View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อปลัดวิรัชท่านขอให้อาตมาช่วยจำหน่ายวัตถุมงคล ที่ท่านขอให้ช่วยเพราะว่าอาตมาเป็นคนที่จำหน่ายอะไรได้คล่องมาก เนื่องจากว่าเขาขอดู ๑๐ ชิ้น ๒๐ ชิ้น ก็หยิบให้เขาดูได้ พอถึงเวลาคิดเงินเสร็จสรรพ คนอื่นเขาหยิบให้ดูทีละชิ้นเพราะว่าเขาจำไม่ได้ สำหรับอาตมาต้องการดูกี่ชิ้นหยิบไปเลย พอเขาถามราคาก็บอกให้เสร็จเลย
มีอยู่รายหนึ่งกลิ้งลูกแก้วดูกับนิ้วตัวเองอย่างนี้ ทีละเหลี่ยม ๆ พอไปเจอที่บิ่นก็ขอเปลี่ยน สภาพจิตละเอียดอย่างนี้ก็มีด้วยนะ อาตมาจึงเล่นกับเขาหน่อย ก็ดูไปเรื่อย ดูไปดูมากองเบ้อเริ่มเลย เขาถามว่าราคาเท่าไร ? อาตมาบอกว่า ๔๔,๐๐๐ บาท เขาควักจ่ายให้เดี๋ยวนั้นเลย เขาตั้งใจเอาจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นรับรองได้ว่าขายให้เขาไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาค่อย ๆ ตรวจดูแล้วขอเปลี่ยนทีละชิ้น แลดูน่ารำคาญ ดีไม่ดีจะไปเอ็ดตะโรใส่เขาว่าทำให้เสียเวลา
อาตมาดูตามสภาพจิตของคน คนสภาพจิตเป็นราคะจริตแบบนั้นนี่ต้องยอมเขา ราคะจริตนั่นไม่ใช่บุคคลที่มากด้วยราคะ แต่ราคะจริตนี้คือรักสวยรักงามอย่างยิ่ง"
ถาม : หากผมพาลูกอายุ ๖ เดือน เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร แต่ด้วยความที่ยังเด็ก เลยไม่สามารถทำให้ลูกอยู่นิ่งนิ่งเพื่อตั้งสมาธิได้ ถ้าเป็นแบบนี้เด็กจะได้รับยันต์ไหมครับ ?
ตอบ : ได้รับเป็นปกติอยู่แล้ว พ่อแม่กังวลเกินเหตุไป เด็กเขาเป็นอย่างนั้นของเขา พระท่านตั้งใจสงเคราะห์ท่านก็สงเคราะห์ให้เขาทั้งแบบนั้น ระวังไว้อย่างเดียวว่า ถ้าเด็กเสียงดังมากจะมีคนช่วย "ยัน" แทน...!
ถาม : ๑ ในอานิสงส์ของมรณานุสติคือจะเป็นคนไม่กลัวความตาย แต่ผมสงสัยที่พระพุทธเจ้าท่านบอกคนไม่กลัวตายมี ๒ ประเภท พระอรหันต์กับพระเจ้าจักรพรรดิ หลวงพ่อช่วยอธิบายให้ผมหายสงสัยทีครับ ?
ตอบ : ทำไมต้องหายสงสัย ? พระอรหันต์ท่านไม่อยากอยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว ท่านจะกลัวตายทำไม ? ส่วนพระเจ้าจักรพรรดิทั้งโลกเป็นของท่านอยู่แล้ว ไม่มีศัตรู แล้วท่านต้องไปกลัวใคร ?
ถาม : คนที่เจริญมรณานุสติจะเป็นคนที่ไม่กลัวความตายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้สำหรับคนทั่วไป ยกเว้นว่าจะเจริญมรณานุสติจนถึงที่สุด คือ เป็นพระอรหันต์ไปเลย ถึงจะไม่กลัวตาย
ถาม : ผมอ่านหนังสือพรสวรรค์บนเว็บวัดท่าซุง หนังสือเรื่องนี้จะมีคำสอนของพระพุทธเจ้าในอดีต ไปจนถึงพระโพธิสัตว์ และคนที่ทำหนังสือนี้ขึ้นมาคือคณะพรสวรรค์ อยากทราบว่าหลวงพ่อพอจะรู้จักคณะพรสวรรค์หรือเปล่าครับ ? ถ้าหลวงพ่อรู้ช่วยเล่าประวัติคณะพรสวรรค์เป็นความรู้ทีครับ ?
ตอบ : คณะพรสวรรค์คือคณะที่เริ่มต้นขึ้นมาจากการเล่นผีถ้วยแก้ว แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติระดับสูงทั้งนั้น ผู้ที่มาสงเคราะห์ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นพรหม เทวดา หรือพระไปเลย ทางคณะจึงเก็บคำสอนที่ได้จากการเล่นผีถ้วยแก้ว เอามาบันทึกไว้ให้พวกเราได้อ่านกัน
ถาม : ในหนังสือพรสวรรค์ มีคำสอนของท่านทรงปราบมาร ซึ่งในหนังสือบอกว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และท่านจะรอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย อยากทราบว่าหลวงพ่อเคยเจอท่านทรงปราบมารหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่เคยเจอ เพราะว่ากลัวจะโดนท่านปราบ..!
ถาม : การที่ผมมโนภาพหรือนึกว่าเรากำลังกราบสมเด็จองค์ปฐม ปางพระนิพพาน อยากทราบว่าเป็นมโนมยิทธิหรือเปล่าครับ หรือเป็นแค่จินตนาการเฉย ๆ ?
ตอบ : ถ้าสามารถเห็นได้ชัดเจนก็เป็นทิพจักขุญาณ ถ้าไปอยู่ที่นั่นเลยก็เป็นมโนมยิทธิ ให้พิจารณาเอาเองเลยว่าเป็นประเภทไหน ถ้าไม่ได้ทั้งสองอย่างก็เหลืออยู่อย่างเดียว คือจินตนาการไปเอง
ถาม : การจะเข้าฌานต้องมีเอกัคตารมณ์ คืออารมณ์เป็นหนึ่งจดจ่อกับสิ่งที่ทำ เช่น กำหนดรู้ลมหายใจอย่างเดียว แต่ผมสงสัยว่าการที่เราจดจ่อการสวดมนต์อย่างเดียว หรือถ้ามีอาชีพเป็นมือปืนหรือนักธนู จะยิงเป้าหมายให้แม่น ก็คือเอกัคตารมณ์ ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำได้ ทุกอย่างทุกอาชีพก็ล้วนแล้วแต่เป็นเอกัคตารมณ์ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สักอย่าง
ถาม : การที่จะคุยกับพระที่ท่านอยู่บนพระนิพพาน พรหม และเทวดา คุยอย่างไรหรือครับ ? และใช้ภาษาอะไรคุยหรือครับ ?
ตอบ : ใช้ใจคุย ก็ต้องเป็นภาษาใจอยู่แล้ว
ถาม : เพชฌฆาตฤกษ์ ในปี ๒๕๖๑ นั้นตรงกับวันไหนครับ ?
ตอบ : ไปเปิดตำราโหรดู มีไม่รู้ตั้งกี่วัน
ถาม : "พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน เนื้อเมฆสิทธิ์ วัดท่าขนุน" สามารถใช้พุทธคุณแทน "ลูกอมเนื้อเมฆสิทธิ์ หรือพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ หลวงพ่อทับ วัดอนงคาราม" ในด้านหนุนดวง ด้านกลับดวง และด้านอื่น ๆ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าถือว่า “การช่วยให้รวย” เป็นการหนุนดวง ก็ใช้ได้เหมือนกัน
ถาม : บางทีเมื่อมีอาการปวดหัว ผมก็มักจะเอาสมาธิเข้าช่วย เมื่อทำสมาธิไปสักพักแล้ว ปรากฏว่ารู้สึกเย็น ๆ บริเวณหน้าผากและศีรษะ แล้วอาการปวดหัวก็ค่อย ๆ ทุเลาลง ไม่ทราบว่าอาการเย็น ๆ นั้นคืออะไรครับ ?
ตอบ : ใจเริ่มเป็นสมาธิ อาการปวดหัวเกิดจากความดันสูง พอใจเริ่มสงบ ความดันก็ลดลง ทำให้รู้สึกทุเลาขึ้น
ถาม : ต้องทำกรรมอะไรไว้หรือครับ จึงได้เกิดเป็นแมลงสาบ ?
ตอบ : ประเภทโลภโมโทสันไม่พ้นไปจากสภาพจิตของสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวก็ได้เกิดเป็น หรือไม่ก็กระทืบแมลงสาบสักตัวสองตัวเดี๋ยวก็ได้เกิดเป็นแล้ว
ถาม : ผมได้บูชาองคต หลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบและเบี้ยแก้สารพัดกัน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำไป หากมีคาถากำกับหรือวิธีใช้ ผมกราบขอทราบคาถากำกับและวิธีใช้ดังกล่าวครับ ?
ตอบ : ไปค้นเอาในอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะไป ไม่ลงทุนเลยนี่หว่า..?!
คาถาบูชาองคต หลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ ว่า "พะ หะ วา รา นะมะการานุภาเวนะ หันตะวา สัพเพ อุปัททะเว"
คาถาบูชาเบี้ยแก้ หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ให้ตั้งนะโมฯ ๓ จบ จากนั้นปลุกด้วย นะ มะ พะ ทะ (๓ จบ) จะ ภะ กะ สะ (๓ จบ) แล้วให้ภาวนาคาถา ๓ จบ ดังนี้
“ อะสิสะติ ธะนูเจวะ สัพเพเต อาวุธานิจะ ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเม นะผุสสันติ ”
ถาม : เวลาสวดมนต์จะรู้สึกแปลก ๆ เช่น ถ้าเป็นบทสวดเมตตาจะรู้สึกนิ่ม ๆ อ่อนไปหมด (ไม่ใช่อาการหมดแรง) บทสวดอื่นมีอาการต่างไป เป็นอุปาทานคิดปรุงแต่งไปเองหรือเปล่า ที่ถูกต้องควรทำแบบใด ?
ตอบ : คิดว่าเป็นอุปาทานก็แล้วกัน...สบายใจดี
ถาม : การที่คนเรามีความชอบสั่งสอนคนอื่นมาก เช่น พูดสอนธรรมะตลอด โดยที่เขาไม่ต้องการ บางครั้งจะรำคาญ พอโดนเขาเถียงหรือไม่รับฟัง ผู้สอนก็จะไม่พอใจ โกรธ มาพูดว่าลับหลังถึงคนไม่เชื่อว่าเจ้าทิฐิมานะ ฯลฯ อาการชอบสอนแบบนี้มาจากกิเลสหรือไม่ ?
ตอบ : กิเลสเต็ม ๆ
ถาม : ถ้าเรามีอาการไม่รู้จะพูดคุยอะไร ยกเว้นจำเป็นจะต้องพูดนี่ เราผิดปกติหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ผิดปกติ เพราะปกติของนักปฏิบัติจะต้องรักษากำลังใจ จึงพูดน้อยอยู่แล้ว
ถาม : การขยายนิมิตในกสิณ เช่น กสิณไฟ หรือ กสิณสีเหลือง เราต้องขยายตอนที่นิมิตมีลักษณะเหมือนกับตัวกสิณที่เราใช้เพ่ง หรือว่าต้องให้ภาพกสิณเปลี่ยนสีก่อนจึงจะขยายครับ ?
ตอบ : จนกว่าภาพกสิณนั้นจะสว่างสดใสเหมือนอย่างกับเรามองดวงอาทิตย์
ถาม : แล้วถ้าเรากำลังทำการขยายกสิณอยู่ เราจะมีวิธีควบคุมภาพกสิณอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าถึงเวลาเราต้องการอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น
ถาม : เมื่อเดือนก่อนมีวันหนึ่งที่ผมนั่งสมาธิในห้องพระ จิตตกลงไปเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วเกิดนิมิตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายอาหารห้องแถวห้องหนึ่ง ผมเลยคิดว่านิมิตนี้คงมาจากอุปาทาน จึงลองตั้งสติทำสมาธิใหม่ คราวนี้จิตตกลงไปสู่ที่เดิมอีก แต่ง่วงน้อยลง รู้สึกตื่นมากกว่า คราวนี้ผมเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงในกายพระสงฆ์ หยิบลูกแก้วที่ผมซื้อมาตั้งไว้หน้าหิ้งพระ ยื่นมาให้ผมต่อหน้าเลยครับ เป็นภาพชัดเจนมาก แต่ท่านไม่ได้พูดอะไร ผมขนลุกและลืมตาทันที ลักษณะท่าทางที่่ท่านยื่นมา อารมณ์เหมือนท่านตั้งใจบอกว่า "ไอ้หนู เอ็งเอาลูกแก้วนี่ไปฝึกได้แล้ว"
แต่ผมไม่ฝึก เพราะผมจำได้ว่าหลวงพ่อท่านย้ำว่าหากฝึกกสิณกองใดกองหนึ่งยังไม่สำเร็จ ห้ามเปลี่ยนกองเด็ดขาด ตอนนี้ผมเลยไม่ค่อยมั่นใจว่าควรจะเชื่อนิมิตดีหรือไม่ หรือเป็นอุปาทานมาหลอกให้เขวครับ ?
ตอบ : ให้เชื่อในสิ่งที่เราตั้งใจทำ ถ้าเราทำแล้วได้ผลค่อยขยับไปใช้กสิณกองใหม่ตามที่ท่านแนะนำให้ในนิมิต
ถาม : ในเรื่องจุไรเที่ยวดวงดาว มีอยู่ดาวหนึ่งที่หลวงพ่อไปกับคณะอีก ๑๒-๑๓ ท่านแล้วไปปล่อยไก่ที่นั่น ไม่ทราบว่ามีพระอาจารย์รวมอยู่ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่ชอบปล่อยไก่...!
ถาม : หากเราชำนาญในมโนมยิทธิถึงขนาดนั้น ถ้าอยากให้พระอาจารย์ไปด้วย เอากายในไปหาพระอาจารย์แล้วให้พระอาจารย์พาไปท่องดวงดาวด้วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : หาซื้อตั๋วจานบินให้ดีกว่า ไปง่ายกว่าเยอะเลย...! ถ้าได้ขนาดนั้นแล้วจะเสียเวลาไปหาคนอื่นทำซากอะไร ? ไปเสียเองก็หมดเรื่องหมดราวไปแล้ว
ถาม : สามเณรอายุ ๘ ปีที่ติดตามหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้บอกว่า ทรงสมาบัติ ๘ ได้เป็นปกติ ใช่ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร ที่เข้าไปทำพิธีช่วยเด็ก ๑๓ คนที่ติดถ้ำหลวงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เพราะว่าครูบาท่านอายุ ๕๐ กว่า แต่สามเณรนั่นเพิ่งจะ ๘ ขวบ ตอบตรงไปตรงมามาก...!
ถาม : ปัจจุบันกำลังสร้างบ้านอยู่ในซอยวิภาวดีฯ ๖๐ หลังอาคารสำนักงานใหญ่ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส บ้านหลังนี้เริ่มสร้างตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ ๙ เดือนกันยายน ปี ๒๕๕๓ รวมระยะเวลาเกือบ ๘ ปี มีปัญหาในการก่อสร้างมาตลอด ต้องเปลี่ยนช่างหลาย ๆ ครั้ง และได้หยุดพักการก่อสร้างไปประมาณ ๑ - ๒ ปี ตอนนี้กำลังจะเริ่มเข้าไปก่อสร้างต่อ
อยากขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่ามีสิ่งใดที่ควรปรับเปลี่ยนและควรทำ เพื่อให้การก่อสร้างในครั้งนี้สำเร็จอย่างราบรื่นเจ้าคะ ?
ตอบ : ทำสัญญาให้รอบคอบรัดกุม ถ้าส่งงานไม่ได้ตามกำหนดมีการปรับแต่ละวันว่าเป็นเงินเท่าไร
ถาม : มีคนเอาพระเครื่องมาจากวัดมาโดยไม่ถูกต้อง แล้วมาขายให้กับเรา เรารับของเขามา ทีนี้ภายหลังต้องการชำระหนี้สงฆ์โดยนำพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วไปใช้คืน อยากทราบว่าจำเป็นต้องใช้ตามจำนวนพระเครื่องที่บูชามาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระบูชาต้องชำระหนี้สงฆ์ตามมูลค่าในปัจจุบัน ถ้าเป็นพระเครื่องต้องไปใช้คืนองค์ต่อองค์ ถ้าบูชามาสักกระสอบก็เฮงแล้ว...!
ถาม : พนักงานบริษัทคิดเงินลูกค้าผิด ไม่ว่าจะขาดหรือเกิน ยันต์เกราะเพชรที่ไปรับมาจะยังอยู่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : คิดเงินผิดไม่ได้แปลว่าโกง ยันต์เกราะเพชรจะสูญสลายไปก็ต่อเมื่อโกง ก็คือตั้งใจขโมยของของเขา
ถาม : ไปเจอชาวบ้านสองคนโบกมือเรียกริมถนนใหญ่ บอกว่าหลงทางกลับบ้านไม่ถูก เดินหาทางจะหมดแรง พวกเราเลยรับพาไปส่งบ้าน ซึ่งบ้านพวกเขาอยู่ติดถนนไม่ห่างจากจุดที่พวกเขาโบกมือขอความช่วยเหลือ ยายที่ไปด้วยกันบอกว่าเขาทั้งสองคนไปข้าม "เครือเถาหลง" ในป่าชุมชนที่อยู่ใกล้ ๆ ทำให้หลงทาง ซึ่งสังเกตชาวบ้านสองคนแล้ว พวกเขาไม่ได้แกล้งและไม่ได้ป่วยเลอะเลือนแน่ ทำไมถึงเกิดเหตุแบบนี้ได้และเรามีวิธีป้องกันไหม ?
ตอบ : วิธีป้องกันคืออย่าเข้าป่า เข้าไปเมื่อไรไปข้ามก็ซวยอีก ของอย่างนี้เขามีฤทธิ์โดยวิบากกรรม ขณะเดียวกันวิบากกรรมของเราก็มีอยู่ด้วย ถึงได้ไปเจอกับเขาพอดี ฉะนั้น...ถ้าใครไม่มั่นใจก็อย่าพยายามเข้าป่าก็แล้วกัน
ถาม : เรื่องที่ ๑ หลวงพ่อรูปหนึ่งอายุเกือบ ๗๐ ปี สงสารลูกศิษย์สีกาผู้อาภัพมาก จึงหาวิธีช่วย ได้ภาวนาทำสมาธิย้อนดูอดีตชาติของสีกา ทำให้ทราบว่าสีกาคนนี้เคยเป็นคู่ครองกับท่าน ภายหลังการระลึกชาตินี้แล้ว กระแสความผูกพันและกามมีเพิ่มขึ้น จนในที่สุดหลวงพ่อรูปนี้ต้องสึกออกไปแต่งงานกับสีกาคนนั้น (สีกาสวยและรวย)
เรื่องที่ ๒ พระภิกษุกับแม่ชีผู้เป็นน้องสาว ได้ปฏิบัติจนมีความสามารถ พากันออกธุดงค์สองคน แม้มีผู้ห้ามปราม แต่พระรูปนี้มั่นใจความสามารถ และเห็นว่าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ไม่มีความรู้สึกเป็นอื่น จึงไม่เชื่อ คืนหนึ่งปักกลดอยู่คนละฟากเขา ทั้งสองระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นสามีภรรยากัน ได้เดินไปหากันและได้เสียเป็นสามีภรรยา ในที่สุดก็ต้องสึกทั้งคู่ ทั้งสองจิตเสียไปเลย ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ขอกราบเรียนสอบถามพระอาจารย์ว่า เหตุใดทั้งที่มีการเวียนว่ายตายเกิดมามากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ทำไมถึงระลึกชาติเพียงชาติเดียว จึงก่อเหตุทำสับสน ถึงขนาดทำให้จิตไม่อยู่กับปัจจุบัน การระลึกชาติทั้งสองเรื่องนี้เป็นกรรมเก่าหรือกิเลสมารจัดสรร ?
ตอบ : เป็นทั้งสองอย่างและมีอย่างที่สามด้วย อย่างแรกคือสภาพกรรมเก่าชักนำ อย่างที่สองกิเลสมารอาศัยช่วงเวลานั้นซ้ำเติม เพื่อที่จะไม่ให้เราหลุดพ้นจากวัฏสงสาร อย่างที่สามช่วงวาระและเวลาที่มานั้น ตนเองไม่ได้ตั้งสติให้มั่นคงเพียงพอ ถ้า สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ก็สามารถที่จะก้าวข้ามไปได้
สิ่งที่ว่ามานั้นเป็นการปรุงแต่งของใจของเรา ซึ่งมีกิเลสมารร่วมดลใจด้วย เพราะอย่างรายแรก ถ้าไม่สาว ไม่สวย ไม่รวย ก็คงปรุงว่าเป็นใครก็ไม่รู้ ? แต่เผอิญว่าสาวคนนี้สวยและรวย ก็เลยปรุงว่าเป็นอดีตเมียตัวเอง
ถาม : ศาลพระภูมิที่ตั้งไว้อยู่แล้ว แต่ตั้งทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งดูพื้นที่ทั้งบ้านแล้วไม่มีที่ตั้งสำหรับทิศที่เหมาะสม ทางเจ้าของบ้านจะรื้อถอนศาลแล้วไม่ตั้งใหม่ จะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แค่ท่านไม่ช่วย ก็เท่านั้นแหละ
ถาม : เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ช่วงเย็นที่ผ่านมา ขณะที่ผมนั่งทำงานอยู่ที่ทำงาน ผมได้ยินเสียงเหมือนคนตัดต้นไม้ แต่ไม่ได้ลงไปดู จิตใจมีสมาธิจดจ่อกับงาน ต่อมาทราบว่าเป็นกิ่งต้นโพธิ์ใหญ่หลังที่ทำงานหักลงมาเอง ทั้งที่ไม่มีลมพายุหรือฝนตก ผมเคยทำบุญบูชาพระปิดตาหลวงปู่รอด วัดโคนอน และพระไม้แกะ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จำนวน ๒ องค์ ได้อ่านประวัติการสร้างพระไม้แกะจากไม้ต้นโพธิ์ หรือเรียกว่าไม้โพธิ์นิพพาน จึงได้ไปตรวจสอบพบว่า เป็นกิ่งต้นโพธิ์หักด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นไม้หายาก ตรงตามตำราการสร้างพระไม้แกะ
ผมมีความต้องการอยากสร้างพระเพื่อสืบทอดพระศาสนา และเพื่อเป็นสาธารณกุศลมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้สร้าง ในการเก็บไม้กิ่งต้นโพธิ์ที่หักนั้น จนกว่าเนื้อไม้จะแห้ง น่าจะเป็นปี ระหว่างที่จะเตรียมงาน จะดำเนินการอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าเจ้าของอนุญาต ก็ทำขันธ์ ๕ ขอพลีเพื่อเอาไปใช้งาน แล้วตัดเป็นท่อนที่ขนาดตัวเองคิดว่าจะใช้ นำไปเก็บไว้ในที่ร่มรอจนแห้ง เมื่อถึงเวลาจะได้ใช้งานตามที่ตัวเองต้องการได้
ถาม : เคยมีกัลยาณมิตรบางท่านเตือนโยมด้วยความหวังดีว่า เมื่อจะน้อมถวายสบู่แด่พระภิกษุสงฆ์ ไม่ควรนำสบู่ที่มีขายอยู่ทั่วไปไปน้อมถวาย เนื่องจากมีการใส่กลิ่นให้หอม ถ้าพระท่านใดนำสบู่ดังกล่าวไปใช้ จะเป็นอาบัติได้ แสดงว่าผู้ถวายได้สร้างบาปให้เกิดกับตนเองแล้ว
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่โยมเคยได้ทราบมาว่า เมื่อเราน้อมถวายของหอมเพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ผู้ถวายก็จะได้รับอานิสงส์นั้นทั้งในภพนี้ และภพต่อ ๆ ไปเช่นกัน ดังนั้นโยมจึงยังคงน้อมถวายสบู่หอมอยู่เช่นเดิม เพราะถือว่าอานิสงส์ที่เกิดจากการบูชาพระรัตนตรัยด้วยของหอมมีมากกว่าโทษ
ไม่ทราบว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่สมควรกระทำในเรื่องดังกล่าวคือประการใด และการวางกำลังใจนั้นถูกต้องหรือยังเจ้าคะ ?
ตอบ : โยมโง่ไปหน่อย..! คันธังหรือของหอมในทานวัตถุ ๑๐ ประการ เขาหมายถึงพวกน้ำอบ น้ำหอมหรือกำยาน ไม่ได้หมายถึงสบู่ แต่ถ้าอยากถวายสบู่หอมก็ถวายไปเถอะ พระท่านรู้จักพิจารณาเองว่าใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ อาตมาก็รับมาหลายตันแล้ว แต่ก็เลือกใช้แบบที่ไม่มีกลิ่นเท่านั้นเอง
ถาม : วัตถุมงคลหลวงพ่อกวยรุ่นแรงครูที่พระอาจารย์ไปร่วมพุทธาภิเษก มีข้อห้ามเช่นเดียวกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามหลวงพ่อเจ้าคุณพระสุธีวราภรณ์ เจ้าคณะเจ้าจังหวัดชัยนาท เพราะว่าท่านเป็นต้นเรื่องในการสร้าง เพียงแต่ว่าสิ่งที่สร้างตั้งเอาหลวงพ่อกวยเป็นใหญ่ เราก็ถือเอาข้อห้ามของท่านเป็นหลักตามไปด้วยก็แล้วกัน
ถาม : หากละเมิดข้อห้ามแล้ว ต้องอาราธนาใหม่หรือไม่และอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าละเมิดข้อห้าม ท่านก็เลิกคุ้มครองตอนนั้น รักษากำลังใจได้ใหม่ก็คุ้มครองใหม่
ถาม : ผมสงสัยครับว่า ที่แดนพระนิพพานนี้มีการจัดลำดับบุญเหมือนกับแดนสวรรค์ชั้นอื่นหรือเปล่าครับ ? อย่างเช่น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา พอเทวดามากันมากขึ้น เทวดาสององค์ที่นั่งข้างพระพุทธเจ้ามีองค์หนึ่งที่มีบุญน้อยกว่า ต้องถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ
ตอบ : เรื่องของพระนิพพานไม่มีการจัดลำดับแบบนั้น เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่หมดกิเลสแล้ว แต่เพื่อป้องกันผู้ที่ไม่หมดกิเลสเกิดโทษขึ้นมา เพราะว่าไปนึกปรามาส ดังนั้น..เวลาขึ้นไปท่านก็จะจัดลำดับให้ตามกิเลสในใจของเราที่ยังมีอยู่
ถาม : บางทีผมมีความคิดว่า ควรจะสั่งสมบุญในการให้ทานให้มากกว่านี้ ถึงค่อยปรารถนาพระนิพพาน ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : แบบนี้ก็โง่เกินเหมือนกัน..! เราตั้งใจจะไปที่ไหน ก็ตั้งเป้าเอาไว้แล้วสะสมแต้มเก็บไปเรื่อย ๆ หรือไม่ก็สะสมไมล์เดินทางเพื่อสู่เป้าหมายไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ไปทำนั่นทำนี่เสียจนพอใจก่อน แล้วค่อยตั้งเป้าว่าจะไป แบบนั้นเมื่อไรจะได้ไปเสียที ?
ถาม : เหตุใดแม่นากพระโขนงถึงได้มีฤทธิ์มากครับ ? เท่าที่เคยอ่านเรื่องราวมา แม่นากท่านสามารถที่จะปรากฏตัวในเวลากลางวัน แถมยังไปช่วยคนอื่นเกี่ยวข้าวได้ ซึ่งในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่น่าจะมีสมาธิที่เข้มแข็งขนาดนั้น ?
ตอบ : ดูถูกกันกันชัด ๆ เดี๋ยวคืนนี้เจอกัน..! กำลังใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่ ในเมื่อสภาพใจของตนปักมั่นไม่ยอมคลอนคลายไปไหน ถึงเวลาก็กลายเป็นฤทธิ์ ก็คือเกิดฤทธิ์ทางใจขึ้นมา สามารถทำอะไรได้เกินความสามารถของปุถุชนทั่วไป
ถาม : มีคนบอกว่า ถ้าใครสามารถสวดพระคาถา โสตัตตะภิญญา แล้วลอยได้ หลวงพ่อจะให้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ทราบว่ามีวันกำหนดหมดเขตหรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปเอามาหลักฐานมา ว่าอาตมาพูดเอาไว้ตรงไหน ? ถ้าอาตมาพูดจริง ไม่มีกำหนดหมดเขต จะให้ทำให้ดูตรงนี้แหละ แล้วรับเงินไปเลย...!
