View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๐
ถาม : เนื่องจากหนูเป็นคนชอบวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์สมัยรุ่นก่อน ๆ โดยเฉพาะพวกเครื่องรางของขลัง เวลาได้สัมผัสพลังงานของเหล่านี้จะรู้สึกคึกและสนุก เหมือนกับได้สัมผัสของอภิญญา และอยากจดจำกระแสของครูบาอาจารย์แต่ละท่านว่าแตกต่างกันอย่างไร
ถ้าเป็นของขลังสายบู๊เวลาเอาไปลองจะรู้สึก "ขึ้น" และ "ได้ผล" แต่เมื่อไรที่เป็นของสายเมตตามหาเสน่ห์ หนูเข็นเท่าไรก็ไม่ขึ้นค่ะ อาราธนาแล้วอาราธนาอีกก็ไม่ออกฤทธิ์ ที่ผ่านมาทั้งลูกอมหลวงปู่ทิม ทั้งแพะหลวงพ่ออ่ำ หนูอาราธนาเท่าไรก็ไม่เห็นผลเสียที ไม่ทราบว่าเพราะอะไรคะ ? หรือเพราะหนูเป็นนักบวช ท่านเลยไม่อยากให้ลองของพวกนี้ ? ทั้ง ๆ ที่หนูก็แค่อยากลองให้รู้ผลแค่วันเดียวจบ
ตอบ : สึกจากแม่ชีเสียแล้วจะได้ผล...!
ถาม : การที่นำตะกรุดมหาสะท้อนหรือยันต์มหาสะท้อนของพระอาจารย์เนื้อเงิน นำไปสร้างวัตถุมงคลที่น้ำหนัก ๑ บาทขึ้นไป แต่เป็นเนื้อมวลสารโลหะต่างหลายชนิดผสมกัน ไม่ใช่เงินล้วน จะทำให้ผลของมหาสะท้อนยังคงอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเป็นโลหะเงิน ทองคำ หรือนากเท่านั้น โลหะผสมใช้ไม่ได้
ถาม : การอาราธนาตะกรุดมหาสะท้อน นอกจากการท่องคาถาแล้ว เราต้องระลึกถึงภาพพระไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง ถ้านึกถึงก็ถือว่าเป็นกำไร ความจริงแค่ภาวนาเป็นปกติก็พอแล้ว
ถาม : เห็นหลวงพ่อเคยบอกว่า เรามีเวลาเตรียมตัวรับสงครามโลกเหลือเฟือ ไม่ทราบว่าหากเกิดสงครามโลกขึ้น สงครามจะกินเวลานานเท่าไรจึงจะยุติ ? และโลกจะใช้เวลานานเท่าไรจึงจะกลับคืนสู่สภาวะปกติครับ ?
ตอบ : อย่าตาย...แล้วพยายามรอดู...!
ถาม : พลอยธรรมชาติขนาดใหญ่ ถ้าต้องการจะขายให้ได้โดยเร็ว จะต้องทำพิธีอะไร ? บอกกล่าวท่านที่รักษาพลอยอย่างไร หรือต้องบวงสรวงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขายราคาถูก ๆ...! เอาไปให้สถาบันประมูลเขาจัดการให้ แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เขาก็จบแล้ว มัวแต่ไปขายเองอยู่ก็ลำบาก
ถาม : ผมเห็นภาพคนให้เช่าพระ นำพระเหรียญทองแดงของหลวงพ่อกวยที่ปลุกเสกแล้วไปชุบทองคำ พุทธคุณจะยังอยู่ไหมครับ เนื่องจากเหรียญต้องแช่น้ำกรดก่อนชุบ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่ถึงขนาดละลายหมดเหรียญ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม และได้อานิสงส์สังฆบูชาเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะว่าไปชุบทองให้
ถาม : ผมภาวนาใช้คำว่าพุทโธจับลมกระทบสามจุด ไม่ได้จับภาพพระ เวลาผ่านไปคำภาวนาหายไป นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าภาวนาว่าอะไร ลมหายใจเบาจนไม่รู้สึกว่าหายใจ ยังได้ยินเสียงแต่เริ่มเบาลงและความรู้สึกเหมือนพุ่งลง ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว นึกแค่ว่าตายช่างมัน แล้วอาการพุ่งดิ่งก็หยุด และลอยอยู่ในที่กว้างใหญ่ แต่มืด ความรู้สึกเหมือนถูกบีบ และอัดแน่น แต่เย็น และใจเบา แล้วก็เกิดอาการอยากหัวเราะขึ้นมาทันที กลั้นเอาไว้แต่ทำไม่ได้ ก็หัวเราะดีใจ แล้วรู้สึกว่ามีลมหายใจเป็นแบบนี้ตลอด ไม่เคยผ่านไปได้ ผมต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกหัวเราะ..!
ถาม : ถ้าจิตยอมรับในกฎไตรลักษณ์ จิตจะปล่อยวางในขันธ์ห้าเองใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ายอมรับในกฎไตรลักษณ์จะปล่อยวางในทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะขันธ์ ๕
ถาม : ตอนที่ปฏิบัติวันนี้ โยมพิจารณาในกฎของไตรลักษณ์ ว่าที่ทุกข์เพราะจิตไม่ยอมรับในกฎไตรลักษณ์จริง ๆ แล้วก็เกิดความรู้สึกเบา สว่าง สบาย เป็นเพราะเหตุใดคะ โยมทำผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ขอให้ทำผิดแบบนี้บ่อย ๆ..!
ถาม : ถ้าจิตยอมรับในกฎของไตรลักษณ์จริง จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไหมคะ ?
ตอบ : ยอมรับอย่างแท้จริง ปล่อยวางได้ทุกอย่างก็ไปได้ แต่ถ้ายอมรับแล้วปล่อยวางไม่หมดก็ไปไม่ได้
การยอมรับกฎของไตรลักษณ์นั้นมีตามลำดับชั้น ยอมรับแบบปุถุชน ยอมรับแบบผู้ทรงฌาน ยอมรับแบบพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่ยอมรับเฉย ๆ แล้วจะไปได้ ต้องยอมรับแบบปล่อยวางได้ทั้งหมดด้วย
ถาม : การที่พระสงฆ์เล่นหวยใต้ดินนอกจากไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีเรื่องที่หวยใต้ดินมีการหนีภาษี ผิดกฎหมาย ดังนั้นทำให้มีโอกาสโดนอาบัติปาราชิกด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องถามว่าพระวัดไหน ? ถ้าเป็นพระวัดท่าขนุนไม่ใช่แค่อาบัติอย่างเดียว โดนจับสึกด้วย...!
พระห้ามเล่นหวยหรือการพนันทุกชนิด แม้กระทั่งเล่นหมากรุก ท่านปรับอาบัติทุกครั้งที่จับตัวหมากรุก แปลว่ากว่าจะจบกระดานโดนไปกี่ร้อยครั้งก็ไม่รู้..!?
ถาม : อยากทราบว่าบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ทรงฌานสมาบัติอะไรเลย สามารถนอนหลับวันละ ๔ ชั่วโมงแบบพระพุทธเจ้าหรือแบบพระอนุรุทธ ที่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้นอนหลับมาหลายปีแล้ว ได้หรือเปล่าครับ ? เพราะตามความเข้าใจของผม ถ้าทรงฌานสมาบัติได้ยิ่งฌานสูง ๆ นี่สามารถพักร่างกายสักครู่เดียวก็เท่ากับนอนเต็มอิ่มได้แล้ว และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมลองนอนไม่เกิน ๔ ชั่วโมงร่างกายรู้สึกเครียด สมองทำงานช้ามาก เลยคิดว่าการนอน ๔ ชั่วโมงนั้นเหมาะสำหรับผู้ทรงฌานเท่านั้น
ตอบ : ยังไม่ทันจะเข้าชั้นอนุบาล ดันเอาตัวไปเทียบกับระดับ "ดับเบิ้ลด็อกเตอร์" สมควรตาย..!
ถาม : ผมเคยได้เข้าฌานสมาบัติครั้งแรกตอนผมเป็นหนุ่ม ในเวลาไม่ถึง ๒๐ นาที แล้วช่วงนั้นพวกอารมณ์ราคะนี่หมดไปเกือบ ๑ เดือน ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกสงบ ใจนิ่งมาก ๆ แต่ปัจจุบันผมอายุ ๒๐ ปีแล้ว ผมไม่ได้เข้าฌาน ไม่ได้เจออารมณ์สุขมาก ๆ เป็นเวลาหลายปีในชีวิตปัจจุบันผมก็คือปุถุชน ชอบผู้หญิงสวย ๆ ชอบกินอาหารอร่อย ๆ ชอบเล่นเกม แต่ผมอยากทราบว่า ผมสามารถจะเข้าฌานอีกทีได้หรือเปล่าครับ ? ถ้าผมยังใช้ชีวิตที่เล่นเกม ยังอยากกินอาหารอร่อย ๆ อยากมีแฟนสวย ๆ อยู่ แต่เพิ่มเวลามาทำสมาธิสัก ๑๐ นาทีและนอนสมาธิจนหลับไป
ตอบ : ชาติหน้าบ่าย ๆ น่าจะเข้าได้...! เล่นเกม ๑๐ ชั่วโมง แล้วมาเข้าสมาธิ ๑๐ นาที ฟังแล้วดูมีอนาคตเหลือเกิน...!
ถาม : จากข้อเมื่อครู่ผมคิดว่าการที่ผมเข้าฌานได้เร็ว อาจจะเป็นเพราะผมเล่นเกมมาหลายปีแล้วผมลองปรับกำลังใจเวลาเล่นเกม ที่คอยจดจ่อกับเกม มาจดจ่อรับรู้ลมหายใจเข้าออกแทน ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ว่าการจดจ่อเล่นเกมก็เหมือนการทำสมาธิ แต่เป็นสมาธิใช้งาน และเราสามารถปรับอารมณ์จดจ่อเล่นเกม มาจดจ่อดูลมหายใจเพื่อส่งเสริมการปฎิบัติเรายิ่งขึ้น แล้วเราสามารถเอาสมาธิที่ฝึกจากการดูลมหายใจ มาทำงานหรือทำอะไรก็ตามให้ดียิ่งขึ้นได้อีก
ตอบ : เขาเรียกว่ามิจฉาสมาธิ เป็นการใช้กำลังใจในทางที่ผิด สมัยอาตมายังเด็กอยู่ มีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่งนั่งเล่นไพ่ในงานศพสองวันสองคืน ไม่ลุกไปไหนเลย กินก็ไม่กิน เข้าส้วมก็ไม่เข้า กำลังระดับนั้นเป็นกำลังระดับนิโรธสมาบัติเลย แต่เอาไปใช้ผิด เป็นที่น่าเสียดายมาก
บุคคลที่ใช้ผิดเพราะกำลังใจหมกมุ่นไปในทางด้านใดด้านหนึ่ง โอกาสที่จะกลับมาเป็นสัมมาสมาธินั้นยากมาก เพราะว่ากำลังของกิเลสสูงกว่า ฝึกหัดจนกระทั่งชำนาญในด้านชั่วเสียแล้ว ถึงเวลาจะพลิกกลับมาดี กำลังทางด้านดีมีน้อย โอกาสที่จะกลับตัวได้จึงมีน้อยมาก
ถาม : คนเราก่อนเวลาตายถ้านึกกรรมดีไปสวรรค์ แล้วนึกกรรมชั่วลงนรก แล้วพวกสัมภเวสีทำไมเขาไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรกครับ ทั้ง ๆ ที่ก่อนตายเขาน่าจะนึกกรรมดีหรือกรรมชั่ว ?
ตอบ : ยังไม่มีโอกาสไปเพราะวาระยังไม่หมด พวกบรรดาข้าราชการที่ยังไม่เกษียณ แต่ทำตัวเช้าชามเย็นชาม นั่นแหละประเภทสัมภเวสี...! รอเกษียณเมื่อไรจึงจะไปได้
ถาม : ผมเข้าใจถูกเปล่าครับพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มกำลังใจท่านเทียบเท่าพระอรหันต์ หรืออาจจะละเอียดกว่าพระอรหันต์ ? เพราะจิตของพระโพธิสัตว์ท่านไวมาก ท่านรู้ก่อนว่าจะมีความคิดอะไรเกิดขึ้นมาในจิต ถ้าความคิดไหนเป็นความคิดที่จะให้เกิดกิเลส ก็ไม่เก็บมาคิด ถ้าผมเข้าใจผิดหลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับว่าอารมณ์เทียบเท่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร ?
ตอบ : ก็เป็นอย่างพระอรหันต์
ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์ตราบใดที่ท่านยังไม่ตรัสรู้ท่านก็เป็นปุถุชน แล้วปุถุชนที่ไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์สามารถมีอารมณ์เทียบเท่าพระอรหันต์ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : นอนฝันไปก่อน...เทียบเท่าพระโสดาบันยังยากเลย
ถาม : อยากทราบวิธีแก้คนประเภทที่รู้ว่า "ชั่วดีรู้หมด แต่อดไม่ได้" ขอยกตัวอย่างนะครับ ผมใช้เวลาเกมต่อวันหลายชั่วโมงมาก แต่พอเวลามาทำสมาธินี่ไม่ถึง ๕ นาที ผมก็เลิกกลับไปเล่นเกมต่อ ทั้ง ๆ ที่ตอนเป็นหนุ่มผมเคยได้ฌานแต่เสื่อมแล้ว ผมคิดว่าถ้าผมตอนนั้นเอาเวลาเล่นเกมหลายชั่งโมงมาทำสมาธิเพื่อจะทรงฌาน ๔ ตอนนี้ผมคงทรงฌาน ๔ ได้ไปนานแล้ว
ตอบ : น่าจะได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ไปนานแล้วด้วย
ถาม : คำสั่งสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าหลังจากพระองค์เทศน์มาหลายปี คือ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลาย ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ผมติดใจตรงสุดท้ายด้วยความไม่ประมาท นี่ขึ้นอยู่กับบุคคลด้วยเปล่าหรือครับ ? อย่างไม่ประมาทของพระอรหันต์นี่ทุกวินาทีจิตท่านบริสุทธิ์ อย่างของผมปุถุชนแค่วันนี้ดูลมหายใจติดต่อกันได้ ๑๐ ครั้งแล้วรักษาศีลก็ไม่ประมาทแล้ว
ตอบ : คำว่า "ไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น อย่างอื่นไม่ถึงพร้อม อย่าเผยอหน้าขึ้นไปเทียบท่าน..!
ถาม : บริษัทที่ผมทำงานอยู่ พนักงานอยากให้เลี้ยงเหล้าปีใหม่ ทีนี้ผมในฐานะฝ่ายบริหาร ถ้าอนุมัติ ผมจะบาปไหมครับ หรือผมควรสั่งงด ?
ตอบ : อนุมัติไปเลย ไม่ได้บีบคอให้เขากิน ไม่ถือว่าบาป
ถาม : มีพระวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ท่านบอกว่ารับภารกิจต่าง ๆ มาจากสมเด็จองค์ปฐม วัดท่านคือใจกลางของวัฏสงสาร มีดวงจิตขึ้นมาจากนรกมากมายตลอดเวลาและได้เข้าสู่แดนพระนิพพาน แม้แต่สัตว์หรือคนที่ได้ตายที่วัดหรือได้มาร่วมบุญที่วัดนี้ก็จะได้เข้าสู่แดนพระนิพพานเมื่อตาย เป็นไปได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นไปได้พระพุทธเจ้าเอาพวกเราไปหมดแล้ว ไม่ต้องมานั่งอยู่อย่างนี้หรอก
ถาม : เมื่อพระหรือโยมทำอะไรที่ขัดแย้งกับท่าน ท่านจะบอกกับโยมที่ศรัทธาท่าน ว่าคนนั้นขัดขวางภารกิจสมเด็จองค์ปฐม ไม่ให้ยุ่งกับคนนั้น เดี๋ยวจะติดกรรม จริงหรือครับที่ขัดแย้งกับท่านคือขัดขวางสมเด็จองค์ปฐม แล้วเกิดเป็นกรรม ?
ตอบ : ถามท่าน...อย่าถามอาตมา...!
ถาม : ที่วัดมีหมูและหมามากมาย แต่ไม่ได้รับการสนใจ ท่านบอกบุญมีเงินสร้างพระพุทธรูปมากมาย แม้แต่ของใช้ส่วนตัวราคาสูง ๆ ก็เยอะ ถ้าท่านบอกบรรดาญาติโยมก็พยายามหามาให้ แต่กลับปล่อยสัตว์ให้อด นอนตากแดดฝน จนตายอย่างลับ ๆ ท่านสอนว่าให้มองข้ามร่างกาย อย่าใส่ใจร่างกาย ท่านว่านี่คือพรหมวิหารสี่ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พรหมวิหารสี่แบบของท่าน...!
ถาม : ที่วัดมีหมูที่ได้รับการไถ่ชีวิตมา และหมาจรจัดนับร้อย ซึ่งไม่ได้รับการดูแล แม้แต่หลังคาหลบฝนก็ไม่มีมานาน ๒-๓ ปี ใครในวัดที่ช่วยดูแลเรื่องนี้ ท่านก็จะบอกกับคนรอบ ๆ ข้างประมาณว่า ทำให้ชื่อเสียงวัดเสียหาย เพราะท่านไม่อยากให้ใครรู้ความจริงเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของสัตว์นั้น ๆ ท่านว่าเป็นการขัดภารกิจสมเด็จองค์ปฐม อย่างนี้ก็หมายความว่าการบอกบุญแก่คนที่ต้องการช่วยเหลือสัตว์นั้นเป็นบาปมหันต์ เพราะขัดภารกิจสมเด็จองค์ปฐม ต้องตกนรกจริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : ไปถามท่าน...!
ถาม : หากคนในวัดอยู่แล้วไม่มีความสุข ต้องการออกไป แต่ติดตรงที่ว่าสงสารสัตว์เหล่านั้นที่ได้รับความทุกข์ เพราะโดนปล่อยปละละเลย ควรตัดสินใจอย่างไรดีครับ ทนต่อหรือไป ?
ตอบ : ทนต่อดีกว่า จะได้เห็นทุกข์มาก ๆ บุคคลที่จะเห็นธรรมต้องเห็นทุกข์ก่อนทั้งนั้น
ถาม : ในการพุทธาภิเษกเทวดาท่านจะเข้ารักษาวัตถุมงคล ๑ ชิ้นต่อ ๑ องค์ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นตามสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เป็นตามนั้น
ถาม : หากนำสร้อยประคำเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุน เทวดาจะเข้ารักษาสร้อยประคำ ๑ เส้น หรือว่า ๑ เม็ดต่อ ๑ องค์ครับ ?
ตอบ : ๑ เส้น
ถาม : ประคำแยกเม็ด ยังไม่ได้ร้อยเป็นตัวสร้อย หากนำเข้าพิธีเทวดาท่านจะเข้ารักษา เม็ด ๑ ต่อ ๑ องค์ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ท่านรอให้ร้อยเป็นสร้อยก่อน
ถาม : โรคซึมเศร้ากับนิพพิทาญาณ แตกต่างกันอย่างไร แล้วมีจุดสังเกตอย่างไรคะ ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเกิดจากการมีปัญญา เห็นสภาพความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ ทุกสิ่งไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ส่วนโรคซึมเศร้าเกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ โดยเฉพาะสงสารตัวเอง ต่างกันมากไหม ?
ถาม : ตอนนี้มีอาการเบื่อทางโลก ไม่อยากดิ้นรน นอนเยอะ เพลียง่าย แต่พยายามจับภาพพระทั้งลืมตาหลับตา ภาพพระสว่างไสวชัดเจน เป็นอาการของนิพพิทาญาณที่ยังไม่ถึงสังขารุเปกขาญาณใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นความขี้เกียจ ต่อไปให้วิ่งจับภาพพระแทนการนอน..!
ถาม :ไปสักยันต์ห้าแถวกับอาจารย์หนูมาครับ ลูกศิษย์ท่านเป็นคนสักให้ อาจารย์หนูเป่าครอบ หลายปีเเล้วรู้สึกชีวิตไม่มีความสุขเลยครับ ไม่สบายใจ อยากถอนยันต์ออก จะเหลือแค่ลายก็ได้ อยากให้ช่วยเเนะนำหน่อยครับ
ตอบ : จะไปยากอะไร มีดคม ๆ ปาดพรืดเดียวก็หมดแล้ว...!
ถาม :การเซ็นลายเซ็นแทนคนอื่น ในกรณีที่ตัวเขาไม่สามารถเซ็นได้ เป็นการรักษาประโยชน์ และตัวเขาเองก็ได้อนุญาตไว้ ผิดศีลหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าทำแล้วเกิดผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งเข้าสู่ตัวเอง ก็ถือว่ามีส่วนผิดศีล เช่น ขาดการทำงาน แต่ให้เพื่อนเซ็นว่ามาทำงานแล้วรับเงินเดือนเต็ม ก็เท่ากับโกงเขา
ถาม : ระหว่างฤกษ์พรหมประสิทธิ์กับฤกษ์หลวงปู่ปาน หากหาฤกษ์ที่ดีตรงกันทั้งสองตำราไม่ได้ ควรใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์เป็นหลักใช่หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ฤกษ์พรหมประสิทธิ์เป็นฤกษ์ใหญ่ ครอบคลุมหมดทุกฤกษ์ ถ้าฤกษ์อื่นบอกว่าไม่ดี แล้วฤกษ์พรหมประสิทธิ์บอกว่าดี ให้ใช้ตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์"
ถาม : พระพุทธรูปที่ทางวัดกำลังจะปิดทองใหม่แน่นอน ในขณะที่ยังไม่ลอกทองเก่าออก ทางวัดอนุญาตให้คนทั่วไปสรงน้ำที่องค์ท่านได้ การที่เราไปสรงน้ำแล้วทองเก่านั้นอาจจะหลุดไป จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ตั้งใจสรงน้ำเป็นพุทธบูชา ไม่มีเจตนาที่จะไปทำหลุด ไม่ถือว่าเป็นหนี้
ถาม : การทำความสะอาดพระพุทธรูปหรือรูปเคารพต่าง ๆ ที่บูชาที่บ้านที่มีการปิดแผ่นทองคำเปลว ทั้งเพื่อความสวยงามและเพื่อแก้บน หากล้างแผ่นทองออกทั้งหมด จำเป็นต้องปิดแผ่นทองกลับคืนหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเขาปิดเป็นพุทธบูชาก็ต้องปิดคืนกลับไป
ถาม : หากไม่ต้องการปิดแผ่นทองกลับคืน จะมีโทษอย่างไร และต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ลงอเวจีเท่านั้นเอง แก้ไขอย่างไร ? ไม่ต้องแก้หรอก ถึงเวลาก็ลงไปแต่โดยดี...!
ถาม : ถ้าตอนที่เรากำลังคิดสงสัยถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ เช่น วิธีใช้ของที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ปรากฏเห็นเป็นภาพเข้ามาในหัวชั่วขณะหนึ่งไม่นานนัก แต่กลับเข้าใจขั้นตอนวิธีต่าง ๆ รวมถึงวิธีการใช้ได้อย่างละเอียดทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ได้มีความรู้ที่จะทำได้ ขณะเห็นภาพนั้นรู้สึกสงบอย่างประหลาด สมาธิจดจ่ออยู่กับภาพนั้น และจิตก็เห็นภาพได้ชัดเจนอย่างมาก อยากทราบว่าอาการนี้เป็นอุปาทานไปเองหรือไม่ ? ผมควรจะเชื่อสิ่งที่สัมผัสนี้หรือไม่ ?
ตอบ : อาการแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นอาการของทิพจักขุญาณ ลองปฏิบัติตามดู ถ้าเกิดผลก็เชื่อได้ ถ้าไม่เกิดผลก็แล้วไป
ถาม : ผมเป็นคนที่ชอบฝึกสมาธิคนหนึ่ง เพราะทำแล้วรู้สึกสงบดี หรือถ้านั่งสมาธิแล้วฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ไปด้วย จิตจะสงบเย็นดีมาก แต่พอทำไปสักพัก พอรู้สึกว่าตัวเองมีความสดชื่น มีกำลังขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเบื่อ ๆ จะฝึกสมาธิต่อก็รู้สึกว่าเต็มแล้ว ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบการ์ตูน เช่น ดราก้อนบอล วันพีช ฯลฯ ก็เลยมักจะดูหนัง ดูการ์ตูน หลังจากที่ทำสมาธิจนจิตสบายดีแล้วแทบทุกครั้ง อีกทั้งผมยังชอบติดภาพโปสเตอร์การ์ตูนไว้ในห้องนอนอีกด้วย ไม่ทราบว่าถ้าทำแบบนี้ เมื่อตายไปแล้ว ผมจะไปเกิดเป็นอะไรครับ ?
ตอบ : น่าจะไปเกิดที่ดาวไซย่า...!
ถาม : การกู้เงินเพื่อนำมาทำบุญ นับว่าเป็นการทำบุญด้วยวัตถุทานที่บริสุทธิ์หรือเปล่าครับ ? โดยเฉพาะเมื่อเรานำเงินที่หามาอย่างสุจริตมาใช้คืนเงินกู้นั้น ๆ
ตอบ : เป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์แต่ไม่ควรทำ การทำบุญไม่ควรทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินก็ไปกู้เขามาทำบุญ ถ้าตายเสียก่อนไม่ได้คืนเขา จะซวยไม่รู้จบ..!
ถาม : และหากเรานำเงินที่หามาอย่างไม่สุจริต เช่น เงินที่ได้จากการเล่นสลากกินแบ่งรัฐบาล มาชดใช้เงินกู้นั้น ก็นับว่าเงินกู้นั้นเป็นวัตถุทานที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : สลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงินบริสุทธิ์ เพียงแต่ว่าได้มาจากเงินที่เป็นกึ่งการพนัน ถ้าเราติดใจว่าเป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์ จิตใจเศร้าหมอง ผลบุญก็จะลดลง
ถาม : ในช่วงที่มีการเป่ายันต์เกราะเพชร หากเรารับยันต์ที่บ้าน เราสามารถนำวัตถุมงคลมาวางไว้ที่หน้าตัก และขออาราธนาบารมีพระเพื่อพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเหล่านั้นจะได้หรือไม่ครับ ? และวัตถุมงคลเหล่านั้นจะมีอานุภาพแตกต่างกับการนำมาเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจรับที่บ้าน ควรที่จะปูผ้าขาววางบนพานให้เรียบร้อย เหตุที่เขาให้วางบนตักที่วัด เพราะว่าตัวเองไปโดยที่ไม่มีความพร้อมสักอย่างเดียว ถ้าตั้งใจอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ก็มีอานุภาพเหมือนกัน
ถาม : หากเราฝังวัตถุมงคลต่าง ๆ ไว้ในร่างกาย เช่น ตะกรุด หรือหินมงคล ในช่วงที่มีการเป่ายันต์เกราะเพชร เราสามารถขออาราธนายันต์เกราะเพชรเข้าไว้ในวัตถุมงคลที่ฝังไว้ในร่างกายได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้
ถาม : การฝังวัตถุมงคลที่มียันต์เกราะเพชรเข้าร่างกายนั้น หากพลาดพลั้งดื่มเหล้า ยันต์จะหลุดจากวัตถุมงคลที่ฝังไว้ในร่างกายหรือเปล่าครับ หรือเพียงแต่หยุดการคุ้มครองไปชั่วขณะหนึ่งครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในร่างกายถือว่าสูญอานุภาพไปด้วยกัน แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในร่างกาย คือเป็นวัตถุที่แยกชิ้นส่วนกันออกไป ก็เสียอานุภาพการคุ้มครองแค่ชั่วคราว
ถาม : ผมได้บูชาพระคำข้าวรุ่นพิเศษมาจากวัดท่าซุง เห็นพระองค์นี้สวยชอบใจ และเห็นมีพระบรมธาตุสี่องค์ครับ กลับมาศึกษาดูจึงได้รู้ว่า ปกติจะมีพระบรมธาตุ ๕ องค์ ซึ่งก็น่าจะจริงตามนั้น เพราะมีรอยบุ๋มของเนื้อพระอยู่ กราบเรียนถามว่าผมมีพระบรมธาตุอยู่ที่บ้าน หากนำไปติดเพิ่มจะสมควรหรือไม่ครับ ? และควรใชัวัสดุอะไรยึดติดพระกับพระธาตุจึงจะเหมาะสมครับ ?
