View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
ถาม : สังขารในขันธ์ ๕ ที่แปลว่าความคิด ผมพิจารณาอย่างไรจิตผมไม่ยอมรับว่าสังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะผมรู้สึกว่าความคิดดีและความคิดชั่วเป็นของเรา ยกตัวอย่างผมคิดว่าอีก ๑๐ วัน เราจะไปทำสังฆทาน ตัวนี้เป็นตัวคิดดีคือกุศลธรรม หรือผมคิดว่า อีก ๑๐ วันเราชวนเพื่อนไปดื่มเหล้าดีกว่า อันนี้เป็นคิดชั่ว คือ อกุศลธรรม และจะพาคนอื่นชั่วอีกด้วย สรุปได้ว่าจะคิดดีจะคิดชั่วก็อยู่ที่เรา แปลว่าความคิดดีและคิดชั่วเป็นของเรา หลวงพ่อช่วยอธิบายให้ผมเป็นสัมมาทิฏฐิทีครับ
ตอบ : มึงอยากเป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วกูต้องเดือดร้อนไปอธิบายให้มึงเป็นสัมมาทิฏฐิด้วยหรือไอ้ควาย..! ลองคิดดูสิว่า วันนี้เราคิดอย่างนี้ อีกสิบวันเราคิดอย่างเดิมไหม ? ถ้าไม่เหมือนเดิมแล้วจะ "เป็นของเรา" ได้อย่างไร ?
ถาม : ผมอ่านกระโถนข้างธรรมมาสน์ ทราบว่าหลวงพ่อได้เจอพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก และหลวงพ่อก็เคยเป็นพระโพธิสัตว์ ผมสงสัยครับการวางกำลังใจพระโพธิสัตว์จริง ๆ เขาวางอย่างไร ?
ตอบ : เขาวางกำลังใจว่า "กูจะบรรลุ" ไม่ได้พระโพธิญาณอย่างไรก็จะไม่เลิก แต่ปรากฏว่าส่วนมากไปไม่ค่อยจะถึงหรอก
ถาม : นิพพาน ปรมัง สุขขัง ที่แปลว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ผมอยากทราบว่าพระโพธิสัตว์สามารถมีอารมณ์สุขอย่างที่ว่าได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้...ทำตัวให้ได้อย่างท่านก็แล้วกัน พระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่ไปพระนิพพานเป็นปกติ ท่านย่อมรู้อยู่แล้วว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างไร
ถาม : เวลาผมดูลมหายใจเข้าออก และจิตอยากคิดดีไปในอนาคตดู เช่น ถ้าเราทรงฌานสมาบัติและอภิญญาได้เมื่อไร เราจะเอากำลังอภิญญาสร้างพุทธรูปทองคำด้วยอำนาจกสิณ ถวายเป็นพุทธบูชา หรือจะช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา และผมลองเอามรณานุสติมาแก้ ผมก็มีความรู้สึกว่า ไม่อยากคิดทั้งดีและคิดชั่วไปอนาคต เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อยากจะอยู่กับอารมณ์เฉย ๆ อยู่กับลมหายใจอย่างเดียว คือพูดง่าย ๆ อยากอยู่กับปัจจุบันมากกว่าที่จะไปบังคับให้จิตคิดไปอนาคต อยากทราบว่าอารมณ์ที่กล่าวมาแบบนี้ควรจะแก้ไขหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สิ่งควรที่จะแก้ไขก็คือ อยู่กับปัจจุบันให้มากกว่านี้หน่อยหนึ่ง จะได้ไม่มีเวลาไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่น ถ้าจะทำก็รีบ ๆ เร่งการปฏิบัติเอาไว้ ไม่ใช่มัวแต่มานั่งคิดนั่นคิดนี่อยู่ ชาตินี้ก็ไม่มีวันได้อะไรกับใครหรอก
ถาม : จากคำตอบต้นเดือนมกราคมที่หลวงพ่อผมบอกให้ผมมีอิทธิบาท ๔ เพื่อจะได้ทรงฌานได้อีกครั้ง ผมก็เห็นด้วยกับหลวงพ่อและผมได้ฟังธรรมที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเทศน์เรื่องสติปัฏฐาน และบารมี ๑๐ ผมสงสัยครับว่า การจะทรงฌาน ๔ จากอานาปานสติในฐานะฆราวาส ยากแค่ไหนครับ ?
ตอบ : สามวันก็ได้แล้ว ให้เอาจริงเท่านั้นแหละ
ถาม : จากข้อก่อนหน้านี้ ที่ผมรู้ว่าจริง ๆ เราคือจิต และผมลึก ๆ อยากจะใช้ประโยชน์ของธรรมชาติก็คือจิตพาดวงจิตอื่น ๆ ที่ไม่รู้ ที่มีอวิชชาไปแดนพระนิพพานมาก ๆ แบบจิตของพระพุทธเจ้า แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมตั้งใจอย่างนี้เป็นเพราะผมรักและสงสารดวงจิตที่ยังเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในวัฏฏสงสารจริง ๆ หรือเป็นเพราะผมคิดไปเอง ? ในฐานะที่หลวงพ่อเคยเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีมาหลายอสงไขยและทรงจรณะ ๑๕ ผมอยากทราบว่าลักษณะเด่นของคนที่ปรารถนาพุทธภูมิจริง ๆ เป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : มีอะไรก็ "เสือก" เรื่องของเขาไปทุกเรื่อง
ถาม : กระผมอยากได้ คาถาพละกำลังช้างสารครับ ?
ตอบ : ไปท่อง "ฉัตทันตปริตร" ให้ได้ทั้งบทนั่นแหละ
ถาม : ถ้าภาวนาคาถาหลายคาถารวมกันจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ต้องลองทำดู ถ้ามีผลคุณก็จะเป็นคนแรกที่ทำได้
ถาม : การที่เราจะบวชพระแล้วยังมีทรัพย์สินเป็นเงินในบัญชี หรือทรัพย์สินเป็นสิ่งของ เช่น ที่ดิน อย่างนี้ถือว่าผิดพระวินัยหรือเปล่าครับ โดยมีความคิดว่าเผื่อสึกเมื่อไรจะได้มีทุนสำรองเลี้ยงชีพ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นจะบวชไปทำซากอะไรไม่ทราบ ?
ถาม : ถ้าบวชเป็นพระแล้ว สามารถนำเงินในบัญชีมาใช้เป็นการส่วนตัว หรือส่วนสาธารณะได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเงินแต่ดั้งเดิมของเราสามารถใช้เป็นส่วนตัวได้ สึกไปก็เอาไปใช้ได้เหมือนเดิม
ถาม : หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า ไสยศาสตร์ของกะเหรี่ยงอันตรายที่สุด แต่วิชาไสยศาสตร์ของพวกดรูอิด (Druid) ก็สามารถนำพากษัตริย์ของอังกฤษให้ได้รับชัยชนะ จนปัจจุบันอังกฤษเป็นมหาอำนาจของโลก เช่น การสร้างสโตนเฮนจ์ส่งพลัง เป็นต้น หรือว่าพลังไสยศาสตร์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกคือวิชาของพวกดรูอิดครับ ?
ตอบ : พลังไสยศาสตร์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก คือ อภิญญา ๕ ไม่ว่าจะชนชาติไหน ถ้าทำได้ก็มีฤทธิ์พอกันนั่นแหละ
ถาม : จากเก็บตกฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมา หลวงพ่อเมตตาเล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อกวยเอง ท่านเล่นมาทางไสยศาสตร์มาโดยตรง" แบบนี้ถ้าพกวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยติดตัวไปรับยันต์เกราะเพชร จะทำให้อานุภาพของวัตถุมงคลนั้นเสียไป หรือเปลี่ยนแปลงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าหลวงพ่อกวยท่านไม่ได้เล่นไสยศาสตร์ไปทำร้ายใคร ยันต์เกราะเพชรจะต่อต้านเฉพาะพวกไสยฯ ดำที่ทำอันตรายคนอื่นเท่านั้น
ถาม : เวลาผมสวดคาถาหัวใจหนุมาน ผมจะสวดว่า "หะ นุ มา นะ" ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าจิตเริ่มรวม เมื่อจิตรวมได้ระดับหนึ่ง แล้วเกิดอาการร่างกายสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แบบนี้ถือพอจะใช้การได้จริงแล้วหรือยังครับ ?
ตอบ : ลองให้คนอื่นตบกบาลเล่นสักทีหนึ่ง ถ้าสลบเหมือดไปเลยแสดงว่าได้ผลแล้ว..!
ถาม : ผมมีโอกาสไปฝึกมโนมยิทธิ ขณะที่กำลังฝึก ครูผู้ฝึกให้เราเอาจิตพุ่งขึ้นไปที่พระนิพพานโดยให้พุ่งไปที่ทิศใดก็ได้สักระยะหนึ่ง ผมได้ทำตามที่ครูท่านชี้แนะ ขณะที่เอาจิตพุ่งไปยังทิศเบื้องหน้าสักระยะ ความรู้สึกเหมือนรูปร่างของจิตเราจะหายไป มันเหมือนกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระนิพพาน รู้สึกเหมือนไม่ว่าตรงไหนก็เป็นพระนิพพาน แต่เรายังรู้สึกตัวอยู่ แต่มันเหมือนกับจิตเรากลืนกับพระนิพพานรวมเป็นอันเดียวกัน รู้สึกมีความสุข สงบ อย่างประหลาด เป็นสภาวะที่มองไม่เห็นกายหรือแม้แต่จิต แต่มีความรู้สึกว่าอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่าพระนิพพานอยู่ในใจ แต่ไม่ใช่เพราะจิตเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของพระนิพพาน ไม่ทราบว่าผมทำมโนมยิทธิได้ถูกต้องหรือไม่ครับ หรือว่าเป็นอุปาทานครับ ?
ตอบ : ถูกเฉพาะตอนนี้
ถาม : อาชีพของหมอดูจะเป็นการไปดูกรรมในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตของบุคคลที่มาดูดวงกับเรา และชี้แนะแนวทาง เช่น ในแง่ผู้มาดูดวงถามเรื่องความรัก ส่วนใหญ่จะถามว่าบุคคลที่คบกันอยู่ดีหรือไม่ดี ควรคบต่อหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งการดูดวงอาจจะแม่นหรือไม่แม่นก็อาศัยหลักโหราศาสตร์ที่เรียนมาบอกแนะนำ ถ้าบอกไม่ดี แต่ทั้งสองไม่เชื่อในการดูดวง ยังคบกันเป็นปกติ ไม่เลิก ไม่ตรงกับคำทำนายของหมอดู หมอดูจะมีกรรมผิดศีลในมุสาวาทหรือไม่ครับ หรือเป็นการยุยงให้เขาแตกแยกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไปยุ่งกับกรรมคนอื่นที่จะไม่มีโทษนั้นไม่มี แต่ถ้าดูตามหลักวิชาจริง ๆ ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท เพราะว่าจะมีอยู่ประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่นอกเหตุเหนือผล พูดง่าย ๆ ว่าตำราไหนก็ไม่สามารถที่จะดูได้ถูกต้องเพราะว่าท่านเหล่านี้กำลังใจเกินมนุษย์ทั่ว ๆ ไป
ถาม : กรรมของผู้มาดูดวงกับเรานั้นจะส่งผลกระทบต่อกรรมของเรา ในการปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งต่อพระนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ามัวแต่ดูหมอให้เขาอยู่ ไม่ต้องรอกรรมใครเขาหรอก ตัวเองก็ไม่ต้องไปพระนิพพานอยู่แล้ว..!
ถาม : ถ้าชาติหน้าหมอดูยังต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก กรรมในการดูหมอเหล่านั้นจะส่งผลต่อชีวิตของหมอดูในชาติหน้าที่เกิดใหม่หรือไม่ครับ ? เช่น ทำให้เราได้รับวิบากกรรมเหมือนกับที่เราแนะนำให้เขา
ตอบ : ชาตินี้รับเละไปก่อน ส่วนชาติหน้าจะถึงหรือเปล่าก็ต้องดูความหนักเบาของกรรมที่เราไปยุ่งกับเขาด้วย
ถาม : ในแง่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องดูดวงนี้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านบอกเอาไว้ว่า ถ้าซ้อมดูดวงด้วยมโนมยิทธิจนมีความคล่องตัว มีความดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ สามารถรักษาใจให้สะอาดอยู่ได้ แต่อย่าให้คนซักถามซึ่ง ๆ หน้า ถ้าถามซึ่งหน้าแบบที่เรากำลังถามกันอยู่อย่างนี้ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวจะพังในเวลาอันรวดเร็ว
ถาม : มีคำอธิบายที่ว่า ดิถีมหาสิทธิโชค ดีสำหรับงานสำคัญที่เป็นโครงการระยะสั้น และดิถีสิทธิโชค ดีสำหรับงานที่เป็นโครงการระยะยาว แต่ทั้งนี้ดิถีมหาสิทธิโชคเป็นดิถีที่ดีกว่าดิถีสิทธิโชค หากว่าเราต้องการทำโครงการระยะยาว เราเลือกใช้ดิถีมหาสิทธิโชคจะเหมาะสมหรือไม่ หรือจำเป็นต้องเป็นดิถีสิทธิโชคครับ ?
ตอบ : ไปถามคนที่ให้คำอธิบาย ตำรานี้หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่เคยให้คำอธิบายมากไปกว่าดีหรือไม่ดี
ถาม : ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ในวันศุกร์ ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ อมฤตโชค จะเหมาะสมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าพร้อมก็เหมาะสม ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เหมาะสม
ถาม : การทำบุญ เช่น ถวายสังฆทาน ในวันที่ดีตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์จะให้คุณพิเศษอย่างไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากฤกษ์พรหมประสิทธิ์ไม่มี คุณพิเศษก็คือจะไม่ได้ทำบุญ..!
ถาม : การเลี้ยงปลาสวยงามเพื่อขายจะเป็นบาปประการใดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงก็พร้อมที่จะเป็นเวมาณิกเปรตแล้ว บุคคลที่ขายชีวิตผู้อื่น ไม่สมควรเป็นพุทธมามกะ
ถาม : การเลี้ยงสัตว์ที่เราทราบว่าจะถูกนำไปเป็นอาหาร เช่น จิ้งหรีด กบ แล้วขายให้กับผู้รับซื้อต่อ โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้ฆ่าเอง จะเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจขายเพื่อให้เขาเอาไปเลี้ยงสัตว์ บาปตั้งแต่เริ่มทำแล้ว
ถาม : มีเกณฑ์แบ่งอย่างไรหรือครับ ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งมีชีวิต นับเป็นบาปเมื่อฆ่า โดยเฉพาะสัตว์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก แบคทีเรีย ปะการัง และไรแดงที่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารปลาครับ ?
ตอบ : สิ่งไหนมีจิต ถ้าฆ่าก็บาปทั้งนั้น
ถาม : การที่สร้างสมเด็จองค์ปฐม และท่านพระยายมราชจะพยายามช่วยไม่ให้ลงอบายภูมินั้น ท่านจะช่วยเป็นจำนวนกี่ชาติหรือครับ ?
ตอบ : ชาติที่สร้าง
ถาม : หากต้องการให้ท่านช่วยลักษณะนี้ในชาติต่อ ๆ ไปด้วย หากไม่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ต้องสร้างสมเด็จองค์ปฐมไปทุก ๆ ชาติ..!
ถาม : พระอาจารย์เคยกล่าวว่าเทวดานางฟ้าที่ยังอยู่ในโลกียภูมิ ไม่ได้บรรลุอริยมรรคอริยผลนั้น สามารถทำบุญเพิ่มได้เพื่อให้สามารถอยู่ในภพภูมินั้น ๆ ได้ยาวนานขึ้น ขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า แล้วเทวดานางฟ้าเหล่านั้น จะสามารถทำบุญต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือภพภูมิที่ต่ำกว่าอีก และเข้าสู่พระนิพพานเลยได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ามีกำลังใจมุ่งมั่นพอก็ทำได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นคือเพลิดเพลินเจริญใจจนหมดอายุแล้วก็ร่วงลงอบายภูมิไปเลย
ถาม : เมื่อเทวดานางฟ้าที่ยังอยู่ในโลกียภูมินั้นทำบุญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ท่านจะมีโอกาสเปลี่ยนชั้นไปอยู่สวรรค์ชั้นที่สูงกว่าได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังบุญเปลี่ยน กำลังใจเปลี่ยน ก็สามารถที่จะเลื่อนได้
ถาม : เมื่อสิ้นกัป สวรรค์ชั้นต่ำกว่าพรหมจะถูกทำลายได้อย่างไรหรือครับ ในเมื่อสวรรค์เป็นภพภูมิที่ละเอียดกว่าโลก และอยู่ในความสูงที่เหนือกว่าพื้นโลกขึ้นไป ?