ถาม : พอดีผมมีความต้องการที่จะซื้อทองคำมาถวายเพื่อที่จะร่วมบุญหล่อพระพุทธรูปทองคำกับทางวัดท่าขนุน ไม่ทราบว่าต้องเป็นทองคำแบบ ๙๖.๕% หรือ ๙๙.๙๙% ครับ ?
ตอบ : เอาที่สบายใจเถอะ
ถาม : เงินที่ใส่บาตรวิระทะโยวันละ ๒๐ บาท ก่อนเอามาทำบุญถวายวัด สามารถนับแล้วแลกเงินก่อนเอามาถวายพระได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แลกได้..ถ้าแลกแล้วให้มากขึ้นจะดีเป็นพิเศษ..!
ถาม : การนึกถึงเสียงสวดมนต์คาถาเงินล้านเท่ากับการภาวนาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถนึกได้ต่อเนื่องโดยที่สติไม่ขาด ก็เท่ากับเป็นการภาวนาไปในตัวอยู่แล้ว
ถาม : เวลาที่กำลังโกรธหรือกำลังงงกับอะไรสักอย่างอยู่ ขณะนั้นนึกอะไรไม่ออก เลยหลุดปากพูดที่ไม่ตรงกับความจริงออกมา แบบนี้ผิดศีลข้อมุสาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เจตนาไม่มี เราต้องรู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก เราตั้งใจโกหก เราลงมือทำ คนอื่นเชื่อตามนั้น จึงจะมีโทษในมุสาวาท
ถาม : เตรียมของถวายพระพุทธรูปที่บ้าน ถ้าเปลี่ยนใจไม่ถวาย นำมากินใช้เองเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็แค่ไม่ได้อานิสงส์อย่างที่ตนเองต้องการเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่เราเตรียมไว้ยังเป็นของเราอยู่
ถาม : กำลังรับประทานอาหารในร้านอาหารแล้วมีพระหรือเณรไม่ทราบ ท่านยื่นซองไว้บนโต๊ะแล้วยืนรอ ได้หันไปมองท่าน แต่ไม่มีความศรัทธาที่จะทำบุญกับท่าน จึงก้มหน้ารับประทานอาหารต่อไป จะเข้าข้อเวลาทำบุญแกล้งมองไม่เห็นหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากังวลก็ทำกับท่านไป ถ้าไม่กังวลก็ทำเป็นไม่เห็นต่อไป
ถาม : ผมได้อ่านหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า และหลวงพ่อธุดงค์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้ผมเกิดความสนใจวิธีปฏิบัติแบบนี้มาก เพราะไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่ามีวิธีปฏิบัติกรรมฐานได้ถึงขนาดนี้ หลวงพ่อได้อธิบายไว้ว่า
อันดับแรกท่านจับอานาปานสติควบกับพุทธานุสสติกรรมฐาน จิตเป็นสุขถึงที่สุดถึงฌาน ๔ ทิ้งฌาน ๔ วิ่งเข้าไปฌาน ๘ ถอยหลังลงมาจับอริยสัจ ๔ จิตสะอาดผ่องใสถอยลงมาถึงอุปจารสมาธิ จับเมตตาพรหมวิหาร ๔ จิตเข้าถึงที่สุดทันที ถอยลงมาอุปจารสมาธิ
ผมงงแล้วงงอีก พอลองมาทำตามแบบหลวงพ่อตามความเข้าใจสรุปว่าทำไม่ได้ไม่ไหลลื่น จนกระทั่งได้มาพบและปฏิบัติตามที่เว็บวัดท่าขนุนได้เผยแพร่การปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ ในพระกรรมฐาน ๔๐ กอง เท่านั้นแหละครับ โอ้โฮ ถึงบางอ้อทันที พระอาจารย์สอนปฏิบัติเรียงมาหลายกองภายใน ๓๐ นาทีได้เหมือนกัน พอได้ทำตามเท่านั้นแหละครับ ติดเป็นตังเม ต้องทำเกือบจะทุกวัน ตอนนี้ผมปฏิบัติตามบ่อย จนแทบจะจำคำพูดที่พระอาจารย์สอนได้เกือบหมดแล้ว
จึงอยากจะขอความเมตตาสอบถามพระอาจารย์ว่า พระอาจารย์สามารถสอนวิธีปฏิบัติเรียงตามลำดับเป็นแนวทางแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยืดเวลาเป็น ๔๕-๖๐ นาทีได้ไหมครับ ? ถ้านานขึ้นจะมีประโยชน์มากขึ้นหรือเปล่าครับ ? ผมอยากให้พระอาจารย์สอนแล้วอัดวีดิโอไว้ให้คนปฏิบัติตามแบบหลวงพ่อวัดท่าซุงได้บ้าง เพราะในอนาคตพระอาจารย์ต้องหนีไปนิพพานแน่แน่ ผมคงหาพระอาจารย์ที่จะสอนแบบนี้ไม่เจอแล้วครับ
ตอบ : รู้สึกว่าจะเป็นเรื่องของคุณนะ เรื่องอะไรที่ไปเกณฑ์ครูบาอาจารย์ให้ทำตามใจตัวเอง ในเมื่ออยากจะฟังที่อาตมาสอนเอาไว้ตั้ง ๒๐ - ๓๐ ครั้ง ก็เอามาต่อกันเข้าสิ อยากได้กี่ชั่วโมงก็ทำไป
ถาม : อยากสอบถามถึงการใช้ไม้ครูของวัดท่าขนุน รวมถึงการอาราธนาและข้อควรระวังครับ ?
ตอบ : มีข้อมูลอยู่ในเว็บวัดท่าขนุนแล้ว ไปค้นคว้าเอาเอง
ถาม : ชีวิตมนุษย์ที่ดำเนินในแต่ละวัน เราต้องเจอเรื่องทั้งสุขและทุกข์ สิ่งเหล่านี้เกิดจากกฎแห่งกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทั้งหมดทั้งมวลที่เรามีชีวิตอยู่เกิดจากกรรม คือ การกระทำของเรา ส่งผลให้เกิดผลของกรรมที่ส่งให้ เรียกว่าวิบาก ทั้งกรรมและวิบากเกิดขึ้นเพราะกิเลสในใจของเรายังเต็มเปี่ยมอยู่ ตราบใดที่ รัก โลภ โกรธ หลงยังไม่หมด ก็จะเป็นตัวชักนำให้เรากระทำทั้งดีและชั่ว แต่ที่ดีไม่ทั่วที่ชั่วไม่หมด เราก็เลยต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามกำลังที่เราทำอยู่ตลอดเวลา จนกว่าเราจะทำดีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะหลุดพ้นวงโคจรไปได้เอง
ถาม : กรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเพราะเรือล่มที่ภูเก็ต การเสียชีวิตพร้อมกันแบบนี้ เกิดจากกรรมที่ร่วมทำกันมา หรือเป็นความบังเอิญครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เชื่อกรรม คำว่าบังเอิญจึงไม่มี
ถาม : ผมเคยสวดมนต์ก่อนนอนที่โรงแรมในเชียงใหม่ รู้สึกขนลุกขนชันบ้าง มีกระแสอะไรบางอย่างไหลวูบวาบในตัว แต่ผมก็พยายามมีสติและสวดมนต์ต่อไป แต่มีครั้งหนึ่งที่ผมสวดมนต์อยู่ มีความรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าและไฟช็อตจนผมตกใจ แต่ไม่ทราบว่าตกใจ สะดุ้งหรืออย่างไร เมื่อลืมตาขึ้น ผมกลับมานอนตรงหัวเตียงใกล้หมอนที่ผมวางพระเครื่องไว้ ทั้งที่ตอนสวดมนต์ผมนอนอยู่ที่ปลายเตียง วันที่สองผมสวดมนต์ไป ก็พยายามมีสติ สังเกตอาการตัวเอง สวดมนต์ใกล้เสร็จก็คิดว่าดีจัง วันนี้ไม่โดนเหมือนเมื่อวาน แต่คิดได้แวบเดียว ก็ได้ยินเสียงไฟฟ้าช็อตเหมือนเมื่อวาน แต่อาการสะดุ้งตัวลดไปครึ่งหนึ่ง พอทรงตัวได้ไม่ตกใจมาก ต่อมาผมกลับมาสวดมนต์ที่บ้านก็มีอาการเหมือนเดิม แต่อาการสะดุ้งกลัวลดลง รู้สึกเฉย ๆ และหายไปครับ จากสิ่งที่ผมเจอนี้ผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : คราวหน้าพยายามสวดมนต์ตรงหน้ากล้องวงจรปิด ถึงเวลาจะได้เปิดดูว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ทางด้านฝรั่งเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ที่พอเปิดภาพวงจรปิดแล้วอธิบายไม่ได้ อย่างเช่นมีคนนอนหลับอยู่ ตื่นขึ้นมาทีไร ปรากฏว่าผ้าห่มไปคนละทิศคนละทางทุกที เขาก็เลยตั้งกล้องวงจรปิดจ่อเอาไว้ เห็นเป็นภาพเหมือนกับมีคนผ่านมาทางหน้าต่าง สักพักหนึ่งอยู่ ๆ ผ้าห่มก็โดนกระชากหลุดจากตัวไป จนทุกวันนี้ฝรั่งยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าคนหลับก็ยังหลับต่อไป ไม่ยอมตื่น
เรื่องพวกนี้ถ้าอยากรู้และมีหลักฐานอะไรที่พอเป็นวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็ขอแนะนำว่าไปสวดมนต์หน้ากล้องวงจรปิด ถ้าไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนก็ไปที่วัดท่าขนุน มีกล้องวงจรปิดตั้ง ๕๐-๖๐ ตัว...!
คำถามหลายประเภทเป็นคำถามของคนขี้เกียจ ข้อมูลมีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตหรืออยู่ในเว็บวัดท่าขนุนก็มี แต่ไม่ยอมค้นคว้า จัดเป็นประเภทมักง่าย เห็นครูบาอาจารย์เป็นสายด่วน ถึงเวลาก็โทรถามอย่างเดียว คนประเภทนี้ถ้าปฏิบัติธรรมจะเอาดีได้ยาก เพราะว่าตราบใดที่ยังมักง่าย ก็แปลว่าสภาพจิตยังหยาบมาก โอกาสที่ทำแล้วจะเกิดผลก็มีน้อยไปด้วย
ดังนั้น...ขอตักเตือนว่าใช้ความพยายามของตนเองให้สิ้นสุดกำลังเสียก่อน ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วหาข้อมูลไม่ได้ค่อยมาถาม
อีกส่วนหนึ่งของคำถามก็คือ อย่าพยายามถามเกินในสิ่งที่ตนเองปฏิบัติไปมาก ถ้าถามเกินไปมาก ถึงเวลาได้รับคำตอบไปก็จะฟุ้งซ่าน อยากมีอย่างนั้น อยากได้อย่างนั้น อยากเป็นอย่างนั้น แล้วจะทำให้การปฏิบัติในปัจจุบันของเราเสียไปเลย
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ปฏิบัติไปแล้วติดขัดตรงไหน ให้ถามตรงจุดนั้น จะทำให้เราเห็นช่องทาง และมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติต่อไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในโลกนี้หรือโลกอื่นก็ตาม มีสิ่งที่ละเอียดเกินประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ของเราอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่วาระบุญวาระกรรมส่งผล เราก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ แต่บางครั้งวาระบุญวาระกรรมส่งผล เนื่องจากว่าสภาพจิตของเรามืดบอดเกินไป หรืออีกฝ่ายหนึ่งกำลังน้อยเกินไป สัมผัสต่าง ๆ ก็จะไม่ชัดเจนเช่นกัน ยกเว้นท่านที่กำลังมาก อย่างแม่นากพระโขนง เป็นต้น ก็สามารถที่จะทำให้เราเห็นได้ชัดเจน
บางท่านก็มาได้แค่กลิ่น บางท่านก็มาได้แค่เสียง ในส่วนนี้ก็รอจนกว่าจะเจอด้วยตนเองแล้วค่อยเชื่อ ตราบใดที่ยังไม่เจอด้วยตนเอง ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเจ้านางถ้ำหลวงนางนอนมีจริง จนกว่าจะไปติดในนั้นสักเดือนแล้วค่อยว่ากันใหม่...!"
พระอาจารย์เล่าว่า "ความจริงหลวงพ่อเอียดนี่หลวงปู่ทองเฒ่าท่านตั้งใจจะให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ แต่ปรากฏว่าทางวัดดอนศาลาว่างเจ้าอาวาสเสียก่อน ท่านก็เลยให้หลวงพ่อเอียดไปอยู่วัดดอนศาลา ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่เขาอ้อมาจนรากงอก จนกระทั่งทุกคนเข้าใจว่าหลวงพ่อเอียดต้องวัดเขาอ้อ แต่จริง ๆ แล้วเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อช่วงนั้น คือ หลวงพ่อปาล ปาลธมฺโม
หลวงพ่อปาลหน้าตาท่านประเภทน่าบรรลุจริง ๆ หน้าตาท่านแบบคนอมทุกข์ เบื่อโลกสุด ๆ อะไรประมาณนั้น “ทำไมกูต้องเป็นเจ้าอาวาสวะ ?” ท่านชอบนั่งชันเข่าแล้วเอาผ้าพาดไหล่ บางทีเห็นรูปท่านแล้วก็ขำ ๆ หน้าตาท่านเบื่อโลกน่าดูเลย ท่านก็คงอยากมีความสุขอยู่กับการปฏิบัติภาวนา แต่ต้องมาแบกภาระวัดเขาอ้อ
พระนักปฏิบัติไม่มีใครเขาอยากเป็นเจ้าอาวาสกันหรอก หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านประเภทปล่อยให้คนอื่นเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคเสียจนกระทั่งไม่มีใครแล้ว ท่านถึงยอมเป็น"
ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ กับอาจารย์เจิมใครแก่กว่ากันครับ ?
ตอบ : อาจารย์เจิมแก่กว่ามาก ผ้ายันต์เกราะเพชรหลวงปู่ปานที่อาตมาพกอยู่นี่คือลายมือท่านอาจารย์เจิม
สมัยก่อนพอชาวบ้านต้องการยันต์ หลวงปู่ปานท่านรักษาโรคจนไม่มีเวลา ก็ต้องบอกให้หลวงพ่อเจิมเขียนมา เดี๋ยวท่านจะเสกให้ หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่าเห็นอยู่ครั้งเดียว หลวงประธานถ่องวิจัยต้องการผ้ายันต์อย่างเร่งด่วน เพราะว่าทหารจะออกรบ ต้องรีบกลับมาแจกเขาก่อนที่จะยกกำลังไป
ถึงเวลาแบกผ้ายันต์มาทั้งถาด หลวงปู่ปานท่านบอกว่า “เสกไม่ทันโว้ย ไปเอาไม้เท้าข้ามาหน่อย” หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านหยิบไม้เท้ามา ท่านบอกว่าเห็นหลวงปู่ปานเคาะโป๊กเดียว ผ้าขาว ๆ กลายเป็นยันต์เต็มพรืดเลย ท่านบอกว่า "นี่เขาเรียกว่านะปัดตลอด" ท่านพยายามเรียนอย่างไรก็เรียนไม่ได้ เพราะว่าคนที่ได้รับถ่ายทอดไปก็คือลิเกหอมหวล
หอมหวลไปเล่นลิเกถวายที่วัดบางนมโคฟรีทุกปี เพราะว่าหลวงปู่ปานท่านให้วิชาไว้ ท่านบอกว่านะปัดตลอดนี่พอถึงเวลากำแป้งไว้ในมือแล้วเป่าไป แป้งจะพุ่งไปจนกว่าจะชนอะไรที่ขวางหน้า จะติดต้นไม้ จะติดเสาเรือน หรือจะติดข้างฝาอย่างไรก็ได้ จะไปติดอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่ตอนเป่าไปเป็นแป้ง แต่ไปติดเป็นตัว "นะ" เสร็จแล้วท่านบอกว่าคนจะไหลมาเทมาทางทิศนั้น
คราวนี้พอหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านไปขอเรียน ช่วงหน้าแล้งหอมหวลก็เล่นลิเกไปเรื่อย ๆ ท่านตามไม่ทัน ถึงเวลาเขาก็เล่นไปเรื่อย พวกนี้เรียกที่ไหนก็ไปที่นั่น พอถึงเวลาหน้าจำพรรษาฝนก็ตก ไม่มีงาน เขาอยู่เป็นที่ พระก็ไปเกิน ๗ วันไม่ได้ หลวงพ่อท่านท่านบอกว่าเซ็งเลย ท้ายสุดก็ไม่ได้เรียนสักที
กล่าวถึงวัตถุมงคลหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน "อันนี้เป็นเหล็กจาร ถ้าหากว่าเป็นไม้ครูจะเป็นสีดำแล้วก็ไม่มีปลาย ท่านทำสั้น ๆ แค่นี้เอง รากพุดซ้อนที่ใหญ่ขนาดนี้หายากสุด ๆ ท่านให้ช่างแกะเป็นลักษณะของลิงเหมือนกัน มีทั้งลิงจับเข่า มีทั้งลิงพนมมือ ต้องบอกว่าหายากกว่าหนุมานของท่านอีก คราวนี้เขาไปโรยแป้งเอาไว้เลยดูของเก่าไม่ได้ เพราะว่าปกติแล้วจะดูของเก่า จะมีฝุ่นมีอะไรจับอยู่ในซอกลายแกะ อันนี้เป็นไม้ไม่ใช่โลหะ ปลายเขาฝังตะปูไว้ คราวนี้ถ้าคนไม่เคยเห็นของไม่รู้จักของ เขาก็ตีปลอมเลย เสียของหมด
พอดีตอนทำไม้ครูล่าสุด อาตมาเอามาช่วยทำพิธีทั้งสองอัน มาทั้งไม้ครูทั้งเหล็กจารเลย เห็นว่าเป็นไม้ครูเหมือนกัน คนโบราณเวลาเขาตั้งใจทำอะไรจะดูงามมาก เอาแค่พี่ชายของอาตมาแกะง่ามหนังสติ๊กด้วยเขาควาย ยังใช้เวลาตั้ง ๖ เดือน ค่อย ๆ เอาเศษแก้วขูดเกลาทีละนิด ๆ
พี่ชายคนที่อาตมาบอกว่าปิ้งข้าวโพดแล้วไม่ไหม้สักเม็ด สุกเสมอกันทั้งฝัก อาตมานี่ประเภทรอจนไส้จะขาด เขาค่อย ๆ ปิ้ง ค่อย ๆ พลิกอยู่นั่นแหละ เป็นอาตมาก็แหย่พรวดเข้าไป ไหม้บ้างไม่ไหม้บ้างก็เอาแล้ว คนราคะจริตเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
สมัยก่อนเขาไปฝึกซ่อมรถจักรยาน แล้วจะต้องต่อโครงรถจักรยาน ต้องเชื่อมทองเหลืองด้วยเตาฟู่ แกก็ประเภทมือหนึ่งจับโครงรถ มือหนึ่งก็ใช้เตาฟู่ ค่อย ๆ ไล้จนไม่มีรอยต่อ พวกเราเชื่อมนี่ต้องมีรอยต่อ แกเป่าจนกระทั่งลื่นเป็นเนื้อเดียวกัน ทำงานชาวบ้านเหมือนกับเป็นงานของตัวเอง จริตเขาเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาก็ทำเต็มที่ ค่อย ๆ ทำจนกระทั่งท้ายสุดก็ต้องเลิก ทำดีเกินไปแล้วรถเขาไม่เสีย ไม่รู้ว่าจะซ่อมอะไร ทำดีเกินไปข้าวของไม่เสียไม่รู้ว่าจะซ่อมอะไร ท้ายสุดก็ไปทำไร่ดีกว่า สภาพจิตละเอียดอย่างนั้นถ้าปฏิบัติธรรมจะได้ดีเร็ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของนักฟุตบอลเด็กทีมหมูป่า จังหวัดเชียงราย กับผู้ฝึกสอนที่ไปติดอยู่ในถ้ำ ถ้าว่ากันตามหลักของพระพุทธศาสนาเราก็คือวาระกรรมมาถึง แต่ในส่วนนี้บางอย่างทำให้สังคมของเรามองผิด อย่างเช่นว่าปัจจุบันบางส่วนเห็นเด็กเป็นฮีโร่ ก็คือเป็นวีรบุรุษ ออกมาก็คงจะต้องสัมภาษณ์ ต้องออกทีวี ต้องอะไรกันมากมาย ขอให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ใช่วีรบุรุษ แต่เขาเป็นผู้ประสบภัย แล้วเป็นผู้ประสบภัยที่มีคนถามว่าทะลึ่งไปทำอะไร ?
เราลองมานึกดูว่า ถ้าบ้านเราห้างก็ไม่มี โรงหนังก็ไม่มี บาร์หรือไนต์คลับก็ไม่มี ถึงเวลาก็ต้องไปเที่ยวที่ธรรมชาติ เพียงแต่ดวงเฮงไปหน่อยเท่านั้นเอง เจอน้ำท่วมเต็มทางเข้า แล้วก็ไม่ใช่ระยะสั้น ๆ ท่วมตั้งสามกิโลเมตรกว่า ขนาดนักประดาน้ำระดับโลกจากอังกฤษที่เขามาช่วยยังหลงทางแทบตาย ที่เจอนั่นเพราะว่าวาระกรรมผ่านพ้นไปพอดี เขาบอกว่าถ้าเชือกยาวกว่านั้นอีกสัก ๑๕ ฟุตก็ไม่เจอเด็กหรอก คราวนี้เชือกหมดเขาก็เลยต้องโผล่ขึ้นมาดูว่าอยู่ตรงไหน...ไปจ๊ะเอ๋เด็กเข้าพอดี อันนี้ก็คือส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งก็คือเด็กตอนแรกไปเที่ยวกันเอง พอเด็กหายไปพ่อแม่ก็แจ้งครู ครูเป็นโค้ชหรือเป็นครูฝึกก็เลยตามไปด้วย ก็ปรากฏว่าครูนั้นเก่งที่ตามเด็กทัน แต่ออกมาไม่ทัน เพราะว่าน้ำป่าถึงเวลาหลากมานี่ มาประเภทภูเขาถล่มเลย จึงโดนปิดปากถ้ำเสียก่อนออกไม่ได้ แต่ว่าครูก็เก่ง ไม่ขาดสติ บอกว่าเคยบวชมาหลายพรรษา เมื่อเอาเด็กหนีน้ำขึ้นที่สูงได้แล้วก็ให้นั่งนิ่ง ๆ หรือไม่ก็นอนภาวนา เพื่อที่จะได้ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด เขาเป็นคนพื้นถิ่นเขาก็รู้ว่า พอถึงเวลาถ้าน้ำท่วมแถวนั้นจะนานมาก แต่ไม่เคยคิดว่าจะนานถึงขนาดเป็น ๑๐ วัน"
"คราวนี้ก็เห็นว่าเรื่องของพลังโซเชียลก็คือสื่อต่าง ๆ ช่วยได้เยอะมาก แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายคนได้เยอะมาก ที่ว่าช่วยได้เยอะมากก็คือ พอเรื่องกระจายออกไป ทั้งในและต่างประเทศก็มาช่วยกันหมด ต่างคนต่างอยากจะมาช่วย เพราะว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน เขามีแต่นักประดาน้ำไปหลงทางอยู่ในถ้ำใต้น้ำ แต่นี่ไม่ใช่ เด็กเดินเข้าไปแล้วอยู่ ๆ จากถ้ำธรรมดากลายเป็นอยู่ใต้น้ำไป
ระยะทาง ๓ กิโลเมตรนี่ถ้าใครไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน ขอบอกว่าอาตมาเองเป็นคนหายใจยาวมาก ชั่วลมหายใจหนึ่งนานกว่าคนทั่ว ๆ ไป อย่างมากก็ดำได้แค่ ๒-๓ นาทีเอง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไปสัก ๑๐๐ - ๑๕๐ เมตรก็หมดสภาพแล้ว ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจ แต่นี่น้ำท่วมถ้ำตลอด ไม่มีที่ให้หยุดหายใจได้ ๓ กิโลเมตรกว่า แล้วเด็กที่ไหนจะทนได้ ? ขนาดพวกหน่วยซีลที่ฝึกกันมาอย่างทรหดอดทนที่สุดแล้ว ยังจะไปไม่รอด ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิด
ในขณะเดียวกันก็มีคนฉวยโอกาสเรี่ยไรเงิน มาบอกว่าเอาไปช่วยเด็ก พวกนี้หากินได้ทุกสถานการณ์ ถ้าจะช่วยก็ช่วยแบบโน่น...คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ขนน้ำมันไปให้เขาด้วย ๒,๐๐๐ ลิตร หลวงพ่อโท (พระครูวิศาลกาญจนกิจ) พรรคพวกกันอยู่วัดตะคร้ำเอนที่ท่ามะกา เอาน้ำมันไปให้เขา ๒,๐๐๐ ลิตร เพื่อเอาไปสูบน้ำออกจากถ้ำ อย่างนี้ก็แปลว่าคุณตั้งใจช่วยจริง ๆ ก็คือควักเงินซื้อไปเลย ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวเรี่ยไรชาวบ้านเขา แล้วก็ไม่รู้จะไปถึงหรือไม่ถึง
แล้วส่วนหนึ่งของบ้านเราก็คือว่าข่าวลวงมีเยอะมาก ถึงเวลาก็มีภาพมาเจอเด็กแล้ว เจอไอ้โน่นแล้ว เจอไอ้นี่แล้ว ไม่ได้เจอจริงสักทีหนึ่ง อยู่ในลักษณะเป็นข่าวหลอกมากกว่า เพราะฉะนั้น...ต้องทำตัวเป็นคนหูหนักเข้าไว้ หูหนักใจหนักแล้วจะปลอดภัย ไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อของกระแสสื่อสังคม
ขณะที่ต่างชาติ ชาติโน้นก็ส่งนักประดาน้ำไปช่วย ชาตินี้ก็ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วย บ้านเราหน่วยกู้ภัยโน้นก็ส่งคนไปช่วย หน่วยกู้ภัยนี้ก็ส่งคนมาช่วย แล้วคนไทยเราไปทำอะไร ? ไป Live สด..! น่าตายมากไหม ? ไปขวางการทำงานเขายังไม่พอ ถ้าอยากดูคนที่อยู่ในพื้นที่ถึงเวลาเขาก็ส่งมาให้ดูเอง ไม่ต้องตะเกียกตะกายไปเกะกะการทำงานของเขา ส่วนที่น่าตายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แต่ละคนเขาแห่กันมาทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ แช่น้ำจนตัวเปื่อยเพื่อที่จะช่วยเด็ก บ้านเราไปเล่นแทงหวยเลข ๑๓ สมควรตายไหม ? สังคมบ้านเราเป็นอะไร ? อยากจะให้ดูตรงนี้"
"อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องที่พระสงฆ์ต่าง ๆ ไป ที่ท่านไปแผ่เมตตาให้เป็นกำลังใจ เพราะว่าญาติโยมนิมนต์ ไม่มีใครอยากไปเองหรอก เสร็จแล้วก็มีพวกที่เก่งกว่าพระ ที่มาตำหนิว่าการกระทำแบบนั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์ อาตมาขอยืนยันว่าเป็นกิจของสงฆ์
คุณยายอ่านพระไตรปิฎกครบไหม ? ประโยคแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกเมื่อส่งพระ ๖๐ รูป ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งแรกก็คือ จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอพวกเธอจงเที่ยวไป พหุชนหิตาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก พหุชนสุขาย เพื่อความสุขของคนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
ในเมื่อโยมเขาเดือดร้อน เขามีความทุกข์ พระไปแล้วเขามีความหวัง มีความสบายใจ มีความสุข เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าสั่งไว้เลย แต่คุณยายบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไปทำอย่างนั้นผิดศีล อยากจะรู้ว่าคุณยายอ่านพระไตรปิฎกครบไหม ? ต้องบอกว่าจริง ๆ นั้นคุณยายวิปลาส..!
วิ แปลว่า วิเศษ แจ่มแจ้ง แตกต่าง มีอะไรบ้าง ? ทิฏฐิวิปลาส เห็นต่างจากคนอื่นเขา คนอื่นเขาเห็นเรื่องของพระ เรื่องของเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเคารพ น่ากราบไหว้ น่ายกย่อง น่าบูชา คุณยายเห็นอย่างเดียวว่าพระไม่ได้เรื่อง กูเก่งกว่าพระ..!