ตอบ : ทำได้...ใช้กาวตราช้างก็ได้
ถาม : หากติดพระธาตุใหม่ลงไป จะมีผลต่อพุทธคุณหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี...ถ้าเป็นพระธาตุของแท้ก็เพิ่มพุทธคุณขึ้นมา
ถาม : การที่เรานั่งดูทีวีแล้วเห็นภาพอะไรแวบ ๆ ที่หางตา อารมณ์แบบนี้อยู่ในระดับอุปจารสมาธิหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใกล้เคียง
ถาม : ตามที่หนังสือหลวงพ่อกล่าวว่า ความรู้ในมโนมยิทธิ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันไว้กับนิโครธปริพาชกว่า คนใดที่มีบารมีแก่กล้าจะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ วัน ถ้ามีบารมีอย่างกลางจะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ เดือน ถ้าบารมีอ่อนจะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ ปี เราไม่รู้ว่าอดีตชาติเราสะสมบารมีมาเท่าไร แต่ถ้าเราตั้งใจยกจิตขึ้นพระนิพพาน พยายามละสังโยชน์ ๑๐ ตัดร่างกาย ปฏิบัติในบารมี ๑๐ และทรงอารมณ์ให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ถ้าจะตั้งเป้าหมายให้เป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ เดือน มีโอกาสเป็นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ตั้งเป้าสูงสุดไว้ที่ ๗ ปี ถ้าทำได้ดีกว่านั้นก็ ๗ เดือน ถ้าทำได้ดีที่สุดก็ ๗ วัน เพราะฉะนั้น...แลกกับการเวียนว่ายตายเกิดที่นับชาติไม่ถ้วน เป้าหมาย ๗ ปีไม่ใช่เรื่องที่ยาวนาน
ถาม : มีอะไรที่จะให้เสริมจากที่กล่าวมาคะ ?
ตอบ : ไม่มี
ถาม : หรือควรจะไปบวชชีจริงจังเลยไหมคะ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง อะไรที่เป็นเรื่องอนาคตของตัวเอง ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าไปถามคนอื่น ถามคนอื่นเป็นลักษณะจับเขาเป็นตัวประกัน ถ้าเกิดเขายืนยันว่าดี เราไปแล้วไม่ดีก็บรรลัยอีก..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกประเภท ดีชั่วรู้หมดแล้วอดไม่ได้ ถ้าต้องการคำแนะนำ อาตมาแนะนำว่าไปตายซะ...เผื่อเกิดใหม่จะดีขึ้นบ้าง...!
บุคคลประเภทนี้เป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก เพราะว่ารู้ทุกเรื่องแต่ไม่คิดที่จะทำจริง ถ้าอย่างนี้ทางพระเขาถือว่าศีลขาดเพราะความไม่ละอาย ก็คือรู้แล้วยังขืนทำ บวชเป็นพระก็หมดอนาคต เป็นฆราวาสก็หมดอนาคต
มีอยู่อย่างเดียวคือต้องละความประพฤติทั้งหลายเหล่านั้นเสีย แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คงจะลำบากยากเข็ญในตอนแรก เพราะว่ากิเลสรุนแรงกว่า ฝึกซ้อมด้านชั่วเอาไว้มากกว่า ถ้าไม่ท้อถอยโอกาสจะได้ดีก็เร็ว เพราะว่ากำลังเก่าสูงมาก เพียงแต่พลิกมาใช้อีกด้านหนึ่งให้ได้เท่านั้น"
"สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเทศน์แล้วมีผู้บรรลุมรรคผลกันมาก เพราะว่าท่านเหล่านั้นมีพื้นฐานดีมาแต่เดิมแล้ว ส่วนใหญ่ฝึกปฏิบัติทางจิตจนกระทั่งได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นปกติ แค่ใช้กำลังทั้งหลายเหล่านั้นมาในการตัดกิเลส อย่างที่โบราณว่า "ชั่วเคี้ยวหมากแหลก" ก็เกิดผลแล้ว เพราะว่ากำลังสูงพอ
เหมือนกับบุคคลที่สะสมเงินเอาไว้ มีจำนวนมากมายมหาศาล จะซื้อของราคาแพงแค่ไหน ก็แค่ควักกระเป๋าไปซื้อเท่านั้น ขณะที่บุคคลซึ่งไม่ได้มีการเตรียมการมาก่อน ไม่ได้ฝึกปรือมาก่อน ก็ เหมือนกับคนมีเงินไม่พอ ต้องเสียเวลาสะสมเงินเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน กว่าที่จะซื้อของแต่ละอย่างได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำถามจำนวนมากเป็นคำถามในลักษณะฟุ้งซ่านล่วงหน้า ถ้าเอาเวลาคิดคำถามไปภาวนาจะได้ดีมากกว่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้บ้านเมืองเราที่ปักษ์ใต้ลำบาก เพราะว่าฝนตกหนัก น้ำท่วมหลายแห่ง รอดูว่าถ้ามีท่านใดหรือหน่วยงานใดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ประสบอุทกภัย พวกเราก็ไปช่วย ๆ กันหน่อย โดยเฉพาะพวกบรรดาข้าวของต่าง ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เวลามี ๒๔ ชั่วโมง ควรจะทำสัก ๒๕ ชั่วโมง..! แต่บางคนกลับไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งยั่วใจที่ตรงหน้า เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ไปใช้กำลังในทางที่ผิด ถ้าตั้งใจปฏิบัติทุ่มเทแบบนั้น ก็คงจะได้ดีไปนานแล้ว
สมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่นอยู่ก็ฝึกกสิณ ขณะที่พระครูแสงท่านเพาะกาย ยกน้ำหนัก กินนมครั้งละ ๒ ลิตร กินไข่ครั้งละ ๑๒ ฟอง พอเห็นอาตมาภาวนาตัวสั่นพั่บ ๆ ก็โผล่หน้ามาบอกว่า "ดูท่ามันจะบ้าแล้ว" แต่หลังจากที่บวชเข้ามาได้ประมาณ ๒-๓ พรรษา ท่านก็บอกว่า "รู้อย่างนี้ ถ้าผมทำอย่างหลวงพี่สมัยนั้นก็สบายไปแล้ว"
การเริ่มที่ช้ายังไม่ถือว่าช้าจนเกินไป เพราะการเริ่มช้าก็ยังดีกว่าคนที่ไม่ได้เริ่ม เพียงแต่การเริ่มช้าก็ต้องทุ่มเทเอาจริงเอาจังมากกว่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัวธนูของสายเหนือ นอกจากของครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้แล้ว ก็ต้องหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูลนี่แหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลูกอมหลวงพ่อทับ วัดอนงคาราม มีหลายทรงด้วยกัน มีทรงกลม ๆ ที่เราเคยชิน กับทรงที่เขาเรียกว่าลูกหนำเลี้ยบ หรือทรงลูกรักบี้ แล้วก็ทรงแบน ๆ แบบเม็ดกระดุม แล้วยังมีพวกลูกสะกดอีก ลูกสะกดจะมีเจาะรูตรงกลาง ไม่ใช่ว่าไม่กลมแล้วเราก็ไม่แลเลย แบบนั้นจะชวดของดีไปอย่างน่าเสียดาย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอย่างหนึ่งที่อยากจะเตือนก็คือ หลายคนไปเน้นวัตถุมงคลสายเสน่ห์ อย่างเช่น แพะหลวงพ่ออ่ำ สีผึ้งหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง มีอยู่รายหนึ่งจะเอาผ้ายันต์ม้าเสพนาง ครูบาวัง วัดบ้านเด่น แล้วก็จำนวนมากที่ไปจองปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ ปลัดขิกหลวงพ่อกวย เป็นต้น
วัตถุมงคลเหล่านี้ถ้าคิดจะเอาไปใช้ทางเมตตา อาตมาขอบอกว่าให้ระมัดระวังของแถม ที่ต้องระวังของแถมเพราะว่าสีผึ้งหรือปลัดขิก หรือสิ่งที่มาทางสายเสน่ห์เหล่านี้ สมัยก่อนเขาทำไว้ให้หาผัวหาเมียกัน เหตุเพราะว่าบางทีบรรดาลูกศิษย์มีฐานะลำบากยากจน ไม่มีสินสอดทองหมั้นที่จะไปขอตามที่พ่อตาแม่ยายเรียกร้อง ครูบาอาจารย์ท่านสงสารก็เลยทำวัตถุมงคลประเภทนี้ขึ้นมาให้
เพราะฉะนั้น...ควรดูวัตถุประสงค์ที่ท่านสร้างขึ้นมาจริง ๆ ด้วยว่าท่านต้องการอะไร แล้วเราจะเอาไปเมตตาค้าขายเดี๋ยวก็ได้ของแถมเท่านั้น อาจจะขายของได้อยู่หรอกนะ แต่จะได้ของที่ไม่ต้องการมาด้วย"
ถาม : ขออนุญาตถามคำถามระดับประถมค่ะ ?
ตอบ : ประถมนี่สูงมากเลยนะ ปกติมีแต่คำถามระดับอนุบาล..!
ถาม : ช่วงนี้สวดมนต์แล้วง่วง ไม่แน่ใจว่าเพลียหรือถีนมิทธะ ?
ตอบ : ดูอาการของร่างกายด้วยนะ ถ้าหากว่าเป็นช่วงหัวค่ำแปลว่าเราเพลีย ร่างกายอยากพักผ่อน แต่ถ้าเป็นช่วงเช้า ให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วสมาธิเราเริ่มทรงตัว พอสมาธิเริ่มทรงตัวเข้าถึงปฐมฌานหยาบ จะตัดขาดไปเลย บางทีก็เหมือนกับนั่งหลับ แต่พอรู้ตัวว่า...อ้าว...ยังนั่งอยู่เป็นปกติ เพียงแต่ลืมไปว่าสวดมนต์บทไหนไปแล้วเท่านั้น
เพราะฉะนั้น...ดูด้วยว่าสภาพร่างกายเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่รู้ว่าสภาพจิตแต่ละขั้นตอนมีอาการอย่างไร เราก็ต้องดูจากสภาพร่างกาย
ถาม : เริ่มรักษาศีลแปด บางทีต้องเลี้ยงลูก ไม่ทันเวลาเที่ยง ก็ต้องกินเลยเวลาไปนิดหน่อย ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าตั้งใจกินมื้อกลางวันมื้อเดียวจริง ๆ ก็อย่าให้เกินบ่าย ๒ โมง เพราะว่าคนที่เขาติดงานจนถึงเที่ยงก็มีเยอะแยะ บางทีอาตมานี่ขนาดเป็นพระ เหลืออีก ๑๐ นาทีจะเที่ยงถึงจะได้ฉัน เพราะว่าติดงาน บางทีประชุมติดพันเลิกไม่ได้ ต้องว่ากันไปจนจบ แต่อย่างของโยมถ้าลูกติดพันก็อย่าให้เกินบ่าย ๒ โมงก็แล้วกัน
ถาม : การวางกำลังใจในด้านการบริจาคค่ะ ?
ตอบ : ต้องถามว่าบริจาคอะไร ?
ถาม : ถ้าให้คนทั่วไป ?
ตอบ : ถ้าเป็นทรัพย์สินเงินทอง ก็อยู่ในลักษณะว่าเมื่อมีคนต้องการเราจะให้ อย่าไปเลือกที่รักมักที่ชัง ใครก็ได้ แต่ถ้าเกี่ยวกับร่างกายของเรา เช่น บริจาคเลือด บริจาคอวัยวะ ก็ให้ตัดใจว่าสภาพร่างกายธรรมดาที่เกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก ถ้าสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นมากเท่าไร เราก็จะทำ
ถาม : อย่างพระพุทธรูปเป็นเหมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า ทำไมแต่ละที่ที่ไปกราบท่าน มีเทวดาที่ดูแลคนละองค์กันคะ ?
ตอบ : ตัวแทน ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ก็บอกอยู่ว่าเป็นตัวแทน ในเมื่อเป็นตัวแทน พรหมเทวดาที่รักษาก็คนละองค์กัน
ถาม : คำบูชาของแต่ละองค์มาได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : คนอยากได้แบบไหนก็แต่งไปเรื่อย
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่อาตมาเอาวัตถุมงคลไปให้เขาหลอมทำเป็นชนวน ถึงขนาดขอขมาแล้วขอขมาอีก มีดหมอหลายสำนักหลอมอย่างไรก็ไม่ละลาย ที่ยอมละลายแต่โดยดีมีของหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน เป็นพระขรรค์เล่มหนึ่ง นอกนั้นนี่ขอซ้ำขอซาก จนกระทั่งเหลือท้าย ๆ อยู่ ๗-๘ เล่มขอเท่าไรก็ไม่ยอมละลาย ก็เลยเอามาให้เขาบูชาไปทั้ง ๆ ที่ไม่ละลายอย่างนั้นแหละ
ช่างหลอมเขาหลอมเสียจนกระทั่งหมดอารมณ์แล้ว เขาบอกว่าหมดถ่านหินไปหลายกระสอบก็ไม่ยอมละลาย ขนาดเขาใช้เหล็กข้ออ้อย ๘ หุน ก็คือ ๑ นิ้วฟุต กระทุ้งมีดหมอลงไปในเบ้า จนเหล็กข้ออ้อยละลายแล้วมีดหมอยังไม่ยอมละลายเลย ต้องบอกว่าของท่านดีจริง..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะแยกวัตถุมงคลเป็นส่วน ๆ ตะกรุดส่วนหนึ่ง ผ้ายันต์อยู่ส่วนหนึ่ง ลูกอมอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น...ถ้าเปิดออกมาไม่เจอก็แปลว่าต้องไปหาที่อื่น ที่ต้องแยกละเอียดเพราะว่าของมีมาก ถ้าบอกแล้วคนไม่รู้จักจะหาไม่เจอ นอกจากว่าแยกประเภทแล้ว ยังต้องเขียนชื่อติดไว้ด้วย
อย่างลูกอมหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค บางลูกสีออกคล้าย ๆ ของหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าเขาผสมซีเมนต์แล้วก็เอาไว้อุดพระ พอถึงเวลาเหลือแล้วอุดไม่ทันก็ปั้นเป็นลูกอมขึ้นมา คราวนี้ถ้าส่วนผสมซีเมนต์มีมากสีก็จะออกไปทางลูกอมหลวงปู่พริ้ง แต่ถ้าผงวิเศษมากก็จะออกขาวอมเหลือง หรือเหลืองแก่ก็มี
เพราะฉะนั้น...ต้องดูเนื้อเป็น ดูสีเป็น ไม่เขียนชื่อติดไว้นี่ได้หลงกันตาย อย่างลูกอมขนมโคของหลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน คล้ายกับของหลวงปู่ปานมากเลย เพียงแต่สีเข้มกว่านิดเดียว ของหลวงปู่ปานถึงเวลาเราจะเห็นเนื้อผง พูดง่าย ๆ ก็คือว่ามีความหยาบกว่า แต่ว่าลูกอมขนมโคของหลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน จะละเอียดผิวลื่นไปเลย มีของพวกนี้ถ้าตาไม่ถึง ตายอย่างเดียว..!"
"มีลูกอมหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งจะทำด้วยชินตะกั่วเหมือนกับหลวงปู่เนียม วัดน้อย ถ้าคนดูของไม่เป็นก็จะแยกไม่ออก ชินตะกั่วของหลวงปู่เนียมจะอายุเป็น ๑๐๐ ปีแล้ว จะขึ้นสนิมที่เขาเรียกว่าเกล็ดกระดี่ ของหลวงปู่เนียมท่านมักจะมีสนิมแดงแทรกอยู่
ส่วนของหลวงปู่ศุขเนื่องจากว่าเป็นรุ่นหลัง อายุนานไม่ถึง เรื่องของไขหรือว่าสนิมจึงปรากฏน้อยกว่า หรือบางลูกถ้าเจ้าของใช้งานติดตัวก็ไม่ปรากฏเลย ก็เลยต้องดูความเก่าของชินตะกั่วให้เป็น แบบเดียวกับตะกรุดของหลวงปู่ภู วัดดอนรัก กับหลวงปู่เนียม วัดน้อย มักจะทำด้วยชินตะกั่วเหมือนกัน แต่ของหลวงปู่เนียมจะขึ้นเกล็ดกระดี่หรือว่าสนิมแดงหมด แต่ว่าของหลวงปู่ภูท่านยังไม่ถึงระดับนั้น ถึงเวลาถ้าไม่ได้มาเป็นชุด ก็ต้องมาดูกันว่าเนื้อของใครเก่ากว่า"
สนทนากับพระ "สมัยอยู่วัดท่าซุงผมจะเป็นขาประจำบิณฑบาตสายใต้ บางทีก็ไปแทนหลวงตาวัชรชัยที่สายหลังวัด บางทีก็ต้องไปแทนสายเรือด้านหน้าวัด แต่ว่าหลัก ๆ แล้วจะอยู่สายใต้ตลอด"
ถาม : สายเรือพระอาจารย์พายเองหรือครับ?
ตอบ : ผมพายเรือตามพวกเรือหาปลาอยู่ทั้งปี
มีอยู่เที่ยวหนึ่งฝนตก แล้วมีผมกับพระอาจารย์สมปอง ๒ คนเท่านั้นที่ออกบิณฑบาต นอกนั้นเขาไม่ไปกัน ปรากฏว่าไปถึงหัวสะพาน คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปี ผมขาวทั้งหัวแล้ว ยืนถือใบกล้วยบังหัวถือขันข้าวอยู่ เวรเลยกู...ถ้าไม่มานี่เสียหมาเลย..! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมไม่เคยขาดบิณฑบาตเลย คิดดูว่าคนแก่รอ กลัวลูกพระจะอด ส่วนลูกพระดันไม่ไป..!
พูดถึงการเป็นทหาร "สมัยก่อนข่าวคราวเกี่ยวกับทหารไม่เหมือนกับยุคนี้ สมัยนั้นอาตมาอยู่บ้านนอกสุดกู่ ไม่รู้ว่าสามารถไปสอบที่ไหนได้บ้าง พรรคพวกบ้านเดียวกันเห็นว่าใกล้ที่ไหนก็คว้าที่นั่น ถ้าเป็นอย่างสมัยนี้หาอ่านข่าวทางอินเตอร์เน็ตได้ ก็คงเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเรียนนายร้อยกันหมดแล้ว
แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทำให้อาตมาผ่านตั้งแต่ระดับล่างขึ้นไป เข้าใจเลยว่าชีวิตล่าง ๆ เป็นอย่างไร แบบที่ดราม่ากันอยู่เรื่องน้องเมยนักเรียนเตรียมทหารตาย จริง ๆ แล้วครูฝึกเขาไม่มีความผิดนะ
ทหารนี่โดยกฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมาย เขาระบุไว้เลยว่าตายในการฝึกได้ร้อยละ ๕ เขาไม่มีความผิด ถ้าคุณเป็นทหารไม่เข้มแข็งพอ ผ่านหลักสูตรโหดไม่ได้ ถ้าสมรรถภาพสู้เขาไม่ได้ คุณจะไปเป็นรั้วของชาติป้องกันข้าศึกได้อย่างไร ? ดังนั้นเขาก็เลยจำเป็นฝึกโหดเอาไว้ก่อน
แต่สิ่งที่เขาเอามาฝึกนี่อยู่ในอัตราเกณฑ์เฉลี่ยรับไหว ถ้าคนที่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยก็ไปไม่รอดหรอก ยิ่งไปเจอพวกรุ่นพี่กลั่นแกล้งด้วย อย่างของอาตมานี่โดนสั่งนั่งกระโดด ๑๗๕ ยก เจ้าประคุณเอ๋ย ๑๗๕ ยก เกือบ ๑,๐๐๐ ครั้งนะ เพราะยกหนึ่ง ๔ ครั้ง บางคนนี่กล้ามเนื้อขาเสีย เดินไม่เป็นไปเป็นเดือนเลย นั่นโดนรุ่นพี่เขาแกล้ง"
ถาม : ต้องยอมรับว่าหลักสูตรนี้ต้องไปเจอกับความตาย ต้องทนได้ ?
ตอบ : เขาต้องฝึกเราให้หนักที่สุด ไม่อย่างนั้นสมรรถภาพจะสู้เขาไม่ได้ คราวนี้ร่างกายที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานก็จะรับไม่ได้ ยิ่งไปเจอพวกรุ่นพี่หรือครูฝึกบ้าอำนาจด้วย บางทีก็กลั่นแกล้งกัน มีอยู่รุ่นหนึ่งให้กินน้ำ ๔๐ ลิตร ก็ตายสิวะ...ใครจะกินลงไปได้หมด
ส่วนใหญ่แล้วกินต่อกันไปเป็นรุ่น ๆ ภาษาทหารเขาเรียกว่า "แดกต่อ ๆ กันไป" ในรุ่นผมมาหยุดอยู่ได้เพราะว่าผมเป็นหัวหน้าตอนนักเรียน ผมสั่งเพื่อนในรุ่นเลย ปกติแล้วตอนเรียนจบ รุ่นพี่จะขโมยของรุ่นน้อง ทดสอบว่าวิชาที่ตัวเองเรียนมาใช้ได้จริงหรือเปล่า ? รุ่นน้องก็โดนขโมยหมดตูดทุกที ผมก็เลยมาคิดว่าทำอย่างไรที่เราจะให้การกระทำตรงนั้นหยุดลงได้ ผมก็เลยสั่งในรุ่นเลย บอกว่าขอให้วงจรอุบาทนี้หยุดที่รุ่นของเราเถอะ พวกเราเองกำลังจะไปรับราชการมีเงินเดือนแล้ว รุ่นน้องเขายังไม่มี มีแต่เบี้ยเลี้ยง มีอะไรให้น้องได้ก็ให้ไปเลย
เพราะฉะนั้น...พวกเราทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้อะไร สละให้รุ่นน้องไปหมดเลย ยกเว้นว่าเสื้อ ถ้าใครติดป้ายชื่อถาวรอยู่ให้ตัดออก ไม่อย่างนั้นแล้วรุ่นน้องนักเรียนนายสิบก็คงจะขโมยต่อ ๆ กันไปอีกทุกรุ่น
ถาม : ทำไมเขาต้องขโมยของรุ่นน้องครับ ?
ตอบ : เนื่องจากว่ากูโดนมา มึงก็ต้องโดนด้วย..!
ถาม : เลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง ตัวขาว ๆ เมื่อเช้าตัวแข็งไปแล้วครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่หมาที่พระเลี้ยงมักจะไปดีครับ
ถาม : เมื่อเช้าผมฝังหมาที่เลี้ยงไว้ ยังนึกว่ามันโชคดีที่ได้พบพระ มาเกิดไม่นานก็ตาย ?
ตอบ : แสดงว่ามาอยู่แค่ไม่กี่ปี สมัยที่อยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านสงสัยว่าทำไมลงมาเกิดเป็นหมากันเยอะ เขาบอกว่าเกิดครั้งหนึ่งก็ชาติหนึ่ง เท่ากับว่าตัดชาติภพไปเยอะเลย ลงมาทำความดี เฝ้าวัดเฝ้าสมบัติของพระสงฆ์ ถึงเวลาก็ขึ้นไปข้างบน สะสมบุญไปเรื่อย ๆ ตัดชาติตัดภพไปเรื่อย
ถาม : ไวจริง พักเดียวก็ไปกันแล้ว ก็เลยถวายสังฆทานให้ ?
ตอบ : ที่วัดผมมีเยอะเหลือเกิน ทั้งที่เกิดเอง ทั้งที่เขาเอามาปล่อย เป็นร้อย ๆ ตัว ต้องหุงข้าวเลี้ยง
ถาม : ผมดูพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาหมามาก ท่านนั่งกับเสื่อ หมาล้อมรอบ ?
ตอบ : มีบางตัวก็หวงลูก ให้แต่หลวงพ่อจับ ผมไปจับนี่โดนกัดเลยนะ เขาหวงลูกมาก
ถาม : ท่านเมตตาจริง ๆ ?
ตอบ : ในตึกท่านนั่นตึกเดียว ๒๐๐ กว่าตัว แล้วออกมาข้างนอกไม่ได้ กัดกันแหลกเลย เขตใครเขตมัน
ถาม : มูลนิธิที่เขาทำให้สุนัขก็มีเยอะอยู่นะครับ ?
