เถรี
28-12-2017, 18:01
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นการเจริญกรรมฐานที่บ้านเติมบุญวันสุดท้ายของปี เมื่อวานนี้เรากล่าวถึงว่า ถ้าการปฏิบัติของเราไม่สามารถที่จะทรงอารมณ์ได้นาน ก็ให้ใช้วิธีภาวนาพระคาถาต่าง ๆ แต่ละบทให้เรากำหนดไปว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไร หรือจะภาวนาให้ได้กี่จบ ถ้าสภาพจิตรู้ว่ามีงานทำ ก็จะไม่คลายออกมาจากสมาธิง่าย ๆ หรือว่าเมื่อเราภาวนาอารมณ์ใจเริ่มทรงตัวแล้ว ก็คลายออกมาระลึกถึงอนุสติต่าง ๆ มีพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นต้น โดยมีอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกเป็นพื้นฐานกำกับไว้
สำหรับวันนี้จะกล่าวถึงท่านที่มาทางด้านสายของอภิญญา คือฝึกมาในด้านของกสิณ ๑๐ บางทีการปฏิบัติของเราไปถึงระดับหนึ่ง รอเวลาในการสั่งสมกำลังเพื่อที่จะก้าวผ่านไป บางครั้งเป็นระยะเวลาถึง ๓ ปี ๕ ปี ซึ่งในช่วงนั้นบางทีเมื่อเราไม่เห็นว่าเกิดผลอะไรขึ้นมา บางทีก็จะเกิดความท้อ เบื่อหน่าย เกิดความรำคาญได้ เราก็ใช้องค์กสิณของเราที่ฝึกปรือได้ เอามาทำเป็นกีฬาสมาธิแก้เบื่อให้กับตัวเอง
อย่างที่อาตมาเคยแนะนำให้ใช้เมตตาพรหมวิหารประกอบกับองค์กสิณในการกำหนดแผ่เมตตา ไม่ว่าจะแผ่กว้างออกไปหรือกลับมาสว่างที่ตัวเองก็สามารถทำได้ หรือว่าจะกำหนดองค์กสิณต่าง ๆ เอาไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็ได้ อย่างเช่นไว้ข้างบนศีรษะสัก ๒ ดวง ไว้ด้านหน้า ๒ ไว้ด้านหลัง ๒ ไว้ด้านซ้าย ๒ ไว้ด้านขวา ๒ เป็นต้น
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นการเจริญกรรมฐานที่บ้านเติมบุญวันสุดท้ายของปี เมื่อวานนี้เรากล่าวถึงว่า ถ้าการปฏิบัติของเราไม่สามารถที่จะทรงอารมณ์ได้นาน ก็ให้ใช้วิธีภาวนาพระคาถาต่าง ๆ แต่ละบทให้เรากำหนดไปว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไร หรือจะภาวนาให้ได้กี่จบ ถ้าสภาพจิตรู้ว่ามีงานทำ ก็จะไม่คลายออกมาจากสมาธิง่าย ๆ หรือว่าเมื่อเราภาวนาอารมณ์ใจเริ่มทรงตัวแล้ว ก็คลายออกมาระลึกถึงอนุสติต่าง ๆ มีพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นต้น โดยมีอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกเป็นพื้นฐานกำกับไว้
สำหรับวันนี้จะกล่าวถึงท่านที่มาทางด้านสายของอภิญญา คือฝึกมาในด้านของกสิณ ๑๐ บางทีการปฏิบัติของเราไปถึงระดับหนึ่ง รอเวลาในการสั่งสมกำลังเพื่อที่จะก้าวผ่านไป บางครั้งเป็นระยะเวลาถึง ๓ ปี ๕ ปี ซึ่งในช่วงนั้นบางทีเมื่อเราไม่เห็นว่าเกิดผลอะไรขึ้นมา บางทีก็จะเกิดความท้อ เบื่อหน่าย เกิดความรำคาญได้ เราก็ใช้องค์กสิณของเราที่ฝึกปรือได้ เอามาทำเป็นกีฬาสมาธิแก้เบื่อให้กับตัวเอง
อย่างที่อาตมาเคยแนะนำให้ใช้เมตตาพรหมวิหารประกอบกับองค์กสิณในการกำหนดแผ่เมตตา ไม่ว่าจะแผ่กว้างออกไปหรือกลับมาสว่างที่ตัวเองก็สามารถทำได้ หรือว่าจะกำหนดองค์กสิณต่าง ๆ เอาไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายก็ได้ อย่างเช่นไว้ข้างบนศีรษะสัก ๒ ดวง ไว้ด้านหน้า ๒ ไว้ด้านหลัง ๒ ไว้ด้านซ้าย ๒ ไว้ด้านขวา ๒ เป็นต้น