อย่างที่สองก็คือ สติวิปลาส ความยั้งคิดแตกต่างจากคนอื่น ญาติโยมนิมนต์ไป พระก็ต้องไปเพื่อเจริญศรัทธา คุณยายบอกว่าพระไปทำไม ? ต่อไปก็จิตวิปลาส แต่ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกบ้า แต่ความจริงจิตวิปลาสภาษาพระเขาแปลว่าคิดผิด คิดต่างจากคนอื่นเขา คือ ไปคิดว่าโลกนี้กูเก่งอยู่คนเดียว เพราะว่าคุณยายเรียนพระอภิธรรมมา
อาตมาอยากจะบอกว่าวิปลาสของยายนั้น เป็นเพราะไปเรียนพระอภิธรรมมา สมัยก่อนหลวงพ่ออุตตมะท่านบอกปู่ลาย (นายสัจจะ มูลแก้ว) บอกว่า “โยมลาย..เรียนพระอภิธรรมเดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ” ปู่ลายไม่เชื่อ แล้วท้ายสุดก็จริง ๆ ปู่ลายเก่งกว่าพระ พระทั้งทองผาภูมิปู่ลายยอมลงให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่รูปเดียว"
"ปู่ลายอายุ ๘๐ กว่าปี แต่เรียกอาตมาว่าหลวงปู่ ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าถามอะไรก็ตอบได้หมด สงสัยข้อธรรมอะไรก็แก้ไขได้หมด ความรู้ขนาดนี้ต้องเป็นหลวงปู่ เป็นหลวงพ่อไม่ได้หรอก นั่นก็ยังดีว่าปู่ลายมีโอกาสที่จะแก้ไข เพราะว่ามีคนที่สามารถบอกทางถูกให้
แต่คุณยายน่าสงสารมาก ไม่มีใครบอกทางถูกให้ พวกที่เรียนพระอภิธรรม อาตมาอยากจะบอกว่าวิปลาสทุกคน สมัยนี้เราคิดว่าวิปลาสคือบ้า ความจริงคำนี้ วิ แปลว่า แตกต่าง ปลาส คือ ไปจาก ก็คือแตกต่างไปจากคนอื่น คิดแตกต่างจากคนอื่น เห็นแตกต่างจากคนอื่น
พระพุทธเจ้าสอนพระอภิธรรม ท่านไม่ได้สอนคน ท่านสอนพรหม สอนเทวดาที่เป็นอุคฆติตัญญูบุคคล แค่ฟังหัวข้อก็รู้เรื่องแล้ว กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เราไปฟังรู้เรื่องอะไร ? ก็ได้แต่ธัมมา ๆ อยู่นั่น แต่นั่นเขาจะรู้ว่า กุสะลา ธัมมา คือธรรมที่เป็นกุศล คืออะไร ? ก็คือกายสุจริต ไม่ทำชั่วด้วยกาย วจีสุจริต ไม่ทำชั่วด้วยวาจา มโนสุจริต ไม่ทำชั่วด้วยใจ
กายสุจริตเป็นอย่างไร ? ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วจีสุจริตเป็นอย่างไร ? ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ มโนสุจริตเป็นอย่างไร ? ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น ไม่คิดโกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น มีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ พอเราไปฟังเราได้อะไร ? เราก็ได้แต่ กุสะลา ธัมมา ๆ ไม่รู้เรื่องเลย
ในเมื่อของที่ท่านสอนพรหมสอนเทวดาถึงขนาดต้องใช้เวลาถึง ๓ เดือนของโลกมนุษย์ แล้วจะมีมนุษย์ที่ไหนที่สามารถฟังพระอภิธรรมจนจบได้โดยไม่อดตายเสียก่อนบ้าง ? แต่ก็มีพวกที่พยายามไปเรียนพระอภิธรรมแล้วก็มาทำตัวเก่งกว่าพระ"
"หลักธรรมหลายอย่างในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่ว ๆ ไป แต่ว่าสอนเฉพาะบุคคล สอนเฉพาะสถานที่นั้น ดังนั้น...ในส่วนของพระอภิธรรม ถ้าใครไปเรียนอาตมาเห็นว่าวิปลาสหมดนั่นแหละ บางส่วน อย่างเช่นมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าสอนชาวกัมมาสธัมมะนิคม แคว้นกุรุ ไม่ได้สอนคนทั่วไป
ชาวกัมมาสธัมมะนิคม แคว้นกุรุนั้น มีความฉลาดมาก สนทนาในเรื่องหลักธรรมกันทั้งวัน ขนาดนกแขกเต้าที่ภิกษุณีเลี้ยงไว้โดนเหยี่ยวโฉบไป นางภิกษุณีกระโดดปรบมือร้องเสียงดัง เหยี่ยวตกใจปล่อยนกแขกเต้าคืนมา นกแขกเต้าถ้าเราไม่รู้จัก โบราณเขาเรียกว่านกแก้วหัวแพร เป็นนกพูดได้ นางภิกษุณีถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ? นกแขกเต้าบอกว่า รู้สึกเหมือนร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน นั่นขนาดนกยังทรงอัฏฐิกอสุภกรรมฐานเป็นปกติ แล้วชาวบ้านเขาจะขนาดไหน ?"
"เหตุที่ชาวบ้านประกอบไปด้วยความฉลาดขนาดนั้น เพราะว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไป ในสมัยที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิราช จะต้องแสดงพระราชอำนาจด้วยการปราบทวีปทั้ง ๔ นั่นคือโลกที่เราอยู่ซึ่งเรียกว่าชมพูทวีป และโลกอื่น คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป
เมื่อปราบได้ก็แสดงพระราชอำนาจ ด้วยการเอาประชาชนของแคว้นนั้นส่วนหนึ่งมาไว้ที่ชมพูทวีป พวกที่มาจากอุตรกุรุทวีปก็เอาไว้ที่แคว้นกุรุ กัมมาสธัมมะนิคมนั่นเอง อมรโคยานทวีปเอาไว้ที่เมืองอมรปุระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า ปุพพวิเทหทวีปก็เอาไว้ที่เมืองเทวทหะ เมืองแม่ของพระพุทธเจ้าเลย
เพราะฉะนั้น...ถ้าหากเราจะบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกมนุษย์ต่างดาวก็ใช่อยู่ เพราะว่าเชื้อสายมีมานานแล้ว แล้วถามว่าสังเกตอย่างไร ? คนของอุตรกุรุทวีปจะหน้ากลมเป็นพระจันทร์วันเพ็ญ พวกอมรโคยานทวีปเขาบอกว่าหน้าเป็นสี่เหลี่ยม ไม่รู้ว่านามสกุล "ชินวัตร" ด้วยหรือเปล่า ? ปุพพวิเทหทวีปเขาบอกว่าหน้าเหมือนพระจันทร์เสี้ยว คล้าย ๆ อาตมา ก็คือน่าจะเป็นรูปโค้งอย่างนี้ ถ้านึกไม่ออกนึกถึงยายแม่มด ประเภทคางยาว ๆ หน้าโค้ง ๆ ส่วนชมพูทวีปของเราหน้าเป็นรูปไข่ แต่เขาบอกว่าเหมือนลูกหว้า หน้าทรงรี ๆ
เพราะฉะนั้น...ใครเป็นเชื้อสายของมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์โลกนี้อย่างไร ก็ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองเอา จะเห็นว่ามีเค้าอยู่ ในเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมสอนมนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดมาก เทคโนโลยีล้ำหน้าเราไปเป็นแสน ๆ ปี ถ้าหากเราไปอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรเราก็จะได้แค่บรรพแรก ๆ อย่างกายในกาย เช่น อานาปานสติ อิริยาบถ สัมปชัญญะ พอไปถึงเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เราก็ไปกันไม่เป็นแล้ว ความฉลาดไม่พอ หัวสมองมีความจุ "แรม" น้อยไปหน่อย"
"ของบางอย่างที่เป็นของเฉพาะ แต่เราพยายามจะไปตะเกียกตะกายไปศึกษาก็ลำบาก ถ้าหากว่าไม่เป็นของเฉพาะตัว พระพุทธเจ้าท่านก็คงไม่ต้องเทศน์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์หรอก เทศน์อะไรสักบทหนึ่งก็บรรลุได้เหมือนกันหมดแล้ว จะไปเทศน์เยอะแยะทำไม ?
ท่านใดที่รู้ตัวว่าวิปลาสก็พยายามปรับปรุงความประพฤติเสียใหม่ อย่าเห็นพระเป็นบันไดให้ตัวเองก้าวเหยียบผ่านไป เพราะว่าถ้าก้าวผิดจะก้าวลงนรก แล้วสมัยนี้มีเยอะมาก โดยเฉพาะเอาพวกศีล ๕ ไม่ครบมาออกกฎหมายให้พระปฏิบัติตาม เพิ่งจะผ่าน สนช. ๓ วาระไปเมื่อวานนี้ แต่ละคนกำลังสร้างเวรสร้างกรรมไว้ขนานใหญ่ จะไปรู้ตัวอีกทีก็ตอนตาย ซึ่งตอนนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ตัวใครตัวมันเถอะ มีโอกาสอาตมาจะไปเยี่ยม...!
ในส่วนของพระภิกษุสามเณร แล้วก็อุบาสกอุบาสิกาของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติทำให้รู้จริง เมื่อถึงเวลาคนอื่นเขามากล่าวตู่ จะได้แก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระมีเวลากินน้อยกว่าญาติโยม ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าญาติโยม แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดอย่างไร ? คงจะเห็นว่าเศรษฐกิจทุกวันนี้ที่ฉิบหายวายป่วง ชาวบ้านไม่มีจะกินเป็นเพราะว่าพระเป็นต้นเหตุ ก็เลยต้องออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ใหม่มาจัดการกับพระ แล้วเศรษฐกิจจะโชติช่วงชัชวาลกระมัง ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของหมอดูเป็นศาสตร์ที่ศึกษาลึกซึ้งแล้วใช้ได้จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็คือหลักกฎของกรรมนี่แหละ เพียงแต่ว่าใช้วิธีการทางโหราศาสตร์เข้าว่าเท่านั้น"
พูดถึงเหล็กจารด้ามหนุมานของหลวงพ่อสุ่น "หนุมานของท่านถ้าเป็นงาช้าง ราคาก็ประมาณ ๒-๓ แสนบาท แต่ถ้าเป็นรากพุดซ้อนนี่เป็นล้านเลย แล้วรากพุดซ้อนที่ใหญ่พอที่จะเอามาทำเหล็กจารด้ามหนุมานขนาดนี้หายากมากเลยนะ"
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคลว่า "คนอื่นเขาไม่ค่อยกล้าทำความสะอาดกัน โดยเฉพาะมีดหมอ เพราะว่าถ้าทำความสะอาดมีดหมอแล้วเสียความเก่าไป บางทีทำให้พิจารณาไม่ได้ถ้าไม่แม่นจริง อาตมาไม่สนใจหรอก กูมั่นใจว่าใช่กูก็เอาแล้ว "
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล ถ้าไม่ใช่หนังสือหรือเว็บไซต์ที่รักชื่อเสียงตัวเองจริง ๆ อาตมาเห็นเอาของปลอมมาลงเยอะเลยนะ คือเอาของปลอมไปแห่เป็นของแท้ เพราะฉะนั้น...อย่าไปดูให้เสียตา ถ้าจำได้แล้วต่อไปก็จำแต่ของปลอม ไม่ได้จำของจริงหรอก"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาแวะไปเยี่ยมหลวงพ่อเอื้อนมา ไม่ใช่หลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้นะ แต่เป็นหลวงพ่อเอื้อน วัดสามพระยา เพราะว่าท่านโดนจับนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าไป กลัวติดคุกกัน อาตมาเองไม่ได้สนใจหรอก จับอาตมาสึกนะหรือ ? มีวิธีหากินมีเยอะไป คนอื่นส่วนใหญ่กลัวว่าโดนสึกไปแล้วไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไร
ท่านเองกำลังใจดีมาก แทนที่เราจะห่วงท่าน ท่านกลับห่วงพวกเราว่าอยู่ข้างนอกจะอยู่กันอย่างไร ท่านบอกว่า "งานอะไรที่เคยสั่งไว้อย่าทิ้งนะ พยายามทำต่อไป เพื่อให้ชาวบ้านจะได้มีที่พึ่ง" จะฝากอะไรเข้าไปให้ ท่านบอกว่าไม่ต้องเลย ยากมาก ขนาดยาเขายังไม่ให้เลย เขาบอกว่าข้างในนั้นมีโรงพยาบาลทัณฑสถานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...ถ้าฝากยาฝากอะไรเข้าไป เดี๋ยวผู้ต้องขังอื่นมีพวกยาเสพติด มีอะไรฝากเข้าไปได้ก็บรรลัยกันหมด
เจอพระครูสิริฯ ก็โดนจับนุ่งขาวห่มขาวเหมือนกัน เจอพุทธะอิสระก็เหมือนกัน พุทธะอิสระนี่เห็นใส่เครื่องบล็อกหลังแล้วใช้วอล์กเกอร์เดินอยู่ แหม...ไม่มองหน้ากันเลย ไม่ยอมคุยด้วย เดินหนีไปเลย เคยบรรยายด้วยกันมาตั้งหลายงาน"
"เรื่องนี้ขอให้เรารู้ว่าเป็นการทำลายล้างกัน พอดีช่วงจังหวะเดียวกันกับที่เขาแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ บอกว่าโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของในหลวง อาตมาอยากจะบอกว่าพวกนี้ดึงฟ้าต่ำชัด ๆ เพราะว่างานแต่งตั้งกระทั่งเจ้าอาวาสก็เป็นพระราชอำนาจของในหลวง แล้วทั่วประเทศตั้งกี่หมื่นวัด ? กลายเป็นภาระที่ท่านต้องตั้ง
ดึงฟ้าต่ำจริง ๆ เลย กฎหมายผ่านสามวาระ เขามีห้อยท้ายแบบเปิดเลยนะ อย่างเช่นมาตรา ๑๐ ที่บอกเรื่องการแต่งตั้ง ‘หรือว่าจะทรงมีพระราชดำริเป็นประการใด’ แบบนั้นก็พูดง่าย ๆ ก็คือ พระองค์ท่านจะเอาอย่างไรก็แล้วแต่พระราชประสงค์ อะไรแบบนั้น
แต่ว่าภาพที่ทางคณะสงฆ์ข้องใจมากที่สุด ก็คืออิสลามทั้งชายทั้งหญิงเข้าไปอยู่ในนั้น ๒๐-๓๐ คน เพื่อที่จะไปลุ้นเรื่องกฎหมายฉบับนี้ เข้าไปทำอะไร ? ในการประชุมระดับอย่างนี้เขาเข้าไปได้หรือ ? ต้องบอกว่าคณะสงฆ์ของเราถึงยุคมืดแล้ว เหมือนกับยุโรปยุคกลางที่เขามียุคมืดอยู่
แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านก็เมตตา อุตส่าห์มีลายมือออกมาตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม บอกว่าให้นิ่ง ปิดหู ปิดตา ปิดปาก กล่าวแต่สิ่งที่ดี ๆ สร้างความสามัคคีเอาไว้"
ถาม : วันที่ ๒๐ บวชเนกขัมมะ จะตั้งโรงทานค่ะ ?
ตอบ : ปกติงานบวชเนกขัมมะไม่มีโรงทาน ทางวัดจัดกันเอง แต่ว่าจะตั้งก็เชิญ โรงทานใหม่เพิ่งจะสร้างเสร็จ ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คืออาตมาตั้งใจว่า สร้างโรงทานเสร็จแล้วจะรื้อโรงทานเก่า ปรากฏว่าของใหม่สร้างไม่ทันจะเสร็จ ทั้งเก่าทั้งใหม่เต็มทุกฝั่งเลย ไปนึกถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่ท่านบอกว่า “สร้างเท่าไรก็ไม่พอโว้ย สร้าง ๒ ไร่ก็ไม่พอใช้งาน ๔ ไร่แทนก็ไม่พอ ๑๒ ไร่ก็ไม่พอ อย่างนั้นก็อย่าไปสร้างเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนอาตมาไปเจอมีดหมออยู่เล่มหนึ่ง หยิบขึ้นมาพอกำก็รู้เลยว่าใบมีดเคยหลุดแล้วเขาใส่กลับข้าง ด้วยความที่เป็นคนเคยใช้อาวุธ พอจับก็รู้สึกสะดุดเลยว่าไม่เข้ามือ ในเมื่อไม่เข้ามือแสดงว่าคุณใส่กลับข้าง ก็เลยทดลองดึงใบมีดดู หลุดออกมาจริง ๆ แสดงว่าเขาใส่กลับข้าง จึงเสียบกลับเข้าไปให้ถูก
คนที่ไม่มีความรู้ เขาคิดว่าถือจับได้ก็ใช้ได้แล้ว หารู้ไม่ว่าถ้าของไม่เข้ามือนี่ ถ้าฝืนใช้งานไปโดนกัดมือพองตายชักเลย"
ถาม : ทำไมกริชด้ามถึงหมุนได้ทุกเล่ม ?
ตอบ : เขาใช้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นอาวุธ เป็นเครื่องแสดงฐานะ ถ้าหากว่าใครจะใช้ก็แค่ไปหยอดครั่งใหม่ก็จบแล้ว แบบเดียวกับบรรดานักรบไทยของเรานี่แหละ ถ้าหากว่าเป็นคุณหลวง เป็นคุณพระ เป็นพระยา ถึงเวลาถือดาบคร่ำเงินดาบคร่ำทอง นั่นเอาไว้โชว์อย่างเดียว รบกับใครได้ที่ไหน ยิ่งประเภทหลูบเงินหลูบทองยิ่งไม่ต้องเลย ขืนออกไปรบแล้วก็ตกหล่นในสนามรบนี่น้ำตาเล็ด ประเภทหมดไปเท่าไรก็ไม่รู้ ?
ถาม : ช่วงนี้กำลังใจตกมากเลยครับ ไม่รู้จะอยู่ต่อได้ไหม แต่ไม่อยากสึก อยากอยู่ต่อ ?
ตอบ : อยากอยู่ก็อยู่สิวะ จะไปสนใจอะไรล่ะ ปีนั้นผมอยากสึกใจจะขาดอยู่ หลวงพี่วิรัชบอกว่า “คุณสึกแน่” ผมเองเหมือนคนบ้า “แล้วถ้าผมไม่สึกล่ะ ?” หลวงพี่วิรัชเขาบอก “ผมจะเผาตำราทิ้งเลย” ผมก็เลยอยู่จนหลวงพี่วิรัชเขาต้องเผาตำราทิ้ง
ถาม : ฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ฟุ้งก็ฟุ้งไป อย่างไรกูก็ไม่ไปประมาณนั้น หรือไม่ก็เปิด ๓๖๐ องศาเลย กูพร้อมจะไปทุกเวลา ถ้าอย่างนั้นจะสงบลงชั่วคราวเหมือนกัน
ถาม : ฟุ้งตรงเรื่องที่เป็นจุดอ่อน ?
ตอบ : เรื่องปกติ เขารู้ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เขาก็พยายามกระทุ้งตรงจุดนั้นแหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนปรึกษากับพระครูน้อย (พระครูกิตติชัยกาญจน์) “เราเองไปปริวาสกันบ้างดีกว่า” ถามว่าทำไม ? ไปศึกษาเอาไว้ให้รู้จริงว่าในตำราทำอย่างไรกันบ้าง นี่เราไม่รู้เลย เพราะว่าเราไม่เคยเข้าปริวาสของจริง เราก็รู้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาจะต้องท่องบทสวดนี้ ๆ ก็ถามว่าทำไม ? “ก็เผื่อใครเขาเป็นอาบัติสังฆาทิเสส เราจะได้ทำสงเคราะห์เขาได้” แต่ว่าตอนนี้อาจารย์กรรมเต็มวัดท่าขนุนเลย ยกเว้นเจ้าอาวาส เพราะว่าลูกศิษย์ไปปริวาสกันมาเป็นว่าเล่น
เหตุที่ต้องเข้าปริวาสเพราะว่าศีลบกพร่อง เพราะฉะนั้น...ถึงเวลาพระขอไปปริวาส หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามเลย "เอ็งโดนสังฆาทิเสสข้อไหน ?" เงียบ... "ไม่ได้โดนแล้วไปทำไม ? ไปโกหกเขาอยู่ทุกวัน" ท้ายสุดก็ต้องแอบ ๆ ไป หลวงพี่วิรัชนี่แอบไปวัดปากคลองฯ ประจำ วัดปากคลองฯ หลวงพ่อท่านจัดปริวาสทีหนึ่งพระ ๓๐๐-๔๐๐ รูป
ผมเองเวลาเขานิมนต์ไปเทศน์ตามงานปริวาสก็ไป ก็พยายามย้ำให้เขาว่า เรื่องของเราที่มาแบบนี้ก็ดีอยู่ คือ แสดงว่าเราเป็นผู้รักศีล เราถึงตั้งใจชำระศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่อย่าลืมว่าที่สูงกว่านั้นยังมีสมาธิ มีปัญญาอยู่ ก็ยกให้เขาฟัง ว่า พระสมัยก่อนไม่ว่าจะอยู่วัดไหนก็ตาม ถึงเวลาเมื่อเป็นหลวงปู่หลวงพ่อ ก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขาได้ทุกรูป สมัยนี้ของเราเป็นอย่างนั้นได้ไหม ?"
ถาม : ไม้ครูนี้ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม้ครูก็ใช้อย่างไม้ครูสิวะ หัวก็ตัดเคราะห์ ให้สำเร็จ สอนกรรมฐาน ปลายก็ให้ลาภ ถึงเวลาวางหัวไปทางทิศตะวันตก ปลายหันไปทางทิศตะวันออก ถ้าอยากมีคาถาอะไรก็ไปค้นดูเอาเว็บวัดท่าขนุน...เยอะแยะไป
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีวัตถุมงคลอยู่อย่างหนึ่ง เป็นของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม คือ พระปางซ่อนหา เนื้อเมฆสิทธิ์ อันนั้นถ้าประเภทลืม ท่านเรียกเลย โอ้โฮ...หลวงปู่เอาจริงเว้ย ถึงขั้นเรียกเลย จะแกล้งลืมวัตถุมงคลหลวงปู่นี้ไม่เคยลืมได้สำเร็จ ถึงเวลาท่านเรียกเลย “กูอยู่นี่...เอาไปด้วย”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องวัตถุมงคลต้องรอบคอบ เพราะว่าบางชิ้นหายแล้วหาใหม่ยากมาก บางชิ้นนี่ชิ้นแรกได้มาแล้วอีก ๒๐ ปีค่อยได้อีกชิ้นหนึ่งอะไรประมาณนี้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นหายไปก็จุก ถ้าชิ้นแรกได้แล้วอีก ๒๐ ปีค่อยได้อีก ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว"
ถาม : เงินส่วนตัวที่ที่เราได้ตอนเป็นพระลงบัญชีแล้ว พอเราสึกแล้วเอาไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ เพราะว่าเราได้มาตอนเป็นพระ
ถาม : แต่ถ้าส่วนตัวที่มีอยู่ก่อน แล้วดอกผลละครับ ?
ตอบ : ถ้าส่วนตัวที่มีอยู่ก่อนแล้วเอาไปเถอะ ดอกผลก็จากที่ได้อยู่ก่อนเหมือนกัน แต่ถ้าได้มาหลังจากบวชเป็นพระแล้ว ต่อให้ส่วนตัวอย่างไรก็ได้มาเพราะว่าคุณเป็นสงฆ์ ถ้าจะใช้ก็ใช้เสียตอนที่ยังอยู่ ตอนไปแล้วหมดสิทธิ์ คืนสงฆ์ไปเสียดี ๆ
ถาม : ได้ทุนไปเรียนที่เมืองจีน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าจะไปจีน ช่วยแนะนำคนรุ่นหลังหลังเขาด้วยว่าให้ไปเซียะเหมิน (厦门市) ดีที่สุด เพราะว่าสำเนียงชัดเจน สำเนียงอื่นโดยเฉพาะปักกิ่งนี่ห่วยแตกที่สุดเหมือนกัน แล้วก็ต้องขยัน โดยเฉพาะในเรื่องการจำ ตัวหนังสือจีนเป็นภาพมาก่อน ในเมื่อเป็นภาพแต่ละภาพ ถ้าเราตั้งใจดูบางทีจะมองเห็นเลยว่าเขาตั้งใจเขียนคำว่าอะไร อย่างคำว่า เฉีย ที่แปลว่า ช้าง ที่จีนกลางว่า เฉี่ยง ถ้าเราดูดี ๆ จะเห็นมีงาช้างอยู่ ๒ อัน คือ มาจากอักษรภาพก่อน ถ้าหากว่าเราจับจุดได้ เราจะรู้ว่าตัวนี้คืออะไร
สำคัญที่สุดคืออย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาด ทิ้งเมื่อไรแล้วจะท้อ ไปแล้วก็ขยันให้เขาเห็นศักยภาพของเราบ้าง เราสู้เด็กจีนไม่ได้หรอก เด็กจีนเรียนเหมือนคนบ้า ของเราในสายตาเขาก็คือเรียนไปเล่นไป ของเขานี่เขาทุ่มทั้งชีวิตเลย เพราะว่าประชากรจีนมหาศาลเป็นพันล้าน คู่แข่งเขามีเยอะ สอบเข้าแต่ละทีนี่ประมาณหนึ่งต่อแปดร้อย หนึ่งต่อพัน ของเรานี่ประเภทหนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อสองก็แย่แล้ว..ใช่ไหม ?
เพราะฉะนั้น...ขึ้นอยู่กับอิทธิบาท ๔ ถ้าเราเต็มใจไปแล้วก็ต้องเอา โดยเฉพาะภาษานี่ต้องเอาให้ได้ ไปแล้วอย่าพยายามพูดไทย ให้ใช้ภาษาจีนเป็นหลัก หน้าด้านไว้ก่อน พูดไปเลย ผิดถูกช่างมัน พยายามสื่อสารเข้าไว้ คำไหนไม่ได้ก็ถามเขา โดยเฉพาะเวลาเข้าร้านค้า เขาเห็นเราเป็นเด็กต่างชาติเขาจะเอ็นดู บรรดาอาอี๋อาสูถึงเวลาเขาก็จะช่วย
พยายามให้เต็มที่ อย่าลืมคาถาท่านปู่พระอินทร์ก็แล้วกัน ช่วยได้ทุกสถานการณ์เลย หลวงพ่อเรียนหนังสือไม่เคยใช้เวลาตามหลักสูตรเขาเลย ปริญญาตรี ๒ ปีครึ่ง ปริญญาโท ๑ ปีกับ ๑ เดือน ปริญญาเอกขนาดเขาบังคับว่าต้อง ๓ ปีถึงให้สอบ ปรากฏว่า ๒ ปีครึ่ง เพราะว่ารุ่นพี่ไม่ผ่านก็เลยต้องไปแทน ใช้ตัวสมาธิบวกกับคาถาท่านปู่พระอินทร์ไว้ สู้ได้ทุกที่แหละ ไป...ขยันไว้ อย่าให้เสียชื่อหลวงปู่ฤๅษีของเรา
ถาม : มีดของหลวงพ่อสงวนแกะเป็นรูปนางกวัก ?
ตอบ : ของท่านมาแบบนั้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะลูกอมของท่านนี่ถึงขนาดประกันเลยว่า ต่อให้แก่แสนแก่ คิดอยากจะมีคู่ก็มีได้ น่ากลัวมาก
ถาม : เขาสัมภาษณ์งานสามรอบแล้ว กำลังตัดสินใจอยู่ มาขอพรค่ะ ?
ตอบ : อดข้าวเย็นสักเจ็ดวันไหวไหม ? ถ้าไหวให้ไปจุดธูปกลางแจ้งบอกพระวิสุทธิเทพ ถ้าถามว่าพระวิสุทธิเทพคือใคร ? ก็คือพระบนพระนิพพาน บอกท่านว่าถ้าได้งานนี้หนูจะอดข้าวเย็นถือศีล ๘ ให้ ๗ วัน จะได้ผอมด้วย
ถาม : ผมจะเจรจากับน้องสาวเมื่อไรดีครับ ?
ตอบ : เมื่อไรก็ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าถึงเวลาจะตั้งสติไม่ให้โกรธได้ไหม แค่นั้นแหละ
ถาม : ถ้าได้คุยกันละครับ ?
