ๊ะแล้วท่านบอกว่าไม่มีคำนี้อยู่ ท่านก็จารลงให้ในเหรียญ ขอบอกว่าโปรดระวังไว้...ตัวคาถานี่ถ้าเราภาวนาหรืออาราธนาจะเป็นการเติมเต็มพอดี ก็เหมือนกับเตรียมพร้อมที่จะใช้งาน แต่ถ้าไปจารใส่เหรียญเหมือนกับปืนขึ้นลำอยู่ตลอดเวลา เผลอเมื่อไรเดี๋ยวก็ทำปืนลั่น เพราะฉะนั้น..มีคาถากำกับอยู่แล้ว แต่คราวนี้ท่านดูในเหรียญเห็นว่าไม่มีอักขระตัวนี้ ท่านก็เลยจารให้แทน

ลูกศิษย์ครูบาหน่อแก้วฟ้าเอารถไปลงข้างทาง เละทั้งคัน ปรากฏว่าคนขับไม่เป็นอะไร รอยขีดข่วนสักนิดก็ไม่มี ถ่ายรูปเหรียญท้าวเวสสุวรรณมาโชว์เพื่อน คราวนี้ก็แย่งกันเข้าไปสิ พอดีมีเรื่องของนักฟุตบอลทีมหมูป่าเชียงรายไปติดในถ้ำ ท่านผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ก็พกท้าวเวสสุวรรณไปเพื่อที่จะค้นหาทีมหมูป่า ก็เลยยิ่งดังกันเข้าไปใหญ่ อย่าลืมที่ท่านให้พรไว้นะ ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ ท่านจะให้บริวารตามคุ้มครองตลอดชีวิต"

เถรี
13-08-2018, 09:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกล้องวงจรปิดจะว่าไปแล้วไม่ได้ป้องกันเหตุร้ายโดยตรง แต่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ก็คือพอเกิดอะไรขึ้นแล้วก็มาเปิดดู โดยเฉพาะถ้าเป็นกล้องของวัดท่าขนุนนี่แก้ที่ปลายเหตุล้วน ๆ เลย เพราะว่ารอบวัดมีกล้อง ๕๐ ตัว แต่คนมองไม่เห็น กล้องตัวเล็กมาก จะเห็นอยู่ชุดเดียวก็คือชุดอยู่ที่ตรงรอยต่อระหว่างกุฏิเจ้าอาวาสกับทางด้านกุฏิเตชะไพบูลย์ เพราะว่าตรงจุดนั้นไม่มีที่ให้ซ่อน ก็เลยต้องทำแท่นติดไว้ให้เห็น นอกนั้นหาไปเถอะ ๕๐ ตัว มองไม่ค่อยเห็นหรอก

โดยเฉพาะในศาลาใหญ่มี ๑๒ ตัว ญาติโยมไม่รู้หรอกว่าทำอะไรก็ออกสื่อไปหมด กล้องที่วัดเคยจับขโมยไป ๒ ครั้งแล้ว ชัดเจนดีมาก ไม่รู้เขาเรียกว่าระบบอะไร แต่ชัดอย่างกับตาเราเห็น ส่วนใหญ่กล้องวงจรปิดจะเห็นไม่ค่อยชัด จะเบลอ ๆ แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อาตมาสงสัยเหมือนกันว่าทำไมของเราราคาไม่กี่สตางค์ ทั้งหมด ๕๐ ตัวพร้อมกับ Hard disk ๒ TB อีก ๖ ตัว รวมกันแล้วแค่ ๓ แสนกว่าบาท ได้ยินว่ากล้องของรัฐสภาตัวหนึ่งก็ ๑๔๐,๐๐๐ บาทเข้าไปแล้ว แสดงว่าของเราบริษัทขายไม่เป็น หรือว่าของวัดเราไม่มีเงินทอน ไม่อย่างนั้น ๕๐ กว่าตัวของอาตมาถ้าเข้าสภาก็ซื้อได้แค่ ๒ ตัว ตัวที่ ๓ คงจะได้สักครึ่งเดียวเท่านั้น"

เถรี
13-08-2018, 19:08
ถาม : การสร้างจีวรพระสุปฏิปันโนให้บูชา ?
ตอบ : ช่วงนั้นเทคโนโลยีการสร้างอะไรก็ยาก กว่าจะปั๊มวงเอาจีวรออกมาให้ติดได้นี่ยุ่งอย่าบอกใคร ตอนหลังที่มีไมโครเวฟออกมา พี่อรรณพถึงได้ทำพระรุ่นสังฆาฏิได้ เอาสังฆาฏิไปอบจนกรอบแล้วถึงบดเป็นผง ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ แต่ไมโครเวฟช่วยได้

พวกนี้บางทีจะว่าไปแล้วอยู่ที่คน แบบเดียวกับเรื่องเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าหากว่าอาตมาไม่ไปดิ้นรนเอาไว้ตามที่หลวงพ่อท่านสั่งก็เจ๊งเลย เพราะว่าท่านสั่งให้พระทั้งวัดครอบครู แต่คณะกรรมการสงฆ์คิดอย่างไรก็ไม่รู้ ปรึกษากันเสร็จแล้วบอกว่า หน้าที่เป่ายันต์เป็นเรื่องของหลวงพ่อ ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปครอบครูหรอก

ท่านสั่งให้พระทั้งวัดครอบครูเลยนะ ท่านบอกว่าให้ภาวนาจับภาพพระให้เป็นปกติ แล้วก็ทำขันครูมา ปรากฏว่ากรรมการสงฆ์สั่งห้าม ส่วนอาตมานี่อะไรที่ท่านสั่งกูจะทำด้วยชีวิต แค่ห้ามนี่ห้ามกูไม่ได้หรอก ก็เลยไปขอป้าศุทำพานให้ ท่านชาติชายรุ่นน้องก็ตามไปด้วย ป้าศุมองหน้าถอนหายใจเฮือก “สองคนรวมกันยังไม่ได้ ๑๐ พรรษาเลยหลวงพี่” ตอนนั้นอาตมา ๗ พรรษา ท่านชาติชาย ๒ พรรษา “เดี๋ยวโยมทำให้พระผู้ใหญ่ที่รับใช้หลวงพ่ออยู่ใกล้ ๆ ในศาลา ๑๒ ไร่ด้วยก็แล้วกัน ถึงเวลาจะได้ไม่ต้อง "โดน" คนเดียว”

เถรี
13-08-2018, 19:24
ถาม : ท่านอรรณพบอกว่า พระอาจารย์เล็กใกล้ชิดหลวงพ่อ เป็นคนในสมัยนั้นที่ได้ศึกษาวิชาของหลวงพ่อมาเยอะที่สุด ?
ตอบ : อาตมาเองจะว่าเรียนจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรียนหรอก โดนหลวงพ่อหลอกมากกว่า ก็คือตอนช่วงนั้นเพิ่งจะวัยรุ่น อยากเก่ง อยากดัง ท่านก็เลย “เอาคาถาบทนี้ไปลูก มีผลอย่างนี้ ๆ ๆ ไปภาวนาไว้ อย่าลืมจับลมหายใจเข้าออกครั้งละครึ่งชั่วโมง แล้วรักษาศีล ๕ ด้วยนะลูก ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ผล” ก็ทำไป พอได้ผลวิ่งไปรายงานท่าน “เออ..ดี ๆ ๆ เดี๋ยวเอาบทนี้ไป บทนี้เป็นอย่างนี้ ๆ ไปทำต่อ” กว่าจะรู้ก็โดนท่านหลอกให้ภาวนาจนติดแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านรู้จริง ๆ ว่าลูกศิษย์ชอบแบบไหน ท่านก็หลอกให้ทำไปเรื่อย ๆ ส่วนอาตมาเองพอถึงเวลาไปรายงานผลว่า "ผมทำได้แล้วครับ เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ๆ" “เออ..ดี ๆ ลูก เดี๋ยวเอาบทนี้ไป ไปทำต่อ” ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้จะได้มาใช้งานจริง ๆ

คนอื่นเขาไม่เอากัน โดยเฉพาะสมัยนั้นหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป เวลาออกกิจนิมนต์จะต้องไปด้วยกัน เพราะว่าชาวบ้านเขาเจาะจงมา พอถึงเวลา “เอ้า...เล็ก..เจิมบ้านให้เขาหน่อย” “เอ้า...เล็ก..ถอนศาลให้เขาหน่อย” ตูจะบ้า...! หัวแถวไม่ขยับเลย หันมาสั่งทางท้าย จนกระทั่งบางทีอาตมาก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว บอกว่า “อะไรกันวะ ? หลวงพี่อยู่กับหลวงพ่อกันมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่เอาอะไรเลยหรือ ?” “เป็นแล้วมันเหนื่อย” ท่านว่าอย่างนั้น

เถรี
13-08-2018, 19:31
สองพรรษาแรกอาตมาออกกิจนิมนต์ไม่มีเว้นเลย เพราะว่าพระวัดท่าซุงส่วนใหญ่แล้วชอบภาวนา ไม่ชอบสวดมนต์ ในเมื่อสวดมนต์ไม่ได้ท่านก็ไม่กล้าออกกิจนิมนต์ เพราะว่าอายชาวบ้านเขา ส่วนอาตมาไปเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน ล่อมนต์พิธีหมดทั้งเล่มเลย บวชเสร็จก็ออกงานได้แล้ว ท่านโน้นเห็นสวดได้ก็ “เออ...เล็กไปแทนหลวงพี่หน่อย” ท่านนี้ก็ “ท่านเล็ก..ไปแทนผมที” ก็ไปแทนเขาไปเรื่อย

มีอยู่บ้านหนึ่ง บ้านเดียวไป ๑๘ ครั้ง..! ไปตั้งแต่สวดต่อนาม ก็คือต่ออายุคนตาย เสร็จแล้วก็สวดอภิธรรมตลอด ๗ วัน ประเภทสวดมนต์เย็นฉันเช้า ครบรอบ ๕๐ วัน ก็สวดมนต์เย็นฉันเช้า ครบรอบ ๑๐๐ วัน ก็สวดมนต์เย็นฉันเช้า บ้านเดียวไป ๑๘ ครั้ง ไปเสียจนกระทั่งจำได้หมดทุกซอกทุกมุมของบ้านเขาเลย

ไปตั้ง ๑๘ รอบ ไม่ใช่คิวตัวเองด้วยนะ แต่ว่าไปแทนรุ่นพี่เขา พอถึงเวลาคนเขาเห็นไม่มีชื่อ “เอ้า...ท่านเล็กไปแทนผมที” เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าสะใจจริง ๆ ไปอยู่ ๒ ปีเต็ม ๆ ออกได้ทุกวัน จนกระทั่งมั่นใจว่าแต่ละงานมีพิธีกรรมอย่างไรบ้าง แล้วเขาสวดบทไหนบ้าง จะเป็นงานแต่ง งานศพ ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ เป็นหมดแล้ว ก็เริ่มให้รุ่นน้องไปแทน “เอ็งไปศึกษาบ้าง”

เถรี
13-08-2018, 21:05
ถาม : พระคาถาเงินล้าน เขาบอกว่าที่สวดกันทุกวันนี้ยังไม่ครบบท ต้องขึ้น "ปาสุอุชา" ก่อน ?
ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจของเรา อย่าลืมนึกถึงพระก็แล้วกัน โดยเฉพาะว่าต้องทำจริง ๆ คาถาเงินล้านเป็นส่วนที่อาตมาทุ่มเวลาให้ไป ๓ ปีเลย ด้วยความรู้สึกตอนนั้นว่า สมัยหลวงปู่ปานก็มีนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร มีนายแจ่ม เปาเล้ง เป็นตัวอย่าง ทำไมสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่มีตัวอย่างวะ ? ในเมื่อไม่มีตัวอย่างเราทำเองก็ได้ ก็ใส่เองไปเลย

ตอนแรกก็วันละ ๙ จบ ไป ๆ มา ๆ ก็เพิ่มเป็น ๓๐ จบเพราะหลวงตาวัชรชัยบอกว่า “ข้าชอบบารมี ๓๐ ทัศ ข้าเอา ๓๐ จบ” พอได้ยินเท่านั้นแหละอาตมาก็เลยเพิ่มไปอีกหนึ่งศูนย์ กลายเป็น ๓๐๐ จบ ก็ไล่ไปเลย จนกระทั่งสูงสุดนี่ตั้งแต่ตี ๓ ยันหนึ่งทุ่ม ได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ว่าภาวนาจริง ๆ นะ ไม่ใช่ประเภทจ้ำ ๆ ให้จบ ทำอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ นับจนประคำขาดนับครั้งไม่ถ้วน ทุกวันนี้เขาก็ถามว่าทำไมทำอะไรคล่องตัวไปหมด ? บอกว่า อ๋อ...ลงทุนมา ๓ ปีแล้ว

ถาม : ตอนนี้ที่ทำคือเก็บกำไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตอนนี้มีทางเดียวก็คือรอรับปันผล ลงทุนไว้เยอะ ตอนนี้รอปันผลอย่างเดียว ของพวกนี้นอกจากพี่ ๆ เขาไม่มีความสนใจจะทำแล้ว ที่สำคัญคือไม่มีความอดทน เพราะว่าต้องทำไประยะหนึ่งถึงจะเกิดผล

แบบเดียวกับกสิณ ถึงเวลา ๒ เดือนแรกนี้ยังไม่ได้อะไรหรอก แต่ต้องอดทนทำเช้า กลางวัน เย็น ทำไปเรื่อยจนกระทั่งจับจุดได้ว่า ทำอย่างไรที่ภาพจะติดตาได้ง่ายที่สุด ทำอย่างไรเราถึงจะประคองภาพเอาไว้โดยที่ทำอย่างอื่นได้ด้วย คุยไปได้ด้วย อะไรอย่างนี้ ใช้เวลานาน แต่พอทำได้กองหนึ่ง ที่เหลือก็เหมือนกันแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนคำภาวนากับเปลี่ยนวัสดุแค่นั้น เขาไม่ค่อยอดทนทำกัน พอถึงเวลาก็มานั่งมองความสำเร็จของคนอื่น ไปมองสมบัติเศรษฐีแล้วมีประโยชน์อะไร ? นั่นสตางค์ของเขา ไม่ใช่สตางค์ของเรา

ถาม : ต้องมีเคล็ดลับอะไรบางอย่างด้วย ?
ตอบ : ก็ต้องศึกษาไปด้วย ศึกษาไปแล้วถึงจะได้เทคนิคของตัวเอง แบบเดียวกับที่อาตมาบอกกับพระใหม่ท่านว่า ผมทำอะไรยิ่งทำจะยิ่งง่าย จะยิ่งรวบรัดไปเรื่อย ๆ เพราะว่าผมไม่ชอบของยาก แต่พวกคุณกลายเป็นยิ่งทำก็ยิ่งยาก

เถรี
13-08-2018, 21:16
มีโยมถวายเหรียญเงิน "เหรียญดีนาร์ของซาอุดิอาระเบียนี่เงินแท้นะ เงินแท้ ๆ เลย เขาส่งมาให้สร้างพระเสียเยอะแล้ว รวยจนไม่รู้ว่าจะทำอะไร ดูอย่างประเทศโอมาน ของเขาเหรียญหนึ่งเท่ากับของเรา ๑๐๖-๑๐๘ บาท ใหญ่กว่าเงินดอลลาร์สามเท่าตัว ใหญ่กว่าเงินปอนด์อีก เราไปคิดว่าเงินปอนด์ใหญ่ เงินตะวันออกกลางใหญ่กว่าเยอะ

เศรษฐกิจมั่นคง ไม่มีเรื่องภายนอก ไม่มีเรื่องภายใน เงินก็ใหญ่ แข็งค่าไปเรื่อย ๆ ของเราไปนี่ไม่ไหว ร้อยกว่าบาทยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปอังกฤษทีหนึ่ง ดูตลอดเมนูแล้วจิ้มไอ้ที่ถูกที่สุดนี่จานละ ๑๓ ปอนด์ครึ่ง โอ้พระเจ้า...กินไปทีหนึ่ง ๘๐๐ บาท ถูกที่สุดจานละ ๘๐๐ บาทไม่พอยาขี้ฟันด้วย น้ำชากาหนึ่ง ๓ ปอนด์ ๒๐๐ กว่าบาท น้ำชากาเล็ก ๆ เอง

ลูกเจนนี่มาบอกว่า “หลวงพ่อ..เดี๋ยวหนูจบแล้วทำงานสัก ๒ ปี หนูจะไปต่อโทอังกฤษนะคะ” “คิดให้ดีนะ เงินเขาแพงมากเลย” “แต่โทเรียนปีเดียวค่ะหลวงพ่อ” “เออใช่..โทเรียนปีเดียว แต่ก็ยากโคตรเลย” ไปถึงนี่เขาถามว่าคุณสนใจเรื่องไหน ? กำหนดหัวข้อมาเลย เสร็จสรรพเรียบร้อยไล่เราเข้าห้องสมุดไปทำเลย ไปค้นเอาเอง ค้นเสร็จแล้วก็นำมาเสนออาจารย์

เด็กต่างประเทศอย่างอังกฤษไม่ใช่ว่าเข้าอินเตอร์เน็ต เขาไล่ไปเข้าห้องสมุดเลย หนังสือทุกเล่มที่คุณเอามาอ้างอิง คุณต้องมีอยู่ในมือ พูดง่าย ๆ ก็คือถึงเวลาต้องรีบไปจองห้องสมุด วันนั้น เวลานั้น เราจะต้องยืมเพื่อเอามาให้อาจารย์ดู อ้างอิงเล่มไหน ? หน้าไหน ? เปิดมาเสียดี ๆ เราไปเที่ยวอังกฤษนี่จะเห็นว่า พวกเด็กวัยรุ่นทำไมเข้าแถวหน้าห้องสมุดยาวเป็นไมล์ ? เพื่อไปยืมหนังสือ บ้านเราเอะอะก็ Copy จากอินเตอร์เน็ตเอามาส่ง เละเทะไม่เป็นท่า เพราะว่าลอกมาแปะ ๆ ไม่ได้ต่อเนื่องกันเลย

วันก่อนถึงได้ด่านิสิตไปว่า "พวกคุณตั้งใจเรียนให้จบ ไม่ใช่เรียนให้รู้ เพราะว่าการเรียนให้จบอย่างเดียว ความรู้ของเราจะด้อยลงไปทุกวัน ๆ ลองนึกดูว่าถ้าหากว่าครูบาอาจารย์ท่านให้มา ๑๐๐ % แล้วคุณจะเรียนแค่ให้จบ อย่างดีคุณก็ได้มาแค่ ๕๐ % แล้วถ้าคุณไปสอนลูกต่อ แล้วลูกมีความประพฤติเหมือนกับคุณก็ได้แค่ ๒๕ % ถ้าลูกไปสอนลูกของเขาคือหลานของคุณต่อ แล้วหลานจะได้เท่าไร ? ปัญญาอ่อนเลยนะนั่น..!"

บางทีต้องด่าแรง ๆ เขาถึงจะรู้สึกกัน อาตมาเองพอถึงเวลาเรียนหนังสือ ลาออกจากเจ้าคณะตำบลเพื่อที่จะมาเรียน เพื่อน ๆ ก็ว่า “เฮ้ย...อย่าไปลาออก ให้เลขาฯ ทำงานแทนก็ได้” แล้วจะไปนั่งถ่างขาไว้ทำไม ? ทำก็ได้ไม่เต็มที่ เรียนก็ได้ไม่เต็มที่ ก็เอาสักอย่างหนึ่งไปเลยสิ พอถึงเวลาจบมาเขาก็คืนตำแหน่งให้ เพราะว่าไม่มีคนที่เหมาะสมกว่า"

เถรี
13-08-2018, 21:19
"ถึงเวลาเราทำอะไรต้องทำจริง ที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรท่านลงไว้หลังเหรียญท่านว่า กะยิรา เจ กะยิราเถนัง ทำอะไรทำให้จริง ไม่เห็นหรือว่าท่านเป็นฆราวาสแท้ ๆ ประสบความสำเร็จเรื่องการศึกษาอภิญญาสมาบัติ ไสยเวทย์อาคมระดับเกจิอาจารย์เลย ก็เพราะว่าท่านทำจริง ถึงเวลาก็สักยันต์ อาบน้ำว่าน

ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ที่ถือว่าเป็นพี่ ก็ถามแบบหยอกเล่น “เป็นอย่างไรอาภากร ไปเรียนวิชาพวกนี้ตั้งใจจะกบฏใช่ไหม ?” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าความคิดที่จะชิงราชบัลลังก์มีอยู่ในใจแม้แต่น้อยหนึ่ง ขอให้พระอย่าได้คุ้มครองเลย” แล้วท่านก็ชักอาวุธปืนใส่เข้าปากเหนี่ยวไกให้ดูเลย ไม่ลั่นสักนัด ประกาศให้เห็นชัด ๆ เลย ไม่ต้องมาระแวงผม ที่เรียนเพราะผมชอบ ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะมาชิงราชสมบัติ"

เถรี
14-08-2018, 08:30
"ทำอะไรทำให้จริง ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ สมัยนั้นอยู่วัดท่าซุง กลางคืนอาตมาจะนอนเมื่อไรอยู่ที่ว่าหมดแรงเมื่อไร ก็คือปฏิบัติไปเรื่อย เดินจงกรม ภาวนา สลับกันไปสลับกันมา ส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ในป่าช้า อยากทดสอบตัวเองว่ากลัวไหม ?

ตามดูอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะรู้ว่าความกลัวทั้งหมดมาจากความกลัวตาย อย่างกลัวผี ผีจะมาทำอะไร ? มาหลอก เดี๋ยวมาบีบคอเรา..ตาย กลัวเสือ เสือจะมาทำอะไร ? กัดเรา..เดี๋ยวเราตาย กลัวงู งูมาทำอะไร ? มากัด..เดี๋ยวเราตาย ทุกอย่างมาลงตรงตัวตายหมด กลัวแมลงสาบอย่างนี้ ลองดูสิว่าอ้อมไปไกลมากเลยนะ เห็นแมลงสาบแล้วขยะแขยงทนไม่ได้ ถ้าหากว่าอาการหนักมาก ๆ ก็ถึงตาย..! ท้ายสุดลงตรงตายหมด แค่ตายเรื่องเดียวอาตมาตามดูอยู่เป็นปี ๆ

สวนไผ่ ๖ ไร่นั่นเป็นที่อยู่เลย อย่างน้อย ๆ วันหนึ่งก็ ๖ ชั่วโมงอยู่ในนั้น เพราะว่าเข้าเวรหน้าตึกหลวงพ่อ ๖ ชั่วโมง พอถึงเวลาหลวงพี่ไพบูลย์มาเปลี่ยน หรือว่าหลวงน้ามีชัยมาเปลี่ยน อาตมาก็หายแวบเข้าไปข้างใต้นั่นแหละ ไม่ต้องมาหากูหรอกจนกว่าจะทำวัตรเย็น ทำวัตรเสร็จสรรพเรียบร้อยหายไปอีกแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าเหี้ยกี่ตัว งูเหลือมกี่ตัว ที่อยู่ข้างใต้นี่รู้จักกันหมด อยู่เสียจนกระทั่งกลายเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว

จำเป็นต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง แล้วประสบการณ์ที่ชอกช้ำมากที่สุดก็คือ พออารมณ์ใจดีแล้วก็พลิกเลย จากเทวดาเป็นหมาไปเลย โดนเข้าหลาย ๆ ครั้งแล้วจะเข็ด พวกเราทุกวันนี้ที่ยังเอาดีไม่ได้เพราะว่ายังไม่เข็ด ถ้าเข็ดแล้วจะเริ่มเอาดีเอง กูจะไม่ปล่อยให้หลุดไปอีกเด็ดขาด...! ขนาดตั้งปณิธานไว้แบบนั้นนะ บางทีประคองเอาไว้ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง เดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน ทรงอารมณ์ไม่มีหลุดเลย เผลอหน่อยเดียวหลุดอีกแล้ว หลุดตรงไหนไม่รู้ตัวด้วย โอ้โฮ...กว่าจะตามเจอแต่ละอย่างแทบตายเลย"

เถรี
14-08-2018, 08:34
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนมีโยมกับเพื่อนพระรุ่นน้องบ่นเรื่องเหนื่อย พออาตมาส่งงานไปให้ดูแค่ ๓-๔ วัน เขาบอกว่า "โอ้โฮ...หลวงพ่อเอาแรงที่ไหนมาทำ ?" บอกไปว่า "คราวนี้รู้หรือยังว่าต่อไปนี้มีอะไรห้ามบ่นว่าเหนื่อย อายุเพิ่งจะแค่นั้นมาบ่นว่าเหนื่อย" ดูหลวงพ่อวัดท่าซุงอย่างหนึ่ง ท่านเองทำงานเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าทุกวัน ไม่ต้องพักไม่ต้องผ่อน เดี๋ยวไปโน่น เดี๋ยวไปนี่ เดี๋ยวไปนั่น สงเคราะห์ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น

ดูหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ๓ ทุ่มกว่า ๔ ทุ่ม กลับมามาทำวัตร ทำวัตรเสร็จสี่ทุ่มไปแล้วนึกว่าท่านจะนอน อายุ ๘๐ แล้วนะ ปรากฏว่าเดินตรวจลูกคณะทีละคณะ ท่านบอกว่า "ผมไม่ค่อยได้อยู่ ต้องไปให้กำลังใจเขาหน่อย" โอ้โฮ...ผู้นำนี่เหนื่อยไม่ได้ เพราะถ้าเหนื่อยเมื่อไรคนตามจะหมดกำลังใจ พอเห็นตัวอย่างเท่านั้น อาตมาเลิกเหนื่อยเลย อย่างไรก็ต้องทำ ครูบาอาจารย์ท่านทำให้ดูเป็นแบบอย่างแล้ว"

เถรี
14-08-2018, 20:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "Ratan Tata เขาบอกว่า จงกินอาหารเป็นยา ไม่เช่นนั้นคุณต้องกินยาเป็นอาหาร กินยาเป็นอาหารนี่ทารุณไปกระมัง ?"

เถรี
14-08-2018, 20:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมที่มาทำบุญนั้นเน้นไปในเรื่องของทาน โดยเฉพาะสังฆทาน เรื่องของทานเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าอานิสงส์ของทานนั้น ถ้าเกิดใหม่ก็คือรวย แต่เราอย่าลืมว่าบุญที่สูงกว่านั้นคือการรักษาศีลก็ยังมีอยู่ เจริญภาวนาก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะถ้าจะเอาความมั่นคงของคติคือที่ไปในชาติถัด ๆ ไปของเรา จำเป็นที่จะต้องเน้นการภาวนา อย่างน้อย ๆ ให้ทรงสมาธิได้สักปฐมฌานละเอียด แล้วเราก็เอาสติประคับประคองไว้อย่าให้หลุด ถึงเวลาถ้าหากว่าตาย ก็จะมีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน

แต่คราวนี้ถ้าเราเอากำลังของปฐมฌานละเอียดมาใช้ในการพิจารณาตัดกิเลส ก็จะสามารถเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันหรือสกทาคามีได้ ดังนั้น...การที่เราเน้นในเรื่องของทาน แม้ว่าเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมเรื่องของศีลและภาวนาที่มีกำลังสูงกว่านั้น โดยเฉพาะทำให้ภพภูมิของเราแน่นอน หรือถ้าปัญญาถึงก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานไปเลย"

เถรี
14-08-2018, 22:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของคณิตศาสตร์ต้องอินเดีย ในยุคปัจจุบันอย่างรามานุจัน เป็นสุดยอดอัจฉริยะจริง ๆ คือพวกนี้อยู่ทางด้านอินเดีย ตะวันออกกลาง พวกนี้เจริญรุ่งเรืองมาก่อนนานมาก ๆ เลย พูดง่าย ๆ คือฝรั่งมาศึกษาจากทางนี้ทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ของฝรั่งเองในเรื่องระบบการจัดเก็บ เรื่องของการบันทึกมีความเป็นระบบแน่นอนกว่า ก็เลยทำให้คนหลงไปพักหนึ่งว่าคณิตศาสตร์มาจากทางด้านฝรั่ง แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าขนาดตัวเลขยังเป็นอารบิก บอกชัด ๆ ว่ามาจากอาหรับ

อาตมาไม่ได้ว่าเรื่องของภาษาอังกฤษเขาจะดีกว่าเรา เพราะว่าไปเจอตำราที่ผิดพลาดเยอะ แต่ในขณะเดียวกันเรื่องของการค้นคว้า ของฝรั่งเขาทุ่มเทมากกว่าเรา ในเมื่อเขาทุ่มเทมากกว่าเรา โดยเฉพาะอย่างเด็ก ๆ สมัยนี้ ที่ลอนดอนห้องสมุดของเขา เด็กเข้าคิวกันยาวเป็นไมล์ เพราะเขาบังคับว่าคุณต้องเข้า เขาไม่ให้เอาจากอินเตอร์เน็ต ถึงเวลาหนังสือเล่มนี้จะต้องมี ถ้าคุณอ้างอิงคุณต้องยืมมาด้วย เขาไม่ให้เราลักไก่

ของบ้านเราคุมอย่างนั้นไม่ได้ บางทีอาตมาก็บอกนิสิตว่า “นี่คุณ..ถ้าคุณทำได้แค่นี้ไม่ต้องทำมาหรอก เพราะว่าผมก็ทำได้ แล้วทำได้ดีกว่าด้วย” ต้องว่ากันแรง ๆ ประเภทมาตัดแปะ ผิดที่เดียวกันเปี๊ยบ ไม่คิดจะแก้อะไรกันบ้างเลยหรือ ?"

