เถรี
26-03-2018, 09:33
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม จะจับการกระทบของลม ฐานเดียว ๓ ฐาน ๗ ฐาน หรือรู้ตลอดกองลมก็ได้
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากคำถามที่ได้ถามมาในเว็บก็ดี หรือว่าฝากคำถามมากับบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ดี แสดงออกให้เห็นชัดว่า ญาติโยมทั้งหลายที่สอบถามมานั้น ส่วนใหญ่กำลังใจไม่สามารถที่จะทรงสมาธิได้ เพราะว่าถ้ากำลังใจทรงสมาธิได้ ก็จะไม่ไปฟุ้งซ่านถามคำถามในลักษณะแบบนั้น
การทรงสมาธินั้นสำคัญที่สุดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หรือที่เรียกว่าอานาปานสติ ถ้าความรู้สึกของเราอยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ชั่วคราว แม้กระทั่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสว่า บุคคลที่ทรงฌานได้มารจะมองไม่เห็น เพราะว่าผู้ที่ทรงฌานได้ อำนาจของฌานจะกดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว ในเมื่อไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นบริวารคอยรายงาน คอยส่งข่าว มารก็ย่อมหาผู้ทรงฌานไม่เจอ
เราจะเห็นว่าแม้ในความเป็นโลกียะ ก็คือยังคลุกคลีอยู่กับโลก เราก็สามารถที่จะหลีกหนีมารได้ชั่วคราว แต่ถ้าก้าวขึ้นถึงโลกุตระคือเหนือโลก โอกาสที่เราจะพ้นเงื้อมมือมารก็เป็นไปตามลำดับขั้นที่เราก้าวไปถึง ดังนั้น...ในส่วนของอานาปานสติจึงเป็นกรรมฐานที่สำคัญที่สุด ที่เราควรจะจดจ่อ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ชนิดที่ทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ปฏิบัติแค่พอเป็นนิสัย
ถ้าหากว่าบุคคลเราตั้งใจปฏิบัติภาวนา ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน จะต้องทรงฌานได้แน่นอน เพียงแต่ว่าทรงฌานแล้ว ท่านทั้งหลายจะรักษาฌานนั้นเอาไว้ได้นานแค่ไหน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากคำถามที่ได้ถามมาในเว็บก็ดี หรือว่าฝากคำถามมากับบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ดี แสดงออกให้เห็นชัดว่า ญาติโยมทั้งหลายที่สอบถามมานั้น ส่วนใหญ่กำลังใจไม่สามารถที่จะทรงสมาธิได้ เพราะว่าถ้ากำลังใจทรงสมาธิได้ ก็จะไม่ไปฟุ้งซ่านถามคำถามในลักษณะแบบนั้น
การทรงสมาธินั้นสำคัญที่สุดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หรือที่เรียกว่าอานาปานสติ ถ้าความรู้สึกของเราอยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้ชั่วคราว แม้กระทั่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสว่า บุคคลที่ทรงฌานได้มารจะมองไม่เห็น เพราะว่าผู้ที่ทรงฌานได้ อำนาจของฌานจะกดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว ในเมื่อไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นบริวารคอยรายงาน คอยส่งข่าว มารก็ย่อมหาผู้ทรงฌานไม่เจอ
เราจะเห็นว่าแม้ในความเป็นโลกียะ ก็คือยังคลุกคลีอยู่กับโลก เราก็สามารถที่จะหลีกหนีมารได้ชั่วคราว แต่ถ้าก้าวขึ้นถึงโลกุตระคือเหนือโลก โอกาสที่เราจะพ้นเงื้อมมือมารก็เป็นไปตามลำดับขั้นที่เราก้าวไปถึง ดังนั้น...ในส่วนของอานาปานสติจึงเป็นกรรมฐานที่สำคัญที่สุด ที่เราควรจะจดจ่อ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ชนิดที่ทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ปฏิบัติแค่พอเป็นนิสัย
ถ้าหากว่าบุคคลเราตั้งใจปฏิบัติภาวนา ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ในระยะเวลาไม่เกิน ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน จะต้องทรงฌานได้แน่นอน เพียงแต่ว่าทรงฌานแล้ว ท่านทั้งหลายจะรักษาฌานนั้นเอาไว้ได้นานแค่ไหน นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง