View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๐
ถาม : เวลาไปงานศพมักจะมีวิญญาณตามมา โดยจะเห็นหรือรู้สึกได้ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น หลังจากไปงานศพมาในวันนั้น อยากทราบว่าเกิดจากอะไรคะ เกี่ยวข้องกับที่เคยผ่าตัดมะเร็งมาหรือไม่ ?
ตอบ : เกิดจากวิญญาณตามมา..! บางทีคนเราในช่วงคับขันของชีวิต สภาพจิตก็จะลงล็อก สามารถเห็นภพหน้าได้ ลักษณะของทิพจักขุญาณที่เกิดแบบคนใกล้ตายจะ เห็นก่อนล่วงหน้าประมาณ ๗ วัน คราวนี้เราไม่ตาย สมบัติที่ได้มาแล้วเขาก็ไม่ทวงคืน เราก็เลยเห็นอยู่เรื่อย
ถาม : จะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ถ้ามาก็ขอหวย เดี๋ยวเขารำคาญก็ไปเองแหละ..!
ถาม : โดนอาจารย์บังคับให้สอนแล็บฯ แทนตัวเองค่ะ เพราะว่าเขาทำไม่เป็น โดยที่หนูไม่ได้อยากสอนเลยแต่ปฏิเสธไม่ได้ บอกว่าจะให้ค่าตอบแทนตามอัตราค่าจ้างของคณะ สุดท้ายโอนให้น้อยกว่าอัตราค่าจ้างคณะ ๒ เท่า หนูทวงไปแล้วเขาก็ไม่ให้ บอกว่าคิดเงินตามหน่วยกิต แล้วก็ส่งวิธีคิดแบบมั่ว ๆ มาให้ หนูโกรธเขามากค่ะ ทำไมเขาเห็นแก่ตัวแบบนี้ ถ้าหนูไม่สอนแทนอาจารย์ก็สอนเองไม่ได้เลยค่ะ เขาใช้เด็กสอนแทนมาตลอด ?
ตอบ : แสดงว่าเหมือนกับอาจารย์ของอาตมา อาจารย์ของอาตมาให้สอนภาษาอังกฤษแทนท่าน โดยบอกว่าไม่ต้องสอบ จะให้เกรดเอเลย ปรากฏว่าถึงเวลาแล้วให้แค่เกรดบี ก็เลยบอกท่านว่า ถ้าให้แค่นี้แล้วผมจะไปสอนให้เหนื่อยทำไม ? ถึงเวลาผมสอบเองก็ต้องได้เกรดเออยู่แล้ว แต่ท่านก็ให้แค่นั้น
ถาม : ตอนนี้หนูกลัวมากค่ะ เพราะว่ามีเรื่องกับอาจารย์คนนี้อยู่ หนูกลัวเขาเอาไปนินทากับอาจารย์คนอื่นทั้ง ๆ ที่หนูไม่ผิด หนูควรทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดแล้วจะกลัวเขานินทาทำไม ? แสดงว่าหลงผิด ก็คือเข้าใจว่าตัวเองผิด ไม่ผิดต้องไปกลัวเขานินทาทำไม ? คนทำผิดต่างหากที่ต้องกลัว
ถาม : ตามพระราชประวัติพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นที่รักมากของพระมเหสี พระชายา ตลอดจนพระสนมหลายพระองค์ แม้ทรงเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ยังคงมีความรักและจงรักภักดีตลอด ไม่เสื่อมคลาย การที่ผู้ชายคนหนึ่งเป็นที่รักจริงและยอมสยบของผู้หญิงหลายคนแบบนี้ ทรงสร้างบุญบารมีด้วยอะไร ? อย่างไร ?
ตอบ : บารมีเก่าอย่างต่ำต้องมีเนกขัมมบารมีอย่างอ่อนมา ขณะเดียวกันพระมหากษัตริย์ทุกท่าน ก็คือพระโพธิสัตว์ที่มาบำเพ็ญบารมี แปลว่าท่านต้องมีพื้นฐานบารมี ๑๐ มาก่อนทั้งนั้น เพราะฉะนั้น...อยากได้อย่างพระองค์ท่าน ก็ต้องทำอย่างพระองค์ท่านนั่นแหละ
ถาม : สมมติว่า เราจะบอกบุญสร้างพระพุทธรูป ในราคาองค์พระห้าหมื่นบาท แล้วเราออกเงินจ่ายไปก่อนครบห้าหมื่นบาท ได้พระพุทธรูปมาเรียบร้อยแต่ยังไม่ได้ถวาย แล้วเรามาบอกบุญเรี่ยไรสร้างพระพุทธรูป เมื่อปิดกองบุญได้เงินร่วมบุญสร้างพระมาสองหมื่นบาท หลังปิดกองบุญจึงได้นำพระพุทธรูปไปถวายวัด อยากทราบว่าในกรณีเช่นนี้ ผู้บอกบุญที่ออกเงินสร้างพระไปครบถ้วนแล้วห้าหมื่นบาท สามารถนำเงินที่เขาร่วมบุญสมทบมาทีหลังสองหมื่นบาทไปใช้จ่ายตามอัธยาศัยได้ไหม จะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้...เรามีสิทธิ์บอกบุญได้ถึง ๔๙,๙๙๙ บาท จะให้มากกว่านั้นก็ยังไหวนะ เอาอีก ๙๙ สตางค์ก็ได้...! แต่ทีนี้อัตราสตางค์เขาไม่ค่อยจะใช้งานกันแล้ว จึงให้แค่นั้นแหละ
ถาม : บ้านที่ปล่อยว่างไม่ได้อยู่อาศัย หมอผีที่อยู่บ้านติดกันใช้อำนาจของเปรต และ อสุรกายที่เลี้ยงไว้ ได้ทำคุณไสยใส่ตัวบ้านในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ฝังลงดินในบริเวณบ้าน ซึ่งมีผลกระทบให้ผู้ที่เคยอยู่บ้านหลังนั้นโดนคุณไสยไปด้วย ถ้าใช้ตะกรุดมหาสะท้อนแก้คุณไสยและอาถรรพ์ ให้หมดไปจากตัวบ้าน โดยการฝังลงดินหรือแขวนติดตัวบ้าน จะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะฝังดินแก้อาถรรพ์ใช้ตะกรุดโสฬสจะตรงกว่า แต่ขณะเดียวกันสงสัยว่าจะทำใส่บ้านไปทำไม ? เป็นหมอผีที่ว่างมากใช่ไหม ถ้าจะทำก็ทำใส่คนสิวะ...!
ถาม : และควรฝัง หรือแขวน ตะกรุดไว้ที่ตำแหน่งใดของตัวบ้านครับ ?
ตอบ : ถ้าฝังก็ฝังที่ดิน ตรงไหนก็ได้ของที่ตั้งบ้านหลังนั้น ไม่ได้ฝังที่บ้าน
ถาม : มีทิศกำหนดไหมคะ ?