เถรี
14-08-2018, 22:39
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อเมียะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะพานลาว คนเห็นเป็นแค่พระกะเหรี่ยงแก่ ๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย เจ้าประคุณเถอะ...ตั้งศพร้อยวัน มี เจ้าภาพเพียบทุกคืน เรื่องอย่างนี้เราจะดูถูกไม่ได้เลย อาตมาไม่เคยดูถูกมาก่อน เวลาไปไหนอาตมาก็ให้เกียรติให้การยกย่อง เพราะรู้ว่าท่านนั้นมีกะเหรี่ยงนับถือมาก แต่คนอื่นเห็นว่าท่านเด๋อ ๆ ด๋า ๆ มีอะไรก็เว้าซื่อ ๆ พูดตรง ๆ เลี้ยวกับใครไม่เป็น กลายเป็นหลวงตาแก่ไม่มีอะไร

ตั้งศพร้อยวันมีแต่คนบอกว่ากล้าตั้งหรือ ? ที่ไหนได้...แต่ละวันเจ้าภาพ ๓-๔ ราย ขนาดศพระดับเจ้าคณะอำเภอยังไม่กล้าตั้งร้อยวันเลย นี่ท่านแค่เจ้าอาวาสยังกล้าตั้ง ๑๐๐ วัน ประสบความสำเร็จล้นหลามอีกต่างหาก"

เถรี
15-08-2018, 08:37
มีเด็กใส่ชุดไทยมาถวายสังฆทาน เนื่องจากทางโรงเรียนให้เด็กใส่ชุดไทยทุกวันศุกร์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ความเป็นไทยไม่ได้อยู่ที่ชุด ชุดไทยจะได้แค่เปลือก ความเป็นไทยอยู่ที่จิตสำนึก นึกอยู่เสมอว่าเราเป็นคนไทย เราอยู่ในประเทศไทย การคิด การพูด การทำ ทุกอย่างทำเพื่อประเทศไทย ถ้าลักษณะอย่างนั้นถึงจะมีความเป็นไทยแท้

ถ้าเราเห็นคนญี่ปุ่น เราจะรู้ทันทีว่านี่คือคนญี่ปุ่น นั่นคือออกมาจากจิตวิญญาณของเขาเลย จิตวิญญาณของญี่ปุ่นคืออะไร? ความขยัน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม เราจะเห็นว่าแม้จะโดนสึนามิ แม้จะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว คนญี่ปุ่นประสบภัยพิบัติ แต่ถึงเวลาคนไปช่วยเหลือ เขาก็ไม่ได้แย่งชิงกัน เข้าคิวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นั่นคือความอดทน รู้หน้าที่ เสียสละให้คนอื่นเขาก่อน

เพราะฉะนั้น...การที่ให้เด็ก ๆ แต่งชุดไทยไปโรงเรียนก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าจะได้แค่เปลือกเท่านั้น ถ้าได้แค่เปลือกก็เป็นเรื่องที่ฉาบฉวย เดี๋ยวพอเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ก็เปลี่ยนนโยบายใหม่อีก ดังนั้น...ต้องสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าจิตสำนึกของเด็กยึดมั่นในความเป็นไทยจริง ๆ เดี๋ยวอัตลักษณ์ต่าง ๆ จะตามมาเอง ถึงเวลาทำไปแล้วจะรู้เลย

ปัจจุบันนี้อัตลักษณ์ของคนไทยก็คือ ‘ทำอะไรตามใจคือไทยแท้’ ไปไหนไม่เคยมีระเบียบ ไม่เคยมีวินัยกับใคร สังเกตทัวร์ญี่ปุ่นสิ ทัวร์ญี่ปุ่นไปไหนใครถือธงเขาเดินตามเลย บางทีไปเดินตามคณะไหนก็ไม่รู้ ขอให้เขามีธงอยู่คนญี่ปุ่นเดินตามเลย แต่ทัวร์ไทยเราปล่อยไกด์ยืนงงอยู่คนเดียว นอกนั้นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ต่างคนต่างหามุมถ่ายรูป ต้องบอกว่าความไร้ระเบียบวินัยกลายเป็นสัญลักษณ์ของเรา

ที่ฝรั่งเขาบอกว่ามาเมืองไทยต้องพูดให้ได้ ๓ คำ ก็คือ "สวัสดี" "ขอโทษ" แล้วก็ "ไม่เป็นไร" คำสุดท้ายนี่แหละพาเละทั้งประเทศเลย เพราะไม่เป็นไร ผิดแค่ไหนก็ไม่เป็นไร อภัยให้กันได้ ฟังดูเหมือนกับมีความอดทนมาก แต่ความจริงไม่ใช่ ฟังอีกทีก็เหมือนกับเข้าถึงธรรม ปล่อยวางได้ ก็ไม่ใช่อีก เกิดจากความมักง่าย ปล่อยผ่านทุกอย่างง่าย ๆ ก็เลยทำให้เราอยู่กันแบบมักง่าย ๆ อย่างนี้แหละ"

เถรี
15-08-2018, 08:47
โยมเขียนคำว่า ภัตตราหารมา "ภัตตาหาร ไม่ใช่ภัตราหาร ภัตตะ ภาษาบาลีแปลว่าอาหารอยู่แล้ว ส่วนอาหารเป็นภาษาบาลีอีกคำหนึ่ง หมายถึงของกินทั้งปวง เอาภัตตะกับอาหารไปรวมกันเป็นภัตตาหาร ไม่ใช่ภัตราหาร ถ้าภัตราตัวนั้นแปลว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ"

เถรี
15-08-2018, 08:50
"พูดถึงเรื่องการเขียนหนังสือ สมัยนี้เราใช้พวกแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ โดยเฉพาะ Siri พูดอะไรลงไป Siri เขียนมาให้เสร็จ ถูกบ้างผิดบ้างก็ช่างมันเถอะ ก็เลยทำให้เด็กของเราส่วนหนึ่งเขียนหนังสือไม่ถูก

อีกส่วนหนึ่งก็คือไม่ค่อยได้ฝึกเขียนลายมือ เด็กของเราก็เลยลายมือแย่เข้าไปอีก เขียนไม่ถูกไม่ว่า ลายมือแย่อีกต่างหาก เพราะฉะนั้น...ของเก่าถ้าดีอยู่แล้วก็ควรที่จะรักษาเอาไว้ สมุดจดงานของเด็กบางคนอาตมานึกว่าพิมพ์มา สมุดจดงานนี่เนี้ยบเลย มีรูปวาดประกอบ บางคนใช้ปากกา ๓ สี ๔ สี โยงตรงโน้น เน้นตรงนี้ เห็นแล้วอยากจะให้คะแนนผ่านไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาสอบ"

เถรี
15-08-2018, 08:54
"สมัยก่อนเขามีภาษิตว่า ‘ลูกผู้ชายลายมือคือขุมทรัพย์’ เพราะว่าสมัยก่อนถ้าลายมือสวย ส่วนใหญ่จะได้ทำงานอำเภอ ทำหน้าที่เป็นเสมียนจดบันทึก ถ้าเป็นยุคออเจ้าเขาเรียกอาลักษณ์ มีหน้าที่เขียนหนังสือ บันทึกหนังสือ เขียนตราตั้งต่าง ๆ ที่ได้รับพระราชทาน

ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมีฟอนต์หนังสือต่าง ๆ ตราตั้งยังเขียนด้วยมืออยู่ ที่เขาเรียกลายมืออาลักษณ์ ลายมืออาลักษณ์คืออะไร ? ก็คือฟอนต์ DSN ลายไทยแบบนั้นเลย มาระยะหลังนี้พวกฟอนต์หนังสือต่าง ๆ ออกมา ๕๐-๖๐ อย่าง ก็เลยทำให้ลายมือพวกนี้หมดความจำเป็น เพราะว่าใช้ Print เอาได้ แล้วก็จะผิดพลาดตรงไม่รอบคอบในการแก้ไขบางส่วนเท่านั้น ข้อมูลอื่นไม่ต้องเขียนใหม่ พิมพ์ลงไปเลย แก้แต่ชื่อเท่านั้น

ถ้าอย่างสัญญาบัตรที่พระราชทานให้พระครูหรือเจ้าคุณ ก็จะต่างแค่ชื่อกับวัด นอกนั้นข้อมูลเดียวกันหมด ‘ขอพระคุณท่านโปรดรับภาระธุระในพระพุทธศาสนา เมตตาอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง’ ข้อมูลเดียวกันหมด ก็เลยทำให้ยุคสมัยเปลี่ยน ค่านิยมก็เปลี่ยน

สมัยก่อนลายมือคือขุมทรัพย์ ถ้าลายมือสวยอย่างไรคุณก็ไม่ตกงานแน่นอน แต่สมัยนี้ลายมือไม่มีประโยชน์ สำคัญตรงใครจิ้มเร็วกว่า จิ้มให้ถูก ๆ หน่อย ส่วนใหญ่เขียนกันผิดเยอะมาก ถ้าหากว่าใครคิดว่าอยากฝึกภาษาไทยให้ถูก ก็ไปเข้าเว็บวัดท่าขนุน ถ้าไม่โดนจับเข้าห้องเย็นไปเสียก่อนเดี๋ยวก็เก่งเอง เว็บวัดท่าขนุนเข้าไปถ้าผิดแม้แต่ตัวเดียวจะมีคนแจกใบแดง ถ้าไม่แก้ไข ๓ วันมีการเตือน เตือนแล้วไม่แก้ ก็โดนแช่แข็ง ๓ เดือน ห้ามเข้าไปเล่น"

เถรี
15-08-2018, 09:03
"อะไรที่เป็นของดี เป็นของเก่า มีคุณค่า ก็ช่วยกันรักษาเอาไว้หน่อย อาตมาเอาสมุดเล็กเชอร์ให้เด็ก ๆ เขาดู นี่สมัยหลวงพ่อเรียนปริญญาอยู่ เด็กมาดูบอกว่า “หลวงพ่อ..นี่ไม่ใช่สมุดเล็กเชอร์ เขาเรียกสมุดคัดลายมือ” เข้าท่าแฮะ...! อาตมาเป็นคนจำอะไรแม่น อาจารย์ว่าไปเรื่อยก็จำอยู่ในหัว เขียนตามไปใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบร้อน ในเมื่อไม่ต้องรีบก็เขียนด้วยลายมือปกติ เด็กเขาบอกว่าคัดลายมือ แล้วถ้าคัดลายมือให้ดูจะเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ?

ช่วยเหลือกันหน่อย พยายามใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง แต่เชื่อเถอะไม่มีใครรู้หรอกว่าวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา คือวันภาษาไทยแห่งชาติ ไปจำวันอะไรกันก็ไม่รู้ วันสำคัญขนาดนี้ไม่รู้เรื่องเลย

โบราณเขาเรียกว่าลายสือไทย คำว่าสือ ก็คือหนังสือ เหตุที่เรียกว่าหนังสือเพราะว่าสมัยก่อนเขียนลงบนแผ่นหนัง สมัยนี้เขียนลงบนกระดาษก็ยังคงเรียกหนังสือ แก้ไม่ได้ เคยเรียกอย่างนั้นแล้ว สมัยก่อนใช้เขียนลงแผ่นหนัง ขีดเป็นเครื่องหมายบ้าง อะไรบ้าง ตั้งแต่ยุคหินดึกดำบรรพ์มา ดูกันรู้เรื่องก็ใช้ได้

เสร็จแล้วก็มากำหนดเป็นสระ เป็นพยัญชนะ เป็นวรรณยุกต์ แยกออกไหมว่าสระคืออะไร ? พยัญชนะคืออะไร ? วรรณยุกต์คืออะไร ? ตกภาษาไทยกันหมดแน่เลย สระมีกี่รูป ? วรรณยุกต์มีกี่รูป ? มีกี่เสียง ? จำกันไม่ได้แล้วกระมัง ? เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปพูดถึงเอกรรถประโยค เอนกรรถประโยค สังกรประโยค บ้าแน่ ๆ เลย..!

ถ้าคนไทยเรายังอ่อนแอภาษาไทยอยู่ แล้วจะไปเรียนภาษาอื่นให้ดีได้อย่างไร ? อาตมายืนยันเลยว่าภาษาไทยพูดยากที่สุด เพราะว่าเสียงมีเยอะมาก ลองเขียนภาษาอังกฤษให้ฝรั่งอ่านสิ ‘ใครขายไข่ไก่’ เราแยกออกได้หลายเสียง แต่พอไปเขียนให้ฝรั่งอ่าน อ่านเป็น “ไค ไค ไค ไค” นั่นคือความจนในเสียง จนในสระ จนในพยัญชนะ ไม่สามารถที่จะออกเสียงได้หลากหลาย"

เถรี
15-08-2018, 09:08
"แต่อย่าไปเจอฝรั่งที่พูดไทยไฟแลบนะ คนฝรั่งอาภัพมาก พูดไทยชัดยาก คนที่พูดชัด ๆ ต้องพูดตั้งแต่เด็กถึงจะได้สำเนียง อายุอย่าให้เกิน ๕ ขวบ ถ้าเกิน ๕ ขวบลิ้นแข็งแล้วพูดไม่ได้ ฝรั่งเว้าลาวคล่องปรื๋อได้สำเนียงหมดเลย อาจจะเป็นเพราะว่าภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส สำเนียงใกล้เคียงภาษาลาวก็ได้ แสดงว่าลาวต้องเป็นชาติมหาอำนาจมาก่อน

เพราะว่าเขามีหลักฐานทางสรีรศาสตร์ว่า ทุกชาติจะต้องมีเชื้อสายลาวมาก่อน ตรวจสอบได้ ทุกคนมีไหปลาร้าหมด ในเมื่อมีไหปลาร้าแสดงว่าก็ต้องมีเชื้อชาติลาว..! ฟังอยู่ตั้งนาน ไม่น่าหลอกกันเลย เห็นเขาบอกว่ามีแต่ผีหลอก นี่โดนพระหลอกเสียแล้ว"

เถรี
15-08-2018, 09:11
"ขอให้พวกเราพยายามเน้นย้ำนิดหนึ่ง อาตมาเองจริง ๆ เขาเสนอให้ไปรับรางวัล ๒ รางวัล ๓ รางวัล ไม่ได้ส่งประวัติไป ไม่มีเวลาทำ เขาให้ไปรับรางวัลผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น..ไม่ไป ถ้าหากว่ามีเจ้าหน้าที่เขาเห็นแก่หน้าค่าชื่อเรา ประเภทนำเสนอแทน เขียนประวัติแทน ถ้าอย่างนี้ก็จะได้รางวัล

แบบเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ไปรับรางวัลองค์กรที่อนุรักษ์ฟื้นฟูดูแลป่าไม้ ถ้าโยมขึ้นไปบนยอดเขามองลงมา จะเห็นว่าที่สีเขียว ๆ มีแค่พื้นที่วัดเท่านั้น รอบข้างล้านเลี่ยนเตียนโล่งหมดแล้ว เมื่อ ๒ วันที่ผ่านมานายกเทศมนตรีมาขอพบ อาตมากำลังตรวจการบ้านลูกศิษย์ พอตรวจการบ้านเสร็จ ถามว่าท่านนายกฯ มีธุระอะไร ? ท่านบอกว่า "มาขออนุญาตหลวงพ่อตัดต้นไม้แห้งครับ ต้นไม้แห้งข้างทางมีทีท่าว่าจะล้มลงมาทับสายไฟ ชาวบ้านเขาแจ้งไปก็เลยมาขออนุญาตตัด"



เพราะว่าที่ผ่านมาเคยเมตตาไปตัดพวกกิ่งไม้ที่คลุมถนนออก โดนหลวงพ่อด่ากระจาย ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยจำว่าวัดท่าขนุนหวงต้นไม้ เขาว่าตัดต้นไม้เพื่อให้รถทัวร์เข้าได้ อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องตัด ถ้าไม่เข้าก็เรื่องของมัน อยากเข้าก็ให้เดินเข้ามา แค่ ๗๐๐ เมตรเท่านั้น เดินไม่ได้ก็ไม่ต้องมาทำบุญวัดนี้" อาตมาเดินอยู่ทุกวัน เดินไปตรวจงานหน้าวัดบ้าง เดินขึ้นเขาพระพุทธบาทบ้าง โยมนั่งรถเสียจนเป็นง่อยไม่ยอมเดิน ไปต่างประเทศเขาเดินกันฉับ ๆ คนไทย โอ๊ย...จะตาย รอรถอย่างเดียว เดี๋ยวนี้ก็เอาใจเหลือเกิน รถทัวร์ก็มีประเภทชะโงกทัวร์ เป็นรถที่บนหลังคามีเก้าอี้เรียงเป็นแถวเลย นั่งข้างบนวิ่งไปตามแหล่งเที่ยว ผ่านไปถ่ายรูปก็จบ ไปที่อื่นต่อ เท้าไม่ต้องแตะพื้นเลย"

เถรี
15-08-2018, 19:47
มีโยมสร้างพระเครื่องรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงมาถวาย "อาตมาจะสร้างก็ต่อเมื่อพระสั่ง ถ้าไม่สั่งจะไม่แตะ คือ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ไม่ใช่เพื่อนของเรา ถ้าเป็นเพื่อนเรา เราจะขอถ่ายรูปเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าท่านไม่อนุญาตแล้วเราไปทำ จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เรานึกดูว่าขนาดขอถ่ายรูปในหลวงยังต้องขอพระบรมราชานุญาตขนาดไหน แล้วพระระดับโน้น เราไปหวังบุญเสียจนสิ้นสติ อย่าไปทำดีกว่า"

เถรี
15-08-2018, 19:54
ถาม : การพิจารณาเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นการพิจารณาวิปัสสนาญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ :ไม่แน่...อยู่ที่ว่าเราเห็นอย่างเดียวหรือเปล่า ? ถ้าเห็นอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ใช้ปัญญาควบคู่ไปด้วย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรหลีกหนี ทำอย่างไรเราจะดิ้นรนไปให้ห่างจากเขาให้ได้ ท้ายที่สุดก็เลิก ละ ในการสร้างเหตุของทุกข์นั้นได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ

อยู่ที่ว่าเห็น โอดโอยอยู่กับมัน แต่ทำอะไรต่อจากนั้นไม่ได้ ก็แปลว่าไม่มีประโยชน์ ประเภท “ทุกข์ฉิบหายเลยโว้ย..!” แล้วไปคลุ้มคลั่งอยู่ แบบนั้นก็ทำอะไรไม่ได้

เถรี
15-08-2018, 20:02
คณะโยมมาทำบุญแล้วนั่งขวางทางเดิน "โยมหาที่นั่งให้ไปสักข้างหนึ่ง นั่งตรงกลางเดี๋ยวเขาก็เดินเหยียบเอา เรื่องพวกนี้เป็นการใช้สติยั้งคิด แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาด้วย แบบที่ธนัญชัยเศรษฐีสอนนางวิสาขาว่า “จงนั่งให้เป็นสุข จงนอนให้เป็นสุข” ลองมองไปทั่วบ้านแล้วจุดไหนที่เรานั่งแล้ว เราไม่ต้องขยับ ถ้าไปนั่งขวางทางเขาคนไปมา เราก็ต้องขยับ ทำให้ “นั่งไม่เป็นสุข”

การใช้สติปัญญาจะว่าไปแล้ว เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็เข้าใจ ใคร ๆ ก็รู้ แต่ทำจริงแล้วมักจะทำได้ไม่ดี มักจะขาดสติ เอาตัวเองเป็นใหญ่ คำว่าเอาตัวเองเป็นใหญ่คือคิดว่า “ตรงนี้แหละ สบายดีแล้ว” คนอื่นเดินมาบอก “ขยับให้หน่อยครับ” ก็ไปโมโหเขาอีก เรื่องพวกนี้ต้องฝึกฝน ขัดเกลาไปนาน ๆ

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรียกอีกอย่างว่า สัลเลขธรรม เป็นธรรมสำหรับการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราเอง ถ้าขัดเกลาได้ที่เมื่อไรก็เริ่มปรากฏผลดี ถ้าขัดเกลายังไม่ได้ที่ก็กระโดกกระเดกไปเรื่อย แรก ๆ เหมือนอย่างกับเราปั้นดินเหนียวเป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ หล่นไปตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ต้องค่อย ๆ เกลา ค่อย ๆ ลบ จนเหลี่ยมมุมค่อย ๆ หายไป จนท้ายสุดก็กลมกลิ้งไปทั้งลูก ถ้ากลมกลิ้งไปทั้งลูกเมื่อไร จะอยู่สังคมไหนก็ได้"

เถรี
15-08-2018, 20:08
โยมพาลูกมาทำบุญ "เรื่องพวกนี้ต้องปลูกฝัง เด็กหลายคนมาวัดตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าท้องแม่ อยู่ในท้องแม่ก็มาวัดทุกเดือน ท้ายสุดคลอดออกมายังคอพับคออ่อนพ่อแม่ก็อุ้มมา พอปลูกฝังไปนาน ๆ การไปวัดหรือไปสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพวกเขาก็ไม่ใช่ของยาก เพราะว่าพ่อแม่ทำเป็นตัวอย่าง ทำให้ไม่รู้สึกเก้อเขิน

แต่ถ้าลูกใครพ่อแม่ไม่นำ ปู่ย่าตายายไม่นำ แต่ว่าไปเองได้ นั่นสุดยอดมนุษย์จริง ๆ แสดงว่าของเก่าที่สร้างไว้มีมาก เรียกว่ามีปุพเพกตปุญญตา มีบุญที่สร้างสมไว้ดีตั้งแต่ปางก่อน ถึงเวลากระแสบุญจะชักนำให้ไปเอง แต่คนประเภทนั้นหายากมาก ประเภทหนึ่งในล้าน ฉะนั้น...ทุกคนต้องการให้มีการนำก่อน"

เถรี
15-08-2018, 20:19
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางคนมาที่นี่แล้ว "โดน" ไปหนักก็หายไปเลย แต่ถ้าใครรู้จักพิจารณาแล้วจะเห็นว่า แต่ละอย่างที่ว่าไป ถ้าสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ เราจะได้สิ่งดี ๆ เยอะมาก ก็ต้องแล้วแต่คนว่ารู้จักคิดหรือเปล่า อาหารรสชาติเผ็ดหน่อย กินเข้าไปแล้วแสบปากร้อนท้อง แต่ก็ทำให้กระปรี้กระเปร่า กระตือรือร้น หูตาสว่างดี มัวแต่จะกินขนมหวาน เดี๋ยวก็กลายเป็นเบาหวานตายหมด ฉะนั้น..ต้องโดนหนัก ๆ ไว้บ้าง”

เถรี
16-08-2018, 15:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีโยมปฏิบัติธรรมแล้วได้สภาวธรรมดีมาก มาถามว่า จะทำงานต่อดีหรือจะลาไปบวชดี ? ก็เลือกเอาสิ ถ้ายังอยากยุ่งอยู่กับชีวิตของฆราวาสที่ปฏิบัติได้ไม่เต็มร้อยก็ทำงานต่อไป ถ้าอยากจะทุ่มเทชนิดมอบกายถวายชีวิตก็ไปบวชเลย

เรื่องของสภาวธรรมจากการปฏิบัติหรือเรียกง่าย ๆ ว่าอารมณ์ในการปฏิบัติ ได้แล้วอย่าพึงเชื่อถือ เพราะพร้อมที่จะเจ๊งภายในเวลาอันไม่นาน ถ้าเรารักษาไม่เป็นก็อยู่ได้แค่พักเดียว ตอนที่อยู่นี่ โอ๊ย...เหมือนอย่างกับเป็นพระอรหันต์เลย รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีสักอย่าง เผลอหน่อยเดียว หลุดไปเท่านั้นแหละ หมาดี ๆ นี่เอง ฉะนั้น...ได้มาต้องระมัดระวังรักษาสุดชีวิต เพราะถ้าเสียไปจะเอาคืนได้ยากมาก"

เถรี
16-08-2018, 15:30
มีโยมผู้หญิงขอถ่ายรูปกับพระที่นิมนต์มาถวายสังฆทานกับพระอาจารย์ "อย่าไปลงเฟซบุ๊กหรือลงไลน์นะ ภาพพระกับผู้หญิงใกล้กันเกินไป คนที่คิดไม่ดีเขาจะด่าเอาอย่างเดียวเลย เขาไม่สนใจว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

ญาติโยมรักพระ เพราะฉะนั้น...ก็ต้องช่วยระมัดระวังให้พระด้วย บางอย่างเราคิดไม่ถึงหรอก แต่คนเขาจะด่า มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านใส่แว่นกันแดดแล้วถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊ก โอ้โห...โดนด่าซะไม่มี เขาถามว่าพระหรือมาเฟีย ใส่แว่นดำแบบนี้ ? เขาไม่ได้สนใจเลยท่านเป็นอะไรหรือเปล่า อยากจะด่าก็ด่าเอาไว้ก่อน

ฉะนั้น...พวกเราต้องระมัดระวังเอง อะไรที่อยู่ลักษณะใกล้ชิดเกินไประหว่างผู้หญิงกับพระ เราก็พยายามถ่ายรูปให้น้อยที่สุด ถ่ายเอาไว้ก็อย่าไปออกสื่อ ออกไปเมื่อไรจะกลายเป็นจุดโจมตีของเขา แค่ใส่แว่นดำยังโดนด่า แล้วเฟซบุ๊กก็เฟซฯ ของท่าน คุณเข้าไปส่องทำไม ? ไปส่องของท่านแล้วยังจะไปด่าท่านอีก

แต่ก็ดีอยู่อย่าง เตือนให้เรารู้ตัวว่า โลกภายนอกเขามองเราลักษณะอย่างนี้ ในเมื่อเขามองเราลักษณะอย่างนี้ เราก็ต้องระมัดระวังตัวเอง ทีนี้ท่านระมัดระวังตัวเองไม่รอบคอบ ญาติโยมก็ต้องช่วยกันระมัดระวังด้วย"

เถรี
16-08-2018, 15:33
"รัฐมนตรีอินเดียมาบวชที่เมืองไทย เพราะว่าปัจจุบันนี้ประธานาธิบดีอินเดียนับถือศาสนาพุทธ เราจะเห็นว่าภาพพจน์ของพระในบ้านเมืองเราปัจจุบัน พวกสื่อต่าง ๆ เขาตั้งใจทำลาย เกิดจากบางศาสนาเขาจ้างสื่อ ในเมื่อเขาตั้งใจทำลาย ข่าวที่ออกมาจะไม่มีอะไรดีเลย

แต่คราวนี้ว่าสื่อต่างประเทศจ้างไม่ได้ เพราะว่าเขาถือจรรยาบรรณของนักข่าว เขานำเสนอแต่ความเป็นจริง เสนอว่าพุทธศาสนาดีอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ช่วยให้ประเทศชาติเจริญอย่างไร ต่างชาติเขาก็เลยศรัทธา เราจะเห็นว่ามีคนต่างชาติ โดยเฉพาะฝรั่งจากยุโรป อเมริกา บวชในเมืองไทยเยอะมาก แล้วกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในบ้านเขา

นี่รัฐมนตรีอินเดียเขาก็มาบวช เพราะว่าประธานาธิบดีอินเดียเป็นพุทธ ตัวเองในเมื่อถือศาสนาพุทธก็ถือหลักว่าเป็นคนพุทธทั้งที ในชีวิตก็ควรที่จะบวชสักครั้งหนึ่ง แสดงว่าภาพพจน์ศาสนาของเราในสายตาต่างชาตินี่ยังดีอยู่มาก แต่ว่าบ้านเรานี่สื่อตั้งใจเล่นงานพระโดยตรงเลย รับงานกันมา ข่าวละห้าแสนบ้าง แปดแสนบ้าง เอาเถอะ..เขามีเงินก็ให้เขาจ้างไป เราก็เอาแต่เรื่องดี ๆ มาสู้กับเขาก็หมดเรื่อง ไม่มีข่าวเสียเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้หรอก"

เถรี
16-08-2018, 20:39
ถาม : ลาออกเจ้านายยังไม่ให้ออกเสียที ?
ตอบ : เป็นที่ต้องการของเจ้านาย ลาเท่าไรก็ไม่ให้ออก ลาแล้วไม่ให้ออกก็หนีไปเฉย ๆ สิวะ..! แบบเดียวกับอาตมา ลาแล้วไม่ให้ออก ไม่ทำงานปีครึ่งก็ยังคาชื่อไว้อีก พอปีที่ ๒ ก็ต้องเอาออกจนได้ ก็อาตมาไม่ไปทำงานเลย

บางทีเจ้านายเขาอาศัยความมีน้ำใจของเรา ไม่ให้ออก ให้อยู่ช่วยกันไปก่อน เราก็ช่วยไปเถอะ ช่วยไปจนตายกันไปข้างหนึ่ง..! ส่วนอาตมาค่อนข้างเด็ดขาด ถ้าออกมาแล้วเขาจะเจ๊งก็เป็นเรื่องของเขาเถอะ แล้วก็ไปเลย ไม่ใช่เรื่องของการไร้น้ำใจหรือว่าใจร้ายใจดำ แต่เป็นเรื่องของความเด็ดขาดบวกกับอุเบกขา ในเมื่อไม่มีเขา เราอยู่ได้ ไม่มีเรา เขาก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน

เถรี
16-08-2018, 21:00
ถาม : ผู้ที่ได้พระโสดาบัน...(ไม่ชัด)...จะเหมือนกันไหมกับเสียงที่ได้ยิน ?
ตอบ : การเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงที่ได้ยิน เสียงที่ได้ยินเป็นทุกระดับตั้งแต่ปุถุชนธรรมดาขึ้นไป สำคัญอยู่ที่ว่าท่านตั้งใจจะมาแกล้งหรือตั้งใจจะมาสงเคราะห์ ส่วนบรรดาท่านทั้งหลายที่ได้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย อะไรที่นอกลู่นอกทางท่านก็ไม่ไปใส่ใจ

เถรี
16-08-2018, 21:19
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมานั่งรับสังฆทานมา ๒๕ ปี ประเภทลุกไปเข้าห้องน้ำกลางคันนี่แทบจะไม่เคยทำ สงสัยว่าอากาศเปลี่ยนแล้วมาลาเรียจะกำเริบ คราวนี้พอมาลาเรียลงกระเพาะก็พัง จำเป็นต้องไปห้องน้ำ ไม่อย่างนั้นแล้วท้องจะอาละวาด

ปกติถ้ามาลาเรียลงกระเพาะแล้วจะอาเจียน อาตมาเองเป็นมาลาเรียมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ อายุเพิ่งจะ ๒๒ - ๒๓ ปี ตอนนั้นร่างกายแข็งแรงมาก กลั้นเอาไว้ไม่ให้อาเจียนได้ กลั้นไปกลั้นมา โรคหาทางออกไม่ได้เลยลงข้างล่างแทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้ามาลาเรียกำเริบก็ต้องวิ่งเข้าส้วม ซึ่งก็ดีกว่าอาเจียน

ส่วนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นมาลาเรียแล้วท่านไม่รู้ตัว พอ ๔ โมงเย็นก็เริ่มอาเจียนทุกวัน จนกระทั่งก่อนมรณภาพไม่นาน พระท่านเห็นว่าพ้นวาระกรรมตรงนี้แล้ว ถึงได้บอกให้ทราบว่าเป็นมาลาเรีย พอได้ยามาฉีดลงไป หายจากมาลาเรียก็เป็นโรคอื่นแทน ฉะนั้น...ยอมเป็นของเก่าต่อไปดีกว่า หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็มรณภาพไป แปลว่าตายเพราะหมดกรรม

เขาบอกว่าคนเราจะตาย
๑) หมดอาหาร ๒) หมดอายุ ๓) หมดบุญ ๔) หมดกรรม ถ้าบุญรักษา กรรมรักษา อายุยังไม่หมด อาหารยังมีอยู่ อย่างไรก็ไม่ตาย ที่อาตมาถ่ายนี่สงสัยเกิดจากฉันยาคูณธาตุเข้าไป หรือไม่ก็มาลาเรียกำเริบ"

เถรี
16-08-2018, 21:38
ถาม : มีจอมปลวกขึ้นที่บ้านครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร ถ้าเบื่อก็เอาน้ำมันดีเซลราดลงไป พอปลวกได้กลิ่นก็หนีหมด

ถาม : ควรจะทำลายหรือครับ ?
ตอบ : ปล่อยเอาไว้ก็ได้ จะได้ล่อบ้านหมดทั้งหลัง..!