ตอบ : คุยกันดี ๆ ก็น่าจะรู้เรื่องนะ อย่าไปโวยวายใส่กัน มีอะไรค่อย ๆ พูดกัน ไม่ก็ลองใช้คาถาก็ได้ พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต นึกถึงหน้าเขาก่อน ภาวนาไปสักชั่วโมงหนึ่ง ขอให้ทำอะไรได้อย่างใจเราทุกอย่าง เป็นคาถาของหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภาวนานึกถึงหน้าเขาไปสักชั่วโมงหนึ่ง
ส่วนใหญ่ญาติพี่น้องที่แตกกันก็เพราะอย่างนี้ ต่างคนต่างอยากได้ ไม่ค่อยยอมสละให้กัน
พระอาจารย์พูดกับโยมที่ได้กสิณว่า "อย่างไรก็ซักซ้อมให้เต็มที่นะ เดี๋ยวนี้สถานการณ์ศาสนาเราไม่ได้เรื่องแล้ว เขาออกกฎหมายให้ชาวบ้านคุมพระแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "แต่ละปีนี่ธาตุคนบกพร่องไม่เท่ากัน โบราณเราเก่ง รู้ว่าแต่ละช่วงอายุฮอร์โมนตัวไหนบกพร่อง ต้องใช้ตัวยาสมุนไพรอะไรมาช่วย หมอสมัยใหม่นี่ไม่ได้เรื่อง โบราณเขาศึกษาธาตุคน ธาตุยา ฤดูกาล ของสมัยใหม่ไปสนใจตำราฝรั่ง ถึงเวลายาตัวเดียวรักษาครอบจักรวาล ไม่หายก็ตายแล..!
โบราณเขาบอกไว้ชัด ๆ ว่า ลางเนื้อชอบลางยา ก็คือบางคนเหมาะกับยาบางอย่าง ต่อให้ป่วยด้วยโรคเดียวกันก็ยังต้องดูขนาด น้ำหนัก ความแข็งแรงอ่อนแอของคนไข้ ถึงให้ยาได้ ไม่ใช่ว่าป่วยด้วยโรคเดียวกัน กินยาอย่างเดียวกันแล้วหาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครตายแล้ว แต่สมัยใหม่เขาศึกษาไม่ถึง คนโบราณเก่งกว่าเยอะเลย"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ท่านมหาเอเอาหลวงพ่อทองคำองค์จำลองมาส่งแล้ว จากน้ำหนักเม็ดเงิน ๘๒ กิโลกรัมเศษ พอหล่อและตกแต่งเป็นองค์พระออกมาแล้ว เหลือประมาณ ๓๕.๙ กิโลกรัม ตอนนี้กำลังส่งไปชุบทอง เห็นว่าน่าจะต้องใช้ทองคำประมาณ ๑๐ กว่าบาท
ใครที่จะหล่อหลวงพ่อทองคำก็ต้องเร่งมือหน่อย เพราะว่าใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีหน้าก็จะหล่อแล้ว ตามที่คำนวณไว้คือใช้ทองคำ ๑๐๐ กว่ากิโลกรัม แต่อยากจะรู้ว่าพอเสร็จแล้วจะเหลือเท่าไร
คราวนี้ถ้าหากว่าเราดูจากหลวงพ่อทองคำองค์จำลอง เราใช้เนื้อเงินไป ๘๒ กิโลกรัม หล่อแล้วเหลือแท่งชนวน ๓๖ กิโลกรัม หายไปประมาณ ๕๒ กิโลกรัม ก็แปลว่าถ้าเป็นเนื้อทองคำ เราก็จะมีทองคำเหลืออยู่หลายกิโลกรัม พอดีอาตมามีโครงการจะหล่อพระยืนต่อไป ถ้าทองคำมีเหลือพอก็จะหล่อเป็นทองคำเลย
ดังนั้น...ญาติโยมที่ถวายทองมาสบายใจได้ ว่าท่านได้หล่อพระหลายองค์เลย เนื้อนากก็ใช้ทอง เนื้อทองคำก็ใช้ทอง เศษทองที่เหลือยังคงหล่อพระยืนทองคำได้อีก
ที่น่าขำมากก็คือ เมื่อวานเขายกกัน ๒ คนเก้ ๆ กัง ๆ จะโดนพระทับตาย อาตมาก็เลยต้องยกคนเดียว บอกไปว่า อาตมาแก่แล้ว ขอยกคนเดียวแล้วกัน...! นี่ถ้าเป็นรุ่นของอาตมาก็โดนข้าวสารทับตาย เพราะว่ารุ่นของอาตมา ต้องแบกข้าวสารกระสอบละ ๑๐๐ กิโลกรัมกัน สมัยนี้ข้าวสารกระสอบใหญ่สุดหนักแค่ ๕๐ กิโลกรัม ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ ๑๕ กิโลกรัม"
ถาม : ทำไมถึงใช้คำว่า “มีดบินวัดหนองโพธิ์” มีดบินได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : เขาก็แค่แต่งให้คล้องจองเป็นโคลงเป็นกลอนเท่านั้นเอง ก็เพราะว่าวัดก่อนหน้านั้นก็คือไม้ครูคู่วัดอินทร์ ถ้าไม่ลง “มีดบิน” แล้วจะไปต่ออย่างไร ?
แต่ถ้าเอาขึ้นเครื่องบินไปก็มีดบินได้เหมือนกันนะ อาตมาเอาไปด้วยเป็นประจำเลย เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยงสำหรับพวกเรา เพราะว่าพวกเราศรัทธาไม่พอ เมื่อศรัทธาไม่พอ กำลังใจไม่ดี เดี๋ยวก็โดนเขาจับได้
อาตมาเองถ้าไปครั้งไหนท่านเตือนว่า "ให้เอาออกเสีย เดี๋ยวจะมีปัญหา" ก็ไม่เอาไป งานไหนถ้าท่านไม่เตือนก็พกยาวไปเลย ล่าสุดโยมฝากมาเล่มหนึ่ง เพราะว่าขาไปนั่งรถไป ขากลับต้องนั่งเครื่องบินกลับ ปรากฏว่าอาตมาก็พกเล่มหนึ่ง โยมก็พกเล่มหนึ่ง โยมก็เลยยัดให้อาตมาช่วย จึงบอกกับเขาบอกว่าถ้าด่านแรกจะไม่ดังนะ แต่ด่านสองต้องให้ดัง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโควตาหมด เขาก็ตกใจว่า "ถ้าดังโดนเขาก็ยึดสิ..!" จะไปยึดอะไร..ก็ดังแล้วเขาหาไม่เจอ...!
เรื่องของศรัทธาเป็น “เครื่องนำ” ของการทำความดีทั้งหมด ถ้าหากว่ามีศรัทธา กำลังใจจะปักแน่วแน่มั่นคง พระพุทธเจ้าถึงได้เตือนว่า ศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบด้วย ก็คือในอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ซึ่งประกอบไปด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธาคือความเชื่อ วิริยะคือความเพียร สติคือความระลึกได้ สมาธิคือกำลังใจที่ตั้งมั่น และปัญญาคือความรู้รอบรู้แจ้ง ทั้ง ๕ อย่างนี้ถ้าเป็นอินทรีย์ คือการสั่งสมกำลังทั้ง ๕ เอาไว้ ถ้าเป็นพละเมื่อไรคือเอากำลัง ๕ อย่างนี้ไปใช้งานจริง ท่านบอกว่าศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา ไม่อย่างนั้นแล้วจะเป็นอธิโมกขศรัทธา น้อมใจเชื่อโดยขาดปัญญา แล้ววิริยะคือความเพียร ก็จะต้องคู่กับสมาธิ ถ้าหากว่าพากเพียรไปสมาธิก็จะทรงตัว สติท่านบอกว่ายิ่งมากยิ่งดี แต่ตัวอื่น ๆ ต้องปรับให้เสมอกัน
ถ้าหากว่ามีความเพียรต้องมีสมาธิประกอบ ถ้าหากว่ามีสมาธิประกอบ ความเพียรก็จะเป็นไปด้วยความถูกต้อง แต่สติท่านบอกยิ่งมากยิ่งดี แต่อาตมาว่าสติมากเกินก็ไม่ค่อยดี เพราะว่าคนที่สติมากเกินไป จะทำอะไรก็จด ๆ จ้อง ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ ทำอะไรก็กลัวผิดกลัวพลาด พระพุทธเจ้าท่านถึงให้ใช้ปัญญาอยู่ในข้อธรรมเกือบทุกหมวด ก็คือมีสติแล้วต้องมีปัญญาด้วย ถ้ามีสติขาดปัญญาก็ไม่กล้าทำอะไร ถ้ามีปัญญาขาดสติก็บุ่มบ่ามโฉ่งฉ่าง อาจจะพลาดได้ ทั้ง ๒ อย่างจึงต้องไปด้วยกัน
ในเรื่องของวิริยะก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเพียรมากเกินเหตุก็ทำให้ใจฟุ้งซ่าน โอกาสเข้าถึงธรรมมีน้อย เพราะว่าอยากได้ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำจนเกินกำลังตัวเอง ในข้อธรรมทุกหมวดจึงต้องมีปัญญาประกอบ พอเหมาะ พอดี พอควร ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาแล้ว จะทำเกินหรือทำขาด ก็ไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ทำเกินก็เลยเป้า ทำขาดก็ไปไม่ถึง ต้องทำพอดี ๆ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังบารมีที่เราสั่งสมมา
ร่างกายดี สมาธิเข้มแข็ง ก็ทำได้มาก ร่างกายไม่ดี สมาธิไม่เข้มแข็ง ก็ทำได้น้อย แต่ว่าต้องเพียรพยายามให้เต็มที่ของเรา ไม่ใช่ประเภทถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง กี่ปีก็อยู่แค่นั้น ไม่มีความก้าวหน้าสักที ตั้งหน้าตั้งตาว่าเราจะทำเอาอภิญญา แล้วก็ยังไปทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อยเปื่อย ถ้าประเภทนี้ไปไม่รอดหรอก ถ้าทุ่มเทต้องทุ่มเทไปในทางเดียว อย่าให้กำลังใจหันเหไปในทางอื่น
คุณยายถวายปัจจัยเป็นปึกใส่ซองสีน้ำตาลมา "ตายละวา...ลูกหลานจะเหลือใช้ไหมนี่ ? ยายเล่นให้มาขนาดนี้ อ้อ...ตกใจหมด นึกว่าใบละพัน
คุณยายวัชรินทร์ จราญไพรี เป็นคนแก่ใจบุญแล้วก็ใจดี คราวก่อนเดินทางไปต่างประเทศ คุณยายก็รวบรวมเงินดอลลาร์ให้อาตมามา ๘๐๐ กว่าดอลลาร์ เป็นใบละ ๑ ดอลลาร์ ใช้ง่ายมากเลย ถึงเวลาให้ทิปก็ไม่เสียดายเพราะว่าเป็นใบเล็ก ขณะเดียวกันถ้าไปหลายประเทศ อย่างอินเดีย เนปาล ฯลฯ ให้ทิปเขา ๑ ดอลลาร์ เขาดีใจแทบตาย แต่ถ้าหากว่าไปสหรัฐหรือยุโรป ถ้าไปให้แค่ ๑ ดอลลาร์เขาก็ไม่มองเหมือนกันนะ
มีประเทศญี่ปุ่นไปแล้วไม่ต้องให้ทิป ถ้าให้เขาถือว่าดูถูก คนญี่ปุ่นถือว่าการทำงานเขาได้ค่าตอบแทนอยู่แล้ว ในเมื่อเขามีเงินเดือนแล้ว เขาก็ต้องบริการเต็มที่ของเขา ถึงเราจะถูกใจแค่ไหนก็ไม่ต้องให้ทิป"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนหลวงพ่อสนาน อดีตเจ้าคณะอำเภอบ้านฉาง ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดระยอง แวะไปงานที่วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ ได้คุยกัน ท่านถามว่าวัดคุณมีพระกี่รูป ? อาตมาเพิ่งสำรวจยอดแจ้งทางคณะสงฆ์พอดี จึงบอกไปว่า "๔๔ รูปครับ" ท่านตกใจ ท่านถามว่า "วัดอยู่ในป่าไม่ใช่หรือ ?" บอกท่านว่า "ทองผาภูมิเป็นป่าก็จริงครับ แต่ว่าผมอยู่ในเขตเทศบาล" ท่านว่า "ก็นั่นแหละ ไม่น่าจะมีเยอะขนาดนี้" จึงถามท่านว่า "แล้วของหลวงพ่อละครับ ?" ท่านบอกว่า "ของผมมี ๒๐ รูป"
วัดท่านเป็นวัดเจ้าคณะอำเภอ แล้วอยู่อำเภอบ้านฉาง ระยอง ต้องบอกว่าแหล่งเงินแหล่งทอง ปรากฏว่าวัดท่าขนุนมีพระมากกว่า จึงกราบเรียนท่านไปว่า "พระของผมใครจะเรียนหนังสือ ผมส่งให้เรียน ใครจะเรียนเกี่ยวกับกรรมฐาน ผมก็สอนให้เขาได้ คุณจะเอาทางด้านปริยัติผมก็มีให้ ทางปฏิบัติผมก็มีให้ พระเขาเลยอยู่กันได้เยอะ" ท่านจึงเข้าใจ
"ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทางคณะสงฆ์กำลังปฏิรูป โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลพระภิกษุสามเณร ปฏิรูปใน ๖ ด้าน คือ ด้านการปกครอง การเผยแผ่ การศาสนาศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์
แต่ปรากฏว่ารัฐบาลไปเจอแนวคิดของผู้ยิ่งใหญ่ใจร้อน ไม่รอพระปฏิรูปก็จัดการเลย โดยเฉพาะโบ้ยงานทุกอย่างไปเป็นพระราชอำนาจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ยุคของรัชกาลที่ ๙ พระราชภารกิจก็ท่วมท้นล้นพระองค์อยู่แล้ว พระองค์ท่านอุตส่าห์สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมา เพื่อแบ่งเบาพระราชภารกิจ แต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ พระครูสัญญาบัตร เพื่อช่วยกันแบ่งเบาพระราชภารกิจ
แต่ปรากฏว่าตอนนี้กฎหมายใหม่ผลักภาระทุกอย่างกลับไปสู่องค์ในหลวง กลายเป็นการเพิ่มพระราชภารกิจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกฎหมายใหม่นี้ห้อยท้ายเอาไว้ว่า ‘หากมีพระราชดำริเป็นประการใด ให้ดำเนินการไปตามพระราชดำรินั้น ฯลฯ เว้นแต่จะมีพระราชดำริเป็นประการอื่น’ อาตมาถึงได้บอกว่า การที่คนถือศีลไม่ครบ ๕ ข้อ แล้วมาออกกฎหมายให้พระที่มีศีล ๒๒๗ ข้อถือปฏิบัติตาม ต่อให้พระศีลขาดครบ ๕ ข้อ ก็ยังมีศีลมากกว่าโยม ๒๒๒ ข้อ จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเป็นการล่วงพระราชอำนาจตรงที่ว่า ทุกอย่างยกไปเป็นพระราชภารกิจ ยกไปเป็นการตัดสินพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าหากว่าเราจะบอกว่ามีผู้สนองพระบรมราชโองการอยู่แล้ว ก็ยังคงระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอยู่ดี เพราะว่าต้องให้พระองค์ท่านลงพระปรมาภิไธยก่อน แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่านายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ เกิดเป็นคนถือศาสนาอื่น อย่างเช่นว่าเป็นคริสต์หรืออิสลาม แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคณะสงฆ์ ?"
"เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ความจริงแล้วเป็นภาระของพระมหาเถระ โดยเฉพาะอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม เพราะว่าปัจจุบันนี้เขายุบเลิกไปแล้ว กำลังรอในหลวงทรงพระราชทานตั้งใหม่
อดีตกรรมการมหาเถรสมาคมไม่มีใครขยับ ไม่มีใครทักท้วง ไม่มีใครนำในการที่จะทักท้วงห้ามปราม ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรขนาดนี้ จึงกลายเป็นว่ายอมรับไปโดยปริยาย ในเมื่อยอมรับโดยปริยาย บรรดาตัวเล็กตัวน้อยอย่างอาตมาก็...ในเมื่อผู้ใหญ่ยอมรับเราก็ต้องยอมรับ
เพราะว่าในเรื่องของยศของตำแหน่ง อาตมาไม่ได้ต้องการมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกวันนี้ที่มีมาที่ได้มา ก็เพราะว่าผู้บังคับบัญชาท่านเมตตา เห็นความสามารถแล้วยัดเยียดงานมาให้ ๑๗ - ๑๘ ตำแหน่งเข้าไปแล้ว จนกระทั่งตัวเองก็จำไม่หมดว่ามีตำแหน่งอะไรบ้าง มีกระทั่งตำแหน่งของนักการเมือง อย่างประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอ เป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องเลือกตั้ง ๓ ปีครั้งหนึ่ง นี่อาตมาก็ใกล้หมดวาระแล้ว"
"ตอนยุคที่หลวงตามหาบัวประท้วงนั้น ไม่ได้ประท้วงเรื่องกฎหมาย แต่เป็นการประท้วงการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงงานไม่ได้ รัฐบาลทักษิณชินวัตร จึงตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นมา ซึ่งทำให้ทางพระธรรมยุตโดยเฉพาะสายวัดป่าเห็นว่าเป็นการขโมยตำแหน่งกัน ซึ่งความจริงในเรื่องของการบริหารคณะสงฆ์ จะหยุดไม่ได้แม้แต่วันเดียว แล้วสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกนั้น พระองค์ท่านพระชนมายุยืนมาก ถึงขนาด ๑๐๐ พรรษา
ลองคิดดูว่า ถ้าหากว่าช่วงนั้นไม่มีการตั้งผู้รักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราชจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะว่ามีการปลอมพระลิขิตกันแล้ว แต่ในเมื่ออยู่ในลักษณะนั้น ทำให้พระทางฝ่ายธรรมยุตเห็นว่า อำนาจไปตกอยู่ในมือของพระมหานิกาย จึงต้องอาศัยมือพระวัดป่ามาช่วยกันประท้วง แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ การขโมยตำแหน่งของหลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ก็เช่นเดียวกัน เพราะว่าท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของอดีตเจ้าคุณธัมมชโย วัดธรรมกาย
วัดธรรมกายสร้างลูกศิษย์ลูกหาเป็นปึกแผ่นแน่นหนาทั่วประเทศไทย ธรรมยุตรู้สึกว่าสถานะของตนคลอนแคลน ถ้าหากว่าอำนาจตกไปสู่ฝ่ายมหานิกายเต็ม ๆ ตามกฎหมาย ก็จะไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายตน จึงมีการแก้กฎหมาย เพื่อที่จะเปลี่ยนไปเป็นพระราชอำนาจในการพิจารณาการแต่งตั้ง ก่อนหน้านี้ก็แก้ไขกฎหมายมาทีหนึ่งแล้ว เพื่ออำนวยผลแก่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขึ้นดำรงตำแหน่งได้ คือเปลี่ยนจากอาวุโสโดยพรรษา มาเป็นอาวุโสโดยสมณศักดิ์แทนไปทีหนึ่งแล้ว
พอมายุคนี้อาวุโสโดยสมณศักดิ์ ๓ รายเป็นพระมหานิกายทั้งหมด ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เพราะว่ากฎหมายกำหนดไว้ ก็เลยต้องแก้กฎหมายอีก ให้เปลี่ยนว่าการแต่งตั้งพระสังฆราชจากสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่ง แล้วแต่พระราชวินิจฉัย พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้อำนาจตกอยู่กับฝ่ายธรรมยุต ซึ่งพระมหานิกายของเราก็ไม่ได้ถือสา ถ้าหากว่าท่านทรงคุณความดี พวกเราก็พร้อมที่จะยอมรับนับถือ
แต่ขอให้ญาติโยมรู้ว่า เรื่องนี้มีการตีกินกันมาตลอดของฝ่ายธรรมยุต ตั้งแต่สมัยก่อนโน้นแล้ว ช่วงยุครัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ พระฝ่ายธรรมยุตยึดตำแหน่งพระสังฆราชติดต่อกัน ๗๐ กว่าปี ถึงขนาดแอบมุบมิบแต่งตั้งกัน เมื่อยุคที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสยังทรงกรมเป็นกรมหมื่น อายุกาลพรรษายังไม่พอ ก็ดองการตั้งสมเด็จพระสังฆราชเอาไว้ถึง ๑๑ ปีเต็ม ๆ เพื่อให้ท่านอาวุโสพรรษาพอ ถึงได้เสนอให้ทรงสถาปนาขึ้นไป
หลังจากนั้นพอมาในสมัยรัชกาลที่ ๘ หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์เทพวราราม ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ก็มีการแก้กฎหมายเพื่อที่จะไม่ให้ท่านเป็นใหญ่ โดยการยกตำแหน่งพระสังฆราชขึ้นหิ้งไป แล้วก็มีสังฆสภา สังฆมนตรี และคณะวินัยธรมาทำหน้าที่แทน สังฆสภามีหน้าที่ออกกฎออกระเบียบเกี่ยวกับการปกครองสงฆ์ สังฆมนตรีมีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ทั้งหมด และคณะวินัยธรมีหน้าที่ตัดสินอธิกรณ์ คือเรื่องที่เกิดขึ้นในคณะสงฆ์"
"เมื่อเป็นเช่นนั้น การปกครองคณะสงฆ์จึงขึ้นอยู่กับอำนาจของสังฆมนตรี พระฝ่ายธรรมยุตจึงยึดตำแหน่งสังฆมนตรี ๒ สมัยติดต่อกัน พอถึงสมัยที่ ๓ ก็จะเอาอีก ก็ถึงได้มีรายการที่เขาเรียกว่ากบฏมหานิกาย ก็คือพระเถระฝ่ายมหานิกาย ๒๒ รูปร่วมกันทำหนังสือประท้วง ถึงได้ยอมคายตำแหน่งออกมา คายตำแหน่งออกมาให้หลวงพ่อพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุฯ เป็นสังฆมนตรี แต่ก็ช่วยกันใส่ไคล้ ใส่ร้ายว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งท่านต้องไปนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานทีเดียว
ต้องบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นวีรกรรมของทางพระธรรมยุตมาตลอด ปัจจุบันนี้สิ่งที่ทำเป็นปกติเลยก็คือว่า ถ้าทางฝ่ายพระมหานิกายเป็นสมเด็จพระสังฆราช ทางพระธรรมยุตจะขอปกครองกันเอง โดยอ้างว่าได้รับสิทธิพิเศษนี้จากในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านดำริให้พระธรรมยุตปกครองกันเอง แต่ถ้าพระธรรมยุตขึ้นเป็นพระสังฆราชเมื่อไร จะปกครองทั้งหมดทุกนิกาย โดยอ้างว่าตำแหน่งคือสกลมหาสังฆปริณายก จึงต้องปกครองทุกนิกาย
นี่คือความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในวงการสงฆ์ของเรา ต้องบอกว่าตรงจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คณะสงฆ์ของเราอ่อนแอ เพราะว่าบุคคลส่วนน้อยมาปกครองส่วนมาก แล้วไป ๆ มา ๆ ท้ายสุดก็กลายเป็นฆราวาสเข้ามามีอำนาจในการปกครองพระ อย่างกฎหมายฉบับปัจจุบันที่เพิ่งจะแก้เสร็จ ต่อไปนี้ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ตาม ต้องผ่านนายกรัฐมนตรีทั้งหมด ก็ต้องเส้นใครเส้นมัน เด็กใครเด็กมัน ถึงอายุกาลพรรษาน้อย ตำแหน่งยังไม่สมควร ก็อาจจะขึ้นไปปกครองผู้ใหญ่ได้"
"ก็ต้องบอกว่าเป็นธรรมดา มีเจริญก็ต้องมีเสื่อม วาระของศาสนาพุทธในประเทศไทย อาจจะถึงวาระเสื่อมแล้วก็ได้ แต่ว่าทันทีที่มีประกาศแก้กฎหมาย ทางคณะสงฆ์ประเทศกัมพูชา ทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ประกาศเลยว่า ถ้าหากว่าศาสนาพุทธในประเทศไทยเสื่อม กัมพูชาพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแทน นี่คือลักษณะของการทำงานเป็น ทำงานเป็นก็คือต้องชิงการนำก่อน
แบบเดียวกับที่เด็กทีมหมูป่ากับผู้ฝึกสอนไปติดอยู่ในถ้ำ ทางคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย ช่วยกันเรี่ยไรเงินเข้าไปช่วยในการกู้ชีพทันที แล้วจุฬาราชมนตรีก็คือผู้นำของศาสนาอิสลาม ทำหนังสือขออนุญาตในการที่จะเข้าไปทำพิธีสวดดุอาห์ ขอพรพระเจ้าให้เด็ก ๆ ทั้งหมดปลอดภัย
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต่อให้ไม่ได้รับการอนุมัติ แต่ก็เป็นการชิงการนำ ยึดพื้นที่ข่าวไปแล้ว หลังจากนั้นเป็นอาทิตย์กว่าจะมีเจ้าคณะอำเภอที่เชียงรายนำสวดมนต์ขอพร กว่าจะมีที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น กว่าสมเด็จพระสังฆราชจะอาศัยการสวดมนต์เฉลิมพระเกียรติ ให้มีการสวดเพิ่มขึ้นมาก็คือ สวดบทกรณียเมตตาสูตร เพื่อขอให้เด็ก ๆ ทั้งหมดปลอดภัย
การทำงานของพระเรานี้ แม้ว่าจะเป็นองค์กรสงฆ์ที่ใหญ่โตกว่าเขาหลายเท่า แต่ว่าการทำงานทุกอย่างตามก้นเขามาโดยตลอด ไม่เคยสามารถชิงการนำได้แม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งต้องบอกว่า ฟ้าส่งครูบาบุญชุ่มมา แต่ว่าท่านฝ่าดงระเบิดเข้าไปเลยนะ ถ้าไม่เป็นไปตามที่ท่านพูด สารพัดตีนรออยู่แล้ว ท่านโดนแน่ ๆ แต่ว่าสิ่งที่ท่านพูด สิ่งที่ท่านทำ มีผลตามที่ท่านบอกไว้ ก็เลยกลายเป็นว่า ศาสนาพุทธของเราสามารถชิงพื้นที่ตรงนี้มาได้ แต่ไม่ได้เกิดจากพระผู้ใหญ่ เกิดจากพระเกจิอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือเป็นการส่วนตัว แล้วนิมนต์กันเข้าไป"
"เราจะเห็นกันตรงจุดนี้ว่า ในเรื่องของการทำงานของคณะสงฆ์ของเรานั้น ยังมีอะไรที่ต้องแก้ไขอีกมาก แต่ว่าตอนนี้กฎหมายใหม่ก็ไม่อนุญาตให้กระดิกเลย แม้กระทั่งเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ต่อไปนี้ก็ต้องเป็นศาสนสมบัติกลางทั้งหมด เงินที่ญาติโยมทำบุญมา ถ้าเข้าบัญชีวัดเมื่อไรต้องเสียภาษีทันที เพราะว่าตอนนี้ทุกวัดโดนบังคับทำบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีแล้ว วัดท่าขนุนก็มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเรียบร้อยแล้ว
ต่อไปถ้าหากว่าใครทำบุญแล้วอยากได้อนุโมทนาบัตร ต้องโอนเข้าชื่อบัญชีวัดเท่านั้น ถ้าโอนเข้าชื่อบัญชีอาตมาก็จะไม่ได้ตรงส่วนนี้เลย เพราะธนาคารว่าเขาจะไม่ออกให้ เนื่องจากว่าเงินไม่ได้โอนเข้าบัญชีวัดที่เขาควบคุมอยู่
อาตมากลัวอยู่อย่างเดียวว่าถ้าโยมทำบุญ ๕ บาท ๑๐ บาท แล้วเขาจะออกไหวไหม ? เพราะว่าอย่างปัจจุบันนี้ เขาขอเท่าไรทางวัดเราก็ออกให้ แต่คราวนี้เราอย่าลืมว่า อนุโมทนาบัตรเล่มหนึ่งราคา ๕๐ บาท เท่ากับใบละ ๒ บาท โยมทำบุญ ๕ บาท เรายังมีกำไร ๓ บาท แต่ถ้าหากว่าไปให้ทางด้านธนาคารซึ่งออกโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่รู้ว่าอนุโมทนาบัตรจะเหลือเท่าใบสลิปเอทีเอ็มหรือเปล่า ? แล้วตัวหนังสือจะหายไปภายใน ๓ วันหรือเปล่า ? ก็มีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องโอนในชื่อของอาตมาแทน แต่ว่าจะไม่ได้อนุโมทนาบัตร
ไม่เป็นไรหรอก...เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนท่านจบด็อกเตอร์มา ท่านฉลาดพอ ถ้าทำบุญไป วัดท่าขนุนจะออกวุฒิบัตรให้แทน ก็คือเป็นวุฒิบัตรที่ระบุว่าได้ทำบุญรายการนี้กับทางวัด แต่ไม่ใช่อนุโมทนาบัตร เป็นการออกโดยส่วนตัวของวัด คือบริษัทเขาขอให้มีแค่หลักฐานว่า เรารับของของเขาไว้ก็พอ โลกต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย แต่ขอให้มั่นใจว่า หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดด้วยยุคสมัย ใครทำเมื่อไรก็ได้รับผลดีเมื่อนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางวัดท่าขนุนกำลังรอ QR Code อยู่ ซึ่งน่าจะได้แล้ว เมื่อได้มาแล้วอาตมาจะสแกน QR Code แล้วให้เอาขึ้นเว็บวัดท่าขนุนให้ ต่อไปญาติโยมก็ทำบุญผ่านตรงนั้นได้เลย ใครจะเอาโมทนาบัตรก็ทำบุญผ่านตรงนั้น ถ้าไม่เอาก็มาทำที่นี่ ...(บ้านเติมบุญ)... หรือไปทำที่วัด ซึ่งอาตมาว่าทำตรงนี้ได้เยอะกว่าอีก
เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจ ที่ทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบของข้อกฎหมาย เงินทำบุญเป็นเงินการกุศล โดยเฉพาะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าวัดไม่ต้องเสียภาษี คงต้องมีการแก้กฎหมายกันยุ่งยากมากเลย เพราะว่าถ้าหากว่าเงินส่วนนี้ต้องเสียภาษี บรรดามูลนิธิทั้งหมดก็ต้องเสียด้วย เป็นอะไรที่ต้องบอกว่ากระทบเป็นลูกโซ่กว้างขวางมาก"
ถาม : เขาเอาไปทำประโยชน์อะไรคะ ?