ตอบ : ให้อยู่ในเขตพื้นที่นั้นก็พอ แค่ดูว่าเป็นที่ซึ่งเราไม่ได้เดินข้ามก็ใช้ได้แล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่กำลังกระหึ่มอยู่ในโลกโซเชียลอยู่สำหรับพระ ไม่ใช่เรื่องอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์หนีนะ แต่เป็นเรื่องของคนที่สักลายแล้วบวชไม่ได้ พระอุปัชฌาย์ไม่ให้บวช เกิดน้อยใจขึ้นมาก็เลยไปโพสต์ระบายอารมณ์
อาตมาขอยืนยันว่าพระอุปัชฌาย์ท่านทำถูกแล้ว เพราะว่าตัวอาตมาเองก็เป็นพระอุปัชฌาย์ การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น พระอุปัชฌาย์มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว หลักเกณฑ์เหล่านี้คัดเลือกกุลบุตรที่มีสมบัติ ก็คือความสมบูรณ์ที่สมควรแก่การบวช อันจะประกอบไปด้วยวัตถุสมบัติ ก็คือร่างกายของตนเอง กรรมวาจาสมบัติ ความถูกต้องในการสวดเพื่อที่ญัตติเป็นสงฆ์ สีมาสมบัติ ความถูกต้องในสีมา แล้วก็ปริสสมบัติ ความสมบูรณ์พร้อมของคณะสงฆ์
คราวนี้วัตถุสมบัตินั้น ที่ท่านกำหนดขึ้นมาด้วยสาเหตุหลายประการด้วยกัน ประการแรก...เพื่อให้สามารถทำสังฆกรรมได้ ที่ว่าทำสังฆกรรมได้ก็คือ ถ้ามีร่างกายที่พิกลพิการจนไม่สามารถที่จะไปทำสังฆกรรมได้ ตนเองก็จะต้องอาบัติ (ศีลขาด) เพราะว่าสังฆกรรมบางอย่าง ถ้าเราไม่เข้าร่วมถือว่าศีลขาด อย่างเช่น การลงพระปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน เป็นต้น
ประการที่สอง...เพื่อไม่ให้นักบวชศาสนาอื่นเอาไปเป็นข้อตำหนิติเตียน หรือเยาะเย้ยพระภิกษุในพระพุทธศาสนา อย่างเช่นมีร่างกายพิกลพิการ จนกลายเป็นจุดอ่อนที่ศาสนาอื่นเขายกมาตำหนิติเตียนพระพุทธศาสนาของเราได้"
"ประการต่อไป...เพื่อความเลื่อมใสของบุคคลที่ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เพื่อความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้นของผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ตรงจุดนี้ก็คือควรที่จะมีอวัยวะครบสมบูรณ์ หน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่จนรับไม่ได้ อย่างวัดเบญจมบพิตรฯ มีสิ่งปฏิบัติที่ไม่ถือว่าเป็นทางการแต่เป็นทางการอยู่อย่างหนึ่ง ที่ในวงการสงฆ์เขาพูดกันก็คือ “รูปไม่หล่ออยู่วัดเบญจฯ ไม่ได้”
โดยเฉพาะสมัยสมเด็จพระสังฆราชกิตติโสภณมหาเถระ ใครเอาพระเณรมาฝากนี่ พระองค์ท่านพิจารณารูปร่างหน้าตาก่อนเป็นอันดับแรกเลย เพราะพระองค์ท่านถือว่าเป็นวัดหลวง เป็นวัดของสมเด็จพระสังฆราช บุคคลที่มาอยู่ สมณสารูปต้องเป็นที่น่าเลื่อมใสของผู้ที่พบเห็น
หรืออย่างในปัจจุบันวัดสุทัศน์เทพวราราม ถ้าคุณสักลายโผล่ออกมานอกจีวร ไม่มีทางได้เป็นเจ้าคุณอย่างเด็ดขาด เก่งแค่ไหนก็ไม่ได้เป็น นี่คือหลักการที่ทางวัดถือปฏิบัติเลย"
"คราวนี้พ่อหนุ่มคนนั้นไม่ได้สักลายเฉย ๆ แต่สักมายันหน้ายันตาเลย มีกระทั่งตาที่สามบนหน้าผากด้วย ลักษณะนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการสักลายของคนคุก แม้แต่ที่วัดของอาตมาก็มีที่สักประเภทเขียว ๆ แดง ๆ ทั้งตัว แต่ท่านสักแค่ตัว เวลาห่มผ้าเข้าไปแล้วมองไม่เห็น อย่างนั้นก็ไม่ว่ากัน พระอุปัชฌาย์พิจารณาแล้วว่าบวชได้ เพราะคนอื่นไม่เห็นว่าเป็นของน่ากลัว
แต่คราวนี้เมื่อสักลายมาถึงใบหน้า ไม่สามารถที่จะป้องกันได้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ พระอุปัชฌาย์พิจารณาแล้วว่าคุณไม่สมควรที่จะบวช ก็ถือว่าท่านทำถูก เพราะว่าเข้าไปก็เป็นที่รังเกียจของเพื่อนฝูง เป็นที่หวาดกลัวของเพื่อนฝูง โดยเฉพาะบุคคลที่ใส่บาตรมักจะเป็นสุภาพสตรี ค่อนข้างจะขวัญอ่อน ถ้าเห็นพระเดินมาในลักษณะนั้น ดีไม่ดีก็อุ้มขันข้าววิ่งหนีเลย คิดว่าเจอโจรปลอมมาจะปล้นบ้านหรือเปล่า ?
โดยเฉพาะว่าบุคคลท่านนี้ที่จะไปบวชนั้น ท่านก็ไม่ได้บวชด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริง ๆ แต่จะไปบวชแก้บน ซึ่งในลักษณะนี้ พระอุปัชฌาย์อาจจะพินิจพิจารณารับให้บวช แต่ต้องมีกำหนดสัญญาอย่างชัดเจน อย่างเช่นว่า ถึงวันนั้นเวลานั้นแล้วต้องสึกหาลาเพศไป ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน แล้วนาน ๆ ไปก็จะมีประเภทเดียวกันมามากขึ้น วัดก็จะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมไป
ดังนั้น...ในส่วนที่พระอุปัชฌาย์ไม่ให้บวช ถือว่าท่านทำถูกต้องทั้งพระธรรมวินัย และทั้งในส่วนของการรักษาพระศาสนา แต่ว่านักวิชาการหลายท่านออกมาตำหนิติเตียนว่า ไปตัดรอนสิทธิของบุคคลอื่น นักวิชาการเหล่านี้นอกจากไม่รู้จริงแล้ว บางคนก็ยังว่าไปตามอารมณ์ด้วย ลักษณะของการว่าไปตามอารมณ์แล้วไม่รู้จริง เป็นการสร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น โดยที่ตนเองขาดความรับผิดชอบ จะว่าไปก็คือ ผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ด้วย"
"ส่วนอีกหลายท่านที่ลงความเห็น หรือที่เรียกว่าคอมเมนต์อยู่ในลักษณะเอามัน ก็คือเอาความสะใจเขาว่า อย่างเช่นว่า “ทีไอ้พวกเข้าไปบวชแล้วทำเหี้.. ๆ ให้ชาวบ้านเขาเสื่อมศรัทธา กลับให้บวชได้ ทีคนมีความเลื่อมใสเขาอยากจะบวชกลับไม่ให้บวช” ถ้าลักษณะอย่างนี้ อาตมาถือว่าพูดแบบคนไร้ปัญญาและไร้ความรับผิดชอบ
คำว่า ไร้ปัญญาก็คือไม่ได้ดูในประเด็น พระที่ท่านบวชเข้าไปแล้วทำความเสื่อมเสียนั้น ก่อนบวชท่านมีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่ได้ทำอะไรเป็นที่เสื่อมเสีย แต่เมื่อบวชเข้าไปแล้ว ไม่สามารถที่จะต้านทานอำนาจกิเลสได้ จึงไปสร้างความเสื่อมเสียทีหลัง เป็นคนละประเด็นกับการที่พระอุปัชฌาย์คัดเลือกผู้ที่เข้าไปบวช
ดังนั้น...ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าจะเอาความมันหรือความสะใจ ก็โปรดระมัดระวังว่าจะสร้างโทษใหญ่ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง เพราะว่าเราไปตำหนิถึงพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระมหาเถระแล้วทั้งนั้น ก่อนที่จะลงความเห็นอะไรกันไป ควรที่จะไตร่ตรองให้รอบด้านเสียก่อน จะได้ไม่สร้างความเสียหายให้กับพระศาสนาด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้เกิดโทษเดือดร้อนแก่ตัวเองด้วย"
"ประการสุดท้ายที่มีการคัดเลือกตัวผู้ที่เข้ามาบวชนั้น ท่านกำหนดคุณสมบัติไว้หลายอย่าง เช่น ห้ามนักโทษเด็ดขาด ห้ามนักโทษหนีคดี เหล่านี้เป็นต้น
ในส่วนนี้เมื่อท่านมาขอบวช โดยสักลายมาถึงหน้าตา พระอุปัชฌาย์ท่านก็ต้องคิดในแง่ร้ายไว้ก่อน ว่าลักษณะของการสักตัวแบบนักโทษอย่างนี้หนีคดีมาหรือเปล่า ? เพราะหลายคนมาบวชเพื่อหลบซ่อนตัวเอง จนกว่าคดีจะหมดอายุความ ถ้าอาตมาเป็นพระอุปัชฌาย์เอง ก็จะต้องสอบสวนทวนความกัน ต้องหาพยานหลักฐานกันอุตลุด เพื่อที่จะยืนยันว่าท่านเป็นผู้ที่พ้นโทษแล้วจริง ๆ เท่านั้น
แต่ถ้าสักลายมาถึงขนาดหน้าลายหมดแบบนี้ แม้แต่อาตมาเองก็ไม่รับบวชให้ เพราะว่าจะเกิดโทษหลายอย่างกับพระศาสนาซึ่งเป็นที่รักของพวกเรา ไม่ใช่ว่าเอาอกเอาใจบุคคลคนเดียวแล้วทำให้ส่วนรวมเสียหาย ดังนั้น...เรื่องนี้ใครก็ตามที่ยังไม่กระจ่าง ก็ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย ว่าเรื่องของการคัดกรองตัวผู้บวชนั้น เกิดจากหลายสาเหตุดังที่ได้กล่าวมา เราต้องศึกษาให้รู้จริงก่อน อย่าไปเที่ยวลงความเห็นโดยอาศัยความรู้สึก ซึ่งเป็นอารมณ์โดยไม่ได้เอาเหตุเอาผลกัน"
ถาม : หากภาวนาคาถามหาสะท้อนขึ้นแล้ว คนในครอบครัวหรือคนสนิทที่มาหยอกล้อ หรือล้อเล่นด้วยการตบก็ดี หรือต่อยเล่น ๆ ก็ดี จะมีอันตรายใด ๆ หรือไม่ขอรับ ?