เถรี
17-08-2018, 09:51
พระอาจารย์พูดถึงการเลี้ยงเด็ก "สอนให้เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรก็พอ ทำอะไรอย่าไปห้ามมาก ถ้าห้ามมากเดี๋ยวเด็กจะเก็บกด แล้วเขาไปแอบทำเองก็จะยุ่ง"

เถรี
17-08-2018, 09:54
ถาม : ฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ สามารถรู้คำภาวนาได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะฌานไหน ถ้าเราคล่องตัวทำได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่คล่องตัวก็ทำไม่ได้สักอย่าง

เถรี
17-08-2018, 19:57
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่มาถวายสังฆทานว่า "เราเป็นพระ จะไปให้โยมช่วยระวังไม่ได้ เราต้องระวังตัวเองด้วย"

เถรี
17-08-2018, 20:02
ถาม : สัตว์ที่จะโดนเอาไปฆ่ากิน เขาจะมีความรู้ตัวไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขารู้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะถึงตาย ไม่สังเกตหรือว่าพวกที่ไปโรงฆ่าสัตว์นี่ดิ้นรนถอยหลังเลย เห็นพวกมายืนรอรับอยู่เป็นร้อย..!

แม้กระทั่งเรื่องของการเลี้ยงวัวเอาไว้รีดนมขาย วัวต้องมีลูกถึงจะมีนม แต่ถ้าให้ลูกกินนมก็จะไม่มีนมไว้ขาย ถึงเวลาก็ต้องแยกลูกออกไป ถ้าลูกวัวดื้อก็จะโดนตี โดนทุบ

ฉะนั้น...ใครที่บอกว่ากินมังสวิรัติกินนมได้ กินไข่ไม่ได้ เถียงกันไปเถอะ เขาบอกว่านมเป็นของให้ ไข่เป็นของหวง...ไม่จริงหรอก แม่วัวก็ไม่ได้อยากจะให้นมเรากิน เพราะว่าจะเอาไว้เลี้ยงลูกของตัวเอง

เถรี
17-08-2018, 20:22
ถาม : ที่วัดน้ำท่วมไหม ?
ตอบ : จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว ทางทองผาภูมิจะมีโอกาสน้ำท่วมอย่างเดียวก็คือต้องเขื่อนแตกเท่านั้น แต่ทางสังขละบุรีบางส่วน อย่างทางด้านไล่โว่ กองม่องทะ สะเหน่พ่อง ของเขาอยู่กับลำห้วย น้ำป่ามาตูมเดียวก็ท่วมทุกปี เพียงแต่จะท่วมแค่วันสองวัน แต่ปีนี้ที่ท่วมนานมาก เพราะว่าฝนไม่ยอมหยุด ตกต่อเนื่องกันมาเดือนครึ่ง ทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมหยุด เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า พวกไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนนี่ซาบซึ้งเลย ตกได้อย่างไรขนาดนี้

เถรี
17-08-2018, 21:17
คนทองผาภูมิเขามีประสบการณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่ปิดเขื่อน ทางการไฟฟ้าคำนวณว่า ประมาณปีครึ่งน้ำจะเต็มเขื่อน ปรากฏว่าแค่ ๘ เดือนก็เต็ม เพราะฉะนั้น..เขาทราบซึ้งเลยว่าฝนตกแบบไหน เขาจะต้องมีการคำนวณเลย ระยะเวลามีฝนกี่เดือน ถึงเวลาน้ำขนาดนี้ ถ้าปล่อยออกแค่นี้ ต้องเติมเข้ามาเท่าไร เขากะคำนวณไว้หมดแล้ว

ถาม : เขาบอกว่ามีรอยเลื่อนที่ใต้ดิน ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ เขาเรียกรอยเลื่อนเหมืองสองท่อ

ถาม : รอยเลื่อนสองท่อ คือ ?
ตอบ : เป็นรอยเลื่อนใต้ดินที่มีอยู่เป็นปกติ เพียงแต่ว่าพาดผ่านแนวนั้น กลางเกาะพระฤๅษีเลย

ถาม : รอยเลื่อนที่ว่าที่อยู่กลางเกาะพระฤๅษี ?
ตอบ : เราต้องเข้าใจว่าโลกเราเป็นแผ่น ๆ ไม่ได้ยึดกันเหมือนเปลือกที่เห็น แต่ละแผ่นก็จะมีรอยต่ออยู่ ก็คือรอยเลื่อนที่เขาว่า คราวนี้รอยก็อยู่ลึกบ้าง ตื้นบ้าง แล้วแต่ความใหญ่เล็ก ฉะนั้น...รอยเลื่อนเหมืองสองท่อนี่ถือว่าเล็ก

ถาม :ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหน้า ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับผิวหน้า ลึกลงไปหลายกิโลเมตร ก็แค่ประเภทที่ว่าหุ้มกันไว้หลวม ๆ แบบแจกันแตกแล้วเอากาวต่อไว้ ถึงเวลาถ้าลาวาดันออกมาด้านไหนก็ครืนขึ้นมาที แต่ส่วนใหญ่ก็ออกมาแถววงแหวนไฟแปซิฟิกมากกว่า วงแหวนไฟแปซิฟิกนี่น่าเป็นห่วงมาก ถ้าตูมขึ้นมาจริง ๆ ญี่ปุ่นจะหายไปทั้งประเทศเลย..!

เถรี
17-08-2018, 21:21
ถาม : วงแหวนไฟแปซิฟิคเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นแนวที่เป็นรอยแตกของโลก แล้วก็พาดผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกของเราไป พวกนี้พอชนกัน เกยกัน ก็คือแผ่นดินไหว เกาะญี่ปุ่นทั้งเกาะเกิดขึ้นมาเพราะภูเขาไฟระเบิด ทีนี้ถ้าจะระเบิดแล้วหายไปก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ระเบิดแล้วมีขึ้นได้ก็ระเบิดแล้วหายไปได้

พระท่านบอกว่า "พระอาจารย์ครับ...ญี่ปุ่นร้อนจัดมากเลย จนกระทั่งคนตาย เอาความร้อนจากไหนครับ ?" ส่วนหนึ่งมาจากใต้ดิน ช่วงที่ผ่านมาร้อนตายไป ๖๐ กว่าคน ตอนนี้ความร้อนเลื่อนไปที่เกาหลี เกาหลีกำลังแย่อยู่ ต่อจากเกาหลีก็จะเข้าจีน กว่าจะเข้าจีนก็คงสงบเพราะเข้าฤดูหนาวพอดี บ้านเราจะหนาวประมาณเดือนตุลาคม แต่ความหนาวจากจีนจะมาก่อน

ตอนนี้ที่น่าห่วงที่สุดก็คือสงครามการค้า ไปเจอประธานาธิบดีติงต๊องของสหรัฐเข้า ประสาทกันทั้งโลกเลย

เถรี
17-08-2018, 21:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการสร้างหน่วยไตเทียม หรือเรียกภาษาง่าย ๆ ว่าห้องฟอกไต เกิดจากอาหารการกินในปัจจุบันที่ไปทำลายไตมาก โดยเฉพาะกินอาหารเนื้อมากกว่าผัก ร่างกายต้องการโปรตีน ถ้าคิดเป็นเนื้อก็ประมาณขีดครึ่งต่อวันเท่านั้น ทีนี้ถ้าเรากินเกิน ไตก็ต้องไปดึงออก ทำให้หน่วยไตทำงานหนัก แล้วก็ชำรุดพังกันหมด ถึงเวลาไม่มีไตไว้คอยฟอกเลือด ก็ต้องสร้างห้องฟอกไตขึ้นมาให้ทำหน้าที่แทน

คราวนี้ที่อาตมาทำ เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่งคืออาตมาเป็นประธานพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิอยู่ ตำแหน่งบ้านี่ตอนที่เขาประชุมกรรมการ ๓๐ - ๔๐ คน เหมือนกับล็อกตายอยู่ก็คือ ห้ามเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ห้ามเป็นข้าราชการประจำ ห้ามไปห้ามมาเหลือพระอยู่รูปหนึ่งกับประธานชมรมผู้สูงอายุ แล้วประธานชมรมผู้สูงอายุแก่ขนาดไหนแล้ว ? ก็ต้องยกตำแหน่งถวายพระไปนั่นแหละ

ประการที่ ๒ คนทองผาภูมิถึงเวลาจะฟอกไต เดินทางใกล้ที่สุดคือโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาในตัวจังหวัด ซึ่งห่างออกไป ๑๔๐ กิโลเมตร ไปแล้วไม่แน่ว่าจะได้ฟอกไต ถ้าคิวเต็มก็ต้องรอไปก่อน ในเมื่อชาวบ้านเขาลำบากขนาดนั้น แล้วอาตมาพอช่วยได้ก็ช่วยเขาหน่อย"

เถรี
17-08-2018, 22:00
"ปี ๒๕๕๖ ทอดผ้าป่าซื้อเครื่องมือให้ทางโรงพยาบาล ตอนนี้เงินเป็นล้าน ๆ ก็ไม่พอ เนื่องจากว่าเครื่องฟอกไตเครื่องหนึ่งต่ำสุดก็ห้าแสนกว่าบาท แล้วปัจจุบันนี้เครื่องที่คุณภาพดีอยู่ที่เก้าแสนกว่าบาทถึงหนึ่งล้านบาท

ถามว่าต่างกันตรงไหน ? เครื่องห้าแสนกว่าบาทฟอกไตแล้วต้องนอนหมอบกระแตไปประมาณ ๒ วัน แต่เครื่องเก้าแสนกว่าหรือหนึ่งล้านฟอกไตแล้วไม่เพลียขนาดนั้น กะว่าจะให้เขาทั้งสองแบบ ใครมีเงินมากก็ฟอกแบบดีหน่อย ใครมีเงินน้อยก็นอนไปสัก ๒ วัน จะเอาประเภทเครื่องเป็นล้านอย่างเดียวอาตมาก็ไม่ไหว เพราะ ๑๒ เครื่อง บอกเขาว่าจะให้ปีละ ๒ เครื่องก็แล้วกัน กว่าจะครบนี่ไม่รู้กี่ปี ? แต่ว่าปีนี้ทำห้องฟอกไตให้ก่อน

หลวงพ่อมณฑลท่านช่วยมาห้าแสนบาท ทางด้านพวกชาวบ้านร่วมกันบริจาคมาก็น่าจะได้สัก ๒ เครื่อง แล้วเดี๋ยวปีหน้าอาตมาเพิ่มไปอีก ๒ เครื่อง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น พอครบยูนิตเขา ๑๒ เครื่อง ก็คงไม่มีใครที่จะฟอกพร้อมกันทีหนึ่งเยอะขนาดนั้น"

เถรี
17-08-2018, 22:03
"ตอนอาตมาไปปากีสถาน ไปช่วยที่มูลนิธิที่เขาทำเรื่องฟอกไต คนปากีสถานน่าสงสารมาก เพราะว่ากินอาหารเนื้อเป็นหลัก ขนาดหนุ่ม ๆ สาว ๆ ยังฟอกไตกันเป็นแถวเลย พวกเราเข้าไปเยี่ยมเขาก็ดีใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นอิสลามก็ยังอุตส่าห์ทักทาย บังเอิญอาตมาพอจะทักทายตามวิธีการของอิสลามเขาได้ เขาก็ยิ่งดีใจกันใหญ่ ตอนนั้นพวกเราก็เรี่ยไรเงินดอลลาร์ช่วยเขาไป เขาก็ยังอุตส่าห์ให้อนุโมทนาบัตรมา

คราวนี้พอเป็นบ้านเราเองก็ต้องทำ ถ้าโยมไม่อยากฟอกไตก็เปลี่ยนนิสัยการกิน กินผักกินผลไม้ให้ได้สัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ไว้กินเนื้อ เน้นพวกปลาให้มากเข้าไว้

เพื่อนพระสังฆาธิการคนโน้นก็ฟอกไต คนนี้ก็ฟอกไต อาตมาคงไม่ถึงคิวหรอก เพราะไม่ค่อยกินเนื้อ แล้วอีกอย่างถึงคิวเขาก็ต้องรีบบริการ เพราะว่าอาตมาเป็นคนไข้สำคัญอยู่แล้ว อาจจะไปลัดคิวคนอื่นให้เขาเดือดร้อน เดี๋ยวนี้พอไปโรงพยาบาลแต่ละที ทั้งผู้อำนวยการ ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล วิ่งมากันหมด ต้องบอกว่า โน่น...คุณไปดูแลคนไข้ อาตมาเดินเองได้ แต่เขาไม่ค่อยฟังกันหรอก"

เถรี
19-08-2018, 18:56
ถาม : คนเราเสื่อมไปตามสังขาร เมืองไทยไม่ได้มีเครื่องฟอกไตมากพอ รู้สึกสงสารคนต่างจังหวัด ?
ตอบ: คิดถึงสมัยปู่ย่าตาทวดเราสิ อาหารคืออะไร ? ผัก น้ำพริก แกงส้ม แล้วก็ปลา ถึงขนาดมีคำพูดว่าที่ว่า "กินข้าวกินปลากันมาหรือยัง ?" "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" พวกเราเพิ่งจะมาบ้ากินแบบฝรั่งกันไม่นานนี้เอง แล้วไตก็พังกันหมด

เถรี
19-08-2018, 18:57
มีทิดเพิ่งสึกใส่หมวกมา "ไม่ต้องไปใส่หมวกหรอก จำไว้ว่าเรื่องการบวชคือเราทำความดี และเป็นการทำความดีสูงสุดในชีวิตลูกผู้ชายครั้งหนึ่งด้วย ต้องอวดเขา ไม่ใช่ประเภทไปใส่หมวกปิด ๆ บัง ๆ โกนหัวต่อไปอีก ๒ เดือนเลย ให้เขารู้เอาไว้ว่าเราไปบวชมา"

เถรี
19-08-2018, 19:08
พูดถึงเทือกเขาหิมาลัย "นิ้วกลมบอกว่าหิมาลัยไม่มีจริง เพราะเขาไปแล้วเจอแบบนี้ เขาไม่เหมือนเรา แม่เจ้าประคุณจัดให้สะใจมาก ไม่ว่าจะไปมุมไหน คุณต้องการดูอะไร มีให้หมด ขนาดเขาถ่ายรูปเฮ ๆ อยู่ฝั่งซ้าย อาตมาอยู่ฝั่งขวา เอาเทือกเขามาให้ถ่ายได้อย่างไร ? ลองคิดดูว่าเครื่องบินเขาบินไปตรง ๆ แล้วหิมาลัยอยู่ฝั่งซ้าย โยมก็เฮไปถ่ายทางฝั่งซ้ายหมด อาตมามองออกหน้าต่าง อ้าว...แล้วฝั่งนี้คืออะไร ? ก็หิมาลัยทั้งเทือก ก็เลยถ่ายเพลินอยู่คนเดียว ไม่มีคนแย่ง ขอบคุณที่เมตตา

พอโยมเขาหายเห่อ มาชวนไปถ่ายรูปบ้าง อาตมาบอกว่าถ่ายได้แล้ว ไม่มีใครเชื่อ ต้องกดรูปให้เขาดู แล้วตอนที่บินจากอิสลามาบัดไปกิลกิต ข้ามหิมาลัยทั้งเทือกเลย วิสัยทัศน์สุดยอด มีกี่ร้อยยอดเห็นหมด ทั้ง ๆ ที่เขาบอกว่าเครื่องบินสายนี้บิน ๑๐ เที่ยว โอกาสที่จะข้ามได้สัก ๔ เที่ยวก็ยาก แล้วก็จริง ๆ พอเครื่องของเราเฉียดซอกเขาลงที่สนามบินกิลกิต อากาศก็ปิดเลย เที่ยวต่อไปมาไม่ได้แล้ว ต้องบอกว่าไปไหนนี่ถ้ารู้จักเจ้าที่ ท่านช่วยสงเคราะห์สุดชีวิตจริง ๆ"

เถรี
19-08-2018, 19:12
"บางส่วนที่อาตมาไม่เข้าใจเพราะว่าไม่เคยเห็น แล้วไปจินตนาการเอาเองก็คือธารน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งนี่อาตมาก็คิดว่าใสปิ๊งเลย หรือไม่ก็ต้องขาวมาเชียว ที่ไหนได้..ดำคลั่กเลย...! เหมือนกับน้ำโคลนกลายเป็นน้ำแข็ง เพราะว่าไหลลงมาจากเขา ก็เอากรวดหินดินทรายมาด้วย แต่อาตมาไม่เคยเห็น ก็คิดว่าจะต้องใส ๆ หรือไม่ก็ขาว ๆ ของจริงไม่ใช่ ลงมานี่ดำดูไม่ได้เลย ถ้าหากว่าไม่เย็นก็คือขี้ดินดี ๆ นี่เอง

ด้วยความที่ไม่เคยเจอ อุตส่าห์ตะเกียกตะกายลงไปเพื่อที่ไปถ่ายรูป ตอนขึ้นนี่สิ ทั้งแบกทั้งหามเลย จะมีพวกชาวบ้านและเด็ก ๆ ทำตัวเป็นพี่เลี้ยงพาพวกเราขึ้น พาพวกเราลง ช่วยกันหอบช่วยกันหิ้ว สำหรับอาตมาเองเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วจะมาแบมือขอรางวัล บอกว่าเดี๋ยวเขกกบาลเลย พูดง่าย ๆ ว่าเดินยังไม่ทันอาตมาเลย แล้วจะมาขอรางวัล ก็เลยเอาปากกาให้ไปด้ามหนึ่ง เพราะว่าใช้ปากกาเขียนบันทึกอยู่ บอกเขาว่าเอาไปแค่นี้แหละ"

เถรี
19-08-2018, 19:16
ถาม : ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ที่ปากีสถาน เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเอเวอเรสต์ ทางด้านธารน้ำแข็งฮอปเปอร์ พวกเราก็ลุยตลอดแนวเขาคาราโครัมข้ามไปจีน ไปดูหิมะหน้าร้อนกัน หน้าร้อนเขาไม่มีหิมะ ไม่มีฝน พวกเราไปนี่กระหน่ำสะใจมาก อยากดูมากใช่ไหม ? โน่น...คนขออยู่โน่น (ยายจี๋) บ่นว่าอยากดูหิมะ อยากดูมากก็เอาไปเลย

ตอนแรกฝนตกแล้วไกด์ไม่ยอมให้ไปต่อ อาตมาบอกเขาว่า "ไป..ขึ้นหน้าอย่างเดียวไม่ต้องฟังอะไรเลย..เชื่อข้า" ปรากฏว่าอีกไม่กี่นาทีกลายเป็นหิมะ ไกด์ค่อยโล่งอกไปที เขาบอกว่า Snow ok, rain not ok. ถามเขาว่าทำไม ? เขาบอกว่าฝนลงมา น้ำจะชะเอาหินลงมาด้วย แถวนี้ถล่มอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหิมะลงมาจะคลุมอยู่ แล้วหินจะไม่ถล่ม พวกเราก็เลยไปเล่นกันเสียสะใจ

อะไรที่เขาห้าม พวกเราทำกันหมด ห้ามวิ่ง ห้ามตะโกน ห้ามหัวเราะ ทำกันทุกอย่าง เขากลัวจะเป็นโรคแพ้ที่สูง ปรากฏว่าไม่มีใครเป็น นอกจากไกด์จากเมืองไทย ดมออกซิเจนอยู่บนรถลงไม่ไหว บรรดานักท่องเที่ยวกลายเป็นเด็ก เล่นหิมะกันหมด

เถรี
19-08-2018, 19:20
ไปที่สวิตเซอร์แลนด์ก็เหมือนกัน นั่นก็หิมะหน้าร้อน คราวนี้ทางด้านเจ้าของพื้นที่เขาบอกว่า ๓๐ กว่าปีแล้วเพิ่งจะมีอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าเคยเกิดครั้งหนึ่งเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน อาตมาก็ระแวงว่า ๓๐ กว่าปีก่อน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไป มาปีนี้หลวงลูกตามไป เพราะว่าหลวงพ่อก็ไปเข้าถ้ำน้ำแข็งโบราณที่อาตมาไปนั่นแหละ นึกขำ ๆ ว่า ถึงเวลาไปเทวดาท่านก็เลยสงเคราะห์ ๓๐ กว่าปีที่แล้วมีครั้งหนึ่ง แล้วก็เพิ่งจะมามีก็คือตอนที่อาตมาไป ฤดูร้อนมีหิมะนิด ๆ หน่อย ๆ เหลืออยู่บนยอดเขา อยากเห็นกันดีนัก เอาไปเสียให้เข็ด...!

เรื่องแบบนี้จะเรียกว่าบังเอิญก็ใช่ แต่บังเอิญจนน่าเกลียด บังเอิญบ่อยไปหน่อย ไปไหนก็เหมือนกัน เช็คอุณหภูมิก่อนไป ทิเบตอยู่ที่ประมาณ ๕ - ๗ องศา แต่ช่วงที่เราอยู่ ๑๘ - ๑๙ องศาตลอด เป็นอุณหภูมิที่พวกเรารับได้ ไม่อย่างนั้นก็ป่วยตายกันหมด พอลงมาแค่นั่งรถไฟเลื่อนออกจากลาซา เช็คอุณหภูมิใหม่ ลดเหลือ ๑๑ องศาแล้ว ตอนที่ถึงซีหนิงนี่ไม่รู้ว่าเหลือเท่าไร ? ไม่ได้ดู

เถรี
19-08-2018, 19:27
ถาม : พระอาจารย์ไปกี่วัน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ไปทีก็ประมาณอาทิตย์หนึ่ง มีบันทึกคร่าว ๆ อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ไปใส่รายละเอียด อย่างที่โยมเขาถามว่าทำไมไม่เขียนอีก เอาเวลาที่ไหนมาเขียน ? งานท่วมหัวเลย นี่ขนาดไม่รับกิจนิมนต์ทั่วไปนะ ประเภทสวดมนต์ฉันเช้าฉันเพลตามบ้านชาวบ้านแบบท่านอาจารย์บ๊ะ ตูไม่ไปหรอก จะกินข้าวมื้อหนึ่งต้องไปตั้งหลายร้อยกิโลเมตร อาตมายังมีฉันทะไม่พอ อยู่ทองผาภูมิวิ่งมากรุงเทพฯ ๓ ชั่วโมงครึ่ง เพื่อที่จะมาฉันเพลนะหรือ ? ฉันอยู่ที่โน่นจะง่ายกว่ากระมัง ?

เถรี
19-08-2018, 19:30
ถาม : น้ำประปาได้จากกาญจนบุรีหรือครับ ?
ตอบ : ถ้ากรุงเทพฯ เอาของกาญจนบุรีมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าจากเขื่อนวชิราลงกรณกับเขื่อนศรีนครินทร์ปล่อยมาที่เขื่อนท่าทุ่งนา กับ เขื่อนแม่กลอง มาถึงเขื่อนแม่กลองมีคลองส่งน้ำกว้าง ๒๐ เมตรตรงเข้าโรงกรองน้ำธนบุรีเลย

ทางด้านเหนือนี่น้ำเจ้าพระยาค่อนข้างสกปรก ไม่เหมาะที่จะทำน้ำประปาแล้ว ฉะนั้น..โรงกรองน้ำสามเสนนี่จะตกงานแล้ว กาญจนบุรีเลยกลายเป็นแหล่งน้ำให้กรุงเทพฯ

เถรี
19-08-2018, 19:33
มีอยู่ปีหนึ่งแล้งจัด ท้าวมหาราชท่านได้รับคำขอร้องจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ อาตมาไม่รู้ว่าท่านจะทำฝนแบบไหน ? อยากรู้มาก ปรากฏโน่น...กลางมหาสมุทรเลย ทะเลอันดามัน ประเภทเอากระบองกวาดไปทีหนึ่ง คลื่นพุ่งมาอย่างกับสึนามิ สูง ๕๐ - ๖๐ เมตร แต่คราวนี้คลื่นไม่ได้มีไว้ถล่มใคร มีเอาไว้กวาดความชื้นเหนือทะเลให้ข้ามเขามา เสร็จแล้วพอคลื่นใกล้ฝั่งก็สงบลงไปเอง แต่ความชื้นพอถูกดันข้ามเขาตะนาวศรีมาก็กลายเป็นฝน ท่านทำของท่านได้

ในหลวง ร.๙ ท่านขอ ขอแล้วท้าวมหาราชท่านก็ช่วย คนเห็นอย่างอาตมาตอนแรกก็ใจหายว่า ถ้าคลื่นมาขนาดนี้ชายฝั่งไม่เหลือแน่เลย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ท่านแค่ดันเอาความชื้นมา คลื่นมาเป็นกำแพงสูง ๕๐ - ๖๐ เมตร กวาดเอาความชื้นข้ามเขาตะนาวศรีมา พอผลักความชื้นมาได้ตามต้องการ คลื่นก็ลดระดับลงกลายเป็นปกติ ดูอย่างกับเล่นหนังเลย

เถรี
19-08-2018, 19:35
ถ้าหากว่าผู้นำเป็นที่ทรงความดี เป็นที่เกรงใจของพรหมเทวดา เรื่องอะไรที่ไม่เกินวิสัยท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ ไปนึกถึงว่าเทวดามีร่างกายต่ำสุดก็ ๓ คาวุตก็คือ ๑๒ กิโลเมตร แล้วทีนี้สูงสุดอย่างท้าวมหาราชท่านจะกี่กิโลเมตร ? ท่านแค่เอาไม้กระบองกวาดไปทีเดียว คลื่นมาตูมสูงขึ้นมา ๕๐ - ๖๐ เมตร อาตมาก็ไม่นึกว่ามีวิธีนี้ ไปคิดว่าท่านก็คงใช้ประเภทฤทธิ์บันดาลฝนฟ้า อ๋อ...ที่แท้เล่นวิธีธรรมชาติเลย

ถาม : สิ่งที่เราไม่รู้นี่มีเยอะจริง ?
ตอบ : ผมเองก็ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้รู้เรื่องพวกนี้เหมือนกัน

เถรี
19-08-2018, 19:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้โยมถวายอะไรมาก็มีคุณค่าทั้งหมด อาตมา กำลังเตรียมไปช่วยชาวบ้านเขา สอบถามไปทางหลวงพ่อนิลแล้ว ท่านบอกว่าน้ำยังไม่ท่วม พวกหมู่บ้านมีท่วมบ้างนิดหน่อย แต่ยังไม่หนัก ปีที่แล้วส่งไปช่วยท่านหมดคลังเลย"

เถรี
19-08-2018, 20:02
ถาม : สี่จังหวัดภาคใต้มีสิทธิ์หายไปจากแผนที่ประเทศไทยไหมครับ ?
ตอบ : ยาก...เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ต้องการแค่นั้น เขาต้องการทั้งประเทศ ในเมื่อเขาต้องการทั้งประเทศ ถ้าชาวพุทธประมาทก็เสร็จเขาหมด ก็อย่างที่บอกว่าเขาจ้างสื่อออกข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับศาสนาพุทธอย่างเดียวเลย พอถึงเวลาพวกเราไม่มีที่พึ่งอะไร ทอดทิ้งศาสนาเมื่อไร เขาก็จะเอาศาสนาของเขาเป็นศาสนาประจำชาติ