ตอบ : เขาบอกว่าเงินในวงการสงฆ์ถ้ารวมกันแล้วมียอดหลายแสนล้าน ควรจะเอามาใช้พัฒนาประเทศ เพราะว่ามีเงินอยู่ก็เลยทำให้พระเสียหมด
ถาม : ใครรับกรรมคะ ?
ตอบ : ก็เรื่องของเขา เราจะไปสนใจอะไร คนริเริ่มก็รับไป ต้องบอกว่าเป็นวาระของเรา แล้วก็เป็นโอกาสของเขา เราจะเห็นว่าการแก้กฎหมายเพื่อแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ล่าสุดก็ผ่าน ๓ วาระในวันเดียว ถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนชนิดคอขาดบาดตาย จะมาผ่าน ๓ วาระในวันเดียวทำไม ? การแก้กฎหมายคณะสงฆ์ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่ว่าผ่าน ๓ วาระในวันเดียว
เราก็ค่อย ๆ ดูไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นในบ้านเราเมืองเรา ส่วนบรรดาท่านที่สร้างเวรสร้างกรรมอยู่กว่าจะรู้ก็ต้องตายไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ทันหรอก อาตมาถึงได้บอกว่าถ้ามีโอกาสก็จะไปเยี่ยม รับประกันว่าจะไม่หัวเราะเยาะ จะไปแผ่เมตตาให้...!
ถาม : เราไม่รู้ว่าตอนนี้ถึงวาระที่จะเกิดขึ้นกับพุทธศาสนา ถ้าเราไปโวยวายรังแต่จะเกิดความแตกแยกหรือเปล่า ?
ตอบ : ถึงไม่มีเหตุนี้ก็ไม่เป็น พวกเขาสร้างเหตุขึ้นมาเอง
ถาม : เจตนาเขาเป็นอย่างนั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่...เจตนาที่จะทำลายคณะสงฆ์ เมื่อวานได้เห็นรูปไหม ? ตอนแก้ พรบ.คณะสงฆ์ อิสลามเข้าไปเพียบเลย แล้วเขาเข้าไปทำอะไร ? อิสลามเข้าไปเชียร์เรื่องกฎหมายคณะสงฆ์ ๒๐ - ๓๐ คน
ถาม : ถ้าเราไม่ยอม เราทำอย่างไรได้ ?
ตอบ : ก็ต้องลุกฮือทั่วประเทศ เขาจับจุดได้ว่านิสัยนี้คนไทยไม่มี คนไทยเราประเภทดีก็เงียบ ชั่วก็เงียบ แต่ของเขานี่ใครไปสะกิดเข้า เขาจะฮือมาอย่างน้อยก็ทั้งหมู่บ้าน เขาก็เลยมั่นใจว่าสามารถที่จะขี่คอเราได้แน่นอน เพราะว่าทำอะไรเราก็เงียบ
ถาม : อะไรบ้างที่เงียบ ?
ตอบ : เขาออกกฎหมายมาว่าสร้างมัสยิดเอาเงินหลวงได้ แต่ของเราพระสร้างวัดต้องไปเรี่ยไรกันเอง เป็นต้น
ถาม : บางคนเขาบอกให้มีคนนำ ?
ตอบ : พวกเราทำอะไรไม่มีการปรึกษาหารือกัน แต่ของเขาเอาพวกจบด็อกเตอร์ ๓๐๐ กว่าคน มาสุมหัวปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์กันทุกอาทิตย์ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่เขาคิดจะรอบคอบรอบด้าน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าอยู่ในลักษณะรุกฆาตผูกหมากตายหมด เราขยับด้านไหนก็ต้องเข้าทางเขาสักด้านหนึ่ง ไม่เป็นไร “อยู่แค่อยู่ได้” อาตมาก็ไม่ได้หนักใจอะไรนี่
เรื่องทั้งหมดอาตมาพูดได้แค่นี้ เพื่อให้กระทบกระเทือนผู้อื่นน้อยที่สุด แต่ว่าเรื่องใหญ่จริง ๆ เกิดจากมีผู้หมายตาจะเอาเงินคณะสงฆ์ เขาก็เลยต้องหาทางอย่างไรก็ได้ เพื่อที่จะแคะออกมาให้ได้ บรรดาหัวหอกต่าง ๆ ที่ต่อต้าน โดยเฉพาะเป็นแหล่งเงินใหญ่ ก็โดนจับเข้าคุกไปหมดแล้ว
เมื่อวานอาตมาไปเยี่ยมท่านมา บรรดาเพื่อนฝูงก็กลัวกัน “อาจารย์เล็กไม่กลัวติดหลังแหไปด้วย ?” จะไปติดอะไร อย่างเก่งเขาก็แค่สึกผมได้ เอาผมเข้าคุกหรือ ? ผมก็แค่เปลี่ยนที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้นเอง ไม่ต้องบิณฑบาตด้วย มีคนเลี้ยง...สบาย งานลดน้อยลงไปตั้งเยอะ ถึงเวลาก็มีคนคอยดูแลทำความสะอาด จะนอนก็มีคนเฝ้า สบายอย่าบอกใครเลย ไม่ต้องกลัวข้าวของอะไรจะหาย
ถาม : ท่านเหล่านั้นจับสึกหรือครับ ?
ตอบ : ท่านทั้งหลายเหล่านั้นโดนบังคับให้เอาผ้าเหลืองออก แต่ไม่มีใครเปล่งวาจาสึก อาตมาเคยเรียกพระครูก็เรียกพระครู เคยเรียกเจ้าคุณก็เรียกเจ้าคุณ เคยเรียกหลวงพ่อก็เรียกหลวงพ่อเหมือนเดิม เพราะว่าท่านก็ยังคงโกนหัวเป็นปกติ
ถาม : ฟ้องกลับได้ไหมคะ ?
ตอบ : เขาเปิดโอกาสให้ไหม ? ฟ้องขึ้นไปแล้วใครจะรับ ? ในเมื่อกฎหมายอยู่ในมือเขา เอาเป็นว่าคดี ๙๙ ศพมีใครฟ้องได้บ้างจนป่านนี้ ? ทั้ง ๆ ที่ตายให้เห็น ๆ ถึงได้บอกว่าต่างประเทศอาตมาไม่ได้ชอบนะ แต่ชอบกฎหมายของเขาอย่างเดียว ตรงที่กฎหมายเขายังเป็นกฎหมายอยู่ ส่วนบ้านเรานี่กฎหมายเป็นไปตามผู้มีอำนาจ ปัจจุบันเราก็จะเห็นชัด ๆ ว่าถ้ามึงทำ...ผิด ถ้ากูทำแบบเดียวกัน...ไม่ผิด เพราะว่ากูมีอำนาจ ก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว
ถาม : คนทั่วไปเขาไม่รู้ ?
ตอบ : เป็นหน้าที่ของโยมที่ต้องไปชี้แจงให้เขาเข้าใจ
พระอาจารย์กล่าวว่า "จ.อ.สมาน กุนัน ตายแล้วไม่ขาดทุน แค่เฉพาะตรงนี้มีคนทำบุญให้ ๔ - ๕ รายติด ๆ กันแล้ว จะเห็นว่าฝีมือระดับนักทำลายใต้น้ำของกองทัพเรือ ถึงเวลาแล้วก็ยังเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิตได้ ฉะนั้น...คนทั่ว ๆ ไปจะเข้าออกทางน้ำ ระยะทางไกลเป็นกิโลเมตรนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะยิ่งตื่นเต้น ก็ยิ่งใช้อากาศหายใจมาก ถ้าถังสำรองมีไม่เพียงพอ อากาศหมดกลางทางก็เรียบร้อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่รอลุ้นอยู่ก็คือ เมื่อไรจะได้หล่อพระทองคำเสียที เพราะว่าตามที่พระท่านบอก ถ้าหากว่าองค์พระหล่อสำเร็จเมื่อไรประเทศเราก็จะเริ่มดีขึ้น แต่บ้านเราเหมือนคนไข้หนัก ดีขึ้นนี่แปลว่าอะไร ? หยอดน้ำข้าวต้มแล้วกินได้...ใช่ไหม ? หรือว่าลุกขึ้นวิ่งได้เลย ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีราชาศัพท์อยู่คำหนึ่งที่พวกเราบางทีแยกไม่ออก คิดว่าเป็นคำเดียวกัน ก็คือคำว่า ทูลเกล้าถวาย กับ น้อมเกล้าถวาย ขอบอกว่าใช้คนละโอกาสกัน
ของอะไรที่เป็นของชิ้นเล็ก น้ำหนักไม่มาก ยกได้ด้วยตัวคนเดียว เขาใช้คำว่า ทูลเกล้าถวาย แต่ถ้าหากว่าของมาก หรือว่าน้ำหนักมาก ไม่สามารถที่จะยกได้ เขาใช้คำว่า น้อมเกล้าถวาย แยกให้ออก อย่าคิดว่าเขาใช้ผิด ถูกทั้งคู่นั่นแหละ เพียงแต่ว่าใช้ในโอกาสไหนเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติอาตมาทำงานไม่เคยออกสื่อ แต่ว่าพอมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับวงการสงฆ์ ที่เขาตั้งใจออกมาเพื่อทำลายโดยเฉพาะ ก็เลยเริ่มให้เขาเอางานออกสื่อ แล้วบรรดาเพื่อนพระสังฆาธิการ เพื่อนพระอุปัชฌาย์ ก็แตกตื่นกันใหญ่ว่า "นี่อาจารย์เล็กทำงานถึงขนาดนี้เลยหรือ ?" ก็บอกท่านไปว่า "ปกติผมก็ทำอย่างนี้แหละ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปอวดใครทำไม ? แต่ว่าตอนนี้มีแต่ข่าวร้ายมากกว่า เราก็เลยต้องเอาข่าวดีมาสู้ แม้ว่าจะเป็นน้ำหยดเดียว ไม่สามารถดับไฟทั้งกองได้ แต่ก็ให้รู้ว่า ยังมีพระสงฆ์ที่ทำงานในลักษณะอย่างนี้"
เมื่อตอนเพลโยมจากกระทรวงวัฒนธรรมโทรมา บอกว่ามีรางวัลให้หลวงพ่อ แต่จะต้องทำประวัติเพื่อขอไป ก็เลยถามเขาว่ามีแบบไหม ? ถ้ามีส่งเข้า LINE หรืออีเมล์มาให้หน่อย ถ้ามีเวลาจะทำให้ ถ้าไม่มีก็แล้วไป เขาบอกว่ามีเวลาแค่ ๒ วัน ก็บอกว่า "ใช่...งานของพวกคุณมักจะเป็นอย่างนี้แหละ ส่วนใหญ่มาวันนี้จะเอาพรุ่งนี้" แล้วพอไปวัดอื่นเขาก็ทำไม่ได้ พอมาวัดท่าขนุนแล้วทำได้ งานก็ไหลมาเทมา"
ถาม : ครูบาบุญชุ่มเกี่ยวข้องอะไรกับแม่นางเขาถ้ำนางนอน ?
ตอบ : ไม่รู้สิ อาตมายังไม่ได้เจอกับแม่นางเลย ถ้าเจอแล้วจะถามให้ ..(หัวเราะ)... แต่โอกาสเจอคงจะยาก เพราะว่าดอยนางนอนนี่แทบจะไม่ได้ย่างกรายเข้าไปเลย ไปอย่างเก่งก็แค่ผ่านไปวัดป่าถ้ำอาชาทอง ก็วิ่งเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาอยู่นั่นแหละ เดี๋ยววันไหนท่านอยากให้เล่าประวัติ ท่านก็คงจะมาบอกเองแหละ
ถาม : มโนมยิทธิ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราเห็นแล้ว ไม่ได้เป็นเพราะครูฝึกถามชักนำ ?
ตอบ : ทดสอบกับสิ่งที่พิสูจน์ได้สิครับ สมัยอาตมาหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านให้ไปนั่งข้างถนน หลับตาทำใจสบาย ๆ ถ้ารถมาให้ถามตัวเองว่ารถคันนี้สีอะไร ? ถ้าตอบถูกให้จำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าผิดก็ไม่ต้องจำ แล้วถ้าถูกสัก ๘ ใน ๑๐ ก็ให้เพิ่มรายละเอียดไปว่า รถมาสีอะไร ? คนนั่งมากี่คน ? ต่อไปก็เพิ่มว่า คนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ? ใส่เสื้อผ้าสีอะไรบ้าง ? ใส่รายละเอียดเพิ่มไปเรื่อย ๆ จะคล่องตัวไปเรื่อย ๆ แล้วต่อไปเราจะจำได้ว่าอารมณ์นั้นมาก็คือใช่ ของอย่างนี้พิสูจน์กันได้ เพียงแต่ว่าคุณไม่ค่อยจะพิสูจน์กัน เอาแต่สงสัยอย่างเดียว
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนถามอาตมาว่า ถ้าเจอเหตุการณ์อย่างถ้ำหลวงดอยนางนอนจะป้องกันอย่างไร ? อาตมาแนะนำไปว่าให้พกวัตถุมงคลไป ก็ถามว่าวัตถุมงคลประเภทใดบ้าง ? อันดับแรก มีดหมอ เอาของครูบาอาจารย์ที่เรามั่นใจเลย อย่างหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เป็นต้น
ถ้าหากว่าราคาแพงไปจนหาไม่ได้ ก็หาของหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร ถ้าจะไปหามีดหมอดาบฟ้าฟื้น หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ มีดหมอเป็นสิ่งล้างอาถรรพ์ แก้อาถรรพ์ ถ้าอาราธนาเป็น ต้องบอกว่าใช้ได้ดีกว่าอะไรทั้งหมด
ประการที่สอง เบี้ยแก้ อันนี้ทั้งแก้ทั้งกันโดยตรงเลย เรื่องของเบี้ยแก้นี่ท่านสร้างมาเพื่อล้างอาถรรพ์ โดยเฉพาะสิ่งอาถรรพ์ลี้ลับต่าง ๆ ในป่า ถ้าพกติดตัวไปโอกาสปลอดภัยเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ เบี้ยแก้สำนักดัง ๆ อย่างหลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ฯลฯ ถ้าหาไม่ได้ก็เอาสำนักรอง ๆ ลงมา อย่าง หลวงปู่ม่วง หลวงปู่ทัต วัดคฤหบดี หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว แต่ว่าอย่างของหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ นี่ขึ้นไปเป็นแสนแล้วเหมือนกัน
ถัดจากนั้นลงไปก็ยังมีเยอะแยะ อย่างสายอ่างทอง ก็ยังมีหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ หรือถ้าหากสายภาคกลาง ก็อย่างหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว หลวงตากา วัดแค (นครชัยศรี) หลวงพ่อไพล วัดบางแคกลางก็ได้
แต่ถ้าจะเอาตรง ๆ เลยต้องของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ เพราะท่านเรียกเบี้ยแก้ท่านว่า ‘เบี้ยแก้สารพัดกัน’ ท่านเรียกปรอทลงหอยเบี้ยโดยที่ไม่ต้องกรอกลงไป ถึงเวลาให้วิ่งเข้าเบี้ยไปเอง ลูกศิษย์เคยแอบดู บอกว่าปรอทเปล่งแสงสว่างยิ่งกว่าหลอดไฟอีก หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ก็ใช้วิธีเรียกปรอทให้วิ่งลงหอยเบี้ยเหมือนกัน
ถามว่าแล้วมีอะไรอีก ? บรรดาของที่ล้างอาถรรพ์พวกนี้ อย่างเช่นว่าผงโสฬส หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จะเป็นตะกรุดพอกผงโสฬส หรือว่าพระปิดตาผงโสฬส หรือว่าลูกอมผงโสฬสก็ได้ จะเป็นของหลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่กลิ่น หลวงพ่อทองสุข หรือมาจนกระทั่งของหลวงปู่วาสก็ใช้ได้ เพราะว่าของท่านนี้เป็นการล้างอาถรรพ์โดยเฉพาะ แถมยังสร้างเสริมบารมีอีกด้วย"
ถาม : มีดหมอโสฬสของพระอาจารย์ละคะ ?
ตอบ : เอาของครูบาอาจารย์จะดีกว่า ความน่าเชื่อถือมีมากกว่า
แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือรูปท้าวเวสสุวรรณ มีรูปเจ้านายไป ไม่เกรงใจก็ให้รู้ไป ถ้าให้อาตมาแนะนำก็รูปหล่อท้าวเวสสุวรรณ ท่านเจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ฯ เหรียญท้าวเวสสุวรรณหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หรือไม่ก็รูปเหรียญหลังท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง อันนั้นเจ้านายใหญ่ไปเอง อย่างไรผีต้องเกรงใจ
ของพวกนี้ถ้าเรามีติดตัวไปให้อาราธนา โดยเฉพาะก่อนนอน ถ้าไม่มีอะไรจริง ๆ ก็ให้ภาวนากรณียเมตตาสูตร ทั้งผีทั้งเทวดาท่านจะรักมากเป็นพิเศษ อาจจะเลี้ยงดูสักปีสองปีแล้วค่อยปล่อยออกมาอะไรประมาณนี้...!
ถาม : อย่างพวกเหรียญปลาไหลเผือกละคะ ?
ตอบ : พวกปลาไหลช่วยอะไรไม่ได้ คนละอย่างกัน อันนั้นเอาไว้หนี พวกหัวใจปลาไหลเผือกนี่เป็นวิชาเดียวที่อาตมาขอเรียนแล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ให้
อาตมาไปงานที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว พระครูปลัดนัทกฤตท่านบอกว่า "หลวงพ่อช่วยเสกเหรียญปลาไหลให้หน่อยครับ" ก็บอกท่านไปว่า “เอ็งรู้ไหม ? นี่เป็นวิชาเดียวที่ข้าขอเรียนแล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่สอนให้ ท่านบอกว่าลูกข้าถ้าหนีเขามันขายหน้า ต้องสู้โว้ย..!" เพราะฉะนั้น...วิชาหนีเขาอย่างวิชาปลาไหลท่านไม่ให้หรอก” ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอะไร ต้องอาราธนาพระท่านให้ช่วยสงเคราะห์แทน เพราะว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้อยู่แล้ว
ถึงแม้เราจะไม่ได้วิชามาตามหลักโดยตรง ก็อาศัยพุทธคุณเข้าไปช่วยแทน แล้วเรื่องประเภทหนีเขานี่ก็ต้องดูด้วยนะ เพราะว่าถ้า ๑๓ คน หนีรอดมาได้แค่คนหนึ่งก็เกินไป
ถาม : พระขรรค์เล่มเล็ก ๆ เป็นวัตถุมงคลกันอาถรรพ์ได้ไหมคะ ?
ตอบ : เป็น...แต่ว่าพระขรรค์เล่มเล็ก ๆ หายาก พระขรรค์หลวงปู่เงิน วัดพระปรางค์เหลือง พระขรรค์หลวงปู่แจ่ม วัดวังแดงเหนือ พระขรรค์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เล่มเล็ก ๆ ท่านไม่ค่อยทำ พระขรรค์ของหลวงปู่เงิน วัดพระปรางค์เหลือง ท่านทำสวยมาก ๆ เห็นแล้วหลงเสน่ห์เลย
หลวงปู่เงินท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์อีกทีหนึ่ง ท่านทำพระขรรค์แต่มีน้อยมาก กว่าจะหลุดมาได้สัก ๓ เล่ม ๕ เล่มนี่ลูกศิษย์รอกันตายไปข้างหนึ่ง เพราะว่าถ้าหาวัสดุไม่ได้อย่างใจท่านก็ไม่ทำ ฤกษ์ไม่ได้อย่างใจท่านก็ไม่ทำ
เรื่องที่เด็กทีมหมูป่าไปเจอมานี่ยังถือว่าเป็นภัยธรรมชาติ ก็คือน้ำป่าหลากมา แต่ที่อาตมาเจอบอกไม่ถูกว่าคืออะไร ตอนนั้นไปด้วยกัน ๓ คน เข้าไปสำรวจถ้ำ ก็เดิน ๆ ๆ ลึกเข้าไป ๆ ไปไกลพอสมควร เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจมากกว่านี้แล้ว...ก็กลับดีกว่า หันหลังกลับมา เหวอพร้อม ๆ กันเลย..! ทางที่เข้ามาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ? เป็นผนังหินตัน ๆ เลย แล้วเมื่อครู่กูเดินมาทางไหนนี่ ?
ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเอง คนอื่นมาเล่าให้ฟังก็ไม่เชื่อเขา แล้วตอนเข้าเราเข้าไปอย่างไร ? แล้วจะทำอย่างไรดี ? ถอยหลังไม่ได้แล้ว ก็ต้องขึ้นหน้าไปเรื่อย ๆ ตะเกียกตะกายไป มุดบ้าง ลอดบ้าง ปีนบ้างไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดไปเจอรอยแตกพอที่จะตะแคงตัวออกมาได้ นั่นยังดีนะ...แล้วถ้าหากว่าหายเข้าไปแล้วออกไม่ได้นี่ไม่มีใครหาเจอเลย เพราะว่าทางไม่มี แต่ตอนที่เข้าไปนี่เห็นเป็นปากถ้ำใหญ่ ๆ เลย เดินเข้าไปแล้วงงมาก
อาตมาเองอาศัยว่าไม่กลัวก็ไปได้เรื่อย ๆ ไปถ้ำองจุนี่มุดอยู่คนเดียว กระดืบ ๆ เข้าไป เดี๋ยวก็กลายเป็นห้องโถงใหญ่ ๆ อีกแล้ว สวยงามมาก มุดซ้าย มุดขวา แล้วเดี๋ยวก็มีซอกเข้าไป อ้าว...กลายเป็นห้องโถงใหญ่อีกแล้ว แล้วถามว่าทำอย่างไร ? ก็จำเอา..ถึงเวลาไปทางไหนเวลามุดจะมีรอยลากพื้นอยู่แล้ว ถึงเวลาก็กลับทางเดิม แล้วโดยเฉพาะอาตมาไปไหนจะมีเทียนไปด้วย ถึงเวลาผ่านมาจากช่องไหนก็จุดเทียนตั้งเอาไว้ต้นหนึ่งแล้วก็ไปต่อ เทียนต้นหนึ่งอยู่ได้เป็นชั่วโมงอยู่แล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของภาษาอังกฤษ เมื่อตอนอบรมค่ายพุทธบุตรช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา อาตมาก็ยังเน้นย้ำกับเด็ก ๆ ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าช่วยเปิดโลกของเราให้กว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะวิชาการทางด้านที่เราต้องค้นคว้าจริง ๆ ทางอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้ภาษาอังกฤษ คราวนี้เราจะได้เห็นว่า เด็กทีมหมูป่านี่สามารถคุยกับฝรั่งรู้เรื่อง ก็เป็นหน้าเป็นตาเหมือนกัน ขนาดสื่อญี่ปุ่นเอาไปลงกันใหญ่ บอกว่า โอ้โฮ...ขนาดเด็กของไทยคุยกับฝรั่งรู้เรื่อง ดูท่าการศึกษาของไทยจะไปไกลกว่าญี่ปุ่นแล้วกระมัง ? หารู้ไม่ว่าไปเจอเด็กรับแขกเข้าพอดี
อาตมาเองเป็นคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ก็พยายามกระตุ้นบรรดาท่านผู้อำนวยการต่าง ๆ ให้เห็นความสำคัญ โดยเฉพาะโรงเรียนทองผาภูมิวิทยานี่อาตมาจะมีทุนระดับปริญญาตรีต่อเนื่อง ถ้าใครสอบได้ก็คือส่งเรียนจนจบเลย ให้ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท ปรากฏว่าปีนี้ผลที่ออกมาน่าชื่นใจมาก ในการสอบแข่งขันโดยใช้ข้อสอบกลางทั่วประเทศในเขตพื้นที่การศึกษา
ปรากฏว่าโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาที่เป็นโรงเรียนบ้านนอกสุดกู่ปลายตะโกน อยู่อันดับที่ ๕ ของ ๔๕ โรงเรียน โรงเรียนที่ชนะได้ในจังหวัดกาญจนบุรีมีแค่ ๒ โรงเรียนเท่านั้น ก็คือโรงเรียนวิสุทธรังษี กับโรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ ซึ่งทั้งสองโรงเรียนนี้ เด็กที่เข้าเรียนต้องจ่ายค่าเทอม ๆ ละ ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท แต่เด็กของเราที่เรียนฟรีชนะโรงเรียนอื่น ๆ แบบจี้ติดตูดเขามาเลย แล้วเด็กที่เข้าเรียนค่าเทอม ๒๐,๐๐๐ กว่า ก็ต้องมีศักยภาพพอเขาถึงไปเรียนได้ แต่เด็กบ้านนอกของเรานี่สามารถอยู่ในระดับเดียวกับเขาได้"
"ตอนนี้กำลังสอบแข่งขันวิชาการระดับประเทศอยู่ ถ้าชนะแล้วเขาจะไปต่อระดับโลก เด็ก ๆ เขาบอกว่าถ้าเขาได้ไปต่างประเทศ ขอหลวงตาช่วยออกค่าเครื่องบินให้หน่อย บอกเขาว่า "รู้ไหมว่าหลวงตาเอาใจช่วยเอ็งสุดชีวิตเลยให้ไปได้ เพราะหลวงตาอยากเสียค่าเครื่องบิน..!" เพราะเป็นชื่อเสียงของโรงเรียนและของอำเภอเราด้วย
แต่ว่าตอนที่เขาสอบชิงทุนหลวงตานี้แย่มากเลย คะแนนต่ำสุด ๆ ถามผู้อำนวยการทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? ผู้อำนวยการท่านสรุปว่า "เราออกข้อสอบยากกว่าข้อสอบกลางเยอะมาก" ก็เลยบอกท่านว่า "ถ้าอย่างนั้นให้รักษาระดับของเราเอาไว้ เพราะว่าถ้าของเรายากระดับนี้ พอถึงเวลาไปที่อื่นแล้วจะสบาย" เพราะข้อสอบกลางเขาสอบด้วยข้อสอบเดียวกันทั่วประเทศ แล้วเด็กเราสู้เขาได้ในระดับนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจมาก ก็เล่นเอาในเมืองเขาตกอกตกใจกัน เด็กบ้านนอกสุดกู่ปลายตะโกน เรียนมาตรฐานเดียวกับในเมืองเลย แล้วเป็นมาตรฐานเดียวกับในเมืองที่เขาดีหนึ่งประเภทหนึ่งด้วย
เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ แวะไปหาท่านผู้อำนวยการ เขากำลังประชุมครูกันอยู่ เข้าไปถึงก็ทักเป็นภาษาอังกฤษ ปรากฏว่าทุกคนตะลึง พระอาจารย์มาถึงได้อย่างไร ? แล้วท้ายสุดก็เลยลืมตอบภาษาอังกฤษ ตอบภาษาไทยกันหมด บอกเขาว่า "แย่มากเลย ก็เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะเน้นภาษาอังกฤษ แล้วทำไมไม่ใช้ ?" เราต้องนำเด็ก ถ้าเป็นไปได้ก็คือให้เด็กเขาใช้ภาษาอังกฤษในช่วงเวลาอยู่ที่โรงเรียน กลับบ้านแล้วเขาค่อยใช้ภาษาไทย ถ้าเราทำลักษณะอย่างนั้นท้ายสุดหูเขาจะชินกับภาษา พอหูเขาชินกับภาษาต่อไปจะตอบโต้จะอะไรก็ทันกาล"
"เรื่องของภาษานี่ช่วยได้เยอะ อาตมาพยายามบอกกับพวกเด็ก ๆ กะเหรี่ยง เด็กมอญ ฯลฯ ว่าอย่าทิ้งภาษาตัวเอง การที่เรารู้มากกว่าคนอื่นภาษาหนึ่งเป็นข้อได้เปรียบ แล้วอย่าอายที่เรามีชื่อมอญ ชื่อกะเหรี่ยง เพราะว่าแสดงออกซึ่งความเป็นตัวตนของเรา
แต่ส่วนใหญ่ระยะหลังนี้เขาไม่เอาแล้ว ประเภทชื่อมอญ ชื่อกะเหรี่ยง จ่อแฮเจ โจคะเร่ย ไม่มี นอเท่ยมะ นอเฮ่อเมอะ อูเวียเบ่อ ไม่มี เดี๋ยวนี้เขามีพัชราภา สาวิกา ณเดช กูจะบ้า...! ล่าสุดนี่ไปเข้าร่วมเสวนาวิถีชีวิตของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง เด็กกะเหรี่ยงที่มาชื่อน้องกิ๊ฟท์ อื้อฮือ...อยากจะบีบคอให้ตาย...! ส่วนที่เข้าร่วมมีใคร ? มีน้องโดนัท...! ช่วยรักษาความเป็นตัวตนของตัวเองหน่อยจะได้ไหม ?