ตอบ : มี...เขาถึงได้ห้ามไม่ให้เด็กใช้ เพราะกลัวว่าเราจะเผลอไปตีเด็กเข้า ตัวอย่างก็คือ เพื่อนต่อยเพื่อนแบบหยอก ๆ แล้วตัวเองแขนหัก ก็ไม่รู้ว่าสะท้อนอีท่าไหน คนใช้ตะกรุดก็ไม่ได้ทำอะไร เพื่อนมาต่อยเปรี้ยง คนต่อยแขนหักเลย
ถาม : ถ้าหากว่าเราบวชพระภิกษุ แต่ปรากฏว่าพระที่ร่วมนั่งหัตถบาสนั้นต้องอาบัติปาราชิก แล้วถือว่าบวชพระไม่ขึ้นใช่หรือไม่ ?
ตอบ : เป็นได้แค่เณร
ถาม : หากว่าในระหว่างที่บวชอยู่นี้ (สามเณรที่บวชพระไม่ขึ้น) ไปต้องอาบัติสังฆาทิเสส คิดว่าตัวเองยังเลวเกินไป อยากจะสึกเป็นเพศฆราวาส จะต้องไปเข้าปริวาสก่อนสึกหรือไม่ หรือสามารถสึกได้เลย ?
ตอบ : ของสามเณรไม่มีอาบัติสังฆาทิเสส แต่ศีลขาดต้องไปต่อศีลก่อนแล้วค่อยสึก พูดง่าย ๆ ว่าไปขอศีล ๑๐ ก่อนแล้วค่อยสึก
ถาม : วิบากกรรมของสามเณรรูปดังกล่าวจะเป็นอย่างไรบ้าง ? ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
ตอบ : ชาตินี้ก็หาความเจริญไม่ได้ เพราะในขณะที่เป็นพระเป็นเณรอยู่หาความบริสุทธิ์ไม่ได้ ชาติหน้าเศษกรรมตามไปก็คงจะเดือดร้อนอีกหน่อย
ถาม : เนื่องจากงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา กระผมไม่มีเงินค่ารถไปที่วัด เลยรับยันต์อยู่ที่บ้านแทนในเวลา ๑๐ โมงเช้า ทีนี้ปัญหามีอยู่ว่า ในขณะที่ผมภาวนาโดยมือถือธูปและเทียนนั้น ก็รู้สึกหนักบริเวณฝ่ามือ ซึ่งในขณะที่ภาวนานั้น จิตใจผมก็ฟุ้งซ่านไปด้วยภาวนาพุทโธไปด้วย สักพักหนึ่งกระผมรู้สึกแน่นท้องอึดอัด เลยวางธูปเทียนไว้บนพานแล้วไปนอนภาวนาต่อบนที่นอนจนเผลอหลับไป อยากทราบว่ากระผมจะได้รับยันต์หรือเปล่าขอรับ ?
ตอบ : ตื่นขึ้นมามีอะไรติดมือมาหรือเปล่า ? ถ้าไม่มีก็ไม่ได้รับ อันนี้พูดเล่นนะ ...(หัวเราะ).... ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพ จะฟุ้งซ่านขนาดไหน พระท่านก็สงเคราะห์ให้
ถาม : ยายผมให้คาถาตอนเด็ก คาถาปัญญาดี มีเนื้อความว่า อินทะปัญญา อินทะเขมัง อินทะตัปปัง มะออ มะแอ อยากทราบว่าพระอาจารย์รู้จักที่มาไหมครับ ?
ตอบ : ไม่รู้...ไม่เคยใช้ เพราะว่าเกิดมาปัญญาดีมาตั้งแต่เกิดแล้ว...!
ถาม : วันเสาร์ ๕ หลังจากรับยันต์เกราะเพชร ผมไปที่โรงเรียนประถม เก็บเงินได้ ๑๐ บาท ผมนึกขึ้นได้ว่าเป็นของสาธารณะ แต่มีความคิดว่าก่อนเราเคยเรียนที่นี้ ๕ บาท ๑๐ บาท ก็ต้องประกาศคนมารับ แต่ตอนนี้ไม่มีใครจะแจ้งได้ ความคิดตีกัน ผมก็เลยตัดสินใจว่าเอาไปทำบุญวิระทะโย วันละ ๑ บาท ปรารถนาพุทธภูมิดีกว่า ยันต์เกราะเพชรผมจะหายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นทรัพย์ที่ตกหล่นอยู่ แล้วเจ้าของเขายังคิดจะตามหา ก็แปลว่ายันต์ของเราหายแน่ แต่ถ้าเจ้าของไม่รู้ตัวหรือตัดใจไม่เอาแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่เป็นไร
ถาม : การแก้ไขมีดหมอที่ขึ้นสนิม ควรใช้วิธีใดในการลบสนิมออกจากใบมีดครับ ?
ตอบ : มีสองวิธี ถ้าไม่เสียดายของก็แช่โซดาไฟ รูดปรื๊ดเดียวก็สะอาดแล้ว แต่ถ้ากลัวเสียของก็ใช้น้ำยาบรัสโซค่อย ๆ ขัด
ถาม : ควรดูแลรักษามีดหมอต่อไปอย่างไรให้อยู่กับเราอย่างคงทนยาวนานครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ถวายพระจะดีกว่านะ แต่ถ้าจะให้อยู่กับตัวเอง ภาษาฝรั่งเขาบอก keep it clean and dry คือทำความสะอาดและดูแลให้แห้งอยู่เสมอ
ถาม : อยากทราบวิธีพิจารณาให้เห็นความทุกข์ในกามครับ เพราะเท่าที่ผ่านมา ในเรื่องของกามส่วนใหญ่จะเห็นแต่ทุกข์หลังจากเสร็จกิจกามไปแล้ว เพราะรู้สึกว่าเมื่อความสุขจากกามหายไป อารมณ์ใจมักจะมีความรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมาแทนที่ทุกครั้ง อันนี้พอจะทราบได้บ้างว่ามันคือทุกข์ แต่ทุกข์ที่เกิดจากสุขในกามทั้งสองช่วงเวลา คือ
๑) วินาทีความสุขที่ร่างกายได้รับในขณะที่ร่างกายของทั้งสองฝ่ายเกิดการเสียดสีกัน ๒) วินาทีที่ความสุขจากกามนั้นพุ่งถึงจุดสูงสุด ซึ่งเป็นจุดที่คนเราส่วนใหญ่ไปติดในรสของกามก็เพราะจุด ๆ นี้ ซึ่งกินเวลาแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
อยากทราบว่าเราจะต้องพิจารณาอย่างไรถึงจะเห็นความทุกข์จากความสุขที่ได้รับจากกามใน ๒ เรื่องที่ว่ามานี้ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าพยายามจะยิงแต่เล็งผิดเป้า ในเรื่องของกามต้องพิจารณาเห็นโทษตั้งแต่ก่อนจะมีอะไรกัน ไม่ใช่กำลังขย่มกันแล้วจะไปพิจารณาให้เห็น มีมนุษย์ที่ไหนทำได้ ? เรื่องพวกนี้เราต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ จัง ๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่ม จึงจะเกิดอาการเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ใช่ไปจุดไฟติดแล้วค่อยมาพิจารณา กามราคะมาปัญญาไม่เกิด
ให้เราดูในธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงอัตกิลมถานุโยคว่า ทุกโข อนริโย อนัตถสัญหิโต ประกอบด้วยทุกข์ ไม่ใช่หนทางแห่งความเจริญ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่พอไปกล่าวถึงกามสุขัลลิกานุโยค พระองค์ท่านบอก หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก ไม่ได้บอกว่าทุกโข ก็คือ เป็นของหยาบ เป็นของต่ำ เป็นของบุคคลผู้ครองเรือน เป็นของปุถุชนผู้หนาไปด้วยกิเลส เหตุที่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นทุกข์ เพราะคนไปเข้าใจว่าเป็นสุข
ดังนั้น...ถ้าจะพิจารณาให้เห็นทุกข์ ต้องเห็นตั้งแต่แรก หรือไม่หลังจากนั้นพอจิตใจเศร้าหมองลงมา รู้ว่าเป็นความทุกข์ รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร ก็เร่งพิจารณาตามไปเลย เหมือนกับประเภทพายเรือตามน้ำก็จะง่ายขึ้น
ถาม : มีวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนอนภาวนาอยู่ ดูลมหายใจเข้าออกพร้อมกับนึกถึงพระพุทธเจ้าไปด้วย ตั้งใจว่าตายเมื่อไรจะขอไปนิพพาน ในขณะนั้นจิตก็นึกถึงพระบ้าง นึกถึงบาปที่เคยทำมาบ้าง สลับไปมา แต่ก็พยายามนึกถึงพระให้ได้มากที่สุด
พอจิตใจเริ่มกำลังสบาย ๆ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงคนพูด ดังขึ้นมาข้าง ๆ หู ว่า "อย่างมึงน่ะหรือจะไปนิพพาน อย่างมึงต้องไปนรก" ผมได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่อยากตกนรก ก็เลยพยายามนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วคิดว่าตอนนี้เรากำลังกอดพระบาทของพระพุทธองค์อยู่ ผมกอดไว้แน่น โดยคิดว่าจะตกนรกหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างไรก็จะขออยู่กับพระพุทธเจ้าแบบนี้แหละ อย่างไรก็ไม่ปล่อย
อยากทราบว่า เสียงที่ผมได้ยินนั้นคืออะไรครับ ? ทั้ง ๆ ที่กำลังนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ ทำไมถึงมีเสียงแบบนี้แทรกขึ้นมาได้ครับ ?