ตอบ : ก็เขาทำลายถึง ละเอียดกว่าโลกแต่ทำลายไม่ได้ก็ไม่เป็นอนิจจังนะสิ
ถาม : หากสวรรค์ถูกทำลายเมื่อสิ้นกัป แล้วเหล่าเทวดานางฟ้าอันมีแต่กายจิต ไม่มีกายหยาบ จะถูกทำลายไปด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเผ่นไม่ทันก็โดนไปด้วยเหมือนกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ใครมีวัตถุมงคลที่ตัวเองมั่นใจก็ขนมาใส่ได้แล้วนะ สถานการณ์โลกไม่ค่อยจะดีแล้ว แต่ถ้าใส่เฉย ๆ ไม่รู้จักอาราธนา ไม่รู้จักภาวนาก็ตัวใครตัวมัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับท่านที่ไม่นิยมพระ แต่นิยมเครื่องราง ก็ใส่แหวนยันต์เกราะเพชรหรือกำไลนวหรคุณก็ได้ แต่ที่สำคัญก็คือภาวนาเอาไว้ทุกวัน โดยเฉพาะถ้าเป็นไปได้ ให้สวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ถวายหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมท่านวันละ ๓ จบ ขอบารมีท่านรักษาตัวเราและคนที่เรารัก ให้อยู่รอดปลอดภัยในทุกที่ คิดว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง
วัตถุมงคลที่ว่ามาทั้งหมดได้รับการสงเคราะห์พิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องของการปกป้องคุ้มครอง ความจริงก็มีมาก แต่ตอนนี้นึกได้เท่านี้แหละ"
ถาม : การทำผิดกฎหมายเป็นบาปในทุก ๆ ข้อกฎหมายหรือไม่ครับ เช่น ขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด ?
ตอบ : ขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนดโดนตำรวจจับ ต่อให้ไม่โดนตำรวจจับ เราก็รู้ว่าเรากำลังทำผิด ก็แปลว่าสภาพจิตเศร้าหมอง บุคคลที่สภาพจิตเศร้าหมอง ถือว่าเป็นบาปหรือไม่ก็โปรดพิจารณาเอาเอง
ถาม : การทำผิดกฎหมาย ที่ผิดศีลห้าด้วย เช่น การฆ่าคน และได้ถูกพิพากษาให้ติดคุก หรือถูกประหารชีวิต โทษที่ได้รับนี้จะลดหย่อนโทษที่จะได้รับเมื่อตกนรกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่มี ทางโลกก็ลงโทษแบบทางโลกไป ทางโลกหน้าก็ลงโทษแบบโลกหน้าไป ไม่มีการมาหักกลบลบล้างกัน
ถาม : ผู้ขายยาเสพติด ยาบ้า จะมีบาปให้เกิดโทษอย่างไรในภายภาคหน้าบ้างครับ ทั้งในนรกและเมื่อเกิดใหม่อีก ?
ตอบ : ไม่ต้องภายภาคหน้าหรอก แค่ตำรวจจับได้ โอกาสจะโดนประหารชีวิตก็มีสูงแล้ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้สองพันเม็ดก็ประหารชีวิต ไม่เห็นหรือว่าระยะหลังจับได้ทีเป็นแสนเป็นล้านเม็ด เพราะว่าไหน ๆ จะตายแล้วก็ต้องเอาให้คุ้ม
ถาม : หากเราทราบว่าเคยทำกรรมปาณาติบาตไว้ และจะต้องถูกทำให้เจ็บป่วย หากว่าเราเคยทำร้ายตนเองมาก่อน จะถือว่าเป็นการใช้กรรมปาณาติบาตนี้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องวาระของกรรมต้องดูด้วยว่าเกิดจากอะไร ถ้าช่วงนั้นเราโดนวาระกรรมบังคับให้ทำร้ายร่างกายตัวเอง ก็ถือว่าเป็นการชดเชยในครั้งนั้นไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็เท่ากับเจ็บตัวฟรี..!
ถาม : การเป็นพรหมเหตุใดจึงต้องตายในฌานเท่านั้นครับ ?
ตอบ : เพราะว่าตายนอกชานแล้วเปียกฝนโดนแดด...! ฌานเป็นคุณสมบัติของพรหม ถ้าทำตามคุณสมบัติไม่ได้ ย่อมไม่ได้ไปเกิดเป็นพรหมอยู่แล้ว จึงต้องตายในฌานเท่านั้น
ถาม : การปฏิบัติตามพรหมวิหาร ๔ แต่ไม่ได้ตายในฌาน จะมีโอกาสเกิดเป็นพรหมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ไม่มีโอกาส
ถาม : การถวายพระพุทธรูปผาติกรรมขนาดหน้าตัก ๕ นิ้วนั้น หากเวียนถวายพระพุทธรูปพร้อมปัจจัยที่เตรียมไว้ แบ่งเป็นจำนวนหลาย ๆ ครั้ง ครั้งละไม่มาก จะได้อานิสงส์สร้างพระพุทธรูปเพิ่มตามจำนวนครั้งที่ถวายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเราไม่ได้สร้างพระพุทธรูป การผาติกรรมถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อให้มีวัตถุเอาไปถวายเท่านั้น ส่วนที่ได้ก็จะเป็นพุทธานุสติมากกว่า ถ้าหากว่ากำลังใจเข้มแข็ง ถวายครั้งเดียวจบเลยก็ถือว่าได้ แต่ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็ง ต้องถวายหลาย ๆ ครั้ง ได้เห็นพระหลายครั้งก็จะเป็นอานิสงส์ที่เพิ่มมากขึ้น
ถาม : กระผมทราบมาว่า ปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออานิสงส์การถวายทานคือ จิตใจของผู้ถวายใน ๓ ระยะ คือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ทาน กระผมจึงขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า อานิสงส์การถวายทานจะเพิ่มได้มากขึ้นเรื่อย ๆ หากเราระลึกถึงทานที่เคยทำไปแล้วนั้นบ่อย ๆ ด้วยความยินดี ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า จาคานุสติ นึกเมื่อไรก็เป็นบุญเมื่อนั้น เพราะว่าสภาพจิตของเรามีการสละออก โดยเฉพาะในช่วงที่เราระลึกถึงความดี จิตใจปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง สามารถนึกได้มากเท่าไร อานิสงส์ของเราก็มีมากเท่านั้น
ถาม : อานิสงส์ของบุญสามารถเพิ่มได้ใช่หรือไม่ครับ เช่น บุญช่วยบวชเณรที่ไม่ใช่ญาติ จะได้อานิสงส์เกิดเป็นเทวดานางฟ้า หรือเป็นพรหมคนละ ๔ กัป แต่หากระลึกถึงบุญนั้น ๆ ด้วยความปีติบ่อย ๆ อานิสงส์ของบุญนั้นก็จะมากขึ้นด้วยใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้เท่าเดิม เพียงแต่ว่าในบุญที่เราระลึกถึงกุศลกรรมนั้นต่างหาก ที่ช่วยให้เราได้อานิสงส์มากขึ้น
ถาม : รู้สึกว่าในช่วง ๑ ปีมานี้ มีหลวงปู่องค์สำคัญ ๆ หลายองค์ ต่างก็มรณภาพติด ๆ กัน จนดูเหมือนว่าอาจจะไม่ใช่การมรณภาพโดยธรรมชาติ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าอาจจะมีการวางยา หรือ อะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้อาการป่วยที่ท่านมีอยู่เดิมนั้นเกิดอาการกำเริบขึ้น อยู่ดี ๆ อาการก็ทรุดหนัก และมรณภาพภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่เดือน
นอกจากนี้ ครูบาอาจารย์บางองค์ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ อยู่ดี ๆ ก็มีโยมสร้างรูปเหมือนของท่านมาถวายท่านที่วัด ทั้ง ๆ ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้น ๑ ปี หลวงปู่องค์นั้นท่านก็มรณภาพ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าการมรณภาพของท่านนั้น เกี่ยวกันหรือเปล่ากับเรื่องของการสร้างรูปเหมือนของท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิต
และในช่วง ๑ ปีมานี้ ก็มักจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาคลุกคลีในวัดบางวัดมากขึ้น ผิดจากแต่ก่อน ซึ่งก็ไม่อาจจะทราบได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ถ้าเป็นไปตามที่สงสัยจริง ก็แสดงว่าช่วงนี้ครูบาอาจารย์ท่านก็กำลังอยู่ในอันตราย แล้วแบบนี้เราจะมีทางป้องกันและแก้ไขกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ป้องกันด้วยการพาตัวเองให้พ้นอันตรายโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ไปป้องกันครูบาอาจารย์..! คนเราถ้าหมดบุญ หมดกรรม หมดอายุ หมดอาหาร อย่างไรก็ตาย เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปเสียเวลากังวลว่าท่านจะตายเพราะเหตุใด แต่ควรจะกังวลว่าเราตายแล้วจะไปไหนดีกว่า
ถาม : พระพุทธศาสนามีผลต่อความสงบสุขหรือความทุกข์ของประเทศชาติและสังคมหรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีอย่างเต็มที่ พูดสามวันก็ไม่จบ ไปศึกษาเอาเอง
ถาม : การต่อเติมบ้านให้ดีขึ้น ดูใหม่ขึ้น แล้วเราจัดงานขึ้นบ้านใหม่ในวันศุกร์ตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ แบบนี้จะมีผลดีตามที่ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ได้บอกไว้หรือไม่ครับ หรือว่าต้องเป็นบ้านที่สร้างขึ้นใหม่เท่านั้น ?
ตอบ : การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่เราก็ทำบุญเลี้ยงพระเป็นการสร้างกุศล การสร้างกุศลก็ย่อมทำให้ตัวเราดีขึ้นทั้ง กาย วาจา และใจ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น""จะเป็นบ้านเก่าหรือบ้านใหม่ ต่อเติมหรือไม่ต่อเติม ถ้าคิดจะจัดงานขึ้นบ้านใหม่ก็รีบ ๆ ทำเสีย เพราะว่าเท่ากับเรามีโอกาสสร้างบุญกุศลให้มากขึ้น
ถาม : ทรายเสกของหลวงพ่อฤๅษีฯ จะต้องหว่านบ่อยครั้งเท่าใด เพื่อให้อานุภาพยังคงอยู่ ?
ตอบ : หว่านครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต แต่ให้นึกถึงบารมีพระ อาราธนาท่านคุ้มครองอยู่บ่อย ๆ
ถาม : หากหว่านแล้ว เราหรือคนอื่นเดินข้ามบริเวณที่หว่านทรายเสกเอาไว้ อานุภาพจะสลายไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องของพุทธานุภาพไม่มีคำว่าเสื่อม
ถาม : เนื่องจากได้รับฟังหลวงพ่อแนะนำว่า บุญบางประเภท เช่น การปล่อยปลาที่จะถูกฆ่า มีผลป้องกันอุปฆาตกรรมหรือป้องกันวิบากเกี่ยวกับสุขภาพ จึงขอสอบถามว่าหากรับฝากทำบุญปล่อยปลา แล้วคนที่ฝากมากำลังอยู่ในช่วงวิบากเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ผู้รับฝากจะโดนหรือมีส่วนที่ต้องรับวิบากของผู้ฝากทำบุญปล่อยปลานั้นมาด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ทำไมไม่คิดว่าเรามีส่วนในบุญนั้นด้วย ? ในเมื่อวิบากกับบุญนั้นเป็นสิ่งที่ต่อต้านกันเองโดยตรง เราทำความดีก็เป็นการป้องกันไปในตัวแล้ว
ถาม : ผมสงสัยว่าผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ทำไมเขาต้องตามหาคู่บารมีกัน แทนที่จะนำเวลาไปปฎิบัติ เราจำเป็นต้องตามหาด้วยหรือเปล่าครับ ? ผมเห็นบางคนถึงขนาดเลิกกับสามีหรือภรรยา มาคบกับคนที่ปรารถนาไปด้วยกัน หรือว่าแอบคบกัน แบบนี้ไม่ยิ่งผิดศีลเข้าไปอีกหรือครับผม ?
ตอบ : ไปถามเขาดู
ส่วนใหญ่คำถามของพวกเรามักจะไปฟุ้งซ่านกังวลกับเรื่องของชาวบ้าน เรื่องการปฏิบัติของตัวเองแทบจะไม่มีเลย ซึ่งเป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะแย่มาก บางคนก็ฟุ้งซ่านแต่ว่าจะหาอะไรมาถามพระอาจารย์ แทนที่จะไปนั่งภาวนาให้ทรงฌานได้ไว ๆ ยังดีที่ไม่ถามว่า "นาฬิกายืมเพื่อนมาจริงหรือเปล่า ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบอกกับญาติโยมทั้งหลายมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่า ปีนี้สภาพของภัยธรรมชาติจะแรง ขณะเดียวกันภาวะของความขัดแย้งก็รุนแรงขึ้น ใครที่มีวัตถุมงคลที่มั่นใจก็พกติดตัวไว้บ้าง ไม่ใช่พกติดตัวไว้เฉย ๆ ให้อาราธนาไว้บ่อย ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไทยส่วนใหญ่ขาดภาวะผู้นำ ไปไหนก็มักจะไปซุกอยู่ท้าย ๆ จนกระทั่งเขาบอกว่า "มาก่อนนั่งข้างหลัง มาทีหลังนั่งข้างหน้า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นพวกญาติโยมมาก ๆ อาตมาก็ไปนึกถึงพวกหนอน แมลง ไปไหนทีมาก ๆ ฮือกันไป เป็นผึ้ง เป็นต่อ เป็นแตน เป็นมด ก็ลักษณะเดียวกัน แต่สิ่งที่เราชุมนุมกันก็คือเพื่อทำความดี ในเมื่อเราทำความดี โอกาสที่เราจะปรับภพปรับภูมิให้สูงขึ้น หรือหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานก็มีอยู่ แต่ลักษณะของการแย่งกันกิน แย่งกันใช้ โอกาสที่จะยึดติดหลงผิดลงอบายภูมิก็มีมาก
ตลอดสามวันมีญาติโยมมาถวายสังฆทานให้กับญาติตัวเองหลายราย อาตมาเห็นอยู่รายเดียวที่มารับบุญ แปลว่าที่เหลือไม่รอดสักราย..!"
"ในเรื่องของการลงอบายภูมิเป็นเรื่องง่าย พวกเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝืน จะต้องพยายามสร้างความดีในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีกำลังสูงเข้าไว้ ถึงเวลากำลังใจเกาะความดีได้ อย่างน้อยก็พ้นอบายภูมิไปก่อน ถ้าพ้นอบายภูมิไปแล้ว สภาพจิตของเรามุ่งมั่นต่อความหลุดพ้น อย่างน้อยก็ไปตกในสถานที่ดี สามารถที่จะสร้างบารมีต่อได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้เขานิยมกันเรื่องทาครีมแล้วผิวขาว ปรากฏว่าลายเป็นตุ๊กแกไปเลย และรักษาไม่หายด้วย เพราะว่าผิวเสียหมดแล้ว ขอยืนยันว่าคนไทยแต่เดิม "ดำ" สยาม แปลว่า ดำ ตรง ๆ อยู่แล้ว ที่เห็นขาวอยู่ทุกวันเพราะว่ามีเชื้อเจ๊ก เพราะฉะนั้น...ผิวขาวหรือผิวดำไม่ใช่สาระ ถ้าผิวขาวแต่ซกมกก็ไม่มีใครแลเหมือนกัน
ถ้าจะซื้อครีมมาใช้งานให้สังเกตด้วย ครีมอะไรที่บอกว่าทาแล้วขาวทันใจ ได้โปรดทราบว่าท่านกำลังหาเรื่องเดือดร้อนแล้ว ต่อให้มี อย. ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าตอนที่เขาส่งให้ อย. ตรวจ เป็นของที่ไม่ได้ใส่เสตียรอยด์ ไม่ได้ใส่สารปรอท แต่พอผ่านการตรวจของ อย. ไปแล้ว คราวนี้เขาจะใส่อะไรก็ได้ อย่างไหนที่โฆษณาว่าทาแล้วขาวทันใจ โปรดเว้นไว้ห่าง ๆ เลย แต่ถ้าบอกว่าบำรุงผิว ทำให้เต่งตึง ทำให้ชุ่มชื้น ยังพอที่จะเชื่อได้"
ถาม : เราอยู่ในบริษัทที่ทำครีมประเภทนี้ เราเป็นผู้จัดจำหน่าย หรือเป็นเซลล์ อย่างนี้เรามีส่วนร่วมเต็มร้อยไหมครับ ?
ตอบ : ทำตามหน้าที่ของเรา อย่าไปโฆษณาเกินจริง หรือไม่ก็บอกเขาว่าขาวพักเดียวนะ ต่อไปจะลายเป็นตุ๊กแก...!
ดูแลร่างกายให้สะอาด ชำระจิตใจให้ผ่องใส สำคัญกว่ามาก แต่คนเรามักจะไปยึดแค่ร่างกายนี้ อยากจะสวย ถึงเวลาแพ้ครีมขึ้นมาก็ลายเป็นตุ๊กแก อาตมาเห็นบางคนยังนึกว่าเพิ่งจะกลับชาติจากตุ๊กแกมาเกิดเป็นคน..!