อาตมาเองจนกระทั่งเรียนมัธยมจะจบอยู่แล้วก็ยังใช้แซ่อยู่เลย ไม่เห็นต้องอายใคร แล้วเราพูดจีนได้ด้วย ปรากฏว่าพี่มุกดาแอบไปเปลี่ยนนามสกุลให้ โกรธแกฉิบหา..เลย โกรธไปเป็นปีเลย แอบไปเปลี่ยนแซ่เป็นนามสกุลให้ เพราะว่าตัวเองเปลี่ยน ก็เลยฉวยโอกาสเปลี่ยนให้น้องไปด้วย อย่างคุณมุกดาเมื่อครู่ที่มากับคุณวัชรินทร์ ถ้าถึงเวลาพูดอะไรไม่อยากให้ลูกรู้ แกจะพูดภาษาจีนกับอาตมา ลูกก็นั่งฟังตาปริบ ๆ ไป หลวงพ่อกับแม่คุยอะไรกันวะ ?
ตอนเด็กอาตมามีความเป็นเชื้อชาติจีนแรงมาก เพราะว่าช่วงนั้นพวกที่อพยพเข้ามายังเยอะอยู่ ถ้าเราไม่พูดจีนผู้ใหญ่เขาจะดุเอา แล้วบางทีก็ตีด้วย พอไปโรงเรียนครูก็ตี บังคับให้พูดภาษาไทย ก็เลยต้องกลายเป็นว่าอยู่บ้านต้องพูดจีน อยู่โรงเรียนต้องพูดไทย แล้วเรื่องของภาษานี่ถ้าอายุเกิน ๕ ขวบแล้วจะไม่ได้สำเนียง ลิ้นไม่ไปแล้ว ทุกวันนี้เวลาอาตมาพูดจีนแล้วคนอื่นเลียนแบบ บางทีขำก็ขำ คือลิ้นเขาแข็งไปไม่ได้ พยายามพูดช้า ๆ ให้เขาเลียนแบบก็เลียนไม่ได้ เพราะว่าบางคำเป็นคำกล้ำ ไม่ใช่คำตรง ๆ แบบภาษาไทย ซึ่งถ้าไม่ใช่เจ้าของภาษาจะออกเสียงไม่ได้"
ถาม : สังเกตเวลามีข่าวถึงพระสงฆ์ คนก็ไม่ศรัทธา เวลาพูดถึงพระ เขาพูดด้วยความไม่เคารพ ?
ตอบ : เขายังไม่เห็นสังฆคุณ ในเมื่อยังไม่เห็น ก็ยังไม่ให้ความเคารพเชื่อถือ
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพระผู้ใหญ่หลายท่านเดินทางไปศาสนกิจที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการประชุมพระธรรมทูต แล้วยังไม่กลับประเทศไทย เพราะรอดูทีท่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคณะสงฆ์ไทย ต้องบอกว่าตำแหน่งใหญ่ผลกระทบก็มาก โดยเฉพาะถ้ามีการพระราชทานตั้งใหม่หมดเลย ทั้งกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค ซึ่งกฎหมายบอกว่าแล้วแต่จะทรงมีพระราชดำริเป็นประการใด
แม้กระทั่งเจ้าอาวาสทั่วประเทศก็โดนโยนไปเป็นพระราชภาระไปแล้ว ภาษาทหารเขาบอกว่า "ไปดึงฟ้าต่ำ" ทหารนี่เขาให้ท่องจำไว้เลยว่า "อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน" เป็นเรื่องที่ทำแล้วถ้าไม่ใช่โง่สุด ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องของกบฏ อาจจะถึงขนาดตายกันอย่างชนิดสิ้นโคตร เขาก็เลยให้ท่องจำเอาไว้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ระยะหลังเขาปลอมกันเยอะ เล่นยาก ถ้าตาไม่ดีจริง ๆ อย่าไปเสี่ยง โปรดระมัดระวังเอาไว้ด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเทคโนโลยีการหล่อแก้วยังไม่ดีพอ อาตมาซื้อแก้วเจียระไนของฝรั่งเศสเพื่อเอามาทำกรรมฐาน เป็นลูกแก้วกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐ เซนติเมตร ราคา ๔๖,๐๐๐ บาท สมัยนี้ขนาดนั้น ๓๐๐ บาทก็ซื้อได้แล้ว
แก้วลูกนั้นอาตมาเอาไว้ฝึกอาโลกกสิณ ก็คือกสินแสงสว่าง ซึ่งสามารถใช้ลูกแก้วแทนได้ อาตมาจำได้ว่าปีที่ซื้อนั้น ทองคำเพิ่งจะบาทละ ๓,๗๐๐ แต่ว่าลูกแก้วลูกนั้น ๔๖,๐๐๐ พูดง่าย ๆ เงินเก็บที่มีหายไปครึ่งหนึ่งเลย แต่ก็ซื้อเพราะว่าเป็นขนาดที่พอดีกับที่ตนเองต้องการ คือประมาณ ๑๐ เซนติเมตร
เดี๋ยวนี้บ้านเรา ขนาดฟุตหนึ่ง ๓๐ เซนติเมตรยังราคาแค่ ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาทเอง แต่สมัยก่อนเทคโนโลยีแบบนี้เป็นของทางยุโรป โดยเฉพาะของสวารอฟสกีนี่จะโด่งดังมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนที่กล่าวถึงเรื่องเด็กติดอยู่ในถ้ำ ว่าถ้าพวกเราไปป่าไปเขา ควรจะพกวัตถุมงคลประเภทที่ผีหรือเทวดาเขาเกรงใจไปด้วย ยังไม่ได้กล่าวถึงเครื่องรางประเภทรูปเสือรูปสิงห์
เครื่องรางรูปเสือรูปสิงห์จริง ๆ แล้วเป็นไปในทางมหาอำนาจ ค่อนข้างจะไปทางนักเลง พูดง่าย ๆ ก็คือจะไปกร่างกับเขา คราวนี้ถ้ากร่างมาก ๆ เจ้าถิ่นไม่พอใจก็จะ "ตื้บ" เอาเหมือนกัน ต่อให้รักษาตัวได้ ก็น่าจะอ่วมออกมา
เครื่องรางรูปเสือบ้านเราที่โด่งดังที่สุดราคาระดับ ๑๐ ล้านบาทในปัจจุบันนี้ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีพระราชหัตถเลขากล่าวถึงเอาไว้ในการเสด็จประพาสต้น
รองลงไปก็เป็นของหลวงพ่อเฮง วัดเขาดิน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ ก็กล่าวถึงไว้เหมือนกันว่ามีทั้งแหวนพิรอด แล้วก็เครื่องรางรูปสัตว์
รองลงไปอีกก็เป็นหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ต้องบอกว่าลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยเอง
แล้วที่เหลือก็โด่งดังไกลออกไป อย่างเช่นว่าหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เป็นต้น ส่วนรุ่นหลัง ๆ รอง ๆ ลงมาที่เขาเล่นหากัน ก็มีหลวงพ่อสาย วัดบางเหี้ย อันนี้สืบสายจากหลวงปู่ปานโดยตรงเลย เพราะว่าเป็นลูกศิษย์ที่อยู่กับวัด หลวงพ่อนก วัดสังกะสี ยังอยู่คนละวัดกัน"
"เสือของหลวงปู่สาย วัดบางเหี้ย ต้องบอกว่าทำได้ใกล้เคียงกับพระอาจารย์ แต่ราคาถูกกว่าเป็นร้อยเท่า ราคา ๒๐,๐๐๐ - ๓๐,๐๐๐ บาท ยังหาได้อยู่ แต่ของพระอาจารย์นี่หลายแสนถึงหลายล้าน
ถัดมาก็จะเป็นเสือของหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส และอีกท่านหนึ่ง มั่นใจว่าญาติโยมไม่เคยได้ยิน ที่มั่นใจว่าญาติโยมไม่เคยได้ยินเพราะว่าเครื่องรางของท่านลูกศิษย์เก็บหมด แทบจะไม่มีหลุดออกจากตลาดมาเลย ก็คือ ของหลวงพ่อโสม วัดโคกพระศิลาราม จังหวัดชลบุรี อันนี้ก็สืบสายไปจากทางด้านหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ส่วนหลวงปู่ชิต วัดมหาธาตุเพชรบุรี ก็ทำเครื่องรางรูปเสือเหมือนกัน
จริง ๆ แล้วทางด้านภาคตะวันออกของเรามีระดับเสือซุ่มมังกรซ่อนอยู่เยอะมาก แต่พวกเราไม่ค่อยรู้จักกัน ในเมื่อพวกเราไม่ค่อยรู้จัก จึงมองข้ามของดีไปอย่างน่าเสียดาย ก็อย่างที่บอกคือ หลวงพ่อโสม วัดโคกพระศิลาราม หลวงพ่อสุ่น วัดแหลมสิงห์อย่างนี้"
"อีกท่านก็คือหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถ้าหากว่าแกะศิลปะเดียวกัน บางทีของเก่าใกล้เคียง เขาตีเป็นของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยได้เลย แต่บังเอิญว่าช่างแกะคนละคนกัน ฝีมือต่างกันไป
ของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย เราไปคุ้นกับลักษณะ หูหนู หน้าแมว ตาลูกเต๋า เขี้ยวโปร่งฟ้า ใช่ไหม ? แต่จริง ๆ แล้วของหลวงปู่ปาน ยังมีศิลป์วัดกลางอีก มักจะแกะเป็นเสือเหลียวบ้าง เสือโห่บ้าง ซึ่งถ้าจำลายมือหลวงปู่ไม่ได้ก็เสียของดีไปเลย เพราะไปคิดว่าไม่ใช่
แบบเดียวกับหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส เราก็จะเคยชินกับเสือนั่ง เสืออุ้มทรัพย์ ถ้าไปเจอฝีมืออาจารย์ถนอมนี่แกะเป็น เสือลากหาง แกะสวยมาก ๆ แต่เราจะไปคิดว่าไม่ใช่ของท่าน
เครื่องรางรูปสิงห์นี่อันดับหนึ่ง ต้องหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ ของท่านจะเป็นสิงห์สามขวัญ สิงห์กรอบกระจก สิงห์มหาดไทย ราคาเป็นแสนทั้งนั้น
รองลงมาก็สิงห์หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว สิงห์หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว สิงห์หลวงพ่อเฮง วัดเขาดิน สิงห์หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หรือรุ่นหลัง ๆ อย่างสิงห์หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามก็มี รุ่นหลังประเภทใหม่เอี่ยมเลยก็หลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม"
"ถ้าหากว่าเป็นพวกตะกรุดหนังหน้าผากเสือ เขานับอันดับหนึ่งเป็นหลวงปู่นาค วัดอรุณฯ แต่ไม่รู้ว่ารุ่นอาจารย์ยังมี รุ่นอาจารย์ของหลวงปู่นาค วัดอรุณฯ ไม่น่าเชื่อว่าท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ คือ สมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดสุทัศน์เทพวราราม
หลวงปู่สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้ตำรามาจากพระคุณวงศ์ วัดปรมัยยิกาวาส วัดปรมัยยิกาวาสนี่วัดมอญแท้ ต้นตำราเครื่องรางของขลังสายมอญส่วนใหญ่สืบสายมาจากสมเด็จพระพนรัตน วัดป่าแก้ว ก็คือพระมหาเถรคันฉ่องสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
คราวนี้จากพระคุณวงศ์ เราก็จะสงสัยว่าพระคุณวงศ์ (คุน - วง) หรือพระคุณวงศ์ (คุ - นะ - วง) เป็นตำแหน่งอะไร นี่เป็นตำแหน่งพระราชาคณะเทียบเท่าเจ้าคุณชั้นเทพ ซึ่งทางด้านพระสายรามัญหรือสายมอญจะได้รับ ทางสายมอญปทุมธานี นนทบุรี ก็กระจายออกไปทางหลวงพ่อสว่าง วัดเทียนถวาย ทางด้านกรุงเทพฯ มาถึงหลวงปู่สมเด็จพระวันรัต วัดสุทัศน์ฯ แล้วก็กระจายออกเป็นอีก ๒ สาย
สายหนึ่งก็ไปที่พระพิมลธรรม คือหลวงปู่นาค วัดอรุณราชวราราม เพราะว่าท่านเรียนบาลีที่วัดสุทัศน์ฯ แล้วอีกสายหนึ่งก็คือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ได้ไปจากสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) แล้วก็ทางด้านหลวงพ่อชิต วัดมหาธาตุเพชรบุรีได้ไป สายนั้นก็กระจายกันออก ทางด้านหลวงปู่บุญก็ออกไปเป็น หลวงพ่อโสม วัดโคกพระศิลาราม หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ทางด้านสายหลวงพ่อชิตก็ออกไปทางด้านหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง"
"พวกวิชาการต่าง ๆ สมัยก่อนเขาถึงกันหมด ก็คือ ใครเก่งใครดังเรื่องอะไร ลูกศิษย์จะธุดงค์ไปเพื่อศึกษาเล่าเรียนด้วย แบบเดียวกับหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ไปศึกษาวิชาทำธงกันไฟไหม้ กันฟ้าผ่ามาจากสายแม่กลองก็คือหลวงพ่อพ่วง วัดลิงโจน แล้วก็เรียนวิชาทำหวายคาดเอว วิชาหวายคาดเอวนี่นอกจากอยู่ยงคงกระพัน กันเขี้ยว กันงาแล้ว ยังมีพิเศษอยู่ คือ ถ้าอยู่ในทะเลหาน้ำกินไม่ได้ อธิษฐานแล้วโยนลงไป ตักน้ำจากวงหวายจะได้เป็นน้ำจืด
ทางสายนี้มีหลวงพ่อพ่วง วัดลิงโจน หลวงพ่อทิม วัดบางลี่น้อย เขาเรียกสายแม่กลอง สายอัมพวา สายมหาชัย อะไรก็แล้วแต่จะเรียกไป"
ถาม : แล้วหลวงพ่อแตง วัดอ่างศิลาครับ ?
ตอบ : นั่นระดับปรมาจารย์ เป็นรุ่นอาจารย์ของทางด้านหลวงปู่ทาบอีกที ทางด้านหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง เป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา สายนั้นมาสายเหนียวโด่งดังมาก โดยเฉพาะยันต์กระบองไขว้ แต่แปลกที่ว่าหลวงพ่ออ่ำกับหลวงพ่อทาบไปเรียน ได้แต่สายมหาเสน่ห์มา
หลวงพ่ออ่ำได้แพะมหาเสน่ห์ หลวงพ่อทาบได้สีผึ้ง เรียนอยู่ยงคงกระพันไม่สำเร็จ ถึงเวลาเสกเสือวิ่งเข้าป่า เรียกคืนไม่ได้ ทางด้านสายหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย เรียกเสือคืนได้ หลวงพ่อหอม วัดชากหมากนี่ปล่อยให้กัดกันเองให้ดูก่อนด้วย
สรุปว่าพระสมัยก่อนเขาเอาจริง เอาจริงในเรื่องไสยเวทย์อาคม เรื่องของฌานเรื่องของสมาบัติ ส่วนพระสมัยนี้เอาจริงเรื่องการเรียน เรียนหนังสือเอาปริยัติเข้าว่าเพราะว่าไม่ยาก ส่วนเรื่องปฏิบัติยาก ไม่ค่อยจะเอากัน อาตมาเป็นปลา ๒ น้ำ จะไปปริยัติก็ได้ จะไปปฏิบัติก็ได้ เลยครึ่ง ๆ กลาง ๆ สะเทินน้ำสะเทินบกอย่างไรไม่รู้
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้อะไรต่อมิอะไรง่ายขึ้นมาก สมัยอาตมาใช้คอมพิวเตอร์ใหม่ ๆ ช่วงนั้นเป็นเวิร์ดจุฬา ถ่ายข้อมูลแค่ไม่กี่เมกะไบต์นี่รอกันครึ่งค่อนวัน สมัยนี้ถ่ายข้อมูลกันทีหนึ่งหลาย ๆ สิบกิ๊กกะไบต์ แค่ไม่กี่นาที ซึ่งสมัยก่อนถ้าข้อมูลระดับกิ๊กกะไบต์นี่นอนรอไปได้เลย ๓ ชั่วโมงไม่เสร็จแน่นอน ด้วยความที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น กำลังใจของเราก็เลยพลอยมักง่ายขึ้น
คำว่ามักง่ายขึ้นในที่นี้ก็คือ ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ความจริงแล้วเป็นการสั่งสม ศีล สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคน ทีละเล็กทีละน้อย เก็บสะสมไป จนกระทั่งเพียงพอต่อการใช้งาน เหมือนที่โบราณท่านบอกว่า เหมือนเก็บงาทีละเมล็ด นานไปก็มีเมล็ดงามากพอที่จะคั้นเอาน้ำมันไปใช้การได้
แต่พวกเราใจร้อนตามยุคตามสมัย ไม่ค่อยจะมีความอดทน ก็เลยทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ใจร้อนใจเร็วเกินไป หลายคนมาถามเรื่องการฝึกกสิณว่า ผมภาวนาจับภาพพระนานเป็นชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย อาตมาบอกว่าให้กลับไปอ่านตำราใหม่
ตำราเขาเขียนว่าการฝึกกสิณนั้น เมื่อได้วัตถุที่เป็นองค์กสิณมาแล้ว ตั้งไว้ในสถานที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป ลืมตามองวัตถุนั้น แล้วหลับตาลงจำภาพไว้ แล้วใช้คำภาวนาตามกองกสิณนั้น ๆ เมื่อภาพหายไปก็ลืมตาขึ้นมองจดจำไว้ใหม่ หลับตาลงนึกถึงแล้วภาวนาต่อไป ทำอย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ไม่ใช่ทำไม่กี่ครั้ง หรือไม่ใช่ทำเป็นชั่วโมง แต่ทำเป็นหลาย ๆ ปี หรือหลาย ๆ สิบปี"
"สมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วใจร้อน ใจเร็ว เห็นพระเป็นผู้วิเศษ จะให้เสกเป่าทีเดียวแล้วบรรลุมรรคบรรลุผล สำเร็จอภิญญา สำเร็จสมาบัติไปเลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ของทุกอย่างต้องใช้ความอดทนอดกลั้น ค่อย ๆ ปฏิบัติไป เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลยก็คือ ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา
ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง คำว่า ตบะ คือการบำเพ็ญเพียร ซึ่งสมัยก่อนเขามีการทรมานตัวเอง ถือว่าเป็นการบำเพ็ญตบะ เพื่อให้เทพเจ้าพอใจและประทานพรให้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตบะของพระพุทธศาสนา คือความอดทนอดกลั้น ก็แปลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้ความอดทนอดกลั้นนำหน้าไว้ก่อน"
"โลกนี้ไม่มีอะไรฟรียังไม่พอ ยังไม่มีอะไรง่ายอีกด้วย ที่เห็นคนอื่นเขาทำง่าย ๆ นั่น เขายากมาไม่รู้เท่าไรแล้ว พระพาหิยทารุจีริยะเป็นเอตทัคคะ คือ ผู้เป็นเลิศในการบรรลุเร็ว ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแค่สั้น ๆ ว่า "พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป" เท่านั้นเองก็บรรลุแล้ว
แต่มีใครศึกษาประวัติย้อนหลังไปบ้างว่า ชาติที่แล้วท่านถึงขนาดอดตาย ขึ้นไปบนถ้ำที่ยอดเขา แล้วถีบบันไดทิ้ง ถ้าปฏิบัติไม่สำเร็จ เหาะไม่ได้ ก็ให้อดตายไปเลย นั่นท่านอดตายมาแล้ว ก็แปลว่าที่ยากของท่านนั้น ท่านสั่งสมมาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ จนกระทั่งถึงเวลาเกิดดอกออกผล เราก็ไปเห็นว่าง่าย แต่ความจริงกว่าจะเกิดดอกออกผลนี่ต้องใช้เวลานาน
อย่างเช่นเราปลูกไม้ผล ก็ต้องใช้เวลา ๓ ปี ๕ ปีเป็นอย่างน้อยกว่าที่จะติดลูก แม้ว่าเทคโนโลยีสมัยนี้จะสามารถเร่งรัดได้ ยังต้องใช้เวลานานอยู่ดี ไม่ใช่ปลูกโดยวิชาตัชชารี หย่อนเม็ดลงไป ๕ นาที ได้กินลูก ลักษณะแบบนั้น ต้องสำเร็จไปอย่างหนึ่งแล้วถึงจะทำได้"
ถาม : ทำไมหลวงพ่อเดิมจึงสร้างพระรอดคะ ?
ตอบ : บางทีเวลาศึกษาวิชามาก็อยากจะลองดูว่าทำได้สำเร็จจริงหรือเปล่า ? บางอย่างทำแล้วเป็นที่ต้องการก็ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าทำแล้วไม่เป็นที่ติดตลาด ก็ต้องเลิกแค่นั้น
ถาม : การใช้วัตถุมงคล เราต้องวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ศรัทธามาก่อน ชีวิตนี้ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้ว นอกจากวัตถุมงคลชิ้นนั้น ถ้าทุ่มเทจิตศรัทธาขนาดนั้น ใช้วัตถุมงคลอะไรก็ได้ผล
ถาม : การที่เราวางกำลังใจใกล้เคียงกัน แต่ความรู้สึกที่เราจับวัตถุมงคลนั้นไม่เท่ากันเป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นความรักชอบส่วนตัว อย่างเช่นว่าถ้านิสัยนักรบก็จะชอบอาวุธมากกว่า เพราะฉะนั้น...ถ้าใช้มีดหมอก็จะมีอานุภาพมากกว่า หรือว่ารู้สึกผูกพันมากกว่า
ถาม : การใช้น้ำมันชาตรี เจ็บเต็มที่แต่ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยช้ำอะไรเลย ?
ตอบ : ก็ได้แค่นั้น สภาพจิตรับได้แค่ไหนก็ได้ผลแค่นั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนแก่ก็มีดีของคนแก่ แต่ถ้าในแง่ผู้ปฏิบัติธรรมคนแก่จะลำบากกว่า ลำบากตรงที่ว่าวัยวุฒิคือมากด้วยอายุ คุณวุฒิคือมากด้วยประสบการณ์ความรู้ ก็จะเกิดความถือตัวถือตนโดยอัตโนมัติ
ต้องพยายามมองให้เห็น นึกให้ได้ว่า เราแก่มากเท่าไรก็คือใกล้ตายเท่านั้น แปลว่าเราไม่มีอะไรดีกว่าเด็ก ๆ เลย เพราะว่าเด็ก ๆ เหมือนกับกำลังก้าวไปสู่ความรุ่งโรจน์ ก้าวเข้าไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต แต่เราเองเป็นพระอาทิตย์ยามบ่ายหรือยามเย็น กำลังจะตกดินลับฟ้าอยู่แล้ว ถ้าสามารถพิจารณาเห็นอย่างนี้ได้ ก็จะทำให้ลดเรื่องทิฐิมานะลงไปได้มาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรือนักท่องเที่ยวจมที่ภูเก็ต ตอนนี้ที่ตายแล้วเจอศพแน่ ๆ ๓๘ ศพ หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อใส่เสื้อชูชีพแล้วทำไมถึงยังจมน้ำตาย ? ก็ต้องบอกว่าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน อย่างแรกก็คือ กัปตันเรือไม่ฟังว่าคลื่นลมแรง ห้ามออกจากฝั่ง ประการที่สอง เสื้อที่ใส่ไม่ใช่เสื้อชูชีพ แต่เป็นเสื้อช่วยพยุงตัวเท่านั้น
เสื้อชูชีพจริง ๆ ไม่ทราบว่าโยมเคยเห็นกันหรือเปล่า ? ถึงเวลาเราใส่แล้วท่อนบนจะพองลมมากเลย อย่างนั้นจะบังคับให้เราลอยแหงนหน้าอยู่ตลอด ส่วนเสื้อพยุงตัวที่ข้างในเป็นแผ่นโฟมนั่นแล้วแต่เวรแล้วแต่กรรม จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้ แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ เวลาคลื่นม้วนตัวจะเกิดแรงกวาดดึงเราลงใต้น้ำ ถ้าคนที่ไม่มีความชำนาญในการอยู่ใต้น้ำ หรือเผชิญสภาพคลื่นลมแรงจริง ๆ จะไม่รู้ว่าควรหายใจจังหวะไหน ถ้าหายใจเอาน้ำเข้าปอดไปก็ตายเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์
ทุกวันนี้ที่เขาบอกว่าเป็นเสื้อชูชีพ นั่นไม่ใช่นะ เป็นแค่เสื้อพยุงให้เราลอยตัวได้เฉย ๆ"
"หลังวัดท่าขนุนเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็จมน้ำตายลักษณะแบบนี้แหละ เกิดจากบริษัทท่องเที่ยวโลภมาก รู้อยู่ว่าฤดูนั้นน้ำแรงมาก แต่ปล่อยให้เขาล่องเรือแคนูกัน เด็กก็ไม่สามารถบังคับเรือได้เพราะว่ากำลังไม่พอ ไปชนตอม่อสะพานแขวนวัดท่าขนุน ตกลงไปในน้ำทั้งที่ใส่เสื้อพยุงตัวอยู่ ต้องบอกว่าถึงวาระของเด็ก เพราะว่าพ่อก็ตั้งใจช่วยคว้าเสื้อเอาไว้ เด็กหลุดไปกับน้ำติดมือมาแต่เสื้อ คนเป็นพ่อร้องไห้เหมือนเป็นบ้า ขึ้นมาแล้ววิ่งไปวิ่งมาอยู่บนสะพานแขวน ไม่รู้ว่าจะช่วยลูกอย่างไร เพราะว่าน้ำลึกและแรงมาก
ถามว่าน้ำลึกแค่ไหน ? สะพานแขวนวัดท่าขนุนสูงแค่ไหน ตอนนั้นน้ำห่างสะพานคืบเดียว ก็เลยต้องขอให้ทางการไฟฟ้าปิดเขื่อน แล้วก็ช่วยกันค้นหาอยู่คืนหนึ่งกับอีกเกือบวันก็ไม่เจอ ท้ายสุด "น้าวัฒน์" ที่เป็นกู้ภัย มายกมือไหว้บอกว่า "หลวงพ่อ...ขอยืมของหน่อย"
สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง อาตมาเอาปืนไปเข้าพิธีชาตรีไว้ ๕ กระบอก มีญาติโยมขอแบ่งไปหมด เหลืออยู่ ๒ กระบอกที่ทำอย่างไรก็โอนไม่ได้ เพราะว่าเป็นขนาด ๑๑ มม. ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ากฎกระทรวงบ้า ๆ ถือเป็นอาวุธสงครามหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ จึงโอนไม่ได้ ได้แต่เก็บเอาไว้เอง เคยเล่าให้น้าวัฒน์ฟัง น้าวัฒน์เลยบอกว่าขอยืมหน่อย คาดว่ามีอะไรที่ตั้งใจซ่อนศพ อาตมาต้องไปเอามาให้ยืม โดยที่บอกว่า "ระวังนะ...ถ้าพลาดแล้วศพมีรอยกระสุนนี่ มึงอธิบายเองเลยนะ"
ท้ายสุดน้าวัฒน์ยิงลงน้ำไป ๒ นัด ไม่ถึง ๕ นาทีก็งมเจอ แล้วก็อยู่ตรงที่พระผ่านแล้วผ่านอีก น้ำตื้น ๆ นั่นแหละ อาตมาถึงได้บอกว่าเข้าป่าเข้าถ้ำ ติดวัตถุมงคลที่บรรดาผีสางเทวดาเขาเกรงใจไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดเรื่องแบบเดียวกับที่หลงติดอยู่ในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนนั่นแหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อตอนบ่ายคุยกับท่านมหาเอว่า ของแค่ ๑๐๐ - ๒๐๐ ชิ้น อาจารย์จำได้ไม่อัศจรรย์หรอก เพราะว่ามีเสมียนคลังพัสดุชาวจีน สามารถจำของสองแสนกว่าชิ้นว่าเป็นอะไรอยู่ตรงไหนได้หมดเลย เจ้านายทดสอบให้ไปหยิบอะไรมา แกไม่ต้องเปิดคู่มือดู เดินไปหยิบมาหน้าตาเฉย สองแสนกว่าชิ้น...ฟังไม่ผิดหรอก ที่อาตมาจำได้เพราะว่ามีไม่เกิน ๒๐๐ ชิ้น เสมียนท่านนี้เป็นผู้หญิง อายุแค่ ๒๐ กว่าปี"
ถาม : กรณีที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ใช้วัตถุมงคลอะไรช่วยได้บ้างคะ ?
ตอบ : นั่งภาวนาให้น้ำลด...! ติดอยู่ข้างในไม่ต้องใช้อะไรหรอก ถ้าไม่ได้ติดก็ว่าไปอย่าง เดี๋ยวรอไปอ่านในเก็บตกเอาเอง บอกไปหมดตั้งแต่วันแรกแล้ว ถ้าขืนบอกซ้ำเดี๋ยวของวัดท่าขนุนราคาจะแพง ฉะนั้น..ห้ามบอก..!
ถาม : มีดหมอเล่มเล็กใช้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : จะเล็กจะใหญ่ก็ได้ แต่ดูด้วยว่ามาจากไหน ถ้าประเภทสมัยก่อนที่พยุหะคีรีทำเป็นหมื่นเป็นแสนเล่ม หลายวัดเหมาไป แล้วเที่ยวไปไล่แจกชาวบ้าน ถ้าแบบนั้นผีก็นั่งยิ้ม
ของบางอย่างถ้าไม่ใช่เรื่องของเราที่จะไปยุ่ง ต่อให้เราพกวัตถุมงคลดีขนาดไหนเขาก็ไม่แลหรอก อย่างมีดหมอของหลวงพ่อวัดท่าซุง ปกติไม่ต้องเข้าใกล้หรอก แค่เหยียบบันไดบ้าน ผีก็เผ่นไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ?
หลวงพี่บรรจง (พระบรรจง กวิวํโส) จากวัดท่าซุงไปโคราช แถววัดหลวงพี่มหาถวัลย์ (พระมหาถวัลย์ ฐิติโก) ซึ่งมรณภาพไปแล้ว ญาติโยมได้ยินว่ามีพระจากวัดท่าซุงมาก็รีบมานิมนต์ บอกว่ามีคนโดนผีเข้ามา ๕ วันแล้วไม่ยอมออก ใครมาไล่อย่างไรก็ไม่ออก หลวงพี่บรรจงรับนิมนต์ก็ไป ปรากฎว่าเหยียบบ้านแล้วผีก็ยังเฉย ๆ เดินเข้าใกล้ผีก็เฉย ๆ ท่านจึงตั้งใจอาราธนาพระ พอเอื้อมมือแตะมีดหมอในย่าม ผีเหลือบตามองแล้วบอกว่า "ท่านไม่ต้องยุ่ง" หลวงพี่บรรจงท่านก็ "เอ๊ะ..ชักอย่างไรแล้ว" ปกติถ้าผีทั่วไป พกมีดหมอวัดท่าซุง แค่เหยียบบันไดบ้านก็เผ่นแล้ว
ชาวบ้านก็บอกให้ช่วยไล่หน่อย "หลวงพ่อช่วยหน่อย" หลวงพ่อจงก็ต้องเอาใหม่ พอแตะมือถึงมีดหมอ ผีเหลือบตาบอกว่า "ท่านไม่ต้องยุ่ง" ท้ายสุดเลยต้องถอยมา ถามผีว่าเป็นเพราะอะไร เขาบอกว่า "ไอ้นี่ไม่เคารพเจ้าที่ เมาแล้วไปฉี่รดแล้วยังถีบศาลด้วย เลยตั้งใจดัดสันดานสัก ๗ วัน ฉะนั้น...รออีก ๒ วันเดี๋ยวไปเอง"
พอกลับมาถึงวัดท่าซุง อีกไม่กี่วันเป็นวันพระใหญ่ เข้าโบสถ์ไปลงฟังปาฏิโมกข์กัน ก่อนปาฏิโมกข์ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงลงก่อนเวลานิดหน่อย มีอะไรก็จะคุยกันตอนนั้น ท่านก็นั่งเป่ายานัตถ์ุ พอพวกเรามาครบท่านก็พยักหน้า "เป็นอย่างไร..บรรจง ? ดีนะไม่โดนตีนเข้า นั่นเป็นเทวดาไม่ใช่ผี"
คราวนี้เห็นหรือยังว่าถ้าเป็นเรื่องของเขา ต่อให้เราพกอะไรดีแค่ไหน ก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ฉะนั้น...บางคนพอมีวัตถุมงคลดี ประเภทผีและเทวดาเกรงใจแล้วไปซ่ากับเขา โปรดระวังไว้...อย่าเผลอ เผลอเมื่อไรจะได้คืนเยอะเลย..!
อาตมาเองโดนผีนั่งทับอกแล้วบีบคอ ก็มานึกว่า "เอ๊ะ...เราก็พกวัตถุมงคลเต็มกระเป๋า ทำไมไม่ช่วยเราบ้างเลยวะ...?" ตอนหลังได้กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านถามว่า "แกได้อาราธนาหรือเปล่า ?" "เปล่าครับ พกไว้เฉย ๆ" "ก็สมควรโดนแล้ว เทวดาท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ในเมื่อไม่ขอให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมองดูว่ามึงจะแน่แค่ไหน"
ดังนั้น...โปรดอาราธนาทุกครั้งก่อนที่จะออกจากบ้าน ต้องการให้ช่วยอะไรก็ว่าไปเลย แล้วจะรู้ว่าคำขอของเราไม่เคยรอบคอบพอ ท่านตะแคงข้างไปได้ทุกที อาตมาเองโดนมาเสียจนกระทั่งจำ ท้ายสุดต้องรอบคอบและครอบคลุมพอ ไม่อย่างนั้นตรงไหนให้เล็ดลอดไปได้ ท่านก็ไปของท่านได้หน้าตาเฉย พอไปต่อว่า ท่านก็บอกให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ลักษณะนั้นก็คือตั้งใจสอนเราให้ละเอียด รู้ระมัดระวัง ขอให้ช่วยเฉย ๆ ก็จบแล้ว ดันไปกำหนดอย่างนี้อย่างนั้น อันไหนอยู่นอกข้อกำหนดท่านก็เฉย ๆ นะสิ
พระอาจารย์กล่าวว่า “ลูกอมชานหมากหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา หายากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว คนมีก็หวงสุด ๆ เขาเชื่อว่ามีไว้แล้วจะกินไม่หมดใช้ไม่หมด ของอายุเป็นร้อยปีแล้ว กว่าอาตมาจะหาได้แต่ละลูกนี่ยากมากเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อครู่ที่อัญเชิญขึ้นไปไว้ที่บูชาข้างบน คือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงท่านสร้าง เป็นขนาดบูชาหน้าตัก ๕ นิ้ว ต้องบอกว่าเรื่องของพระปักเจกพุทธเจ้านี้ เป็นวีรกรรมที่หลวงตาวัชรชัย อาตมา และท่านอาจารย์สมปอง ช่วยกันทำจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
ช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๓๑ อาการป่วยไข้ของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหนักมาก พวกเราก็เลยคิดห่วงตัวเองว่า ถ้าหากปุบปับสิ้นหลวงพ่อท่านไปทางวัดจะลำบาก ควรจะมีกองทุนอะไรบางอย่างเอาไว้ นี่คือคิดแบบเด็ก ๆ ท้ายสุดก็คิดว่าเราร่วมกันภาวนาพระคาถาเงินล้านจนกระทั่งได้ผลมาแล้ว แต่ไม่เคยตอบแทนอะไรพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเจ้าของพระคาถาท่านเลย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยคิดว่า ถ้าเราสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าสักองค์หนึ่งไว้บูชา แล้วในแต่ละรอบปีก็จะมีการแห่แหนและสวดพระคาถาเงินล้านถวายท่าน จึงช่วยกันออกแบบ โดยท่านอาจารย์สมปองเป็นคนร่างแบบ อาตมากับหลวงตาวัชรชัยเป็นลูกอีช่างติ ได้แบบพระปัจเจกพุทธเจ้ามา ถ้าสงสัยว่าหน้าตาแบบไหน ก็แบบองค์ที่อยู่ในมณฑปหน้าวิหารร้อยเมตรนั่นแหละ ก็นำไปถวายให้หลวงพ่อท่านผ่านตาแล้วก็ขออนุญาตทำ ท่านก็เมตตาติติงและแนะนำว่าควรจะทำในลักษณะอย่างไร
พอได้รับคำอนุญาตพวกเราก็ประกาศ สมัยก่อนไม่ได้มีไลน์หรืออินเตอร์เน็ตแพร่หลายแบบนี้ ก็ใช้วิธีบอกกันปากต่อปาก ว่าเราจะสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินแท้ หน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้ว เป็นองค์บูชาประจำวัด แล้วก็จะทำเหรียญพระปัจเจกพุทธเจ้าให้บุคคลที่ต้องการบูชา เพื่อนำเงินมาซื้อเม็ดเงินในการหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใหญ่ ซึ่งปัจจัยที่เหลือจากที่เราคำนวณกันแล้ว จะมีเงินเข้ากองทุนพระปัจเจกพุทธานุสรณ์เพื่อเป็นค่าภัตตาหารพระ พูดง่าย ๆ ว่าเรื่องของพระเณรนี่หลวงพ่อท่านไม่ต้องห่วง จะมีกองทุนนี่ช่วยค้ำอยู่ จะมีเงินเข้ากองทุนนี้ในตอนนั้น ๒๔ ล้านบาท
เราต้องคิดว่าสมัยปี ๒๕๓๑ นั่นทองคำบาทละ ๔,๒๐๐ บาท ที่รู้เพราะว่ามีการโอนเงินค่าทองคำคืนโยม หลังจากที่เรื่องราวเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะว่าหลังจากประกาศไปแล้ว ๒ วันก็มีเงินไหลมาเทมาเข้าบัญชีสี่แสนกว่าบาท แล้วทองคำอีกหลายสิบบาทร่วมในการสร้าง"
"หลวงตาวัชรชัยตอนนั้นก็เพิ่งจะได้ ๗ พรรษา อาตมาเองตอนนั้นเพิ่งจะ ๓ พรรษา ท่านอาจารย์สมปองเพิ่งจะพรรษาเดียว แล้วคณะผู้ร่วมงานก็ล้วนเป็นพระใหม่พรรษานั้นทั้งหมด มีพระอาจารย์ตี๋อีกรูปหนึ่ง ที่พรรษาเดียวกับอาตมาแต่คนละรุ่นกัน ก็เลยมีผู้ไปกล่าวร้ายในทำนองที่ว่า พวกของอาตมาหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
พอหลวงพ่อได้ข่าวก็กลัวว่าจะเป็นการแตกแยกไปใหญ่โต เพราะว่าเด็กทำงานเกินหน้าผู้ใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าคณะกรรมการสงฆ์ ๑๒ รูปที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดจะทำอะไรที่เป็นการแบ่งเบาภาระหลวงพ่อท่านเลย แต่พอเด็ก ๆ คิดทำกลับโดนเตะสกัด หลวงพ่อท่านก็เลยต้องรับงานไปเป็นภาระของท่านเอง
ตอนแรกด้วยความที่ท่านป่วยอยู่ ท่านจึงสั่งให้ช่างเสริฐเอาแบบพระชำระหนี้สงฆ์สร้างเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแทน องค์ที่อยู่ตรงระเบียงด้านหน้าวิหารร้อยเมตร ที่สูงเกือบจะติดหลังคา สร้างไว้ตรงนั้น แล้วก็ปั้นองค์ ๓๐ นิ้ว ถวายหลวงพ่อท่านองค์หนึ่ง สร้างเหมือนพระพุทธรูปทุกอย่าง ยกเว้นตรงที่พระเกศมาลาที่เป็นเปลวเพลิง ที่ทำแยกออกมานิดหนึ่ง หลวงพ่อท่านเห็นก็บอกว่า "ไม่ใช่...เสียแรงที่ปั้นพระให้วัดท่าซุงมาเป็นร้อยเป็นพัน นึกถึงท่านสิว่าเป็นอย่างไร ต้องการแบบไหน แล้วก็ทำตามความรู้สึก ไม่ใช่ทำแบบนี้"
ท่านใช้คำว่า “เอ็งทำไว้เป็นที่แขวนรองเท้าใช่ไหม ?” คือเกศด้านหลังงอออกมาหน่อยหนึ่ง ตกลงว่าองค์นั้นปั้นแล้วจะทำอย่างไร ? ไม่สามารถที่จะทำลายได้ อาตมาก็เลยขอบูชาเอาไว้ พอปิดทองเสร็จเรียบร้อยหลวงพี่นิภัทร (พระครูปลัดนิภัทร อคฺคธมฺโม) วัดพุทธไชโย มาเห็นก็ชอบ บอกว่า “เล็ก..ขอพี่เถอะ” ก็บอกท่านว่า "ถ้าพี่ต้องการจริง ๆ ผมถวายครับ แต่ว่าอย่าบอกใครนะว่าได้ไปจากผม เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ชอบใจแบบนี้ คือท่านต้องการแบบที่พวกเราร่างไว้ แต่ช่างเสริฐไม่ได้เห็นแบบ ก็เลยปั้นออกมาแบบนี้"
หลวงพ่อท่านสั่งให้สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดบูชา ช่างเขาถามว่าลักษณะแบบไหน ? หลวงพ่อกำลังไม่สบายอยู่ ท่านก็เลยบอกว่า ทำเป็นเปลวเพลิงให้แยกพระเกศออกมาแล้วกัน ช่างเขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหล่อพระเกศอีกอันหนึ่งแล้วเอามาเชื่อมติดกัน ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดบูชา ๕ นิ้ว ของวัดท่าซุง จะมีพระเกศแยกเป็น ๒ แฉกหน้าหลัง"
"พอหลวงพ่อท่านมีเวลา อาการป่วยคลายตัว เพราะว่าได้ท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมช่วยไว้ ท่านก็เรียกช่างเสริฐไปให้ปั้นแบบใหม่ แบบที่หน้าวิหารร้อยเมตรองค์นั้น ส่วนพวกอาตมาก็คาใจ โดยเฉพาะหลวงตาวัชรชัย คาใจว่าทำไมในเมื่ออนุญาตให้ทำแล้ว หลวงพ่อท่านถึงได้ยกเลิก ทำให้พวกเราต้องโอนเงินคืนญาติโยมที่โอนเข้ามาทุกคน โดยเฉพาะโยมจากต่างประเทศ ซึ่งมีการเสียค่าธรรมเนียมค่าโอนระหว่างประเทศเป็นจำนวนมาก พวกเราก็ต้องควักกระเป๋ากันเอง แล้วญาติโยมที่มอบทองมาให้ ก็ต้องส่งคืนเขา โดยโทรเรียกตัวเจ้าของมารับคืน กว่าจะส่งคืนได้ครบก็หลายเดือน เพราะว่าอยู่ใกล้บ้างไกลบ้างทั่วประเทศไทย
หลวงตาวัชรชัยถึงขนาดไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งฟุ้งซ่าน คิดมาก บอกว่าถ้าคิดไม่ตกจะเชือดคอตายคืนนี้แหละ นี่เป็นความแรงของคนแก่ในสมัยนั้น"
"ส่วนอาตมาเองช่วงนั้นพอเหตุการณ์เกิดขึ้น รู้สึกว่าไม่เสียทีที่เราฝึกกรรมฐานมาอย่างหนัก เพราะว่าสภาพจิตยอมรับว่า หลวงพ่อว่าอะไรก็คืออย่างนั้น ไม่มีการคัดค้าน ไม่มีการน้อยใจ กองทิ้งเอาไว้เหมือนอย่างกับลมพัดผ่านไปเฉย ๆ
แล้วเรื่องนี้ที่ว่าคาใจก็คือ พอหลวงตาวัชรชัยไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเขาวง ท้ายสุดก็มาเริ่มงานใหม่ สร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าทองคำขึ้นมา แต่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิม ความตั้งใจเดิมคือเนื้อเงินหน้าตัก ๓๐ นิ้ว อาตมาเองก็คิดว่า เดี๋ยวหล่อพระทุกองค์ครบแล้ว ก็ว่าจะหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๓๐ นิ้วด้วยเงินบริสุทธิ์สักองค์หนึ่ง เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังติดงานหล่อพระทองคำอยู่ ส่วนหลวงตาวัชรชัยท่านเพิ่งจะหล่อไปเมื่อต้นปีนี้
งานนี้กลายเป็นภาระที่หลวงพ่อท่านต้องรับเอาไว้ เพราะว่าท่านต้องรักษากำลังใจส่วนรวม แม้ว่าส่วนรวมกำลังใจจะห่วยแตก แต่ท่านมั่นใจว่าลูกทั้ง ๓ คนนี้กระทืบแล้วไม่ตาย ท่านก็ต้องเหยียบพวกเราเพื่อเอาใจคนส่วนรวมไว้ นี่คือลักษณะของการทำหน้าที่แบบผู้ใหญ่ ที่มองภาพรวมในวงกว้าง ส่วนพวกเราส่วนใหญ่แล้วมองในวงแคบ มองเฉพาะงานตรงหน้าตัวเอง แต่ท่านต้องมองภาพรวม คือทำอย่างไรที่วัดจะไม่แตก ทำอย่างไรที่พระพุทธศาสนาจะตั้งมั่นอยู่ได้ นั่นก็คือภาพรวมที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าสายตาของพวกเราในช่วงนั้นจะรู้ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การกู้ภัยจะใจร้อนไม่ได้ ต้องเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด ในการกู้ภัยทีมฟุตบอลหมูป่า ทำให้เห็นในสิ่งที่โบราณเขากล่าวเอาไว้ว่า
บุคคลบางประเภท กำลังใจคุ้มครองตัวเองไม่ได้ คุ้มครองผู้อื่นไม่ได้
บุคคลบางประเภท กำลังใจคุ้มครองตัวเองได้ คุ้มครองผู้อื่นไม่ได้
บุคคลบางประเภท กำลังใจคุ้มครองตัวเองได้ คุ้มครองผู้อื่นและหมู่คณะได้
ในส่วนนี้เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า เด็ก ๆ ชุดนี้ใจคอเข้มแข็งมาก เพราะมีครูฝึกที่ดี ครูเป็นผู้ที่สามารถคุ้มครองตนเองได้ คุ้มครองผู้อื่นได้ แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็ยังทำให้เด็กมีความเข้มแข็ง มีความนิ่ง มีความสงบได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ต้องบอกว่าไม่เสียทีที่ครูได้บวชมาหลายพรรษา"
พระอาจารย์บอกว่า "SEAL แปลว่า แมวน้ำ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคำย่อ มาจาก SEA คือทะเล AIR คืออากาศ LAND คือพื้นดิน เรียกง่าย ๆ ว่า น้ำ ฟ้า ฝั่ง แปลว่า สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทุกสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ"
ถาม : ผมเสกวัตถุมงคลยังไม่ถึงขั้นยิงไม่ออกครับ ได้ยิงออกแต่ไม่ถูก ต้องทำต่ออย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แค่ “ไม่มีอะไร” ก็จบแล้วนะ เพียงแต่ว่ายากหน่อย
ถาม : ต้องเข้าให้แน่นกว่านี้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เข้า ต้องปล่อย พิจารณาให้ถึงความไม่มีอะไร พอถึงความไม่มีอะไรแล้ว อะไรจะมาทำอันตรายได้ ?
ถาม : เป็นวิปัสสนาญาณเลย ?
ตอบ : เป็นทั้งวิปัสสนาญาณและอรูปฌาน
ถาม : ติดหนี้สงฆ์ต้องใช้หนี้วัดนั้นเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : วัดไหนก็ได้ บอกท่านว่าชำระหนี้สงฆ์ ในเมื่อเป็นสงฆ์ จะเป็นวัดไหนก็ได้ แต่ต้องใช้คืนในราคาปัจจุบัน สมมติว่าเราหยิบจานไปใบหนึ่งสมัยนั้นราคา ๕ บาท ตอนนี้ราคา ๒๐ บาทก็ต้องใช้คืน ๒๐ บาท
พระอาจารย์กล่าวว่า “บ้านใครอยู่พิจิตรบ้าง ? ตามไกรทองไปช่วยเด็กที่ถ้ำหลวงหน่อย ไกรทองมีเทียนระเบิดน้ำ ถึงเวลาก็จุดเทียนเดินแหวกน้ำไป วิชานี้จะว่าไปแล้วจริง ๆ ก็คือวาโยกสิณ พอถึงเวลาอธิษฐานแหวกน้ำไป หรือว่าท่านใดถนัดในส่วนของอากาสกสิณก็อธิษฐานให้เป็นช่องว่างเดินแหวกไป
ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านใช้วิธีนี้แหละลงไปจารตะกรุดใต้น้ำกัน อย่างหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ถึงเวลาก็ลงไปจารตะกรุดใต้น้ำ ตะกรุดใต้น้ำนี่บางคนเรียก ตะกรุดคงคาวดี แต่ว่าหลายท่านเรียกง่าย ๆ ว่า ตะกรุดจันทร์เพ็ญเพราะว่าส่วนใหญ่ท่านจะทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ที่ตรงกับวันจันทร์ ถึงเวลาลงไปจารใต้น้ำแล้วก็โยนลอยขึ้นมา ลูกศิษย์ก็ช้อนเก็บ ถ้าดอกไหนไม่ลอยคือใช้ไม่ได้
เรามานึกว่าสมัยก่อนวัสดุส่วนใหญ่คือตะกั่ว อย่างไรตะกั่วก็จมน้ำแน่นอน แต่ครูบาอาจารย์ท่านทำแล้วปล่อยลอยพ้นน้ำขึ้นมาได้ หรือไม่ก็อย่างหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ ท่านลงไปจารพระปิดตาของท่านใต้น้ำ พระปิดตาหลวงปู่นาคเดี๋ยวนี้ราคาเป็นล้าน ๆ ของปลอมเยอะมาก แต่ว่าท่านมีทำไว้ทั้งเนื้อเมฆพัตร และเนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อทองเหลือง เพียงแต่ว่าเนื้ออื่นจะมีน้อย
แล้วครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านก็แลกเปลี่ยนวิชากัน แบบเดียวกับหลวงปู่จันทร์ วัดโมลี ที่ทำพระปิดตาแร่บางไผ่ แล้วก็หลวงปู่ทับ วัดอนงค์ทำพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ อยู่ ๆ เราก็จะเจอพระพิมพ์แร่บางไผ่เนื้อเมฆสิทธิ์ หรือไม่ปิดตาแบบหลวงปู่ทับแต่เป็นเนื้อแร่บางไผ่ เพราะว่าท่านแลกวิชากัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าญาติโยมอยากจะฝึกปฏิบัติให้ได้ผลให้ทำอย่างอาตมานี่แหละ คือ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมานี่ อาตมาต้องทรงอารมณ์เข้าสมาธิวันหนึ่งไม่น้อยกว่า ๘ ชั่วโมง เพราะว่านั่งรับญาติโยมอยู่อย่างนี้ ก็แปลว่าทุกวันเราต้องซ้อมเข้าสมาธิ ในเมื่อเข้าแล้วเราต้องตั้งเวลาได้ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าคลายความรู้สึกออกมา จะหงายท้องแผ่ไปเลย ในเมื่อเราซ้อมอยู่บ่อย ๆ หลายสิบปีผ่านไปก็ได้อย่างที่เห็น
เมื่อวานนี้ทิดเฟิร์สเขาบอกว่า “เวลาหลวงพ่อจารของ ไม่เห็นต้องตั้งท่าเหมือนท่านอื่นเขาเลย” ครูบาอาจารย์อื่นต้องขอเวลานอก ตั้งสมาธิ เห็นหลวงพ่อจารไปคุยไป เสร็จก็ใช้ได้แล้ว ก็เพราะว่าซ้อมเอาไว้มาก ไม่ได้เจตนาซ้อมหรอก แต่ถ้าหากเราไม่รักษาสมาธิเอาไว้จะรับโยมไม่ไหว โดยเฉพาะนั่งอยู่อย่างนี้วันหนึ่งหลาย ๆ ชั่วโมง ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรก็จะหงายแผ่สลบไปเลย ฉะนั้น..กลางคืนไม่มีหรอกที่นอนไม่หลับ มีแต่นอนไม่ค่อยอยากจะตื่น..!”
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมที่ขยันถามปัญหาทุกเดือน "ยังไม่เบื่อที่จะถามใช่ไหม ? จำไว้ว่ายิ่งถามยิ่งฟุ้งซ่าน มีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ถามมาได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าเห็นโทษเมื่อไรก็บอกด้วย"
ถาม : ถ้าเราถ่ายรูปสวย มีคนติดตามเยอะ ทั้งในอินสตราแกรม ในเฟซบุ๊ก เราจะเข้าข่ายเหมือนตาลปุตตสูตรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ตาลปุตตสูตร ก็คือ การที่คนเขาหลงใหลคลั่งไคล้ในการแสดง คราวนี้เขาหลงใหลคลั่งไคล้ในฝีมือของเรา ก็คือทำให้เขายึดติดเหมือนกัน
ถาม : ก็หมายความว่า ?
ตอบ : หมายความว่าถ้าไม่เคยทำบุญอื่นก็เตรียมลงอเวจีได้..!
ถาม : วัตถุมงคลที่เราให้ญาติไป เราอาราธนาแทนญาติพี่น้องของเราได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้...กินข้าวแทนเขาได้ไหม ? ถ้าได้ก็อาราธนาแทนไป ในเมื่อต้องต่างคนต่างกิน เขาก็ต้องอาราธนาเอง
ถาม : ถ้าหากว่าเราต้องการมีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีกัลยาณมิตรที่ดี ที่จะร่วมสร้างอะไรด้วยกัน เราต้องสร้างบุญอย่างไร ?
ตอบ : ทำบุญร่วมกันตั้งแต่ชาติก่อน แล้วอธิษฐานที่จะไปช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ถาม : อวิชชา กับ กิเลส คืออย่างเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : อวิชชา คือ ความไม่รู้ ความมืดบอดในใจของเรา กิเลสก็คือความชั่ว ถ้าหากว่าเราไม่รู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว เราก็จะทำสิ่งชั่วโดยหลงคิดว่าสิ่งดี ที่ภาษาบาลีเขาเรียกว่า วิปัลลาส แปลว่า เห็นต่างไปจากคนอื่น เห็นในสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เป็นต้น
ดังนั้น ในเรื่องของความชั่วกับในเรื่องของความไม่รู้ เป็นคนละส่วนกัน แต่ว่าทั้ง ๒ ส่วนจะผูกเข้าหากัน เพราะว่าความไม่รู้ก็เลยทำให้เข้าใจผิด เห็นความชั่วเป็นความดี
ถาม : คนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม จะมีโอกาสเห็นไหมครับว่านรกสวรรค์มีจริง ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่าในอดีตเขาเคยทำเรื่องของทิพจักขุญาณไว้หรือเปล่า ถ้าอดีตเคยทำไว้ ต่อให้ปัจจุบันไม่เคยทำอะไรก็ตาม เมื่อถึงวาระ ถ้าสภาพจิตสงบพอก็จะรู้เห็นเอง
ถาม : ถ้าเขาไม่เชื่อแล้วทำอย่างไรให้เขาเชื่อ ?
ตอบ : ๒ วิธี วิธีแรกก็คือฝึกทิพจักขุญาณให้เกิด วิธีที่ ๒ ก็คือสร้างอภิญญาให้เกิด โดยเฉพาะกสิณ ๓ อย่าง ก็คือกสิณไฟ กสิณแสงสว่าง กสิณสีขาว ถ้าอย่างนั้นก็จะรู้เห็นได้ ไม่เช่นนั้นก็นอนฝันเอา
ถาม : แล้วถ้าพระแสดงให้ญาติโยมเห็นว่านรกสวรรค์มีจริง ?
ตอบ : ถ้าท่านไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไร แล้วจะไปเห็นได้อย่างไร
ถาม : ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศ แต่ประเภทใช้ฤทธิ์ทางใจ ?