ตอบ : มีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือท่านมาทดสอบกำลังใจ อย่างที่สองความจริงจักเป็นเช่นนั้น ทำให้นึกถึงภาษิตจีนที่ว่า ทุกข์มาถึงตัวค่อยกอดบาทพระ เป็นเรื่องจริงเลยนะ
ถาม : การที่ผมนึกให้ตัวเองกำลังกอดพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะเป็นการปรามาสพระหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดอีกจะลงนรกง่ายขึ้น...! พระก็คือพระ ถ้าไม่ได้ทำอะไรล่วงล้ำก้ำเกินไปมากกว่านั้น ทำด้วยความเคารพก็ไม่เป็นไร รู้ว่าใจตัวเองหมอง ยังพยายามคิดให้ใจหมองหนักขึ้นอีก แบบนี้ก็ลงนรกง่ายขึ้นเท่านั้น
ถาม : มีแอปพลิเคชันบางอย่างที่สามารถให้คนเข้าไปไลฟ์สดเพื่อหาเงินได้ และมักจะมีสาว ๆ เข้าไปใช้แอปพลิเคชันนี้ โดยแต่งตัววาบหวิวเพื่อไลฟ์สด หากใครชอบก็สามารถกดให้ถั่วแก่สาว ๆ คนนั้นได้ โดยถั่วที่ให้ไปนั้น สาวคนที่ได้รับ จะสามารถนำไปแลกเป็นเงินสดได้
ตอบ : บอกคนทำแอปฯ เปลี่ยนการให้คะแนนใหม่เถอะ เปลี่ยนเป็นทองคำแท่งก็ได้ ให้ถั่ว...ฟังแล้วตลก...!
ถาม : อยากทราบว่า คนที่เข้าไปดูสาว ๆ แต่งตัววาบหวิว แล้วเกิดชอบ จึงได้กดให้ของในแอปพลิเคชัน เพื่อให้สาว ๆ นั้นนำไปแลกเป็นเงินจริงได้ แบบนี้จะได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : ได้นิดหนึ่ง ลักษณะเดียวกับยายแฟง ยายแฟงสร้างวัดคณิกาผล เพราะตัวเองมีอาชีพเป็นแม่เล้า ก่อนหน้านี้เขาเรียกว่าวัดใหม่ยายแฟง แล้วเปลี่ยนเป็นวัดคณิกาผล สร้างวัดเสร็จก็ทำบุญเลี้ยงพระ นิมนต์หลวงพ่อโต วัดระฆัง ไปเป็นประธานสงฆ์
กราบเรียนถามหลวงพ่อโตว่า "ดิฉันทำบุญขนาดนี้ จะได้บุญมากไหมคะ ?" หลวงพ่อโต วัดระฆัง ตอบว่า "ได้สักสลึงเฟื้องนะโยม" เนื่องจากเจตนาไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ผู้ให้ไม่บริสุทธิ์ แต่ผู้รับบริสุทธิ์ ของยายแฟงนั่นไม่บริสุทธิ์แค่สามในสี่เท่านั้นนะ แต่กรณีนี้ผู้รับไม่บริสุทธิ์ด้วย ...(หัวเราะ)... ของเรานี่ไม่บริสุทธิ์สี่ส่วนเต็ม น่าจะได้ต่ำกว่าเฟื้องหนึ่งกระมัง ?
ถาม : เพื่อเป็นการป้องกันการตกนรก ผมจะพยายามนึกถึงพระพุทธเจ้าให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงแบบนี้จะได้ไหมครับ หรือมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้บ้างครับ ?
ตอบ : ถ้านึกได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่พลาดเลยก็รอด แต่ถ้าพลาดเมื่อไรก็จะตกวินาทีนั้นแหละ..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "การลงทะเบียนคนจน มีด็อกเตอร์ ๖๙๘ คน ปริญญาโท ๕,๘๑๐ คน ปริญญาตรี ๓๕๙,๕๔๓ คน แบบนี้การแก้ปัญหาความยากจนของคนไทยมาถูกทางแล้วหรือ ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนที่สร้างหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๘ ศอก บนยอดเขาวัดท่าขนุน ปูนลูกหนึ่งราคา ๖๓ บาท แต่ค่าจ้างแบก ๑๐๐ บาท อาตมาเองว่าแข็งแรง ๆ เอาอิฐบล็อกขึ้นไปได้ครั้งละ ๖ ก้อน เดินได้แค่ ๒ เที่ยวก็หมดสภาพแล้ววันนั้น ส่วนท่านอาจารย์สมพงษ์หนุ่มกว่าครึ่งรอบ เอาอิฐไปสองก้อน ขึ้นได้ครั้งเดียวก็น็อกแล้ว"
ถาม : ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ผู้อาพาธเป็นโรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ซึ่งพวกยาเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ที่รักษาโรคนี้ โดยปกติบุคคลทั่วไป แพทย์มักจะสั่งจ่ายยาจำนวน ๒ มื้อ คือ เช้าและเย็น หากแต่ในกรณีของพระภิกษุสงฆ์นั้น พระท่านมีวิธีการเลือกฉันยาอย่างไรในกรณีที่ฉันได้แค่มื้อเช้าและเพล ?
ตอบ : ฉันทุกมื้อนั่นแหละ ท่านไม่ได้บอกว่ายาก่อนหรือหลังอาหารนี่นา ถ้าเป็นยาหลังอาหาร พวกปานะต่าง ๆ ก็สามารถฉันรองท้องได้เป็นปกติอยู่แล้ว คุณจะไปเดือดร้อนอะไร ก็ฟาดน้ำส้มไปสักหนึ่งลิตร..!
ถาม : ช่วงมื้อเย็น พระท่านสามารถฉันอะไรได้บ้างที่เหมาะสมแก่สมณสารูป หากแต่ไม่ทำร้ายขันธ์ด้วยอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ?
ตอบ : น้ำส้มก็ได้ ไม่หวานอยู่แล้ว ในพระบาลีท่านว่า สัปปิ เนยใส นวนีตัง เนยข้น มธุ น้ำผึ้ง เตลัง น้ำมัน ผาณิตัง น้ำอ้อยหรือว่าน้ำตาล ภายหลังก็อนุญาตอัฏฐปานะ ก็คือ น้ำที่คั้นจากผลไม้หรือเหง้าไม้ทั้งหมด ๘ อย่างด้วยกัน ภายหลังบัญญัติเพิ่มขึ้นว่า ผลไม้ที่โตไม่เกินกำปั้นหรือโตไม่เกินลูกมะตูมก็ทำน้ำปานะได้
ก็เลือกเอาสิว่าอะไรที่ไม่หวานมาก แต่จริง ๆ แล้วความหวานจากน้ำตาลผลไม้กลับดีต่อผู้เป็นเบาหวาน เพราะว่าร่างกายดึงไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องผลิตอินซูลินออกมาเพื่อย่อยสลายก่อน
ถาม : น้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย ถือว่าเป็นคิลานเภสัชตามพุทธบัญญัติหรือไม่ ?
ตอบ : จะเป็นน้ำผึ้งจากดอกอะไรก็ใช่ทั้งนั้นแหละ
ถาม : มีข้อยกเว้นใดบ้างที่ชาวพุทธจะไม่ทำการเผาศพผู้ที่เสียชีวิต แต่จะใช้การฝังศพแทนครับ ?
ตอบ : ไม่มี...ยกเว้นว่าชาวพุทธนั้นเป็นชาวพุทธมหายาน คือ คนจีนเขาจะนิยมฝังมากกว่า เพราะเขาเชื่อว่าการฝังบรรพบุรุษไว้ในฮวงจุ้ยที่ดี ลูกหลานจะเจริญรุ่งเรือง
ถาม : การฝังศพแทนการเผา จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่เสียชีวิตอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ผู้ที่เสียชีวิตไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก เพราะว่าตายไปแล้ว แต่ถ้าหากเป็นประโยชน์ ตำราจีนเขาบอกว่า ฮวงจุ้ยที่ดีย่อมส่งผลให้ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
ถาม : ในกรณีเผาศพ หลังจากที่เผาแล้ว การที่ญาติเก็บกระดูกบางส่วนของผู้เสียชีวิต ไว้ในที่บรรจุที่บ้าน หรือที่วัดเพื่อบูชา จะมีโอกาสทำให้ดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตยังไปสู่ภพภูมิต่อไปทันทีเลยไม่ได้ ยังต้องวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กระดูกของตน คอยอยู่รับเครื่องบูชา และปกป้องคุ้มครองลูกหลาน เป็นความจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นความจริงแค่ที่ว่า ผีบางตัวไปไม่ได้เพราะยึดมั่นถือมั่น แต่เรื่องปกป้องคุ้มครองลูกหลานก็แล้วแต่เขาว่าจะมีอารมณ์ไหม
ถาม : การลอยอังคารทั้งหมดของผู้ที่เสียชีวิต จะทำให้ผู้ที่เสียชีวิต หมดห่วงในร่างสังขารตนเอง และมีโอกาสไปสู่ภพภูมิต่อไปได้ง่ายขึ้น เป็นความจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นเฉพาะรายที่ยึดติดอยู่ ถ้ารายที่ไม่ยึดติดก็ไม่มีประโยชน์อะไรไปมากกว่าตัวเราที่หมดภาระดูแล ถ้าเป็นในความคิดของอาตมาก็คือ เผาแล้วก็ลอยไปทั้งกระดูก ลอยไปทั้งอังคารนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องมีภาระต่อไป ถึงเวลาครบรอบปีเราก็เอารูปของท่านมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ สะดวกกว่าการเก็บกระดูกเยอะเลย
ถาม : การสวดพระอภิธรรมในงานศพของวัดท่าขนุน ทางวัดจะเลือกใช้บทสวดใดบ้าง เพื่อสวดในงานสวดศพครับ ?