ตอบ : แบบลุงเพชร แกเป็นตังเกเก่า ไปซื้อพวกปลามาทอดให้หมากิน ก็เรียกเอานักเรียนโรงเรียนสุธรรมยานเถระมาทอด ปรากฏว่านักเรียนกินเองเสียเยอะ ทอดปลาให้หมาก็กินเองไปด้วย
สนทนากับพระ "ตำรามุมเศรษฐีในการสร้างกุฏิเจ้าอาวาส ของตำราอื่นที่เขาใช้กันทั่วไปนั้นเป็นมุมมหาทุคตะ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่า พระท่านบอกว่านั่นเป็นมุมเศรษฐี เพราะฉะนั้น...ผมเชื่อหลวงพ่อ แล้วผมตามทำตามหลวงพ่อก็รุ่งทุกวัด แต่คนอื่นไม่ทำ เขาว่าเป็นมุมมหาทุคตะ กลายเป็นมุมจนไป
หลวงพ่อท่านไม่ได้อยู่เองนะ แต่ท่านสร้างกุฏิเจ้าอาวาสให้อยู่ตรงมุมนั้น ท่านบอกถือเคล็ดหน่อย คือตรงที่ต่อจากกุฏิ ๑๐ ห้อง มุมสุดท้ายนั่นคือกุฏิมุมเศรษฐีหลังใหญ่ ด้านหลังชนศาลา ๑๒ ไร่"
ถาม : มหาสะท้อนของพระอาจารย์นำมาด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : มหาสะท้อนที่หลวงพ่อท่านจารให้ ผมให้โยมไปแล้ว ส่วนที่ผมทำนี่ไม่รู้ว่าที่นี่มีเหลือหรือเปล่า ? เป็นอะไรที่ฮิตมาก วัตถุมงคลทั่ว ๆ ไปผมออก ๒ รุ่นก็เก่งแล้ว มหาสะท้อนปาไป ๕ รุ่น ฮิตเหลือเกิน เพราะว่าคนเอาไปใช้แล้วเห็นผลจริง ๆ โดยเฉพาะใครคิดร้ายกับเรานี่พังเองทุกราย
ตอนแรกผมไม่รู้ครับว่าเป็นเพราะอะไร หลวงลุงสุนทรท่านเอาดวงผมไปถอดแล้ว ปรากฏว่าอริลงมรณะ ในเมื่ออริลงมรณะนี่ ใครเป็นศัตรูกับเราก็ตายเอง พอมาทำเรื่องพวกนี้จะขึ้นมากเป็นพิเศษ ผมก็ไม่รู้ว่าดวงชะตาเป็นอย่างไร ยังสงสัยทำไมหลวงพ่อสอนวิชานี้ให้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ตะกรุดกระดูกห่านที่กันยาพิษยาสั่ง แต่ต้องใช้ห่านขาว แล้วผมไม่กล้าทำ เพราะว่าถ้าสั่งก็คือเขาต้องไปฆ่าห่านกัน หลวงอามีชัยท่านฟันธงว่า “ท่านเล็ก...ผมว่าท่านต้องโดนวางยาแน่เลย คนอื่นหลวงพ่อไม่สอนให้ ทำไมสอนแต่ท่านองค์เดียว”
ถาม : ถวายแผ่นทองครับ ผมขอปิดทองหลวงพ่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : ปิดทำไม ?
ถาม : ปิดในฐานะลูกศิษย์ครับ ?
ตอบ : ไปปิดพระพุทธรูปแทน อานิสงส์มากกว่าเยอะเลย อย่าเริ่มทำอะไรที่เป็นตัวอย่างไม่ดี ตูขี้เกียจนั่งให้เขาปิดทอง สมัยก่อนเขาปิดทองหลวงปู่ดู่กัน หลวงปู่ดู่ท่านบ่นว่าคันจะตาย
ไปเจอหลวงปู่ดู่ท่านฟุบอยู่หน้าประตูกุฏิ ก็ตกใจรีบไปประคองท่าน ”หลวงปู่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?” “อือ...เขามาตอนตี ๒ มากัน ๓ คันรถบัส บอกว่าจะรีบไปวัดอื่นต่อ ทุบประตูเรียกข้าออกมา ข้าก็เพิ่งจะเข้ากุฏิไปตอนเที่ยงคืนกว่านี่เอง”
ผมบอก “หลวงปู่เมตตาเขาจนกระทั่งร่างกายจะไม่ไหวแล้วนะครับ” “เออ...สมน้ำหน้าตัวเอง ตอนหนุ่ม ๆ ข้าอยากดัง ตอนนี้ดังแล้วก็ให้ดังเสียให้เข็ด” โอ๊ย...เห็นแล้วสงสารท่าน
ถาม : พระอาจารย์ไปกราบหลวงปู่ดู่บ่อยไหมครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนไปบ่อยเพราะว่าหลวงน้าสุทินอยู่ สมัยก่อนงานที่วัดมีกี่ครั้งหลวงน้าสุทินท่านก็มาทุกครั้ง แล้วท่านเป็นทหารด้วย คอเดียวกัน คุยกันถูกคอ แต่ที่สนิทกับท่านที่สุดก็คือหลวงพี่สามารถ เวลาหลวงน้าสุทินมาจะพักที่กุฏิของท่านเลย
ถาม : ท่านอยู่วัดไหนครับ ?
ตอบ : อยู่กับหลวงปู่ดู่นั่นแหละ
ถาม : เดี๋ยวนี้ยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : มรณภาพไปนานแล้ว หลวงน้าสุทินเท่ากับตายแล้วเกิดใหม่ ท่านไปรบที่ลาวแล้วโดนระเบิด พวกคิดว่าตายหมดแล้ว หัวแหว่งไหล่แหว่ง สลบไป ๒ วัน หนอนขึ้นเลย แล้วฟื้นขึ้นมาก็โซซัดโซเซกลับมาที่ฐาน ปรากฏว่าพอเรียกหา พรรคพวกแตกตื่นกันหมดทั้งค่ายเลย คิดว่าผีหลอก จนกระทั่งยืนยันได้ว่าไม่ตายจริง ๆ
ปรากฏว่าเขา "จำหน่าย" ทิ้งไปแล้ว ทางการเลื่อนยศให้เป็นพันตรีเพราะว่าตายในการรบ พอตัวเองกลับไปเจ้านายไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก็บอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทำเรื่องเกษียณอายุให้แล้วก็กินบำนาญไปเลย จากยศจ่าท่านก็เลยกินบำนาญยศพันตรีมาตลอด
ถาม : ตอนนั้นอายุเท่าไรครับ?
ตอบ : ตอนนั้นแก ๕๐ กว่าปี เป็นจ่าแล้วก็ขึ้นเป็นพันตรีโดยไม่ได้คิดจะเป็น ใคร ๆ ก็คิดว่าตายในการรบ บำเหน็จบำนาญอะไรก็คงให้ทางบ้านเขาไป ท่านก็เลยมาบวชดีกว่า เก็บชีวิตคืนมาได้ หลวงปู่ดู่ตั้งฉายาให้ว่า อายุวฑฺฒโก ผู้มีอายุยืน
ถาม : หลวงปู่ดู่เป็นพุทธภูมิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : หลายท่านยืนยันว่าท่านเกิดแล้วเกิดอีก แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงยืนยันว่าท่านไปพระนิพพานแล้ว
ปีที่หลวงปู่ดู่มรณภาพ พอลงปาฏิโมกข์ ปกติถ้าหลวงพ่อท่านลงก่อนเวลา ท่านก็จะคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ “เออ...วันนี้มีอะไรจะคุยกันวะ ? เอาเรื่องหลวงตาดู่ วัดสะแก ก็แล้วกัน ปฏิบัติธรรมมาทั้งชีวิต เทวดายังไม่ได้เป็นเลย” แล้วท่านก็ปล่อยให้พวกเรานั่งเหวออยู่พักหนึ่ง “ตายแล้วดันไปพระนิพพานเสียนี่”...(หัวเราะ)... หลวงพ่อท่านแกล้งพวกเรา เพราะว่าพวกเราไปกันบ่อย ตายแล้วเทวดายังไม่ได้เป็นเลยว่าอย่างนั้น ดันไปพระนิพพานเสียนี่
หลวงปู่ดู่เป็นพระเกจิอาจารย์ที่สร้างพระแล้วมีพระธาตุเสด็จมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา พระธาตุเสด็จทุกรุ่น บางองค์นี้ขึ้นเต็มแน่นพรืดเลย ท่านว่าผงจักรพรรดิของท่านได้รับพรจากพระท่านมา ผมเองโชคดีได้ลูกอมผงจักรพรรดิของท่านมาหลายลูก เป็นแบบใหญ่พิเศษที่ท่านเมตตาปั้นให้เองแล้วร้อยเป็นประคำ มีคนมาขอแบ่งหลายครั้งแล้ว จึงเหลืออยู่ ๗ - ๘ ลูกเท่านั้น ก็ไม่มีอะไรหรอก ดูก็เหมือนกับปูนขาวปั้น ๆ ขึ้นมา แต่จริง ๆ แล้วสุดยอดเลยนะ
ถาม : ท่านปฏิบัติอยู่สายไหนครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อกลั่นบวชให้เลยนะ แต่ท่านมาอยู่กับหลวงปู่สี วัดสะแก เท่ากับว่าเป็นรุ่นอาจารย์เหมือนกัน เหมือนท่านเจ้าคุณอนันต์กับผม คือท่านเจ้าคุณอนันต์ก็ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน แต่ท่านเป็นคู่สวดให้ผม หลวงปู่สีก็ประเภทเป็นรุ่นระดับอาจารย์ของหลวงปู่ดู่เหมือนกัน
ถาม : หลวงปู่สีที่หลวงพ่อวัดท่าซุงพูดถึง...?
ตอบ : ไม่ใช่ อันนี้หลวงปู่สี วัดสะแก หลวงปู่สีเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่นรุ่นอาจารย์ หลวงปู่ดู่นี้เป็นรุ่นลูกศิษย์ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่นเหมือนกัน
ถ้านับวิชาชาตรีที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำ บุคคลที่ทำวิชาชาตรีแล้วได้เห็นผลชัดที่สุดคือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ท่านมีวิชาลูกเบาหรือหินเบา เอาก้อนหินลูกใหญ่ ๆ เท่าลูกแตงโมหรือลูกฟุตบอล โยนแล้วโหม่งเล่นกัน ถึงได้เรียกว่าวิชาหินเบา
ถาม : ท่านเรียนวิชาน้ำมันชาตรีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ของหลวงพ่อกลั่นท่านทำเป็นตะกรุด ตะกรุดชาตรี
วิชานี้หลวงพ่อกลั่นเรียนมาจากอิสลาม คือสมัยอยุธยา กองอาสาอิสลามที่ช่วยรบให้เรา ช่วยสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติมีเยอะมากเลย พอมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บรรดาอิสลามเป็นสมเด็จเจ้าพระยาถึง ๓ ท่านด้วยกัน ต้นตระกูลบุนนาคนั่นแหละ...อิสลามแท้เลย แล้วเราลองคิดดูว่า สมัยก่อนท่านสร้างคุณสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ถ้าคิดจะยึดประเทศไทยจริง ๆ เสร็จไปหมดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว เพราะว่าท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
แต่นี่ท่านซื่อสัตย์ซื่อตรงจริง ๆ สมัยหลังนี้ไปเรียนจากตะวันออกกลางมา ไปโดนเขาล้างสมองมา กลายเป็นว่าคนอื่นมาแย่งทรัพยากรที่พระอัลเลาะห์ประทานให้กับอิสลามิกชน ก็เลยไม่อยากอยู่ร่วมกับใคร
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปญี่ปุ่นเพื่อไปใช้หนี้เขา พวกเขาเอาอานิสงส์การปล่อยสัตว์ตลอด ๓๒ ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ากี่ชีวิตที่ต้องคืนให้เขาไป เป็นประเทศที่ไม่คิดอยากจะไปเลย เพราะว่าติดหนี้เขาเอาไว้เยอะ"
ถาม : หลวงปู่ปานท่านมรณภาพตอนอายุ ๖๑ ท่านทำงานหนักหรือครับ ?
ตอบ : ผมมารู้ที่หลังว่าหลวงปู่ท่านไม่ได้แค่รักษาโรคให้คนอื่นอย่างเดียวนะ ท่านสอนบาลีด้วย นักเรียนตั้ง ๓๐๐ กว่ารูป..!
ถาม : ท่านแปลประโยค ๙ ได้อย่างไร ผมงงมาก ?
ตอบ : ท่านไม่ไปสอบ ท่านเรียนเพื่อที่จะแปลวิสุทธิมรรคเท่านั้น วิสุทธิมรรคนี่เป็นหลักสูตรประโยค ๘ ท่านเป็นคู่หูกับท่านอาจารย์เกี้ยวที่สึกไป ท่านแปลบาลีตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว โอ้โฮ...อะไรจะสุดยอดปานนั้น..!
ถาม : จัดหิ้งพระ ?
ตอบ : ให้หันหน้าพระไปทางทิศเหนือหรือตะวันออก
ถาม : จะเอาโต๊ะหมู่ ที่ไม่พอ พอจะทำเป็นหิ้ง แต่ก็กว้างครับ ?
ตอบ : อย่าทำเป็นหิ้งใหญ่สิ ทำเป็นหิ้งเล็กติดผนัง จะได้สะดวกหน่อย
ถาม : ผมควรวางด้านไหนครับ ?
ตอบ : ด้านไหนก็ได้ แต่ให้หน้าพระหันไปทางทิศเหนือหรือตะวันออก ถ้าเราเอาชุดโต๊ะหมู่เข้าไปบางทีก็เกะกะมาก เอาแค่หิ้งเล็กติดผนังก็พอ วางได้สักองค์ ๒ องค์อะไรก็แล้วแต่ เคยเห็นบางบ้านเขาวางสามหิ้งเลย ใหญ่ตรงกลาง เล็ก ๒ ข้าง แล้ววางพระไว้ตามความสบายใจ ติดผนังลอยไว้แล้วหมดเรื่อง
ต้องบอกว่าโยมมีความคิดอนุรักษ์ไปหน่อย คิดแต่จะตั้งโต๊ะหมู่ ในเมื่อตั้งลำบากก็เอาหิ้งพระติดผนัง...ง่ายจะตายไป หรือไม่ก็ทำอย่างอาตมา เอาตู้หนังสือวางชิดผนัง ใส่หนังสือก็ได้ หลังตู้ก็ตั้งพระได้ด้วย
ถาม : เวลาที่เราสวดพระคาถาเงินล้าน ปกติเราก็จะใส่เงินหยอดเหรียญ แต่ถ้าเราไม่มีเวลาหยอดเหรียญ เราก็เอาเงินมาถวายสังฆทานทีเดียวเลยได้ไหม ?
ตอบ : ตั้งใจไว้สิ จริง ๆ แล้วเรื่องของพระคาถาเงินล้านท่านตั้งใจให้เราทำบุญอย่างสม่ำเสมอ ในเมื่อเราตั้งใจ สมมติว่าจะทำบุญเดือนหนึ่ง ๓๐ บาท หยอดวันละบาท พอถึงเวลาเราภาวนาครบเดือน ก็เอา ๓๐ บาทมาถวายสังฆทานก็จบแล้ว
ถาม : จะเหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : ลำบากน้อยกว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปหยอดทุกวัน
ถาม : เมื่อครั้งที่แล้วพระอาจารย์ได้แนะนำผม ในอิริยาบถนั่งสมาธิผมไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร แต่อิริยาบถเดินหรือทำงานตามปกติ สามารถทรงภาพพระได้ดีกว่า ที่ผมทรงภาพพระไป ไม่ได้รูปแบบที่ครูบาอาจารย์สอนไปใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้ ขอให้ทรงได้เท่านั้นพอ
ถาม : หลังจากที่เราสามารถอาราธนาภาพพระให้ปรากฏอยู่ตรงหน้าได้แล้ว จะต้องทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : รักษาภาพพระเอาไว้ เดี๋ยวภาพพระจะเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ
ถาม : จะต้องทรงให้จนถึงที่สุดให้ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รักษาเอาไว้ อย่าให้กิเลสเข้าได้ก็พอ
ถาม : ถ้าหนูจะสอบบัญชี แล้วบูชาท่านปู่นายบัญชี จะทำให้สอบบัญชีได้ง่ายขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : คนละบัญชีกันโว้ย...! ของท่านนั่นบัญชีคนเป็นคนตาย เกี่ยวอะไรกับบัญชีทรัพย์สินเงินทอง ? จะลองดูก็ได้ เผื่อท่านเห็นว่าไม่เคยมีใครขอให้ช่วย แล้วเราขออยู่คนเดียว...อาจจะได้ก็ได้
คิดอะไรบ้า ๆ...! ดีเหมือนกัน จะสอบบัญชีดันไปบูชานายบัญชียมโลกก็เจริญเท่านั้น..!
ถาม : การระงับกามราคะและปฏิฆะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนให้พิจารณากายคตานุสติควบกับอสุภกรรมฐาน ต่อมาหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าให้ทำกสิณก่อน แล้วต้องทำให้ครบทั้ง ๑๐ กอง ปกติลูกจะทำอาโลกกสิณเพียงกองเดียว สำหรับจับภาพพระและขึ้นไปบนพระนิพพาน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าให้ทำทั้ง ๑๐ กอง ลูกก็เลยทำทั้ง ๑๐ กอง
เมื่อลูกทำครบ ๑๐ กองแล้ว เวลามองออกไปภายนอก เห็นต้นไม้เป็นแก้ว เห็นพื้นดินเป็นแก้ว เห็นรั้วสีขาวเป็นแก้ว ช่วงแรกที่เห็นเป็นแก้วนั้น กสิณแต่ละกองแยกกันอยู่ แต่ว่าอยู่ติดกัน ต่อมากสิณทั้ง ๑๐ กองรวมเป็นกองเดียวไม่แยกออกจากกัน แต่หากจะทำให้แยกก็สามารถทำได้ ลูกจึงขอกราบเรียนถามว่า สิ่งที่ลูกปฏิบัติผิดพลาดประการใดบ้าง ควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามาก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ถ้าเราตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะเอาในเรื่องของการตัดกามราคะกับปฏิฆะ ในส่วนของกสิณก็อย่าให้เคลื่อนคลายหายไปจากใจเรา ไม่ว่าจะเป็นภาพของกสิณกองเดียวหรือว่ารวมกันทั้ง ๑๐ กองก็ตาม อย่างน้อยต้องให้ทรงในใจทั้งหลับทั้งตื่นเสมอกัน ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะกดกามราคะกับปฏิฆะไม่อยู่
ถาม : เมื่อได้กำลังของกสิณทั้ง ๑๐ กองแล้ว ลูกได้ใช้กำลังนี้เป็นฐานของการพิจารณาเรื่องกามราคะและปฏิฆะ โดยใช้คำภาวนาควบคู่กับลมหายใจเข้าออกว่า "อสุภกสิณัง อสุภกสิณัง อสุภกสิณัง" และนึกถึงคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเรื่องของอธิจิตสิกขาว่า การละเรื่องกามราคะกับปฏิฆะนั้น จิตต้องมีสมาธิที่เข้มแข็งมากจึงจะละได้
เหตุนี้กสิณ ๑๐ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงให้ลูกฝึก ก็เพื่อวัตถุประสงค์ให้เป็นกำลังของสมาธินั่นเอง การใคร่ครวญของลูกดังกล่าวนี้ผิดพลาดประการใดบ้าง ? ขอหลวงพ่อโปรดเมตตาสงเคราะห์ลูกด้วย
ตอบ : อยากให้ทำแบบหลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก ถ้าด้วยอำนาจกสิณ ๑๐ เราต้องการจะสร้างอะไรขึ้นมาก็แค่นึกเท่านั้น หลวงพ่อพริ้งท่านจึงสร้างซากอสุภะไว้ตรงหน้าเป็นตัว ๆ จับได้ต้องได้เลย สี กลิ่น รส มาครบ แล้วเราก็พิจารณาของเราไป เท่าที่ได้ยินมามีรายเดียว คือหลวงพ่อพริ้ง ที่ทำได้ในลักษณะอย่างนี้
แปลว่ากสิณ ๑๐ ของเราอย่าทำให้เสียของ เนื่องจากว่าในสมัยปัจจุบัน การจะพิจารณาอสุภกรรมฐานเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะว่าไม่ได้มีป่าช้าที่เขาเอาศพไปทิ้งเหมือนกับสมัยก่อน มีอย่างเดียวคือเราสร้างศพขึ้นมาด้วยอำนาจกสิณของเราเอง เสร็จแล้วเราก็พิจารณาของเราไป พอสภาพจิตเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ตัวกามราคะจะหายไป ถ้าในส่วนของกามราคะหายไป ปฏิฆะที่เหลือก็พลอยหายไปด้วย เพราะกำลังเท่ากัน
ไป...ตั้งใจทำไว้ดีแล้ว แต่ว่าอย่าลืมพระนิพพาน หัวใจสุดท้ายของเราก่อนนอน ตั้งใจอยู่เสมอว่าเราจะไปพระนิพพาน
เรื่องเกี่ยวกับพวกนี้พวกเราคงไม่เคยได้ยินมาก่อน...ใช่ไหม ? หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก เป็นสุดยอดพระอาจารย์ ขนาดหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ยังขอไปศึกษาวิชาด้วย ลูกศิษย์หลวงพ่อพริ้งยังสงสัยว่าหลวงปู่ปานบอกว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน ไม่เห็นมาฝึกวิชาด้วยเลย หลวงพ่อพริ้งท่านบอกว่า "หลวงพ่อปานไม่ได้เหมือนพวกแกนี่ หลวงพ่อปานมาฝึกกับข้าคืนเดียวเท่านั้น ก็ขนเอาความรู้ไปหมดแล้ว"
หลวงปู่ปานท่านเหมือนกับคนมีเงิน คราวนี้หลวงพ่อพริ้งท่านรู้จักวิธีใช้เงิน ก็แค่ไปถามว่าใช้อย่างไรแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของการฝึกสมาธิหรือฝึกกสิณก็เหมือนกับเราหาเงินไว้ ถ้าเราหาเงินได้มากเราก็สามารถที่จะใช้งานได้มาก ถ้าเราหาเงินได้น้อย โอกาสที่เราจะซื้อข้าวซื้อของก็น้อยลง หลวงปู่ปานท่านฝึกมาเต็มที่แล้ว แค่ไปถามว่าจะใช้อย่างไรเท่านั้น
หลวงพ่อพริ้งท่านถึงได้บอกลูกศิษย์ว่า "หลวงพ่อปานท่านไม่ได้โง่เหมือนพวกแก ท่านมาฝึกกับข้าคืนเดียว" คืนเดียวกวาดไปเรียบเลย ก็ลักษณะแบบเดียวกับที่อาตมาไปวัดเขาอ้อ ทางด้านหลวงปู่กลั่นท่านอยากได้ เพราะว่าท่านหาพระที่จะไปเป็นเจ้าอาวาสแทนท่าน สายวัดเขาอ้อนี่เปิดกว้างมาก ใครจะฝึกวิชามาสายไหนก็ตาม ถ้ากำลังคุณถึง ไปเปิดตำราเขาฝึกได้เลย เขายินดีรับเป็นเจ้าอาวาสเลย...ว่าอย่างนั้น
สนทนากับพระ "จริง ๆ แล้วพวกเครื่องรางของขลังผมไม่เก่ง คนที่เก่งจริง ๆ คือพระครูแสง แต่พระครูแสงเรียนแล้วลืม ส่วนผมเรียนแล้วจำ ท่านเป็นคนสอนผมเองตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่น สอนว่ารุ่นนี้ต้องดูอย่างนั้น รุ่นนั้นมีตำหนิตรงนี้ ท่านได้ความรู้ใหม่มาจากรุ่นพี่รุ่นลุงเมื่อไรก็มาสอน แต่สอนไปแล้วตัวท่านลืมเอง
รุ่นผมสมัยเด็ก ๆ จะมีสภากาแฟ ถึงเวลาผู้ใหญ่เขาจะมากินกาแฟแล้วก็นั่งส่องพระกัน พี่ชายของผมก็เล่นของพวกนี้อยู่ แต่เน้นไปทางพระเครื่อง ท่านแสงแกสนใจก็ไปเกาะอยู่ข้างโต๊ะ ไปจดไปจำอะไรมาก็เอามาถ่ายทอดให้ผมต่อ ท้ายสุดท่านก็ลืม ส่วนคนฟังคนดูอย่างผมดันจำได้"
โยมมารับแมลงภู่คำ "แมลงภู่ตัวนี้เขาบรรจุปรอทอยู่ข้างใน แล้วเป็นเรื่องแปลกมากที่ส่องหาที่บรรจุไม่เจอ โบราณเขาบอกว่าน่าจะใช้อำนาจจิตเรียกให้ไปอยู่ข้างในเอง อาตมาส่องกล้องอย่างไรก็ไม่เห็นร่องรอยว่าบรรจุเข้าไปทางด้านไหน
ระวังไว้หน่อยว่าอย่าให้อยู่ใกล้ที่ร้อนมาก เดี๋ยวจะรั่วเสียก่อน เห็นรุ่นหลัง ๆ ที่เขาทำ พวกปรอทที่บรรจุเบี้ยแก้มีรั่ว แสดงว่ารุ่นหลังนี่ฝีมือไม่ดี ไปลองเขย่าดู ข้างในเขาบรรจุปรอทไว้
แมลงภู่คำที่สุดยอดจริง ๆ เขาจะบรรจุปรอทกับบรรจุเข็มทอง ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะบรรจุแบบไหน"
ถาม : มีแบบเป็นงาด้วยค่ะ ?
ตอบ :แบบเป็นงาสมัยก่อนเป็นของประจำองค์เจ้านาย หรือไม่ก็บรรดาพวกแม่ทัพนายกอง ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ก็เป็นไม้ แต่ถ้าจะเอาจริง ๆ ต้องได้ตัวครูมา ตัวครูเท่าที่เจอมาใหญ่เกือบ ๆ ๓ นิ้วมือของเรา
คนที่มีของพวกนี้มากที่สุดคืออาจารย์วิลักษณ์ ศรีป่าซาง ท่านเก็บของเก่า ไม่ได้เก็บของขลังนะ คราวนี้ท่านเก็บของเก่าแต่กลายเป็นของขลังเสียเยอะ ส่วนที่คนเห็นแล้วน้ำลายหกเลยก็คือ ผ้ายันต์ม้าเสพนาง ของครูบาวัง วัดบ้านเด่น อาจารย์วิลักษณ์ท่านมีตั้งหลายผืน ของคนอื่นเค้นให้ตายเจ้าของเขาก็ไม่ยอมปล่อย
เคยไปดูคลังของท่าน ท่านเปิดคลังให้ดู มีอย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นสายคาดเอว ร้อยจากฟันม้า ถามว่าท่านอาจารย์ไปเอามาจากไหนเยอะแยะ เป็นสิบ ๆ สายเลย ? ท่านบอกว่าพวกชนกลุ่มน้อยทางด้านเชียงตุง ทางด้านไทยใหญ่ เขาทำขึ้นมาเป็นเครื่องรางป้องกันตัวหรือเครื่องประดับ ท่านก็ไปขอซื้อเขามา ไปค่อย ๆ ตื๊อเขามาทีละเส้น ๒ เส้น
ที่ทึ่งก็คือฟันของบรรพบุรุษ แต่ลูกหลานเอามาแกะเป็นพระพุทธรูปเล็ก ๆ อาจารย์วิลักษณ์มีอยู่ตั้งหลายองค์ ท่านช่างเสาะหาจริง ๆ แต่ถ้าจะไปเอาปลัดขิกของท่านอาจารย์วิลักษณ์ต้องเอารถกระบะไปขน แต่ละท่อนเสาดี ๆ นี่เอง สมัยก่อนเขาทำเอาไว้ป้องกันภูตผีปีศาจ หมู่บ้านหนึ่งก็มีแค่ตัวเดียว จึงต้องเป็นเสา อาจารย์วิลักษณ์ท่านเล่นกวาดมาเต็มบ้านเลย วางเรียงอย่างกับท่อนซุง แต่ละท่อนประเภทใหญ่เท่าบาตรยังมีเลย
ถาม : ใช้ไม้ต้นหรือคะ ?