เถรี
19-08-2018, 20:08
ถาม : ตอนนี้บางท่านออกจากการเป็นเจ้าอาวาสครับ เพราะว่าโดนบีบ ?
ตอบ : กฎระเบียบใหม่มาบีบบังคับเจ้าอาวาสโดยเฉพาะ ทีนี้ถ้าใครไม่อยากยุ่งเกี่ยว อยากอยู่เงียบ ๆ ก็ลาออกกันหมด พวกนี้เขาประเภทบีบให้จนกระทั่งพระเราอยู่ไม่ได้ จนกระทั่งไม่มีพระเหลืออะไรประมาณนั้น เขาจะพยายามเล่นงานด้วยกฎหมายและทางวินัย

สมัยก่อนเราก็ทำแบบโปร่งใส รับกฐินเท่าไรแจ้งตัวเลขทุกบาททุกสตางค์ สมัยนี้แจ้งเมื่อไรจะมีคนเอาไปใช้แทน ตรงจุดนี้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดนเมื่อไร เพราะว่าของวัดเราถ่ายทอดสด เขาเห็น ๆ อยู่แล้ว ในเมื่อเขาเห็น ๆ ถึงเวลาเขาถามว่าเงินไปไหน ? ทำไมไม่เข้าบัญชีที่ต้องเสียภาษีก็เจ๊งเลย

ถาม : แต่คนให้เต็มใจ ?
ตอบ : คนให้เต็มใจ แต่เขาจะเอาภาษี เดี๋ยวนี้ทางด้านโน้นไม่ยอมออกบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีให้นะ บอกว่าแจ้งเลขมาก็ใช้ได้เลย เขาเองก็ไม่อยากมีข้อผูกมัดตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมีอยู่แล้ว

ถาม : เวลาตรวจสอบละคะ ?
ตอบ : ก็ตรวจสอบตามหมายเลขนั่นแหละ ถึงเวลาแล้วบัญชีจะโยงอยู่กับทางสรรพากร แล้วธนาคารเป็นคนออกใบโมทนาบัตร อย่างที่พวกเราเข้าไปบริจาคกัน บางทีก็ขำ ๆ ไปลองบริจาคกันคนละบาท ดูแล้วตลกดี

เถรี
19-08-2018, 20:12
เรื่องของภาษี โดยเจตนาเดิมก็คือเอาไปพัฒนาประเทศชาติ ในเมื่อพัฒนาประเทศชาติก็อยู่ในลักษณะเดียวกับสังฆทาน คือเพื่อส่วนรวม ก็พอรับกันได้อยู่ เพียงแต่ว่าคุณทำบุญทางด้านนี้มาขอแบ่ง จะแบ่งไปพัฒนาประเทศชาติได้เท่าไร ? ส่วนใหญ่เห็นไปพัฒนาศาสนาอิสลามกันหมด อันโน้นก็มัสยิด ๑๕๐ ล้านบาท อันนี้ก็มัสยิด ๘๐ ล้านบาท สร้างให้เขาได้สารพัด

แค่แถว ๆ ใกล้ ๆ เรานี่ วัดหลวงปู่เอี่ยม เขตแถววัดสะพานสูง จังหวัดนนทบุรี เขตนั้นมีวัดอยู่ ๓ วัด แต่มีมัสยิด ๒๐ กว่าหลังแล้ว ที่ ๒๐ กว่าหลังเพราอะไร ? เพราะว่าเขาออกกฎหมายง่าย ๆ ส่วนของเราคุณจะสร้างวัดได้ต้องมีที่อย่างน้อย ๖ ไร่ ต้องมีเงินทุนสนับสนุนแค่นี้ ต้องมีประชาชนสนับสนุนแค่นี้ ต้องมีถาวรวัตถุที่เป็นหลักเป็นฐานประมาณเท่านี้ถึงจะสร้างได้ ต้องห่างจากวัดอื่นอย่างน้อย ๒ กิโลเมตร แต่ของเขาไม่มี

ของเขาถ้ามีประชากรถึง ๑๕ คนหรือ ๗ ครอบครัวขึ้นไปก็สร้างมัสยิดได้หลังหนึ่ง และรัฐบาลต้องจ่ายเงินด้วย ของเราก็เรี่ยไรกันเองไปสิ แล้วเขาแต่งงานกันบันยะบันยังเสียเมื่อไรละ เพราะฉะนั้น ๗ ครอบครัวหรือ ๑๕ คนของเขาก็แค่พักเดียว

เถรี
19-08-2018, 20:16
ถาม : ที่ตำบลแม่สาย ลูกศิษย์รายงานว่ามีมัสยิดเยอะแยะเลย ?
ตอบ : แค่ด่านเจดีย์ ๓ องค์ พวกโรฮิงญามาจ่ออยู่สามแสนกว่า หลุดเข้ามาได้เมื่อไรนี่เป็นเรื่อง ทองผาภูมิไม่ใช่อำเภอที่ประเภทยอดฮิตเสียหน่อย ตอนนี้มัสยิดหลังที่ ๓ กำลังจะขึ้นแล้ว

ถาม : คนไทยเรานี่พอเข้าไปศาสนาเขาแล้ว เขาเลี้ยงดูอย่างดี เขาเล่ามา ?
ตอบ : เขามีเงินบริจาคที่บังคับบริจาคที่เรียกว่า ซะกาต แล้วทางตะวันออกกลางเขาส่งเข้ามาช่วยทีเป็นหลายพันล้าน หลายหมื่นล้าน ปัจจุบันนี้สร้างมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลกที่นครศรีธรรมราช จะแข่งกับพระมหาธาตุเมืองนคร

ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ มีประชากรเป็นอิสลามประมาณ ๕ เปอร์เซ็นต์ แต่สร้างมัสยิดใหญ่ที่สุดในโลก ก็เพราะว่ากฏหมายบ้านเมือง ตลอดจนกระทั่งผู้คนที่เขาสร้างมา ๔๐ กว่าปีตอนนี้กำลังให้ผล ก่อนหน้านี้เขายังต้องจ้างสื่อ ตอนนี้เขาขึ้นไปคุมสื่อระดับหัวหมดแล้ว ไม่ต้องจ้างแล้ว สั่งคำเดียวต้องลงข่าวให้เขา ก็คือลงข่าวทำลายพระให้มากที่สุด แล้วลงข่าวช่วยอิสลามให้มากที่สุด

เถรี
19-08-2018, 20:18
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าถ้าไม่มีมูลฝอยหมาก็ไม่ขี้ ฉะนั้น..พระเราต้องมีส่วนผิดด้วย เขาถึงไปทำลายตรงนั้นได้ ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าอยู่ ๆ ก็มีงานของพระครูวิลาศกาญจนธรรมออกสื่อบานเบิกเลย เพราะว่าถ้าเราไม่เอาส่วนดี ๆ อย่างนี้ไปสู้เขา เราก็จะสู้ไม่ได้ แต่ว่าพอยื่นหน้าออกไปก็เท่ากับเปิดหน้าชน อาตมาก็กลายเป็นเป้า หลวงพ่อพรหมดิลกขนาดอยู่ในคุกยังเตือนเลย “เล็ก...วัดเอ็งโดนแน่นอน” กราบเรียนว่า “ช่างหัวมันเถอะครับหลวงพ่อ ไหน ๆ จะเดินหน้าชนกันแล้ว”

เป้าหมายใหญ่ที่สุดของเขาอยู่ที่ว่าเอาวัดธรรมกายเป็นสุเหร่าอิสลาม ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเขาล้มธรรมกายสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ว่าคนไทยเราขาดการตระหนักรู้ตรงนี้ พอถึงเวลาใครพูดขึ้นมา พวกสื่อก็จะยัดคำพูดประเภทว่า "สร้างความแตกแยก" แต่ถ้าเวลาเขาพูดก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คำว่าสร้างความแตกแยกไม่มี กลายเป็นเขาพูดอะไรก็ถูก แต่เราพูดอะไรก็ผิด คราวนี้พอถึงเวลาปล่อยให้กฎหมายออกมาลักษณะอย่างนี้ ก็ต้องทนรับกรรมกันไป

เถรี
19-08-2018, 20:22
คนไทยเราส่วนมากนับถือศาสนาพุทธแต่ทะเบียนบ้านเท่านั้น ไม่ได้มีใจที่จะคิดสนับสนุนช่วยเหลือหรือป้องกันพระพุทธศาสนา แต่พอถึงเวลาเห็นอะไรที่ไม่เข้าท่าไม่เข้าทาง แม้แต่พวกเขาปลอมบวชเข้ามา แล้วไปทำชั่วให้คนเขาเห็นก็รุมกันด่าเลย พูดง่าย ๆ ว่า "เรื่องดีไม่เคยช่วย แต่เรื่องชั่วเมื่อไรซ้ำเติมทันที" ทั้ง ๆ ที่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์

แบบเดียวกับตอนที่อาตมาเป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัด กาญจนบุรีอยู่ ๕๙๐ กว่าวัด บวกสำนักสงฆ์ เฉลี่ยก็ ๖๐๐ แล้วกัน ต่อให้เกิดเดือนละครั้ง เกิดเดือนละครั้ง ปีหนึ่ง ๑๒ ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ไหม ๖๐๐ วัด ? คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยังไม่ได้เลย แต่พอเกิดนี่เขาจะช่วยกันด่าชนิดจมดิน ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ปลาเน่าตัวเดียว แต่ว่าเหม็นไปทั้งข้อง

ถึงได้ต้องคอยเตือนพระรุ่นหลัง ๆ ว่า ทำอะไรให้ระมัดระวังด้วย เพราะว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้เสียหายเฉพาะตัวเอง แต่เสียหายถึงส่วนรวม โดยเฉพาะเสียหายถึงพระศาสนา แล้วทำให้คนที่เลื่อมใสศรัทธาก็เสื่อมศรัทธา คนที่ไม่เลื่อมใสศรัทธายิ่งเป็นข้ออ้างใหญ่เลย

เถรี
19-08-2018, 20:26
พวกนี้ประเภทส่วนใหญ่ประเภทปีหนึ่งจะได้ทำบุญสักครั้งก็ยาก แต่เรียกร้องเหลือเกิน ถึงเวลาพระต้องดีอย่างนั้น พระต้องดีอย่างนี้ แบบเดียวกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน บวชยังไม่เคยบวชเลย จะมาตั้งแง่ว่าพระจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้

แม้กระทั่งว่าพระบวชแล้วห้ามสึกอย่างนี้ คนยิ่งไม่บวชอยู่แล้วไปตั้งกติกาว่าพระบวชแล้วห้ามสึก ลองไปถามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสิ ว่าพระองค์ท่านทำไมถึงสึก ? มึงไม่แน่จริงนี่หว่า ?

ประเพณีไทยของเราบวชตามประเพณี บวชเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาว่าดีอย่างไร โดยเฉพาะบวชเพื่อฝึกความอดทน ความมีวุฒิภาวะ การโดนตีกรอบ โดนกดดันด้วยศีลพระอยู่ตลอด ๓ เดือน ถ้าคุณสามารถอดทนอยู่ได้ แปลว่าวุฒิภาวะของคุณมั่นคงพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้แล้ว

สมัยก่อนเขาถึงได้มีการบวชก่อนที่จะเบียด คราวนี้ตั้งกติกามาแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่กติกาชาวบ้านตั้ง ประเภทให้พระบวชแล้วให้พระทำ เป็นไปได้ไหม ? ถ้าเกิดว่าพระบังคับให้ชาวบ้านทุกคนต้องถือศีล ๒๒๘ จะทำไหม ? ศีลพระมี ๒๒๗ ข้อ เพิ่มอีกข้อหนึ่ง ข้อที่ ๒๒๘ ก็คือฆราวาสทุกคนต้องปฏิบัติตามนี้ ให้เป็น ๒๒๘ ข้อ ดูสิว่าจะทำกันไหม ? คราวนี้เป็นฆราวาสไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่มาตั้งกติกาให้พระทำตาม

เถรี
19-08-2018, 20:29
ถาม : ที่มีประกาศว่า คนที่บวชแล้ว มรดกที่ได้มาแต่เดิม...?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่จำหน่ายจ่ายโอนภายใน ๓๐ วันนี่ ยึดเป็นของกลางหมด เป็นศาสนสมบัติกลางหมด เพราะฉะนั้น...เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องเข้าบัญชี ก็คือศาสนสมบัติกลาง คราวนี้วัดวาอารามจะพังจะทรุดจะโทรมอย่างไร ก็ไม่ต้องมีเงินไปซ่อมไปแซมแล้ว เพราะอะไรที่เข้าไปอยู่ในระบบราชการนี่เอาออกมายากสุด ๆ ทำไปแค่ที่ทำได้ สู้ไปแค่ที่สู้ไหว ไม่ต้องไปกังวล

พระพุทธศาสนาของเราเป็นของจริง เป็นของแท้ ถ้าหากว่าทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำจนเกิดผล เป็นสิ่งที่เรียกร้องศรัทธาได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น...มีอยู่อย่างเดียวก็คือทำให้จริงเท่านั้น

เถรี
19-08-2018, 20:37
ตอนนี้อาตมากำลังขยายชุมชนคุณธรรม เอาให้ทั่วทองผาภูมิให้เร็วที่สุด เห็นบริเวณไหนที่เขามีศักยภาพพอนี่ คุณรีบเสนอมาเลย ถ้าตั้งคณะกรรมการมา อาตมามีสิทธิ์เซ็นอนุมัติได้ เพราะว่าเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอ ในเขตอำเภอนั้นอาตมาเซ็นตั้งได้ทุกคน ตอนแรกก็ยังสงสัยว่าตำแหน่งการเมืองนี้หล่นมาแล้วมีประโยชน์อะไร ปรากฏว่าตอนนี้หาวิธีใช้ประโยชน์ได้แล้ว

คราวนี้ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เดี๋ยวพอปีหน้าต้องเลือกตั้งใหม่ตอนปลายปี จะโดนกีดกันสุดชีวิตหรือเปล่า ? เพราะว่าพอมีตำแหน่งนี้ไปแล้วกลายเป็นว่าทำงานใหญ่ขึ้นได้

เถรี
19-08-2018, 20:40
ทุกตำบลจะต้องมีตัวแทนมาเข้าสภา ทีนี้เราจะไปรู้ไหมว่าตำบลไหนที่คนของเขาจะเสียบเข้ามาแทน ?

ถึงเขาถอดออกจากตำแหน่ง อาตมาก็ทำงานได้ ไปสนใจอะไรกัน คนเราถ้าจะทำงานเสียอย่าง มีตำแหน่งไม่มีตำแหน่งก็เหมือนกัน ถึงได้บอกกับบรรดาเจ้านาย เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอว่าไม่ต้องตั้งให้ผมเป็นอะไรหรอก ผมเป็นแค่อาจารย์เล็กอย่างเดียวก็พอแล้ว เพราะว่าจะถอดหรือไม่ถอด จะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง ผมก็ทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ทำแล้วไม่ได้ออกสื่อ ระยะนี้ที่ออกสื่อเพราะว่าไม่ออกแล้วไม่มีข่าวดีไปคานเขา มีแต่ข่าวร้ายอย่างเดียวก็แย่

บรรดาเพื่อน ๆ พระสังฆาธิการร่วมรุ่น พระอุปัชฌาย์ร่วมรุ่น นักเทศน์ร่วมรุ่น เจ้าอาวาสเขาเห็นงานแล้วตกใจ ถามว่า "นี่ทำงานเยอะขนาดนี้เลยหรือ ?" บอกว่า "เออ...แต่ไม่เคยบอกเท่านั้นเองว่าทำอะไร" คราวนี้พอมีไลน์เพื่อที่จะได้ประสานงานกันสะดวก ถึงเวลาก็ส่งงานให้เขาดู เจอเข้าไปแต่ละคนสลบกันหมด ถามว่า "เอาแรงที่ไหนมาทำ ?" ถึงได้บอกว่า "ต่อไปพวกเอ็งอย่าบ่นว่าเหนื่อย ถ้าจะบ่นว่าเหนื่อยได้คือข้าเองที่มีสิทธิ์...!"

เถรี
21-08-2018, 09:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้อาตมากินยาเป็นอาหาร ได้กลิ่นแล้วอย่าเพิ่งอาเจียน รสชาติก็ไม่ได้แย่เท่าไรหรอก เพราะว่าอาตมากินยามาแล้วทุกชนิด ประเภทกลืนลงไปแล้วขมติดคอไป ๓ วันก็ยังมี ฉะนั้น...ยาพวกนี้ถือว่ารสชาติไม่แย่มาก พอที่จะยกเทรวดเดียวหมดได้

มีแต่คนสงสัยว่ากินเป็นไปได้อย่างไร ? ก็กินเป็นยา ไม่ได้กินเป็นขนม ถ้ากินเป็นขนมก็เอาอร่อยหน่อย ดังนั้น...โปรดกินอาหารเป็นยา ไม่อย่างนั้นท่านต้องกินยาเป็นอาหาร เจ้าของบริษัททาทาในอินเดียเขาบอกไว้

คำว่า ทาทา ในอินเดีย ไม่ใช่ภาษาอินเดียนะ มันเป็นภาษาอูรดู ออกเสียงต่าต้า ต่าต้าคราวนี้เขียนภาษาอังกฤษ คนไทยอ่านว่าทาทา ต่าต้าก็คือ ฮัลโหล..สวัสดี"

เถรี
21-08-2018, 09:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ากินยาแบบช้า ๆ จะรู้รสนาน แล้วจะเบื่อไม่อยากกิน ฉะนั้น...ต้องกินเร็ว ๆ"

ถาม : ยาอะไรเจ้าคะ ?
ตอบ : อันนี้เรียกยาคูณธาตุสำหรับคนแก่ แก้อาการธาตุพร่อง ร่างกายเรามีธาตุหลัก ๆ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ อากาศเราหายใจเข้าไป ดิน น้ำ ลม ไฟจะพร่องไปเรื่อยตามอายุ ถ้าเป็นหมอสมัยใหม่เขาเรียกว่าฮอร์โมนพร่อง

คนโบราณเขาเก่ง เขาศึกษาเรื่องธาตุคนและเรื่องยาแต่ละอย่างว่าเป็นธาตุอะไร ถึงเวลาก็คิดเป็นตำราขึ้นมา เขาใช้อายุของเรา คูณขึ้นมาก็จะได้ว่าแต่ละปีของเราธาตุไหนบกพร่อง แล้วจัดยามาให้ ไม่ใช่จัดส่งเดชนะ เพราะว่าแต่ละธาตุพร่องไม่เท่ากัน ก็ต้องจัดตามมาตราส่วนมากน้อยกว่ากัน

ถาม : ต้องเทียบวันเดือนปีเกิดของแต่ละคน ?
ตอบ : ต้องมีวันเดือนปีเกิดเลย ถ้าไม่มีไม่ได้ คราวนี้ร่างกายของคน ถ้าหากว่าธาตุพร่องก็เจ็บป่วย พร่องมากเกินไปก็ตาย ธาตุลมขาดธาตุไฟก็ดับ เพราะไม่มีลมไปเสริม พอธาตุไฟดับ ธาตุน้ำก็ล้น เพราะไม่มีไฟไปคุมให้ระเหยออก ธาตุน้ำก็ล้นจนบวมฉึ่ง ท้ายสุดน้ำก็ไปก็ทำลายธาตุดิน ผิวกายแตกปริ น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลโทรมไปทั้งตัว

เรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับธาตุ คนโบราณลึกซึ้งกว่ามาก แต่คนรุ่นใหม่ ๆ มักจะไปคิดว่าคนโบราณโง่เง่าเต่าตุ่นไม่ทันสมัย พวกทันสมัยนี่เรียนให้ตายก็ยังไม่ทันหรอก

ถาม : ยาคูณธาตุรสชาติแย่มากไหมคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าพอทนสำหรับคนที่เคยกินอะไรที่แย่กว่านี้มาแล้ว เป็นการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าปล่อยวางได้ไหม ปล่อยวางได้ก็กินได้ ปล่อยวางไม่ได้ก็..ยี้...แหวะ..!

เถรี
21-08-2018, 09:58
"อายุไม่เท่าไรก็เตรียมตัวตายกันแล้ว อาตมายังโดนบังคับให้อยู่ยั้งยืนยง ต้องกินยาไปเรื่อย เข้าใจคำว่ายาไหม ? ที่โบราณพอเรือรั่วก็เอาชันไปอุด เรียกว่ายาเรือ พอคนรั่วก็เอายาไปคุม ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ คำโบราณส่วนใหญ่แล้วลึกซึ้ง แต่เราเดาไม่ค่อยจะถูก ไปไม่ค่อยจะถึง"

เถรี
21-08-2018, 10:03
พระอาจารย์กล่าวกับพระว่า "ช่วงที่มีการเสวนา งานนี้คือเรื่องของยาเสพติดที่ระบาดในวัด หน่วยงานที่มามี ปปส. ตำรวจจังหวัด หน่วยเฉพาะกิจในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในภาคที่ ๗ กระทรวงวัฒนธรรม เพราะว่าเกี่ยวกับวัด แต่ละคนโยนข้อหาให้พระ ผมโยนข้อหาคืนไปหมดแหละ ว่าเป็นเพราะพวกเขาที่ทำให้ยาระบาดในวัด เรื่องอะไรจะให้เขากล่าวหาเราอยู่ฝ่ายเดียว

ออกกฎหมายมา ยาบ้า ๒,๐๐๐ เม็ดประหารชีวิต เขาก็ต้องเอาให้คุ้ม มาที ๓ – ๔ ล้านเม็ด แล้วจะไม่ระบาดหนักกว่าเดิมได้อย่างไร ? ถึงเวลาประเภทติดยาหาทางออกไม่ได้ วัฒนธรรมประเพณีไทยก็ส่งเข้าบวชในวัด ถ้าเจ้าอาวาสไม่โหดจริงเอาพวกนี้ไม่อยู่หรอก ก็ระบาดใหญ่ พวกนี้ไปเมื่อไรก็จะดึงพวกติดยาเข้าไปด้วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจล่ะ ? ในเมื่อคุณรู้อยู่ว่าพวกนี้อยู่ในวัดตรงนี้ มีแล้วทำไมไม่มีการป้องปราม จะไปรออย่างเดียวให้คนแจ้งความมีหลักฐาน ค่อยออกหมายค้นหมายจับจะทันกินไหม ?"

เถรี
21-08-2018, 23:04
"ปปส. ค่อยยังชั่วหน่อยที่มีการทำโครงการดี ๆ แบบนี้มาบ้าง แต่ก็ยังคงมายื่นข้อหาใส่พระเณรอยู่ดี พระต้องบอกว่า ที่ยาบ้าระบาดทุกวันนี้เป็นเพราะตำรวจทหาร ตำรวจทหารเป็นคนคุม พ่อค้าเป็นคนขาย เพราะฉะนั้น...แบ่งเฉลี่ยความผิดกันไป ไม่ใช่โยนให้พระอย่างเดียว ของพระแก้ที่ปลายเหตุ

ต้นเหตุเลยก็คือครอบครัว สถาบันครอบครัวล่มสลาย พ่อแม่ออกไปทำงานทั้งคู่ ไม่มีใครอบรมลูก ไปโรงเรียนสถาบันครูก็ล่มสลาย ล่มสลายตรงไหน ? ใครสอบเข้าอะไรไม่ได้ก็เข้าวิทยาลัยครู เอาพวกเหลือเลือกแล้วมาสอนคนอื่น แล้วจะดีได้อย่างไร ? คนเก่งไม่มี ทั้งบ้านทั้งครูช่วยกันสอนมาจนลูกอายุ ๒๐ ปีถึงจะบวชได้ สอนกันมา ๒๐ ปียังเอาดีไม่ได้ มาบวชพระ ๑๕ วันจะให้ดีเลย เป็นไปได้ไหม ?"

เถรี
21-08-2018, 23:13
"อย่าให้เขากล่าวหาวัดอย่างเดียว ด่าเขาคืนไปบ้าง ด่าไพเราะอย่างนี้แหละ มีพวกเรา (พระ) ประเภทตั้งกระทู้แรง ๆ ถามขึ้นไป "ในเมื่อตำรวจทหารผิด รู้ ๆ อยู่ ทำไมถึงไม่จัดการ ?" ตอบไปว่า "คุณดูสภาพความเป็นจริงไหม ? อันดับแรกไม่มีหลักฐาน แล้วใครจะไปจัดการได้ ไปขอหมายศาล ศาลจะออกให้คุณหรือถ้าไม่มีหลักฐาน ? แค่ได้ยินเขาว่า ต่อให้รู้ ๆ ว่าเขาทำ แล้วถ้าหากต่อกันมา ๗ ช่วง ๘ ช่วง แล้วจะถึงตัวคนผิดไหม ?

ถ้าคุณไปกล่าวหาว่าทหารตำรวจเขาทำ ก็เป็นเพียงส่วนนิดเดียวเท่านั้นเอง เป็นจุดดำจุดเดียวในผ้าขาว แล้วไปกล่าวหาว่าเป็นทหารตำรวจทั้งหมด ก็พอ ๆ กับที่คุณโยนขี้มาบอกว่าพระผิดนั่นแหละ พระ ๒ แสนกว่ารูปมีผิดกี่รูป ? คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยังไม่ได้เลย ฉะนั้น...ของพวกนี้จึงต้องร่วมมือกัน"

นึกถึงสภาพความเป็นจริงบ้าง ว่ารัฐบาลนี้พยายามจะแก้ไขพวกข้าราชการคอรัปชั่นอยู่ ถ้าเขาทำไม่ทันก็รอรัฐบาลใหม่ ถ้ารัฐบาลใหม่ทำไม่ทัน คุณก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านตรัสว่า "ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น" อย่าไปใจร้อน

ด่าไม่ดูหน้าคนเลย ตำรวจทหารนั่งเต็มเวที ส่วนใหญ่เขาไปคิดว่าแรงแล้วเท่ ไม่ดูกาลเทศะ แรงได้..แต่ให้อยู่ในกรอบ พูดง่าย ๆ คือพูดให้ชัด แต่อย่าให้เขาเตะถึง"

เถรี
21-08-2018, 23:20
"อาตมาลงมาบอกท่านมหาจีรพันธ์ว่า "พรุ่งนี้หาดี ๆ หน่อยนะ ถ้าไม่ได้เขาต้อนตายเลย โดยเฉพาะพิธีกรสองคนจากหน่วยเฉพาะกิจ รับส่งลูกกันสุดยอดเลย มีแล่บออกข้างนอกด้วยนะ"

ในเมื่อหลวงพ่อชัดเจนขนาดนี้ ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งครับ “พระขับรถได้ไหม ?" ก็ถามเขาว่า "แล้วโยมเห็นเขาขับไหมล่ะ ? ถ้าเห็นเขาขับต้องแสดงว่าเขาขับได้สิ ถ้าขับไม่ได้จะเอารถไปได้อย่างไร เพียงแต่ว่าสมควรไหม ?”

“เรื่องนี้ไม่ได้มีข้อห้ามอยู่ในศีลพระ แต่เนื่องจากชาวบ้านเห็นว่าไม่สมควร เราก็มาเอาข้ออ้างในการตีความพระธรรมวินัยในมหาปเทส ๔ ของพระพุทธเจ้ามาจับ "ของที่สมควร พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม เพราะว่าสมัยนั้นไม่มี แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร ของนั้นย่อมไม่สมควร" ในเมื่อพิจารณาแล้วว่าการขับรถของพระไม่สมควร ก็เป็นของที่ไม่สมควรแน่ ๆ เพียงแต่เขาปรับแค่อาบัติทุกกฎ คือทำอาการประหนึ่งฆราวาส ถามว่าอาบัติทุกกฎหนักแค่ไหน ? ก็หนักเท่ากับยืนฉี่เท่านั้นเอง"

ชี้แจงไปให้ชัดเจน ดูความจำเป็นของเขาด้วย ถ้าเกิดว่าวัดวาอารามอยู่ในป่าไป ๔๐-๕๐ กิโลเมตร โยมก็ไม่อยู่ขับรถให้เขา เจ็บไข้ได้ป่วยจะตายขึ้นมาใครจะขับล่ะ ? ก็ต้องพระขับเอง ทำอะไรต้องดูบริบท ดูกาลเทศะ ไม่ใช่ถึงเวลาก็ตำหนิอย่างเดียว

ทำไมโยมไม่คิดบ้าง ในเมื่อเรารู้อยู่ว่าการเล่นหวยบนดิน ใต้ดิน เป็นของไม่ดี กินเหล้าเป็นของไม่ดี สูบบุหรี่เป็นของไม่ดี แล้วทำไมโยมไม่ไปด่ารัฐบาล ไม่ไปปิดโรงงานพวกนี้ จะได้หมดเรื่องหมดราวไป เขาไม่ผลิตออกมาคนก็ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเล่นกัน แต่ดันมามองว่าพระขับรถก็ผิดแล้ว

ต้องเล่นคืนให้ได้ อย่าปล่อยให้เขาสอยเราฝ่ายเดียว เอาคืนไปบ้าง ขึ้นเวทีพวกนี้เป็นอะไรที่สนุกมากเลย จนเพลแล้วเขายังไม่อยากลุกเลย อยากฟังต่อ อาตมาบอกว่า “ไป ๆ ๆ ฉันเพลกันได้แล้ว ผมมีธุระ ต้องเข้ากรุงเทพฯ แล้ว”

เถรี
22-08-2018, 21:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมหลายคนเริ่มจะใกล้เคียงกับที่อาตมาเคยทำสมัยโน้น ถามว่าสมัยโน้นคือสมัยไหน ? สมัยก่อนอายุ ๒๐ ปี สมัยนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงมารับสังฆทานที่บ้านสายลม พี่ชายก็ไปทำบุญทุกต้นเดือน พอพี่ชายชวนทำบุญ อาตมาก็ฝากเงินไปทำบุญเดือนละ ๑๐ บาท ถามว่า ๑๐ บาทตอนนั้นมีราคาแค่ไหน ? สมัยนั้นกล้วยหอมลูกละ ๕๐ สตางค์ เดี๋ยวนี้อยู่ในร้านสะดวกซื้อลูกละ ๘ บาท..!