ตอบ : สวดพระอภิธรรมเขาก็ระบุชัด ๆ ว่าพระอภิธรรม แล้วจะไปเลือกอะไรได้เล่า ? นี่แสดงว่าไม่เข้าใจใช่ไหมว่าการสวดพระอภิธรรมคืออะไร ?
พระอภิธรรมมีอยู่ ๗ คัมภีร์ด้วยกัน ตัวย่อ คือ สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ก็คือ พระสังคิณี พระวิภังค์ พระธาตุ พระปุคคะละปัญญัติ พระกะถาวัตถุ พระยะมะกะ พระปัฏฐาน ส่วนใหญ่เป็นการแสดงหัวข้อธรรมหลัก ๆ ย่อ ๆ ที่ว่าเราเป็นมนุษย์ฟังแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมาะสำหรับคนที่เป็นอุคฆติตัญญู หรือบุคคลประเภทเทวดา นางฟ้า หรือพรหมเท่านั้น
พอพระท่านขึ้น กุสลาธัมมา เทวดา นางฟ้า พรหมก็จะเข้าใจว่าธรรมที่เป็นกุศลมีอะไร ก็มีธรรมที่ประกอบไปด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ธรรมที่เป็นอกุศลประกอบไปด้วยอะไร ก็คือ สิ่งที่ทำไปด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นต้น
เราฟังแค่นี้เรายังจะตาย แล้วต้องไปขยายว่า กายทุจริตคืออะไร ? คือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราเมรัย วจีทุจริตคืออะไร ? คือ การโกหก พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ มโนทุจริตคืออะไร ? คือ โลภอยากได้ของเขา มีความเห็นผิดไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นต้น
เราต้องขยายแล้วขยายอีก แต่เทวดา นางฟ้า พรหม ท่านฟังหัวข้อก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด ดังนั้น...ที่สวดกันอยู่ทุกวันนี้ ประโยชน์มักจะเกิดแก่คนเป็นน้อยมาก นอกจากจะได้สมาธิหรือได้ความเคารพในพระรัตนตรัย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านเจ้าคุณปิงรับเป็นเจ้าภาพจัดงานสืบชะตาตอนอาตมาอายุ ๖๐ อีก ๒ ปีข้างหน้า คอยดูกันว่างานจะออกมาเป็นอย่างไร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ทันสังเกตว่างานเป่ายันต์เกราะเพชร พระพุทธรูปเหลืออยู่กี่องค์ หมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? งานวัดท่าขนุนปกติแม่ชีจะสั่งน้ำมาทำเป็นน้ำมนต์เสาร์ห้า ๘,๔๐๐ ขวด แต่ว่าเมื่องานเป่ายันต์ที่ผ่านมา สั่ง ๑๒,๐๐๐ ขวด เหลืออยู่ไม่กี่ขวด เกินไปเกือบเท่าตัวก็ยังเกือบจะหมดเหมือนกัน
ครั้งก่อน ๆ คนทองผาภูมิไม่ได้น้ำมนต์เลย บ่นกันมาก งวดนี้มีเหลือน่าจะเลิกบ่นเสียที เพราะว่าคนทองผาภูมิอยู่ใกล้ ใจเย็น ไปช้า ไม่ทันกินเขาสักงาน"
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "เป็นอย่างไรจ๊ะ ? ใส่ชุดหล่อชุดสวยแล้วอึดอัดไหม ? ต่อไปมาชุดธรรมดา ๆ ก็ได้ ที่นี่ไม่ได้ว่าอะไร เห็นโยมแล้วนึกถึงแม่หรือพี่ ๆ สมัยก่อน เขาจะมีชุดสวยไว้ใส่ไปวัด แบบเดียวกันนี่แหละ พอถึงเวลารู้ว่าจะไปหาพระ ก็เอาชุดสวยที่เก็บเอาไว้มาใส่ ปีหนึ่งได้ใส่ไม่กี่ครั้งหรอก"
ถาม : การทำบุญ ๑๐๐ วัน มีจุดประสงค์เพื่ออะไร ? และจำเป็นต้องทำในวันที่ ๑๐๐ ตรง ๆ ไหมครับ ? ถ้าจะทำบุญ ๑๐๐ วันในวันเสาร์-อาทิตย์ถัดมา จะต่างจากการทำบุญในวันที่ ๑๐๐ ตรง ๆ อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ไม่ได้ทำวันที่ ๑๐๐ ตรง ๆ นั่นแหละ...! การทำบุญ ๑๐๐ วัน เป็นธรรมเนียมประเพณีที่เกิดจากการรู้จริงของคนโบราณ
บุคคลที่ตายไป ถ้าโชคดีมีโอกาสได้ไปตำหนักพระยายมราช ก่อนที่จะตัดสินความจะมีเวลาอยู่ประมาณ ๓ เดือน ถึง ๓ เดือนเศษ ๆ ของโลกมนุษย์ เนื่องด้วยระยะเวลาที่ต่างกันมาก ๑ วันของที่นั่นเท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์ ดังนั้นโบราณจึงทำบุญในระหว่าง ๗ วัน หลังจากนั้นก็ทำ ๕๐ วัน ทำ ๑๐๐ วัน เป็นการตอกย้ำประกันความเสี่ยงว่า ผู้ตายจะต้องได้รับส่วนกุศลนั้นแน่ ๆ ถ้าหากผู้ตายมีโอกาสโมทนาในบุญกุศลนั้น ก็จะไปเสวยส่วนของผลบุญเลย โดยที่ไม่ต้องผ่านการตัดสินของพระยายมราช
ดังนั้น..ถ้าไม่สะดวกในวันที่ ๑๐๐ ตรง ๆ ควรจะทำวันก่อนในวันที่ ๙๐ กว่า ไม่ใช่ไปรอทำหลังวันที่ ๑๐๐ ถ้าเกิดท่านตัดสินตอนนั้นไปแล้วก็ซวยไป..!
ถาม : ผมจะนึกถึงภาพพระทุกวัน แต่ก็มีหลายเวลาที่จิตมักจะคิดไปถึงบาปที่เคยทำมาเสมอ โดยจิตของผมมักจะนึกถึงพระและบาปของตัวเอง สลับกันไปสลับกันมาอยู่ตลอดทั้งวัน จนผมรำคาญ ผมก็เลยใช้วิธีนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าให้มีขนาดองค์ใหญ่กว่าโลกมนุษย์ และให้องค์พระนั้นประทับลงบนบาปของผม จนบาปนั้นแบนติดดินไปเลย เมื่อทำแบบนี้ ถึงผมจะนึกถึงบาปแต่บาปนั้นก็แบนอยู่ใต้องค์พระ ซึ่งจะทำให้ผมสามารถนึกถึงพระได้แม้จะนึกถึงบาปก็ตาม ไม่ทราบว่าเมื่อทำแบบนี้แล้ว ถ้าผมตายไปในขณะนั้นผมจะได้ไปเกิดเป็นอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นสิ่งที่ทำได้ถูกต้องและควรจะทำเช่นนั้น เพราะถ้ากำลังใจของเราจะเกาะความดีและโดนความชั่วรบกวนจริง ๆ ก็ควรจะหาเทคนิควิธีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกาะความดี โดยที่ความชั่วกวนได้น้อยที่สุด
อย่างที่ว่ามานั้นเป็นการทำที่ถูกต้อง ส่วนตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่กับกำลังใจตอนนั้น ถ้ากำลังใจต่ำ ทรงสมาธิไม่ได้ แต่เกาะความดีได้ ก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า ถ้าทรงสมาธิแนบแน่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ก็ไปเกิดเป็นพรหมตามกำลังฌานของตน
ถาม : หลังจากที่เราไถ่ชีวิตโคกระบือ คือ ไปซื้อโคกระบือมาแล้ว เราจะต้องนำเอาโคกระบือไปปล่อยไว้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ปล่อยโรงฆ่าสัตว์...! ใช่ไหม ? ถ้าเป็นอาตมาก็เอาเข้าธนาคารโคกระบือของในหลวง ร.๙ ถึงเวลาเขาก็ไปจัดการแทนเราเอง แต่ก็ได้ยินว่ามีพนักงานบางคนเอาวัวควายขายคืนให้โรงฆ่าสัตว์ไปเหมือนกัน ที่มีข่าวว่าไล่ตามหากันอยู่ทุกวันนี้
เอาเป็นว่าพอเรามอบเข้าธนาคารโคกระบือ เขาจะมีใบรับให้กับเรา เราก็เก็บใบรับนั้นไว้ ถ้าคิดถึงเมื่อไรเราก็ไปเยี่ยม ถ้าเขามอบให้ใครเขาจะแจ้งแก่เราเอง เราก็ตามไปเยี่ยมถึงบ้านคนนั้นได้
ถาม : ข้าพเจ้าและคนในครอบครัว เมื่อมีเวลาว่าง เช่น นั่งเฉย ๆ หรือนั่งรอคนมาเรียก จะทำสมาธิ แต่ข้าพเจ้ามีความสงสัยว่า หากเรียกหรือรบกวนผู้ที่อยู่ในสมาธิ จะเกิดโทษแก่ผู้ที่เรียกนั้นใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นการรบกวนโดยเจตนาจะให้เขาเสียสมาธิ ก็จะมีโทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่มีเจตนาจะให้เสียสมาธิ โทษก็ลดน้อยลงไป
แต่ถ้าเราอยู่ในสถานที่ซึ่งรอเขาประกาศเรียกชื่อแล้วเราทำสมาธิ โทษของเขาไม่มีเพราะว่าเขาทำตามหน้าที่ของเขา เราก็รักษากำลังใจของเรา เพียงแต่สติให้อยู่เฉพาะหน้า ไม่อย่างนั้นเขาประกาศเรียกชื่อแล้วตกใจ สมาธิหล่น จะกลายเป็นโทษแก่เขาได้
ถาม : มีวิธีป้องกันโทษจากการรบกวนสมาธินั้นอย่างไรบ้างครับ เพราะเป็นการนั่งรอให้ผู้อื่นมาเรียก ?