ถาม : ชาวบ้านไม่พอใจ ขู่จะเผาวัด (พระมาปรึกษา) ?
ตอบ : เรื่องของเขา จะไปเดือดร้อนอะไรกับเขา เขาจะมามากเท่าไรเราก็เหมือนเดิม ถ้าเป็นผมต้องบอกว่า “กูไม่รังแกมึงก็เป็นบุญของมึงแล้ว..!” คุณคงเข้าใจใช่ไหม ?
ถ้าเขาจะประชุมก็ให้ประชุมไป ส่วนเราเอาเรื่องของกฎหมายบ้านเมืองเป็นหลัก เรื่องของระเบียบของคณะสงฆ์เป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องความพอใจของชาวบ้านเป็นหลัก
ถ้าเราไม่ให้ความร่วมมือเสียอย่างเขาจะทำอะไรได้ อยากจะทำอะไรก็เชิญ ถ้าเผาวัดเราก็ถ่ายคลิป ไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงกับเขาหรอก เพราะว่าการไปเถียงกับเขา ภาพพจน์ของพระเราจะไม่ดี มีอยู่อย่างเดียวคือ ถ้าจะเจรจากันดี ๆ ก็ติดต่อมา
เรื่องของพระในวัดมีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือเขาอยู่กับเรารู้สึกว่าดีเขาก็จะอยู่ แต่ถ้าอยู่กับเราอยู่แล้วไม่มีอะไรดี เขาก็ไปกันหมด แล้วเรื่องนี้บางทีก็ต้องดูที่ตัวเราเองด้วย ว่าทำอะไรไม่เป็นที่ถูกใจของพระในปกครองหรือเปล่า ?
ถ้าเป็นผม ชาวบ้านกระเจิงไปนานแล้ว คุณปรึกษาผมได้ แต่กำลังใจคนละอย่างกัน วิธีบริหารคนละอย่างกัน ปรึกษาแล้วจะได้อะไร ?
แจ้งทางเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอไป ส่งรายละเอียดให้ท่านว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เราก็มีหน้าที่รักษาวัด นอกนั้นก็แล้วแต่นโยบายของเจ้านายเขา เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชาวบ้านจะใหญ่กว่าศาล ถ้าหากว่านักข่าวมาก็ถามสิว่า สิ่งที่ศาลตัดสินนี่สามารถใช้กฎหมู่เอาชนะได้ใช่ไหม ? เราจะได้ไม่ต้องเชื่อกฎหมายกัน การอยู่ในที่ซึ่งคุณไม่ได้มีสิทธิ์เลย เวลาอยู่แล้วคิดว่าเป็นของคุณโดยที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองเลย เป็นสิ่งที่ถูกต้องใช่ไหม ?
ก็บอกไปสิว่าจะคุยก็มาคุยกันในวัด ที่วัดสถานที่ก็มี ถ้าทหารมาเชิญตัวไปไม่ใช่แปลว่าเราต้องไป ทหารไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย อำนาจตามกฎหมายเป็นของตำรวจ แต่ตำรวจถ้าไม่มีหมายจับหรือหมายค้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ ยกเว้นว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ไม่ได้แปลว่าเขาเรียกมาแล้วเราต้องไป
ถ้าเขามารุมกระทืบพระนี่เป็นสิ่งที่เราต้องการ เพราะว่าผิดกฎหมายชัดเจนเลย คดีอาญายอมความไม่ได้ด้วย คุณจะฟ้องหรือไม่ฟ้องอัยการเขาก็ต้องจัดการเอง จริง ๆ แล้วควรที่จะกวนตีนให้เขากระทืบเราเสียด้วยซ้ำไป...!
ผมไม่เคยคิดอะไรล่วงหน้าเลย แก้ไขตามสถานการณ์ตลอด คิดล่วงหน้าก็ประสาทกินไปก่อน
เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย มีสิทธิ์ในการปกครองสอดส่องดูแล และใช้อำนาจตามราชบัญญัติคณะสงฆ์ในพื้นที่ของตัวเอง ถ้าไม่มีความผิดอะไรชัดเจน ทางด้านคณะสงฆ์ไม่มีใครปลดคุณออกได้ เพราะว่าจะเป็นการใช้หน้าที่โดยมิชอบ ถ้าเราไม่ออกเอง ไม่มีเจ้านายคนไหนเขามาเสี่ยงด้วยหรอก
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสายวัดป่าท่านบอกว่า ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยอย่าเอาเข้าโรงพยาบาล พอเข้าโรงพยาบาลแล้วต้องตามความเห็นของหมอ เพราะฉะนั้น...หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านไม่ค่อยอยากเข้าโรงพยาบาลกันเท่าไร
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเลยว่า ที่ตายของท่านคือโรงพยาบาล ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างไรเอ็งอย่าเอาข้าเข้าไป" แต่ก็อย่างว่าแหละ..ถึงเวลาเขาก็เอาท่านเข้าไป ที่น่าเสียดายที่สุดคือหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ยังไม่หมดอายุ คือท่านเข้าโรงพยาบาลแล้ว ท่านเห็นว่าทำไมคืนนี้ไฟถึงได้สว่างผิดปกติ ถามลูกศิษย์ก็บอกว่า วันนี้เขาประดับไฟเนื่องจากวันที่ ๕ ธันวาคม ท่านก็ตั้งใจเข้าสมาธิถวายบุญในหลวง ร.๙
ปรากฏว่าพอท่านเข้าสมาธิ กราฟหัวใจไม่ขึ้น เครื่องดังตี๊ดดด..! รายงานว่าไปแล้ว พวกพยาบาลก็เลยปั๊มหัวใจกันใหญ่ จนท่านรำคาญ ท่านก็เลยไปเลย
ของหลวงปู่มหาอำพันดีที่ผมเฝ้าอยู่ เพราะหมอเขาตรวจเสร็จ เขาวิ่งตาเหลือกไปตามหัวหน้าตึกมา บอกว่าหลวงปู่สิ้นแล้ว ผมก็เลยสะกิด “หลวงปู่ครับ หมอเขาตกใจ” ท่านก็เลยลืมตาขึ้นมาดู"
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านล็อกประตูตลอด ท่านบอกว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเปิดเข้ามา เดี๋ยวพวกแกตกใจว่าข้าตายจะเอาไปเผาเสีย มีอยู่ครั้งหนึ่งหมอเขาเอาเครื่องวัดหัวใจไปติดให้ท่าน ต้องติดหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ปรากฏว่าพอหมอไปตรวจแล้วก็ตกใจ เพราะว่าหัวใจหลวงพ่อหยุดเต้นคืนหนึ่ง ๓๐๐ กว่าครั้ง เนื่องจากเข้าสมาธิสูงจนเครื่องวัดไม่ได้ เขาเหมาเอาว่าตายไปแล้ว หัวใจหยุดเต้นแล้ว
ผมเองก็โดนโยมถลุงเสียปางตายไปทีหนึ่ง เขาเล่นเอาพวกผ้าขนหนูผืนใหญ่ ๆ ชุบน้ำร้อนรูดกันใหญ่เลย เขาบอกว่าต้องทำให้ตัวอุ่น เล่นรูดเสียจนผิวพังหมดเลย เพราะว่าน้ำมันตามผิวไม่มีเหลือ ตื่นเช้าขึ้นมาแสบไปทั้งตัว เล่นบ้า ๆ...! ผมทนอาการไม่ไหวก็ต้องไป ทางด้านนี้ยำเสียเละเลย เดี๋ยวนี้ถ้าผมอยู่ในห้องปรับอากาศจะคันคะเยอ บางทีหมอให้โลชั่นทาผิวมา ขวดหนึ่งใช้ไม่ถึงเดือนก็หมด พอไม่ทาก็คัน บางทีทาเสียจนกระทั่งกลิ่นตลบไปหมด จนคนเขามองหน้าว่าเป็นตุ๊ดหรือเปล่าวะ ?"
"ตอนนั้นพระมีกุญแจห้องผมอยู่ ๔-๕ ท่าน เขารู้สึกว่าเป็นเกียรติเป็นศรีมากที่มีกุญแจห้องของอาจารย์ ผมก็ลืมไป พอถึงเวลาท่านเข้าไปดูเห็นว่าผมเงียบไป ท่านก็รีบช่วยกันใหญ่"
"ท่านเผื่อนกับท่านพระครูน้อยสงสัยว่า การเข้าสมาธิถึงขนาดหยุดการเต้นของหัวใจได้จริงหรือ ? ก็เลยต้องทำให้ท่านดู เพราะว่าเป็นพระด้วยกัน แสดงไปก็ไม่เป็นอาบัติ คนหนึ่งก็จับชีพจรซ้าย คนหนึ่งจับชีพจรขวา เดินไปคุยไป ๆ พักหนึ่งท่านเผื่อนก็หัวเราะ “อาจารย์ครับ ไม่เต้นเลยครับ” จึงบอกไปว่า “คุณกำลังคุยกับผีอยู่..!”
แต่ว่านานกว่านั้นไม่ได้ เพราะว่าร่างกายเราเคลื่อนไหวอยู่ ถ้าหากปล่อยให้ไม่เต้นนาน ๆ เดี๋ยวร่างกายจะน็อก แค่ทำให้ท่านรู้ว่าเรื่องแบบนี้ทำได้จริง ๆ"
ถาม : เดือนที่แล้วได้ยินเสียงกระซิบบอกให้ผมพกพระไพรีพินาศ ?
ตอบ : พระกริ่งพิชัยสงคราม พระไพรีพินาศ พระนาคปรก เหรียญพุทธบารมี เหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์ หรือไม่ก็เหรียญรัชกาลที่ ๕ ไปเลือกเอา ระยะเวลาที่โลกเราไม่ค่อยจะปกติ มีสักองค์ก็พอแล้ว ไม่ต้องพกเยอะหรอก
ถาม : ที่พระอาจารย์เดินคุยกับเขา แล้วให้เขาจับชีพจรปรากฏว่าไม่เต้น ฌานอะไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือฌานสี่ แต่เป็นฌานใช้งาน เรื่องฌานใช้งานนั้นพูดยาก อย่างเช่นเมื่อเช้าโยมถามว่า อยู่ในระดับเหมือนกับปฐมฌาน แต่กำลังที่คุมอยู่คือฌาน ๔ เพราะฉะนั้น...ความสงบจะเท่ากับฌาน ๔ แล้วทำการทำงานได้เหมือนกับปฐมฌาน เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าอธิบายลำบาก
ผมไปให้หมอตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาลภูมิพลเพราะว่าโยมอยู่ที่นั่น เขาวัดชีพจรได้ ๕๒ ครั้งต่อนาที หมอว่าทำไมหัวใจเต้นช้ามาก ? ต้องบอกว่านี่คือปกติของอาตมา หมอบอกว่าถ้าท่านไม่ได้บอกว่าปกติ จะอัดน้ำเกลือให้ ๒ ขวด
พอรู้สึกว่าหมอตรวจร่างกายก็เผลอเข้าสมาธิ ยังดีที่ไม่เข้าเสียสุด พอรู้สึกว่าหมอตรวจร่างกาย ก็ตามสบายโยมเถอะ เราก็ไปของเรา หมอบอกว่าอาการอย่างนี้มี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ นักกีฬาที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก อย่างที่ ๒ ก็คือคนไข้ช็อก หมอถึงได้บอกว่าถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าปกติ จะอัดน้ำเกลือให้ ๒ ขวด
ถาม : การเข้าสมาธิ น่าจะยืดอายุได้ ?
ตอบ : ช่วยให้พักผ่อนได้มากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องอายุ อายุเป็นไปตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา หมดอายุตาย หมดอาหารตาย หมดบุญตาย หมดกรรมตาย
ผมดูแลหลวงปู่มหาอำพัน ๔๕ วันท่านแข็งแรงดี หลวงพี่มนตรีดูแลอยู่ไม่กี่วันท่านมรณภาพ หลวงพี่มนตรีโดนด่าจมดินไปเลย ท่านมาคร่ำครวญกับผมว่า “ดูสิ..พี่เล็ก ผมเป็นหมาไปเลย” ว่าอย่างนั้น
หลวงปู่ท่านเป็นถุงลมโป่งพอง ท่านไม่ได้สูบบุหรี่นะ แต่ท่านจุดธูปทุกวันเช้าเย็น แล้วกุฏิอับ ก็เลยกลายเป็นถุงลมโป่งพอง เมื่อหายใจได้น้อย ถ้าเคลื่อนไหวมาก ๆ ก็จะหอบ ผมจึงให้ออกซิเจนท่านครั้งละ ๑-๒ นาที พอท่านอยู่ได้ผมก็เอาออก
คราวนี้คนอื่นเห็นว่า พอท่านได้ออกซิเจนแล้วท่านสบายก็ปล่อยยาวไปเลย ถึงเวลาปอดจึงขี้เกียจหายใจ หลวงพี่มนตรีพาหลวงปู่เข้าห้องน้ำ แล้วตัวเองก็มาทำความสะอาดเตียง ปรากฏว่าทางด้านหลวงปู่หายใจไม่ทัน แล้วส่งเสียงเรียก แต่เสียงท่านเบา หลวงพี่มนตรีมัวแต่ทำความสะอาดเตียง ปูเตียงใหม่อยู่...ไม่ได้ยิน กลับไปหลวงปู่หน้าเขียวไปแล้ว
ถาม : หลวงปู่อายุเท่าไรครับ ?
ตอบ : ๘๘ ปี
ถาม : ผมเคยเจอท่านตอนท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : ผมดูแลท่านอยู่ ๔ ปีไม่เป็นอะไร พอหลวงพี่มนตรีดูแลพักเดียวก็มรณภาพ โยมด่าชนิดที่ไม่ฟังเสียงเลย ตอนหลวงปู่ธรรมชัยก็เหมือนกัน คนทางโน้นจะเอาหลวงปู่ธรรมชัยกลับเชียงใหม่อย่างเดียว แต่ทางด้านเราบอกว่า ลูกศิษย์ส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯ เมื่อลูกศิษย์ส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯ ก็ทำบุญที่กรุงเทพฯ สัก ๗ วันค่อยเอาไป โอ้โฮ...เขาโทรมาด่าแหลกเลยครับ ผมเองทั้ง ๆ ที่เป็นพระรับสายยังโดนด่าไม่เลี้ยงเลย
เขาบอกว่า “จะเอาหลวงปู่ไว้หากินใช่ไหม ?” โดยที่เขาไม่ฟังเหตุผลเราเลย ผมก็เลยอยากจะสวนไปว่า “นี่มึงไม่ได้คิดจะหากินใช่ไหม ? ถึงได้ด่ากูขนาดนี้” แต่ขี้เกียจเถียงกับโยม สมัยหลวงปู่ชุ่มก็อีกทีหนึ่ง ตอนนั้นมรณภาพแล้วเขาจะเอากลับให้ได้ ถึงขนาดประเภทกระแทกฝาโลงใส่หน้าหลวงปู่บุดดา จนหลวงปู่บุดดาเดินหนีไปเลย
ถาม : ตอนนี้ที่วัดมีพระเรียนกี่รูปครับ ?
ตอบ : ตอนนี้เรียนปริญญาตรี ๑๐ รูป เป็นของวัดอื่นด้วย ปริญญาโทอยู่ ๙ รูป เทอมหน้าจะเป็น ๑๒ รูป มีวัดอื่นมาขอทุน และเรียนบาลีอยู่ ๘ รูป
ถาม : เรียนบาลีที่ไหนครับ ?
ตอบ : ที่สหบาลีศึกษาจังหวัดนครปฐม ที่นี่เข้มงวดดีครับ สหบาลีศึกษาวัดพระปฐมเจดีย์เป็นคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมก่อตั้งขึ้นมา ตั้งแต่สมัยหลวงปู่วัดไร่ขิงเป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ ดำเนินงานมา ๔๐ กว่าปีแล้ว เขามีการติวภายใน ติวภายนอกอะไรพวกนี้ แล้วพระวัดท่าขนุนไปกวาดรางวัลเขามาหมด
ถาม : ผมกำลังเรียนประโยคสามด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าจะไปรอดไหม ?