ทำอย่างนั้นอยู่เป็นปี ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดสงสัยว่า หลวงพ่อท่านมีอะไรดี ถึงต้องไปทำบุญอยู่ทุกเดือน ? ต้องไปดูเสียหน่อย ปรากฏว่าไปแล้วไม่หน่อย หลังจากนั้นก็ไปทุกเดือน แล้วเป็นคนชอบไปไหนแต่เช้า ออกไปถึงบ้านสายลม ไปนั่งรอ พอ ๘ โมงครึ่ง หลวงพ่อท่านก็ลงมารับสังฆทาน พอท่านลงมาก็ไปเข้าคิวถวายกับท่าน ถวายเสร็จก็กลับ เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปี ๆ

จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งเกิดสงสัยว่า แล้วตอนบ่ายเขาทำอะไรกัน ? ด้วยความสงสัยก็เลยอยู่ดูต่อไป ก็ปรากฏว่าช่วงบ่ายโมงมีการฝึกมโนมยิทธิ จึงเข้าร่วมการฝึกกับเขา ด้วยความที่ซื่อมากตามประสาเด็กบ้านนอก ไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย บรรดาพี่ป้าน้าอาเตรียมเครื่องบูชาครูให้ ดอกไม้สามสี สีละ ๑ ดอก ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม และเขาบอกว่าเงิน ๑ สลึงเป็นทานบารมี เธอต้องออกเอง ด้วยความซื่อมาก จึงวิ่งไปยังปากซอยเพื่อแลกเหรียญสลึงมา ไม่รู้ว่าใส่เกินก็ได้

ฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกก็ได้เลย พี่ชายไปอยู่ตั้งหลายปีฝึกไม่ได้สักที ด้วยความรู้สึกเดียวกับอาตมาในระยะแรก ๆ คือต้องตาเห็นเท่านั้น"

เถรี
22-08-2018, 21:50
"จนกระทั่งหลวงพ่อท่านลงมารับรับสังฆทานช่วงบ่าย พอช่วงเย็นท่านขึ้นข้างบนอาตมาก็กลับบ้าน หลังจากนั้นบรรดาพี่ป้าน้าอาเห็นว่าเป็นเด็กวัยรุ่น ใช้งานสะดวกก็เรียกใช้ แต่พอถึงสี่โมงเย็น หลวงพ่อท่านขึ้นข้างบนก็กลับ ทำอย่างนั้นอยู่เรื่อย จนกระทั่งท้ายสุดก็อยากรู้ว่า แล้วกลางคืนเขามีอะไรกัน ? ก็อยู่ต่อ เห็นว่าเขามีการฝึกกรรมฐานรอบค่ำกัน ก็ไปร่วมฝึกกับเขาด้วย หลังกรรมฐานถวายสังฆทานกับหลวงพ่อเสร็จก็กลับ ก็ยังอยู่แบบนั้นอีกเป็นปีเหมือนกัน

พองานเยอะขึ้น บรรดาลุงบรรดาป้าอายุมากขึ้น ทำงานช้าลง เรียกใช้มากขึ้น ท้ายสุดก็ค้างที่บ้านสายลมนั่นแหละ ออกจากบ้านหลังเที่ยงวันศุกร์ กลับเข้าบ้านเช้าวันอังคาร

ระยะนั้นไปวัดเฉพาะตอนวันงาน หลังจากที่ค้างบ้านสายลม คราวนี้ก็ไปวัดก่อนงาน ๒ วันเพื่อไปเตรียมงาน หลังงานเลิกก็เก็บงานอีก ๑ วันถึงจะกลับบ้าน

จากที่กล่าวมานี้ถึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เรื่องของการสร้างบารมีจะเข้มข้นขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เราทำจริง ๆ จัง ๆ และสม่ำเสมอ อยู่ที่นี่อาตมาสังเกตว่าหลายคนก็เริ่มอยู่ยาวกันแล้ว เช้ากลางวันเย็นกลางคืน เสียดายที่นี่ไม่มีที่ให้พัก จริง ๆ บ้านสายลมก็ไม่มีที่ให้พัก แต่อาตมาเป็นคนกินง่ายนอนง่าย ถึงเวลาก็มุดเข้าห้องกรรมฐานนอนที่นั่นแหละ

พวกเราอย่าเอาหนักขนาดนั้นเลยนะ คงไม่เล่นกันเป็นอาชีพอย่างอาตมา เอาแค่ว่าพอหลังกรรมฐานภาคค่ำก็ให้รีบกลับ"

เถรี
22-08-2018, 22:07
"ชีวิตสมัยนั้นต้องบอกว่าอาชีพหลักคือไปวัด อาชีพรองคือทำงาน เถ้าแก่ก็ต้องจ่ายงานให้คุ้มกับที่อาตมาไม่ค่อยจะอยู่ เนื่องจากว่าฝีมือดีจึงเลือกได้ ไปทำงานที่ไหนก็บอกเจ้านายเสมอว่า "ถ้าคิดว่าสิ่งที่ผมทำนี้ไม่ดี ก็ไล่ผมออกแล้วกัน" แต่ไม่มีใครไล่ออก ท้ายสุดกลายเป็นว่า เถ้าแก่จะรู้กำหนดการของวัดท่าซุงดีกว่าอาตมาอีก เพราะเขาจะต้องศึกษาเลยว่า ช่วงงานวัดอาตมาจะต้องไปกี่วัน ? ช่วงบ้านสายลมอาตมาจะต้องไปกี่วัน แล้วจ่ายงานเผื่อไว้เลย

อาตมาเป็นคนไม่กลัวงานหนัก ขอให้ได้ทำสิ่งที่ตนเองชอบ งานหนักแค่ไหนก็สู้ โดยเฉพาะทำงานไปภาวนาไปจะไม่รู้สึกว่าเหนื่อย ก็เลยเป็นลูกน้องบรรดาศักดิ์ เจ้านายเขาไม่อยากไล่ออก เพราะกลัวว่าอาตมาไปอยู่ที่อื่นแล้ว จะมาเป็นคู่แข่งของตัวเอง ฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครเป็นประเภทเดียวกันแบบนี้ก็หยิ่งได้

แต่คนสมัยนี้ไม่เห็นจะต้องรอใครไล่ออก ส่วนใหญ่ทำที่ไหน ๓ เดือน ๖ เดือนก็ลาออกกันหมดแล้ว อ้างว่ามีประสบการณ์การทำงาน ไปสมัครงานที่อื่นง่ายขึ้น กำลังใจที่ทุ่มเทให้กับหน่วยงานไม่มี ถ้าอาตมาดูประวัติแล้ว คนประเภทนี้จะไม่รับเข้าทำงานเลย เพราะว่างานของเราจะกลายเป็นทางผ่านเท่านั้น

ต้องดูอย่างญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเข้าทำงานบริษัท ทุ่มเทยิ่งกว่าเป็นงานของตัวเอง ทำกันชนิดตายคาบริษัทไปเลย เข้าทำงานที่ไหนได้ก็ไม่เปลี่ยนงานจนกว่าจะเกษียณอายุ เกษียณอายุแล้วก็ยังไปหางานอื่นทำ ถ้าใครไปญี่ปุ่นจะเห็นว่า คนทำงานส่วนใหญ่เป็นระดับคุณลุงคุณป้าทั้งนั้น"

เถรี
22-08-2018, 22:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฎีกาเขาบอกว่า ๑ หัวเข็มหมุด เทวดาสามารถอยู่ได้ตั้ง ๘ องค์"

เถรี
22-08-2018, 22:29
ถาม : เราเคยไปช่วยคนแล้ว เขาทำกับเรากลับมาไม่ดี รู้สึกเคือง ยังละไม่ได้ ?
ตอบ : เรายังใช้ปัญญาพิจารณาไม่พอ ทำอย่างไรที่เราจะเห็นว่า โกรธหรือไม่โกรธเราก็ตาย โกรธหรือไม่โกรธเขาก็ตาย เรื่องพวกนี้เหมือนอย่างกับพูดง่าย เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องกำลังของสมาธิเพียงพอ กดกิเลสให้อยู่ก่อน พอนิ่งแล้ว หลังจากนั้นเราค่อยไปแก้ไขกัน อย่างเช่นว่าจะตัดจะละกันแบบไหน ทำอย่างไรเราถึงจะไม่รู้สึกในเรื่องนี้อีก

แรก ๆ ก็อาจจะต้องอยู่กับการภาวนาให้เป็นปกติ เพื่อที่กำลังใจจะได้ไม่หลุดไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็ค่อย ๆ พิจารณา ค่อย ๆ ตัด ค่อย ๆ ละไป เราเองโกรธหรือไม่โกรธเราก็ตาย เราเองโกรธหรือไม่โกรธเขาก็ตาย ใจเราค่อย ๆ คลายออกมา ท้ายสุดไม่ไปแตะต้องอีกก็จบ ตอนนี้ก็ทนไปก่อนแล้วกัน

เถรี
25-08-2018, 07:50
ถาม : พระธาตุมอละอิตกับมอละอะอันเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : คนละองค์กัน เป็นเจดีย์คู่ ยุคนั้นอาตมาวางแผนว่าจะไปอย่างดี แต่ไปไม่ได้สักที ตอนนี้มีโอกาสไป แต่ก็หมดอารมณ์ไปแล้ว

ถาม : เขาบอกว่าปีหนึ่งเปิดแค่ ๓ เดือน ?
ตอบ : ตอนนั้นจะไปจากทางด้านหนองบัว ต้องนั่งรถไป ๒ วัน อุตส่าห์เช่ารถไว้ดิบดี ปรากฏว่าพม่ากำลังรบกับกะเหรี่ยง เขาเลยไม่ให้ผ่าน

ถาม : อยู่ในรัฐอะไรหรือครับ ?
ตอบ : รัฐกะเหรี่ยงต่อไทยนี่แหละ อีกครั้งหนึ่งท่านโมเช่จะพาเดินป่าจากฝั่งไทยลัดข้ามไป ปรากฏว่าหลงกันอยู่ ๒ วัน หลงแบบตลกมากเลย เจอรอยเท้าคน โอ้ย...ดีใจ รีบเดินตาม ที่ไหน...ได้รอยเท้าตัวเอง เพราะว่าจำรอยหยักของรองเท้าได้

เถรี
25-08-2018, 07:59
พระอาจารย์เล่าว่า "ยอดเขาเอเวอร์เรสต์เป็นเรื่องมหัศจรรย์ อินเดียเรียกว่าไกรลาส เพราะว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าของเขา เนปาลเรียกว่าสักการะมาตา แปลว่า คุณแม่ที่เคารพอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษเขียนคำอ่านแค่ ซาการ์มาทา ทิเบตเรียกว่า โชโมลังมา เหมือนกันเลย แปลออกมาอย่างเดียวกัน ไปที่โน่นแล้วจะรู้ว่าตัวเราเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของโลกเท่านั้นเอง ถ้าเปรียบเทียบกับจักรวาลก็เป็นแค่เศษฝุ่นชัด ๆ"

ถาม : คนที่ไปไต่ยอดเขาได้ต้องใช้ความสามารถสูง ?
ตอบ : กำลังกาย กำลังใจ และกำลังเงิน ถ้าเงินไม่พอก็ขึ้นไม่ได้ เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก ต้องจ้างลูกหาบด้วยอะไรด้วย เป็นหมื่นดอลลาร์ เอาชีวิตไปทิ้งกันไม่รู้เท่าไรแล้ว ตอนแผ่นดินไหวที่เนปาล ที่ Base Camp ก็โดนถมไป ๑๗ ศพ นอนอยู่ดี ๆ หิมะถล่มลงมาเป็นภูเขาเลากา จนป่านนี้ยังหาศพกันไม่ครบเลย แต่ก็อยู่นั่นแหละไม่เป็นไรหรอก อย่างไรก็ไม่เน่า จะช้าจะเร็วก็หาจนเจอ

เถรี
25-08-2018, 08:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องความดันขึ้นอาตมาไม่กลัวหรอก เกิดมายังไม่เคยเป็นเลย ยกเว้นตอนมาลาเรียกำเริบ ที่ไม่เคยเป็นเพราะว่า ถ้าสมาธิทรงตัวความดันไม่ขึ้นหรอก"

ถาม : ถ้าเป็นความดันต่ำ ก็ไม่ลงด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ลง ขนาดช็อกแล้วยังไปต่อได้

เถรี
25-08-2018, 08:17
พูดถึงหนังสือที่โยมมาถวาย "ขยันซื้อมาอ่านกัน เสร็จแล้วก็เอามาถวายพระต่อ ประเภทนี้เป็นทาสทาน อ่านเสร็จแล้วค่อยเอามาถวายพระ"

เถรี
25-08-2018, 08:25
ถาม : มีคนเชื่อว่าเขาโดนทำเสน่ห์ และตอนนี้เขามีอาการทางจิตแล้ว หมอคิดว่าเป็นไบโพลาร์ พวกทำเสน่ห์เหมือนกับใส่ยากล่อมประสาทหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าจะแก้กันให้ถึงรากเลยก็ให้เขาฝึกกรรมฐาน ทรงฌานให้ได้ โดยเฉพาะปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ไสยศาสตร์พวกนี้จะโดนทำลายหมดไปเอง เพราะสภาพจิตตัวเองบริสุทธิ์กว่า ประการที่สอง...ถ้าหาอะไรไม่ได้ ก็เอาน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุงให้เขากินลงไป

เถรี
25-08-2018, 08:34
ถาม : การดูพระหลวงปู่ปานขี่ไก่ว่าแท้ ตรงไหนที่เป็นจุดตาย ?
ตอบ : อันดับแรกเลยอักขระทุกตัวจะนูนเด่นชัดขึ้นมา อันดับที่สองคือตาจะกลมชัดเจน แล้วหลังจากนั้นค่อยไปดูเนื้อ ถ้าผิดเนื้อผิดพิมพ์ก็เจ๊งเลย อย่างนี้คือพิมพ์ หลังจากนั้นเราก็ค่อยไปศึกษาวัสดุ ว่าถ้าดินท้องนาแบบนี้ถึงเวลาเขาทำออกมาแล้ว การเผาถ้าโดนไฟแรงเป็นอย่างไร ถ้าโดนไฟอ่อนเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นเสียของดีไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากว่าโดนไฟแรงจะแกร่งเป็นสีแดง ถ้าเราดูเป็นอย่างเดียวก็ตาย เสียของดีไปโดยไม่รู้ตัว

การเล่นพระหรือเล่นเครื่องราง เขาให้เล่นไปทีละอย่าง ทำเป็นสักอย่างหนึ่งแล้วค่อยขยับไปศึกษาอย่างอื่นต่อ ถ้าโลภมากเอาหลาย ๆ อย่างพร้อมกันแล้วเอาดีไม่ได้หรอก ของพวกนี้ต่อให้เรียนมาด้วยกัน เรียนมาพร้อมกันก็ขึ้นอยู่กับความช่างสังเกต ถ้าไม่ช่างสังเกตนี่ตายเลย ตะกรุดหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯ หรือหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ลายถักเกือบจะลายเดียวกันเลย คราวนี้แล้วเราต้องดูว่าของหลวงปู่ศุข ส่วนใหญ่แล้วร้อยละ ๙๙ ทำด้วยตะกั่ว แล้วก็ต้องไปดูว่าอายุตะกั่วเป็นอย่างไร ตะกรุดที่คนใช้งาน ตะกั่วหัวตะกรุดจะละลายติดเป็นเนื้อเดียวกันไปเสียมาก แล้วก็ดูความยาว ส่วนใหญ่ของท่านจะตายตัวอยู่ที่ ๓.๔ นิ้ว ด้วยความเคยชินของแต่ละคนที่ทำมา ทำให้พอแยกแยะออก ไม่อย่างนั้นไปเจอเหมือนกันแล้วแต่ตีผิด ถ้าตีผิดแล้วราคาถูกลงก็ดี แล้วไปตีที่ราคาแพงขึ้นก็จบเห่..!

เถรี
25-08-2018, 21:58
บางคนก็มีทัศนคติในแง่ที่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ อย่างเช่นคิดว่าพระสมัยโบราณท่านเคร่งครัดมาก ไม่จับเงินไม่จับทอง เพราะฉะนั้นตะกรุดเงินตะกรุดทองไม่มี ถ้าอย่างนั้นเสียของดีไปโดยปริยายเลย ก็ท่านไม่ได้จับเงินจับทองแต่ว่าลูกศิษย์หามา หลวงพ่อก็จารให้ ไม่ต้องใครหรอก...หลวงปู่มั่นเองนั่นแหละจารตะกรุดทองคำเลย นั่นต้นตำรับธรรมยุตเลย ในเมื่อลูกศิษย์ขอท่านก็จารให้

เคยเล่าเรื่องตอนที่ทิดกวางบวชเป็นพระอยู่ พี่สาวพาแม่มาเยี่ยมลูกพระ แล้วบังคับไม่ให้แม่พูดด้วย เพราะว่าพูดแล้วบาป พระพูดกับผู้หญิงไม่ได้ จะเอาเงินถวายพระก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้พระตกนรก พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระรับเงิน นั่นแหละพวกเรียนอภิธรรมมาสายนี้ทั้งนั้นแหละ เขาเรียกว่ามาแต่นิติศาสตร์ล้วน ๆ รัฐศาสตร์ไม่มีเลย

เถรี
25-08-2018, 22:24
พระอาจารย์กล่าวว่า “ข้าวของทุกอย่างเวลาใช้ จะได้รับปราณหรือว่าพลังชีวิตของคนใช้ไปด้วย เราจะเห็นว่าข้าวของเวลาใช้งาน หลายอย่างเวลาอยู่กับคนแล้วจะดูสวยกว่าปกติ จริง ๆ แล้วเป็นรัศมีของพลังที่เปล่งออกมา แต่หลังจากที่ทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่ง ปราณเริ่มลดลงเราก็จะเห็นว่าหมอง ดูไม่ได้เลย โดยเฉพาะพวกลูกประคำนี่ชัดเลย ขี้ฟ้องเป็นที่สุด”

เถรี
25-08-2018, 22:38
ถาม : แม่ถามว่าทำไมท่องคาถาเงินล้านแล้วไม่ได้ผลเลยคะ ?
ตอบ : เพราะไปท่องอยากจะให้ได้ผล ตัดตัวอยากออกไปแล้วจะได้ผล

ถาม : เลิกคิดไม่ได้ค่ะ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จงไม่ได้ผลต่อไป เขาให้ภาวนาเป็นกรรมฐาน ไม่ใช่ให้ท่อง ส่วนใหญ่ไปท่องคาถาเงินล้านก็เจริญ ท่องคือสักแต่ให้จบ ๆ ไป แต่ภาวนานี่คือต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด

เถรี
25-08-2018, 22:51
ถาม : ผมปฏิบัติเพื่อการละมานะ ต้องใช้ความพยายามเยอะไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่เยอะเฉย ๆ ต้องเรียกว่าเยอะเป็นพิเศษ คนที่มีอายุมาก คนที่มีความรู้สูง คนที่มีหน้าที่การงานดี ส่วนใหญ่จะมีมานะเป็นปกติ ต้องพิจารณาให้เห็นด้วยว่า ถ้าเราแบกไว้อย่างนี้ตายแล้วเราจะไปไหน ? แล้วก็ค่อย ๆ ปล่อย ค่อย ๆ วางไป

ถาม : บางทีพิจารณาสักกายทิฐิตามเทปหลวงพ่อฤๅษี พอไปเจอของจริงจึงรู้ว่ามานะละเอียด ?
ตอบ : ทำไมจะไม่ละเอียด ต้องกำลังระดับพระอนาคามีถึงจะละมานะกันได้ รูปราคะ อรูปราคะ อุทธัจจะ มานะ อวิชชา ต้องระดับพระอนาคามีขึ้นไปแล้วถึงจะคุยกันรู้เรื่อง แต่ก็ค่อย ๆ ซ้อมไปก่อน ถึงพระอนาคามีเมื่อไรแล้วถึงจะมีโอกาสตัดได้จริง ๆ

เถรี
27-08-2018, 08:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "บาตรที่ใช้รับเงินส่วนตัวที่เห็นอยู่นี่ มีโยมเขาเอามาถวาย โดยที่ไม่รู้ว่าพระห้ามใช้บาตรไม้ เพราะว่าบาตรไม้เวลาใส่อาหารลงไป จะดูดกลิ่นแล้วก็ดูดเอารสอาหารเอาไว้ ถึงเวลาอาหารก็จะบูดง่าย พระพุทธเจ้าจึงห้ามใช้ อย่างเช่นว่าบาตรทองเหลือง บาตรทองแดง บาตรสังกะสี พวกนั้นเป็นสนิมแน่นอน

ส่วนบาตรกะโหลกผีท่านห้าม เพราะว่าส่วนใหญ่พวกเดียรถีย์เขาใช้เพื่อให้ดูขลัง อย่างเช่นเอาผมคนมาทอเป็นผ้านุ่ง เอากะโหลกผีมาทำเป็นบาตร เรียกว่า กปาละ ก็คือกบาลนั่นแหละ"

เถรี
27-08-2018, 09:00
ถาม : มีคนเขียนจดหมายมาประท้วงว่า วัตถุมงคลในกระทู้หนูออกราคาถูกเกินไป ?
ตอบ : บอกเขาว่า “เอ็งขายห้าพันในตลาด แต่ข้าได้มาฟรี ขายสามพันก็แพงตายชักแล้ว” สมัยก่อนวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงราคามาตรฐานที่ ๒๐ บาท

พวกโรงงาน พวกเซียนพระเขาก็มาต่อว่าหลวงพ่อ ว่าขายผิดราคา เหรียญชุบทองสมัยนั้นต่ำสุด ๕๐ บาท ๖๐ บาท หลายแห่งก็ ๘๐ บาท หลวงพ่อท่านก็ยังขาย ๒๐ บาทเหมือนเดิม เมื่อไปต่อว่า ว่าท่านขายผิดราคา ท่านว่า “ผิดตรงไหน ? ข้าได้มาฟรี เขาถวายมา ขาย ๒๐ บาทก็ได้ ๒๐ บาท ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย”

สมัยนี้ในเว็บวัดท่าขนุนมาตรฐาน ๑๐๐ บาท แพงกว่าสมัยนั้นตั้ง ๕ เท่าแล้ว ขายร้อยเดียวก็พอ เพราะว่าได้มาฟรี

เถรี
27-08-2018, 19:24
ถาม : หนูเป็นหวัด หายใจไม่ได้มาสามเดือนแล้วค่ะ กินยาจนเลิกกินแล้ว ?
ตอบ : เปลี่ยนไปใช้สมุนไพรแทน หรือยาคูณธาตุแบบนี้ก็ได้ มันจะไปปรับธาตุในร่างกายของเราให้ดีขึ้น ลองเข้าไปตามร้านหมอแผนโบราณดู ว่าจัดยาคูณธาตุให้ได้ไหม เอาวันเดือนปีเกิดให้เขา

ถาม : จับอานาปานสติไม่ได้ ต้องหายใจทางปากแทน ?
ตอบ : นั่นก็อานาปานสติเหมือนกัน ถ้าหากว่าหมดทางจริง ๆ ก็เอาอย่างชอลิ้วเฮียง หายใจทางผิวหนังแทน ชอลิ้วเฮียงเป็นสุดยอดวิทยายุทธ์แต่ป่วยเป็นไซนัส ต้องหายใจทางผิวหนังแทน คนก็เลยสงสัยว่าไอ้นี่ตกน้ำแล้วทำไมสู้กับเขาไม่เลิก คนอื่นจะตายอยู่แล้วชอลิ้วเฮียงยังไม่ขึ้นมาสักที อ๋อ...ที่แท้หายใจทางผิวแทน จึงไม่เดือดร้อน

ถาม : หายใจทางผิวหนังได้หรือคะ ?
ตอบ : ได้...ขอยืนยัน ถ้าหากว่าใครทรงฌานได้ โอกาสหายใจทางผิวหนังมีเยอะมาก ถึงเวลาแล้วสภาพร่างกายของเราไม่ใช่แท่งทึบนะ แบบเดียวกับพวกต้นเสา เราเห็นว่ามันทึบ แต่ในสายตาของโลกทิพย์ที่ละเอียด เขาจะเห็นว่าช่องโหว่ของวัตถุนี่ใหญ่ขนาด ๑๐ ล้อวิ่งผ่านได้เลย ไม่ต้องแปลกใจว่าพวกที่ได้อภิญญาเดินทะลุกำแพงไปได้ ก็แค่ลอดช่องว่างนั้นไป ฉะนั้น...เรื่องที่ไม่ใช้จมูกหายใจถือเป็นเรื่องปกติของเขา

เถรี
27-08-2018, 19:32
ถาม : คนปกติเวลาเขาเจอความทุกข์สาหัส เขาจะฝังใจว่าไม่เอาอีกแล้ว แต่คนประเภทผมจะจำประสบการณ์นั้นไว้ แล้วจำเอาไปช่วยคนอื่น ?
ตอบ : คุณเข้าใจผิด คนปกติจะเบื่อ ๆ อยาก ๆ ไม่ใช่ไม่เอาอีกแล้ว พวกไม่เอาอีกแล้วนั่นไม่ปกติ เพราะว่าเขาจะตั้งหน้าตั้งตาหาทางพ้นทุกข์ ส่วนปกติที่คุณว่านั่นแค่เบื่อ ๆ อยาก ๆ พอความทุกข์ลดลงก็เริ่มอยากอีกแล้ว

ถาม : คนที่ตั้งหน้าตั้งตาไปพระนิพพานนี่ก็ ?
ตอบ : คนอื่นเขาเห็นว่าไม่ปกติ ก็เป็นเรื่องปกติ ...(หัวเราะ)...

เถรี
27-08-2018, 19:39
ถาม : เราพลาดไปปรารถนาพุทธภูมิต่อสมเด็จองค์ปฐม เวลาเราขอลาไม่จำเป็นต้องรอท่านอนุมัติใช่ไหมครับ เราไปได้เลย ?
ตอบ : ต้องอยู่ที่คุณแหละ ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นเราก็ไปเลย แต่ถ้าโซ่ท่านยาวมากไป หลายกัปแล้วยังไปไม่พ้นก็ช่วยไม่ได้

เถรี
27-08-2018, 19:50
ถาม : ตะกรุดเมฯ ที่ผมบูชาไป ผมขออนุญาตไม่บอกรุ่น ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ตะกรุดเมทุกรุ่นมีอานุภาพเหมือนกัน

ถาม : คนที่เขาหวังดี ไม่ได้คิดร้ายกับเรา แต่เขาทำให้เราน้อยใจ แค่นี้เขาก็โดนหนัก ใช่ผลของตะกรุดเมฯ ไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าดีหรือไม่ดีสะท้อนคืนหมด อานุภาพตะกรุดเมฯ หรือตะกรุดมหาสะท้อนนั้น ทำดีกับเราก็ได้คืน ทำชั่วกับเราก็ได้คืน ฉะนั้น...ไม่บังคับว่าจะต้องทำดีอย่างเดียว

ถาม : เขาไม่ได้คิดร้ายกับเรา แต่เราดันน้อยใจเอง ?
ตอบ : ถ้าเขาทำดีแล้วเราจะไปน้อยใจทำไม ? แสดงว่าเขาต้องก็มีส่วนทำไม่ดีด้วย และความระยำของเราทำให้เราน้อยใจไปด้วย

เถรี
27-08-2018, 19:51
ถาม : ยอมตายเพื่อแก้แค้น กับยอมตายเพื่อรักษาศีล ใช้กำลังใจเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : เท่ากัน เพียงแต่ชั่วดีต่างกัน

เถรี
27-08-2018, 20:59
ถาม : ที่เขาบอกว่าบายศรี ๗ นี่คือ ๗ ชั้นขึ้นไป หรือมี ๗ กลีบ ?
ตอบ : กลีบ..ใช้บายศรีพานหรือบายศรีต้นที่อยู่บนพานก็พอ ไม่ต้องไปทำต้นใหญ่มหึมา แต่ว่ากลีบของคุณที่ว่าหรือนิ้วบายศรี ให้มี ๗ อัน

เถรี
27-08-2018, 21:03
ถาม : ถ้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่โดยอาศัยของมึนเมาหรือสิ่งเสพติด ถ้าเป็นนักปฏิบัตินี่ยอมตายดีกว่า หรือว่า...?
ตอบ : ตัวตายดีกว่าศีลขาดอยู่แล้ว ยาเสพติดเขาห้ามชัดอยู่ แม้แต่ศีล ๕ มัชชะ...ของมึนเมาที่ทำให้ขาดสติทั้งปวงจัดอยู่ในมัชชะหมด แต่เขาไม่แปล เขาแปลแค่สุรา เมรัยยังไม่แปลเลย

สุรา...สิ่งที่กลั่นขึ้นมาแล้วมีแอลกอฮอล์ประกอบ เมรัย....สิ่งที่หมักดองขึ้นมาแล้วมีแอลกอฮอล์ประกอบ มัชชะ...ของที่ทำให้มึนเมาขาดสติทั้งปวง ปะมาทัฏฐานา....เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท แปลศัพท์ไม่ครบตัว แปลไม่ครบไม่ได้แปลว่าไม่มี เวรมณี...ละเว้นเสีย

เถรี
27-08-2018, 21:04
ถาม : สมุนไพรที่บำรุงสมอง บำรุงร่างกาย ทำไมต้องมีสูตรที่ไปเพิ่มพลังทางเพศด้วยครับ ?
ตอบ : อะไรก็ตามที่บำรุงร่างกาย พอร่างกายดีก็คึกอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ คุณจะไปต่อว่าต่อขานอะไร ก็แค่อย่าไปคึกตามก็จบแล้ว อายุแค่นี้ต้องบำรุงแล้วหรือ ?