ตอบ : เข้าฌานสี่ไปเลย ระเบิดลงก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร..!
ถาม : มีวิธีใดบ้างที่จะกระตุ้นให้เรามีความขยัน และมีวินัย ได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากที่สุดและง่ายที่สุดครับ ?
ตอบ : สร้างอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานละเอียดให้เกิดขึ้น หรือ ลุยไปยันสมาบัติแปดได้เลยยิ่งดี ถ้าสมาธิทรงตัวเท่าไร กำลังใจจะจดจ่อปักมั่นกับงานมากเท่านั้น แต่ระวังเจ้านายจะด่า เพราะว่าเขาเรียกแล้วเราไม่ได้ยิน
ถาม : พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลที่เกิดมาได้พบกัน ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์กันเลยไม่มี อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นฐานะใดฐานะหนึ่ง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นญาติพี่น้อง เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง เป็นเพื่อนฝูง เป็นบริวาร จะต้องเป็นสักฐานะหนึ่ง" เช่นนั้นแล้ว มีโอกาสหรือไม่ครับที่จะได้เจอผู้ใดผู้หนึ่งในชาติปัจจุบันนี้เป็นครั้งแรก โดยที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาในอดีตเลย ?
ตอบ : ไม่มี...อย่างน้อยก็ต้องเคยเดินผ่านเห็นหน้ากันมา
ถาม : มีวิธีการใดบ้างให้ได้เจอเนื้อคู่ของตนเองครับ ?
ตอบ : ไปออกรายการนัดบอด ถ้าเป็นเนื้อคู่ไม่ต้องหาวิธีหรอก กรรมจะจูงมาหาเองแหละ หนีให้ทันก็แล้วกัน ..!
ถาม : เขาหนีกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : วิ่ง...ถ้าเป็นอาตมาก็หนีเข้าวัด..!
ถาม : เนื่องจากได้อ่านคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ที่ท่านว่า หากต้องการให้ลูกหน้าตาดี ให้เอารูปของคนที่ต้องการให้เหมือนมาห้อยไว้ให้เห็นง่าย ๆ ตั้งใจจำรูปนั้นเวลาทำบุญให้ทาน อธิษฐานขอให้ลูกถ้าเป็นหญิงขอให้สวยอย่างนี้ อยากทราบว่า การทำเช่นนี้เป็นการเลือกวิญญาณผู้ที่จะมาเกิด ให้เป็นผู้ที่มีบุญที่ทำให้หน้าตาดีอยู่มาก หรือเป็นการเพิ่มบุญให้กับวิญญาณที่อยู่ในครรภ์แล้วครับ ?
ตอบ : จริง ๆ จะว่าไปแล้วตัวนี้เป็นจิตนิยาม ก็คือกำลังใจที่แน่วแน่ปักมั่นของแม่ทำให้เป็นไป ในเมื่อกำลังใจของแม่จดจ่อแน่วแน่ ปักมั่นในความดีขนาดนั้น ก็แปลว่าดวงจิตที่มาเกิด ต้องมีความดีรองรับอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
ถาม : ถ้าต้องการให้ลูกหน้าตาดี ควรนึกรูปไว้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ส่งไปเกาหลีก็จบแล้ว...!
ถาม : ปกติเราควรบวงสรวงก่อนเวลา ๙.๐๐ น. เพราะว่าเทวดาจะไปประชุมที่เทวสภา แต่ทีนี้ระยะเวลาของโลกกับระยะเวลาของสวรรค์ต่างกัน ผมลองคำนวณเทียบดู อย่างนี้เทวดาก็ต้องผุดลุกผุดนั่งตลอดสิครับ เพราะไม่ทันจะได้ไปเทวสภา มนุษย์โลกก็เรียกบวงสรวงอีกแล้ว ?
ตอบ : เทวดาเขาไม่ได้โง่เหมือนคุณนี่ จะได้ผุดลุกผุดนั่ง...! อยู่ที่ไหนความเป็นทิพย์ของท่านก็สามารถส่งไปถึงได้ แค่แยกจิตไปทำงานก็พอแล้ว
ถาม : หนูรู้สึกว่าวิญญาณมาใช้ร่างค่ะ ตอนนี้ทำงานลำบากมาก วิญญาณมาหาทุกวัน พอออกไปดูที ก็ปวดหัวทันที อยากกลับมานั่งสมาธิได้บ้างค่ะ รบกวนชี้ทางให้ด้วยค่ะ
ตอบ : ทำไมเขามาใช้ร่างล่ะ ? ต้องหาเหตุให้เจอ โดยเฉพาะเมื่อเจอเขาแล้วก็ถามกันตรง ๆ ว่าจะใช้อย่างไร ถ้าไม่เกินวิสัยก็ทำตามที่เขาบอกก็จบกันไป แต่ถ้าเกินวิสัยก็จงทนต่อไป
ถาม : ผมจะเดินทางไปโอกินาว่าปลายเดือนนี้ ควรจะไปขอพรกับท่านใดเป็นพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : ขอพรกับพระพุทธเจ้า..!
ถาม : และควรจะไปทำบุญอะไรเป็นพิเศษที่นั่นไหมครับ ?
ตอบ : ไปเยี่ยมศาลเจ้ายาสุกุนิ ถวายสังฆทานให้ท่านนายพลโตโจ บอกว่าช่วงที่อยู่ญี่ปุ่นห้ามแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด
ถาม : ตกงานอยู่ค่ะ จะบนขอเรื่องงานกับพระหรือเทพองค์ใด จึงจะได้ผลมากที่สุดและเร็วที่สุดคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ก็เห็นไปบนกับพ่อปู่ศรีสุทโธที่คำชะโนด ตอนนี้ผีกับเทวดาสบายขึ้น แต่พญานาคลำบากฉิ...หายเลย..!
ถาม : คนที่โพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตัวเองกินลงใน facebook แต่ไม่ได้เชิญชวนให้ใครกิน ?
ตอบ : ไม่ได้ชวนให้เขากินก็เท่ากับชวน เพราะว่าดันไปโพสต์ยั่วกิเลสเขา สมัยก่อนตอนที่อาตมายังเด็ก ๆ อยู่ ร้านขายเหล้าจะมีธงเล็ก ๆ ปักไว้ เชื่อไหมว่าคนติดเหล้าเดินผ่าน แค่มองเห็นธงเท่านั้นแหละ มือไม้สั่นไปหมด อ้วกแตกเลย นี่ดันไปโพสต์ภาพตัวเองกำลังกิน หนักกว่าปักธงตั้งเยอะ
ถาม : มีเพื่อนเห็นภาพที่โพสต์ลงแล้วอยากกินตาม เลยไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากิน ?
ตอบ : เอ็งสนับสนุนเขาทำกรรมตั้งแต่โพสต์แล้วว่ะ..!
ถาม : คนที่โพสต์ภาพนั้นถือว่ามีส่วนยุยงส่งเสริมให้คนอื่นผิดศีลข้อ ๕ ไหมครับ ?