ตอบ : ประโยค ๑-๒ ได้แล้วใช่ไหม ? ถ้า ๑-๒ ได้แล้ว ๓ เราควรจะไปเรียนอย่างเป็นทางการ ไม่อย่างนั้นแล้วสัมพันธ์นี่เราจะไม่เข้าใจ สัมพันธ์จะค่อนข้างยาก
ผมยุพระให้ไปเรียนตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงแล้วครับ บอกว่าให้เรียนไว้บ้าง จะเรียนบาลีก็ได้ เรียน มจร. ก็ได้ เพราะว่าจะได้มีรุ่น มีครูบาอาจารย์ ถึงเวลามีอะไรข้องขัดขึ้นมา ก็อาศัยท่านทั้งหลายเหล่านี้ช่วยเราได้ แต่เขาก็ไม่ค่อยจะใส่ใจกัน
ถาม : ผมมานั่งคิดว่า อายุ ๖๐ กว่าปีแล้ว จะเรียนบาลีต่อดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : ถ้าเรียนแบบไปเรื่อย ๆ ไม่เครียด แบบสอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ถือว่าเราเรียนเอาความรู้ แบบเดียวกับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านสอบนักธรรมเอกตก ๑๒ ปี เพราะท่านได้ประโยค ๖ แล้ว คราวนี้ถ้าไม่ได้นักธรรมเอกท่านเรียนประโยค ๗ ไม่ได้ สมัยที่หลวงปู่ท่านเรียน ข้อสอบข้อหนึ่งต้องตอบ ๒-๓ หน้ากระดาษ ไม่เหมือนกับสมัยนี้ ประเภทตอบแค่ ๒ บรรทัดก็ได้แล้ว
ท่านตกอยู่ ๑๒ ปี จนกระทั่งพวกลูกหลานบอกว่า “หลวงปู่..อายุจนป่านนี้แล้ว จะเรียนไปทำไม ?” ท่านบอกว่า “เรียนเอาบุญ” ท่านถามผมว่า “นักธรรมเอกเป็นอย่างไรบ้าง ?” ผมกราบเรียนว่า “ผมสอบแค่ ๑๕ นาทีเท่านั้นครับหลวงปู่ สอบได้แล้ว” ท่านก็บอกว่า “เออ...คุณเก่งนะ ผมเองสอบอยู่ ๑๒ ปี ตกทุกปี” ความจริงรุ่นของผมเหลือข้อหนึ่งประมาณหน้ากระดาษเดียวหรือไม่ก็ครึ่งหน้า ไม่เหมือนกับรุ่นหลวงปู่ ผมไปดูที่ "เลี่ยงเชียง" เขารวบรวมข้อสอบไว้ โอ้โฮ...รุ่นนั้นต้องตอบยาวจริง ๆ ครับ
ถาม : ตอนที่ทำพระคาถาเงินล้านเกิน ๕๐ จบ เริ่มชาแข็ง ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ปล่อยไปเลยไม่ต้องไปสนใจ ถ้ายังภาวนาก็ภาวนาต่อไป ถ้าไม่ภาวนาก็แล้วไป เราแค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าอาการเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปกลัว หลังจากที่สมาธิทรงตัวแล้วก็จะดีขึ้นไปเอง
พระอาจารย์กล่าวกับคณะญาติโยมที่มาทำบุญว่า "การทำบุญแล้วชักชวนกันเป็นหมู่คณะ ถือว่าเป็นความดีทั้งชาตินี้และชาติหน้า คำว่าความดีทั้งชาตินี้และชาติหน้าก็คือ ชาตินี้เราแสดงออกถึงความรักใคร่สามัคคีกัน คนหมู่มากทำอะไรก็จะสำเร็จได้ง่ายกว่าทำคนเดียว ส่วนชาติหน้าก็คือ ถ้าเผลอเกิดใหม่ก็จะมีบริวารมาก ไม่ต้องเหนื่อย ถึงเวลาก็มีคนทำแทนให้"
ถาม : ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าเขาทำกำลังใจว่า เผื่อวันหนึ่งตายไปจะไปพระนิพพานอย่างนี้ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดเผื่อนี่ไม่ใช่พุทธภูมิ..! พุทธภูมิมีแต่มุ่งหน้าอย่างเดียว ถึงตายก็จะไป เขาไม่เผื่ออะไรให้หลายใจ ไม่เอาก็คือไม่เอา เอาก็คือเอา นั่นแหละคือพุทธภูมิของจริง
ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณที่เขาเรียกกันว่าพุทธภูมิ ความบ้าอย่างน้อยต้องมากกว่าคนปกติ ๔ เท่า เพราะฉะนั้น..ไม่มีมาคิดเผื่อหน้าเผื่อหลังหรอก มีแต่ไปตายดาบหน้า แล้วไม่ใช่ตัวเองตายด้วย เป็นคนอื่นตาย..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทาบสมัยก่อนมีสีผึ้งเป็นตลับรับประกันว่าได้ตั้งฮาเร็มแน่ สมัยก่อนเวลาไปขอ หลวงปู่ท่านให้อย่างเก่งก็แค่ก้อนเท่าหัวไม้ขีด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ ก็คืออีก ๒ อาทิตย์ จะมีการหล่อหลวงพ่อนากของวัดท่าขนุน เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง ถ้าญาติโยมจะไปร่วมพิธี ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการบวชเนกขัมมะ พูดง่าย ๆ ก็คือ อาตมาตั้งใจให้ใส่ชุดขาวไปหล่อพระกัน แต่ถ้าไปก่อนล่วงหน้าไม่ได้ ไปเฉพาะวันงานก็ช่วยแต่งชุดขาวจากบ้านไปก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรก็เสื้อขาวสักตัวหนึ่ง จะกางเกงกระโปรงสีดำอะไรก็ไม่ได้ว่า
ปีที่แล้วหล่อหลวงพ่อเงินไป ชนวนเงินที่เหลือรวมกับชนวนเงินจากการหล่อหลวงพ่อเงินขนาด ๙.๙ นิ้วอาตมาเอาไปทำไม้ครู ปีนี้หล่อหลวงพ่อนาก ชนวนที่เหลือว่าจะทำบาตรน้ำมนต์ ปีหน้าหล่อหลวงพ่อทองคำ ยังไม่รู้จะเอาชนวนไปทำอะไร ถึงทำไปก็คงไม่มีปัญญาจะบูชากัน"
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาเรียกยันต์ประทับหน้าประทับหลัง สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านรอบคอบ กลัวปิดหน้าอย่างเดียวแล้วลูกศิษย์ไม่ปลอดภัย จึงต้องมีปิดหลังให้ด้วย ระยะหลังมีบางท่านประเภทฝีมือโดดเด่นจริง ๆ ก็ปิดหน้าอย่างเดียว ประเภทประทับหลังก็เลยหายไป น้อยคนที่จะได้ศึกษาเอาไว้
ถาม : บางท่านเรียกตัวผู้ตัวเมียครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาเรียกประทับหน้ากับประทับหลัง ภาษาชาวบ้านก็ตัวผู้ตัวเมียนั่นแหละ หลวงปู่โต๊ะนั่นระดับปรมาจารย์ของปรมาจารย์ ตัวเดียวดีกว่า ส่วนเราทำหน้าหลังซ้ายขวาบนล่าง ๖ ด้านไปเลย ...(หัวเราะ)...
พูดถึงงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคล รุ่นแรงครู "ตอนนี้รุ่นแรงครูในเว็บจะตีกันตาย ราคาขึ้นพรวด ๆ เลย ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจของคนทำ
ตรงจุดที่น่ากลัวก็คือว่า ลูกศิษย์ที่มาจริง ๆ ในงานมีไม่มาก ถ้าสมมติว่า ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ คน แต่ของเขาทำมาเยอะกว่านั้นทำไมไม่พอ ? ก็แสดงว่าคนที่ไม่ได้มาแต่ใจมุ่งมาทางนี้เยอะ ดีไม่ดีเยอะกว่าหลายเท่าด้วย
ตรงนี้แหละว่าถ้าวันไหนเขาแห่กันมาที่นี่ อาตมาจะไปรับไหวไหม ? รอให้แก่กว่านี้ก็หมดสภาพแล้ว ตอนนี้ ๕๙ ย่าง ๖๐ ปี ก็มีแต่โรคภัยไข้เจ็บทั้งตัวแล้ว ท่านเจ้าคุณปัญญา (เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี) ยังตกใจ “หา..อาจารย์เล็ก ๖๐ แล้วหรือ ?” กราบเรียนว่า "ครับ..ห่างกับเจ้าคุณนิดเดียวเอง" เมื่อวานก็ออกงานด้วยกันมา พออายุมากแล้วป่วยทีหนึ่งร่างกายจะโทรมนาน หายยาก"
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ที่ข้าสอนแกไปเรื่องคาถาอาคม พวกนักวิชาการเขาเรียกว่าไสยศาสตร์ทั้งหมด แต่สำคัญอยู่ที่เราใช้ ถ้าใช้ช่วยเหลือเขาก็คือไสยขาว ถ้าใช้โดยอ้างคุณพระเป็นหลักก็คือพุทธศาสตร์ แต่ขอให้เป็นคาถาอาคมเท่านั้น พวกนักวิชาการถือว่าเป็นไสยศาสตร์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปกังวลเรื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย
หลวงพ่อกวยท่านเคร่งครัดเสียยิ่งกว่านักวิชาการไม่รู้ว่ากี่ร้อยเท่า อะไรที่ผิดเรื่องของพระวินัยนี่ไม่ทำเลย ขนาดเขาให้พระครูท่านยังไม่เอา ท่านบอกว่าไม่มีเวลาสอนหนังสือเขา แต่ท้ายสุดเขาก็ให้ท่านจนได้ แต่ว่าสมัยนั้นท่านเป็นพระครูประทวน ก็เลยเป็นพระครูกวยเฉย ๆ ไม่มีราชทินนาม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สีผึ้งของหลวงพ่อทาบผมมีเป็น ๑๐ ตลับ เก็บมานาน เพียงแต่ว่าตัดใจให้ไม่ได้เท่านั้น กลัวคนเอาไปใช้ผิด"
พูดถึงลูกอมหลวงปู่ทิม "มีอยู่เที่ยวหนึ่งพระที่วัดท่าขนุนไปงานปริวาส เอาลูกอมผงพรายกุมารมา ๖ ลูก ปลอมล้วน ๆ ผมบอกว่า คุณให้รู้จักศึกษาบ้างว่าบรอนซ์ฝุ่นกับบรอนซ์น้ำมันต่างกันตรงไหน ? พอผ่านระยะเวลานานไปแล้วมีลักษณะอย่างไร ? ไม่ใช่เห็นแล้วก็เอามาเลย ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี เพราะว่าส่วนใหญ่พวกคนขายจะแต่งนิทานมา ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ รับมากับมือ ทั้ง ๆ ที่อายุตัวเองไม่ได้เลย หลวงปู่มรณภาพไปตั้งนานแล้วยังอุตส่าห์รับมากับมืออีก"
ถาม : หนุมานของหลวงปู่ทิมราคาแพง ?
ตอบ : ปล่อยไป ๔ องค์แล้ว โยมเขาสู้ราคา ให้ตั้ง ๒๐๐,๐๐๐ - ๒๕๐,๐๐๐ บาท ดีกว่าไปเจอคนอื่น เดี๋ยวโดนแพงเข้าไปอีก
ถาม : ปล่อยกันเป็นล้าน ?
ตอบ : ตอนรุ่นอาตมาไม่แพงนี่หว่า พี่ชายเขาบูชาหนุมานมาตัวหนึ่ง ๕๐๐ บาทเอง ตอนช่วงนั้นบอกให้เอาพระเขาก็ไม่ยอมเอา มีพระครูแสงไม่รู้ว่าเหรียญยังอยู่หรือเปล่า ? พระครูแสงเป็นคนพาไปหาหลวงปู่ทิมเป็นคนแรก สมัยก่อนแกสนใจเรื่องนี้จริง ๆ
ถาม : ตอนนั้นวัดท่านเจริญแล้ว ?
ตอบ : ท่านดังแล้ว แต่ตอนท่านมีชีวิตอยู่ วัตถุมงคลราคายังไม่แพง
ตอนนั้นเหรียญของท่านเหรียญหนึ่งก็เพิ่งจะ ๔๐-๕๐ บาท แพงสุดก็ ๘๐ บาท เด็ก ๆ จะเอาเงินที่ไหนมามากมาย ทำงานได้อาทิตย์ละ ๑๕๐ บาท เดือนหนึ่งก็ได้เงิน ๖๐๐ บาท กล้าบูชามาเหรียญหนึ่งก็ดีตายชักแล้ว
อย่างเหรียญนวโลหะหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค ๘๐ บาท เหรียญทองแดง ๓๐ บาท อาตมาก็ตัดใจบูชาแบบ ๘๐ บาท ปรากฏว่าก่อนบวชไม่นานพระครูแสงมาถึง “พี่ ๆ อันนี้ให้ผมเถอะ” ถามว่าจะเอาไปทำไมวะ ? เขาบอก "พรรคพวกเขาเอาของผมไปแล้ว" เหรียญทองแดงของตัวเองโดนเขาบูชาต่อไปแล้ว อาตมาก็ เออ...ตัดใจควักให้ นึกว่าจะเอาไว้ใช้ ที่ไหนได้ปล่อยไปอีกแล้ว คราวนี้จะไปหาที่ไหน ? ตอนนี้ไม่ใช่ ๘๐ บาทแล้ว หลายหมื่นยังหาไม่ได้
ค่าแรงวันหนึ่ง ๒๕ บาท แล้วอุตส่าห์กัดฟันบูชาของราคา ๘๐ บาท เท่ากับต้องทำงานตั้ง ๓ - ๔ วัน แล้วไหนจะค่ารถไหนจะค่ากินอีก แต่ก็ไปด้วยใจรัก
โอ๊ย...สมัยนั้นพระครูแสงท่านพาบุกทั่วประเทศไทย หลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนมีชื่อเสียงท่านพาไปถึงหมด ที่ไม่นึกเลยก็คือ หลวงพ่อดำ วัดตุยง ที่ปัตตานี ยังอุตส่าห์ตะเกียกตะกายไป นั่งรถไฟถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ข้ามวันกันเลย
ตอนนั้นที่ไปไม่ใช่ปัตตานีอย่างเดียว พัทลุงเป็นเป้าหมายหลัก แต่หลวงพ่อดำท่านดังมากก็เลยไปกันต่อ ไปเอาพระปิดตาของท่าน ตอนแรกอยากได้มีดหมอแต่ไปแล้วของหมด เสร็จแล้วก็มาเอาเหรียญพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา หลวงปู่คลิ้ง วัดถลุงทอง หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ พระครูแสงพาลุยเละหมด กลับมาก็ทำงานกันหน้ามืด...เงินหมด..!
ที่เสียดายก็คือ ก่อนบวชรวบรวมใส่ลังไว้ ไปไล่แจกญาติโยมเพื่อนพ้อง เพราะว่าเมื่อตั้งใจบวชก็คือสละหมด ปรากฏว่าแต่ละคนทำท่าเหมือนไม่อยากได้ ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องมานั่งอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเก็บเอาไว้มาให้บูชา ป่านนี้คงรวยอื้อเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในจูฬราหุโลวาทสูตร พระพุทธเจ้าเทน้ำล้างพระบาท แล้วก็คว่ำขันจนหมด ตรัสถามสามเณรราหุลว่า “ดูก่อน...ราหุล เธอเห็นว่ายังมีน้ำเหลือติดก้นขันนี้หรือไม่ ?” สามเณรราหุลทูลตอบว่า “ไม่มีเหลือเลยพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฉันนั้นแหละราหุล บุคคลที่โกหกมดเท็จต่อผู้อื่น ย่อมไม่มีคุณความดีหลงเหลืออยู่ เหมือนอย่างกับขันเปล่าใบนี้” ดังนั้น...ถ้าใครยืมนาฬิกาเพื่อนมาก็โปรดทราบว่า อย่าพยายามทำตัวเองให้เป็นผู้ล้มละลายทางเกียรติยศเลย คุณความดีที่สร้างสมมาทั้งชีวิตจะเป็นขันเปล่าไป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริง ‘ชา’ ฝรั่งไม่ได้เขียนว่า ‘ที’ (Tea) นะ เขาเขียนตามภาษาจีนว่า ‘แต๊’ เลย แต่คราวนี้พอไปถึงบ้านเขาแล้วไม่ได้ยินเสียงที่เขาออก เลยอ่านเป็น ‘ที’ ถ้าสงสัยว่าทำไมเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วทั้ง ๆ ที่ฝรั่งเข้าไป เพราะว่าการติดต่อสมัยก่อนต้องเป็นเมืองท่าชายทะเล ในเมื่อเป็นเมืองท่าชายทะเลก็ไปขึ้นเอาตรงมณฑลกวางสี กวางตุ้งก่อน ก็ต้องเจอกับพวกแต้จิ๋ว"
ถาม : ในราชวงศ์จีนใช้ภาษาอะไรคะ ?
ตอบ : อาตมายังไม่สามารถบอกได้ว่าราชวงศ์ของเขาใช้ภาษาอะไร ยกเว้นมองโกลราชวงศ์ชิง ราชวงศ์ชิงเขาก็พยายามศึกษาภาษาจีนวัฒนธรรมจีนจนกระทั่งกลืนกลายเป็นจีนไป
แบบเดียวกับภาษากรุงเทพฯ คือภาษากลางในปัจจุบันนี้ นักวิชาการเขายืนยันว่าเป็นเหน่อจีน ภาษาราชสำนักอยุธยาก่อนนั้นคือสำเนียงสุพรรณ แล้วคราวนี้คนจีนมาพูดไม่ชัด กลายเป็นภาษากลางอย่างทุกวันนี้ ไปนึกถึงเพื่อนสมัยก่อน พอพูดไทยกรุงเทพฯ ด้วยกันสักพักก็ “โอ๊ย...ไม่ไหวแล้วหลวงพี่ ขอพูดสุพรรณเถอะ เหนื่อยฉิ_หายเลย” ฝืนพูดภาษากลางนาน ๆ แล้วเหนื่อย
ถาม : เห็นในพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน เขายอมรับคำว่า "พึ่ง" ให้ใช้แทนคำว่า "เพิ่ง" ?