ตอบ : ก็แย่พอกันนั่นแหละ อย่าลืมว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องของบุญของกรรมของแต่ละคน ถ้าหากว่าเราไปทำให้เขารู้ ทำให้เขาเห็น เขาก็ไม่ได้ทำความดีจากน้ำใสใจจริง กลายเป็นทำความดีเพราะกลัว
ถาม : แต่ก็ยังเห็นนะครับ ?
ตอบ : จะไปยุ่งกับเขาทำไม...?!
ถาม : การที่เรายอมเสียเปรียบผู้อื่น เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ ? หรือเราควรจะมีเมตตาต่อตัวเอง แต่ว่าเราก็มีการเมตตาคนอื่นด้วย เราจะต้องคิดอย่างไร ?
ตอบ : สรุปว่าพรหมวิหาร ๔ คุณจะใช้แค่เมตตาอย่างเดียวใช่ไหม ? ก็ในเมื่อถ้ามีอุเบกขาอยู่ เราก็รักษาสิทธิ์ของเราไปสิ ดันทะลึ่งไปเมตตาแล้วยอมเสียเปรียบเขาก็ช่วยไม่ได้
ถาม : เวลาที่เราอยู่ในนรก เราทำกรรมฐานได้ไหมครับ ?
ตอบ : เวลาที่คุณโดนเขาไล่สับไล่ฟัน โดนไล่เผาอยู่ คุณทำได้ไหม ? ถ้าทำได้ก็เอาเลย น่าจะเป็นรายแรก...!
กำลังโดนน้ำทองแดงร้อน ๆ กรอกปากอยู่แล้วทำกรรมฐาน น่าจะสำเร็จนะ...!
ถาม : ถ้าใจผูกติดกับกรรมฐานตั้งแต่ตอนยังไม่ตาย ?
ตอบ : ถ้าผูกติดกับตรงนั้น แล้วลงนรกไปทำไม ? แต่ละอย่างคิดมาฟุ้งซ่านชัด ๆ หัวกับท้ายไม่ได้สัมพันธ์กันเลย
ถาม : เวลาที่เราตาย เรายังมีความทรงจำในเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกมนุษย์ ?
ตอบ : จำได้ แต่ไม่ไกลไปกว่าปัจจุบัน ถ้าหากว่าชาติเก่า ๆ ต้องจำได้ตอนที่ตายไปแล้วจริง ๆ เท่านั้น
ถาม : ระดับสมาธิกับวิธีการทำกรรมฐานที่เราทำได้ในชาติที่แล้ว ถ้าตายเราจะได้เหมือนเดิมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตายไปด้วยอำนาจสมาธิเลยก็ได้ แต่ถ้าหากว่าตายปกติ ความรู้เห็นก็เป็นไปตามกรรมวิบาก อย่างเช่นว่า เป็นเปรต เป็นอสุรกายอย่างนี้ จะต้องรู้เห็น มีความเป็นทิพย์อยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
ถาม : ตอนที่ขึ้นสวรรค์ ความสามารถในการทำสมาธิจะเหมือนเดิมหรือเปล่า ?
ตอบ : ได้แค่ไหนก็ไปไม่เกินนั้น ที่แย่กว่านั้นก็คือ ถ้าหากว่าไม่ได้เข้าสมาธิไว้ตอนตาย เขาก็ให้ตามต้นทุนที่คุณมี ผมมีสตางค์หลายร้อยล้านเลย แต่ผมดันไม่เบิกมาใช้ มีอยู่ในกระเป๋าตอนนี้ ๒๐ บาทก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ชามเดียว
ถาม : พระอาจารย์เป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก เป็นเพราะฝึกมาหรือเป็นเพราะบารมีหรือครับ ?
ตอบ : เป็นสันดาน ครูบาอาจารย์เขาฝึกฝนมาจนเข้าไปอยู่ในสายเลือดแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำตามนั้น โดยเฉพาะสันดานที่ไม่รอใคร มาช้าก็เรื่องของเขา ทำไมต้องไปเกรงใจเขาด้วย ไม่มีเขาแล้วเราจัดงานไม่ได้เลยใช่ไหม ?
ถาม : ต้องทำบ่อย ๆ หรือครับจึงต้องตรงเวลา ?
ตอบ : ผ่านการฝึกฝนอบรมเคี่ยวกรำอย่างเข้มงวดไประยะหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีติดไปบ้าง
ถาม : เวลาภาวนาพระคาถาเงินล้านเป็นพุทธานุสติไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธานุสติ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก็เป็นสังฆานุสติ
ถาม : ถ้าเราคิดว่าจะฆ่ามด ๑ ตัว แต่ยังไม่ได้ฆ่า เราจะได้รับผลกรรมอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ถ้าตายตอนนั้นก็ลงนรกเหมือนกัน เพราะว่าสภาพจิตเศร้าหมอง ประกอบไปด้วยวิหิงสาวิตก ตรึกในการเบียดเบียนผู้อื่น
ถาม : แต่ถ้าเราไม่ได้ตายตอนนั้น ก็ไม่ได้มีผลอะไร ?
ตอบ : มี...เพราะว่าสภาพจิตที่เศร้าหมองก็เหมือนกับเขื่อนที่มีรอยรั่ว สิ่งไม่ดีต่าง ๆ ก็แห่กันเข้ามาง่ายขึ้น
ถาม : ถ้าเราคิดจะฆ่ามด ๑ ตัว กับคิดจะฆ่าพระอริยสงฆ์ ต่างกันไหมครับ แค่คิด ?
ตอบ : ต่างกันมาก คิดจะฆ่ามด ๑ ตัว ถ้าหากว่าเศร้าหมอง อย่างเก่งก็ลงสัญชีวนรก ถ้าคิดฆ่าพระอริยสงฆ์นี่ก็ลงอเวจีมหานรกเลย ราคาแพงกว่ากันเยอะ
ถาม : ในยุคเจิ้งเหอ ทำไมเขาถึงมีกองเรือก้องโลก ?
ตอบ : เจ้านายมีวิสัยทัศน์ เห็นว่าการเปิดการค้าทางทะเล สามารถนำเงินทองและความเจริญรุ่งเรืองเข้าสู่ประเทศชาติได้เร็วที่สุด
ถาม : หลักการบริหารแบบรวมกลุ่มกับกระจายกลุ่ม ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคุณธรรมในใจ ถ้าคนชั่ว จะระบบไหนก็ห่วยแตกพอกัน
ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าแบบไหนดีกว่า ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคุณธรรมผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองมีธรรมาธิปไตยอยู่ ต่อให้เผด็จการขนาดไหนก็สร้างความเจริญได้
เรื่องของการเมือง การเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เป็นเรื่องที่เขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว อริสโตเติลจึงได้กล่าวไว้เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วว่า ความดีของคนเริ่มหมดไปทันทีที่เล่นการเมือง
ดูอย่างลุงตู่สิ จากลุงตู่ที่ประชาชนรักแทบตายตอนขึ้นมาใหม่ ๆ ปัจจุบันกลายเป็นสฤษดิ์น้อย รับไม่ได้ถึงขนาดที่กระทรวงต่างประเทศทำหนังสือประท้วงไปแล้ว Not Little Sarit, but I am Uncle Tu
ถาม : (มารับงาช้างน้ำ)
ตอบ : พวกกะเหรี่ยงที่เขาเลี้ยงช้าง จะพยายามหาให้ได้ เพราะว่ามีอำนาจข่มช้างได้ แบบเดียวกับเสือไฟ คือ ตัวเล็กแต่มีอำนาจมากกว่า
ถาม : งาช้างน้ำมีอำนาจด้านไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ประเภทเข้าป่าแล้วปลอดภัย
ถาม : บูชาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ติดตัวไว้สิวะ เก็บเอาไว้ที่บ้านแล้วเข้าป่าคงจะปลอดภัยหรอกนะ ตอนนี้ตูก็ไม่มีแล้ว ถ้าเข้าถ้ำหลวงจะรอดไหมนี่ ?
พระอาจารย์กล่าว "เพลาบุญ ถ้าอ่านว่า เพ-ลาบุญ ก็คือเวลาแห่งบุญ ถ้าอ่านว่า เพลาบุญ ก็แปลว่า หยุดทำบุญได้แล้ว ...(หัวเราะ)... อ่านได้ทั้งสองแบบ"
ถาม : หลวงพ่อเนื่องให้หลวงพ่อใจท่านฝึกลงใบมะนาว ๗ ใบ ทีละตัว ตัวละ ๑ ปี กว่าจะฝึกได้ทั้งหมด ๗ ปี ?
ตอบ : ท่านเอาให้สมาธิทรงตัวจริง ๆ
ถาม : พระที่อยู่องค์เดียว จะปลงอาบัติอย่างไร ?
ตอบ : ก็อย่าทำอาบัติสิวะ อยู่คนเดียวโอกาสผิดก็ยากหน่อย
ถาม : ที่ต้องบอกบริสุทธิ์ คืออะไร ?
ตอบ : บอกบริสุทธิ์ก็ในลักษณะที่ว่า เราได้แสดงคืนอาบัติแล้ว บาลีใช้ว่า "ปริสุทโธ อะหัง อาวุโส ปริสุทโธติ มัง ธาเรหิ" ถ้าพรรษาน้อยกว่าก็ใช้ ภันเต กับ ธาเรถะ
ถาม : พระธุดงค์ที่เข้าป่าจะทำอย่างไร ?
ตอบ : อธิษฐานอุโบสถ ถ้าอยู่รูปเดียวอธิษฐานอุโบสถ, ๒ รูปให้บอกบริสุทธิ์, ๓ รูปให้บอกบริสุทธิ์, ๔ รูปขึ้นไปต้องสวดทบทวนพระปาฏิโมกข์
พระอาจารย์เล่าว่า "เห็นรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงงาน ทำให้นึกถึงคราวที่พระองค์ท่านเสด็จไปดูต้นกาแฟต้นเดียว ช่วงแรก ๆ ที่พระองค์ท่านตั้งใจให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น แล้วแนะนำให้ปลูกพืชอื่น พระองค์ท่านเอาพันธุ์กาแฟเข้าไปให้ ปรากฏว่ากาแฟที่ชาวเขาปลูกตายหมด มีรอดอยู่ต้นเดียว
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ทูลเชิญเสด็จในหลวงไปดูต้นกาแฟ เดินข้ามเขาไปเป็นลูก ๆ เลย ไปเจอกาแฟต้นเดียว พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ตอนนั้นน่าจะอยู่ระดับพันโทพันเอก โมโหไฟแลบเลย ให้ในหลวงเดินข้ามเขาไปตั้งกี่ลูก มาดูกาแฟแค่ต้นเดียว เลยไปโวยวายกับบรรดาข้าราชสำนักด้วยกัน
ความไปทราบถึงพระองค์ท่าน ทรงตรัสว่า ที่ไปดูเพราะว่าเขาไม่เคยปลูกกาแฟมาก่อน ดูแลไม่เป็นต้นกาแฟจึงตายหมด แต่ชาวเขาคนนั้นปลูกแล้วต้นกาแฟรอดได้ จึงพระราชทานพันธุ์ใหม่ไปให้ แล้วให้ชาวเขาคนนั้นไปแนะนำเพื่อน ๆ ว่าปลูกอย่างไรถึงจะรอด คุณวสิษฐถึงได้รู้ว่า วัตถุประสงค์ที่พระองค์ท่านไปยิ่งกว่าการดูกาแฟต้นเดียว เพราะว่าปีถัดมาต้นกาแฟที่พระราชทานไปทั้งหมดรอด ไม่มีตายสักต้นหนึ่ง คนปลูกเป็นคนบอกเพื่อน เพื่อนทำตามก็รอด
หลังจากนั้นได้ผลแล้ว ระหว่างกิโลกรัมต่อกิโลกรัม เขาขายกาแฟได้ราคาแพงกว่าฝิ่น ชาวเขาก็เลยหันมาปลูกกาแฟที่ไม่ผิดกฎหมาย ท้ายสุดก็มาปลูกพืชเมืองหนาว พวกสตรอว์เบอร์รี พวกท้อ อะไรต่อมิอะไรก็ตามมา"
"พอไปพัฒนาชาวเขาให้เลิกทำฝิ่น ชาวเขาขอพระราชทานรถแทรกเตอร์เพื่อจะไปไถที่ทำนาทำไร่ ปรากฏว่าในหลวงพระราชทานควายไป ๕ ตัว ขอพระราชทานให้ รพช.ตัดทางลาดยางขึ้นไป พระองค์ท่านก็ตรัสว่าไม่ต้อง ปรับปรุงทางเดิมให้ดีก็พอ
พระองค์ท่านไม่ต้องการที่จะเร่งรัดการพัฒนา เพราะรู้ว่าชาวบ้านเปลี่ยนแปลงยาก ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ขอรถแทรกเตอร์มาก็เอาควายไปแทน เพราะว่ารถต้องใช้น้ำมัน ต้องฝึกขับ แต่พื้นเดิมของเขาใช้วัว ใช้ควาย ใช้ม้า พอให้ตัดทางลาดยางขึ้นไป พระองค์ท่านบอกว่าไม่ต้อง แค่ปรับปรุงทางเก่าก็พอ ให้เขาใช้ม้าใช้ล่อบรรทุกเหมือนเดิม
ตรงนี้ไปนึกถึงทฤษฎีฝรั่ง Future Shock คือถ้าเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป จะมีคนส่วนใหญ่ที่รับไม่ได้ พอรับไม่ได้จะเกิดอาการต่อต้าน พระองค์ท่านเลยให้ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขาทีเดียว แต่ทำให้เขาเห็นว่าสิ่งนี้ดีแล้วเต็มใจมาทำเอง
ถ้าไวจนเขารับไม่ทันก็แย่ แต่จะไปว่าอะไรได้ เดี๋ยวนี้พวกเงาะซาไกยังกินกาแฟเป็นว่าเล่น "บุ๊กาแคว" บุ๊คือกิน ปี ๒๕๕๘ เขาไปเก็บข้อมูลพื้นบ้านครัวเรือนในหมู่บ้านกะเหรี่ยงคลิตี้ ชื่อไทยคือบ้านทุ่งเสือโทน ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ๓๐ เปอร์เซ็นต์คือค่ากาแฟ สรุปว่าเงิน ๑๐๐ บาท ซื้อกาแฟไป ๓๐ บาทเป็นอย่างน้อย"
ถาม : เอกัคคตารมณ์ฝึกฝนให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อถึงเอกัคคตารมณ์แล้วต้องฝึกอะไรอีกล่ะ ? ก็จบแล้ว เพียงแค่ซ้อมให้เข้าออกบ่อย ๆ จนชำนาญ
ซ้อมบ่อย ๆ ชนิดที่ต้องการเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการตบะแตกอย่างปัจจุบัน คือรักษาอารมณ์ไม่ได้ เอกัคคตารมณ์พูดแล้วฟังยาก ใช้ภาษาไทยก็คือนิ่ง ถ้าเข้าถึงความนิ่งได้ทุกเวลา ไม่หวั่นไหวกับอะไรก็ใช้ได้แล้ว
ถาม : เมตตาช่วยเขาเท่าที่เราช่วยได้กับฝืนกฎแห่งกรรม เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : เกินความสามารถของเราแล้วยังรั้นจะไปทำ ประเภทให้เขายืมจนหมดตัวแล้วยังไปกู้เงินมาให้เขา ประมาณนั้น
ถาม : ก็แล้วแต่บุคคล แล้วแต่กำลังใจหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ทุกอย่างไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคน กำลังใจของบางคนเราอาจจะเห็นว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยคชัด ๆ แต่พอดีของเขา
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลังจากที่สร้างบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน แล้วขึ้น ๆ ลง ๆ จนชิน เมื่อวันก่อนไปตรวจงานที่ฝั่งพระเจดีย์ ปรากฏว่าเดินไม่ถึง ๓ นาทีถึงยอดแล้ว ทางด้านรอยพระพุทธบาทนั่นสถิติ ๑๖ นาทียังไม่มีใครทำลายได้
ตอนนี้ทางด้านทองผาภูมิเอาบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทเป็นที่ออกกำลังกาย จากที่เคยไปตั้งวงเต้นแอโรบิค ก็เปลี่ยนมาเป็นขึ้นเขาทุกเย็น เขาขึ้นกันอย่างเอาจริงเอาจังมาก ถ้าไม่ประเภทระบมจนเดินไม่ได้ก็คงจะแข็งแรงขึ้นมากเลย
ทางด้าน ททท.จังหวัดกาญจนบุรี ออกโฆษณาให้ไปพิสูจน์ความท้าทายที่ท่าขนุน จนกระทั่งอาตมาเองสงสัยว่าท้าทายขนาดไหน ? สมัยปีนขึ้นไปเปล่า ๆ ยังท้าทายกว่าอีก ตอนฝนตกยังลื่นเสียจนพระหัวทิ่มลงมาแล้ว แทนที่ท่านจะเดินด้านข้าง กลับไปเดินตรงกลางขั้นบันได
ทางชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิตเมตตาคนแก่ เอาไม้เท้าไปไว้ ๑๐๐ อันเพื่อจะได้ค้ำขึ้นไป ปรากฏว่าคนที่เอาไม้เท้าไปไม่ใช่คนแก่ เป็นเด็กวัยรุ่น เดินฟาดราวบันไดไปบ้าง นั่งเถียงกันบ้างว่าขั้นบันไดเป็นไม้หรือปูน แล้วกระแทกกระทุ้งทดสอบดู เล่นเอาแตกกระจายไป ๖-๗ ขั้น ท้ายสุดก็เลยต้องให้เขาเอาไม้เท้ากลับลงมาข้างล่าง ถ้าไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร จะได้เอาไปทำฟืนตอนหลอมเทียนเทผางประทีป
เรื่องของวัยรุ่นเขาทำอะไรไม่คิด เอาแค่สนุกเฉพาะหน้า อย่างที่ไป "แว้น" กันนั่นแหละ ถ้าไม่เจ็บไม่ตายก็ไม่รู้สึก ถ้าเป็นอะไรก็รู้สึกแค่พักเดียว เดี๋ยวก็ขาดสติ ขาดความยั้งคิด ไปทำใหม่อีกแล้ว ตรงจุดนี้ทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะว่าทำให้เรามีสติ มีกำลังในการยั้งคิด เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวากัน ก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ"
ถาม : ระหว่างถวายหนังสือธรรมะกับพระไตรปิฎก อานิสงส์ต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าถวายหนังสือธรรมะทั่วไปจัดเป็นธรรมทานอย่างเดียว แต่ถ้าถวายพระไตรปิฎกนอกจากเป็นธรรมทานแล้ว ยังเป็นธัมมานุสติด้วย เพราะว่าเราระลึกถึงคำสอนพระพุทธเจ้าว่าบันทึกเป็นพระไตรปิฎก ดั้งนั้น...ถวายพระไตรปิฎกน่าจะตรงกว่าและอานิสงส์สูงกว่า แต่พระไตรปิฎกก็แพง เอาฉบับแก่นธรรม หรือฉบับประชาชนก็ได้ ประหยัดหน่อย
ถาม : แฟนซื้อบ้านใหม่ครับ จะทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่ว่าจะซ่อมบ้าน ใช้ฤกษ์วันนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ซ่อมบ้านไม่ต้องมีฤกษ์
ถาม : ที่บ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านหลังนี้มีศาลตี่จู้เอี๊ย จะขออนุญาตย้ายไปรวมอยู่ที่ศาลใหญ่ ?
ตอบ : ให้อยู่ในบ้านนั่นแหละ เพียงแต่คนจีนเขาเคยชินกับแบบนั้น ให้ทำศาลเพิ่มอีกหลังหนึ่ง
ถาม : ถ้าเราจะเอาตี่จู้เอี๊ยออก ?
ตอบ : แค่บอกกล่าวท่านเฉย ๆ ก็พอ
ถาม : จะทำตอนนี้หรือตอนไหนดี ?
ตอบ : ทำตอนขึ้นบ้านใหม่ทีเดียว เพียงแต่ให้จุดธูปบอกกล่าวท่านก่อนว่าเราจะทำอย่างไรบ้าง
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยม "จะถามว่ามาทำบุญหรือมาเล่นหนังก็เกรงใจ จะทำอะไรตั้งจิตตั้งใจให้แน่ ๆ หน่อย ไม่ใช่เอาแต่ถ่ายรูปถ่ายคลิปกัน"
ถาม : จะเจรจากับน้องสาว ต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเราระงับอารมณ์ได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ก็ต้องมีคนกลาง ถ้าเราระงับอารมณ์ได้ก็ไม่จำเป็นให้คนอื่นมาช่วย
ถาม : ถ้าเราไปทำบุญที่วัด มีกล้วยแล้วเราเอากลับไปให้แม่ เป็นหนี้สงฆ์หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าเอาอะไรออกจากวัดก็เป็นหนี้สงฆ์ทั้งนั้น
ถาม : ไม่ใช่ว่ากินแล้วจะดี แต่กลายเป็นหนี้ไปเลย ?
ตอบ : ถ้าเหลือจากพระฉันแล้วกินได้ แต่ว่าห้ามเอาออกจากวัด
ถาม : ถ้าเป็นสำนักสงฆ์จะเหมือนวัดไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกันหมด ถ้ามีพระอยู่ก็ถือว่าเท่ากับเป็นวัด
ถาม : เวลาเราอยู่ในความฝัน เรามีสมาธิหรือเปล่าคะ ? อย่างเช่น อุปจารสมาธิ เราเห็นเหตุการณ์บางอย่างด้วยความเป็นทิพย์อ่อน ๆ
ตอบ : ประมาณนั้น
ถาม : ถ้าเรากำลังฝันหรือกำลังดูหนังเรื่องหนึ่ง พระหรือเทวดาท่านได้ยินไหมคะว่าเรากำลังได้ยินอะไรอยู่ ?
ตอบ : ถ้าท่านสนใจก็รู้ไปด้วย
ถาม : บางทีฝันเหมือนไปรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า รู้ความลับสวรรค์ ลักษณะจะโดนปิดกั้น ไม่รู้ทั้งหมด เป็นเพราะท่านจงใจปิดบังข้อมูลใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ท่านช่วยให้เรารู้มากที่สุดโดยไม่เกินกฎของกรรม พูดง่ายว่า ๆ ปกติเราไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ด้วยซ้ำไป
ถาม : เวลาก่อนนอนขอพรให้ท่านช่วยปิดบังการรู้เห็นพวกฝันร้าย แต่ก็ยังฝันร้าย เป็นเพราะท่านช่วยไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : ให้ภาวนา เมตตัญ จะ สัพพะโลกัสมิงฯ คือบทกรณียเมตตสูตรทั้งบท
ถาม : ภาวนาแล้วก็ยังฝันอยู่ค่ะ ?
ตอบ : ถ้ายังฝันอยู่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ปกติจะไม่ฝันเลย
ถาม : ปกติเทวดาท่านมีการปิดบังได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่เรื่องของท่านที่จะทำอย่างนั้น
ถาม : คนธรรมดาคนหนึ่งสามารถทำให้อีกคนฝันได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังเขาพอก็ทำได้
ถาม : ด้วยไสยศาสตร์หรือถอดจิตมาคะ ?
ตอบ : ใช้กำลังของอภิญญา
ถาม : ผ้ายันต์สามารถป้องกันฝันร้ายได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีผ้ายันต์บางอย่างท่านทำมาแล้วกันเรื่องแบบนี้ได้ด้วย เช่น ธงมหาระงับ ของ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม เป็นต้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเมืองของเรามี ๓ สถาบันหลัก ก็คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ต้องกล่าวให้ชัดเจนว่า ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วก็ชาติ เพราะว่าเมื่อมีศาสนาซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนส่วนใหญ่ พระมหากษัตริย์แสดงพระองค์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ประชาชนทั่วไปเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน จึงสนับสนุนพระองค์ไว้ในที่สูง เมื่อประชาชนพร้อมใจกันสนับสนุน ความเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติก็ปรากฏขึ้น
ดังนั้น...ถ้ากล่าวตามความเป็นจริงต้องกล่าวว่า ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วถึงมาเป็นชาติ แต่ว่าปัจจุบันนี้ทั้ง ๓ สถาบันเหมือนจะขัดกันเองอยู่ในตัว โดยเฉพาะการที่ฆราวาสออกกฎหมายมาปกครองพระ บุคคลที่ศีล ๕ ยังไม่ครบ แต่ออกกฎให้ศีล ๒๒๗ ต้องปฏิบัติตาม เกิดจากการที่ไม่มีความเคารพในพระรัตนตรัยอยู่ในจิตในใจ เล็งเห็นอยู่อย่างเดียวว่าต้องแสวงหาประโยชน์ให้ได้ โดยมีความเห็นว่า ทรัพย์สินในพุทธศาสนาถ้ารวมกันแล้วมีจำนวนเป็นแสน ๆ
ล้าน
ซึ่งถ้าหากว่าเราพิจารณาดูทั่วโลก จะเห็นว่าไม่มีรัฐบาลไหนไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ ไม่มีรัฐบาลไหนยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และไม่มีรัฐบาลไหนที่ประเทศนับถือพุทธแล้วยื่นมือไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนาพุทธ แต่บ้านเราทำ"
"ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้เกิดความเสื่อมขึ้นอย่างรุนแรง เนื่องเพราะว่าฆราวาสคิดอย่างฆราวาส แม้กฎหมายจะไม่ได้ระบุไว้ว่าวัดวาอารามจะต้องเสียภาษี แต่ก็จะมีการบังคับให้เสียภาษี เพราะว่าปัจจุบันนี้ทุกวัดโดนสำนักพุทธฯ ส่งรายชื่อให้สรรพากรบังคับออกบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีแล้ว กฎหมายมีอยู่ว่า เงินที่ได้มาจากการกุศลซึ่งไม่ได้มาจากการทำมาหากินด้วยน้ำพักน้ำแรงไม่ต้องจ่ายภาษี ก็ยังโดนบังคับให้จ่าย
ตอนนี้พระจ่ายภาษีทางอ้อมอยู่ ๒ อย่างคือ ภาษีดอกเบี้ยเงินฝากกับภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ตอนนี้ต้องจ่ายภาษีทางตรง ตอนนี้รัฐบาลบังคับให้เปิดรับบริจาคทางออนไลน์โยงกับกรมสรรพากร ถึงเวลาแล้วใครต้องการใบอนุโมทนาบัตร ทางธนาคารหรือกรมสรรพากรจะเป็นผู้ออกให้ แล้วก็จะดึงทรัพย์สมบัติของวัดทั้งหมดไปบริหารจัดการเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งไม่ทราบว่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนหรือเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ"
"แต่กฎหมายผ่าน ๓ วาระรวดไปแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือเมื่อไรเขาจะสั่งให้ปฏิบัติอย่างเข้มงวดจริงจัง ปัจจุบันนี้บรรดาธนาคารต่าง ๆ วิ่งถึงวัดทุกวัด เพื่อให้วัดต้องทำบัญชีรับบริจาคออนไลน์ ที่เรียกว่า E-donation หลังจากนั้นก็จะส่งข้อมูลให้ทางสรรพากรอำเภอ เพื่อที่จะได้ออกบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี
แต่ตอนนี้ทางทองผาภูมิ ที่มีอยู่ ๕๒ วัดกับ ๑๙ สำนักสงฆ์ มีหลายแห่งที่ยังไม่มีเลขที่บ้าน ในเมื่อไม่มีเลขที่บ้าน ไม่มีทะเบียนบ้าน ก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการเหล่านี้ได้ เพราะว่าพระไม่สามารถที่จะย้ายชื่อตนเองเข้าไป เพื่อออกสมาร์ทการ์ดมาควบคุมได้ กำลังยุ่งวุ่นวายกันไปหมด
ทางด้านนายอำเภอก็ต้องปวดหัวเพราะว่าเป็นฝ่ายปกครอง ทำอย่างไรที่จะออกบ้านเลขที่ให้ โดยที่ตนเองจะไม่โดนลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย อย่างเช่นว่าที่วัดอาจจะตั้งทับที่อุทยาน หรืออยู่ในเขตป่าสงวน หรือทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือพื้นที่กฤษฎีกา ๒๔๘๑ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ทหาร
ตอนนี้ฝ่ายปกครองจากหัวหงอกก่อน แล้วตามมาด้วยธนาคารกับสรรพากร อาตมาเองทำเสร็จแล้วก็ได้แต่นั่งรอ ถ้าเขาให้ QR Code มาเมื่อไรก็สแกนลงเว็บวัดท่าขนุน ต่อมาถ้าญาติโยมท่านไหนอยากได้ใบอนุโมทนาบัตรก็ไปบริจาคผ่าน QR Code ได้"
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.