ตอบ : ไม้ต้นมาทำเป็นปลัดขิก ก็น่าแปลกที่ผีกลัว
ถาม : ที่เขาทำเสาเป็นปลัดขิก แล้วผีกลัว เพราะอะไรคะ ?
ตอบ : มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกน่าจะเป็นกำลังสมาธิของคนทำ ส่วนอย่างที่สองนั้น อวัยวะเพศเป็นวัตถุสร้างโลก พูดง่าย ๆ ก็คือ มีพลังงานสามารถสร้างชีวิตได้ แล้วพลังงานขนาดนั้น ถ้าคนที่เข้าถึงเคล็ดลับจริง ๆ ถึงเวลาปลุกเสกแล้ว พลังที่แผ่มานี่มหาศาลเลย ผีไม่กล้าเข้าใกล้หรอก
พระอาจารย์กล่าวว่า "กระทู้คนมีเงินฯ บางทีวันเดียวจองมาเป็น ๑๐ ราย ต้องมาไล่ดูว่าเวลาของใครจองก่อน อย่างเช่นว่าวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน จองไว้ ๒๐ กว่าราย ทั้งในกล่องข้อความแล้วก็ทั้งในกระทู้ ต้องมานั่งดูว่าเวลาของใครจองก่อน แล้วก็ไล่ไปตามลำดับ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่ยุติธรรม
พวกที่บ้าขนาดจะเล่นแต่ ๙ เครื่องรางในตำนานนี่เคยรู้ราคาไหม ? อย่างตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ตะกรุดโสฬสดอกล่าสุดที่ผมเจอเป็นสองกษัตริย์ ก็คือเป็นทองแดงกับเงินม้วนร่วมกัน เจ้าของเขาเปิดมาที่ ๗๐๐,๐๐๐ บาท สั่งของในกระทู้นี่เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าราคาในท้องตลาดเท่าไร ?
ต้องทิดเฟิร์สของเรานี่ ผมลงพระพิฆเณศวร์วัดเขาอ้อ ๒๕,๐๐๐ บาท ทิดเฟิร์สบ่นว่าแพง ปรากฏว่าตัวเองไปเจอที่ถูกใจของเซียนทางปักษ์ใต้ เขาเปิดมา ๑ แสน ทิดเฟิร์สหงายท้องตึง คราวนี้เอ็งรู้หรือยังว่ากระทู้คนมีเงินฯ ของข้าก็ยังมีเงินไม่จริง..!"
ถาม : ประคำโทน ?
ตอบ : ใช้ต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่บนต้นไทร มีนะครับ เป็นเคล็ดว่าอุดมสมบูรณ์ถึงขนาด ตำราของหลวงปู่อุตตะมะท่านสอนมา ต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่บนต้นไทร เอามาหั่นตากแห้ง แล้วเอามาเผาให้ดี จากนั้นเอาขี้เถ้ามาปั้นเป็นลูกประคำ กว่าจะหั่นตากแห้ง กว่าจะมาเผาเป็นขี้เถ้า กว่าจะมาปั้นเป็นเม็ดประคำได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ถาม : ใช้กระดาษสาที่มาทำเป็นเม็ด ?
ตอบ : เขาเรียกประคำโทน ทำยาก...ต้องลงอักขระในกระดาษสา แล้วเหลาหวายเล็กเท่าเส้นผม ถักหุ้มเอาไว้ข้างใน ทำยาก..ท่านจึงให้แค่เม็ดเดียว ประคำโทนหลวงพ่ออุตตะมะของผม ติดอยู่ในประคำที่ท่านนกบูชาไป ท่านรู้หรือเปล่า ? ยังอยู่หรือสึกไปแล้วก็ไม่รู้ ? ท่านมาตื๊อเอาไปจนได้
พูดถึงโรคที่เป็น "อาตมาเป็นโรคโบร่ำโบราณ โรคที่ไม่ค่อยมีใครเขาเป็นกัน เขาเรียกว่าขยุ้มตีนหมา เป็นเริมประเภทหนึ่ง จะขึ้นเป็นกระจุก ๆ ตรงปลายประสาทร่างกายเรา ถ้าเป็นเส้นยาว ๆ เขาเรียกว่างูสวัด ถ้าเป็นผื่นเขาเรียกว่าไฟลามทุ่ง ถ้าเป็นแต้ม ๆ ทั้งตัวคืออีสุกอีใส เป็นเชื้อโรคประเภทเดียวกัน"
พระอาจารย์เล่าว่า "รถที่ออกมาไม่ถึงปีเจิมหมาไป ๒ ตัวแล้ว ชนหมาน่าจะตายคาที่ แต่รถไม่มีอะไรเสียหาย บุบก็ไม่บุบ ดีเหมือนกัน
ล่าสุดหมา ๓ ตัววิ่งไล่กัน คนขับรถของเราก็หลบ อีกตัวหนึ่งก็เบรก ส่วนอีกตัวหนึ่งแทนที่จะเบรกดันพุ่งตัดหน้ารถเลย ผลก็คือรอด ๒ ตัว ตาย ๑ ตัว ตัวที่เบรกต้องบอกว่าฉลาดมาก พอเห็นรถมาก็เบรกตัวโก่งเลย ส่วนอีกตัวคงมั่นใจในความเร็วว่าแค่นี้พ้นแน่ ก็พุ่งตัดหน้าเลย
ตอนนั้นน้าป๊อกขับรถ อาตมานั่งไปกับแก เป็นรถหกล้อของหน่วยจัดการต้นน้ำที่เกาะพระฤๅษี หมาวิ่งข้ามถนนมา เลยอีกศอกเดียวจะพ้นถนนแล้ว ดันเลี้ยวกลับ เรื่องของสัตว์นี้เราต้องเข้าใจนะว่า เหตุที่เขาเลี้ยวกลับ เพราะถ้าไปข้างหน้าไม่รู้ว่ามีอันตรายหรือเปล่า ? แต่ทางที่ผ่านมานี้ปลอดภัยแน่ เขาก็จะกลับทางเดิม พอกลับทางเดิมน้าป๊อกแกก็หักซ้าย ไอ้นั่นไปครึ่งทางกลับใจเลี้ยวกลับมา น้าป๊อกก็ต้องหักขวา พอหักขวาไอ้นั่นเลี้ยวขวากลับมาที่เดิมอีกทีหนึ่ง คราวนี้คาที่เลย
น้าป๊อกก็พร่ำ “ผมบาปมากเลยอาจารย์ ชนหมาตาย” ก็ถึงที่ของเขา วิ่งหาที่ของตัวเองจนได้ มีที่ไหนจะพ้นถนนอยู่แล้วเลี้ยวกลับมา ๓ ที ลักษณะของวาระกรรมเราต้องยอม เพราะว่าเขาถึงที่ตายจริง ๆ น้าป๊อกขับรถทับหมาตายตัวเองเฉาไปเลย ทั้ง ๆ ที่รถไม่มีอะไรเสียหาย แต่คนใจคอไม่ดี"
โยมถวายหนังสือ "ตะกรุดหลวงพ่อทบ วัดชนแดน" พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดหลวงพ่อทบอย่างหนึ่งที่อาตมาอยากได้ เพราะว่ายังไม่เคยมี ก็คือตะกรุด ๑๖ ชั้น ดอกหนาปึ้กเลย ส่วนใหญ่ตะกรุดเป็นทองแดงหรือทองเหลือง ท่านจารทีละแผ่นๆ แล้วม้วนต่อกัน พูดง่าย ๆ ว่าถ้าแรงไม่ดีนี่อาจจะพกตะกรุดไม่ไหว"
ถาม : หนังสือนี้มาจากที่พวกเซียนพระทำขึ้นแล้วมาถวายให้วัดออกทำบุญค่ะ ?
ตอบ : ตอนนี้ส่วนใหญ่แล้วทำเพื่อความน่าเชื่อถือ เอาไปไว้ที่วัดส่วนหนึ่งในลักษณะว่าวัดรับรองแล้ว ตัวเองก็ถ่ายรูปไปยืนยันว่าไปถวายเจ้าอาวาสนะ สมัยนี้เขาหากินกันสารพัดแบบนี้
ถาม : ตะกรุด ๑๖ ชั้น นี้วิชาสายไหนคะ ?
ตอบ : น่าจะเหมือนกับของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หรือหลวงปู่ภู วัดดอนรัก ท่านทำตะกรุด ๑๖ ดอก มีทั้งแคล้วคลาด คงกระพัน เดินทางปลอดภัย ป้องกันไสยศาสตร์ อะไรของท่านไปเรื่อยจนครบ ๑๖ อย่าง แต่คราวนี้ของหลวงพ่อจงท่านแยกดอก หลวงปู่ภูก็แยกดอก แต่ของหลวงพ่อทบท่านเล่นพันรวมกันไปเลย ดอกใหญ่อย่างกับถ่านไฟฉาย
ท่านคงเบื่อพวกลูกศิษย์ที่ต้องการอย่างโน้น ต้องการอย่างนี้ ก็เลยทำไป ๑๖ ดอกให้ครบทุกอย่าง ไม่ต้องเสียเวลามาขอ จะเอาเมตตาตาค้าขายก็เอาอันนี้ มหานิยมเข้าหาเพศตรงข้ามก็เอาดอกนี้ เอามหาปราบดอกนี้ มหาอุดก็ดอกนี้ มหาลาภก็ดอกนี้ ไปเลือกใช้คาถาให้ตรงก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมที่ถามปัญหาเมื่อเช้านี้เป็นเศรษฐีที่ใช้เงินไม่เป็น เขาบอกว่าเขาฝึกกสิณ ๑๐ จนครบแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป ? มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ? หลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งให้ฝึกเพื่อที่จะใช้ในการละโทสะและปฏิฆะ ตลอดจนกระทั่งกามราคะ แต่ใช้ไม่เป็น
อาตมาก็เลยไปนึกถึงสมัยหลวงปู่ปานท่านไปหาหลวงปู่พริ้งที่วัดบางปะกอก ลูกศิษย์บอกว่า หลวงปู่ปานบอกกับใคร ๆ ว่าหลวงปู่พริ้งเป็นอาจารย์ แต่ไม่เห็นท่านมาฝึกวิชาอะไรกับหลวงปู่พริ้งเลย หลวงปู่พริ้งท่านบอกว่า "เขาไม่เหมือนพวกแกนี่ เขามาแค่คืนเดียว" แค่มาเรียนรู้วิธีใช้เงิน
พอเห็นโยมเมื่อเช้าแล้วก็ชื่นใจอยู่อย่างว่า คนที่ฝึกปฏิบัติธรรมแบบเอาจริงเอาจังยังมีอยู่ แต่ขณะเดียวกันส่วนหนึ่งที่น่ากลัวคือ โยมทรงฌานอยู่ตลอดเวลา การทรงฌานใช้งานอยู่ตลอดเวลา จะเกิดผลอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ สภาพจิตปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง บางคนจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว"
"อาตมาเคยมีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งเป็นผู้หญิง ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีเกือบปี ฝึกทรงฌานในลักษณะอย่างนี้ พอฝึกไปเสร็จแล้วเขาก็หลุดปากออกมาว่า “หลวงพ่อ...คนเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นจะต้องตายอย่างที่หลวงปู่ฤๅษีบอกเลย” เขามั่นใจว่าเขาเป็นแน่นอน กิเลสไม่เกิดเป็นปีเลย ท้ายสุดด้วยความมั่นใจของเขาก็ขอลาไป ตอนนี้ไปเลี้ยงลูกเป็นโขยง ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว..!
ประการที่ ๒ ก็คือ ถ้าเผลอสติหลุดจากฌานเมื่อไร คราวนี้ปางตายเลย กิเลสจะมาฟ้าถล่มดินทลาย เหมือนอย่างกับเขาจ้องตลอดเวลาว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหน แล้วจะโจมตีตรงนั้น อาตมาเองเคยเกือบตายมาหลายรอบแล้ว ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า "ข้าก็เคยเป็น ข้าทรงสมาบัติ ๘ คล่องตัวชนิดเข้าเมื่อไรก็ได้ตามที่ต้องการ ข้าก็คิดว่าแน่ มีอยู่วันหนึ่งหลุดออกมาเหลือแค่อุปจารสมาธิตอนไหนก็ไม่รู้ ?"
ท่านบอกว่าเกือบตาย รักโลภ โกรธ หลง กระหน่ำมาทุกทิศทุกทาง ท่านบอกว่า "แกลองคิดดูว่า บ้านมีเสา ๘ ต้น อยู่ ๆ เสาก็พังไป ๗ ต้นครึ่ง เหลืออยู่แค่ครึ่งต้น แล้วจะค้ำบ้านอยู่ไหม ?"
"เพราะฉะนั้น...อาตมาก็ยังเป็นห่วงโยมเขาอยู่ ลักษณะของผู้ทรงฌาน คนรอบข้างไม่เข้าใจอาจจะเป็นโทษกับเขาได้ด้วย เพราะว่าจะไปพูดจาล่วงเกินอะไรเขาได้ เพื่อนฝูงเคยชวนกินเหล้าเมายาอยู่เป็นปกติก็ไม่ไปกับเขา
ถ้ายิ่งมีครอบครัวยิ่งลำบาก สมมติว่ามีภรรยา ภรรยามีความต้องการทางเพศตามปกติ แต่สามีตายด้านชั่วคราวไปทีหนึ่งหลาย ๆ เดือน เดี๋ยวก็ได้บ้านแตกสาแหรกขาด
เรื่องของทางโลกกับทางธรรมจริง ๆ แล้ว เราต้องพยายามระมัดระวังไม่ให้โลกช้ำธรรมเสีย ยกเว้นบุคคลประเภทหนึ่ง คือมาสายพุทธภูมิแต่เดิม ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจเกินคน ส่วนที่ท่านคิดว่าพอดี มักจะเกินกว่าที่ชาวบ้านเขารับได้ จึงมักจะกลายเป็นโลกช้ำไป"
"ใครถอดเทปช่วงเมื่อเช้าลองฟังเสียงเขาดู ลักษณะของบุคคลทรงฌานจะเป็นอย่างนั้น มีอารมณ์เดียวตลอด ไม่รับอะไรเลย ถามปัญหาแค่ ๒ ข้อ
ไปนึกถึงตัวอาตมาเองอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาทั้งหมด ๑๘ ปี เคยถามแค่ ๔ ครั้ง เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเราทำจริง ๆ จะได้คำตอบเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปถามครูบาอาจารย์ เพียงแต่ว่าที่ไปถามเพราะว่าเป็นช่วงของการเปลี่ยนอารมณ์ การก้าวข้ามอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าไปถูกทางหรือเปล่า ? ก็ต้องไปกราบเรียนถามหลวงพ่อเพื่อขอความมั่นใจ
เมื่อเช้านี้เขาก็ถามแค่ ๒ ข้อ คือสงสัยว่าที่ตัวเองทำมาผิดพลาดหรือถูกต้อง และจะไปต่ออย่างไร"
"ลักษณะอย่างนั้นถึงเวลาจำเป็นแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ หรือพระท่านจะใช้งาน ไม่อย่างนั้นแล้วท่านไม่สั่งให้ฝึกขนาดนั้นหรอก แบบเดียวกับที่สั่งเน้นพวกอาตมาให้ฝึกอภิญญาโดยเฉพาะ ท่านบอกว่ากาลต่อไปข้างหน้า บุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จะจ้วงจาบพระพุทธศาสนามาก ถึงขนาดกล่าวหาว่าอภิญญาสมาบัติเป็นของหลอกลวงกัน เพื่อยกย่องศาสดาของตน
ท่านบอกว่า ถึงวาระนั้นแล้วพวกแกจะต้องไปแสดงให้เขาดูว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง ก็กราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า "ก็พระท่านห้าม พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้ภิกษุสามเณรแสดงฤทธิ์แสดงอภิญญา แล้วพวกผมจะแสดงได้หรือ ?" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ถึงเวลาแล้วพระท่านจะสั่งเอง"
ก็ได้แต่หวังว่าท่านจะไม่สั่ง เพราะว่ายังทำอะไรไม่ค่อยเป็น ถึงเวลาสั่งแล้วเดี๋ยวไปเหมือนกับโยมเมื่อเช้า มีสตางค์เต็มกระเป๋าแต่ใช้ไม่เป็น แล้วที่ตลกมากก็คือ หลังจากที่มีโยมถามปัญหาขั้นประถมของเขา เลยไปเจอระดับปริญญาเข้าให้ โยมเขาบอกว่าขออนุญาตถามปัญหาระดับประถม ก็เลยบอกว่า “เออ...ถึงระดับประถมแล้วหรือ ? ที่เจอมาอนุบาลล้วน ๆ” เพิ่งจะพูดจบไม่นานเจอระดับปริญญาเลย"
"เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ "อยากทำ" ไปไม่รอดหรอก ต้องอยากทำ อยากดี อยากเก่งด้วยตัวเอง ถามว่าแล้วถ้าอยากแล้วจะทำอย่างไร ? เพราะว่าความอยากไม่ใช่สิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ ? ก็บอกว่าใช่ แต่ถึงเวลาเราก็ลืมความอยากนั้น แล้วก็ทำ ถ้าไม่อยากเราก็ไม่ทำ ต้องอยากก่อน หลังจากนั้นละความอยากได้ แล้วจึงจะประสบความสำเร็จ"
"ไม่ได้ถามชื่อถามนามสกุลของเขาหรอกนะ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าจำหน้าได้ ก็คือในเมื่อเขาไม่ได้ประกาศชื่อแซ่ท้ารบ อาตมาก็ไม่เสียเวลาไปถาม แต่ไปนึกถึงคุณสุภิตา คานธี ที่ปักษ์ใต้ ไม่รู้จักมักจี่อาตมามาก่อนเลย เขาปฏิบัติธรรมอยู่ มีอยู่วันหนึ่งเห็นลิงตัวหนึ่งหกคะเมนตีลังกาอยู่หน้าหิ้งพระก็แปลกใจว่าลิงเข้ามาในบ้านได้อย่างไร ? ปรากฏว่าสักพักหนึ่งลิงก็กลายเป็นพระสงฆ์ แกก็กราบเพราะว่าแกเคารพพระอยู่แล้ว
พระท่านก็สอนให้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะถอดใจไปกราบพระข้างบนได้ พอถึงเวลาแกก็ถามว่าหลวงพ่อเป็นใคร ? มาจากไหน ? ท่านก็บอกว่าท่านคือฤๅษีลิงดำ แต่คราวนี้คุณสุภิตาเป็นคนขี้สงสัย แล้วก็กล้าพูดกล้าถาม แกเป็นฮินดู แต่แกนับถือพุทธ แกก็ข้องใจ ถามพระอยู่ทุกวัน ถามแล้วถามอีก มีปัญหาถามได้ทุกวัน ถามจนพระท่านรำคาญกระมัง ? ท่านก็เลยจำกัดให้ถามได้วันละปัญหาเดียว
คุณสุภิตาก็ยังสงสัยอีกว่า ถ้าสงสัยมากกว่าหนึ่งปัญหาเล่า ? พระท่านบอกให้ไปถามหลวงพ่อเล็กโน่น แกควานหาทั่วโลกเลยใครคือหลวงพ่อเล็ก ? พอดีไปรู้จักคณะมาลัยจากฟ้าของโกส้มที่สงขลา ถึงได้รู้จักและมาหา ครั้งแรกที่เจอเขาดีอกดีใจมาก บอกหน้าตาแบบนี้แหละที่พระท่านทำให้ดู"
"อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ละเมอท่าไหนถึงไปเจอกันได้ แล้วแกก็ถามจนคุ้ม เพราะว่าถ้ารอไปถามพระก็จะถามได้วันละปัญหาเดียว โยมเมื่อเช้าก็เหมือนกัน จริง ๆ แล้วก็คือสามารถติดต่อหลวงพ่อฤๅษีได้ทุกเวลา แต่ที่มาถามที่นี่เพราะต้องการตัวเป็น ๆ ช่วยยืนยันผลให้เขา
ต้องบอกว่าคนของหลวงพ่อจริง ๆ หรือคนของพระท่านจริง ๆ แต่ละคนนี่ประเภทเป็นคนเอาจริงทั้งนั้น ครูบาอาจารย์สั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แค่ถามว่าจะตัดกามราคะกับปฏิฆะอย่างไร ? เมื่อท่านบอกให้ฝึกกสิณ ๑๐ ตัวเองก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึก ไม่สนใจหรอกว่าฝึกแล้วจะเป็นอย่างไร ? ฝึกแล้วจะตัดได้จริงไหม ? ถือว่าพระท่านสั่งก็ทำ หลวงพ่อท่านสั่งก็ทำ แต่คราวนี้พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่รู้ว่าจะตัดอย่างไร ก็เลยต้องมาถาม"
ถาม : ที่วัดชนแดน น่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างหรือเปล่า หลวงพ่อทบจึงย้ายไปอีกวัด ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วหลวงพ่อทบท่านอยู่วัดชนแดน คราวนี้บ้านเกิดท่านคือวัดช้างเผือก ตอนหลังท่านตามองไม่เห็นแล้ว อยากจะกลับบ้านเกิดตัวเอง ก็เลยมามรณภาพที่วัดช้างเผือก แต่ช่วงที่ท่านทำวัตถุมงคลแล้วโด่งดังมากท่านอยู่ที่วัดชนแดน
ช่วงนั้นพวกตำรวจทหารที่ต้องรบกับคอมมิวนิสต์ไปนั่งเฝ้ากุฏิท่านทั้งวันทั้งคืน ท่านเองก็จารตะกรุดให้เขาทั้งวันทั้งคืน แล้วไฟฟ้าสมัยนั้นก็ไม่มี ต้องใช้เทียน ท่านเพ่งสายตามาก ๆ ท้ายสุดก็ตาเสียไปเลย กลางค่ำกลางคืนก็นั่งเฝ้ากัน “ภารกิจเร่งด่วน เจ้านายให้ไปรบคอมมิวนิสต์ ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า หลวงพ่อเมตตาผมด้วย” ก็ต้องทำให้เขา
แล้วลองคิดดูสิว่า เขาค้อหินร่องกล้าอยู่ไหนเล่า ? ก็อยู่ใกล้ ๆ นั่นแหละ หลวงพ่อดังสุดอยู่ตรงนั้นก็เสร็จเขา เล่นไปทีเป็นกองร้อย ที่ท่านทำตะกรุดลายธงชาติเพราะว่าตอนหลังทหารขอกันเยอะ ท่านทำเสร็จก็ให้ลูกศิษย์ถักให้
ถาม : ตะกรุดจริง ๆ ต้องม้วนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าพับเขาเรียกว่าพิสมร ถ้าม้วนเรียกว่าตะกรุด
ถาม : แบบนี้จารแล้วไม่ต้องม้วนก็ได้ ?
ตอบ : บางตำราเขามีการม้วนปิดพร้อมกับคาถาด้วย ก็เลยต้องม้วน
ถาม : อย่างที่พับ ๆ เขาเรียกว่าอะไรคะ ?
ตอบ : จะสามเหลี่ยมสี่เหลี่ยมเรียกพิสมรหมด แต่ถ้าพิสมรอย่างของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัยนั่นกลม ๆ
พิสมรของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัยรุ่นแรก ๆ ก็คือ ตะกรุดลูกกลอง ตอนแรกทำเป็นตะกรุดใบลาน ยาวประมาณสามสี่นิ้ว คราวนี้สมัยก่อนบางปืนนั้นไปยาก คนที่ไปตัดใบลานตรงนั้นมาได้ก็เอามาทำตะกรุด คนไม่ได้ไปอยากได้บ้าง เอามาตัดแบ่งกันก็สั้นลง กลายเป็นตะกรุดลูกกลอง ไป ๆ มา ๆ สั้นแล้วก็ยังไม่พอ ต้องตัดสั้นลงไปอีกก็เลยกลายเป็นพิสมร แล้วจากพิสมรใหญ่ ๆ ในรุ่นแรก ๆ พอของน้อยลงก็เหลือชิ้นนิดเดียว กลายเป็นพิสมรสาลิกา ประเภทที่คนแก่หยิบก็ลอดง่ามมือ
สมัยนั้นมีคนไปต่อว่าหลวงพ่อ ว่าทำไมต้องไปเอาถึงบางปืนด้วย ? ท่านบอกว่าชื่อเป็นมงคล บางปืนก็คือคำว่าบังปืน ท่านว่าอย่างนั้น ท่านถือเคล็ดตรงนั้นว่ากันปืนได้ คนเขาว่าไปยาก ไปลำบากเหลือเกิน ท่านบอกว่า อยากได้ของดีก็ต้องไปหาเอา ก็คือใครอยากได้ไปหามา ท่านจะทำให้ ต้องใช้ความพยายามหน่อย
เนื่องจากว่าตะกรุดพิสมรของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย จัดอยู่ใน ๙ เครื่องรางในตำนาน ก็เลยดังกลบอย่างอื่นหมด ทั้ง ๆ ที่ท่านสร้างพระออกมาเยอะ ในความรู้สึกของอาตมาพระอย่างไรก็ต้องดีกว่าเครื่องราง เพราะว่าพระก็คือพระอยู่แล้ว แต่คนกลับไปนิยมพิสมรกัน
เหมือนกับหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ท่านเป็นเจ้าของเครื่องรางในตำนาน ก็คือครั่งเหลือร้ายวัดโตนดหลวง ทำตะกรุดพอกครั่ง ลูกอมพอกครั่ง เบี้ยแก้พอกครั่ง พอท่านเอาครั่งมาทำเป็นพระ คนกลับไม่นิยม แปลกดีเหมือนกัน ไม่นิยมก็ดี อาตมาจะได้พกเอง
ถาม : อาจจะเป็นเพราะพกพระแล้วต้องระวังหรือเปล่า ?