ตอบ : พึ่งมีความหมายอีกความหมายหนึ่ง ในเมื่ออีกมีอีกความหมายหนึ่ง ถ้าเรายอมรับก็จะสับสน แบบเดียวกับคำว่ากินที่กลายเป็นทาน
ทานก็คือให้ กินก็คือกิน ไปทานอาหาร คุณจะเอาอาหารไปให้ใคร ? แต่เนื่องจากว่าสมัยก่อนเวลาผู้ใหญ่หรือว่าเจ้านายให้อะไรแก่เด็ก ให้อะไรแก่บริวารคนรับใช้ ก็ถามว่า “รับไหม ?” อีกฝ่ายหนึ่งก็ “รับประทานครับ” “รับประทานเจ้าค่ะ” อย่างนั้นก็ได้อยู่ ส่วนใหญ่ที่ให้ไปก็คืออาหารที่เหลือจากเจ้านายกินแล้ว ในเมื่อรับประทานก็แปลว่าเอาไปกิน ถ้าความหมายนั้นได้ แต่ถ้ากินแล้วหดเหลือทานคำเดียวไม่ได้ เพราะว่าทานคือให้
คำว่าแพ้ก็แปลว่าชนะ จริง ๆ นะ ความหมายมาเปลี่ยนในยุคเรานี่แหละ อาวุโส แปลว่าผู้มีอายุ หมายถึงว่าคนแก่เรียกเด็ก ก็เหมือนกับ “เฮ้ย...ไอ้หนุ่ม” ทั้ง ๆ ที่ตัวเรายังเด็กอยู่เลย แต่มาสมัยนี้อาวุโสแปลว่าแก่กว่า
บางทีภาษาโบราณที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้เหมือนกับโดนสลับที่ อย่างเช่น คำว่าแพ้ ความหมายเดิมคือชนะ “มึงแพ้แก่กูแล้ว” ก็คือกูชนะมึง แต่สมัยนี้แยกความหมายออกมาชัด ๆ ว่าแพ้คือแพ้ ชนะคือชนะ ก็แบบเดียวกับพ่ายแพ้ พ่ายก็คือแพ้ แพ้ก็คือชนะ คำว่าพ่ายแพ้คือเอาแพ้ชนะกัน
ตีรันฟันแทง ตีความหมายจริง ๆ คือชกด้วยหมัด ที่เราฟาดด้วยไม้ ซึ่งเรียกกันทุกวันนี้ว่าตี นั่นเขาเรียกว่ารัน ฟันกับแทงยังความหมายเดิมอยู่ แต่ตีกับรันนี่แยกกันไปแล้ว รันแปลว่าตี ที่เขาบอกว่าอย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ เคยได้ยินไหม ? ไปตีกองขี้เล่นก็กระจายใส่ตัว เพราะว่าไม้สั้นนิดเดียว แปลว่าอย่าไปหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ความหมายของคำว่าตีจริง ๆ ก็คือต่อยด้วยหมัด อย่างตีมวย ความหมายก็คือชกต่อยกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ดินฟ้าอากาศเป็นใจให้กับหมอ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อย่างทองผาภูมิวันนี้ ๑๗ องศาเซลเซียส พรุ่งนี้อาจจะอยู่ที่ ๒๑ องศาเซลเซียส คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงทนไม่ไหว ก็เจ็บไข้ได้ป่วย เท่ากับไปช่วยกันสนับสนุนกิจการของหมอ
อากาศลักษณะอย่างนี้จะว่าไปแล้วก็เกิดจากการกระทำของคน พวกเราสร้างกรรมดีกรรมชั่วเอาไว้ ถึงเวลาแรงกรรมที่เราทำ ถ้าความดีมีน้อยกว่า แรงกรรมชั่วมีมากกว่า แม้กระทั่งดินฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปหมด สมัยโบราณถ้าดินฟ้าอากาศไม่ปกติ อย่างเช่นว่าฝนแล้ง ก็จะมีการบังคับให้ผู้นำถือศีลเจริญภาวนาอย่างน้อยสัก ๗ วัน แล้วผู้นำสมัยก่อนส่วนใหญ่ก็คือพระมหากษัตริย์ แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าจะบังคับผู้นำให้ถือศีลภาวนาก็ต้องบังคับ คสช.
โบราณของเราเชื่อกรรม ก็คือเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่คนรุ่นใหม่ ๆ ก็มักจะเชื่อเรื่องของวิทยาศาสตร์แทน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นการกระทำต่าง ๆ ของคนในปัจจุบัน จึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของดีหรือชั่ว สนใจแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น ดังนั้น..ในเรื่องของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลง ก็ต้องบอกว่าพวกเราทำกันเองแท้ ๆ
พวกเราเองปัจจุบันนี้ ทั้งอาหารการกินก็ดี เรื่องอากาศก็ดี เรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นปนเปื้อนสารพิษเสียมาก ก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยได้ง่ายกว่าปกติ ต่อให้เทคโนโลยีทางการแพทย์ดีแค่ไหน ก็หนีโรคภัยไข้เจ็บไปไม่พ้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะหาของที่เป็นมหาอำนาจจริง ๆ ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านทำเอาไว้เยอะ อย่างพวกตะกรุดหนังหน้าผากเสือ แต่ปัจจุบันราคาแพงมาก
โบราณาจารย์นิยมนำส่วนต่าง ๆ ของเสือ ที่ละสังขารแล้วซึ่งถือว่าเป็นของคงทนสิทธิ์ เป็นมหาอำนาจ ไปให้พระเกจิอาจารย์ที่มีสมาธิแก่กล้าลงอักขระคาถา ปลุกเสกตามตำรา จนอานุภาพครอบจักรวาล เช่น มหาอำนาจ แคล้วคลาดปลอดภัย มีโชคลาภ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ เป็นต้น
ตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ดีทางมหาอำนาจสูงมาก ทั้งนี้เสือนั้นมีดี ๓ อย่าง คือ ๑. เป็นเจ้าป่า มีตบะเดชะเป็นมหาอำนาจ แค่ได้กลิ่นสาบเสือสัตว์อื่นก็หวาดกลัว ๒. ถึงแม้เสือจะเป็นสัตว์ที่ดุและน่ากลัว แต่คนก็อยากเห็นและอยากเจอเสือ ข้อนี้ท่านว่าเป็นเมตตามหานิยม และ ๓. หากินคล่องตัวไม่มีฝืดเคืองเรื่องอาหาร คือดีในด้านการทำมาหากิน
ที่เขาจัดลำดับเอาไว้ก็มีของหลวงพ่อสว่าง วัดเทียนถวาย หลวงปู่นาค วัดอรุณฯ หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ถ้าหาไม่ได้ก็เอาของ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หรือไม่ก็ของหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ของรุ่นนั้นยังหาง่าย เพราะป่ายังเยอะอยู่ สมัยนี้จับอะไรในป่าก็เดือดร้อนไปหมดแล้ว"
โยมเอาเชือกร้อยตะกรุดและปลัดขิกมาให้พิจารณาดู "ถ้าไม่ใช่ของหลวงพ่อทบก็ของหลวงพ่อมุ่ย ถ้าของหลวงพ่อคงมักจะมีชื่อของท่านอยู่ด้วย ต้องเล็งดูให้ดี ท่านจะเขียนอักขระขอมว่า "คง" ถ้าเป็นของหลวงพ่อโสก จะมีจาร
ดูความละเอียดของเชือกแล้วน่าจะเป็นของหลวงพ่อมุ่ยมากกว่า เพราะว่าของหลวงพ่อทบเชือกจะเส้นใหญ่กว่านี้ อันนี้เราดูกันแบบเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่มาจับพลังกัน เพราะว่าการจับพลังนั้นแหกตากันได้ ดูเป็นแล้วก็ต้องให้สากลเขายอมรับด้วย"
ถาม : ตะกรุดเชือก ๑๖ ดอก ของหลวงปู่จง มีทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าตอนนั้นท่านจะหาวัสดุอะไรได้ สมัยหลวงปู่ไม่ใช่ประเภทที่วิ่งไปซื้อที่ตลาดก็ได้เลยเหมือนพวกเราเสียเมื่อไร บางทีก็รอกันนานกว่าจะได้มาพอทำวัตถุมงคล
ถาม : เราควรพิจารณาดูของแท้จากอะไรบ้าง ?
ตอบ : เชือก จำนวนตะกรุด ความเก่าของตะกรุด อักขระที่จาร การม้วน การตัดขอบ
ถาม : เวลาที่ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลให้ออกซิเจน แต่จิตเขาออกไปแล้ว ?
ตอบ : ไปก็คือไป ร่างกายโดนหล่อเลี้ยงไว้ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของหมอ ตามวิชาการทางการแพทย์เขาเอาการหยุดทำงานของสมองเป็นหลัก ถึงปอดหรือหัวใจจะทำงาน แต่ถ้าสมองไม่ทำงานก็ถือว่าตายแล้ว
ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : จิตส่วนจิต ถ้าออกจากร่างไป ก็ไปตามบุญตามกรรมของตัวเอง แต่สภาพร่างกายเหมือนกับรถ ดับเครื่องแล้วแต่แรงเฉื่อยยังมีอยู่ ก็ยังไหลต่อไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแรงเฉื่อย ฉะนั้น...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ใครที่เห็นว่าเห็นพ่อแม่ตัวเองทรมานมาก แล้วสั่งหมอให้เอาออกซิเจนออก นั่นเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่เลย ถ้าไม่อยากทำอย่างนั้น ก็อย่าให้ใส่ตั้งแต่แรก
ถาม : แต่ถ้าพ่อแม่สั่งว่าให้เอาออกละครับ ?
ตอบ : สั่งไว้ก่อนก็รอให้คนอื่นทำ แต่อย่าไปทำด้วยตัวเอง บางทีสภาพร่างกายอยู่ด้วยออกซิเจน อยู่ด้วยเครื่องมือ แต่จิตไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? แต่บางทีก็ทนทรมานอยู่ด้วยแรงกรรม
พระอาจารย์พูดถึงวัด "คุณแก้ในบริเวณเล็ก ๆ แล้วบริเวณใหญ่จะดีไปด้วย เป็นเรื่องที่ง่ายที่จะทำ แต่คนรุ่นหลังไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ทำอะไรตามใจแล้วบ้านเมืองก็วุ่นวายไปหมด ต้องยอมรับว่าวาระกรรมของบ้านเมืองเรายังหนักอยู่ เข็นอะไรก็เข็นไม่ขึ้น
ทำดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ ทุ่มเทเต็มที่แล้วก็ถือว่ามีคำตอบให้ตัวเองแล้ว ส่วนวาระกรรมของประเทศก็เหมือนกับแบกช้าง ถ้าแบกไม่ไหวก็ต้องยอมวาง
เราลองนึกดูสถานการณ์บ้านเมืองเหมือนกับเรือรั่ว ในเมื่อเรือรั่ว เราอุดทางนี้น้ำก็เข้าทางโน้น อุดทางโน้นน้ำก็เข้าทางนี้ อุดจนมือไม้เป็นระวิงไปหมด คนบนเรือแทนที่จะช่วยกันวิด ช่วยกันพาย กลายเป็นว่าเอาตีนราน้ำ คนที่ทำงานนี่ท้อเลย เราทุ่มเทเต็มที่ของเราก็ถือว่ามีคำตอบให้ตัวเองแล้ว ความรักชาติบ้านเมืองชนิดยอมมอบกายถวายชีวิตเราก็ทำแล้ว ทำจนกลายเป็นเป้ากระสุนตกอยู่แล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า นาก เขาใช้ ก.ไก่ นะจ๊ะ นาค ค.ควาย แปลว่างูใหญ่ก็ได้ แปลว่าผู้ประเสริฐก็ได้ แปลว่าช้างก็ได้ ดังนั้น...หลวงพ่อนาก ก.ไก่ สะกด นากตัวนี้คือโลหะที่ผสมจาก ทองคำ เงิน และ ทองแดง
สมัยอาตมายังเด็ก ๆ แถวบ้านเขานิยมทำขันข้าวใส่บาตรกันด้วยทองคำ ด้วยนาก ด้วยเงิน แล้วแต่ฐานะ คราวนี้ชาวบ้านก็จะเล็งว่า ถ้าใครใช้ขันนาก ขันเงิน บ้านไหนขันจะดำ บ้านไหนขันจะสะอาดเงางาม จะเป็นที่รู้กันว่าลูกสาวของบ้านนั้นขยันหรือขี้เกียจ
เพราะว่าต้องใช้น้ำส้มมะขามหมัก ขัดกันจนเบื่อ ถ้าขี้เกียจหน่อย การที่ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเนื้อโลหะ ก็จะทำให้นากหรือเงินหมอง แล้วก็ดำ ส่วนทองคำไม่เป็นไรหรอก ทองคำใช้ผ้าสะอาดเช็ดอย่างเดียวก็เงาวับแล้ว ตั้งแต่เกิดมาอาตมาก็ได้เห็นขันทองคำอยู่ครั้งเดียว หลังจากนั้นบ้านนั้นก็ไม่กล้าเอาออกมาใส่บาตรอีกเลย
มีความเชื่อที่ว่าพระอาทิตย์ใช้ขันทองคําใส่บาตร พระจันทร์ใช้ขันเงินใส่บาตร จึงมีรัศมีสว่างไสว ส่วนพี่กลางคือราหูตื่นสาย คว้าอะไรไม่ทัน เอากระบุงใส่ข้าวไปใส่บาตร เกิดมาจึงดำปี๋ไม่เหมือนชาวบ้านเขา"
"ในเมื่อความเชื่อเป็นอย่างนี้ สมัยโน้นก็เลยนิยมกัน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นขันลงหิน ขันลงหินส่วนใหญ่จะตีขึ้นมาจากทองเหลือง หนามาก แล้วใช้หินขัด สมัยโน้นไม่มีเครื่องขัดเครื่องเจียรเหมือนกับสมัยนี้ ต้องใช้เชือกชัก แล้วเอาหินกลม ๆ ที่เป็นพวกหินลำห้วยลำธาร ขัดจนกระทั่งเรียบ ต้องใช้ความอดทนและพยายามสูงมาก ระยะหลังค่อยพัฒนาขึ้นมาเป็นหินลับมีด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหินทรายเอามาขัด
สมัยก่อนกรุงเทพฯ จะมีบ้านบุ บ้านบาตร บ้านหม้อ พวกนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำอะไรก็เรียกตามนั้นเลย บ้านบาตรก็มีอาชีพตีบาตร หลอมบาตร รมบาตร บ้านบุก็มีอาชีพบุเงินบุทอง แล้วแต่เขาจะสั่งทำ บ้านหม้อก็ทำหม้อ ถ้าพวกเครื่องปั้นดินเผาก็ต้องที่เกาะเกร็ด จนป่านนี้เกาะเกร็ดก็ยังรักษาชื่อเสียงเรื่องเครื่องปั้นดินเผาไว้ได้ เพราะว่าสมัยโบราณเวลากวาดต้อนพวกเชลยศึกมา ก็จัดสรรที่ให้อยู่จะได้ทำกินกัน ถึงเวลาจะได้เกณฑ์แรงงานได้ง่าย เพราะว่าอยู่รวมกัน
สมัยก่อนพวกมอญมีความชำนาญในการทำเครื่องปั้นดินเผา อย่างสามโคกที่ปทุมธานี แถวนั้นเขาทำเครื่องปั้นดินเผา มีการก่อเตาขึ้นมา คราวนี้ถ้าทำทีละมาก ๆ เตาก็ต้องใหญ่ ถึงเวลาเตาร้างไปก็กลายเป็นดินโคกสูงอยู่ ก่อไว้ ๓ เตาก็กลายเป็นสามโคก พอตอนหลังในหลวงรัชกาลที่ ๒ เปลี่ยนเป็นเมืองปทุมธานี
ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว ตั้งแต่นั้นมาก็เปลี่ยนชื่อจากเมืองสามโคกมาเป็นเมืองปทุมธานี"
https://www.watthakhanun.com/webboard/hipimg/foo/f2ls11517636703.jpg