ตอบ : ตอบไปแล้ว
ถาม : วิธีป้องกันตัวเองจากคุณไสย เสน่ห์ยาแฝด ต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะคุณไสยหรือจะเสน่ห์ยาแฝดอะไรก็ตาม อันดับแรกควรจะภาวนาให้จิตทรงสมาธิให้ได้ อย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้ากำลังของเราทรงปฐมฌานได้ เราจะมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ - ๓ ไสยศาสตร์อะไรก็ทำอันตรายไม่ได้
แต่เนื่องจากเรามีเวลาเผลอ หลุดจากการภาวนาได้ ดังนั้น...ก็เหลืออีกสองวิธีก็คือ อาราธนาพระหรืออาราธนายันต์เกราะเพชรให้คุ้มกายเราไว้ทุกวัน หรือไม่ก็เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรไปเลย
ถาม : ทำไมเวลาโดนคุณไสยเล่นงาน เราถึงมีอาการขี้โกรธ ขี้โมโห มีวิธีแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็อย่าขี้บ่อยสิ ขี้เมื่อไรก็โกรธหรือโมโหเท่านั้น...! ก็บอกแล้วว่าโดนแล้วก็เท่ากับว่าเป็นอันตรายไปแล้ว จะแก้ก็ต้องไปถอน วิธีการถอนคุณไสย อาตมาก็ถอนไม่เป็น
ฉะนั้น...จะไปสำนักไหนก็โปรดระวังไว้ด้วย เพราะว่าเขาเอาออกได้ เขาก็เอาเข้าได้ ส่วนใหญ่คนที่ไปก็กลายเป็นทาส ถึงเวลาก็เป็นอีกแล้ว หารู้ไม่ว่าพ่อเจ้าประคุณใส่มาให้ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปให้เขาอีก ถ้ามีโอกาสก็ไปงานเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งค่อนข้างจะสะดวกและปลอดภัยที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีอีก
ถาม : การจัดบูชาพระพุทธรูปภายในบ้านให้เหมือนวัด เป็นการสมควรหรือไม่คะ ?
ตอบ : สมควรอย่างยิ่ง สมัยก่อนเรื่องของพระเขาไม่เอาไว้ในบ้านเลย เพราะเขาถือว่าพระต้องอยู่วัดเท่านั้น คนโบราณออกรบราฆ่าฟันข้าศึกกลับมาเรียบร้อย ก็เอาพระไปคืนวัด จะเหลือติดตัวแต่พวกเครื่องรางของขลังเท่านั้น ดังนั้น..ถ้าจัดบ้านเหมือนวัดได้ก็เป็นเรื่องดี
ถาม : จะมีโอกาสหรือไม่ที่พระอาจารย์จะเมตตาเปิดคอร์สปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ๘ เดือน หรือตามที่จะเห็นสมควร แบบที่ส่งแม่ชีไปปฏิบัติ และบุคคลที่ส่งไปจำเป็นต้องมีพื้นฐานอย่างไรคะ ?
ตอบ : แล้วทำไมต้องเปิดด้วย ? ก็ในเมื่อรู้ว่าสถานที่นั้นเขามี เราก็ไปปฏิบัติที่นั่น ไม่จำเป็นต้องไปที่วัดท่าขนุน บุคคลที่ไปสำคัญตรงที่ต้องมีใจรักกรรมฐานอย่างมาก ไม่อย่างนั้น ๘ เดือนก็เหมือนอย่างกับ ๘ ชาติ..!
ถาม : การกล่าวขอคำขมาพระรัตนตรัยแบบบาลีบทสวด แต่ไม่ได้กล่าวคำขอขมาแบบภาษาไทยกำกับ จะมีอานิสงส์ต่างกันหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจขอขมาจริง ๆ ก็เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจขอขมา พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง ผลก็จะน้อยกว่าการที่เราพูดแล้วรู้เรื่อง
ถาม : ถ้าการตายจากโลกนี้ไปแล้ว และไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ตาม ช่วงที่หมดบุญจะต้องตกนรกเช่นเดียวกัน จะมีวิธีปฏิบัติไม่ให้หมดบุญตกนรกได้อย่างไร ?
ตอบ : อยากลงนรกกันมากเลยหรือ ? เทวดา นางฟ้า พรหม หมดบุญไม่ได้แปลว่าต้องลงนรก ส่วนใหญ่ท่านไม่ได้โง่ มักจะสร้างบุญต่อกันข้างบนทั้งนั้น
ถาม : จะต้องปฏิบัติเพื่อไม่ให้หมดบุญเหมือนกันอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเขารู้จักสร้างบุญต่อ มีพระให้ทำบุญ มีพระให้ฟังเทศน์
ถาม : เวมาณิกเปรตหรือการเป็นเปรตสลับกับเทวดา ขอทราบว่าช่วงเวลาที่เป็นเทวดานั้น ได้อยู่บนสวรรค์ชั้นที่เท่าไร ?
ตอบ : อยู่ในเขตของเปรต แต่มีวิมานเหมือนกับเทวดา
ถาม : และจะมีวิธีปฏิบัติเพื่อไม่ให้หมดบุญ ตกนรกได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : คงจะยาก เพราะว่าตอนเป็นเทวดาก็มักจะเพลินอยู่กับทิพย์สมบัติ พอถึงเวลากลายเป็นเปรตก็เดือดร้อนสาหัสทุกครั้งไป ส่วนใหญ่ก็มัวแต่เดือดร้อนและเพลิดเพลินสลับกัน โอกาสที่จะสร้างบุญเพิ่มก็ไม่มี เพราะว่าออกจากวิมานไม่ได้
ถาม : ขอทราบว่าการเข้าไปพบเห็นหรือท่องเที่ยวในภูมิต่าง ๆ เช่น บาดาล ฉิมพลีภูมิ หิมพานต์ จะต้องปฏิบัติอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติธรรมก็ต้องได้อภิญญา มีทั้งอภิญญาแบบใหญ่และแบบเล็ก แบบเล็กก็คือ ถอดจิตไปท่องเที่ยวภูมิต่าง ๆ เหล่านั้น แบบใหญ่ก็ยกกายหยาบไปเลย ประการสุดท้าย ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ถึงวาระเขาก็เปิดให้เข้าไปได้ชั่วคราว
ถาม : มนุษย์ต่างดาวมีอายุโดยเฉลี่ยประมาณกี่ปี มีนรกสวรรค์หรือไม่ และถ้าตายไปพวกเขามีดวงวิญญาณหรือไม่คะ ?
ตอบ : คำว่าดวงวิญญาณ ในความหมายของเราก็คือดวงจิต สิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดมีดวงจิตทั้งนั้น ยกเว้นบรรดาทั้งหลายที่อยู่ในลักษณะของกึ่งพืชกึ่งสัตว์ ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ดาวไหนก็มีดวงจิตทั้งสิ้น ถ้าทำดีทำชั่วถึงเวลาก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกเดียวกัน อายุของแต่ละแห่งไม่เท่ากัน แต่ส่วนใหญ่จะอายุยืนกว่ามนุษย์ทั่วไป
ถาม : หลังจากที่ตนเองได้เริ่มทำบุญที่บ้านสายลมตั้งแต่ครั้งแรกจนปัจจุบันนี้ ประมาณ ๕ ปีกว่า ได้พบเห็นเครื่องประดับขาวใส ๆ ประมาณของเทวดากระมังคะ ? ลอยติดตามไปทุกที่ตลอดเวลา นาน ๆ ครั้งก็เห็นใบหน้าเทวดา แต่ไม่สวยเหมือนรูปวาดจิตรกรรม การเห็นนิมิตแบบนี้ต้องการเตือนอะไรกับเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมักจะเป็นเทวดาที่รักษาตัวเรา เพราะฉะนั้น...อุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านบ่อย ๆ เพิ่มบุญเพิ่มบารมีให้กับท่าน ท่านจะได้รักษาเราให้ดียิ่งขึ้น
ถาม : เวลาฟังบทบวงสรวงชุมนุมเทวดา หนูหลับตาแล้วเห็นเทวดามากมาย หนูเลยนึกให้กายในกราบลง แล้วบอกท่านทั้งหลายว่า หนูกราบขอขมาหากหนูเคยล่วงเกินท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายโมทนาบุญทั้งหมดที่หนูเคยทำมาด้วย จะเป็นการสมควรไหมคะ ?
ตอบ : สมควรที่จะทำ
ถาม :แล้วสิ่งที่หนูเห็นมีอยู่จริงใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เห็นเองแต่ดันไปถามคนอื่น..!