ตอบ : น่าจะเกิดจากลูกศิษย์ที่พกตะกรุดแล้วมีประสบการณ์มากกว่า ก็เลยจะเอาอย่างนั้น แบบเดียวกับน้องเล็กไปโดนกระทิงขวิดมาแล้วไม่เป็นอะไรเลย นอกจากมีรอยช้ำเท่าเหรียญสิบบาท คราวนี้ใคร ๆ ก็อยากได้สมเด็จองค์ปฐม "องค์นั้น" ไม่ใช่รุ่นนั้นนะ แต่อยากได้องค์นั้น ขนาดเอาสององค์สามองค์รุ่นนั้นมาแลก จะขอแลกให้ได้ คิดดูก็แล้วกันว่ารุ่นเดียวกันแท้ ๆ แต่จะเอาองค์นั้น ให้ตายเถอะ...หลวงพ่อองค์เดียวกันเสก รุ่นก็รุ่นเดียวกัน แต่จะเอาแค่องค์นั้น
พระอาจารย์กล่าวกับพระ "เรื่องบัญชีพระสำคัญมาก ประมาทไม่ได้ ตอนนี้พระท่านเจอคดีกันเยอะแยะไปหมด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกกับผมตั้งแต่ออกจากวัดได้ ๘ เดือน ว่าให้ทำบัญชีให้เรียบร้อย ถึงเวลาใครตรวจสอบจะได้ชี้แจงเขาได้ ปรากฏว่าผ่านไป ๒๐ กว่าปีเรื่องเพิ่งจะเกิด แล้วบัญชีของผมทำมา ๒๐ กว่าปี สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลาว่าแน่นอนแค่ไหน
เรื่องการทำงานละเอียดนี้ไม่มีใครเกินหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่งท่านบอกให้ผมไปค้นบิลเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเก่า ท่านบอกว่าจะเปรียบราคาดูกับของใหม่ที่จะซื้อว่าขึ้นราคาไปกี่เปอร์เซ็นต์ ท่านให้ลองค้นดู แล้วก็ชี้ไปที่ตู้เก็บเอกสารสูงท่วมหัวผม เปิดออกมานี่ผมจะเป็นลม แฟ้มเป็นตั้ง ๆ เรียงกันเป็นพรืดไปหมดเลย
ตายละวา...กูจะหาที่ไหนเจอวะนี่ ? ท่านบอกว่าประมาณปี พ.ศ. นั้น ผมก็ค่อย ๆ ค้นดู เปิดดูแค่ ๓ แฟ้มก็เจอแล้ว เพราะว่าท่านเก็บบิลรายจ่ายของท่านทุกใบเรียงตามเดือน เรียงตามปี"
พระอาจารย์กล่าวสอนพระ "เรื่องของงานก่อสร้างจริง ๆ แล้วอย่าไปเร่ง ถ้าเร่งมีสองอย่างคือ เราจะไม่มีเวลาปฏิบัติเลย อย่างที่สองต้องกวนโยมมาก ถึงโยมเขาจะเต็มใจทำบุญ แต่ถ้าเราไปกวนบ่อย ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นช้ำไปหมด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุก็เหมือนกับผึ้ง เมื่อนำน้ำหวานไปจากดอกไม้ ต้องไม่ทำให้ดอกไม้นั้นชอกช้ำ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเพิ่งส่งพระครูปลัดปรีชาเป็นเจ้าอาวาสวัดวังปะโท่ ที่กาญจนบุรีพอหาเจ้าอาวาสไม่ได้เขาก็จะเล็งมาที่วัดท่าขนุน เอาไปอยู่เรื่อย
ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครอยากไป ยิ่งหาคนเต็มใจยิ่งยาก บางทีต้องบังคับกันเอาเลย ที่อื่นส่วนใหญ่เขาแย่งกันเป็นเพราะเห็นว่ามีผลประโยชน์ แต่สายของหลวงพ่อเราเกี่ยงกัน ของวัดพุทธบริษัทนี่ถึงขนาดต้องให้จับฉลาก พวกที่อาวุโสพอที่จะเป็นเจ้าอาวาส จบนักธรรมชั้นเอกแล้ว จับฉลากกันว่าใครจะเป็นเจ้าอาวาส เป็นอะไรที่คนอื่นเห็นแล้วเขาก็งงเหมือนกัน ที่อื่นเขาแย่งกันเป็น ส่วนของวัดท่าขนุนเกี่ยงกันเป็น"
ถาม : ปีหน้าน้ำจะมาเยอะไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าปีนี้ปักษ์ใต้ของเราเอาตัวให้รอดก่อนดีกว่า อย่าถามถึงปีหน้าเลย ต้องบอกว่าอย่างน้อย ๆ เทวดาเขาก็ยังรอให้ตูนรับบริจาคเงินก่อน แล้วตอนนี้ตูนดันวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงจะท่วมกรุงเทพฯ ไปด้วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อไม่กี่วันก่อนที่มีการประกวดนางงามจักรวาล คนไทยเราก็เชียร์มารีญาว่าให้ได้ตำแหน่ง ก็ไปได้แค่รอบ ๕ คนสุดท้าย เพราะว่าคำถามที่เขาถามนั้นครอบคลุมกว้างเกินไป จึงตอบยาก
Social Movement ถ้าคนไม่ชัดเจนจริง ๆ จะตอบไม่ได้เลย Social Movement คือการเคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่งที่ก่อเกิดผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว และต้องยั่งยืนด้วย อย่างที่เมื่อ ๒ วันก่อนมีประท้วงโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพา อันนั้นยังไม่ถือเป็น Social Movement นะ เพราะว่ามากันเป็นครั้ง ๆ ไป
ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ใช้คำว่า Social Movement จะอยู่ในลักษณะเกิดผลในระยะยาว อย่างเช่น การเรียกร้องสิทธิสตรี การเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชน อย่างเช่นการเรียกร้องความเสมอภาคของบุคคลข้ามเพศ เรียกร้องแล้วเกิดผลต่อสังคมในระยะยาว เขาจึงเรียกว่า Social Movement
คาดว่าคนถามตั้งใจจะให้พูดถึงเรื่องของโรฮิงญาข้างบ้าน แต่คราวนี้มารีญาไปตอบเรื่องของสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งควรที่จะบ่มเพาะบุคคลรุ่นใหม่เอาไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าตอบผิดประเด็น แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้อภัย เพราะว่าต่อให้เตรียมการมายังไม่แน่ใจเลยว่าจะตอบได้ ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว"
"ส่วนที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การเป็นนายของภาษา จะคุยกับเขาต้องคุยภาษาของเขา นางงามจักรวาลของเราที่ผ่าน ๆ มาส่วนใหญ่แล้วจะไม่เก่งภาษา มีภรณ์ทิพย์ นากหิรัญกนก ที่ได้ตำแหน่งก็เพราะว่าเป็นนายของภาษา ใช้ภาษาเหมือนเจ้าของภาษาเขาเอง
บางคนก็ตำหนิว่าทำไมเอาลูกครึ่งหน้าตาเป็นฝรั่งไปเลย จะลูกครึ่งหรืออะไรก็ตาม ถ้าเขามีความรักประเทศไทย พร้อมที่จะเป็นตัวแทนประเทศ มีความสามารถจริง ๆ ก็ส่งไปเถอะ
ในเรื่องของการประท้วงในบ้านเรา อย่างเช่น ม็อบสีเหลืองปิดสนามบิน ฯลฯ เขาไม่ถือเป็น Social Movement หรอก เพราะว่าเป็นการเคลื่อนไหวระยะสั้น ๆ ก่อเกิดผลกระทบแค่พักเดียว แต่ Social Movement ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมระยะยาว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "แนวโน้มของวิทยานิพนธ์หรือสารานิพนธ์ของ มจร.จะยากขึ้นเรื่อย ๆ เขาต้องการจะยกระดับมหาวิทยาลัย อย่างของวัดท่าขนุนมีเรียนกันอยู่ ๖ รูป ต้องไปหาข้อมูลยันภาคอีสาน ภาคเหนือ ยันเชียงราย อุบลราชธานี
ที่เขาต้องการยกระดับขึ้นมาก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง แต่สิ้นเปลืองมาก อย่างพระที่วัดนัดท่าน ว.วชิรเมธีไว้ ปรากฏว่าท่านมีงานด่วน ท่านเข้ากรุงเทพฯ พระเราไปถึงเชียงรายแล้วโทรศัพท์ถาม ท่านบอกท่านอยู่กรุงเทพฯ วิ่งสวนทางกัน คงคิดว่าเหมือนหลวงพ่อวัดท่าขนุนกระมัง ? นัดแล้วก็เป็นอันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร นัดซ้อนก็ไม่รับ
ที่อื่นส่วนใหญ่แล้วจะดูในเรื่องของผลประโยชน์ที่ได้รับ มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาไปออกกิจนิมนต์สวดมนต์บ้านโยม เป็นบ้านเพิงหมาแหงนชั้นเดียวเตี้ย ๆ มี ๔ ห้อง โยมที่เป็นพ่อเห็นแล้วดีอกดีใจ “หลวงพ่อเล็กมาเอง ไม่นึกเลยว่าบ้านผมก็จะมา” อาตมาบอก “โยมรู้ไหมว่าอาตมาเองยังต้องไปตามคิวเลย ถ้าไม่ได้คิว เขาไม่ได้จัด ก็ไม่ได้ไป” อาตมามอบหน้าที่ให้พระท่านเป็นคนจัดกิจนิมนต์ ถ้าไม่ได้คิวก็ไม่ได้ไป เพราะฉะนั้น...จะไปหวังว่าเจ้าอาวาสจะได้ไปทุกงานไปทุกที่..ที่นี่ไม่ใช่ คราวนี้คิวบ้านคนรวยอาตมาไม่ได้ไป ได้ไปบ้านคนจน เขาก็ดีอกดีใจ คิดว่าอาตมาจะรับแต่บ้านคนรวยกระมัง ?
ความยุติธรรมดีอยู่อย่างคือคนตำหนิไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันบางที่เขาไปเลือกถึงผลประโยชน์ที่จะได้ ถ้ามากกว่าก็จะไปทางด้านนั้น หรือไม่ถ้าอยู่ระดับใกล้เคียงกัน ใครที่มีอำนาจให้คุณให้โทษมากกว่าก็จะไปที่นั่น ซึ่งลักษณะอย่างนี้ไม่น่าจะใช่ แต่เขาก็ทำกันจนเป็นปกติแล้ว
อย่างเมื่อเช้าคุณหญิงเชอรี่มาก็ต้องนั่งแปะกับเพื่อน ที่นี่ยุติธรรมมาก ถ้ามาที่นี่ราคาเดียวกันหมด"
พูดถึงไม้ถือ "เนื่องจากว่าวัดท่าขนุนไม่ได้ออกวัตถุมงคลทิ้งช่วงยาวไปหน่อย โยมเริ่มเดือดร้อนแล้ว อยากจะทำบุญ
อาตมากำลังทำไม้ถืออยู่ เตรียมทองคำแท่งไว้เลย ๕ บาท หรือไม่ก็ ๘ บาท อย่างที่เมื่อเช้าเขาเอาตัวอย่างมาให้ดู ถามว่าไม่ใช่แค่ทองเหลืองอย่างเดียวที่หล่อพระ มีอะไรแทรกอยู่บานตะเกียงเลย อ๋อ...อาตมาหลอมวัตถุมงคลลงไปเกือบตันหนึ่ง...!
ส่วนทองเหลืองที่เป็นหลักก็คือทองที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าขนุน กะว่าจะใช้เนื้อชนวนล้วน ๆ ช่างเขาบอกว่าไม่ไหวเพราะว่าเนื้อจะพรุนมาก ขอผสมสัก ๓๐ เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย แต่ถ้าในส่วนที่เป็นเงินแล้วใช้ล้วน ๆ ได้เลย ก็จะดูว่าชนวนเงินที่เหลือจากหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินองค์ใหญ่ปีที่แล้ว เหลือพอที่จะทำได้กี่อัน ? ถ้าหากว่าเป็นเนื้อเงิน โยมที่ดูแลอยู่ เขาบอกว่าเฉพาะด้านหัวใช้เงินหนักประมาณอันละ ๑ กิโลกรัม
ด้านปลายยาวน่าจะถึง ๒.๕-๓ นิ้ว บรรจุตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ เมื่อเป็นดังนั้นขอให้เตรียมทองแท่ง ๘ บาทไว้ด้วย ถ้าเป็นหัวชนวนทองเหลืองผสมวัตถุมงคลอื่น ๆ จะบรรจุตะกรุดมหาสะท้อนเนื้อเงิน ก็เตรียมทองคำแท่งไว้ ๕ บาท"
"ที่ต้องแพงเพราะอาตมาสละวัตถุมงคลลงไปจนคนสยองกันว่ากล้าลงขนาดนั้นเลยหรือ ? ที่เคยลงรายการให้ดู ตอนที่บรรจุตะกรุด ผงที่อุดเข้าไปอย่างเดียวนี่ต้องบอกว่าคนอื่นสยองขวัญ เพราะว่าสละวัตถุมงคลประเภทลูกอมกับประเภทที่เป็นผงลงไปเยอะมาก
ส่วนหนึ่งก็มีฝักของมีดหมอครูบาอาจารย์หลายสิบเล่ม เพราะว่าเอาตัวมีดกับด้ามมีดไปหล่อเป็นชนวนโลหะ ก็เลยเอาฝักที่เป็นไม้ไปให้เขาบดเป็นผง เพื่อที่จะเอามาเป็นผงอุด แล้วก็ผสมกับพวกลูกอม พวกยาจินดามณี หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เจือ ฯลฯ ไล่มาจนถึงยุคปัจจุบัน รายการเขาลบไปแล้วกระมัง ?
ลองไปดู...ไม่ถึงร้อยรายการก็ใกล้เคียง ก็เลยคำนวณราคาออกมาแล้วประมาณนั้น ดูว่าจะมีสู้ไหวสักกี่คน ? แต่ก็ได้ไม่กี่ด้ามหรอก เพราะว่าขนาดเป็นเงินกิโลกรัมหนึ่งนี่คงไม่มีใครกล้าทำทองคำแน่ เพราะว่าทองคำจะหนักเป็น ๒ เท่าของเนื้อเงิน"
ถาม : ออกเมื่อไรคะ ?
ตอบ : เดี๋ยวรอดูให้งานเสร็จแน่ ๆ ก่อน เพราะว่าทุกวันนี้ผลงานยังไม่เป็นที่ประทับใจ ช่างเขาทำแล้วยังมีจุดให้ติได้ตลอด
"ไม่รับจอง ไปแย่งกันเองว่าใครจะได้ เหมือนกับทุกครั้งนั่นแหละ อย่างเก่งก็มีแค่ ๔๐-๕๐ ด้ามเอง
ตอนแรกคิดว่าชนวนทองคำที่เหลือจากการสร้างวัตถุมงคลทุกรุ่น รวมกันแล้วน่าจะทำหัวไม้ได้สักอันหนึ่ง แต่ดู ๆ แล้วน่าจะได้ไม่ถึง เพราะว่าต้องใช้ทองตั้ง ๒ เท่าของเงิน ก็ประมาณ ๒ กิโลกรัม เพราะฉะนั้น...ก็เอาแต่เนื้่อเงินกับชนวนโลหะผสมไปก็แล้วกัน
มีใครโหลดข้อมูลเก็บไว้บ้างตอนที่ลงรายการชนวนต่าง ๆ ? งานนี้ทำมาหลายปี หาช่างฝีมือที่ทำได้อย่างใจนั้นยากมาก ทำทั้งทีก็ต้องทิ้งทวนกันเลย"
ถาม : อุดผงไหมคะ ?
ตอบ : อุด...เพราะว่ามีช่องใส่ตะกรุดจึงต้องอุดด้วย ถึงเวลาบรรจุตะกรุดแล้วก็อุดผงด้วย ฤกษ์ที่ใช้จะต้องเป็นเพชฌฆาตฤกษ์ต่อด้วยราชาฤกษ์ (ช่วงปลายเพชฌฆาตฤกษ์ต่อราชาฤกษ์) พูดง่าย ๆ ก็คือ ก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ ใครที่คิดว่ามีฐานะเพียงพอ ลองคิดดูว่าทองบาทละ ๒๐,๐๐๐ บาท แปดคูณสองก็ ๑๖๐,๐๐๐ บาท
ต้องรอดูตอนเขาเปิดจอง แต่ถ้าหากว่าเปิดจองแล้วไปแย่งกันในเว็บ อาจจะเปลี่ยนเป็นให้อาตมานั่งรับจองตรงนี้ มาก่อนได้ก่อน แต่ก็มีแค่ไม่กี่อันเอง ตอนที่คำนวณไว้จริง ๆ จะประมาณ ๕ บาท แต่คราวนี้ใส่ตะกรุดทองคำเข้าไป ตะกรุดทองคำตอนนั้นพวกเราแลกกันที่ ๓ บาท บวกไปจึงเป็น ๘ บาท
ถาม : ต้องดูแลอย่างไรเจ้าคะ ? (กุมารทองหลวงพ่อกวย)
ตอบ : มีอะไรก็บอกให้เขาช่วย ใช้อย่างเดียว ไม่ต้องคิดอย่างอื่น
ถาม : ต้องท่องอะไรไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ไม่เห็นท่านบอกอะไร มีแค่นั้นเราก็ใช้แค่นั้น อย่าไปคิดมาก เป็นกุมารทองที่ค่อนข้างจะเรียบร้อย ไม่ดื้อไม่ซน
ถาม : เวลาเราภาวนาพระคาถาเงินล้าน ภาวนาไปได้สักพักหนึ่ง เวลานั่งรถมอเตอร์ไซค์เหมือนมีอะไรแทรกขึ้นมา นั่นคืออะไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ให้กลับมาที่คาถาใหม่ แสดงว่าสติขาดไปจากการภาวนา
พระอาจารย์สอนโยม "คราวหน้านะ ถ้าถือของอยู่...ให้ทิ้งของแล้วยกพระ อย่าไปวางพระแล้วยกของแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรพระเราก็ต้องเกาะไว้ตลอดชีวิต ห้ามทิ้งอย่างเด็ดขาด"
ถาม : จะขึ้นบ้านใหม่ เข้าไปอยู่ในบ้านครั้งแรกคือการขึ้นบ้านใหม่ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วอาตมาถือว่าวันที่นิมนต์พระเข้าบ้าน คือวันขึ้นบ้านใหม่
ถาม : เราไม่ต้องรอใช่ไหม เราไปอยู่ก่อนได้ ?
ตอบ : เราไปอยู่ก่อนก็ได้ แล้วหาฤกษ์ดีนิมนต์พระเข้าไป หรือตั้งหิ้งพระ
ถาม : ฤกษ์ดีคือ ?
ตอบ : ก็ดูตามฤกษ์พรหมประสิทธิ์ หรือตามฤกษ์ที่เราเชื่อถือ
ถาม : วันชงเกี่ยวกันไหมคะ ?
ตอบ : อันนั้นตำราจีน ถ้าเราไม่สบายใจก็เลี่ยงไป
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อคืนตีกับผีไป ๓ ยก กว่าจะได้นอนเกือบตี ๑ เกิดจากโยม ๒ คนเมื่อวานที่มา บอกว่าไปหาหมอแล้วโดนเขาเอาผีคุมมา จะให้ช่วย อาตมาบอกให้เขารอวันเป่ายันต์ฯ แล้วค่อยไป ปรากฏว่าเจ้าหมอผีใจร้อน เล่นงานอาตมาเสียก่อน แต่คราวนี้เขาไม่กล้าปะทะซึ่ง ๆ หน้า ใช้วิธีประเภทกวนแล้วก็หนี เจอไปสามรอบ ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด เพราะว่าจะนอน จะตี ๑ อยู่แล้ว สรุปว่าอาตมายังไม่ได้ทำอะไรเลย เขาก็เล่นงานเอาได้ พูดง่าย ๆ ว่าวันนี้ต้องนั่งตาตี่...ง่วงนอน ...(หัวเราะ)...
สมัยก่อนเวลามีเรื่องอย่างนี้อาตมาจะช่วยเขา พอลาพุทธภูมิแล้วก็ไม่อยากจะไปยุ่งกับอนาคตของใคร เพราะว่าเรื่องของหมอไสยศาสตร์นั้นเขาเล่นไม่เลิก อาตมาเคยโดนรุม ๓๐ กว่าคนต่อ ๑ มาแล้ว เพราะว่าถ้าเขาสู้ไม่ได้ เขาก็จะไปหาคนที่เก่งกว่ามา ท้ายสุดคนที่เก่งกว่าไม่มี เขาก็ไปหาพรรคพวกเขามา แล้วผลัดเวรกันเล่นเราทั้งวันทั้งคืน
คราวนี้ ๓๐ กว่าคน เขาแบ่งเป็น ๕ ผลัด อาตมาเองไม่ได้ผลัดกับใครก็แทบตาย ท้ายสุดก็เลยต้องไม่ตอบโต้ ทำเหมือนกับว่าตายไปแล้ว เรื่องถึงได้จบ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเข็ด...ไม่อยากยุ่งกับพวกนี้อีก"
"ปรากฏว่าเมื่อวานยังไม่ทันจะไปยุ่งเลย โดนเสียก่อนแล้ว ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากผีไปบอกให้เจ้านายรู้ ว่าเขาจะไปแก้ไขที่ไหน เจ้าพวกนี้ก็จะเล่นงานสำนักนั้นก่อน เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ พวกสำนักทรง พวกสำนักเกี่ยวกับผีสางนางไม้ หรือแม้กระทั่งหมอดูประเภทนี้ อย่าไปยุ่งได้ก็ดีมาก ส่วนใหญ่แล้วเขาจะขู่เราให้ตกใจกลัว วิธีแก้ไขของเขาก็คือเราต้องเสียเงินแพง ๆ ทั้งนั้น ถึงเวลาเขาก็ใช้ผีคุมให้แวะเวียนไปหาเขาอยู่เสมอ ๆ เพื่อหาเงินไปให้ จะกลายเป็นทาสของเขาโดยไม่รู้ตัว
ด้วยความสงสารที่ผีโดนใช้มา ก็เลยไม่ใช้มีดหมอ พยายามเจรจาเท่าไรผีก็ไม่ฟัง อาตมาเป็นคนถือคติว่า "กูไม่รังแกมึงก็เป็นบุญของมึงแล้ว ในเมื่อมึงมายุ่งกับกูก็เจอกัน" ท้ายสุดเลยโดนมีดหมอไปจนได้
เขาโดนบังคับมา ในเมื่อโดนบังคับมา เจ้านายสั่งอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น มีอยู่ยุคหนึ่งอาตมาปล่อยผีกะเหรี่ยงไป ๓๐ กว่าตัว เล่นเอาหมอผีหมดเนื้อหมดตัวไปเลย หาผีใช้งานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วปกติก่อนที่จะขึ้นไปถึง เขาจะรู้ล่วงหน้าเป็นวัน ๆ เพราะว่าผีคอยรายงานให้ทราบ งวดนั้นอาตมายืนอยู่หัวบันไดบ้านแล้วเขาเพิ่งจะเห็น บอกแล้วว่าคุณอย่ามายุ่งกับผม ผมไม่อยากยุ่งกับใคร ในเมื่อมายุ่งมาก ๆ ก็เล่นให้หมดเนื้อหมดตัวไปเลย ปล่อยไปจนเกลี้ยงเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับบริษัทขายตรง ที่ขายพวกเจลต่าง ๆ ที่กินแล้วชะลอวัย ทำให้หน้าเด้ง ซึ่งการรับคนใหม่เข้าอบรมเขาจะให้คนเก่าเอารถสปอร์ตราคาคันหนึ่ง ๓๐ ล้านบาทหรือ ๔๐ ล้านบาท มาจอดถ่ายรูปกัน ทำให้คนใหม่เห็นว่า ถ้าเราสมัครเป็นสมาชิกเขาแล้วจะหาเงินได้ง่าย การซื้อรถราคาหลายสิบล้านบาทเป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา
พอคนหลงไปสมัครเป็นสมาชิก อย่างแรกต้องซื้อสินค้าเขาเพื่อไปจำหน่ายต่อ บางคนก็โดนไปหลายแสนบาท ถึงเวลาให้เขาฟรี ๆ ก็ยังไม่มีใครเอา ก็เลยกลายเป็นคดีฟ้องร้องกันอยู่
เรื่องขายตรงเป็นจิตวิทยาโดยเฉพาะ เขาพูดในลักษณะปิดทางจนเราไม่มีช่องปฏิเสธ แล้วก็ต้องรับสมัครเอาสินค้าเขามาจำหน่ายต่อ พวกบริษัทขายตรงคนแรก ๆ จะได้เปรียบเพราะคนหลังรับช่วงสินค้าไป แต่ถ้าคนหลังกระจายสินค้าต่อไม่ได้ก็เละอย่างเดียว
ดังนั้น...ที่กำลังฟ้องอยู่ทุกวันนี้ โดยปกติคนส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้แล้วว่าการขายตรงแบบนี้ก็คือการหากิน แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออยู่ ถึงมีคนรู้ก็ไม่มีการออกสื่อให้คนอื่นได้รู้ตาม ประเภทว่าเจ็บแล้วก็กลืนกินเลือดเอง แต่ว่าตอนนี้มีการฟ้องร้องสื่อกัน ก็ทำให้เราจะได้เห็นการทำมาหากินของบริษัทใหญ่ ๆ เขาว่าทำกันในลักษณะอย่างไร"
"อาทิตย์ที่ผ่านมา มีบางบริษัทพาคนไปศัลยกรรมใบหน้า เพื่อให้ได้ชีวิตใหม่ เมื่อมีการหลอกลวงกัน คือเอาคนสวยแต่เดิมแล้วไปแต่งเพิ่มเข้านิดหน่อย ไม่ได้ทำมากมายอย่างที่โฆษณาไว้ ก็มีการเปิดโปงกันจนกระทั่งแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่
เรื่องแบบนี้ต้องบอกว่า เข้าถึงสื่อได้มากเท่าไรก็โดนหลอกลวงได้ง่ายเท่านั้น เพราะสมัยนี้บรรดาแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ สามารถที่จะตกแต่งรูปอย่างไรก็ได้ ขนาดคนอ้วน ๆ ยังทำเป็นคนผอมเพรียวได้ บางคนก็แต่งรูปตัวเองจนผอม โดยลืมดูข้างหลังว่าองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ต้นไม้บิดเบี้ยวไปหมด คนที่สายตาดีมองวูบเดียวก็รู้ว่ารูปนี้ตกแต่งมา
ต้องบอกว่าโลกยุคนี้หลอกลวงกันง่าย ถ้าเผลอเมื่อไรก็จะกลายเป็นเหยื่อไป โดยเฉพาะอาตมาเอง อยู่ ๆ ก็มีคนโทรศัพท์มา แจ้งว่าอาตมากู้เงินมาจำนวนเท่านี้ ยังไม่ได้จ่ายคืน จะต้องโดนฟ้องร้อง อาตมาก็ขำ ๆ บอกว่าไปหลอกคนอื่นเถอะ ตรงนี้ไม่เคยกู้เงินใคร มีแต่จะให้เขากู้ เขาสุ่มเบอร์โทรไปเรื่อย ใครเชื่อก็โอนเงินให้เขาไป"
"พระโดนหลอกมาหลายรายแล้ว บางทีก็แต่งตัวเป็นข้าราชการอย่างดี ไปกัน ๓-๔ คน มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง ไปถึงก็บอกหลวงปู่องค์นั้น หลวงพ่อองค์นี้ที่พอมีฐานะหน่อย ว่าทางราชการมีงบเหลือประมาณสิบล้าน หลวงปู่หลวงพ่อมีอะไรจะก่อสร้างบ้าง พระท่านก็หลงดีใจว่าจะได้เงินโดยไม่ต้องเหนื่อย ก็เลยบอกไปว่าจะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา เป็นต้น
คุยกันดิบดีว่าจะไปเปิดบัญชีโอนเงินเข้าให้ พอพระหลงเชื่อไปเปิดบัญชีให้เรียบร้อย เขาก็บอกว่าต้องโอนเงินค่าดำเนินการให้เขาสามหมื่นบาท มีการเบี้ยบ้ายรายทางเพื่อที่จะเอาเงินสิบล้านหรือยี่สิบล้านออกมา พระท่านเห็นว่าเปรียบกับเงินที่จะได้แล้ว เป็นจำนวนน้อยมากก็โอนให้ไปสามแสนสี่แสน แล้วทั้งคณะนั้นก็อันตรธานไปจากโลก ไม่แวะเวียนกลับไปเยี่ยมวัดอีกเลย"
"อาตมาก็โดน มีโทรศัพท์มาบอกว่าโทรมาจากหนองคาย เป็นรองพระสังฆราชประเทศลาว เลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าขนุน ตอนนี้กำลังมาทำธุรกรรมทางการเงินอยู่ที่ฝั่งหนองคาย มีอะไรต้องการอะไรให้ช่วยเหลือ ต้องการเงินเท่าไรให้บอก
อาตมาบอกว่า "หลวงพ่อพอแค่นี้แหละ ไม่ต้องคุยต่อ คราวหน้าจะหลอกใครจำให้แม่น ๆ เลยนะ ประเทศลาวไม่มีพระสังฆราช...! ในเมื่อไม่มีพระสังฆราชแล้วจะมีรองพระสังฆราชได้อย่างไร ?" พอคุยไปเดี๋ยวก็จะกลายเป็นว่า ต้องจ่ายค่าดำเนินการให้เขาอีก อาตมาขี้เกียจให้เขาเสียเวลาโกหกเยอะ..!"