มีคนเอาวัตถุมงคลมาถวาย "ให้พวกเราเตรียมเงินไว้สองพันบาท เดี๋ยวจะให้ฝูเอาเหรียญทำน้ำมนต์หลวงพ่อกวยไปออกบูชา ราคาในท้องตลาดไป ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ บาทไปแล้ว ไม่นึกว่าหลวงพ่อกวยมรณภาพแล้วศรัทธาของลูกศิษย์ยังแรงขนาดนี้ วัตถุมงคลรุ่นแรงครูทุกชิ้นหมดไปจากวัดในวันนั้นเลย
พระสีวลีกับเหรียญน้ำมนต์เขาให้มาจำนวนใกล้เคียงกัน เหรียญน้ำมนต์ของหลวงพ่อกวยดูแล้วน่าจะเป็นเหรียญหล่อ ไม่ใช่เหรียญปั๊ม ...(เหรียญหล่อจริง ๆ ครับ)... เพราะว่าถ้าทำเหรียญปั๊มหนาขนาดนั้น รับประกันว่าไม่ถึงพันเหรียญก็เครื่องพัง"
พระอาจารย์พูดกับเด็กวัยรุ่นที่ถือน้ำหวานติดมือมาด้วย "ถ้าจะดื่มให้ดื่มน้ำเปล่า ถ้าดื่มพวกน้ำหวาน พวกชาเขียวที่เป็นขวดอะไรพวกนี้ มีแต่จะอ้วนเพราะว่าเขาใส่น้ำตาลเยอะ พอใส่น้ำตาลเยอะดื่มลงไปก็ไม่หายหิวน้ำ มีแต่จะหิวมากขึ้น เพราะว่าร่างกายต้องดึงเอาน้ำไปใช้ในกระบวนการย่อยสลายน้ำตาลอีก
ไม่ใช่แค่ญาติโยมนะ เราต้องสอนเด็ก ๆ ของเรา ด้วย ร่างกายของเราต้องการน้ำเปล่า เรื่องของน้ำตาลนั้น แค่ข้าวที่เรากินลงไป ร่างกายก็ผลิตออกมาเพียงพอแล้ว ถ้าไปดื่มน้ำหวานมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นอ้วน พออ้วนขึ้นมาก็ลดได้ยากมาก ใครที่เคยลดน้ำหนักแล้วจะรู้ดีว่าสาหัสแค่ไหน เพราะฉะนั้น...พยายามเปลี่ยนนิสัยใหม่ ให้ดื่มน้ำเปล่าแทน
น้ำเปล่าจะดื่มก็อย่าไปแช่เย็น โดยเฉพาะผู้หญิง การดื่มน้ำเย็นเป็นสาเหตุให้เป็นซีสต์ในมดลูก เราจะสังเกตว่าปัจจุบันเป็นเนื้องอกในมดลูกกันเยอะมาก เกิดจากสาเหตุการดื่มน้ำเย็น คนไทยไปประเทศจีนสั่งน้ำแข็ง คนจีนเขาตกใจว่ากินเข้าไปได้อย่างไร ?!! เราจะเห็นว่าคนจีนประชากรเป็นพันล้าน หาคนเป็นเนื้องอกในมดลูกยากมาก เพราะว่าเขากินน้ำร้อนกัน
อะไรที่กินเข้าไปก็เป็นตัวตนของเรา กินไม่ถูก กินไม่ดีลงไป ก็เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ แล้วเราก็ต้องมาผ่าตัดกัน ฉะนั้น...เด็ก ๆ หัดเอาไว้นะลูก ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบาก ตู้เย็นมีอยู่ที่บ้านเก็บเอาไว้แช่เนื้อแช่ผักก็พอ อย่าไปแช่น้ำ ถ้าไม่ถนัดที่จะดื่มน้ำร้อน ก็เอาน้ำธรรมดา น้ำที่ใส่ขวดทั่ว ๆ ไป อย่าไปแช่เย็น"
"ครูบาอาจารย์ของอาตมาท่านหนึ่งก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง ท่านเป็นสุดยอดหมอแผนโบราณ ทั้งชีวิตหลวงปู่ธรรมชัยไม่ยอมฉันน้ำเย็นเลย ขนาดอยู่ในกิจนิมนต์มีแต่น้ำเย็น ท่านก็ไม่ฉันน้ำ ยอมอด พอดีวันนั้นพี่มุกดาพกน้ำร้อนไปด้วย ก็เลยมีโอกาสถวายหลวงปู่ เห็นท่านยิ้มดีใจเหมือนเด็ก ๆ คนถวายก็คงจะปลื้มจนตัวลอย วันนั้นเจ้าภาพจัดมาแต่น้ำเย็น
พระส่วนใหญ่ก็แล้วแต่โยมจะจัดให้ แต่ไม่ใช่อาตมา เมื่อรู้ว่าตัวเองแรงกรรมเยอะ โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากแรงกรรมก็มากอยู่แล้ว จะมาซ้ำเติมตัวเองนี่ไม่ใช่วิสัย เมื่อไม่กี่วันก่อนไปงานไหว้ครูประจำปีของบ้านผู้กำกับที่องธิ ไปถึงก็บอกเลยว่า "เอาน้ำร้อนมาถวายพระก่อน เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครตั้งเป้าหมายว่าบวชแล้วจะเป็นเจ้าอาวาสบ้างหรือไม่ ? ถ้ามีช่วยบอกมาที เพราะว่ามีโยมจะถวายที่ดินที่เชียงรายผืนหนึ่ง บอกว่าถวายให้สร้างวัด อาตมายังไม่กล้ารับ เพราะว่ายังหาเจ้าอาวาสให้เขาไม่ได้
โยมทำงานอยู่บาห์เรน พอตะวันออกกลางระอุในเรื่องของซีเรีย อิสราเอลด้วย...ใช่ไหม ? โยมดูแล้วว่าไม่ดีแน่ ก็ขนเครื่องไม้เครื่องมือกลับเมืองไทยหมด แต่คราวนี้บ้านเมืองเราจะไปตั้งโรงงานผลิตสิ่งต่าง ๆ นั้น ไม่ง่ายเหมือนอย่างกับต่างประเทศ บ้านเรานอกจากเส้นสายเบี้ยบ้ายรายทางแล้ว ยังต้องดูด้วยว่าเจ้าเก่าเขายินดีไหม ? ก็เลยต้องรอ มีแนวคิดที่ว่าจะทำรีสอร์ตธรรมะ แต่ขณะเดียวกันก็มีที่อยู่ผืนหนึ่งตั้งใจจะถวายให้สร้างเป็นวัดเลย
คราวนี้อาตมาเองก็ยังไม่กล้ารับ เพราะว่าถ้าต้องไปทำ งานแรกก็คือต้องเดินทางไกล อันดับที่สองคือทำแล้วไม่มีใครอยู่ดูแล อย่างปัจจุบันนี้เวลาวัดในสาขาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพุทธบริษัท พุทธมณฑล วังปะโท่ เกาะพระฤๅษี หรือถ้ำทะลุซึ่งอยู่ไม่ไกล เต็มที่อย่างถ้ำทะลุหรือเกาะพระฤๅษี ก็แค่ ๒๗ - ๒๘ กิโลเมตร แต่พระก็ไม่ยอมที่จะไปกัน ขนาดให้ผลัดเวรกันไปดูแลสถานที่ก็ยังไม่อยากไป
ที่ท่านไม่ไปเพราะว่าตอนเย็น ๆ เวลาพระอาจารย์อบรมพระ ตัวท่านเองจะไม่ได้ฟัง ก็ต้องบอกว่าน่าเห็นใจ เพราะว่าท่านบวชมา อยากจะได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ คราวนี้พอส่งไปอยู่ไกล ๆ ท่านเองท่านอยากได้คำสอน อยากได้แนวทางปฏิบัติ อยากได้รับการขัดเกลาอย่างใกล้ชิด ก็จะไม่ได้สิ่งเหล่านี้ การมีวัดในความดูแลหลายวัดจึงกลายเป็นเรื่องที่ลำบากใจ
วันก่อนพระครูหน่อยบอกว่า ชาวบ้านซึ่งรุกที่ดินของวัด โดนคำสั่งศาลให้ย้ายออกแต่ไม่ยอมย้าย กลับไปปลุกระดมมวลชนจะมาขับไล่เจ้าอาวาส จะมาเผาวัด ขอให้หลวงพ่อส่งพระไปช่วยหน่อย เลยบอกกับท่านว่า คุณไปเกลี้ยกล่อมเองแล้วกัน ผมส่งก็คงไม่มีใครยอมไปหรอก
อาตมาเองเป็นคนอยู่ไม่ติดที่ พร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างไปได้ทันที แต่คนอื่นนั้นไม่ใช่ คนอื่นก็ยังยึดตัวครูบาอาจารย์ ยังยึดสถานที่อยู่ ถ้าจะให้ไปที่อื่นก็จะไม่ถูกใจของท่าน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ายังหนาวอยู่เลย ตอนนี้ร้อนแล้ว อากาศหมุนเวียนเปลี่ยนไปในแต่ละวัน ถ้าใช้วิปัสสนาญานแบบธรรมชาติ ก็คือทุกอย่างไม่เที่ยง แต่เรามักจะไม่ค่อยมองกัน หนาวก็บ่น ร้อนก็บ่น ฝนตกยิ่งบ่นใหญ่เลย เพราะว่าทำให้น้ำท่วมแล้วรถติด ก็เลยลืมประโยชน์ที่ควรจะได้ ต้องบอกว่าหลักธรรมอยู่ตรงหน้า เหมือนกับทองคำเป็นภูเขา แต่เราไม่สามารถที่จะไขว่คว้าเอามาได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมามีข่าวผู้อำนวยการโรงเรียนควงเด็ก ม.๒ ใช่หรือไม่ ? เรื่องนี้ถ้ามองก็คิดได้หลายแง่ด้วยกัน
ประการแรก โดยปกติแล้วในวิชาชีพของตัวเอง บรรดาครูบาอาจารย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น เพราะว่าสังคมจะประณามมาก เราจะเห็นว่าผู้นำต่างประเทศบางประเทศ แต่งงานกับครูที่สอนตัวเองมา นั่นไม่ใช่เรื่องผิดเพราะว่าเขาเรียนจบมาแล้ว มีงานทำแล้ว กลับไปขอความรักคุณครู ไปแต่งงานกับคุณครูนั้นได้ แต่ไม่ใช่ระหว่างคนหนึ่งอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ อีกคนหนึ่งอยู่ในฐานะของนักเรียน ต่อให้ระดับมหาวิทยาลัยสังคมยังไม่ยอมรับเลย
ประการที่สอง ความรักของพ่อแม่ทำให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมา บางคนอาจจะงง ๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร ทันทีที่พ่อแม่รู้ว่ามีลูกก็ช่วยกันบำรุงยกใหญ่เลย รุ่นของอาตมาไม่มีอะไรนี่ อย่างเก่งก็ได้กินแค่ข้าวย้ำหรือกล้วยขูด แต่สมัยนี้ทันทีที่อยู่ในท้องแม่ก็บำรุงกันเข้าไป อันนั้นก็แคลเซียมสูง อันนั้นก็โฟเลทสูง อันนั้นก็วิตามินสูง เมื่อบำรุงมากไป เด็กที่เกิดมาอยู่ในลักษณะพลังงานล้นเกิน กลายเป็นคนสมาธิสั้น อยู่ไม่สุข แล้วก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกว่าอายุ ในเมื่อบำรุงมากเกินไป โตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกว่าอายุ พลังงานล้นเกิน ก็กลายเป็นพวกไฮเปอร์แอ็คทีฟ"
"เรื่องนี้มีผลเสียหลายอย่าง อย่างแรกก็คือ จะกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่วัยใส อย่างที่สองก็คือ เมื่ออายุเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วมาก ก็แปลว่าอายุจะสั้นมาก เราลองสังเกตดูหมาสิ แค่ ๓ - ๔ เดือนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ปีถัดไปก็กลายเป็นพ่อหมาแม่หมา แล้วหมามีอายุกี่ปี ? ของคนเราถ้ายิ่งโตเร็วเท่าไรก็แปลว่าตายเร็วเท่านั้น..!
รุ่นของอาตมาอายุ ๑๓ - ๑๔ ปี ยังแก้ผ้าโดดน้ำอยู่ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงอย่างดีก็นุ่งกระโจมอกเล่นน้ำกัน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นผู้หญิง อะไรเป็นผู้ชาย เพราะว่าความรู้สึกทางเพศยังไม่มี ไม่มีอะไรที่จะมาบำรุง อย่างเก่งก็กินนมแม่ บ้านไหนฐานะดีหน่อยก็บดข้าวใส่ไข่แดงให้ลูกกิน ทั่ว ๆ ไปอย่างอาตมาก็กล้วยเผาเป็นหลัก ไม่เหมือนกับสมัยนี้ สารพัดของบำรุงอัดเข้าไปเต็มที่ ก็ถือว่าพ่อแม่รังแกฉันก็แล้วกัน รักลูกมากก็เลยพาให้เป็นอย่างนั้นเอง"
"โดยเฉพาะเด็ก ๆ รุ่นใหม่ อาหารฝรั่งเข้ามามาก แคลอรี่สูง นอกจากประเภทกระตุ้นให้โตไวแล้ว ยังอ้วนง่ายด้วย บ้านเราตอนนี้คนอ้วนมีมากกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว แปลว่า ๑๐ คนเดินมา อย่างน้อยต้องมีคนอ้วน ๓ คน ดูจากปัจจุบันนี้น่าจะเกิน ๓ คนแล้ว
อีกอย่างหนึ่งก็คือบรรดาอาหารโดยเฉพาะไก่ จะมีสารกระตุ้นตกค้างอยู่เยอะมาก แต่เรื่องนี้เขาไม่เอามาพูดกัน เพราะว่าถ้าเอามาพูดกันบริษัทใหญ่จะเสียหาย เขาจะต้องพยายามเร่งให้ไก่โตเร็วที่สุด ๔๐ วัน หรือ ๔๕ วัน ต้องจับขายได้ เพื่อประหยัดต้นทุนและได้กำไรสูงสุด สารตกค้างที่อยู่ในไก่ พวกเราก็กินเข้าไป เด็ก ๆ ก็เท่ากับโดนกระตุ้นให้โตไปด้วย คนแก่ไม่โตแล้ว มีแต่จะตาย ก็แปลว่าคนแก่จะอ้วน
ส่วนเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเพราะฮอร์โมนกระตุ้นตกค้างเหล่านี้ ก็เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็ว แล้วคราวนี้อายุยังน้อย สติสัมปชัญญะก็น้อย ความยับยั้งชั่งใจจึงน้อยไปด้วย ยิ่งห่างไกลศีลธรรม ไม่ละอายชั่วกลัวบาป ก็กลายเป็นคนสังคมในปัจจุบันของเรา ไม่ต้องไปโทษใคร เพราะว่ารัฐบาลเองก็ไม่ได้คิดที่จะช่วยอะไร ตัวเองก็ลำบากยังเอาตัวไม่รอด ขนาดนาฬิกายังต้องยืมเพื่อนมาใช้ ก็ไม่ต้องหวังที่รัฐบาลจะไปช่วยประชาชนอะไรได้หรอก"
เด็กอ่อนกำลังร้องไห้ พระอาจารย์จึงพูดว่า "รู้ว่าลำบากแล้วยังตะกายมาเกิดอีก แล้วจะไปโทษใคร ? ทน ๆ อยู่ไปอีกชาติหนึ่งก็แล้วกัน"
ถาม : มีโยมอาการไม่ดี โดนของที่เขาฝัง ?
ตอบ : ต้องขุดของที่เขาฝังออกมา ถ้าขุดขึ้นมาได้ก็จบ ถ้าขุดขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวเขากระตุ้นใหม่ก็กำเริบใหม่ ส่วนใหญ่เขาจะฝังไว้ทางสามแพร่งหรือใต้ถุนบ้าน สมัยก่อนมักจะฝังไว้ใต้บันได
ถาม : แต่รับยันต์เกราะเพชรแล้วนะครับ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กัน ถ้าโดนมาก่อนก็ช่วยไม่ได้ โดนมาก่อนพอไปเข้าพิธีก็หายชั่วคราว พอกลับไปอยู่ใกล้ของ โดนเขากระตุ้นก็กำเริบใหม่
สมัยรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ กล้องถ่ายรูปเริ่มเข้ามาในประเทศไทย มีในหลวงรัชกาลที่ ๔ ที่ยอมถ่ายรูปเป็นพระองค์แรก คนอื่นไม่ยอมถ่ายรูปเพราะกลัวว่าจะเป็นพวกฝังรูปฝังรอยหรือใช้วิชาบังฟันอะไรพวกนั้น ถ่ายรูปครึ่งตัวเดี๋ยวกูจะต้องขาดครึ่งตัว เขาถึงไม่กล้าถ่ายรูปกัน
ในหลวงรัชกาลที่ ๔ จึงได้แสดงให้เขารู้ว่าไม่เป็นอะไร เพราะว่าพระองค์ท่านทรงให้ถ่ายเองเลย แต่คนก็ยังถ่ายพระองค์ท่านเต็มองค์อยู่ดี มาภายหลังจึงกล้าถ่ายครึ่งพระองค์
พระอาจารย์กล่าวกับศิษย์ "ถ้าเห็นอาตมาเป็นครู ครูก็ขอสั่งว่ารีบไปทำ ชอบตรงไหนก็ลงมือได้ ไม่ใช่มานั่งรอครู ครูจะดีแค่ไหน ครูจะเก่งแค่ไหน ถ้าลูกศิษย์ไม่ลงมือทำก็ไร้ประโยชน์"
ถาม : อยากให้เงินคล่องตัว ?