เถรี
27-08-2018, 21:14
ถาม : โดนอะไรมาหนัก ๆ ก็มุ่งมั่นว่าจะฝ่าไปพระนิพพานให้ได้ เหมือนกับเราจะฝ่าศัตรูข้างหน้าที่อยู่เป็นแสนให้ได้ ถ้าผมไม่ได้มีบารมีมาก ผมจะฝ่าไปได้หรือครับ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร ก็ตายแล้วชาติหน้าค่อยฝ่าใหม่

ถาม : มีพระเป็นที่พึ่งอยู่ก็จริง แต่ถ้าเรากระสุนหมด พระก็นั่งดูอยู่เฉย ๆ เราก็โดนไป ?
ถาม : กระสุนหมดเราก็นั่งสิ ข้าศึกแค่ล้อมเฉย ๆ เขาไม่ได้ทำอะไรเราสักหน่อย มีกระสุนเมื่อไรแล้วค่อยไปฝ่าใหม่ นึกถึงสัตว์ที่ติดกับ ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บไหมเล่า ? ถ้าหยุดดิ้นจะเจ็บไหม ?

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็รอความตายสิครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่รอความตาย รอเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยเริ่มใหม่ เรียกว่าสะสมกระสุนก่อน พอเหมาะสมแล้วเริ่มใหม่

นึกถึงคำสอนหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกว่าหัดเป็นนักหลบเสียบ้าง ไม่ใช่นักรบอย่างเดียว ถ้ารู้ว่างานนี้รบแล้วแพ้ รบแล้วตาย แล้วยังไปรบถือว่าโง่ นักรบที่ดีต้องมีปัญญา รู้ว่าตอนไหนควรหลบหลีกถนอมกำลังตนเอง รู้ว่าตอนไหนควรปะทะเพื่อบดขยี้ข้าศึกให้แหลกลาญลงไป การกระทำทุกอย่างพระพุทธเจ้าให้ใช้ปัญญาประกอบทั้งหมด อย่าไปทำอะไรโง่ ๆ ในลักษณะที่ไร้ปัญญาอย่างนั้น ไม่สมกับเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส แล้วยังจะเสียชื่อพระองค์ท่านอีกด้วย

เถรี
28-08-2018, 08:05
ถาม : ถ้าเจอภิกษุอย่างพระกปิละที่พี่ชายท่านเป็นพระอรหันต์ พระกปิละทำไม่ดีกับเรา แล้วเราไปกล่าวถึงบรรพบุรุษบิดามารดาเขาในทางไม่ดี จะเป็นการว่าพ่อแม่ของพระอรหันต์ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : แล้วพ่อแม่ท่านใช่พระอรหันต์ไหมเล่า ? ถ้าพ่อแม่ท่านไม่ใช่ ว่าเฉพาะตัวก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าเรื่องของกรรมใครทำใครได้ เจาะจงเป้าหมายไหนก็เป้าหมายนั้น

เถรี
28-08-2018, 08:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "อารมณ์โกรธ น้อยใจ เสียใจ สะสมไปนาน ๆ ก็ซึมเศร้า พวกนี้แก้ด้วยการบ้องหู...! เอาให้ขี้หูลั่นแล้วจะหาย นั่นเป็นตัวสักกายทิฎฐิเต็ม ๆ เลย คือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในเมื่อเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถึงเวลาคนอื่นทำไม่ถูกใจ กระทบขึ้นมาก็น้อยใจ เสียใจ โกรธ เกลียด ต้องบอกว่าเอาขี้ใส่ตัว ไม่กลัวเหม็นอีกด้วย"

ถาม : เขาบอกว่าเป็นสารเคมีในสมอง ?
ตอบ : แล้วทำไมสารเคมีดี ๆ ไม่รู้จักเอาออกมา ? ถึงเวลาก็นั่งกรรมฐานไปสิ ไม่ต้องทรงฌานหรอก เอาแค่ปีติเท่านั้นแหละ จะเอาสารเคมีสักกี่ตันก็มีให้ พวกนี้เป็นกิเลสล้วน ๆ ขี้โกรธ ขี้กลัว ขี้น้อยใจ สรุปแล้วคือขี้ทั้งนั้น ในเมื่อเอาขี้ใส่ตัวก็เหม็นเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่อยากเหม็นก็ทิ้ง ๆ ไปบ้าง

เถรี
28-08-2018, 08:22
ถาม : เยื่อใยของพุทธภูมิเหมือนเยื่อใยบาง ๆ ที่ตัดไม่ขาด ต้องใช้กำลังสมาธิถึงระดับใดจึงจะลาได้เด็ดขาดครับ ?
ตอบ : ลาคือลา ส่วนขาดหรือไม่ขาดเป็นสันดานเดิม ตัวสันตติสืบเนื่องมาไม่มีใครละได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ฉะนั้น..ก็ทำหน้าที่ไปตามสันดานของตัวเองนั่นแหละ แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปพระนิพพาน

เราอย่าไปเข้าใจว่ายังโหยหาอาลัยอยู่แปลว่าเราลาไม่ขาด ถ้าลาขาดก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วสิ เพราะว่าสามารถตัดวาสนาได้แค่พระองค์เดียวเท่านั้น ดูพระสารีบุตรท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวายังตัดไม่ได้เลย

เป็นสิ่งที่สั่งสมมาจนเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว อัตลักษณ์คือลักษณะเฉพาะของตน ต้องออกมาอย่างนี้ มีบุคลิกภาพอย่างนี้ มีการกระทำแบบนี้ มีคำพูดแบบนี้ แค่ระมัดระวังให้อยู่ในกรอบก็จบ ระวังไม่ได้ออกนอกกรอบไป ถ้าผิดศีลผิดธรรมก็เป็นที่ติเตียนของคนอื่น เป็นที่ติเตียนไปกระทั่งพรหม กระทั่งเทวดา

เถรี
28-08-2018, 08:25
พระอาจารย์กล่าวถึงกระเช้าของขวัญว่า "เรื่องนี้เป็นมติมหาเถรสมาคมเลยนะ กระเช้าสักการะให้ใช้ของเก่าได้ ถ้าวนจนมาเจอของตัวเองก็ห้ามตำหนิเขา เพราะท่านบอกเลยว่าสิ้นเปลือง ในเมื่อผู้ใหญ่มีบัญชามาได้อย่างนี้ ก็ใช้ของเก่าไปเรื่อย ๆ จนกว่าใครจะเผลอแกะกินไปใช้ไปนั่นแหละ"

เถรี
28-08-2018, 08:55
มีพระมาทำสามีจิกรรมขอขมาช่วงเข้าพรรษา "ภาษาพระท่านเรียกว่าทำสามีจิกรรม คือกระทำสิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน ในช่วงเข้าพรรษามีธรรมเนียมว่า พระภิกษุไปอยู่ที่ใดก็ตาม ต้องไปรายงานตัว ก็คือการทำสามีจิกรรมนี่แหละ กับพระอุปัชฌาอาจารย์ จะได้รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้ไกลเท่าใด ต้องการความช่วยเหลืออย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านจะได้รู้ไว้ ถึงเวลาจะได้เรียกหาถูก

สมัยนี้ต้องบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าอยู่วัดไหน บางคนก็โทรหากันทุกวัน ส่งไลน์หากันทุกวัน แต่ธรรมเนียมยังมีอยู่ก็ทำตามแบบไป คราวนี้พิธีอย่างเป็นทางการเขาเรียกว่าสามีจิกรรม บางทีเรียกว่าทำวัตรเฉย ๆ ก็มี วัตรคือแบบอย่าง กระทำตามแบบอย่าง แบบแผน แบบฉบับ

แบบฉบับอยู่ในตำราประเภทปิฏกสัมปทาเนนะ จารึกไว้ในปิฎก จารึกอะไร ? จารึกวิธีการต่าง ๆ หรือว่าแบบแผน เมื่อทำตามแบบแผนคนเห็นว่าดีแล้วก็เลียนแบบ ก็เป็นแบบอย่าง ภาษาไทยยากนะ ฟังอยู่ทุกวันที่แปลไม่ออกก็เยอะ เข้าใจแต่บอกไม่ถูกว่าคืออะไรใช่ไหม ? อย่างที่ฝรั่งเอ๊ดดี้บอกว่าภาษาไทยง่ายนิดเดียว ที่เหลือยากหมดเลย..!"

เถรี
28-08-2018, 09:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะทำธุรกิจโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ขอแนะนำให้สร้างเมืองลอยน้ำ จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเลย หรือไม่ก็สร้างหมู่บ้านลอยน้ำ แต่ละบ้านให้มีลูกทุ่นเอาไว้ เสร็จแล้วสี่มุมบ้านก็ปักเสาเอาไว้สูงสัก ๒๐ เมตร คล้องห่วงโยงโซ่โยงกับเสาบ้าน น้ำมาลอยขึ้นตามน้ำ จะได้ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับใครเขา

โบราณของเราสร้างบ้านใต้ถุนสูง ถ้าพวกเรารู้จักสังเกตจะทราบว่าใต้ถุนมีอะไร ? มีเรือ ถึงเวลาหน้าน้ำก็ขึ้นชั้นบน จะไปไหนก็ไปด้วยเรือ ถึงเวลาหน้าแล้งลงมาอยู่ใต้ถุน จะทำงานจะพักผ่อนก็ไม่ร้อนมากเหมือนชั้นบน เพราะว่ามีหลังคาแล้วยังมีพื้นชั้นบนกันความร้อนอีก ทำงานกันใต้ถุนบ้าน นั่นก็คือลักษณะของการปรับตามภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ปรับตามสภาพ

คราวนี้มาสมัยใหม่เราไปนิยมการสร้างบ้านแบบยุโรป ซึ่งต้องสร้างบ้านเตี้ย ๆ ติดพื้น เพื่อรักษาความอบอุ่นไว้ให้มากที่สุด เนื่องจากฤดูหนาวหิมะตกหนักมาก ขืนสร้างบ้านใต้ถุนสูงแบบเราก็หนาวตายกันหมด คราวนี้เราไปนิยมแบบนั้น โดยเฉพาะส่วนที่เริ่มก่อนเลยก็คือบ้านจัดสรร บ้านจัดสรรไปเลียนแบบบ้านทรงสเปนมา แหม…เท่มากเลย แล้วมีหลังไหนที่ไม่ต้องติดเครื่องปรับอากาศบ้าง ? ถ้าไม่มีก็ตายเลย"

เถรี
28-08-2018, 09:44
"ปัจจุบันนี้เครื่องปรับอากาศเป็นตัวก่อโรคสารพัด โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ หนักหน่อยก็มะเร็ง ถามว่าเครื่องปรับอากาศก่อให้เกิดมะเร็งอย่างไร หลายบ้านไม่เคยเปิดหน้าต่างประตูเลย อยู่กันได้อย่างไรไม่รู้ ? อากาศในห้องไม่มี ต่อให้เครื่องปรับอากาศปรับอย่างไร ถ้าต้นทุนไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาปรับ ถึงเวลาในเมื่อออกซิเจนไม่พอ สภาพร่างกายของเราเซลล์จะตายเพราะไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยง ก็ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ในเมื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอด เซลล์ที่มีความสามารถก็สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ แต่กลายเป็นส่วนเกินที่เราไม่ต้องการ ก็คือมะเร็ง

ฉะนั้น...ใครอยู่ห้องปรับอากาศประจำ ถึงเวลาเปิดหน้าต่าง เปิดประตู เปิดพัดลมให้อากาศระบายบ้าง ให้ออกซิเจนเข้าไปบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีออกซิเจน ถึงเวลาก็มาสงสัยว่า ทำไมสถิติเป็นโรคมะเร็งกันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ"

เถรี
28-08-2018, 20:34
"ตอนนี้คนไทยเป็นโรคประเภทหลัก ๆ สามโรคเลย โรคแรกก็เบาหวาน โรคที่สองมะเร็ง โรคที่สามอ้วน ใครเป็นบ้าง ? ตอนนี้บ้านเรา ๓๓ เปอร์เซ็นต์เป็นโรคอ้วน เดินมา ๑๐ คนต้องอ้วน ๓ คนครึ่งเป็นอย่างน้อย

เรื่องพวกนี้ถ้าเอาน้ำตาลออกจากครัวได้ก็จะอ้วนน้อยลง เอาน้ำหวานออกจากชีวิตได้ ยิ่งลดน้ำหนักได้ทันตาเลย แพงจะตายชัก...แก้วละ ๕๐ บาท ๖๐ บาท อย่างถูก ๆ ก็ ๓๐ บาท กินน้ำเปล่าดีกว่า ถ้าข้างนอกไม่มีน้ำเปล่าขายเราก็พกไปเอง ซื้อกระติกใบเดียวเท่านั้น

เชื่อเถอะ..เลิกซื้อกาแฟปั่น ๒ แก้วก็ซื้อกระติกน้ำได้ใบหนึ่งแล้ว พกน้ำไปกินเอง รับประกันว่าลดความอ้วนได้ทันตา ชาเขียว ๑ ขวด เขาจัดแจงคัดแยกแล้ว มีน้ำตาลผสม ๖ ช้อนชา กินน้ำตาลหนึ่งขวดเยอะขนาดนั้น ไม่ตายก็บุญโขแล้ว เบาหวานจงเจริญ เป็นกันทุกคนแหละ เลิกอะไรหวาน ๆ เสียบ้าง อาตมารับรองว่าไม่ตายหรอก เพราะว่าไม่ได้ฉันน้ำหวานมา ๓๐ กว่าปีแล้ว"

เถรี
28-08-2018, 20:36
"ลองไปถามพระที่วัดดู ตอนเย็น ๆ ถึงเวลาทำวัตรเสร็จเขาถวายน้ำปานะ พระอาจารย์ก็นั่งมอง ลูกศิษย์ฉันเสร็จ ก็ “อะระหัง สัมมาฯ” กลับกุฏิ กลับกุฏิไปก็ไม่มีอะไรอีก มีแต่น้ำร้อนอยู่กาหนึ่ง ใครเอาข้าวของอะไรมาให้ ถ้าเป็นของกินก็เวรกรรมแล้ว อยู่ตรงนั้นจนเน่าไปเลย เพราะว่าอาตมาเป็นคนประเภทที่ ถ้าไม่ได้หามาเองจะไม่จำว่ามี ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ ราขึ้นบ้าง เน่าบ้าง เสียบ้าง ถ้าแม่ชีไม่ขนไปเข้าโรงครัวเสียก่อนก็เจ๊งอยู่ตรงนั้นแหละ

แค่ตั้งใจว่าเราจะไม่เอา กำลังใจขนาดนี้แล้ว แต่ละคนปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นแล้ว กำลังใจขนาดนี้แค่ทิ้งน้ำหวาน ทิ้งของหวาน ไม่ใช่เรื่องยาก กินอย่างอื่นเข้าไปให้ร่างกายทำงานเองบ้าง เพราะว่าร่างกายผลิตน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตได้ ก็คือได้น้ำตาลจากอาหารที่เรากินเข้าไป ไม่ใช่เราสอนให้ร่างกายขี้เกียจ กินของหวานเข้าไปจนเกิน ถึงเวลาร่างกายขจัดออกไม่ได้ ก็กลายเป็นเบาหวาน"

เถรี
28-08-2018, 20:47
"ตอนนี้พระมีการรณรงค์เรื่องสุขภาพ วันก่อนมีป้ายใหญ่เบ้อเริ่มเลย ติดอยู่ในเขตเทศบาลอำเภอทองผาภูมิ ให้งดถวายอาหารเค็มจัด เผ็ดจัด งดถวายอาหารหวานจัด ช่วยกันรักษาพระของเราไว้หน่อย สถิติของโรงพยาบาลสงฆ์เป็นโรคอะไรบ้าง ? อันดับแรกเลยเบาหวาน อันดับที่ ๒ ความดัน อันดับที่ ๓ ไขมันในเลือดสูง เกิดจากอาหารล้วน ๆ You are what you eat. คุณกินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ ฝรั่งเขาก็พยายามที่จะรณรงค์ให้กินผักกินผลไม้ มนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช ละทิ้งการกินเนื้อมานานแล้ว พืช ๗๐% เนื้อ ๓๐% ต้องไม่เกินนั้น

อาตมาเองเพิ่งสร้างห้องฟอกไตให้โรงพยาบาลทองผาภูมิ เดี๋ยวก็ต้องบริจาคเครื่องฟอกไตให้เขาด้วย ก็เพราะว่าคนเรากินเนื้อกันแบบไม่บันยะบันยัง ร่างกายรับได้วันละขีดครึ่ง เรากินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้ ? บางคนกินสเต็กสามมื้อเลย ขนาดฝรั่งยังรณรงค์ไม่สำเร็จ An apple a day, keep doctor away. แปลว่าอะไร ? แปลว่า ถ้าคุณเล่นไอโฟนยี่ห้อ Apple ทั้งวัน คุณไม่มีวันจบด็อกเตอร์..ใช่ไหม ? ไม่ใช่กระมัง ? ถ้ากินแอปเปิลวันละลูก ก็ไม่ต้องไปหาหมอ ถีบหมอไปไกล ๆ ได้เลย"

เถรี
28-08-2018, 21:05
พระอาจารย์กล่าวกับเด็ก "จำไว้ว่าการว่ายน้ำไม่ได้ช่วยลดความอ้วน ว่ายน้ำได้แค่ความแข็งแรงและกล้ามเนื้อกระชับเท่านั้น เพราะว่าเวลาเราว่ายน้ำ น้ำจะหล่อเย็นให้เราอยู่ตลอดเวลา ร่างกายไม่ต้องผลาญแคลอรี่ แล้วจะไปลดอีท่าไหน ซ้ำยังสร้างชั้นไขมันพิเศษขึ้นมาเพื่อที่จะกันความเย็น ร่างกายจะหนาขึ้นด้วย สังเกตพวกนักว่ายน้ำทีมชาติแต่ละคนสิ ล่ำบึ้กทั้งนั้นเลย ให้ไปวิ่งหรือเดินเร็ว ๆ แทน ว่ายน้ำแล้วได้ความแข็งแรง ถ้าจะลดน้ำหนักให้ไปวิ่งแทน

เอาอย่างนี้...เลี้ยงหมาแล้วพาหมาไปวิ่งทุกวัน หมาไม่ได้ผอมหรอก เจ้าของจะผอมเอง"

เถรี
28-08-2018, 21:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครซื้อเทียนพรรษาถวายวัดท่าขนุน บอกทางร้านเขาว่าไม่เอาขาตั้งลดให้เท่าไร ? เพราะว่าทางวัดไม่ทันได้ตั้งจุดก็เอาไปหล่อผางประทีปหมดแล้ว เป็นการทำบุญด้วยแสงสว่างเหมือนกัน แต่เป็นแสงสว่างในลักษณะที่เพิ่มความสวยงาม หรูหราอลังการขึ้นไปอีก"

เถรี
29-08-2018, 08:34
มีโยมถวายตะขอสร้อยทองสำหรับหล่อพระทองคำ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าจะไปซื้อพวกตะขอหรือพวกสร้อยอะไร ให้ซื้อทองคำแท่งมาแทน เดี๋ยวนี้ตั้งแต่กรัมหนึ่งขึ้นไปก็มี ที่เขาเรียกว่าหุนหนึ่ง น้ำหนักต่ำสุดครึ่งกรัมของแหวน เราต้องเสียค่ากำเหน็จ ก็คือค่างานฝีมือเขาไป ๓๐๐ บาท แต่ถ้าซื้อทองแท่ง น้ำหนักเท่ากัน เราไม่ต้องจ่าย จาก ๓๐๐ บาท ก็ประหยัดไป ๒๐๐ บาท เท่ากับจ่ายแค่ ๑๐๐ บาท

การหล่อพระถ้าเป็นทองแท่งเปอร์เซ็นต์ทองจะสูงกว่า ส่วนใหญ่พวกทำเป็นรูปพรรณก็ต้องผสมโลหะอื่นให้เนื้อแข็งขึ้น เพื่อให้เหมาะแก่การใช้งาน สำหรับตอนนี้อาตมาก็นั่งรอ รอว่าเมื่อไรจะได้หล่อหลวงพ่อทองคำเสียที"

เถรี
29-08-2018, 08:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงเก็บคุณทองแดงมาเลี้ยง ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วหมาไม่จำเป็นต้องเป็นพันธุ์ที่ดี สายเลือดที่ดี หรือราคาแพง หมาก็คือหมา หมาเห็นเราเป็นเจ้านาย เป็นผู้นำ เป็นจ่าฝูง สิ่งที่เขาตอบแทนก็คือคอยระวังป้องกันเราไว้ โดยเฉพาะว่าลูกหมาที่ไหนก็น่ารักทั้งนั้นแหละ

หมาเป็นสัตว์ชนิดแรก ๆ ที่เข้ามาอยู่กับมนุษย์ อย่างสมัยก่อนพวกมนุษย์ยุคหิน ล่าสัตว์ได้พวกนี้ก็คอยเก็บกินเศษที่เหลือจากสัตว์อื่นที่ล่า คราวนี้พอคนกินแล้วโยนกระดูกบ้างอะไรบ้างทิ้งไว้ใกล้ ๆ หมาก็เข้ามากิน ในที่สุดก็คุ้นเคยกันไม่ไปไหน วนเวียนอยู่แถว ๆ นั้นแหละ แล้วท้ายสุดก็ยึดมนุษย์เป็นจ่าฝูง

พอมนุษย์ออกล่า หมาก็ตามจ่าฝูงไปล่าด้วย เมื่อคุ้นเคยกันแบ่งปันกัน ท้ายสุดก็อยู่ด้วยกัน มีบางคนบอกว่า จะเป็นห่วงเป็นใยอะไรใครนักหนา กลับบ้านมาก็มีแค่หมาวิ่งมารับเท่านั้น ...(หัวเราะ)... อาตมาตอนนี้ก็เข้าเค้าแล้ว ตอนนี้กลับวัดหมาวิ่งมารับ เปิดประตูก็ตะกายขึ้นรถเลย"

เถรี
30-08-2018, 08:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นรูปครูบาอาจารย์แล้วก็ขำ ๆ เจอกันครั้งก่อนท่าน (ท่านเจ้าคุณอนันต์) ถามว่า “เฮ้ย..เล็ก แกไม่แก่กับใครบ้างเลยหรือวะ ?” กราบเรียนท่านว่า "แก่เหมือนกันครับ แต่ช้าหน่อย"

ถ้าเราเป็นคนไม่โกรธจะแก่ช้าหน่อย ญาติโยมอาจจะเห็นว่าเวลาอยู่วัดอาตมาด่าพระด่าเณร ด่าโยมกระจายเลย แต่พอเวลาไปด่าหมาโดนเลียหน้าเลย สรุปก็คือหมารู้ว่าด่าแต่ปาก

อะไรที่ทำถ้าผิดพลาดเสียหาย ไม่ว่าจะเสียที่ตัวเขาเองหรือเสียที่ส่วนรวม ในฐานะครูบาอาจารย์เราต้องให้เขาแก้ไข แต่คราวนี้หลายคนถ้าบอกดี ๆ แล้วเขาไม่ค่อยฟัง ต้องใช้วิธีด่า ถึงเวลาก็ด่าไป คราวนี้ญาติโยมไม่รู้แต่หมารู้ ด่าโยม..ญาติโยมเปิดหนีไปหมด แต่ด่าหมาหมาเลียหัวเลย เพราะรู้ว่าด่าแต่ปาก

เรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นไฟที่เผาเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่สามารถที่จะลดลงได้ โดนเผาอยู่มาก ๆ ก็แก่เร็ว เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน ถ้าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็กลายเป็นลูกชายคนโตของเขาไปแล้ว เพราะว่าพออายุ ๖๐ แล้ว ส่วนใหญ่อันดับแรกเลยคือหัวล้าน อันดับที่ ๒ คืออ้วน บางคนก็ทรุดโทรมหน้าเหี่ยว มีแต่ร่องรอยของความเครียดจากงาน

งานเราทำให้ทำในลักษณะที่ว่า เต็มที่แล้วได้แค่ไหนแค่นั้น อย่าไปแบกเอาไว้ พูดง่าย ๆ ว่า อะไรเร่งด่วน มาก่อนก็ทำก่อน จัดอันดับช้าเร็วก่อนหลัง จะมีงานเฉพาะหน้าอยู่ชิ้นเดียว แล้วก็ไม่ต้องเครียดมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะเอางานหลาย ๆ อย่างมารวมกัน แล้วก็ โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว จัดอันดับความเร็วช้าก่อนหลังเสียก่อนแล้วค่อยทำ

วันก่อนพระครูกิตติกาญจนธรรมหรือพระครูทักษิณ เพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์ก็บ่นเจ้านายว่า "ส่งหนังสือวันนี้จะเอารายชื่อพรุ่งนี้ ใครจะทำทันวะ ?" อาตมาบอกไปว่า "ทำให้เร็วที่สุดของคุณ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อย่าไปบ้าจี้เล่นตามเขา ถ้าเขาเร่งมาแล้วเราเร่งตาม ถ้าตัวเราร้อนขึ้นมาก็ร้อนหมด ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งตำบลก็จะร้อนไปด้วย"

เถรี
30-08-2018, 09:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนแก่กำลังไม่ดีเป็นปกติ เวลาจะลุกก็ต้องค้ำต้องยันกัน เป็นเรื่องที่หลอกกันไม่ได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านอยากจะรู้ว่าพระนางวิสาขามหาอุบาสิกาคือคนไหน เพราะว่านั่งอยู่ท่ามกลางหลานสาว แล้วพระองค์ท่านแยกไม่ออกว่าใครเป็นยาย ใครเป็นหลาน เลยปล่อยช้างไล่

ตอนแรกก็นั่งสังเกตดูว่าใครลุกขึ้นแล้วค้ำพื้นก็ต้องเป็นคุณยาย นางวิสาขาท่านจะดูเหมือนอายุ ๑๗ ปีอยู่ตลอด เนื่องจากสร้างบุญเก่าไว้ เห็นแบบนั้นแล้วก็ยังไม่มั่นใจ ตอนเดินทางกลับเลยปล่อยช้างไปไล่เลย ถามว่าทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น เพราะว่านางวิสาขามีกำลังเท่ากับช้าง ๗ เชือก ปล่อยช้างไปเชือกเดียวทำอะไรคุณยายท่านไม่ได้หรอก

พอปล่อยช้างไปปรากฏว่าคนรับใช้และหลาน ๆ วิ่งหนีหมด ปล่อยให้คุณยายยืนเผชิญหน้ากับช้างอยู่ ถามว่าทำไมคุณยายถึงมัวแต่ยืนอยู่ ? เพราะคุณยายมัวแต่คิดว่าถ้าเกิดเราใช้มือจับงวงบิด ช้างก็จะบาดเจ็บ ท้ายสุดก็เลยรอให้ช้างวิ่งมาถึงตัวแล้วเอามือยันไว้ ช้างก็เลยล้มก้นกระแทกพื้น สรุปว่าคุณยายถึงจะแก่ แต่ก็แก่แบบรถพ่วง ๑๘ ล้อ ถ้าปะทะกับรถเล็กเมื่อไร ถึงจะช้าแค่ไหนรถเล็กก็เละ

คนที่ระบุไว้ชัดเจนว่ามีกำลังเท่ากับช้าง ๗ เชือกในสมัยนั้นก็มีพระอานนท์ มีนางวิสาขามหาอุบาสิกา มีพันธุลมหาเสนาบดี ส่วนพระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีกำลังเท่ากับช้างหนึ่งแสนเชือก ถ้าพระองค์ท่านดีดหูใคร ก็คงจะหัวหายไปด้วยเลย..!"