"ประเทศลาวไม่มีพระสังฆราช ผู้ปกครองสูงสุดเรียกว่า ประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งชาติลาว บอกให้ครบ ๆ คราวหน้าเขาจะได้รู้ว่าควรหลอกอย่างไร..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้การจ่ายวัตถุมงคลมีผิดพลาดอยู่ ๒ ราย รายแรกบูชาลูกอมหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ในกระทู้ระบุว่าเป็นลูกใหญ่ แต่เขาจัดลูกปกติมาให้ เลยต้องมีการแก้ไขกัน มารับของที่ถูกต้องไปแล้ว
อีกรายหนึ่งบูชาวัวธนูหลวงปู่คำแสน ส่งไปให้แล้วเขางง เพราะว่าดูไม่เหมือนของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล อาตมาเองได้ยินคนถวายบอกว่าหลวงปู่คำแสน ก็ไม่ได้ไปตรวจสอบ เชื่อตามที่เขาว่ามาเลย ปรากฏว่าเป็นของครูบาแสนเมือง ซึ่งคาดว่าคนฟังน่าจะฟังไม่ได้ศัพท์ ก็เลยยัดลงหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูลไป อาตมาจึงต้องโอนเงินคืนเขา เดือนหน้าเขาถึงจะเอาวัวธนูมาคืน
แต่จะเป็นหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล หรือครูบาแสนเมือง วัดท่าแหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นพระสุปฏิปันโนด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะครูบาแสนเมือง วัดท่าแหน อาตมาได้กราบท่านมากเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่วัตถุมงคลทางล้านนา อาตมาจะเก็บแต่ของหลวงปู่ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ หลวงปู่ครูบาวัง วัดบ้านเด่น หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย ของท่านอื่น ๆ จะเก็บน้อย ขาดการตรวจสอบทำให้ผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้น...อย่าเชื่ออาตมาร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยให้ตรวจสอบก่อนว่าที่รับไปใช่หรือไม่"
"เรื่องของวัตถุมงคลมักจะมีบุคคลจำพวกหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ใช่แกล้งโง่ก็โง่จริง ๆ ไปเลย กล่าวหาว่าเป็นการทำให้ยึดติด ก็ต้องฟังที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านว่า ติดในวัตถุมงคลดีกว่าติดในวัตถุอัปมงคล"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีปัญหาว่า คนซื้อสินค้าราคาที่ติดไว้เป็นราคาหนึ่ง พอเขายิงบาร์โค้ดอ่านออกมาอีกราคาหนึ่ง เถียงกันอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน
อาตมาไปนึกถึงคำว่า "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" อย่างอาตมาใช้โทรศัพท์เครื่องละ ๗๐๐ บาท อยู่ ๆ ก็มีข้อความส่งเข้ามาว่าท่านได้สิทธิ์ลุ้นรางวัลโทรฟรี ๕๐๐ บาท แล้วก็ให้กดหมายเลขโน้น หมายเลขนี้ ถ้าสมมติว่าเขามีสมาชิกอยู่สัก ๘๐๐,๐๐๐ คน ถ้ากดไปคนละที ๘ แสนคูณ ๓ บาทเท่ากับ ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท แต่เขาให้คุณ ๕๐๐ บาท
๕๐๐ บาท คือหนึ่งในจำนวนสมาชิกทั้งหมด ไม่ใช่ได้ทุกคน ก็แปลว่าทันทีที่คุณกด คุณจ่ายค่าโทรไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะได้หรือไม่ได้ไปลุ้นเอา เพราะว่าเป็นแค่สิทธิ์ของคุณที่จะได้ลุ้นรางวัล สรุปว่าเขาได้ไป ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท แจกรางวัลไป ๕๐๐ บาท ทีนี้เราจะได้รู้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีนั้นเป็นเรื่องจริง
วันก่อนมีโปรโมชั่น ๓๐ บาท โทรฟรี ๗ ชั่วโมงภายในวันนี้ อาตมาจะโทรถึง ๑ นาทีก็ยาก นี่ให้โทรตั้ง ๗ ชั่วโมง คราวนี้เขาให้เวลาแค่วันนั้นวันเดียว ถ้าหากว่าใช้ไม่หมดก็สูญไปเฉย ๆ ๓๐ บาท
มีอยู่สมัยหนึ่งที่เขาใช้พินโฟน ซึ่งเป็นลักษณะคล้าย ๆ บัตรเติมเงิน ไปเสียบตู้สาธารณะแล้วโทรได้ตามอัตราเงินที่ตนเองมีอยู่ อาตมาเองได้รับถวายพินโฟนมาราคา ๕๐๐ บาท ก็ทิ้งไว้หลายเดือนไม่ได้ใช้ พอไปเสียบเขาบอกไม่มีเงิน โทรไปถามเขา เขาบอกว่าหมดเวลาการใช้งานไปแล้ว สรุปก็คือ ๕๐๐ บาท เสียไปฟรี ๆ เพราะว่าบัตรหมดอายุ ซึ่งเขาไม่เคยบอกว่าบัตรมีการหมดอายุด้วย"
ถาม : ฤกษ์สำหรับทำบุญขึ้นบ้านใหม่ครับ ?
ตอบ :อาจจะต้องเป็นปีหน้า เดือนยี่ วันศุกร์ มี ๑๒ มกราคม วันศุกร์ สิทธิโชค หลังจากนั้นก็ต้องรอ ดูท่าจะมีวันเดียว ไม่อย่างนั้นไปอีกหลายเดือนเลย เพราะว่าฤกษ์วันศุกร์จะไปมีอีกที ๒๒ มิถุนายนรอไหวไหม ? ๒๒ มิถุนายนดีกว่า เพราะว่าเป็นมหาสิทธิโชค ๑๐ ค่ำเดือน ๘
ถาม : หลวงพ่อว่างไหมครับ ?
ตอบ : ว่างก็ไม่ไป อาตมาไม่เคยรับนิมนต์เรื่องส่วนตัว จะไปก็คือเรื่องของส่วนรวมจริง ๆ ถ้าไปรับนิมนต์เรื่องส่วนตัวก็ตายพอดี ทั่วประเทศไทยใคร ๆ ก็อยากให้ไป
ถาม : หนูขายปลีกไปก่อน ปีหน้าหนูจะขายส่ง ถ้าหนูลงทุนไปแล้ว จะดีไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราบริหาร เรื่องของการขายปลีกพวกนี้สำคัญตรงสถานที่ คราวนี้ถ้าเราสามารถขยับไปหาที่เหมาะสมได้อยู่เรื่อย ๆ ก็จะขายได้เรื่อย ๆ ลักษณะเหมือนอย่างกับตลาดนัด ตรงนั้นก็มี ตรงนี้ก็มี เราก็ไปตั้งร้านเอา ถ้าหากว่าอยู่ที่เดียวจะลำบาก
ถาม : การขายส่ง ปีหน้าจะดีไหมคะ ?
ตอบ : แย่กว่าปีนี้อีก..!
ถาม : มีดหมอแบบปากกา พกขึ้นเครื่องผ่านด่านเขาจะได้ไม่สังเกต ?
ตอบ : อาตมาพกมีดหมอทั้งเล่ม ไปยันญี่ปุ่น ยุโรป ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย สำคัญที่ว่าอาราธนาเป็นไหม ? เดินผ่านเครื่องตรวจของไทยไม่ดัง...สบายใจ พอไปถึงที่ญี่ปุ่น...เครื่องมือเขาทันสมัยกว่าจะดังไหม ? ก็ไม่ดัง แสดงว่าของดีต้องดีเสมอต้นเสมอปลาย
ถาม : ถ้าเราไปทำงาน แล้วเราได้เงิน แล้วถ้าเราไม่ได้ไปทำงาน เราบาปไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่าบาปไหม ? ถ้าไม่ได้ลักขโมยก็ไม่บาป แต่ว่าสิ่งที่เราทำแล้วต้องบอกว่าส่วนของหลักธรรมพร่อง เพราะว่าเรารับค่าตอบแทนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ว่าเราทำงานไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถาม : คำว่า "คุณธรรม" ที่เราเข้าใจว่าเป็นคนดี เกี่ยวกับบุญอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : จริง ๆ คุณธรรมจะต้องมาจากศีลธรรม ถ้าสภาพจิตของเราทรงศีลทรงธรรมเป็นปกติ กลายเป็นความดีส่วนตัวเขาเรียกว่า คุณธรรม เมื่อคนอื่นเขาเห็นความดีนั้นแล้วเลียนแบบไปทำตามเขาเรียกว่า จริยธรรม
แต่คุณธรรมในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ก็คือความดีเฉพาะตัวของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็คือเกิดจาก ปุพเพกตปุญญตา ก็คือการทรงคุณความดี สะสมบุญมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ พอติดมาถึงชาตินี้ก็ยังคงทำความดีต่อไป กลายเป็นคุณธรรมเฉพาะตัวของเขา
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่ทำเช่นนั้นเพราะมีมโนธรรม ก็คือจิตสำนึกของตนเองว่าสิ่งทั้งหลายถูก สิ่งทั้งหลายควรก็จะทำสิ่งนั้น สิ่งใดไม่ถูกไม่ควรก็จะไม่ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
ถาม : เราจะสามารถสรุปคร่าว ๆ ได้ไหมครับว่า คนที่มีคุณธรรมก็จะมีสภาพจิตที่ใช้งานได้ในเรื่องพวกนี้มากกว่า ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ พื้นฐานที่รองรับก็เอื้อต่อการเข้าถึงธรรมมากกว่า แต่สำคัญตรงที่ว่าจะมีโอกาสจะมาปฏิบัติธรรมไหม ? บางคนต้องบอกว่าน่าเสียดาย คุณสมบัติทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ไม่เลี้ยวเข้ามาสักที
ถาม : เวลาเราทำธุรกิจ แล้วเราตั้งใจเอากำไรมาก ๆ โดยที่เราไม่ได้คิดว่าจะส่งผลกับส่วนรวมอย่างไร แต่เราไม่ได้ลักขโมย แต่เกิดผลเสียต่อส่วนรวม จะมีผลกระทบต่อตัวเองไหมครับ ?
ตอบ : คุณรู้จักคำว่าพ่อค้าหน้าเลือดไหม ?
ถาม : รู้จักครับ ?
ตอบ : คิดว่าคนเขาสรรเสริญไหม ?
ถาม : ไม่ครับ ?
ตอบ : ในเมื่อไปไหนก็เข้ากับใครไม่ได้ เพราะคนเขาไม่อยากจะคบหา มีผลกระทบต่อตัวเองไหมเล่า ?
ถาม : แต่คนขายมองแต่เรื่องกำไร ไม่ได้สนใจความดีอยู่แล้ว ?
ตอบ : ก็ได้แค่ชาติเดียว เพราะว่าสภาพจิตที่ประกอบด้วยโลภอย่างนั้น มีโอกาสลงอบายภูมิสูงมาก
ถาม : คนทั่วไปที่เลี่ยงภาษี ไม่ว่าจะเป็นภาษีบุคคลธรรมดาหรือภาษีนิติบุคคล บาปไหมครับ ?
ตอบ : รู้ว่าผิดแล้วทำ โทษหนักกว่าปกติอีก ไม่รู้แล้วทำยังพอให้อภัย รู้ว่าผิดแล้วทำแสดงว่าเจตนาเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โทษหนักกว่าปกติหลายเท่า
ถาม : แล้วอย่างหมอ เวลาที่ตั้งใจเลี้ยงไข้ บาปไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไปถามหมอสิ โดยจริยธรรมหรือว่าโดยจรรยาบรรณ หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ให้หาย แต่เรากลับเห็นคนไข้เป็นแหล่งผลิตเงิน พยายามที่จะเลี้ยงไข้เอาไว้เพื่อที่จะได้เอาเงินมาให้เราบ่อย ๆ ลักษณะอย่างนั้นคิดว่าบาปไหม ? ต้องเกิดจากจิตที่ประกอบไปด้วยความโลภอย่างไม่เพียงพอ ต้องบอกว่าโหดเหี้ยมอำมหิตด้วย เพราะฉะนั้น...กำลังใจลักษณะอย่างนั้นไม่รอดอบายภูมิแน่ ๆ
ถาม : การที่บาปไม่บาปก็ตาม ถ้าไม่ผิดไปจากศีล ๕ ?
ตอบ : ศีล ๕ ป้องกันแค่กิเลสขั้นหยาบเท่านั้น ขั้นกลางกับขั้นละเอียดป้องกันไม่ได้ ถ้าคุณพิจารณาแค่ศีล ๕ ก็เจ๊ง..!
ถาม : กรณีเลี้ยงไข้ประกอบด้วยความโลภ ความโลภก็คือบาปหรือครับ ?
ตอบ : สภาพจิตที่ประกอบไปด้วยรากเหง้ากิเลสใหญ่อย่างนั้นจะเรียกว่าบาปไหม ?
ถาม : อย่างนี้บาปคืออะไรครับ ?
ตอบ : ความชั่ว
ถาม : มีหมอดูที่ผมรู้จัก เขาบอกว่าถ้าไปแนะนำให้เลิกกับแฟน ไปยุ่งกับกรรมเก่าเขาจะไม่ดี อย่างเราคนธรรมดา เราให้คำปรึกษาคนอื่นที่เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ เราไปยุ่งกับกรรมเก่าเขาไหมครับ แล้วมีกระทบไหมครับ ?
ตอบ : การที่ไปข้องแวะกับผู้อื่น ถือว่าไปยุ่งกับกรรมของเขาอยู่แล้ว ส่วนที่จะซวยมากซวยน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบา
ถาม : แต่ถ้าเราจะแนะนำ เพื่อให้เขาพ้นทุกข์ อย่างนี้ยังถือว่าไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมเก่าเขาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคุณคิดจะแนะนำ ก็อย่าไปสนใจถึงผลกระทบของกรรม
ถาม : ลังเลเรื่องการมีลูกครับ จริง ๆ คือคนเราสามารถเลือกอะไรได้หลายอย่าง เลือกคู่ครองเป็นคนแบบไหนอย่างไรได้ แต่เรื่องลูก เราเลือกไม่ได้ว่าลูกจะมาเกิดแบบไหน จะมีลูกดีหรือไม่ดี ผมควรคิดอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : อยู่ที่การอบรมสั่งสอนของเรา โดยเฉพาะถ้าพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีได้ ลูกก็ดีเอง ถ้าพ่อแม่เป็นตัวอย่างไม่ได้ ก็เป็นเวรเป็นกรรมของทั้งลูกทั้งเรา..!
ถาม : แต่ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาเกิดละครับ ?
ตอบ : เจ้ากรรมนายเวรไม่กลัวไม้ใช่ไหม ? ไม่เปิดโอกาสให้ทวงเสียอย่างจะทำอะไรได้ กูไม่ได้กังวล เจ้ากรรมนายเวรมาจะใช้ให้หัวทิ่มไปเลย...!
ถาม : ปกติผมจะห้อยพระหลายองค์ ถ้าตอนนี้เริ่มเจ็บคอ ทำให้ไม่สามารถห้อยได้เหมือนเดิม แล้วเราอยากจะอาราธนาท่านเสมือนเราห้อยท่านอยู่ตลอดเวลาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ใส่กระเป๋าสะพายไป
ถาม : แต่คราวนี้กระเป๋าอยู่ในระดับเอว จะเหมาะสมหรือไม่ครับ หรือบางทีไว้ในรถ ไว้บนที่นั่ง ?
ตอบ : อย่าคิดมาก
ถาม : ช่วงนี้ไม่รู้อารมณ์เป็นอย่างไร เวลาที่มีคนเขามาพูดกับเราไม่ดี ใจหนึ่งผมก็เมตตา นึกถึงหน้าเขาขึ้นมาแล้วก็เมตตา แต่อีกใจหนึ่งก็เหมือนอยากรบ ให้ตายไปข้างหนึ่ง ?
ตอบ : ชนะเขาแพ้กิเลส ถ้าแพ้เขาชนะกิเลส เลือกเอาก็แล้วกัน
ถาม : ถ้าเรามีกุศโลบายอยากให้คนมาปฏิบัติธรรม โดยเราบอกว่าการปฏิบัติธรรมทำให้เราหน้าตาสดใสอ่อนวัย เพราะว่าเราโทสะน้อยลง เรามีความสามารถทางโลกมากขึ้นเพราะมีสมาธิมากขึ้น เรามีคนรอบกายมากขึ้นเพราะเรามีความดีมากขึ้น และอีกอย่างอื่นอีกมากมาย จะมีผลเสียกับเราไหมครับ ?
ตอบ : เสียเวลา...ทำตัวเองให้ดีคนอื่นเขาก็ตามมาเอง ไม่ต้องทำเป็นโฆษณาชวนเชื่อ
ถาม : เพิ่งรู้ความสำคัญของกล้ามเนื้อและกระดูกกายภาพ ก็เลยนึกถึงท่าที่เราใช้ในการบริหารก็เหมือนกับท่าม้านั่งกำลังภายใน ก็เลยสงสัยว่าหนังจีนกำลังภายในที่เขาสู้กัน มีจริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ดูมากี่เรื่องแล้วล่ะ ?
ถาม : ดูมาเยอะมากครับ ?
ตอบ : ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากความจริง ไม่อย่างนั้นเขาจะแสดงอย่างไร ?
ถาม : การจับภาพพระ คือ มโนมยิทธิหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิ หมายถึง การถอดใจไปยังที่อื่น ๆ การจับภาพพระจะถอดใจไปไหม ?
ถาม : แล้วถ้าในแง่ของการที่เราใช้ในการช่วยระงับกิเลส การจับภาพพระโดยตรงกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะวิธีไหนก็เหมือนกัน สำคัญก็คืออย่าไปคิดปรุงแต่ง อยู่กับภาพพระก็อยู่กับภาพพระ อยู่กับลมหายใจก็อยู่กับลมหายใจ ถอดใจไปท่องเที่ยวภพไหนก็ไป เพียงแต่อย่าไปคิดเพิ่มเติมให้ รัก โลภ โกรธ หลง งอกงามก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น
ถาม : เวลาที่เราถาม การถามคือการวิปัสสนาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : วิปัสสนาคือการเห็นแจ้ง ถามแล้วเห็นอะไร ?
ถาม : ถามเพื่อพิจารณาครับ ?
ตอบ : พิจารณาสังขาร ? พิจารณาว่าอย่างไร ?
ถาม : อย่างถ้าเรากำลังโมโหอยู่ คิดว่าไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ต้องหายไป
ตอบ : แล้วโมโหเกี่ยวอะไรกับคำถาม ?
ถาม : ก็ถามตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังโมโหอยู่ไหม เราก็รู้ว่าเรากำลังโมโหอยู่ครับ
ตอบ : ตูว่าหลงประเด็นแน่เลย คนกำลังโกรธ จิตใจมืดบอด จะเอาปัญญาที่ไหนมาพิจารณา ? มิน่าล่ะ...มารีญาไม่ได้มงกุฎเพราะว่าหลงประเด็นนี่เอง...!
ถาม : เอาใหม่...ที่ผมเข้าใจว่าวิปัสสนา คือ เราต้องนั่งพิจารณาตามคำสอนว่าเป็นอย่างนี้ ๆ แต่ในกรณีที่เกิดอารมณ์โกรธขึ้นกับเรา รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย อารมณ์อะไรทั้งหลายที่เข้ามา ก็ถามตัวเองว่า ให้มันไม่ฟุ้ง อย่างนี้คือวิปัสสนาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่สมถะเท่านั้น เพราะว่าสงบใจตัวเองลง ถ้าจะเป็นวิปัสสนาต้องเห็นแจ้ง รู้จริง เท่าทันและระงับลงได้
ถาม : แล้วจะทำอย่างไรให้เกิดวิปัสสนาครับ ?
ตอบ : ก็มองให้เห็นสิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร ความไม่พอใจเกิดขึ้น เกิดจากอะไร ? ถ้าเขาทำดีทำถูก เราไม่พอใจ เราก็โง่เอง ถ้าเขาทำไม่ดี ทำไม่ถูก เราจะไม่พอใจเขาไปทำไม ? คนโง่ขนาดนั้นน่าโกรธหรือ ? พินิจพิจารณาเสร็จ สภาพจิตของเราก็ผ่องใส ไม่ไปข้องเกี่ยวกับ รัก โลภ โกรธ หลง เหล่านั้น เขาเรียกว่าวิปัสสนา ก็คือเห็นแจ้ง รู้แจ้ง ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะพ้นจากกิเลส ไม่ใช่ว่าทำใจให้สงบ นั่นใช้กำลังสมาธิไปกด ใช้สมาธิเมื่อไรก็คือสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนา
ถาม : แล้วถ้าเรามีความเคยชินกับการใช้สมถะ จะทำให้เป็นวิปัสสนาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณา
ถาม : ลูกเรียนหมออยู่ที่ศิริราชปี ๒ เวลาใกล้จะสอบเขาจะมีอาการเครียด จะเรียนอย่างไรให้จำได้ เวลาจะสอบจะร้องไห้ทุกครั้งค่ะ ?
ตอบ : ธรรมดา...แล้วตะเกียกตะกายไปเรียนทำไม ? เข้าไปก็ต้องสู้ ต่อให้ร้องจนน้ำตาท่วมโลกก็ขอให้จบก็แล้วกัน ถ้าตะกายไปจนปี ๒ ถ้าถอยออกมาหมดไปเท่าไร ? คนอื่น ๑๐ นิ้วเท่ากันทำไมเขาทำได้
มีโอกาสในแต่ละวัน เช้า ๆ เย็น ๆ ก็ทำสมาธิให้มากขึ้น นั่งภาวนาให้มากขึ้น กำลังใจจะได้มั่นคง ถึงเวลาจะได้มีกำลังไปต่อสู้กับอุปสรรคและสิ่งต่าง ๆ ที่โถมเข้ามาในชีวิตของเรา โดยเฉพาะการเรียน
อย่าเอาความหวังคนอื่นมากดดันตัวเอง ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น จะได้ C หรือ D อย่างไรก็ช่างหัวมัน ขอให้จบก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาจบแล้วต้องได้เกียรตินิยมเท่านั้น
ถาม : อ่านอย่างไรก็ไม่จำเจ้าค่ะ จะทำอย่างไร ?
ตอบ : รอบแรกไม่จำก็อ่านรอบที่ ๒ รอบที่ ๒ ไม่จำก็อ่านรอบที่ ๓ อ่านไปจนกว่าจะจำ อะไรที่เป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยชิน โดยเฉพาะศัพท์ทางเทคนิคไม่ใช่เรื่องที่จะจำกันง่าย ๆ
อ่านทวนแล้วทวนอีกไปสัก ๗ - ๘ รอบ ดูว่าจะไม่จำไหม ? แต่ส่วนใหญ่เราอ่านรอบหนึ่งยังไม่จบแล้วก็บอกว่าไม่จำ เจอของยากแล้วไปท้อถอยจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ? ต้องยิ่งยากยิ่งสู้สิ..!
ถาม : เขาเครียดมากค่ะ ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ตั้งความหวังไว้เยอะเกินค่ะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปกดดันตัวเอง เราลองคิดดู สมมติเพื่อนทั้งห้องมี ๔๐ คนแล้วเราสอบได้ที่ ๔๐ ก็คือได้ที่โหล่ ห่วยแตกไม่ได้เรื่องเลย แต่คนอื่นเข้าเรียนหมอได้อย่างเราไหม ? ต่อให้คุณเป็นหางราชสีห์ก็ยังดีกว่าหัวหมาทั่ว ๆ ไป
อาตมาเองเป็นเด็กที่เรียนห้องคิง (King) มาตลอด ต้องต่อสู้กับคนอื่นมาจนซาบซึ้ง บางทีมีที่ ๑ แล้วก็ไปที่ ๘ เพราะว่าคะแนนเท่ากัน ๗ คน แล้วลักษณะอย่างนั้น คนที่ได้ที่ ๘ แพ้เขาแค่นิดเดียวเท่านั้น
เราอยู่กับคนเก่ง คุณภาพของเราอาจจะสู้เขาไม่ได้ แต่เราก็ยังอยู่ในห้องของคนเก่ง เพราะฉะนั้น...เราก็สู้เต็มที่ของเราไป ได้เท่าไรก็ช่าง อย่าไปกดดันตัวเองว่าต้องได้ที่ ๑ เท่านั้น
กลับไปใหม่ ไปหาคาถาท่านปู่พระอินทร์มาท่อง เป็นคาถาช่วยความจำ ไปภาวนาสักวันละชั่วโมง ต่อไปถ้ายังไม่จำอีกก็สมควรตาย..!