ตอบ : จะเอาการงานคล่องตัวก็ไปภาวนาคาถาเงินล้าน เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ ต้องคิดว่าเราชั่วก็ชั่วจริง ๆ แล้ว ตอนดีต้องดีจริง ๆ บ้าง
ถาม : ภาวนาไม่เป็นเวลาครับ ?
ตอบ : ว่าให้เต็มที่ก็แล้วกัน แบบเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดินก็พอ อย่าไปคิดอะไรให้มากมาย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ทันโต = อันว่าฟัน เสฏโฐ = ประเสริฐที่สุด มนุสเสสุ = ในหมู่มนุษย์ ในหมู่มนุษย์ผู้ที่มีฟันถือว่าประเสริฐที่สุด ? ไม่ใช่แล้วล่ะ...(หัวเราะ)...
ทันโตตัวนี้แปลว่าฝึกมาดีแล้ว ทีนี้ไปคล้องกับทันตะที่แปลว่าฟัน แปลบาลีผิดก็เจ๊งเลย เด็กอ่อนกับคนแก่ไม่มีฟัน หาความประเสริฐไม่ได้...ใช่ไหม ?
ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ฝึกตนดีแล้วประเสริฐที่สุด ถามว่าฝึกอะไร ? ก็ฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจของเรา แล้วกาย วาจา ใจฝึกด้วยอะไร ? ก็ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ศีลควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อย สมาธิควบคุมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจในเบื้องต้น ส่วนปัญญานั้นถ้าหากว่าดีจริง สามารถควบคุมกาย วาจา ใจ ได้ในระดับสูงสุด"
ถาม : (พูดถึงเหรียญ) "นะ" หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง แล้วศิษย์มาเพิ่มนะโมพุทธายะ
ตอบ : ลูกศิษย์สามารถที่จะเพิ่มเติมได้ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าทำจริงขนาดไหน อาตมาก็นึกว่าคนไม่ค่อยรู้จักหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง แต่เหรียญท่านลงปุ๊บก็ไปปั๊บเลย
ถาม : ช่วงนี้แม่ผมเห็นภาพหลอนบ่อย เขาเห็นมดมา ผมก็โกหกบอกว่าเอายาฉีดมดตายไปหมดแล้ว ?
ตอบ : ดีมากเลย ทำให้ใจแม่คิดว่าฆ่าสัตว์...!
ถาม : ถ้าโกหกจะผิดศีลข้อนั้นไหม ?
ตอบ : โกหกก็ผิดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผิดมากหรือผิดน้อย ส่วนกำลังใจแม่ ถ้าไปเกาะไว้ว่าเอ็งฆ่ามด แม่ก็พลอยซวยไปด้วย
ถาม : เมื่อเดือนธันวาคมไปงานฝึกมโนมยิทธิ พอเข้าไปงานรู้สึกว่าของขึ้น หนูก็เบรกเอาไว้ ตอนฝึกเหมือนตัวจะแตก อยากกระโดด มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะปฏิบัติแล้ว อยากจะสบาย ๆ ?
ตอบ : ไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังเพื่ออะไร ?
ถาม : เพื่อ...?
ตอบ : แล้วพอจะไปทำไมไม่เอา ? การที่เราจะไปพระนิพพานได้ต้องตัดละ แม้แต่ร่างกายตัวเองก็ไม่ต้องการ ในเมื่อสามารถตัดละขนาดนั้นได้ ถึงจะไปได้ แล้วแค่ประเภทละความอายที่จะเกิดอาการแปลก ๆ กับร่างกาย เรายังละไม่ได้ แล้วเราจะไปได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น...ไปใหม่ คราวนี้อย่าไปเบรกไว้ ปล่อยไปเต็มที่ จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ปล่อยไป
ต้องบอกว่ากลัวดี คนอื่นเขาพยายามแทบตายไปไม่ได้ แต่นี่ไปได้ กลับพยายามรั้งไว้ไม่ให้ไป เขาเรียกว่าลืมจุดหมายของตัวเองว่าไปฝึกเพื่ออะไร ฝึกเพื่อที่จะไปให้ได้ แต่พอจะไปดันไม่เอา..ไปอายเขา
อย่างญาติโยมที่ตั้งใจทำบุญสร้างบารมีเพื่อไปพระนิพพาน บางคนก็มาทั้งครอบครัว บางคนก็พาสามีภรรยา บางคนก็พาคู่รักของตัวเองมา แล้วก็ห่วงหน้าพะวงหลังกันอยู่นั่นแหละ ห่วงกันไม่แล้วห่วงกันไม่เลิก การไปพระนิพพานของเราแม้แต่ตัวเองยังห่วงไม่ได้ การที่เราต้องห่วงคนอื่น ไปแบกคนอื่นไว้ กลายเป็นภาระที่สลัดไม่ออก แล้วเราจะไปพระนิพพานอย่างไร ? เพราะฉะนั้น...โปรดคิดใหม่ให้ดี ๆ ว่าสิ่งที่เราทำกับเป้าหมายในชีวิตปัจจุบันของเรา ค้านกันหรือเปล่า ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย หนทางของคนเพียงคนเดียว จึงเป็นทางที่นำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์ ก็คือหลุดพ้นจากความทุกข์เข้าไปสู่พระนิพพาน แต่เรามักจะประเภทมา ๒ คน มา ๓ คน มา ๕ คน มาแล้วไม่พอ บางคู่ยังมีเป้าหมายอีก ว่าจะมาช่วยกันส่งให้อีกฝ่ายหนึ่งไปพระนิพพาน แต่อาตมาดูแล้วน่าจะมาเพื่อช่วยกันถ่วงอีกฝ่ายไม่ให้ไปพระนิพพานมากกว่า...!
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อคืน ๒ วันที่ผ่านมาปวดหลังมาก ปวดเหมือนกระดูกทับเส้น ปวดแล้วร้าวเป็นเส้น ๆ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านมาสอนให้นอนแล้วเตะขาขึ้นฟ้า เตะให้ข้ามหัวได้ยิ่งดี ก็เลยลองทำดู ปรากฏว่าดีขึ้นเยอะเลย สรุปว่านี่อาตมากำลังสนับสนุนอาจารย์อ้อยใช่ไหม ? ว่าพระที่ไปพระนิพพานแล้วยังกลับมาได้ ...(หัวเราะ)... ปล่อยให้เขาทะเลาะกันไป พวกเราอย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
ถาม : เวลาภาวนาพระคาถาเงินล้านที่ศูนย์กลางกายแล้วรู้สึกแน่น ๆ ควรจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ปล่อยไป เรามีหน้าที่รับรู้เฉย ๆ จะไปยุ่งอะไรเล่า ? ภาวนาอย่างไร ดูลมอย่างไรก็ดูต่อไป ลมเหลือแค่ไหน คำภาวนาเหลือแค่ไหนก็ยินดีแค่นั้น เรามีหน้าที่ดู ส่วนหนังจะเล่นอย่างไรก็เรื่องของเขา เรามีหน้าที่แค่ดูไปเรื่อย ๆ
พระอาจารย์กล่าวถึงซานไห่จิง คัมภีร์ของขุนเขาและท้องทะเล "หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อัศจรรย์มาก เพราะว่าเขียนมาเป็นพันปีแล้ว กล่าวถึงโลกทั้งในส่วนที่เป็นทิพย์และส่วนหยาบปะปนกันอยู่ คราวนี้บรรดาผู้คนและสัตว์ที่เขากล่าวถึงมีทั้งคนจริง ๆ มีทั้งสัตว์จริง ๆ และมีทั้งบรรดาเปรต อสุรกาย พวกเทวดาปะปนกันอยู่ แต่เสียดายอยู่อย่างเดียวว่าเขาไปวาดรูปประกอบ ก็เลยทำให้เพี้ยนหมด
อย่างเช่นเขาบอกว่า บนท้องทะเลแห่งหนึ่งห่างจากฝั่ง ๗๐๐ ลี้ มีปลาชนิดหนึ่งมีปีก ๔ ปีก เหินบินบนน้ำได้ ก็คือปลานกกระจอก
บางอย่างเขาก็เข้าใจผิด อย่างเช่นว่า บนท้องทะเลห่างจากฝั่ง ๒,๕๐๐ ลี้ มีมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งใบหน้าเป็นนก มีปีก ๒ ข้าง ไม่สามารถเหินบินได้ อาศัยยังชีพจากสัตว์ต่าง ๆ ที่หาได้จากท้องทะเล ก็คือนกเพนกวินที่ยืนสองขา เขาก็เลยไปคิดว่าเป็นคน
ในท้องทะเลบนเกาะแห่งหนึ่งมีสัตว์รูปร่างเหมือนวัว ไม่มีเขา มีเท้าข้างเดียว ชอบปรากฏตัวในขณะที่พายุคลื่นลมรุนแรง ก็คือแมวน้ำ แต่คราวนี้เขาวาดรูปประกอบเป็นวัวแล้วมีขาข้างเดียว ตูจะบ้า...! จินตนาการไปไกลเหลือเกิน"
"บางทีเขากล่าวถึงคน ว่ามีมนุษย์รูปร่างใหญ่เหมือนยักษ์ อาศัยอยู่แต่ในเรือที่แล่นไปในท้องทะเล นั่นก็พวกไวกิ้ง
เขาระบุเอาไว้หมดเลย เพียงแต่คนวาด วาดอะไรออกมาก็ไม่รู้ ก็เขาระบุไว้ชัด ๆ ว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนวัว มีเขาข้างเดียว ก็แรดนะสิ แต่เขาวาดเป็นรูปวัวแล้วมีเขาข้างเดียว ตูจะบ้า...!
ส่วนที่พิลึกพิลั่นเพราะเป็นโลกทิพย์ซ้อนกับโลกมนุษย์ ไม่ขอพูดถึง ที่อาตมาพูดถึงคือสัตว์ทั่ว ๆ ไปที่เขาบรรยายมา คนวาดก็วาดจนเข้าป่าเข้าดงหมด คราวนี้ที่เขาว่ามาเป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า เขาบอกว่าสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนวัว ลำตัวสีเขียวอ่อน ไม่มีเขา มีเท้าข้างเดียว เวลาขึ้นลงท้องทะเลเกิดพายุฝนกระหน่ำ ร่างจะเปล่งประกายเจิดจ้า ตัวเปียกน้ำก็เงาวับนะสิ...! ฟังแล้วจะบ้าตาย ถ้าเขาไม่วาดรูปพวกเราจะรู้จักอีกหลายตัว "
ถาม : ที่เป็นกึ่งทิพย์นั้น ใกล้ป่าหิมพานต์ไหมคะ ?
ตอบ : บางทีมันก็ซ้อนอยู่ในโลกเรานี่แหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทราบว่าหล่อพระ ๑๘ กุมภาพันธ์นี้ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือหลวงพี่มหาเอ วัดปากน้ำภาษีเจริญ รับเป็นเจ้าภาพค่าแรงหล่อพระ เงินที่พวกเราถวายปัจจัยมาก็ร่วมกันซื้อเม็ดเงิน ซื้อทองคำไป
คาดว่าครั้งนี้ค่าหล่อจะแพงกว่าครั้งที่แล้ว เพราะว่าโลหะแพงกว่ามาก การใช้ความระมัดระวังของช่างจะมีสูงกว่า ก็ตีว่าน่าจะแพงกว่าคราวที่แล้วสักเท่าตัว ไม่รู้คราวต่อไปหล่อหลวงพ่อทองคำจะเจอค่าหล่อเท่าไร"
พระอาจารย์กล่าวกับพระนิสิตว่า "ช่วงหลัง มจร.ของเราจากที่เปิดหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อเอื้อให้พระเณรได้เรียน กลายเป็นกีดกันไม่ให้พระเณรเรียน เพราะว่าค่าเทอมแพงขึ้นเยอะมาก รุ่นผมเรียนปริญญาโท ค่าเทอมเต็มที่ก็ ๑๘,๐๐๐ บาท ปริญญาโทตอนนี้ ๒๙,๐๐๐ บาทแล้ว ปริญญาเอกรุ่นนี้ ๔๕๐,๐๐๐ บาท รุ่นผม ๓๕๐,๐๐๐ บาทขึ้นมาแสนหนึ่ง แถมยังกำหนดด้วยว่าต้องเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ต้องสอบ TOEFL ต้องสอบพื้นฐานคอมพิวเตอร์
ปริญญาโทต้องได้พื้นฐานคอมพิวเตอร์ ๑๗๐ คะแนน ปริญญาเอก ๒๒๐ คะแนน TOEFL ปริญญาโท ๓๐๐ คะแนน ปริญญาเอก ๕๐๐ คะแนน โอ้โห...สอบต่างประเทศชัด ๆ เลย จนป่านนี้มหาโก้ของทางด้านวัดป่าเลไลยก์ยังไม่จบเลย ทั้ง ๆ ที่วิทยานิพนธ์เล่มดำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เพราะว่าติด TOEFL อยู่
เขายกระดับขึ้นมาเพื่อที่จะให้เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ มีมาตรฐานสูง จาก ๑๕๗ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มจร. ของเราขึ้นพรวด ๆ ภายใน ๓ ปีขึ้นมาถึงอันดับ ๓๘ ถือว่าเป็นชั้นนำของประเทศเลย แต่คราวนี้กติกาที่เขากำหนดขึ้นมาเพื่อสร้างมาตรฐานให้สูงยิ่งขึ้น กลายเป็นการกีดกันพระเณรของเรา ผมพูดในที่ประชุมไป ๒ ครั้งแล้ว แต่เขาบอกว่าช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าเป็นนโยบายเบื้องบน ลองคิดดูว่าพระเณรของเราอุตส่าห์บวชเข้ามาเพื่อจะได้เรียน กลับไม่มีปัญญาจะจ่ายค่าเทอมที่แพงขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
กติกาต่าง ๆ ที่ออกมาก็กลายเป็นกีดกันพวกเรากันเอง ส่วนใหญ่พระเณรพวกเราขาดการเรียนพื้นฐานสายสามัญมา ในเมื่อไม่มีพื้นฐานแล้วจะเอาคะแนนภาษาอังกฤษ TOEFL ตั้ง ๕๐๐ ต่อให้คุณจบจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์ก็ยังจะตายเอาเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนพม่ามาทำงานเมืองไทยเก็บเงินจนร่ำรวย ส่วนคนไทยไปไหว้เทพทันใจที่พม่าขอให้ร่ำรวย ดูแล้วความประพฤติเพื่อให้รวยห่างไกลเหลือเกิน"
ถาม : (ยันต์ดอกบัว)
ตอบ : ยันต์ดอกบัว อันนี้เรียกยันต์บัวบาน ไม่ใช่ยันต์ดอกบัว
ยันต์บัวบานส่วนใหญ่จะไปทางเมตตา มหาเสน่ห์ ทำอะไรประสบความสำเร็จ เหมือนกับดอกบัวที่กระทบแสงอาทิตย์ก็บาน
ถาม : ยันต์ที่เป็นดวงละครับ ?