เถรี
30-08-2018, 09:30
ถาม : ที่บอกว่าพญามารเป็นครูทดสอบเราอยู่เรื่อย หมายความว่าเป็นอรหันต์ก็ยังทดสอบหรือครับ ?
ตอบ : ก็ยังทดสอบ เป็นเรื่องปกติ

ถาม : นึกว่าเป็นอรหันต์แล้วจะไม่ทดสอบ ?
ตอบ : เขาก็ลองตลอด อย่าไปคิดว่าเป็นพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้าแล้วมารจะไม่ลอง ก็ลองทั้งนั้นแหละ แม้ว่าจะไม่เคยสำเร็จก็ตาม

เถรี
30-08-2018, 09:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้มีพระจำพรรษาที่วัดท่าขนุน ๔๒ รูป ความจริงมีมากกว่านั้น แต่แบ่งไปจำพรรษาที่วัดวังปะโท่ ๔ รูป วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส ๖ รูป ความจริงในช่วงเข้าพรรษาบวชแค่ ๖ รูปเท่านั้น แต่มีหลายท่านที่บวชมาตั้งแต่วันลอยกระทง วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชาแล้วไม่สึก ก็อยู่มาจนถึงเข้าพรรษา

โดยเฉพาะท่านฐิติวัชร แม่กับยายอยากให้บวชมากแต่ไม่กล้าขอ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะบวช ๗ วันแล้วก็กลายเป็น ๑๕ วัน ๓๐ วัน ท้ายสุดก็ขออยู่จำพรรษา อาจจะเป็นไปได้ว่าที่วัดค่อนข้างจะเข้มงวดในเรื่องของพระเณร ถูกอัธยาศัยของท่าน แล้วท่านเองท่านก็ตั้งใจปฏิบัติด้วย ก็เลยได้สองส่วน ก็คือความเข้มงวดของสถานที่ด้วย แล้วตัวเองก็ตั้งใจปฏิบัติด้วย จึงอยู่จำพรรษาได้ อาตมาเองก็บวชก่อนเข้าพรรษานาน บวชวันพฤหัสขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๖ แปลว่าบวชก่อนเข้าพรรษา ๒ เดือนโดยประมาณ"

เถรี
14-09-2018, 20:54
ถาม : ผมนั่งสมาธิ นั่งไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าไม่ได้หายใจ แต่ยังเห็นภาพพระชัดอยู่ ควรทำอย่างไรต่อไปดีครับ ?
ตอบ : กำหนดใจไว้ที่ภาพพระแทน ไม่ต้องไปสนใจเรื่องลมหายใจ ถ้าภาพพระชัดก็อยู่ที่ภาพพระ แต่ถ้าความรู้สึกชัดว่าไม่หายใจ เราก็แค่กำหนดว่าตอนนี้ไม่หายใจ อย่าไปอยากให้พ้นจากสภาพนั้น และอย่าอยากเป็นอย่างนั้น ทำใจกลาง ๆ เฉย ๆ ไว้

เถรี
14-09-2018, 20:55
มีโยมถวายแหวนทองคำร่วมหล่อพระ พระอาจารย์กล่าวว่า “อย่างนี้แสดงว่าปลดมาจากตัวนี่ ยังมีพลังงานอยู่ ของที่ใช้และที่ไม่ใช้จะมีพลังงานแตกต่างกัน ปลดจากตัวมาทำบุญนี้ถือว่ากล้ามาก บาลีเรียกว่า วิสารโท มีความแกล้วกล้า

มีความกล้าในการให้ทาน กล้าในการรักษาศีล กล้าในการเจริญภาวนา กล้าระดับไหน ? วิสารโทนี่กล้าขนาดเอาชีวิตเข้าแลก ถ้าไม่ได้ทำทานก็ให้ตายไปเลย แบบเดียวกับพระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นชายตัดฟืน พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาโปรดถึงหน้าประตูกระท่อม จะเอาอาหารไปถวาย พญามารเนรมิตหลุมถ่านเพลิงมหึมาขวางเอาไว้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าตกลงไปก็ตายสถานเดียว ปรากฏว่าท่านตั้งใจว่าจะถวายแล้ว ต่อให้ตายก็ขอถวายให้ได้ ก็เลยเดินออกไป ด้วยอานุภาพบุญสามารถเดินผ่านอากาศไปได้เหมือนกับพื้นดิน นั่นก็คือกล้าในการให้ทาน ถึงตายก็ยอม

ถ้าประเภทกล้าในการรักษาศีลก็แบบเดียวกันสุปปพุทธกุฏฐิ แค่ละเมิดพระรัตนตรัย ให้พูดว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่ไม่สงฆ์ ท่านไม่ยอมเด็ดขาด เรื่องข้อละเมิดเหล่านี้ก็คือศีล ขนาดเอาทรัพย์สมบัติมาล่อ จะรักษาให้หายจากโรคเรื้อนอย่างไรก็ไม่เอา ไล่พระอินทร์กระเจิงไปเลย"

เถรี
14-09-2018, 20:57
"ถ้ากล้าในการภาวนาก็ตัวอย่างในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร พระภิกษุ ๓๐ รูปไปปฏิบัติธรรมในป่า ปรากฏว่ามีเสืออยู่ตัวหนึ่ง สองสามวันก็มาลากพระไปกินรูปหนึ่ง ท่านก็เลยทำสัญญาต่อกันว่า ถ้าเสือมาทางไหน ก็ให้เพื่อนพระด้านนั้นส่งเสียงร้องขึ้น เพื่อนท่านอื่นจะได้ไปช่วย

พอเสือคาบพระรูปถัดไป ท่านเห็นว่าเพื่อน ๆ กำลังปฏิบัติภาวนาอยู่ ถ้าเราร้องขึ้นมาเพื่อนจะเสียสมาธิ เสียการปฏิบัติ ก็เลยไม่ร้อง ปล่อยให้เสือคาบไปกิน ในอรรถกถาบอกว่า เสือกินขึ้นมาถึงหัวเข่า ก็สามารถพิจารณาเวทนา ตัดอารมณ์ใจตัวเองเป็นพระโสดาบันได้ พอกินขึ้นมาถึงสะโพก ก็ตัดอารมณ์ใจเป็นพระอนาคามีได้ พอกินขึ้นมาถึงท้องก็เป็นพระอรหันต์พร้อมกับมรณภาพไปเลย ลักษณะนั้นเขาเรียกว่า “สมสีสี” สำเร็จพระอรหันต์พร้อมกับสิ้นชีวิต

ฉะนั้น...วิสารโท กล้าในการให้ทาน กล้าในการรักษาศีล กล้าในการภาวนา กล้าที่จะเอาชีวิตเข้าแลก ขนาดเสือกินยังไม่ยอมร้อง แบบเดียวกับที่บ้านเราสมัยก่อน พรานไปเจอพระธุดงค์โดนงูใหญ่กลืน กลืนไปจะถึงเอวแล้ว พรานก็ปรึกษากันว่า เดี๋ยวเราลับมีดให้คมกริบแล้วกรีดงู ถ้าหนังงูขาดก็จะไม่มีกำลังในการรัดใคร ปรากฏว่าพระธุดงค์ที่นิ่งเหมือนตาย ท่านโบกมือห้ามพราน บอกว่าอย่าทำ ท่านมีกรรมต่อกันมา ปล่อยให้งูกินไปจะได้หมดเวรหมดกรรม นั่นคือกล้าที่จะเอาชีวิตเข้าแลกกับธรรมะ ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันไป ตนเองจะได้ไปภพภูมิที่ตนเองต้องการ"

เถรี
14-09-2018, 20:59
ถาม : พระที่ท่านตัดได้ เพราะท่านพิจารณาในอริยมรรค จริง ๆ การพิจารณาไม่ได้ช่วยให้ระงับทุกขเวทนา ?
ตอบ : ไม่ได้ระงับทุกข์ แต่เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เราไม่เอาอีกแล้ว

ถาม : ยิ่งพิจารณาเวทนายิ่งก็ปวดหนัก ?
ตอบ : ถูก...แปลว่าท่านต้องสั่งสมระดับของสมาธิและปัญญามาเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่อย่างนั้นแล้วสู้เวทนาไม่ได้หรอก คราวนี้ยิ่งเห็นทุกข์หนักเท่าไร ก็ยิ่งเห็นว่าร่างกายนี้น่าเบื่อหน่าย ไม่น่าอาศัยมากขึ้นเท่านั้น เรียกว่าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

ถาม : ผมเคยทุกข์จนใจสั่น ?
ตอบ : ไม่ใช่ใจสั่นอย่างเดียว บางทีถ้าเจ็บมาก ๆ เราบังคับร่างกายไม่ได้ สั่นไปทั้งตัวเลย

ถาม : เราพยายามจับลมหายใจ ไม่ได้เลย ?
ตอบ : ต้องซักซ้อมให้คล่องตัวกว่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าเจอสภาพอย่างนั้นแล้ว ฝีมือไม่ถึงจริง ๆ ก็เจ๊งทุกราย เราต้องซ้อมจนกระทั่งคล่องในขณะที่ยังดี ๆ อยู่ แล้วไปถึงตอนนั้นนึกจะเข้าเมื่อไรก็ได้ ไม่ใช่ไปรอจนกระทั่งเจ็บปางตายแล้วค่อยไปเริ่ม ถ้าอย่างนั้นไม่ได้กินแน่นอน

เถรี
14-09-2018, 21:03
ถาม : ความรู้สึกทุกข์ เบื่อจนเหมือนล้น ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่อารมณ์เบื่อ เป็นแค่นิพพิทาญาณ ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์เบื่อนั้นอยู่ได้สักระยะหนึ่ง ต้องรักษาไว้นะ ไม่ใช่ไปสลัดทิ้ง ต้องรักษาเอาไว้สักระยะหนึ่ง จนกระทั่งจิตของเราเข็ดจริง ๆ ไม่เอาจริง ๆ ก็จะก้าวข้ามไปเลย

จะเห็นว่าธรรมดาของการเกิดมาต้องทุกข์อย่างนี้ ต้องน่าเบื่ออย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว จะตัดใจข้ามไปเลย เป็นสังขารุเปกขาญาณ แต่ถ้ารักษาไม่ได้ อยู่ได้แค่นั้นแล้วก็หายไป เดี๋ยวก็มาใหม่อีก แล้วก็หายไปอีก เพราะว่าเราเบื่อ เราเลยไม่อยากมีอารมณ์แบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราต้องรักษาไว้ระยะหนึ่ง เพื่อตอกย้ำความมั่นใจของเรา ต่อไปเจอตัวเบื่อนี้รีบรั้งไว้นาน ๆ เลย โดยเฉพาะมีลูกแบบนี้ไม่เอาอีกแล้วโว้ย..!

ถาม : เคยลองดูระยะหนึ่ง ทำให้เบื่อการทำกิจกรรมอะไรไปหมดเลย ?
ตอบ : ปัญญาต้องมี ถ้าปัญญาไม่ถึงนี่เสร็จเลย ที่บอกว่าปัญญาต้องมีก็คือ เรายังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ในการเกิดมาชาตินี้แล้วสามารถสิ้นสุดภพชาติลงได้ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน ช่วงอายุที่เหลือเพียงนิดเดียวทำไมเราจะอยู่ด้วยดีไม่ได้ ในเมื่อเราสามารถที่จะอยู่ให้ดีได้ เราก็ทำหน้าที่ทุกอย่างไปตามหน้าที่ของเรา การทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ ไม่ได้ทำแบบซังกะตาย แต่ว่าทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาเราจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่มีใครนินทาว่าร้ายเราได้

ต่อไปถ้าเจอแบบนี้แล้วต้องเกาะไว้แน่น ๆ ก่อน อย่าเพิ่งปล่อย ถ้าไปผลักดันขับไล่ หายไปแล้วก็เสียของเลย

เถรี
14-09-2018, 21:10
ถาม : ถ้าเราเบื่อแล้วตัดไปทันทีไม่ควรใช่ไหมคะ ควรทรงอารมณ์เอาไว้นาน ๆ ?
ตอบ : ถ้าตัดได้เลยก็ดี แต่การที่ตัดได้เลย เราสามารถข้ามไปเป็นสังขารุเปกขาญาณได้หรือเปล่า ? ถ้าข้ามเป็นสังขารุเปกขาญาณได้จะสังเกตง่าย ๆ เลย ก็คือเห็นว่าทุกอย่างมีเป็นธรรมดา ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรมดาอย่างนั้นก็ช่างมัน ถ้าอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้ากำลังไม่พอนี่ต้องรั้งไว้ระยะหนึ่งเลย ตอกย้ำให้เข็ดไปจริง ๆ

ถาม : พอเบื่อเสร็จแล้วก็จะตัดเลยทันที รู้สึกว่าเราไม่ถึงนิพพิทาญาณสักที ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถ้าเราเห็นเป็นธรรมดาได้นี่หมายความว่าเลยไปแล้ว นิพพิทาญาณจะไม่เห็นธรรมดา เห็นแค่น่าเบื่อ

ถาม : เคยใช้วิธีคิดแบบ....(ไม่ชัด).... เลยเอาหลักนี้มา ก็หายไป ?
ตอบ : อันนั้นก็ถูก แต่ถูกแค่ตรงนั้น คือ บางอย่างเราจำเป็นที่จะต้องรั้งไว้ก่อน เพื่อที่จะตอกย้ำให้สภาพจิตของเราจนยอมรับจริง ๆ ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นน่าเบื่อน่าหน่ายสุด ๆ ดูให้ชัด ๆ ส่วนจะไปตอนไหนก็ช่างมัน แต่ตอนนี้เอ็งอยู่กับข้าก่อน

เถรี
14-09-2018, 21:19
ถาม : เวลาขึ้นไปบนพระนิพพาน ต้องใช้กำลังของฌานสี่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไปได้นี่เป็นกำลังของฌานสี่

ถาม : ผมคิดว่าไปได้ แต่ยังรู้สึกว่าเชื่อมกับร่างกาย ?
ตอบ : เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นหลักวิชาพิเศษ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอกับพระพุทธเจ้าไว้ ว่าขอให้คนอื่นสามารถสอบถามได้ ไม่อย่างนั้นแล้วพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ในเมื่อคนอื่นสามารถสอบถามได้ ก็จะต้องมีส่วนหนึ่งที่โดนบังคับให้โยงกับร่างกายอยู่

คราวนี้เราจะใช้ประโยชน์จากฌาน ๔ ตรงนี้อย่างไร ? ก็มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือขึ้นไปอยู่ยาว ๆ เลย เพราะว่าช่วงนั้นจิตจะสะอาด ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าเคยชินก็ไปได้เลย อีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนั้นสภาพจิตของเราละ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ลักษณะไหน พอลงมาเราก็พยายามทำให้ได้ในลักษณะอย่างนั้น ก็คือเราทรงสมาธิในระดับไหนแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ทรงแบบนั้น แล้วพยายามทำให้ได้แบบนั้น

ถ้าเกิดขึ้นมาก็ให้เห็นว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน สภาพร่างกายเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างพัง แล้วเราก็รักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ เราจะทำแบบข้างบนหรือทำแบบข้างล่างก็อยู่ที่เรา แล้วแต่สภาพ มีโอกาสก็ขึ้นข้างบน ไม่มีโอกาสก็ทำข้างล่าง เพียงแต่รักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องแค่นั้น

ถาม : การที่เรามีอะไรมากระตุ้นข้างล่าง ก็ดึงลงมาอีก ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าสภาพจิตของเรานั้น สิ่งที่รักที่หวงที่สุดก็คือร่างกายนี้ เกิดอะไรนิดหนึ่งก็กลับทันทีเลย เพราะฉะนั้น...พวกที่กลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ ไม่ต้องกลัวหรอก กลัวว่าจะไปไม่ได้มากกว่า เพราะว่ามักจะไม่ยอมไป

เถรี
14-09-2018, 21:29
ถาม : พระที่ท่านโดนเสือกินแล้วบรรลุ แสดงว่าท่านต้องสั่งสมบารมีสิบไว้เต็มแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เต็มตอนนั้นแหละ อย่างเช่นว่าถ้าปัญญาบารมีตอนนั้นเรามี แล้วดูศีลบารมีตอนนั้นขาดไหม ? เสือกำลังกินเราอยู่ เราจะไปละเมิดศีลได้ที่ไหน ? เราอุตส่าห์สละร่างกายให้เสือกิน เมตตาบารมีมีไหม ? อุตส่าห์อดทนยอมรับความเจ็บปวด ขันติบารมี อุเบกขาบารมีมีไหม ? ไปไล่ดู มีทุกข้อนั่นแหละ

ถาม : เต็มขณะนั้น ?
ตอบ : เต็มตรงนั้นแหละ ฉะนั้น..ถ้าใครโดนรถ ๑๘ ล้อบี้เละไปครึ่งตัว ก็รีบพิจารณาตัดเลย..!

เถรี
14-09-2018, 21:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของลูกไม่ต้องเป็นห่วงมาก ทุกคนมีบุญรักษา มีกรรมรักษา ไม่มีเราเขาก็อยู่ได้ อย่าให้อยู่ในลักษณะที่ว่า ไม่มีเขาแล้วเราอยู่ไม่ได้ก็พอ ดูตัวอย่างนายโกตุหลิกะ เกิดขึ้นมาแค่ไม่กี่นาทีก็โดนเอาไปโยนทิ้ง ไม่เห็นว่าจะตายเลย เอาไปโยนที่ไหนก็รอด อุตส่าห์เอาไปโยนลงเหว ปรากฏว่าข้างล่างเป็นลานตากผ้า เด็กตกลงบนผ้า เด้งดึ๋งแล้วก็นอนต่อ สมัยก่อนที่เขาขึงผ้าตากยาว ๆ เหมือนกระโดดลงไปบนเปลผ้าที่กู้ภัยเขาใช้รับคนนั่นแหละ"

ถาม : กรณีอย่างนั้น..(ไม่ชัด)...
ตอบ : ไม่ใช่ อย่าลืมว่าเขาเกิดเป็นหมาอีกต่างหาก เป็นอุปัตถัมภกกรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลก็ตาม จะคอยปกป้องคุ้มครอง ถ้าคุณยังใช้กรรมไม่หมด ก็ต้องอยู่ใช้ไปเรื่อย ๆ ลำบากแค่ไหนก็ตายไม่ได้

เถรี
16-09-2018, 19:45
ถาม : ชีวิตหนูตอนนี้เหมือนทางตัน เราจะหาทางออกอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ถึงทางตันก็กลับหลังเดินสิ เดินไปข้างหน้าก็ตัน ไม่ได้ล้อเล่นนะ...เรื่องจริง คนส่วนใหญ่ไปมองปัญหาแง่เดียว ในเมื่อมองปัญหาแง่เดียวก็ถึงทางตัน ลองเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาดูบ้าง เดี๋ยวก็ไปได้เอง

เถรี
16-09-2018, 19:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเด็ก สภาพจิตเขายังไม่ปรุงแต่งมาก รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น บางทีการรู้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ เขาสามารถรู้เห็นได้ง่าย ๆ อาตมาเองโดนผีหลอกตั้งแต่เด็กจนแก่ ตอนแรก ๆ ไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะสภาพจิตรับได้ คิดว่าเป็นเรื่องปกติ คนอื่น ๆ ก็เป็นเหมือนกับเรา"

เถรี
16-09-2018, 19:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "การแสดงความแก่อย่างหนึ่งในชีวิตคือผมหงอก สมัยนี้นิยมย้อมผมกันก็เลยไม่ค่อยได้เห็นความแก่ ถ้าเราถือผมหงอกเป็นครึ่งชีวิต ต้องดูว่าเราหงอกตอนอายุเท่าไร สมมติถ้าหงอกตอนอายุ ๔๐ ปี ครึ่งชีวิตบวกอีก ๔๐ แปลว่าอายุประมาณ ๘๐ ปี"

เถรี
16-09-2018, 19:49
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กเขายังยืนเองไม่ได้ อย่าไปจับยืน ถ้ายืนเองไม่ได้ แปลว่ากระดูกกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอ ถ้าเราไปจับยืนบ่อย ๆ ขาจะโก่ง เดี๋ยวโตขึ้นมาจะนั่งร้องไห้ ขาโก่งจนหมาวิ่งลอดได้..!”

เถรี
16-09-2018, 19:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเรามักต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มี ดูท่าจะจริง อาตมาอยากอ้วนแต่ก็ไม่อ้วน อยากจะหัวหงอกให้ดูภูมิฐานหน่อย ผมก็ไม่ค่อยอยากจะหงอก อยากจะหัวล้านจะได้ดูดีแบบเขาบ้าง ก็ไม่ค่อยยอมล้าน สรุปว่าทน ๆ เอาก็แล้วกัน ได้มาแค่นี้แหละ"

ถาม : ทำไมสิ่งที่หลวงพ่ออยากจะได้ เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อยากได้ ?
ตอบ : ลองคิดดูว่าถ้าหลวงพ่อผมหงอก หรือหัวล้านเหม่ง ๆ หน่อย โคตรเท่เลย เป็นหลวงพ่อได้เต็มที่เลย ส่วนตอนนี้ใครจะไปเชื่อว่าอายุ ๖๐ ปีแล้ว ไปไหนก็กลายเป็นเด็กในสายตาชาวบ้าน ถึงได้บอกว่าเด็กก็อยากจะแก่ ส่วนคนแก่อยากจะอายุน้อย ๆ

บางอย่างจะช่วยให้ดูภูมิฐาน ดูอาวุโส ไปไหนคนจะได้เกรงใจ ตอนนี้ไปไหนเขาก็เห็นเป็นพระเด็ก ๆ

เถรี
16-09-2018, 20:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรรคพวกเขาโอดครวญมาในไลน์ว่า ตอนนี้การสอบอนุศาสนาจารย์เพื่อที่จะไปดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ จากเดิมที่มีกติกาว่าต้องจบเปรียญธรรม ๖ ประโยค แต่ปัจจุบันนี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นอิสลาม ก็เลยประกาศว่าเป็นปริญญาตรีทุกสาขา โดยไม่ได้ระบุวุฒิทางธรรม

นั่นจะเป็นการทำลายชนิดถึงรากถึงโคนเลย ขนาดในเรือนจำก็ยังไม่ละเว้น ก็ถือว่าเป็นไปตามวาระของเขา เพราะว่าใครใหญ่ขึ้นมาก็มักจะเอาพรรคพวกตัวเองมาทำงาน เพียงแต่ว่าทุกวันนี้อาทิตย์ละหนึ่งครั้งที่พระต้องเข้าไปเทศน์ในทัณฑสถานทุกแห่ง โดยเฉพาะเรือนจำในจังหวัด ต่อไปก็อาจจะมีคำสั่งห้ามพระเข้าไปเทศน์ก็ได้

อาตมาเข้าไปเมื่อไรไม่เคยเทศน์ ไปสอนเขาแหกคุก บอกเขาว่าจะสะเดาะกลอนก็ทำวิธีนี้ ภาวนาคาถานี้ รักษาศีลให้ได้ ภาวนาอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง ถ้าจะเหาะข้ามรั้วไปเลยก็ปฏิบัติกสิณอย่างนี้ ทำเอาผู้คุมทำตาปริบ ๆ ไปสอนนักโทษแหกคุกหน้าตาเฉย

แรก ๆ ผู้คุมก็แปลกใจ เพราะว่าเขาต้องบังคับให้มานั่งฟัง ถ้าแดดร้อนหน่อยก็หนีกันหมด หลบไปอยู่ใต้ต้นไม้บ้าง ข้างกำแพงบ้าง แต่เวลาพระอาจารย์เล็กเข้าไปเทศน์ทีไร ผู้ต้องขังยอมนั่งตากแดดฟังกัน เพราะว่าต้องการวิธีแหกคุก กว่าเขาจะรู้ว่าอาตมาหลอกให้ภาวนา ก็คงจะตอนที่เขาทำสำเร็จแล้วแหละ ถ้าทำได้จริง ๆ รับประกันว่าราชฑัณฑ์มีเครียด..!"

เถรี
16-09-2018, 20:27
"ไปนึกถึงท่านอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง เขาว่าท่านเพี้ยน ร้อนวิชา ท้ายสุดก็โดนแจ้งความจับ สมัยนั้นเขาเรียกว่าข้อหาภัยสังคม เพราะว่าเป็นรัฐบาลทหารมาจากการปฏิวัติ

เอาท่านเข้าคุก สิบเวรลั่นกุญแจเดินหันหลังไป ท่านอาจารย์ฟ้อนก็บอกว่า “หมู่..ล็อกกุญแจด้วยสิ” อีกฝ่ายหนึ่งก็งง หันกลับมา อ้าว..กุญแจหลุดอยู่ ล็อกใหม่เสร็จเรียบร้อยหันหลังไป ท่านอาจารย์ฟ้อนก็บอก “หมู่..ล็อกกุญแจด้วยสิ ไม่ล็อกเดี๋ยวผมออกไปนะ” หันกลับมา..หลุดอีกแล้ว ท้ายสุดก็ต้องยกมือไหว้ บอกว่า “อาจารย์ครับ ขอร้องเถอะ เดี๋ยวผมได้ติดคุกแทนแน่”

เถรี
16-09-2018, 20:31
"บรรดาฆราวาสที่เก่งวิชาแบบนี้ อย่างเช่นท่านขรัวอีโต้ หรือไม่ก็ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง ท่านอาจารย์แปลกนี่ท่านทำตะกรุดมหาโสฬส คนนิยมพอ ๆ กับตะกรุดของหลวงปู่เอี่ยมเลยนะ

ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง ปกติก็ลอยเรือไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่เป็นที่ เขาถึงได้เรียกว่าร้อยบาง ถึงบางไหนก็พักตรงนั้นแหละ ปรากฏว่าปีนั้นอยู่ ๆ เรือไม่ยอมไปข้างหน้า เรือถอยหลังไปจนถึงหน้าวัดสะพานสูง ท่านอาจารย์แปลกก็ขึ้นจากเรือมากราบหลวงปู่เอี่ยม ถามว่า "พระเดชพระคุณมีธุระอะไรหรือครับ ถึงลากเรือผมมา ?" นั่นขนาดสุดยอดฆราวาสอภิญญานะ ถูกหลวงปู่เอี่ยมสร้างลากเรือมาจนถึงหน้าวัด

หลวงปู่ท่านก็บอกว่า "ปีนี้น้ำมาก น้ำจะท่วมเยอะ มาอยู่ด้วยกันที่วัดนี่แหละ จะได้ไม่ลำบาก" แล้วก็สอนวิชาทำตะกรุดมหาโสฬส ทำผงมหาโสฬสให้

ท่านอาจารย์แปลกนี้ต้องถือว่านอกเหตุเหนือผล เพราะว่าปกติหลวงปู่เอี่ยมท่านจะถ่ายทอดวิชาให้เฉพาะศิษย์ใกล้ชิดที่เป็นพระเท่านั้น แต่ท่านอาจารย์แปลกได้วิชาทำตะกรุดมหาโสฬสไปด้วย"

เถรี
16-09-2018, 20:35
"ท่านอาจารย์แปลกทำตะกรุดออกมานี่คนว่าขลังกว่าของพระอาจารย์ ที่ว่าขลังกว่าของพระอาจารย์คือวิธีทํา ท่านอาจารย์แปลกเดินขึ้นไปบนยอดไม้ พวกยอดตาลยอดมะพร้าวสูง ๆ โน่น แล้วก็ไปห้อยหัวจารตะกรุดบนนั้นท่านเดินขึ้นไปได้อย่างไรเหมือนกับขึ้นบันได ?