นึกว่ามีปัญหาตอนผ่าศพ ที่ไหนได้มีปัญหาตอนเรียนแล้วจำ...ไม่ได้อย่างใจ ไม่ใช่ไม่จำ แต่จำไม่ได้ดั่งใจ
ส่วนใหญ่แล้วคนเราไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงที่เรียน เปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียน ถ้าปรับตัวไม่ทัน ส่วนใหญ่ผลการเรียนจะตกลงชั่วคราว หลังจากที่เราปรับตัวได้จะกลับมาดีเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น...ไม่มีอะไรที่ต้องไปกังวล
อาตมาเองที่สอบได้ที่ ๑ ตลอดชีวิต ตอนจบ ป.๔ ไปเรียน ป.๕ สอบได้ที่ ๔๕ เพราะว่าจากโรงเรียนบ้านนอกต้องไปลุยกับพวกในเมือง แต่ก็หลุดไปอยู่ห้อง ข. แค่ปีเดียว พอทำความคุ้นชินกับข้อสอบ กับเนื้อหาในการเรียนได้ ก็กลับมาอยู่ห้อง ก. แย่งที่ ๑ กลับมาตามเดิม ไม่ใช่ว่าไม่เคยแพ้ แต่แพ้แล้วต้องไม่ถอย
คนเก่งมีมาก แต่คนดีมีน้อย เพราะฉะนั้น...ถึงไอคิวสู้ไม่ได้ ก็อย่าให้อีคิวเจ๊งไปด้วย อย่างน้อย ๆ อีคิวจะประคับประคองเราได้ ไอคิวเป็นความจำโดยส่วนเดียว อีคิวเป็นวุฒิภาวะทางอารมณ์ เป็นตัวควบคุมการแสดงออกทางกาย วาจา ใจของเรา
ถาม : เวลาจับภาพพระ หลับตาลงแล้วภาพพระไม่นิ่งค่ะ เพ่งอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ให้เพ่ง เขาให้มองแล้วก็จำ หลับตาลงนึกถึง ไม่ได้ไปนั่งจ้อง
ถาม : ภาพก็ไม่นิ่งอยู่ดีค่ะ ?
ตอบ : จะนิ่งหรือไม่นิ่งก็ช่าง ขอให้เห็นภาพนั้นก็แล้วกัน
ถาม : ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ต้องให้อาหารทางสายยางค่ะ ?
ตอบ : พยายามหาบทสวดหรือว่าพระเทศน์เปิดให้ท่านฟังบ่อย ๆ โดยเฉพาะตอนให้อาหาร ถึงเวลาเปิดเสียงธรรมะหรือเสียงสวดมนต์ก่อนแล้วค่อยให้อาหาร จนท่านจำว่าเสียงนี้จะได้กิน แล้วท่านจะยึดเสียงนั้นเอง
ถาม : อย่างเรา ๆ คนธรรมดาเราสามารถอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าคุณมีศรัทธาแค่ไหน ? ถ้าศรัทธาปสาทะแน่นแฟ้นมั่นคง สามารถทำได้แน่นอน แบบเดียวกับที่พระยามิลินท์ถามพระนาคเสนว่า คนชั่วสามารถตั้งสัตยาธิษฐานได้ไหม ? พระนาคเสนบอกว่า ถ้าเขาพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตก็สามารถทำได้ ท่านก็เลยเอาหญิงโสเภณีคนหนึ่งให้ไปยืนริมทะเล บอกว่าตั้งสัตยาธิษฐานถึงความเป็นจริงในชีวิตของเธอ แล้วขอให้คลื่นนี้พัดออกกลางทะเลแทนที่จะพัดเข้าหาฝั่ง
หญิงโสเภณีคนนั้นก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า "ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นโสเภณี บุรุษใดนำกหาปณะมาให้ ข้าพเจ้าก็รับเขาเป็นลูกค้าโดยเสมอหน้ากัน ด้วยความสัตย์จริงอันนี้ ขอให้คลื่นอย่าได้พัดเข้าหาฝั่ง ให้พัดออกไปกลางทะเลแทน" ปรากฏว่าคลื่นก็พัดออกกลางทะเลจริง ๆ เราคงไม่แย่ขนาดนั้น ในเมื่อไม่แย่ขนาดนั้นก็น่าจะอธิษฐานได้
ถาม : หมายถึงว่าจริง ๆ แล้วนอกจากศรัทธาแล้วยังเกี่ยวกับว่าเรามีกิเลสมากกิเลสน้อยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช้ศรัทธาอย่างเดียว
ถาม : เราอาราธนามาทำอะไรก็ได้หรือครับ ?
ตอบ : คุณจะทำอะไร ถ้าหากว่านอกศีล นอกธรรมก็เจ๊งอยู่แล้ว
ถาม : ถ้ายึดเกาะสูงสุดคือพระนิพพาน ถ้ายึดเป็นพระพุทธเจ้าหรือสมเด็จองค์ปฐม ทั้งสามอย่างสูงสุดเหมือนกัน สามารถนึกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำไมคุณไม่คิดว่าพระองค์ท่านอยู่บนพระนิพพาน ดันทะลึ่งไปแยกออกก็ขาดทุน คิดว่าพระองค์ท่านอยู่บนพระนิพพาน เราเกาะพระองค์ท่านก็เท่ากับเกาะพระนิพพานด้วย
ถาม : มีหลายจักรวาล หลายชุด ๆ ของพระพุทธเจ้า หลายแดนพระนิพพานหรือเปล่าครับ หรือมีชุดเดียว ?
ตอบ : มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพียงแต่ว่าท่านจะไปปรากฏในจักรวาลไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม : ถ้าเราอธิษฐานว่าเราจะไม่ทำความชั่วใหญ่ ๆ ทั้งชาตินี้ชาติหน้า เราทำได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่จะรักษาคำอธิษฐานได้ไหมอยู่ที่สัจจบารมีด้วย
ถาม : การทำศัลยกรรมเป็นการฝืนกฎของกรรมไหมครับ เช่น คางทำให้บางลง จมูกใหญ่ทำให้เล็กขึ้น ?
ตอบ : ทำไปเถอะ สมมติว่าตอนแรกของเราหน้าตามาห่วยแตก แล้วเราก็ไปซ่อมพระ อานิสงส์ตามมาทันพอดีก็เลยได้ศัลยกรรมตัวเอง คุณจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่ใช่บุญเก่าที่ทำให้เขาต้องไปศัลยกรรม ?
ถาม : สมาธิละเอียดคืออะไรครับ สติตามทันหรืออะไรครับ ?
ตอบ : สมาธิละเอียดก็คือสมาธิที่ทรงตัว อย่างน้อยก็ภาวนาเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปบังคับ
ถาม : ถ้าเราตั้งอธิษฐานให้ภาพพระตั้งอยู่ตลอดเวลา อย่างเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อธิษฐานได้ ส่วนจะรักษาได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม : พระพรหมที่จะสร้างองค์นี้ ตามทัศนะของท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา อยากจะทำก็ทำ เพียงแต่ว่าฐานน่าจะทำให้สูงกว่านี้อีกหน่อย อาจจะต้องสูงระดับสายตาของเราเลย เฉพาะฐานที่อยากให้สูง เพราะว่าบิดาแห่งพรหมทั้งปวงพูดง่าย ๆ ว่าท่านเป็นพระอรหัตตมรรค จะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว
พูดถึงประเทศญี่ปุ่น "สิ่งที่ฝึกฝนให้เขาเป็นเขามาทุกวันนี้ ก็คือหลักบูชิโดคือจริยะแห่งการต่อสู้ กับหลักของเซน เอาสองอย่างมาผสานกันได้ เจ้าที่ซึ่งตามดูแล เขาฝึกเพลงดาบจนกระทั่งสามารถรู้ทั้งตัวเอง รู้ทั้งคู่ต่อสู้ได้"
ถาม : ต้องระดับฌาน ๔ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่อย่างน้อยต้องได้ฌาน ๑ ละเอียด ทำจนสมาธิเกิด ทุ่มเทให้จนเกิดสมาธิ ไปนึกถึงในเรื่องเทพมารสะท้านภพ ที่พระเอกรักนางเอกแต่ไม่ได้แต่งงานด้วยกัน เลยทุ่มเทความรักไปในทางฝึกกระบี่แทน จนกลายเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน
การเอากำลังใจเท่าที่รักเขาไปฝึก เหมือนอย่างกับที่อาตมาบอกว่า ถ้าเราอดข้าวได้ เราก็รักษาศีลทุกข้อได้ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามปากของเรา เท่ากับกำลังใจในการห้ามไม่ให้ละเมิดศีลทุกข้อ หลักการเดียวกัน เหมือนกัน ต้องทำจริง ๆ ทุ่มเทจริง ๆ จึงจะประสบความสำเร็จ
ถาม :พวกที่ระดับเดาทางคู่ต่อสู้ได้ เขาฝึกจนเป็นฌานใช้งานหรือคะ ?
ตอบ : มีหลายอย่างด้วยกัน แต่ว่าต่ำสุดต้องรู้การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ล่วงหน้า ระดับเจโตปริยญาณเลยนะ
ญี่ปุ่นทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับส่วนรวม ต้องบอกว่าด้วยความรักศักดิ์ศรี และท้ายสุดต้องกอบกู้ตัวเองจากสงคราม เขาก็เลยต้องทุ่มเททุกอย่าง ปัจจุบันญี่ปุ่นอยู่ในระดับที่เรียกว่า ถ้าไม่ถอยก็ไม่แพ้ใคร แต่อิสราเอลนั่นไม่ใช่ อิสราเอลมีศัตรูรายล้อม ถ้าถอยก็ตาย..!
ถาม :เขาเลยต้องทุ่มเท ?
ตอบ :ถ้าไม่ทุ่มเทก็อยู่ไม่ได้ รอบข้างจ้องจะขย้ำทั้งนั้น
ถาม : มีคนบอกว่าประเทศไทยที่เราคุณภาพไม่ดี เพราะเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของเขา ?
ตอบ : ไม่ใช่...อยู่ที่สันดานขี้ข้า..! แย่ยิ่งกว่าเป็นเมืองขึ้นอีก คือยอมอ่อนน้อมต่อผู้มีอิทธิพลตลอด เราอาศัยพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลมาตลอด ก็เลยไม่คิดที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เป็นระบบอุปถัมภ์มาตั้งแต่อดีต ประเภทเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เลิกทาสมานานตั้งเท่าไรแล้ว เรายังวิ่งไปอยู่ใต้อุ้งตีนทหาร...!
ถาม : ใครมีอำนาจก็ไปยกย่อง ?
ตอบ : ก็ไปประจบ
ถาม : เพื่อนบ้านเรามีแต่เมืองขึ้น เขานำหน้าไปแล้ว ?
ตอบ : ตอนนี้รอบบ้านแซงเราหมดแล้ว เราจากเสือตัวที่ ๕ ของเอเชียกลายเป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียน แล้วยังมาเจอรัฐบาลที่จ้องเล่นงานแต่พระอีก อย่างดีอาตมาก็แค่ย้ายไปอยู่วัดที่พม่า อุตส่าห์สร้างไว้ตั้งนานแล้ว
ถาม : พ่อแม่ของเพื่อนอายุ ๙๐ กว่าปี นอนหลับตายทั้งคู่ อย่างนี้ถือว่าดีหรือไม่ดีคะ ? และเขาแก่แล้วจะคิดถึงพระนิพพานได้อย่างไร ?
ตอบ : ดีหรือไม่ดีบอกไม่ได้ เพราะว่าอยู่ที่จิตสุดท้ายของเขาว่าเกาะอะไร ส่วนเรื่องการคิดถึงพระนิพพานนั้น ถ้าหากไม่ใช่คนที่ฝึกฝนจนถึงระดับจริง ๆ ก็ยากนักที่จะคิดได้
ถาม : ยากที่จะคิดได้ ?
ตอบ : ยากสุด ๆ พระนิพพานเป็นส่วนของการพ้นเกิด พ้นตาย เป็นส่วนของโลกุตระ เหนือจากโลกทั่ว ๆ ไป สภาพจิตที่คุ้นชินกับโลกในระดับต่าง ๆ โอกาสที่จะเกาะพระนิพพานที่เหนือโลกจึงยากเย็นแสนเข็ญ
ถาม : ถ้าคนอยู่ข้าง ๆ พูดคำว่า "นิพพาน ๆ ๆ ๆ" กรอกหูคนใกล้ตายจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าสภาพจิตที่ไม่ได้ฝึกมาจนชิน แม้เข้าใจคำว่า "พระนิพพาน" ก็ไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร กำลังใจที่จะไปพระนิพพานต้องปล่อยวางหมดทุกอย่าง ดีไม่ดีคำพูดกรอกหู อาจทำให้เขายึดเสียด้วยซ้ำ เหมือนคนที่บอกว่าจะไปเชียงใหม่ แต่ยืนกอดเสา แล้วจะไปได้อย่างไร ? แต่ให้เขาพูดกรอกหูเอาไว้เถอะ อย่างน้อย ๆ เขาจะได้ไปในที่ดี ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานเจ้าคณะอำเภอชนแดนโดนจับสึกเข้าห้องขังไปแล้ว เรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่คิด เพียงแต่ว่าคนมองเกมออกก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เพราะว่าถ้าช่วยเหลือก็เป็นการปกป้องพวกเดียวกัน เขาจะถือว่ามหาเถรสมาคมเป็นองค์กรที่ใช้ไม่ได้ เห็นแก่พวกแก่พ้อง
อย่าลืมว่าพระครูกิตติพัชรคุณท่านเป็นตัวเล็กที่สุดในคดีเงินทอน คราวนี้พอเริ่มตรงนั้นแล้วไม่มีใครกล้าขยับ เขาก็จะก้าวขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะว่าในชุดแรกนั้นมีท่านเจ้าคุณประเทือง (พระเทพเสนาบดี) เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ที่ถือว่าเป็นเจ้าคณะจังหวัดรุ่นใหม่มาแรงที่สุด แล้วมีท่านเจ้าคุณบุญเทียม (พระราชรัตนมุนี) เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ถ้าขยับขึ้นมาถึงสองรายนี้ ใครขยับตามคนนั้นโดน กลายเป็นหมากรุกฆาต ปกป้องพวกเดียวกันก็ปกป้องไม่ได้ แต่ถ้าไม่ปกป้องพวกเดียวกัน เขาก็รุกคืบหน้ามาเรื่อย ๆ
เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่ความผิดของพระ เพราะว่าสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นพี่เลี้ยงของพระ มีหน้าที่แนะนำว่าพระต้องทำอย่างไรจึงจะถูกระเบียบถูกกฎหมาย แล้วเงินที่หายก็หายไปในสำนักพุทธฯ ทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าเขาเอาเรื่องนี้มาเล่นงานพระ แล้วก็ไม่มีใครกล้าออกมาพูด เพราะว่าล้วนแต่มีแผลทั้งนั้น
ตอนนี้วัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ โดนเขาขึ้นบัญชีไว้เยอะแยะไปหมด ถ้าเขารุกคืบหน้ามาถึงพระเทพเสนาบดีหรือพระราชรัตนมุนีได้ จะขยับไปใหญ่กว่านั้น หมากนี้เดินลึกมากชนิดที่มองไม่เห็น ส่วนคนมองเห็นก็ไม่กล้าทำอะไร"
"ในประเทศอื่น ศาสนาอื่น ใช้วิธีการสงครามยึดบ้านยึดเมือง แต่ในประเทศเรา เขาใช้วิธีออกกฎหมาย แล้วเอากฎหมายมาเล่นงานเรา เพราะฉะนั้นแง่มุมอะไรที่ผิดกฎหมายแม้แต่นิดเดียวก็โดนหมด
ถ้าเราสังเกตดูในช่วงที่ผ่านมา ในเรื่องของการปรองดองและสมานฉันท์ ฝ่ายหนึ่งทำอะไรไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ผิดหมด โดนตัดสินคดีเข้าคุกอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคดีใหญ่โตแทบจะล้นฟ้า ไม่ได้รับการพิจารณาแม้แต่เรื่องเดียว เราเห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าเรื่องกฎหมายเขาเอาไว้เล่นงานคนฝ่ายตรงข้าม
การที่จะยึดประเทศไทยได้ต้องทำลายสถาบันศาสนา ซึ่งก็เห็น ๆ อยู่ว่าโดนเบี่ยงประเด็นจากความผิดของพวกฆราวาสที่กินเงินพระ กลายเป็นพระผิด จะว่าไปแล้วถ้าคนเราไม่มีแผล ก็ไม่ต้องหวาดกลัว แต่คราวนี้ส่วนใหญ่มีแผลทั้งนั้น เลยกลายเป็นอะไรที่วางตัวยาก ขยับลำบาก พูดง่าย ๆ ว่าขยับไปทางไหนก็โดนไปหมด"
"พวกเขาทำกันเป็นขบวนการ ถ้าเราพูดไปก็จะมีคนอ้างวาทกรรมว่าเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด คือคิดอย่างไรก็สมเหตุสมผล แต่เขาทำจริง ๆ ดูอย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำไม่มีความผิด ศาลตัดสินยกฟ้อง แต่ไม่มีใครแก้ข่าว แต่ท่านเละไปแล้ว กลายเป็นท่านมีมลทินติดตัวไปตลอดชีวิต ทั้งที่ศาลตัดสินว่าไม่มีความผิดเลย
ขบวนการทั้งหลายเหล่านี้ช่วยกันกระหน่ำซ้ำเติม แต่ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ เขาจะไม่พูดถึง จะไปรอกฎของกรรมเล่นงานก็ต้องรอจนเขาตาย รู้สึกว่าจะต้องทำใจ
ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ รถยนต์ที่ซื้อมาเป็นรถหนีภาษี ซึ่งศาลตัดสินชัดเจนว่าถ้าคุณซื้อของหนีภาษีมาหนึ่งชิ้น ความผิดอยู่ที่คุณ หรืออยู่ที่คนขาย ? ถ้าคนไม่เอาของชิ้นนั้นมาขาย คุณจะไปซื้อจากไหน ? ศาลก็เลยยกฟ้อง แต่เมื่อยกฟ้องแล้ว ก็ไม่มีการแก้ข่าว พูดง่าย ๆ ว่า เล่นงานไปแล้ว ได้ผลตามความปรารถนาไปแล้ว ทำลายความเชื่อถือในท่านไปแล้ว
แล้วมีบอกไหมว่าทำไมยกฟ้อง ? มีบอกไหมว่าทำไมท่านไม่ผิด ? ดีที่ท่านเมตตามากบอกว่าอย่าไปเอาเรื่องเอาราวเขา เพราะเรื่องแบบนี้ปกติแล้วฟ้องกลับได้ หมิ่นประมาทต่อสาธารณชน ไปนึกถึงที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านไปวางรากฐานในต่างประเทศเอาไว้ ท่านบอกไว้ชัด ๆ เลยว่า ถ้าศาสนาพุทธในบ้านเราอยู่ไม่ได้ จะได้มีที่ให้เราไปกันได้ นั่นคือการมองเห็น วิสัยทัศน์ที่ยาวไกลเกินกว่าปกติชนจะเห็นได้ ถ้าไม่ได้พระระดับนั้น ก็ไม่มีทางหรอกที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
คุยกับพระ "ผมไปสร้างวัดที่พม่า ๒๐ กว่าปีแล้ว อย่างไรผมมีวัดอยู่แน่ โดยเฉพาะพม่าเขาต่อต้านอิสลามสุดชีวิตอยู่แล้ว ศาสนาอื่นจะมาหือไม่ได้ ดูอย่างญี่ปุ่น คุณนับถืออิสลามได้แต่ห้ามมีศาสนาพิธี ห้ามมีศาสนาสถาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดวังปะโท่เลยทองผาภูมิไป ๒๒ กิโลเมตร แต่ถ้าทำดี ๆ วัดไม่ขี้เหร่หรอก เขามีหลวงพ่อตะเคียนทองอายุหลายร้อยปี แกะสลักจากตะเคียนทองทั้งต้น สามารถทำเป็นแหล่งเที่ยวได้
เป็นวัดอดีตเจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี สมัยก่อนที่จะสร้างเขื่อน ถ้าจะขึ้นไปสังขละบุรีต้องผ่านวังปะโท่ขึ้นไป แต่ปัจจุบันถนนที่ผ่านหน้าวัดท่าขนุนเป็นถนนตัดใหม่ เขาจึงไปทางนี้ ถ้าถนนสายเก่าจมอยู่ในน้ำเกือบหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า “สีผึ้งหลวงพ่อทาบ ไม่รู้ท่านใช้สูตรอะไร อาจจะเป็นว่านยาตัวนั้น ทำให้สีผึ้งแข็งเป็นหินเลย วันก่อนลองทำให้ละลายดู ละลายอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ท้ายสุดเอาเข้าไมโครเวฟเลย ตากแดดไม่ละลาย ใช้น้ำร้อนไม่ละลาย เข้าไมโครเวฟหมดเรื่องหมดราวไปเลย ละลายก็จริงแต่พอถึงเวลาเย็นตัวก็แข็งเป็นหินเหมือนเดิม
ที่ทำละลายเพราะสีผึ้งที่ได้มาเป็นตลับดั้งเดิม ซึ่งเขามีตะกรุดสาริกาอยู่ ๒ ดอกกับพระนางกวักองค์หนึ่ง อาตมาจะเอาพระออกมาแล้วจะได้แบ่งสีผึ้งให้เขา ปรากฏว่าพอเอาพระออกมาพักเดียวสีผึ้งก็แข็งเป็นหินเหมือนเดิม ต้องใช้มีดมาค่อย ๆ แซะเอา”
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนเมืองน่าสงสาร น่าสงสารตรงที่ว่า ถ้าสาธารณูปโภคมีปัญหาก็จะเดือดร้อนกันหมด คนต่างจังหวัดอย่างอาตมาไม่มีปัญหา เพราะว่าแม่น้ำอยู่หลังวัด ตอนนี้เขาวัดคุณภาพน้ำทุกเดือน เหตุที่ต้องวัดคุณภาพน้ำทุกเดือน เพราะว่าทางด้านเทศบาลเขาใช้น้ำไปทำประปา
พอถึงช่วงเวลาปล่อยน้ำจากเขื่อนได้สักครึ่งชั่วโมง ทางเทศบาลก็จะเริ่มสูบ ก็คือให้น้ำใหม่ไล่น้ำเก่าไปก่อน แล้วน้ำใหม่หน้าเขื่อนส่วนใหญ่บางทีก็มีฟองน้ำหรือขยะอยู่ ต้องบอกว่าเทศบาลทำงานรอบคอบมาก โดยเฉพาะครั้งแรกเห็นโรงสูบน้ำ เป็นบันไดลงไปเฉย ๆ เดินบิณฑบาตครั้งต่อมาปรากฏว่ามีประตูเรียบร้อยแล้ว ป้องกันคนไปรบกวน เกิดมีใครเอาสลอดใส่ลงไปก็ได้ท้องร่วงกันหมดทั้งอำเภอ
คนกรุงเทพฯ ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ถ้าสาธารณูปโภคหรือข้าวของไม่สามารถส่งถึงได้นี่ลำบากเลย ไปนึกถึงปี ๒๕๕๔ ข้าวของในห้างสรรพสินค้าหมดเกลี้ยงไม่เหลืออะไรเลย นอกจากชั้นเปล่า ๆ วาง นั่นคือลักษณะของการขาดแคลน เพราะว่าเส้นทางเข้ากรุงเทพ ฯ โดนน้ำตัดขาดหมด เหลือทางด้านพระราม ๒ เส้นเดียว ยังโชคดีที่เป็นด้านพระราม ๒ เพราะว่าอาหารทะเลยังเข้ามาได้"
ถาม : (พระถามเรื่องนิมิต)
ตอบ : เรื่องของนิมิตบางทีก็เป็นการทดสอบกำลังใจ แกล้งให้เราหลงทิศหลงทาง นิมิตที่เกิดขึ้นบางทีอยู่ในลักษณะมาทดสอบว่า เราเองลืมคำสั่งครูบาอาจารย์หรือเปล่า ? มีความมั่นคงต่อสัจจบารมีเราแค่ไหน ? สำหรับผมเองไม่ค่อยเอานิมิตมาเป็นอารมณ์หรอกครับ ถ้ามาออกคำสั่งกันเป็นตัวตนชัด ๆ อย่างนั้นค่อยเอามาพิจารณา
พระอาจารย์กล่าวว่า “ไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้ ผู้ที่อำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยวให้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ก็คือท่านพลเอกฮิเดกิ โตโจ ถามท่านว่า คุณเป็นอาชญากรสงครามไม่ใช่หรือ ? ตายแล้วไปดีได้อย่างไร ? ท่านบอกว่า “ตามประวัติผมฆ่าตัวตายนะครับ” ก็เลยถามว่าแล้วฆ่าตัวตายเกี่ยวอะไรกับไปดี ? ท่านบอกว่า “คนที่กำลังใจไม่หวั่นไหวแม้แต่ความตาย ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวจะทำไม่ได้ครับ” อาตมาก็ต้องยอมท่าน สรุปว่าบรรดาเสือสงครามโลกทั้งหมดมีท่านที่ไปดีที่สุด คนอื่นลงไปแช่ออนเซ็นมาแล้วทั้งนั้น...!
แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือ ผู้รักษาความปลอดภัยเป็นซามูไรยุคเก่า ๒ วันแรกยังไม่ได้คุยอะไรกัน พอวันที่ ๓ มีเวลาก็เลยเรียกมาคุย ถามว่าชื่ออะไร ? ท่านบอกว่าชื่อเบ็นโนะสึเกะ ถามว่าทำอะไรถึงมาเป็นเทวดาได้ ? ท่านบอกว่าฝึกวิถีซามูไรจนกระทั่งสามารถรู้เขารู้เรา รู้ว่าแม้กระทั่งว่าคู่ต่อสู้จะมาอย่างไร ลักษณะนั้นเป็นเจโตปริยญาณเลยนะ
ถามท่านว่า แล้วคุณตายในการรบครั้งไหน ? ท่านบอกว่าไม่เคยแพ้ใคร อาตมาก็สะดุ้งเฮือก บอกว่าไม่เคยแพ้ใคร ที่ได้ยินมามีคนเดียวก็คือปรมาจารย์ห้าห่วงมุซาชิ ท่านก็เลยบอกว่า “ผมคือยามาโมะโตะ เบ็นโนะสึเกะ คนรุ่นหลังเขาเรียกผมว่า มุซาชิครับ” ท่านบอกชื่อเดิม ไม่ยอมบอกชื่อใหม่
ถามว่า คุณทำได้ขนาดนั้นทำไมมาเป็นลูกน้องของโอจิซัง (ท่านนายพลฮิเดกิ) ? ท่านบอกว่า “ผมป่วยนานครับ สมาธิคลายตัวหมด” น่าเสียดาย...ก่อนตายท่านป่วยนาน สภาพสังขารที่โดนกัดกร่อนด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้หลุดจากสมาธิ เลยไปได้แค่ชั้นจาตุมหาราช อาตมาก็รู้จักแต่มุซาชิ ที่ไหนได้ ท่านบอกว่าเป็นชื่อใหม่ เกิดมาชื่อเบ็นโนะสึเกะ มีธรรมเนียมประเภทตั้งชื่อใหม่เหมือนกัน"
"ครั้งที่แล้วไป มีทิดเต้ย ทิดฝุ่น คุณอรรณพถวายเงินเยนให้ติดตัวไปหมื่นกว่าเยน กลับมามีอยู่สามหมื่นกว่าเยน..! ตูก็ว่าตูใช้เยอะนะ งวดนี้ยังไม่ทันจะไปอเมริกาตามที่เขานิมนต์ ธนบัตรดอลลาร์มาเพียบเลย
ที่ไปส่วนใหญ่ไปดูกิจการของวัดเพื่อที่จะเอามาใช้งานที่บ้านเรา แล้วก็เอามาสอนนักศึกษา เพราะว่าจะต้องสอนเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งทางตะวันออกและตะวันตก แต่ละประเทศควรที่จะมีข้อมูลใหม่ล่าสุดของเขา ก็เลยไปดูแต่วัด แทบจะไม่ได้ไปที่อื่นเลย
คราวนี้ในส่วนที่ไปก็วัดเกินร้อยละ ๘๐ ไม่เก็บเงิน หมายความว่าไม่เก็บเงินพระนะ พอถึงเวลาจะไปซื้อตั๋วเขาบอก "โอโบะซัง มูเรียวไดสึ" ก็คือเป็นพระภิกษุไม่ต้องจ่าย ประหยัดไปได้เยอะเลย เพราะว่าแต่ละวัดนี่ ค่าเข้าชม ๕๐๐ เยนเป็นอย่างต่ำ แล้วถ้าจะเข้าพิพิธภัณฑ์วัดก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก
ที่ญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นได้ทุกวันนี้เพราะวิถีนักรบที่เขาเรียกว่าบูชิโด กับพระพุทธศาสนา สองอย่างหลอมรวมกันขึ้นมาทำให้เขาเป็นบุคคลที่ไม่เหมือนใคร มีความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ว่าจริงจังกับทุกเรื่องในชีวิต ทำอะไรทุ่มเทด้วยชีวิตเลย ทั่วโลกคนทำงานมีแต่ต้องการชั่วโมงทำงานน้อย ๆ แต่ญี่ปุ่นรัฐบาลต้องบังคับให้ทำงานน้อยลง แล้วเขาออกกำลังโดยธรรมชาติก็คือเดิน แต่ละวัดที่อาตมาไปเดินกันขาลากจริง ๆ ญี่ปุ่นพื้นที่น้อยก็จริง แต่วัดของเขาแต่ละวัดพื้นที่กว้างขวางมาก แล้วดูแลรักษาได้สะอาด สงบ ร่มรื่นน่าอยู่ ประทับใจมาก"
"ไปถึงยังทึ่งว่าทำไมวัดเขาใหญ่ขนาดนี้ ? ไหนบอกว่าไม่ค่อยมีพื้นที่ คงจะเหมือนกับประเทศของเรา ที่เขาบอกว่าที่ไหนสวย ๆ ไม่พระหรือรีสอร์ทยึดไปหมด เพราะว่าพระก็มักจะไปหาที่ซึ่งเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมไว้ก่อน พอถึงเวลาสร้างเป็นวัดขึ้นมา ดูแลรักษาดี ขออนุญาตตั้งเป็นวัดได้ ก็กลายเป็นพื้นที่วัดไปหมด
แต่ว่าภูมิใจอยู่อย่างเดียวขณะที่ไปสวนหินเซน อาตมานับหินได้ครบ ขณะที่คนอื่นนับให้ตายก็ไม่ครบ เขาไปนั่งเฝ้าเลยว่าทำอย่างไรจะนับให้ครบ ต้องบอกว่าสายตาที่ดูวัตถุมงคลแล้วรู้ตำหนิ กับหินก้อนเบ้อเร่อจะดูไม่ออกเชียวหรือ ? แต่ก็เหลือเชื่อจริง ๆ หินแค่ไม่กี่ก้อนเรียกนักท่องเที่ยวได้ขนาดนั้น พื้นที่ก็ไม่ได้กว้างหรอก เขาทำเป็นสวนหิน แล้วเขาก็ไปนั่งจ้องกันเป็นแถว ดูเขาแล้วนิ่งมากเลย พยายามจะหาสัจจธรรมจากก้อนหินตรงหน้าให้ได้
อาตมาเองไม่ต้องเสียเวลาเลย หินก็ค่อย ๆ เปื่อย ค่อย ๆ ผุ อยู่นั่นแหละ การที่คงสภาพอยู่ไม่ได้คืออนัตตา การที่ต้องทนกับความเสื่อมสลายคือความทุกข์ ขณะที่เสื่อมสลายก็คืออนิจจัง ชัด ๆ อยู่แล้ว แต่เขาก็ไปนั่งจ้องกันอยู่ได้ทั้งวัน"
ถาม : คนญี่ปุ่น เขาบำรุงพระศาสนา วัดมีพื้นที่ใหญ่โต ดูแลวัดอย่างดี ทำไมไม่รักษาศีลห้า โดยเฉพาะข้อปาณาติบาต ให้เคร่ง ยังนิยมกินสัตว์ทะเลเป็น ๆ อยู่ ?
ตอบ :ญี่ปุ่นถูกจำกัดด้วยทรัพยากร ไม่ฆ่าก็ไม่มีกิน เพราะว่าทะเลล้อมรอบอยู่ ไปแล้วจึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วญี่ปุ่นอัตคัดขัดสนมาก ถ้าไม่มีทะเลกับไม่มีของจากต่างประเทศส่งเข้าไปนี่ตายเลย พื้นที่เพาะปลูกมีน้อยมาก อาชีพชาวนาเป็นอาชีพที่ค่าตัวแพงที่สุด รัฐบาลต้องขอร้องให้ทำนา ตั้งเงินเดือนสูง ๆ เป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก
ที่ไม่อยากไปญี่ปุ่นเพราะว่ามีเจ้าหนี้มาก เคยไปกวาดเขาหมดเมืองเลย สรุปว่างวดนี้ไปตกลงอโหสิกรรมกันได้ เขาขอบุญปล่อยสัตว์ของอาตมาตลอด ๓๒ ปีที่ผ่านมา ก็ต้องให้เขา ไม่อย่างนั้นแล้วปราสาทฮิเมจิอาตมาจะเข้าไม่ได้ โหดมากเลยใช่ไหม ? คนอื่นเขาไม่รู้ว่าอาตมาทุกข์ทรมานแค่ไหนกว่าจะเดินได้สักเมตรหนึ่ง ท้ายสุดก็เลยต้องตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร ?"
ถาม : เขามาขวางหรือคะ ?
ตอบ : กำลังที่เขาดันออกมากดอาตมาเอาไว้แทบจะกระดิกไม่ได้เลย เขาอาศัยหมู่มากเข้าว่า เหมือนกับที่พระราชมณเฑียรทองที่มัณฑะเลย์ แรงที่ผลักออกมาอย่างกับต้องเดินฝ่าน้ำตกเข้าไปเลย
ถาม : เวลาเนิ่นนานขนาดนั้นแล้ว ทำไมเขาไม่ไปเกิด ?
ตอบ : อันดับแรกคือบุคคลที่มีเวรมีกรรมกันมา อันดับที่ ๒ กำลังใจที่ยังยึดมั่นต่อหน้าที่ แม้ตายแล้วเขายังไปไหนไม่ได้ แบบเดียวกับพวกที่เฝ้าขุมทองญี่ปุ่นที่กาญจนบุรี อาตมาบอกว่า "ญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้ว" พูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เขาบอกว่า "ยึดไปตั้งครึ่งโลก แค่ ๒-๓ วันจะแพ้ได้อย่างไร ?" คือในโลกของเขาผ่านไปแค่ ๒-๓ วัน เขาไปยึดเกาะอยู่กับหน้าที่อะไรของเขา พูดง่าย ๆ ว่าเขาไปมัดตัวเองเอาไว้ เลยไปไหนไม่ได้
ประการที่ ๒ ที่ไม่อยากไปญี่ปุ่นเพราะของแพงเหลือใจ กินชานมหนึ่งถ้วย ๕๐๐ เยน โอ๊ย...จะเป็นลม ลองนึกดูว่า ๑๐๐ เยนเท่ากับ ๓๐ บาท ชานมถ้วยแค่พอ ๆ กับกาแฟสตาร์บัคส์
แต่ว่าของเขานี่เครื่องอำนวยความสะดวกเหลือล้นจริง ๆ เลย ไปไหนก็มีแต่ตู้หยอด จะเอาน้ำ จะเอาชา จะเอาอะไร มีทั้งร้อนเย็น แล้วที่อำนวยความสะดวกได้ดีมาก ก็คือจะใส่ธนบัตรใส่เหรียญใส่เกิน เขามีทอนให้ทั้งนั้นแหละ แต่อาตมาชอบชาร้อนเขานะ พวกชาเขียว
ขวดหล่นมาตอนแรกไม่นึกว่าจะร้อนได้ขนาดนั้น ร้อนเกือบ ๖๐ องศาเห็นจะได้ คืออากาศบ้านเขาเย็น ต้องมีของร้อน โดยเฉพาะโถส้วมนั่งสบายอย่าบอกใครเลย เขาอุ่นโถส้วมให้ อาตมาก็สงสัยว่าทำไมต้องเปิดสวิทซ์ไฟอีกอันหนึ่ง อ๋อ...เป็นสวิทช์สำหรับก๊อกน้ำกับโถส้วม ถ้าไม่เปิดก็เย็นเฉียบ
ที่ไปนอนคืนแรกเป็นอพาตร์เมนท์แบบญี่ปุ่น ห้องแคบ ๆ ฟูกสั้น ๆ ผ้าห่มสั้น ๆ อาตมาก็ขายาว ใส่ถุงเท้าแล้วเท้าโผล่ออกไป หนาวอย่าบอกใครเลย อากาศแค่ ๙ องศาเซลเซียส ท้ายสุดก็เลยต้องโวยวาย บอกท่านผู้ดูแลให้ช่วยหน่อย "ตูไม่ใช่คนญี่ปุ่นโว้ย จะหนาวตายอยู่แล้ว" ท้ายสุดเลยนอนสบาย อุ่นเหมือนกับอยู่ที่วัด
คนที่นั่นเขาเป็นคนตรงต่อเวลามาก ๆ เลย นัดอะไรไม่เคยพลาดเลย มีแต่ก่อนไม่มีหลัง โดยเฉพาะรถตู้ เจ้าประคุณมาก่อนหนึ่งชั่วโมง อาตมาก็รอว่าตรงเวลาแล้วจะลงไป ที่ไหนได้...ลงไปเขาบอกว่ามารออยู่ก่อนหนึ่งชั่วโมงแล้ว
แต่อย่าไปเช่ารถที่ญี่ปุ่นนะ แพงสุด ๆ บ้านเราวันละ ๑,๕๐๐ บาท ค่าน้ำมันต่างหาก สำหรับรถตู้ของเขาวันละ ๓๕,๐๐๐ บาทไทย ไปอยู่ ๕ วันโยมจ่ายค่ารถตู้ไปแสนกว่าบาท ถ้าเป็นพวกเราจะกล้าเช่าไปไหม ? ไปแล้วแม้ว่าจะได้ประโยชน์หลาย ๆ อย่าง แต่ว่าสงสารโยม ไปแล้วทำให้โยมเขาสิ้นเปลืองมาก ก็เลยไม่อยากจะไปอีก
อย่างที่ครอบครัวคุณลือชัย นิยมชาติ นิมนต์ไปอเมริกาก็เหมือนกัน ตอนแรกกำหนดมาเกือบ ๓๐ วัน แล้วนั่งเครื่องบินภายในประเทศตลอดเลย คุณลองคิดดูว่าเขาจะต้องจ่ายเท่าไร ? ท้ายสุดก็เลยบอกว่าพยายามบีบลงมาอย่าให้เกิน ๑๐ วัน ไม่ใช่ว่ามีโยมจ่ายแล้วเราจะฉวยโอกาสไปถลุงเขา ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงชวนไปอาตมายังไม่ไปเลย กลัวว่าจะทำงานไม่คุ้มกับค่าเครื่องบิน
คิดดูว่า ๕ วัน ที่ญี่ปุ่น เฉพาะค่าเช่ารถตู้หมดไปแสนกว่าบาท โยมเขาก็กล้าเช่า อาตมาได้ยินนี่ใจหายแวบเลย ตอนแรกไม่รู้หรอก แอบถามคนขับว่าค่ารถวันละเท่าไร เขาบอกว่าวันละ ๓๕,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ ๓๕,๐๐๐ เยนนะ ๓๕,๐๐๐ บาท แล้วยังมีทิปอีกต่างหาก
ที่ชอบใจที่สุดคือด่านเก็บเงินทางด่วนเขา ถ้าเป็นบ้านเรานี่รถติดยันเชียงรายเลย..! ไปถึงก็ “สวัสดีครับ ๑,๖๓๐ เยนครับ มีแบงค์ย่อยไหมครับ ? ขอหน่อยครับ ขอบคุณมากครับ ผมรับมาแค่นี้ ทอนแค่นี้นะครับ โอกาสหน้าเจอกันใหม่นะครับ” โห...ทำไมมีเวลาคุยได้ขนาดนั้น เฮ้อ...เหนื่อยใจ
ถาม : มีช่องอัตโนมัติเหมือนบ้านเราไหมครับ ?
ตอบ : มีช่องอัตโนมัติ แต่เขาไม่ค่อยใช้กัน เพราะว่าเขาเป็นสังคมคนสูงอายุ บรรดาคุณลุงคุณตามาทำงานกันทั้งนั้น อย่าไปคิดว่าเขาแก่นะ เดินเร็วมากเลย โดยเฉพาะตามสถานีรถไฟฟ้า เราเดินช้าจะโดนชนจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเดินเร็วจนเราต้องวิ่งตามอย่างเดียว ถึงเวลารีบด่วนเขาวิ่งอีกด้วย กลายเป็นว่าเขาออกกำลังหนักอยู่ทุกวัน
ที่ชอบยิ่งกว่านั้นก็คือห้องสูบบุหรี่ มีแต่ห้องเปล่า ๆ ไม่ให้นั่ง ให้ไปยืนอัดกันเอง จะได้รีบ ๆ สูบ บ้านเรา แหม...เบาะหนังอย่างดีเลย ไปถึงก็นั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ บ้านเขาเป็นห้องเปล่า ๆ ใครติดบุหรี่อยู่ที่ญี่ปุ่นนี่เดินสาหัสเลยนะ กว่าจะเจอห้องสูบบุหรี่ ไม่ได้มีอยู่ทั่วไป เขามีป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นบอก กว่าจะเดินหาเจอ ถ้าเป็นบ้านเราก็หายอยากไปแล้ว
ที่วัดโทไดจิ ที่มีพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เขามีเสาที่มีช่องเหลี่ยม ๆ ถ้าหากว่าใครอธิษฐานอะไรแล้วสำเร็จจะลอดผ่านไปได้ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็ก ๆ ลอด ปรากฏว่าป๋าติ๋มที่ไปด้วยลอดได้ ไม่น่าเชื่อ แกบอกว่ามาครั้งก่อนแกลอดได้ ครั้งนี้อ้วนขึ้นตั้งเยอะก็ยังอุตส่าห์ลอดได้อีก เหลือเชื่อเลย พวกฝรั่งถ่ายรูปกันใหญ่ เห็นผู้ใหญ่ขนาดนั้นไปต่อแถวเด็ก
สรุปว่าประเทศญี่ปุ่นอากาศดี คนกินอาหารที่มีไขมันต่ำ ต้องออกกำลังกายภาคบังคับ ส่วนใหญ่ก็เลยอายุยืน ไปทางไหนมีแต่คุณลุงคุณตาทำงานเต็มไปหมด ไม่มีใครเลี้ยงหลานอยู่กับบ้านเลย
ถาม : คำว่า "นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้" เป็นได้หรือคะ ? เจ้านายเขาสอนว่า ให้หนูปฏิบัติ ถ้าเราทิ้งอัตตา เราจะนิพพานที่นี่ เขาบอกว่าเข้านิพพานแล้ว ?
ตอบ : ฆราวาสเข้าพระนิพพานแล้วอยู่ไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอาจจะเข้าถึงอารมณ์บางส่วนได้ คำว่า "นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้" สำหรับบุคคลที่เข้าถึงจริง ๆ นั้นใช่ เพราะว่าพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ถ้าเราเข้าถึงจริง ๆ พระนิพพานก็อยู่ในทุกหนทุกแห่ง เพียงแต่ว่าถ้าคนที่เข้าถึงจริงถ้าเป็นฆราวาสจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นโทษแก่คนอื่นเขามาก
ถาม : เขาพูดว่า "นิพพานคือสุญญัง" แต่หนูจำได้ หนูเคยอ่านเจอว่า....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : คำว่า สุญญัง แปลว่า ว่าง คือ ว่างจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แต่มีคนไปแปลว่า ไม่มี สูญ คือไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด ๆ ว่า ตทายตนัง คืออายตนะนั้นมีอยู่ คำว่าอายตนะ หมายถึงพระนิพพาน
ท่านกล่าวถึงพระนิพพานว่าไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ท่านยืนยันว่ามีอยู่ ในเมื่อมีอยู่ ก็แปลว่าไม่ได้สูญ เพียงแต่ว่าคำว่า สูญ ต้องคนที่เข้าถึงจริง ๆ จึงจะรู้ว่าสูญนั้นคือ ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง โดยสิ้นเชิง
คำว่า สูญ ตัวนี้ก็คือ สุญญตา หรือ สุญญัง ที่แปลว่า ว่างจากกิเลสทั้งปวง ต้องทำให้ถึงจะได้ไม่สงสัย
ถาม : ที่บ้านมีต้นไม้ใหญ่ จะตัดครับ ?
ตอบ : ต้นอะไร ?
ถาม : มะฮอกกานีครับ ?
ตอบ : ตั้งศาลเพียงตาให้เขาหนึ่งหลัง แล้วก็ตัดกิ่งค่อนข้างใหญ่หน่อย สักครึ่งคืบหรือคืบหนึ่งก็ได้ หันปลายขึ้นเอาไว้ในศาล ที่เอากิ่งใหญ่หน่อยเพื่อให้ตั้งได้ถนัด
:onion_wink: เก็บตกเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :onion_wink:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย
เก็บตกเพิ่มเติม:4672615:
ถาม : ผมสงสัยเกี่ยวกับข้อความของพระสงฆ์ท่านหนึ่ง ท่านเขียนเรื่อง "ความเข้าใจพระพุทธศาสนาใน ๑๐ นาที" ผมไม่แน่ใจว่าผิดถูกมากน้อยแค่ไหน เพราะบางอย่างอ่านแล้วเหมือนจะจริง จะใช่ แต่ก็ยังรู้สึกว่าผิดอยู่ แต่หาข้อผิดที่ชัดเจนไม่ได้ครับ ผมอยากทราบคำตอบที่ถูกต้องครับ ข้อความนั้นมีดังนี้
ข้อ ๑. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ?
อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
สมุทัย คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
นิโรธ คือความดับทุกข์
มรรค คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
ตอบ : ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ซึ่งเท่ากับใบไม้กำมือเดียว
ถาม : ข้อ ๒. พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องอะไร ?
ทุกข์กับการดับทุกข์
ตอบ : คำตอบข้างบน
ถาม : ข้อ ๓ ภาพรวมของพระพุทธศาสนา มีดังนี้
๓.๑ ให้มองโลกตามความเป็นจริง (จริงขั้นสมมุติ=สมมุติสัจจ์, จริงแท้=ปรมัตถสัจจ์) อาทิ ตัวเรามีอยู่ แต่หาใช่ตัวตนที่แท้จริงไม่
๓.๒ ให้ถือทางสายกลาง ทางตึง (ทรมานกายให้ลำบาก) ก็ดี, ทางหย่อน (ฟุ้งเฟ้อหลงใหล มัวเมา) ก็ดี, มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา แต่ของพระพุทธศาสนา คือ มรรคมีองค์ ๘ ทางสายกลางพอดี ๆ
๓.๓ ให้พึ่งตนเอง มิใช่พึ่งเทวดา โชคชะตาราศี หรือดวงดาว ฤกษ์ยาม
๓.๔ ไสยศาสตร์ การบนบานศาลกล่าว อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การดูฤกษ์ยาม การเจิม ฯลฯ มิใช่พุทธศาสนา
๓.๕ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) มีใช่เกิดขึ้นเองลอย ๆ หรือพรหมลิขิต จะดับทุกข์ได้ต้องดับที่เหตุ
๓.๖ โอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน (โอวาทปาฏิโมกข์) คือ ให้ละชั่ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์
๓.๗ สิ่งทั้งอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, แม้พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน หาใช่อัตตาตัวตนไม่
๓.๘ ให้เชื่อในหลักธรรม คือ ทำดี-ได้ดี, ทำชั่ว-ได้ชั่ว. ให้ทำตนอยู่เหนือดี เหนือชั่วนั่นแหละ จึงจะพบนิพพาน (คือเหนือกรรม)
๓.๙ จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือนิพพาน (ได้แก่สภาวะจิตที่สงบเย็น ปราศจากทุกข์)
๓.๑๐ สรุปธรรมทั้งปวง รวมลงในเรื่องเดียว คือ “ความไม่ประมาท”
ตอบ :ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ ทุกสิ่งไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
ถาม : ข้อ ๔. การศึกษาธรรมะ ๒ สมัย
๔.๑ สมัยปัจจุบัน คือ รู้จัก กับ รู้จำ อาศัยการฟัง อ่านค้นคว้า จึงมีความรู้อยู่ในสมองและในสมุด พูดธรรมะคล่องแต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้ จึงได้ผลน้อย
๔.๒ สมัยพุทธกาล คือ รู้แจ้ง โดยเมื่อฟัง – จำแล้ว ลงมือปฏิบัติ ทำจริงในขณะนั้นทันที เกิดผลเป็นความรู้แจ้งเรื่องชีวิต ดับทุกข์ในขณะนั้นทันที
ตอบ : จะสมัยไหนถ้าพระธรรมยังสมบูรณ์อยู่ มรรคผลก็ยังมีเป็นปกติ
ถาม : ข้อ ๕. วิธีศึกษาพระพุทธศาสนา
เมื่อแรกพุทธปรินิพานนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งให้ถือเอาเป็นศาสดาแทนพระองค์ มีเพียง ๒ คือ ธรรมและวินัย หลังจากนั้นมา ๓๐๐ ปี จึงเกิดมีพระไตรปิฎกขึ้น (สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก และอภิธรรมปิฎก) บัดนี้ล่วงกาลมาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี คำสอนเดิม ขั้นปรมัตถ์ค่อย ๆ หายไป หมดไป เกิดมีคำสอนใหม่ ๆ เป็นพุทธศาสนาเนื้องอกจับใส่พระโอษฐ์ ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ดังนั้นในการศึกษาพระพุทธศาสนาพึงอาศัยหลักดังนี้
– ด้านปริยัติ (ความรู้เนื้อหา) อ่าน ฟัง คิด วิจัย ให้เข้าใจคือให้ปฏิบัติได้จริง หากสงสัย ให้อาศัยหลักกาลามสูตรเข้าพิจารณาตัดสิน มิใช่เชื่อไปเสียหมด
– ด้านปฏิบัติ การปฏิบัติทุกอย่างของพระพุทธศาสนาไม่ว่าการทำทานรักษาศีล ภาวนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้ ทำเพื่อ “ละกิเลส” มิใช่เพื่อเอาหวังได้นั่นได้นี่ อันทำให้ยิ่งเพิ่ม โลภะ โทสะ โมหะ หาใช่พุทธศาสนาไม่ ทุกวันนี้ไหว้เพื่อเอา เพื่อขอ ทำบุญเพื่อเอาสวรรค์ นิพพาน หวังผลทั้งชาตินี้ชาติหน้า ซึ่งกลายเป็นพอกกิเลสยาวนาน
– ด้านปฏิเวธ (ผล) ทำเพื่อละ จะพบนิพพาน (จิตบริสุทธิ์ มีความสะอาด สว่าง สงบ) แต่ทำเพื่อเอา จะทำเพื่อเอา จะพบกิเลสในตนพอกพูนยิ่งขึ้น ๆ ยาวนาน และยิ่งมีทุกข์มาก
ดังนั้น จงมุ่งปฏิบัติเพื่อห่างไกลทุกข์โดยส่วนเดียว ให้ได้เห็นผลด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก)
ตอบ : คำตอบในข้อ ๔
ถาม : ข้อ ๖.จะศึกษาพุทธศาสนาได้ที่ไหน ?
ให้ศึกษาในร่างกายนี้ ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และมิใช่จะต้องศึกษากับพระ และในวัดวาอารามเท่านั้น จึงศึกษาตนเอง อย่ามัวศึกษานอกตัว หรือมัวติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือได้แต่ทำตาม ๆ เขาไป จะเสียทีที่ได้มีโอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ลิ้มรสแค่เปลือกกระพี้ มิได้ชิมรสอันเป็นเนื้อใน อันได้แก่ธรรมรสของความเย็นอกเย็นใจ (นิพพาน)
ตอบ : ศึกษาในศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งปริยัติและปฏิบัติ จนเกิดปฏิเวธ
ถาม : ข้อ ๗. เหตุแห่งทุกข์และการดับทุกข์
เหตุ เกิดจากอุปทาน คือ การเข้าไปยึดถือว่า นี่คือ ตัวตนของเรา นี่ของ ๆ เรา
การดับ โดยละอุปทานเสีย (โดยพยายามปฏิบัติให้ “เห็นอนัตตา”) เถิด จะโดยบังคับจิตเป็นสมาธิ (เจโตวิมุตติ) หรือโดยพิจารณาธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ก็ได้
ตอบ : ตัณหา (ความอยาก) เป็นเหตุ จึงเกิดอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น)
ถาม : ข้อ ๘. พุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
คำว่า “เห็นธรรม” คือ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือ วงจรที่ทุกข์เกิด และดับ โดยเริ่มต้นจากอวิชชา จนเกิดทุกข์
ตอบ : เห็นธรรมที่เข้าสู่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว
ถาม : ข้อ ๙.จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
คือ นิพพาน (สภาวะจิตที่สงบเย็น) ปราศจากกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวง (ชาวบ้านพูดว่า เย็นอก เย็นใจ) หาพบได้ที่ใจตัวเอง
ตอบ : เย็นอกเย็นใจของชาวบ้านระดับไหน ?
ถาม : ข้อ ๑๐. สรุป ความทุกข์เกิดที่จิต พึงรักษาจิตให้เป็นประภัสสรไว้เสมอ ระวังการกระทบ (ผัสสะ) ทางตา หู ฯลฯ ให้ดี มีสติรู้ทันว่า…เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน อย่าให้เวทนา ตัณหา เกิดได้ แล้วท่านจะพบความสงบเย็นตลอดเวลา ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ
ตอบ : กิเลสใหญ่อยู่ที่จิต ต้องระวังภายนอก ขัดเกลาภายในไปพร้อมกัน ไม่ใช่ระวังภายนอกอย่างเดียว
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.