ตอบ : ยันต์ดวงส่วนใหญ่เอาดวงเจ้าของลงไป เขาเชื่อว่าจะหนุนดวงตัวเองให้ดีขึ้น
ยันต์บัวบานส่วนใหญ่ก็คือพุทธคุณ บัว ๙ กลีบก็คือ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ บัว ๕ กลีบก็คือ นะ โม พุท ธา ยะ อยู่ที่เราจะใช้แบบไหน
ถาม : ต่อไปบวชที่วัดพระอาจารย์ อย่างน้อยต้องบวช ๑๕ วันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อาตมาไม่เคยบังคับ พวกนั้นอยากบังคับก็เป็นเรื่องของเขา โยมถามว่า ต่อไปนี้ถ้าบวชก็ต้องบวช ๑๕ วันใช่หรือไม่ ? อาตมาก็บอกว่าอันนั้นเป็นระเบียบ ในเมื่อเป็นระเบียบก็เรื่องของระเบียบ ไม่ใช่ข้อบังคับ ที่วัดท่าขนุนถ้าคุณขานนาคได้ จะบวช ๑ วัน ๓ วัน ๕ วัน อาตมาก็รับ เพราะว่ากติกาของวัดท่าขนุนหรือระเบียบของวัดท่าขนุนมีอยู่แล้ว
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับกองบัญชาการ วัดต่าง ๆ ก็คือแม่ทัพที่ทำศึกอยู่แนวหน้า การรบทัพจับศึกที่แนวหน้าต้องพิจารณาตามสถานการณ์ ไม่ใช่ฟังแต่คำสั่งจากส่วนกลาง เดี๋ยวนี้เขาบวชกัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วันก็แทบจะไม่มีเวลามาบวช แล้วจะให้บวช ๑๕ วันก็หาเรื่องกันชัด ๆ
นี่เป็นแผนการอย่างหนึ่งของศาสนาอื่น ที่ต้องการจะ "บอนไซ" พระพุทธศาสนาของเรา ให้มีบุคลากรเหลือให้น้อยที่สุด ก็เลยกำหนดกติกาที่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ อาตมารับทราบแต่จะปฏิบัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย คือเจ้าอาวาสเอง เมื่อเช่นนั้นก็แปลว่า ถ้าที่อื่นถ้าไม่รับบวชแก้บน ไม่รับบวชระยะสั้นกว่า ๑๕ วัน ให้ไปที่วัดท่าขนุน อาตมาจะบวชให้
คนเขามีเวลาแค่นั้น ลางาน ๗ วันก็จะโดนไล่ออกแล้ว ยังจะเอา ๑๕ วันอีก ของบางอย่างไม่ต้องใช้หัวแม่เท้าตรองดู ก็ต้องรู้แล้วว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม หลับหูหลับตาออกระเบียบมา บอกว่าต้องการที่จะทำให้พุทธศาสนาของเรามั่นคงขึ้น บุคคลที่บวชเข้าไปได้เรียนรู้อะไรตามหลักสูตรที่เขากำหนดไว้ ไม่จำเป็น...วัดท่าขนุนหลักสูตรโหดกว่าอยู่แล้ว ไปเจอวัดที่เขา “ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด” บวชสัก ๖ เดือน ๑ ปี ก็ไม่มีประโยชน์
การที่จะแก้ไขปัญหาคณะสงฆ์ ไม่ใช่ออกกฎให้เขาบวชยาวบวชสั้น แค่สอนให้บรรดาพระภิกษุสามเณรของเราละอายชั่วกลัวบาป รักศีลของตัวเองก็จบแล้ว กฎระเบียบออกมาจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหน้าด้านไม่ทำตามเสียอย่าง พระพุทธเจ้าออกมารอบคอบขนาด ๒๒๗ ข้อ ยังละเมิดกันเป็นว่าเล่น เพราะฉะนั้น...จุดสำคัญก็คือ ถ้าเราสามารถอบรมพระเณรของเราให้ละอายชั่วกลัวบาป รักศีลตัวเอง รู้จักว่าสิ่งใดทำดีทำถูก สิ่งใดไม่ควรทำก็จบ มักจะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน แบบนั้นก็เชิญเกาต่อไปเถอะ..!
ตั้งแต่สมัยที่อาตมาโดนบังคับไปเรียนหลักสูตร ป.บส. ที่เขาบอกว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ อาตมาเองเป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ กับภาค ๑๕ ก็คือ ๘ จังหวัดภาคกลาง ยกให้อาตมาขึ้นเวทีไปพูดแทน ขณะที่ตัวแทนภาคอื่นเขาก็ขึ้นมากัน อาตมาเองก็ว่า เรื่องของการเรียนไม่ได้จำเป็นเท่าไรหรอก การเพิ่มเติมความรู้ในบริหารถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ให้อาตมาเรียนตรรกศาสตร์ TT FF ไม่เห็นเอามาบริหารอะไรได้ ดีที่เจตนาของพวกท่านดี ตั้งใจส่งเสริมให้พระสังฆาธิการได้มีความรู้มากขึ้น ไม่อย่างนั้นอาตมาจะถือว่าพวกคุณบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม
ฉะนั้น..เรื่องของคณะสงฆ์ถ้าสอนให้พระเณรละอายชั่วกลัวบาป รักศีลก็จบแล้ว ก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากมายหรอก เล่นเอาหัวหน้าหลักสูตรต้องโดดขึ้นเวทีมาอธิบายเอง สรุปว่าอาตมาตั้งแต่เป็นนิสิตระดับประกาศนียบัตร ก็เป็นที่จดจำของอาจารย์ มจร. ชนิดแม่นยำไปจนวันตาย หลักสูตรเขาอาศัยด็อกเตอร์หลายคนคิดกันขึ้นมา โดนเด็กบ้านนอกอย่างอาตมาตีคว่ำไม่เป็นท่าเลย
ถาม : เขาไม่เข้าใจว่าจะสร้างพระไปทำไม ถ้าสร้างพระเครื่องเขาเข้าใจ เลยไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ?
ตอบ : พุทธปูชา มหาเตชะวันโต สร้างพระไว้กราบไหว้บูชา ไม่ได้สร้างพระไว้เฉย ๆ นี่แม่คุณ...!
ถาม : ไปสร้างวัดทำไม ไปสร้างโรงพยาบาลดีกว่า ?
ตอบ : ใช่...แล้วทำไมเขาไม่สร้างโรงพยาบาลล่ะ ? วัดกับโรงพยาบาลมีความเหมือนอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ เข้าวัดไปแล้วคนสบายใจ ได้รักษาโรคทางใจ ส่วนโรงพยาบาลนั้นคนเข้าไปรักษาโรคทางกาย
ถาม : วันก่อนหลังจากน้องชายใส่บาตรแล้ว พระท่านเดินกลับมาแล้วบอกเพื่อนที่จะใส่บาตรว่า "ไม่ต้องใส่แล้ว โยมผู้ชายใส่แล้ว แต่ถวายซองปัจจัยได้นะ" เพื่อนก็ตำหนิพระว่าอยากได้ปัจจัยโยม และในความเข้าใจของเพื่อน คือ มีพระไม่ดี มากกว่าพระดี และไม่เห็นด้วยที่ใครบอกว่าอย่าตำหนิพระ โดยมองว่าถ้าปล่อยไว้จะสนับสนุนให้มีพระไม่ดีมากขึ้นอีก กระทั่งอธิบายพระวินัยให้ฟังว่า พระสามารถปฏิเสธอาหารหากเต็มบาตรหรือเพียงพอแล้ว และพระทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญให้เราได้ถวายปัจจัยก็ตาม เพื่อนก็ยังไม่เข้าใจ
ตอบ : ไปนึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคสร้างบารมีไว้ดี พระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย คราวนี้มานึกถึงโยมของตัวอาตมาเองคือคุณน้าฟ้า ในชีวิตคุณน้าฟ้าเป็นคนใจบุญสุนทานมาก แต่เหมือนอย่างกับท่านสร้างบุญไว้น้อยไปหรืออย่างไรไม่รู้ ? เพราะว่าอาจารย์องค์แรกที่ท่านเลื่อมใสชนิดมอบกายถวายชีวิตให้ คือท่านอาจารย์นิกร พออาจารย์นิกรมีเรื่องมีราวขึ้นมา คุณน้าก็ไปหาท่านอาจารย์ยันตระแทน พอท่านอาจารย์ยันตระมีเรื่องมีราวขึ้นมา ท่านก็ไปหาหลวงพ่อภาวนาพุทโธแทน สรุปแล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิตของคุณน้า ก็คงคิดว่าหาพระดีไม่ได้แล้ว
นึกถึงพี่สาวของเจ้าของบ้านวิริยบารมี ที่ศรัทธาพระสายวัดป่า อกหักไปรอบหนึ่งเพราะว่าพระปฏิบัติไปขอรับบริจาคทีหนึ่งเป็นล้าน ๆ ก็หาที่ใหม่ พอเจอที่ถูกใจก็จะเอาท่านสอนกรรมฐานที่บ้านวิริยบารมี หลังจากอาตมาออกมาแค่ ๒ เดือนหลวงพ่อที่ท่านเอามาแทนก็มีเรื่องมีราวใหญ่โตไปเลย ลักษณะอย่างนั้นก็คงทำให้หมดศรัทธาไปเลยเหมือนกัน
ถาม : ถึงเพื่อนจะยังไม่เข้าใจ แต่เห็นว่าเจตนาของเขา คือ ปกป้องพระศาสนานะคะ ?
ตอบ :การปกป้องศาสนาที่ดีที่สุดจริง ๆ ก็คือ ศึกษาหลักธรรม ทำให้เข้าถึงจริง ๆ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ถาม : เราทำกายภาพให้คนไข้ ถ้าคนไข้มีองค์หรือมีครูของเขาคุมอยู่ คนที่เป็นนักกายภาพที่ทำให้คนไข้ จะต้องมีหลักอย่างไรบ้างจึงจะปลอดภัย ?
ตอบ : โบราณเขามีครู ทุกอาชีพมีครู ถึงเวลามีการจัดงานไหว้ครูก็ขอบารมีครูปกป้องปกปักรักษา ถึงเวลาทำหน้าที่อะไรก็ขอให้ทำได้เต็มที่ เต็มสติกำลัง เต็มความสามารถของตัวเอง สมัยนี้ไหว้ครูกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่มีครูช่วยป้องกันก็รับเละไปเถอะ
ถาม : อย่างคนที่เรียนบัญชี เรียนกฎหมาย ไม่มีครู จะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ทำไมจะไม่มี ? ครูที่สอนคุณมาไม่มีหรืออย่างไร ?
ถาม : ถ้าเป็นครูสอนสายการแพทย์ เราควรไหว้นึกถึงครูบาอาจารย์ที่สอนเรามาหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไหว้ครูที่สอนเรามาก็ดี แต่บรมครูทางการแพทย์เห็นที่ไหน ๆ เขาก็ไหว้พ่อปู่หมอชีวกฯ กันทั้งนั้น
ถาม : ฉันทะกับความอยากต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ฉันทะคือเราตั้งใจปรารถนาที่จะทำในสิ่งที่ดี ๆ ส่วนความอยากหรือโลภะ หรือตัณหานั้น แม้กระทั่งสิ่งชั่ว ๆ ก็เอา
ถาม : ถ้าเรามีพรรคพวกที่มีความประพฤติไม่ดี...?
ตอบ : เอาภาษิตจีนเข้าว่า “พบผู้คนพูดวาจาผู้คน พบภูตผีพูดวาจาภูตผี” ก็เท่านั้นเอง
ถาม : ถ้าในอนาคตหุ่นยนต์เอไอมา คนเราจะอยู่ยากขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้แปลว่าอยู่ยากขึ้น เราก็เรียนเรื่องการควบคุมหุ่นสิวะ...!
ถาม : แล้วคนที่ไม่ได้มีความขยันจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วคุณจะไปห่วงเขาทำไม ? แต่ละคนสร้างบุญสร้างกรรมมา ถ้าเป็นการคัดเลือกของธรรมชาติ ผู้อ่อนแอก็สูญสลาย ผู้เข้มแข็งถึงจะคงอยู่ อยากทำตัวอ่อนแอเองแล้วจะไปโทษใคร
ถาม : การที่เรากำหนดภาพพระใหญ่หรือเล็กได้ สามารถบ่งบอกระดับสมาธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : บอกได้..ไปสังเกตเอาสิวะ ว่ากำลังใจตอนนั้นเทียบเท่ากับสมาธิในระดับไหน
ถาม : ถ้าเราจะฝึกก่อนตาย เราต้องฝึกทำสมาธิในระดับสูงให้ได้หรือเอาที่แน่ใจ ?
ตอบ : เอาที่สบายใจ ตอนตายสมาธิใช้แค่ระงับกายสังขาร สำคัญที่สุดคือปัญญาต่างหาก ว่าเราตัดเราละร่างกายนี้ได้ไหม
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมส่วนใหญ่ทั้งที่เป็นศิษย์สายตรงก็ดี ข้างเคียงก็ดี ที่มีความศรัทธาในตัวหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ก็ให้ดูปฏิปทาของครูบาอาจารย์ด้วยว่า กว่าท่านจะเป็นอย่างนั้นได้ ท่านทุ่มเทการฝึกฝนตนเองชนิดมอบกายถวายชีวิต ถ้าเราจะเลียนแบบปฏิปทาครูบาอาจารย์ก็คือทุ่มเทฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ทำให้จริง ๆ จัง ๆ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกแบบท่าน”
ถาม : การปฏิบัติตอนนี้เริ่มเกิดอารมณ์เบื่อ มองเห็นอะไรก็เกิดความสลดใจ จะแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : รักษาความเบื่อเอาไว้ เพราะถ้าเราไม่เบื่อเราก็ยังอยากเกิดอยู่ จริง ๆ แล้วความเบื่อเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นส่วนของนิพพิทาญาณซึ่งเป็นญาณขั้นสูง เพียงแต่ว่าให้ใช้ปัญญาบวกเข้าไปด้วย ปัญญาที่เราจะพิจารณาก็คือว่า ถ้าเราสามารถพ้นทุกข์ในชาตินี้ การเกิดมาเจอกับสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายแบบนี้เพียงชาติเดียว ก็เหมือนกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นเท่านั้นเอง ระยะเวลาที่สั้น ๆ เราจะพ้นทุกข์แล้ว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้
พอเราใช้ปัญญาประกอบเข้าไป ก็จะก้าวข้ามความเบื่อนั้นไป กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน ก็คือปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ให้ทุกข์
พระอาจารย์กล่าวว่า “ระยะนี้มีการถกเถียงเกี่ยวกับข้อปฏิบัติในพุทธศาสนามาก แต่บุคคลทั้งหลายส่วนใหญ่จะลืมความเป็นจริงไปข้อหนึ่งว่า บุคคลในยุคปัจจุบันที่จะสร้างบารมีมาถึงขนาดปรารถนาความหลุดพ้น ต้องการหลักธรรมโดยบริสุทธิ์นั้นมีน้อย ส่วนใหญ่สามารถให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาขั้นต้นได้บ้างก็ถือว่าดีมากแล้ว
ดังนั้น...หลายแห่งก็เลยทนไม่ได้ที่เวลาญาติโยมยังคงทำบุญอย่างเดียว ก็ต้องบอกว่าขณะที่เด็กกำลังเรียนชั้นประถมอยู่ เราเองทนไม่ได้อยากให้เขาเรียนชั้นปริญญา ก็ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่คราวนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ เขาไปหวังเอาว่าควรที่จะจบปริญญากันเสียที โดยที่ไม่ได้ดูว่าบุคลากรในระดับจบปริญญานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากวาดไปเกือบหมดแล้ว อายุกาลศาสนาที่เหลืออยู่ไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง
ในยุคของเรา ถ้าใครก็ตามที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็มักจะกลายเป็นคนที่แปลกแยกจากสังคม มักจะต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ต้องใช้ความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างสูง ถึงจะเอาตัวรอดจากลมปากของคนได้ ในส่วนนี้พวกนักวิชาการที่เขาถกเถียงกันนั้น ลืมมองสภาพสังคมในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร
สังคมในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม แต่ว่ายิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติธรรม เพราะไม่อย่างนั้นแล้วกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะดึงเราไปอย่างชนิดกู่ไม่กลับ ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นเราก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร โดนกระแสคลื่นซัดไปโดยไม่สามารถที่จะตั้งหลักหรือว่าตั้งตัวได้ เรื่องนี้ก็ควรที่จะสังวรเอาไว้ด้วยว่า บางอย่างเสียงวิชาการที่ค่อนข้างจะดัง ก็ลืมความเป็นจริงในสังคมไปเหมือนกัน"
ถาม : อากาศแบบไหนที่ทำลายสุขภาพคะ ?
ตอบ : ร้อนจัด หนาวจัด แย่พอกันนะ ร้อนจัดทำให้เส้นเลือดขยายตัวมาก เลือดไม่พอเลี้ยงสมองก็ร่วงตึง แบบที่เขาเป็นลมแดดกัน ส่วนหนาวจัด พอกล้ามเนื้อหดตัวมาก ๆ บางทีอวัยวะไม่ทำงาน อาจจะถึงตายเลย
ถาม : วันที่สังขารแตกดับ จะเกิดเวทนาบีบคั้น กระทั่งจิตทิ้งไปจากร่างกายหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเวทนาจนทนไม่ไหว ชีวิตก็แตกดับไปเป็นเรื่องปกติ
ถาม : เป็นทุกคนไหมคะ ?
ตอบ : บางคนสร้างบุญไว้ดี ปาณาติบาตน้อย ถึงเวลาเวทนาไม่ได้บีบคั้น แต่ว่าไฟเขาหมด หมดกำลัง หมดอาหารอะไรพวกนั้น
ถาม : แล้วทำไมตอนจะหมดลม เราก็ต้องไม่เอาร่างกายอยู่แล้ว แต่เราคิดไปพระนิพพานไม่ทัน ?
ตอบ : ต้องทำไว้ก่อน ถ้าสติ สมาธิ ปัญญาไม่พอ จะไปหวังก่อนตายนี่ยากสุด ๆ คือจิตของเรามีสภาพจำ ถึงเวลาก็จะไปจำในของเก่าที่ตัวชำนาญ ซึ่งก็คือการละเมิดศีลละเมิดธรรม ต้องฝึกปรือเอาไว้ให้เคยชิน ไม่อย่างนั้นแล้วเสร็จสถานเดียว
:cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.