นั่นคือลักษณะของปฐวีกสิณ อธิษฐานให้พื้นทุกจุดที่ตัวเองเหยียบแข็งเหมือนหิน เหมือนดิน จะได้ขึ้นไปได้ แล้วก็ไปตีลังกาห้อยหัวบนยอดตาล ยอดมะพร้าว จารตะกรุดเสกให้เขา ถึงเวลาจารเสร็จ ม้วนเสร็จก็เอาลงมาพอกผง

แต่ว่าตะกรุดมหาโสฬสนี่ลำบากมาก ลำบากตรงที่ต้องเสกนานถึง ๓ พรรษา แปลว่ากว่าจะได้ใช้แต่ละดอกก็ต้อง ๓ ปีผ่านไป ต้องเสกด้วยโองการมหาทะมื่นให้ได้หนึ่งหมื่นจบ เราลองนึกดูว่า ๓ ปีก็ประมาณพันกว่าวัน จะให้ได้หมื่นจบก็ต้องเสกอย่างน้อยให้ได้วันละ ๑๐ กว่าจบ โองการมหาทะมื่นถามว่าเยอะไหม ? ถ้าหากว่าอักษรขนาดฟอนต์ ๑๘ ก็เกือบ ๆ หน้ากระดาษเอสี่"

เถรี
16-09-2018, 20:42
"ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง สร้างวีรกรรมที่โด่งดังที่สุดก็คือ เข้าไปลองของเสด็จในกรมหลวงชุมพรถึงในวัง ใครเขาก็ลือกันว่าเสด็จในกรมองค์นี้ท่านขลังนัก ท่านอาจารย์แปลกก็เลยบอกฝากญาติโยมแถว ๆ หน้าวัด ว่าช่วยดูแลเรือให้หน่อย จะไปเยี่ยมเจ้าเยี่ยมนาย

หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวลือว่าเครื่องต้น ก็คืออาหารที่ทำสำหรับเสด็จในกรมหลวงชุมพร มีมือดีขโมยกินก่อนทุกครั้ง คราวนี้ช่วยกันปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ ท้ายสุดความไปถึงหู เสด็จในกรมก็ทรงกริ้ว วางข่ายอาคมดักทุกอย่างก็ดักไม่สำเร็จ เมื่อดักไม่สำเร็จก็ต้องไปกราบเรียนหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ศุขก็บอกวิธีมาให้ ปรากฏว่าดักได้สำเร็จ จับตัวไปขังคุก ให้สืบความว่าเป็นใครมาจากไหน

ปรากฏว่าถามเท่าไรก็ไม่ตอบ จะลงมือทรมานอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าทุบเท่าไร ตีเท่าไรก็เฉย ฟันเท่าไรก็ไม่เข้า ได้แต่นั่งยิ้ม เผลอหน่อยเดียวก็แหกคุกไปอีกแล้ว ก่อนไปสะกดคนทั้งวังหลับหมดเลย ยกเว้นเสด็จในกรมที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะว่าท่านฝึกวิชามาเหมือนกัน สะกดไม่อยู่

ท่านอาจารย์แปลกจึงเข้าไปเรียนถวายว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ได้ยินว่าท่านเป็นผู้ที่เรืองวิชา ก็เลยอยากจะลองดูเท่านั้นว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? ขอโทษขอโพยที่ทำเรื่องไม่เหมาะสมไป แล้วก็กลับ เสด็จในกรมท่านถึงได้ทราบว่ามีฆราวาสชื่ออาจารย์แปลก ลอยเรืออยู่หน้าวัดสะพานสูง จังหวัดนนทบุรี"

เถรี
16-09-2018, 20:55
"ฉะนั้น บางทีพวกที่หาตะกรุดมหาโสฬสของหลวงปู่เอี่ยมไม่ได้ ก็ไปใช้ของท่านอาจารย์แปลกแทน แต่ว่าตะกรุดมหาโสฬสของท่านอาจารย์แปลก ถ้าใครมีอยู่จะหวงกว่าของหลวงปู่เอี่ยม ที่หวงกว่าเพราะว่าวิธีการสร้างพิสดารกว่า ดูน่าขลังกว่าใช่ไหม ? แต่จริง ๆ ก็คือ ถ่ายทอดจากหลวงปู่เอี่ยม ถัดจากหลวงปู่เอี่ยมมาก็เป็นหลวงปู่กลิ่น จากหลวงปู่กลิ่นมาก็เป็นหลวงพ่อทองสุข ถัดจากหลวงพ่อทองสุขก็เป็นหลวงปู่วาส หลวงปู่วาสเพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่นานนี้เอง อายุ ๙๐ กว่าปี

ถ้าเป็นตะกรุดมหาโสฬสสายวัดสะพานสูง หรือพระปิดตาสายวัดสะพานสูง ให้รีบคว้าไว้ก่อน จะเป็นของใครก็แล้วแต่ ได้ถึงระดับบรมครูก็ถือว่าชีวิตนี้สร้างกุศลมามหาศาล ของอย่างนี้จึงได้มาถึงมือ ถ้าไม่ได้ก็ลงมารุ่นหลัง ๆ อย่างหลวงปู่วาสก็ได้ แค่ของหลวงพ่อทองสุขก็สุดยอดแล้ว"

เถรี
16-09-2018, 21:26
"ตะกรุดสายวัดสะพานสูง ส่วนใหญ่มาตรฐานอยู่ที่ยาวประมาณ ๓ นิ้วครึ่ง ถ้าเป็นของหลวงปู่กลิ่นจะปิดทองลงรักก็มี ลงรักอย่างเดียวไม่ปิดทองก็มี แต่ถ้าเป็นของหลวงปู่เอี่ยมนี่ชัดเลย ม้วนเล็กสุด ๆ ถามว่าเล็กขนาดไหน ? เล็กขนาดหัวไม้ขีดแหย่ไม่เข้า ดูความเก่า ดูเนื้อผง ดูรัก แล้วต้องดูด้วยว่ารูตะกรุดใหญ่แค่ไหน ถ้าใหญ่มากก็ไม่ใช่ของหลวงปู่เอี่ยม

นอกจากนี้ก็มีตะกรุดยอดบายศรีตอนทำพิธีพุทธาภิเษก ครั้งหนึ่งมีไม่เกินสี่ดอก ตะกรุดยอดบายศรีจะยาวประมาณ ๕ นิ้ว ถ้าใครได้ไปถือว่าโชคดีสุด ๆ แบบเดียวกับพระปิดตายอดบายศรี ท่านจะทำเป็นสามองค์หันหลังชนกัน หรือสี่องค์หันหลังชนกัน ถึงเวลาก็เสียบเอาไว้ยอดบายศรี ถือเป็นของบูชาครูอย่างหนึ่ง

อาตมามีแค่ตะกรุดมหาโสฬสยอดบายศรีของหลวงปู่กลิ่น ของหลวงปู่เอี่ยมหลังจากที่สละไปหล่อพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่นแรกแล้ว ก็ยังหาไม่ได้อีกเลย ตอนนั้นเอาผงที่พอกตะกรุดไปทำพระปิดตาเนื้อผง และตัวตะกรุดไปทำพระปิดตาเนื้อโลหะ กะว่าถ้าได้ใหม่แล้วค่อยว่ากัน ปรากฏว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่ได้เห็นอีกเลย

มีอยู่ดอกหนึ่งเขาลงในเว็บไว้ เป็นเนื้อสองกษัตริย์ ก็คือสองอย่าง เป็นทองแดงกับทองเหลืองม้วนทับกันอยู่ เปิดราคามาที่เจ็ดแสนบาท ตูจะเป็นลม ฉะนั้น...ญาติโยมเห็นอาตมาลงในเว็บราคาหกหมื่น เจ็ดหมื่นว่าแพง ลองไปดูในตลาดสิว่าเขาคิดกันเท่าไร"

เถรี
17-09-2018, 19:45
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนท่านพระครูศุภชัย สมณศักดิ์ก็คือ พระครูศุภกิจชยาภรณ์ เจ้าคณะตำบลหนองมะคัง เจ้าอาวาสหนองมะคัง จังหวัดพิษณุโลก ท่านเอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งมาให้ดู เป็นลูกกลม ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒ เซนติเมตรกว่า ๆ เกือบ ๓ เซนติเมตร ท่านถามว่า "พระอาจารย์ครับ ศิลาน้ำหรือเปล่าครับ ? แต่ผมดูแล้วว่าเป็นผง เก็บได้ในแม่น้ำ" อาตมาดูแล้ว ท่านพระครูสายตาใช้ได้เลย เพียงแต่ไม่รู้จักของ นั่นคือลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค

ลูกอมหลวงปู่ปาน เกิดจากการที่เขาเอาผงไปอุดพระ คราวนี้ผงที่เหลือก็ปั้นเป็นลูกอมไว้ บางทีผงก็เปื้อนปูนที่อุดพระมากบ้างน้อยบ้าง องค์ใหญ่บ้างเล็กบ้าง องค์นั้นเกือบสามเซนติเมตร อาตมาเคยเจอมาหลายลูกก็เลยรู้จัก ตอนนี้ยึดไว้อยู่ในย่าม แต่ก็คงต้องคืนท่าน เพราะว่าเป็นของหายาก

สมัยก่อนการเดินทางและการค้าขายไปทางเรือกัน คาดว่าลูกศิษย์หลวงปู่คงจะพกลูกอมไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก้มไปก้มมาก็ตกน้ำลงไป ถึงเวลาก็โดนพัดติดฝั่งขึ้นมา ท้ายสุดก็อยู่ที่บุญใครที่จะได้ครอบครอง แบบเดียวกับที่อาตมาไปได้แก้วอินทนิลมาจากพม่านั่นแหละ ถ้าผีไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่ามีแก้วอินทนิลอยู่ตรงนั้น เขาบอกว่าจะไปเกิดแล้ว ให้ช่วยไปเอาหน่อย เขาจะได้ไปเสียที"

เถรี
17-09-2018, 20:06
ถาม : ที่เฝ้าแก้วอินทนิลอยู่เป็นอสุรกายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นเทวดาชั้นต่ำ จำพวกพระภูมิเจ้าที่

เถรี
17-09-2018, 20:59
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อช่วงอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษาที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ฝนหนักตกทั้งวันทั้งคืนต่อเนื่องกันมาหลายอาทิตย์ ญาติโยมเห็นว่าเป็นวันหยุดยาวก็อยากจะขึ้นไปเที่ยวสะพานมอญที่สังขละบุรี แต่ไปกันไม่ไหว เพราะว่าน้ำท่วมสังขละบุรีและมีดินถล่มด้วย จึงเปลี่ยนมาแห่กันขึ้นบันไดไปสักการะรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนแทน

คราวนี้ขึ้นบันไดอย่างเดียวก็ไม่ว่า พอลงมาแล้ว ร้านที่ตั้งขายของหน้าวัด เขาซื้อจนเกลี้ยง ไม่เหลืออะไรเลย นักท่องเที่ยวมามากจนเกินเหตุ แม่ค้าต้องวิ่งกลับบ้านไป เข้าสวนเอาผลไม้มาเพิ่มก็ไม่พอขาย โดยเฉพาะเงาะทองผาภูมิ มาเท่าไรก็หมด เงาะทองผาภูมิหน้าตาขี้เหร่มาก เขียว ๆ เหลือง ๆ หาสีแดงน้อยมาก แต่ล่อนและหวานกรอบมาก เข้าปากก็รู้เลยว่าไม่เหมือนที่อื่น"

เถรี
17-09-2018, 21:04
"สมัยอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ ใหม่ ๆ ราว ๆ ปี ๒๕๔๗ จัดงานประจำปี หลวงพ่อพรหมดิลก วัดสามพระยา ตอนนั้นเป็นพระเทพสุธีอยู่ เป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ อาตมานิมนต์ท่านไปงาน

อาตมาก็นึกไม่ถึง พระผู้ใหญ่ท่านบอกว่าอยากฉันเงาะทองผาภูมิ พอฉันอาหารเพลเสร็จของหวานมาถึง ไม่มีเงาะทองผาภูมิ แทนที่ท่านจะต่อว่าอาตมาที่เป็นเจ้าภาพ ท่านหันไปต่อว่าเจ้าคณะอำเภอ "คุณเป็นเจ้าคณะอำเภออย่างไรวะ ? ทำไมไม่เอาเงาะทองผาภูมิมาขึ้นโต๊ะบ้าง" ....( หัวเราะ)... อาตมาต้องกราบขออภัยท่าน บอกว่า "รอสักห้านาทีครับ" สั่งโยมวิ่งไปหามาให้ เพราะว่าสวนแถวใกล้วัดมีหลายสวน อย่างไร่ช้างเยี่ยมของลุงกมลก็ใส่บาตรทุกวันอยู่แล้ว

แต่เงาะทองผาภูมิเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก โดนปลอมอยู่เรื่อย เพราะว่าในพื้นที่ไม่พอขาย ถึงเวลาก็เอาของที่อื่นมา แล้วก็อ้างว่าเป็นเงาะทองผาภูมิ ของที่อื่นบางปีกิโลกรัมละ ๗-๘ บาท มาถึงทองผาภูมิขายกิโลกรัมละ ๒๕ บาท อัพเกรดได้เหมือนกัน ...(หัวเราะ)..."

เถรี
17-09-2018, 21:08
"ด้วยความที่ทองผาภูมิอากาศดี ฝนดี ดินดีด้วย โดยเฉพาะแถวองธิดินดำมาก ต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ปลูกอะไรก็งาม ปัจจุบันนี้ทองผาภูมิก็เลยมีผลไม้ทุกอย่างของตัวเอง โดยเฉพาะผลไม้เมืองหนาว พวกอะโวคาโด พวกสตรอเบอรี่ ฯลฯ ก็เลยทำให้ของที่อื่นแทรกเข้าไปยาก แม้กระทั่งทุเรียนก็ไปประกวดชนะได้ที่หนึ่งในงานประกวดทุเรียนโลกมา

เตือนอยู่อย่างหนึ่งว่าให้ขายราคาถูกหน่อย แต่ไม่ค่อยจะฟังกัน ขายราคาแพงมาก ถ้าขายถูกสักนิดหนึ่งก็จะขายได้มากขึ้น ก็ได้กำไรมากขึ้นไปเอง แต่ส่วนใหญ่จะไปขายราคาแพงทีเดียว"

เถรี
17-09-2018, 21:52
ถาม : ถ้าจะพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ต้องพิจารณาโพธิปักขิยธรรมด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมขั้นสูง ถ้าเข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าสักระดับหนึ่ง โอกาสที่จะเห็นได้ชัดจะมีน้อยมาก ฉะนั้น..ถ้าจะพิจารณาก็ได้ แต่จะไม่ค่อยได้อะไร ยกเว้นเรามีพื้นฐานอย่างเป็นพระโสดาบันขึ้นไป คราวนี้จะเข้าใจชัดขึ้น

ถ้าผมบอกว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี เดี๋ยวคนเขาจะรับกันไม่ได้ เพราะว่าสูงเกินไป เห็นคนทั่วไปเขานิยมพิจารณากัน ถ้าปัญญาเข้าไม่ถึงระดับก็ได้แค่ผิวเผิน พวกเราทั่วไปพิจารณาไตรลักษณ์ง่ายที่สุด จะเห็นชัดและยอมรับได้ง่าย

ถาม : ถ้ามีโยมมาถามเรื่องปฏิจจสมุปบาท ?
ตอบ : อธิบายไปตามที่เราเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจน้อย โยมก็ไม่ได้อะไร ฉะนั้น..แนะนำให้เขาในเรื่องอื่นดีกว่า เพราะว่าเป็นเรื่องของพระอริยเจ้า ว่ากันยากหน่อย

หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านเทศน์เฉพาะคน เฉพาะสถานที่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องเทศน์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ บางอย่างไม่ได้เหมาะสำหรับคนทั่วไป พระองค์ท่านเทศน์ให้เหมาะกับอุปนิสัยของผู้รับฟังตรงนั้น ในเมื่อได้สิ่งที่ตรงกับบุญเก่า ตรงกับกำลังบารมีที่สั่งสมมา ก็จะเข้าถึงได้ง่าย

ระดับพระองค์ท่านสามารถหาหลักธรรมสำเร็จรูปออกมาเหมาะสำหรับคนทั่วไปได้ก็สุดยอด หลักการก็อยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา นั่นแหละ เพียงแต่วิธีการแตกแขนงออกไปนับไม่ถ้วน

เถรี
18-09-2018, 17:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของชื่อบ้านนามเมือง บางทีก็เพี้ยนไปเรื่อย ๆ ไปตามยุคตามสมัย มีการแก้ไขด้วยนะ อย่างสมัยก่อนเขาเรียก โคกอีหอม มาสมัยนี้เป็น ดอนยายหอม

คลองไอ้โส ปัจจุบันคือคลองตาโส นาน ๆ ไปไอ้โสแก่ตัวขึ้น กลายเป็นตาโสสมัยอาตมาเล็ก ๆ เขาเรียก นกอีแอ่น สมัยนี้นกอีแอ่นไม่มี มีแต่นกนางแอ่น

มีอยู่ระยะหนึ่งที่เขานิยมเรียกว่า นางเก้ง เปลี่ยนมาจากอีเก้ง ไม่รู้ว่า "อี" หยาบตรงไหน ท้ายสุดเรียกไปเรียกมา คนเรียกคงทุเรศตัวเอง ก็เลยเหลือเก้งคำเดียว

แบบเดียวกับคำว่า แรด เป็นคำหยาบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาก็เลยเปลี่ยนจากแรดมาเป็นระมาดแทน เพราะฉะนั้น...พวกเราจะรู้จักตลิ่งชัน บางระมาด แต่ไม่รู้ว่าระมาดคืออะไร แสดงว่าสมัยนั้นพื้นที่แถวฝั่งธนยังมีแรดอยู่เลย เขาถึงเรียกบางระมาด

แรดมีนิสัยที่ชอบนอนเกลือกปลัก ถ้าหลังจากกินอิ่มแล้วก็จะนอนแช่ปลักกลิ้งไปกลิ้งมา เพราะแรดจะมีหนังที่พับย่น ๆ อยู่ พวกแมลงชอบเข้าไปอาศัยอยู่ พวกเห็บไปกินก็รำคาญ ก็เลยต้องไปแช่ปลักเพื่อที่จะขับไล่พวกแมลง ผู้ใหญ่เห็นพวกลูกหลานตนเองไม่ได้ทำอะไร วัน ๆ เอาแต่ประเภทนอน ก็ด่า “อีแช่แรด” เพราะฉะนั้น...คำว่าแรดเขาใช้ด่ากันมาตั้งแต่สมัยที่อาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่เลย"

เถรี
18-09-2018, 18:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลูกคนไทยเสียเปรียบ บ้านเมืองของไทยอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คนไทยก็เลย "เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ" ส่วนลูกคนจีนจะอดตายกันก็มี ก็ต้องขยัน

อย่างที่เพื่อนพระสังฆาธิการบอกว่า อาตมา "ขยันฉิบหาย" นั้น สมัยอาตมาเด็ก ๆ โดนพ่อแม่ทั้งตีทั้งด่ามาไม่รู้เท่าไร ท่านว่าขี้เกียจ ถามว่ารุ่นพ่อแม่เป็นอย่างไร ? ท่านทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าเป็นข้างขึ้นพอมองเห็นบ้างก็ออกไปทำไร่ทำนากัน ถึงเวลาก็รูดใบยา เก็บใบยาสูบ หั่นใบยากัน อาตมาก็ไม่ไหวแล้ว ห้าทุ่มเที่ยงคืนก็หัวทิ่มพื้น อากาศก็หนาว กำลังง่วงสัปหงก มีเสียง “เพียะ” โดนก้านใบยาสูบฟาดไปที ตาสว่างโล่งเลย

ฉะนั้น...ที่อาตมาทำอยู่ทุกวัน คนเห็นว่าขยัน จริง ๆ แล้วในสมัยโน้นถือว่าขี้เกียจบรรลัยเลย รุ่นหนึ่งผ่านไปก็ขี้เกียจลงไปอีกส่วนหนึ่ง ลูกคนจีนได้เปรียบ พลัดบ้านพลัดเมืองมา จำเป็นต้องขยัน ถ้าไม่ขยันทำมาหากิน ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงเมียเลี้ยงลูกอย่างไร เพราะว่าไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ ตอนมานี่มือเปล่าเลย ไม่มีพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ต้องค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบแล้วลงทุน"

เถรี
18-09-2018, 18:23
"การลงทุนของคนจีนสมัยก่อนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด แต่ปัจจุบันเขาถือว่าเป็นการลงทุนที่ใช้ไม่ได้ การลงทุนสมัยก่อนก็คือลงทุนเท่าที่มี เขาใช้คำพูดง่าย ๆ ว่า สู้แค่หน้าตัก มีทุนอยู่เท่าไรก็ใช้แค่นั้น ต่อให้เจ๊งหมดตัวก็ไม่มีหนี้ แต่สมัยนี้เขาต้องกู้ ในเมื่อกู้มา พอเจ๊งหมดตัวยังมีหนี้ก้อนโตรออยู่

พวกเราสมัยนี้ไปเชื่อทฤษฎีเศรษฐกิจของฝรั่ง "มีหนี้มากแสดงว่าเครดิตดี" จะตายเอา ใช้หนี้ไม่ไหว เราอยู่ทางด้านเอเชีย จะใช้หลักการอะไรก็ต้องเป็นหลักการที่เหมาะสมกับคนเอเชีย โดยเฉพาะทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงนี่ใช้ได้ทั้งโลกเลย

ค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบ พอถึงเวลาก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ของตัวเอง อย่างเช่น ร้านโชห่วย ร้านขายกาแฟ เป็นช่างฝีมือบ้าง พอตั้งหลักได้ มีเงินมากก็ขยายการลงทุนมากขึ้น การขยายการลงทุนที่ดีก็คือ หากิจการให้ลูกหลานทำ"

เถรี
18-09-2018, 18:25
"เราจะเห็นว่าธนาคารสมัยเก่า ไม่ว่าจะธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นกิจการในครอบครัว เป็นกิจการของตระกูล อย่างธนาคารกสิกรไทยก็ตระกูลล่ำซำ ธนาคารศรีอยุธยาก็ตระกูลเตชะไพบูลย์ ธนาคารกรุงเทพก็ตระกูลโสภณพนิช เราจะเห็นว่าเป็นกิจการในครอบครัว

หลังจากนั้นระบบบรรษัท คือ บริษัทหลายบริษัทเข้ามาร่วมกันอย่างหนึ่ง และระบบมหาชนก็คือกระจายหุ้นให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำให้กิจการเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปจากงานครอบครัวมาเป็นงานทั่วไป เป็นงานที่สากลเขายอมรับกัน

พวกนี้เกิดจากการลงทุนแค่หน้าตักมาก่อน ก็คือสู้แค่ตัวเองมีทุนก่อน ไม่ยอมกู้หนี้ยืมสินใคร ถ้าจะกู้หนี้ยืมสินก็ต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ ต้องเป็นญาติเป็นพี่น้องกัน ร่วมแซ่ร่วมตระกูล ร่วมบ้าน ร่วมอำเภอ ร่วมจังหวัดกัน เขาหาทางเชื่อมโยงกันได้ ท้ายที่สุดก็ร่วมสมาคมเดียวกัน

คนจีนโดนบังคับให้ขยันเพราะว่าพลัดบ้านพลัดเมืองมา ส่วนคนไทยเป็นเจ้าของบ้านไม่ยอมขยัน ท้ายสุดกิจการก็อยู่ในมือคนจีนหมด ไม่ต้องโทษใคร ส่วนงานปกครองทุกอย่างปัจจุบันนี้ก็อยู่ในมืออิสลามหมด "

เถรี
20-09-2018, 09:05
"พวกเรามาดูงานในปัจจุบันก็คือธุรกิจอิสระ ส่วนใหญ่เป็นการค้าขาย โดยเฉพาะการค้าขายออนไลน์ ความจริงก็เป็นการหาเงินที่ง่ายมาก แต่อาตมาไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่สั่งสินค้ามาแล้วขายต่อ เราไม่ได้ผลิตเอง จึงควบคุมได้ยาก ถ้าเราผลิตเองอย่างผลิตผ้าทอมือ ผลิตงานฝีมือ งานประดิษฐ์ต่าง ๆ พวกนี้เราควบคุมได้ เพราะว่าเป็นสินค้าของเราผลิตเอง สามารถกำหนดได้ว่าลูกค้าสั่งมาเท่าไร เราจะมีสินค้าขายให้เขา ถ้าเราไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง ต่างคนต่างขาย ท้ายสุดจะไปเอาสินค้าที่ไหนมา เพราะว่าเราทำเองไม่ได้

แบบเดียวกับพวกเปิดขายวัตถุมงคลวัดท่าขนุน พอถึงเวลาหาวัตถุมงคลเพิ่มไม่ได้ก็เจ๊ง ไม่มีของขาย ลักษณะใกล้เคียงกันเพราะว่าเราไม่ใช่ผู้ผลิต

ฉะนั้น...ถ้าจะทำการค้าขายออนไลน์ อาตมาขอยืนยันว่าถ้าเราผลิตได้เองก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าเราผลิตเองไม่ได้ แล้วต้องสั่งจากคนอื่น หาความแน่นอนไม่ได้หรอก เขาโอนเงินแล้วส่งของไม่ได้ เดี๋ยวก็กลายเป็นฟ้องร้องมีคดีความกันอีก"

เถรี
20-09-2018, 09:18
"เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.๙ ก็คือทำให้ตนเองพอกินพอใช้ไปก่อน เหลือแล้วค่อยขาย ถ้าทำแล้วตนเองพอกินพอใช้ ความมั่นคงก็จะมีขึ้น

นึกถึงที่หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พระบิดาแห่งการเกษตร ท่านบอกว่า "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง" อาตมาเจอมาชัด ๆ เลยสมัยที่อยู่ชายแดนตาพระยา พลอยดิบ ๑ กระป๋อง แลกกับข้าวสาร ๑ กระป๋อง เราจะไปคิดว่าพลอยราคาแพงมาก ทำไมแลกข้าวได้แค่นั้น ? แล้วคุณกินพลอยได้ไหม ? ในเมื่อกินไม่ได้ก็ต้องยอมแลก

หรือเหมือนที่พวกอาตมาเข้าตาจน เงินทองก็ไม่มี ต้องถอดนาฬิกาข้อมือ เอาไปแลกข้าวห่อได้ ๑ ห่อ นาฬิการาคาสามสี่พันบาท สมัยนั้นซื้อทองได้บาทกว่าเลยนะ"

เถรี
20-09-2018, 09:21
"เมื่อเงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง ก็ชวนให้พวกเราทำอะไรก็ได้ อย่างที่อาตมาทำชุมชนคุณธรรม โครงการผักสวนครัวรั้วกินได้ ทำอย่างไรที่เราไม่ต้องไปเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน จะว่าเล็กน้อยก็ไม่ได้นะ สมมติว่าเราปลูกพริกขี้หนูใส่กระถาง ๓-๔ กระถาง ก็พอกินในครัวเรือนแล้ว

เวลาไปซื้อพอกินไหมล่ะ ? สมัยนี้ไปซื้อพริกขี้หนู ๕ บาท แม่ค้าบอกว่าหยิบไม่ได้ อาตมาก็ว่า "ในเมื่อโยมหยิบไม่ได้ อาตมาขอหยิบเอง" "ไม่ใช่ค่ะ ราคานี้ซื้อไม่ได้" ประเภทขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ปลูกไว้รอบ ๆ บ้านบ้าง ปลูกใส่กระถางโอ่งอ่างอะไรไว้ก็ได้"

เถรี
20-09-2018, 09:31
พระอาจารย์เล่าว่า "มหาเถรสมาคมสั่งแก้ปัญหาคนหวังบุญด้วยการปล่อยสัตว์ในวัด ข้อที่ ๑ ห้ามปล่อยสัตว์ในพื้นที่ของวัด ข้อที่ ๒ ห้ามซื้อขายหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าชีวิตสัตว์ในพื้นที่ของวัด ให้วัดต่าง ๆ ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเหล่านี้ ๑.พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ ๒๕๕๗ และ ๒.พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ๒๕๓๕

ชาวบ้านเขาจะฟังไหม ? ที่วัดมีทั้งที่ปล่อยหมาและมาอุ้มไป ถึงเวลาก็มาปล่อยวัด พอทางวัดเลี้ยงจนกำลังน่ารักก็มาอุ้มกลับ เลือกเฉพาะตัวด้วยนะ ล่าสุด "ไอ้ซ่าจัง" ของอาตมาโดนคว้าไปแล้ว หมาเดือนกว่า ๆ กำลังน่ารัก ที่เรียก "ซ่าจัง" ก็เพราะว่าเขาไม่กลัวหมาใหญ่ ใหญ่แค่ไหนก็บุกข้ามถิ่นเขาหมด"

เถรี
20-09-2018, 09:35
"หมาที่วัด ๒๐๐-๓๐๐ ตัว เฉพาะค่ารักษาอย่างเดียวเดือนละเป็นหมื่น ยังดีที่ตอนนี้ไล่ท่านเทิดไปจำพรรษาที่วัดวังปะโท่ ไม่อย่างนั้นจ่ายเดือนหนึ่งบางทีก็ใกล้แสน

ท่านเทิดนี่เมตตาหมามาก หมาจะเจ็บป่วยจะอะไร เอาเข้าโรงพยาบาลหมด แล้วมาเบิกกับหลวงพ่อ เขาสงสารแต่หมา แต่ไม่สงสารหลวงพ่อเลย

ล่าสุดลูกหมาโดนหมาใหญ่กัดตาบอดไปข้างหนึ่ง ท่านก็รีบเอาหมาไปรักษา จ่ายไปเก้าพันบาท อีกไม่นานมาเบิกอีกหมื่นกว่าบาท ถามว่าเบิกอะไรอีกวะ ก็รักษาแล้วไม่ใช่เรอะ ? ท่านสงสารเลยเอาให้หมอศัลยกรรมให้เบ้าตาดูดีขึ้นมาหน่อย อื้อหือ..มึงทำอย่างกับว่าศัลยกรรมแล้วจะทำให้ตามองเห็นได้ แล้วใครจ่ายวะ ? เจ้าอาวาสจ่าย ท่านรักหมาสงสารหมา แต่ไม่สงสารเจ้าอาวาสบ้างเลย"

เถรี
21-09-2018, 09:12
"เวลาไปไหนแต่ละที หมาเดินตามเป็นร้อย หมาเขาก็รู้ว่าใครเมตตา ใครสงสารเขา ทีนี้เวลาข้ามถิ่นกัน ก็ทะเลาะเสียงสนั่นหวั่นไหวไปหมด สมมติว่าอาตมาจะเดินไปตรวจงาน หมาวิ่งตามไปฝูงหนึ่ง พอไปเจอฝูงเจ้าถิ่นก็ลุยกันแล้ว

ช่วงนี้การทำหมันหมาก็แพงมาก หมาตัวผู้ทำหมันตัวละ ๗๐๐ บาท หมาตัวเมียทำหมันตัวละ ๑,๕๐๐ บาท ถามว่าทำหมันแต่หมาตัวผู้ก็จบแล้วไม่ใช่ ? ยังไม่จบ พอทำหมันหมาตัวผู้ในวัดหมด หมาตัวผู้ในหมู่บ้านก็เข้ามาแทน ท้ายสุดก็ต้องทำหมันหมาตัวเมียไปด้วย สักพักหนึ่งแม่ชีก็มาเบิก งวดนี้ ๑๕ ตัว งวดนี้ ๑๓ ตัว จ่ายไปเถอะ

ถ้าญาติโยมมีหมาอยู่ กรุณาอย่าฉีดยาคุมให้หมา ถ้าไม่รู้จริงการฉีดยาคุมจะทำให้หมาตาย เพราะว่าอาตมาสังเกตแล้ว การฉีดยาคุมไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ไปเร่งการตั้งครรภ์ให้หมา ทันทีที่ฉีดยาคุม หมาก็จะเป็นสัด ตัวผู้ก็จะมาผสม แต่ผสมแล้วพอติดลูกก็คลอดไม่ได้ เพราะว่ามดลูกไม่เปิด เนื่องจากฉีดยาคุมไปแล้ว ส่วนใหญ่ลูกก็จะตายในท้อง ถ้าเราไม่ช่างสังเกต แม่ก็จะตายตามไปด้วย

หมาที่กุฏิอาตมาหลายตัวกลายเป็นหมาไร้เพศไป เพราะว่าต้องตัดมดลูกทิ้ง ตอนไปผ่าตัดมดลูกก็แพงอีก ฉะนั้น...อย่าพยายามไปฉีดยาคุม ทำหมันไปเลยจะดีที่สุด ถ้าถามว่าทำหมันไม่บาปหรือ ? ถ้าเกิดใหม่ก็เป็นกระเทย แต่ถ้าไม่คิดจะเกิดใหม่ก็ทำไปเถอะ"

เถรี
21-09-2018, 09:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมแค่ลูกอมมัทรีหรือลูกอมผงพรายกุมารก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ยิ่งปลัดขิกแล้วก็ยิ่งสุดยอดเข้าไปใหญ่ ยังขำ ๆ ตอนที่ท่านไปขอความรู้จากหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก "ท่านพี่...เสกปลัดขิกอย่างไรให้วิ่งได้ ?" หลวงพ่อเหลือบอกว่า "ต้องให้ใจนิ่งอย่างเดียว" เวลาคนโบราณพูดนี่ตายเลยนะ ไม่มีคำอธิบายอื่นอีก กว่าที่หลวงปู่ทิมจะจับจุดได้ ว่าจะต้องวางสมาธิขั้นนี้ ๆ ก็เล่นเอาเสียหลายปีเลย"

เถรี
21-09-2018, 09:14
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