ถาม : ผมคบกับแฟนมา ๘ ปี จนครอบครัวทั้งสองฝ่ายสนิทสนมกันมาก ครอบครัวผมรักแฟนผมและครอบครัวเขามาก ขนาดเคยเลิกกันยังกำชับไม่ให้ผมมีแฟน แต่พอกลับมาคบกันก็เร่งจะให้แต่งงาน ตอนผมบวชครอบครัวผมเครียดมาก กลัวผมไม่สึก แต่ผมมีความสุขมาก ผมปฏิบัติได้ไม่นาน แต่ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งสุข อยากบวชอีก อยากเป็นโสดตลอดไป อยากเลิกกับแฟน แต่ทางครอบครัวไม่ยอม
ผมจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบนพระที่ไหนดีครับให้ท่านดลบันดาลให้แฟนยอมเลิกกับผม ให้ครอบครัวยินดีให้ผมเป็นโสด และได้บวชตามความปรารถนา หรือผมควรวางกำลังใจอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ฉลาดกว่าควายนิดหนึ่งตรงที่เดินได้สองขา...! มึงเสือกทะลึ่งสึกมาทำไม ? ถ้าไม่สึกก็ไม่มีใครบังคับได้อยู่แล้ว
ถาม : หนูมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับกฐิน เนื่องจากปีนี้หนูรับเป็นเจ้าภาพกฐินที่วัด ได้เตรียมบริวารเครื่องกฐินไว้พร้อมเสร็จสรรพ แต่มาอ่านเจอว่ากฐินสำคัญตรงผ้าไตร หนูสงสัยว่าหากเราเป็นเจ้าภาพกฐิน จำเป็นต้องถวายผ้าไตรชุดใหญ่ถวายพระให้ครบทุกรูปหรือเปล่าคะ ? ถามเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านบอกว่าถวายรูปเดียวก็พอ เพราะท่านที่รับครองกฐินมีรูปเดียว หนูเลยสงสัยว่า อย่างไรจึงจะถูกคะ ?
ตอบ : ถ้ามีน้อยถวายสบงผืนเดียวก็พอ พอมีบ้างก็ถวายครบไตร ถ้าเหลือกินเหลือใช้ก็ถวายทุกรูป
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่นายหนังหรือว่าหัวหน้าวงมโนราห์สมัยก่อน ท่านศึกษาความรู้ไว้มาก โดยเฉพาะทางด้านเวทมนต์คาถา ซึ่งมีทั้งดึงคนมาดูการเล่นมโนราห์ของตัวเอง เพื่อสร้างรายได้ให้กับวง มีการป้องกันการกลั่นแกล้งของผู้อื่น แล้วถ้าเขาแกล้งไม่เลิกก็มีการเอาคืนด้วย
ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายจะมีความเข้มขลังทางวิทยาคมเป็นปกติ เมื่อบวชเข้าไปก็เลยกลายเป็นครูบาอาจารย์ที่ชาวบ้านเขาพึ่งได้ทันที อย่างพ่อแก่เจ้าแสงก็เหมือนกัน อยู่ปัตตานีมาจนกระทั่งอายุ ๑๐๐ กว่าปี ได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้วตั้งแต่สมัยก่อนบวช ในเขตนี้ถ้าท่านไม่ดีจริงอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าปัตตานีนี่แทบจะเป็นอีกประเทศหนึ่งแล้ว ปัตตานีน่าจะเป็นจังหวัดที่มีอิสลามมิกชนมากที่สุดในประเทศไทย พอไปถึงแล้วรู้สึกเหมือนกับเราเป็นคนแปลกหน้า
แต่ว่าช่วงก่อนที่เขาจะมีเรื่องมีราว อาตมาไปปัตตานีรู้สึกว่าเขาอยู่กันอย่างสงบร่มเย็นดี แล้วทุกวันนี้ที่น่าสงสารก็คืออิสลามที่ดี ๆ ถึงเวลาเขาก่อเหตุขึ้นมาก็พลอยตายไปด้วย ตัวคนก่อเหตุต้องบอกว่าตั้งใจจะสร้างเหตุให้เกิด โดยไม่ได้เห็นแก่ชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่เป็นอิสลามมิกชนเช่นเดียวกับตัวเอง ในสายตาของอาตมาถือว่าเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก เพราะว่าพวกตัวเองก็ยังฆ่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่แย้ม วัดสามง่ามก็ไปแล้ว อายุท่าน ๑๐๒ ปี ระยะนี้พระเถระทิ้งสังขารกันเป็นแถว ๆ จะบอกว่าท่านมรณภาพเร็วก็ไม่ได้ เพราะว่าอายุเป็นร้อยทั้งนั้น อย่างหลวงพ่อรวย วัดตะโก อายุน้อยหน่อย ๙๔ ปีเอง ต้องบอกว่าถึงวาระที่ท่านจะไป
ในวาระที่ประเทศชาติของเรารุ่มร้อน ก็ต้องเอาของเย็นมาดับ ยิ่งเย็นมากก็ยิ่งแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้มากเท่านั้น เล่นของหนัก ๆ ไปกันทีหนึ่งหลายรูปหลายองค์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ไม่มีโอกาสที่จะเข้ากรรมฐานได้อยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าท้ายสุดสิ่งที่พระท่านสั่งก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะว่าช่วงที่ต้องไปสอนหนังสือติด ๆ กัน ๒ วัน เป็นช่วงที่ควรจะเข้ากรรมฐาน กลายเป็นว่าเขาหยุดให้การสอบนักธรรม สรุปก็คือเอาจนได้แหละ ในเมื่อเขาเว้นให้สอบ อาตมาไม่ต้องไปสอน จึงเข้ากรรมฐานได้ตามที่ท่านสั่ง"
ถาม : การปฏิบัติของผมคือฟังเทปหลวงพ่อ แล้วปฏิบัติตาม ?
ตอบ : ทำแล้วต้องมีศีลกำกับด้วย เราระมัดระวังรักษาศีลเป็นปกติ สมาธิก็จะทรงตัวเอง ถ้าเราทำสมาธิได้ก็จะมีกำลัง อันดับแรกคือกำลังใจในการที่เราละชั่วทำดี หลังจากนั้นจะมีปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป ว่าทำอย่างไรถึงจะก้าวไปสู่ความดีที่สูงยิ่งขึ้น
อันดับแรกเอาในเรื่องของศีลก่อน จากนั้นพยายามฝึกหัดสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก ถ้ากำลังใจทรงตัวมุ่งมั่น ศีลก็จะรักษาเราเอง
ถาม : ติดขัดในการปฏิบัติ ?
ตอบ : เราต้องตามลมหายใจจนกระทั่งลมหายใจหายไปเอง คำภาวนาหายไปเอง แล้วเหลือแต่ตัวรู้อย่างเดียว สภาพจิตจะดิ่งลึกเป็นสมาธิลงไปเรื่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่พอไปถึงตรงนั้นแล้ว มักจะตกใจว่าเราไม่หายใจ แล้วก็ตะเกียกตะกายหายใจใหม่ กลายเป็นถอยหลังไป ของพวกนี้ต้องค่อย ๆ สะสมไป แต่ว่าอยู่ในที่อันตรายอย่างปัตตานีดีตรงที่ว่า ใจเราเกาะพระแน่นดี ถ้าอยู่ที่สบาย ๆ แล้วไม่ค่อยนึกถึงหรอก
ถาม : ยานี่เอาไว้ทำอะไรคะ (ยาจินดามณี) ?
ตอบ : เขาเอาไว้รักษาโรคที่หมอทั่วไปรักษาไม่ได้ แต่มีผลข้างเคียงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือร่างกายทรุดโทรมช้า หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ใคร ๆ ก็เรียกคุณยาย ๒,๐๐๐ ปี เพราะว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา เล่นเหมายาหลวงปู่บุญไปให้ภรรยา ภรรยากินทุกวัน อายุ ๘๐ กว่าแล้วยังเดินตัวปลิวเลย
เจตนาเขาไว้รักษาโรค ถ้าจะกินให้ไม่แก่นั่นผิดเจตนา ยังแก่อยู่...แต่เป็นคนแก่ที่แข็งแรง
จริง ๆ แล้วต้องขายเป็นเม็ด สมัยก่อนหลวงปู่บุญให้ลูกศิษย์ปั้นยาจินดามณี เม็ดเท่าพริกไทยเอง สมัยนี้พวกเราฟุ่มเฟือยเป็นบ้า ส่วนผสมยิ่งหายาก ๆ หลายอย่างต้องอาศัยบุญวาสนาจริง ๆ ถึงได้เรียกว่ายาวาสนา ดูอย่างอำพันทอง ร้อยวันพันปีจะมีลอยมาติดชายฝั่งเสียที บางคนบอกว่าเป็นสเปิร์มปลาวาฬ บางคนบอกว่าเป็นอ้วกของปลาวาฬ
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนุมานหรือลิงของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ส่วนใหญ่แกะหยาบ ๆ ไม่มีรายละเอียด ลิงของหลวงปู่สุ่น วัดศาลากุน ถือว่าโชคดี ได้ช่างจีนฝีมือดี เลยแกะออกมาหน้าตาดูหล่อ ไม่อย่างนั้นส่วนใหญ่จะแกะออกมาลวก ๆ ดูอย่างลิงของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัวสิ เกลา ๆ ขึ้นรูปมาเท่านั้นเอง บางตัวช่างกำลังอารมณ์ดีแกะออกมายิ้มแฉ่งเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยนี้สงสัยว่า สมัยก่อนการทรงจำพระไตรปิฎกใช้การท่องจำเอา มีความแม่นยำแค่ไหน ? เราดูแค่การสวดมนต์ทุกวันนี้ก็พอ ถ้าสวด ๆ ไปแล้วมีคนสวดผิด เราจะรู้ทันทีว่าเขาผิด
ลักษณะของการท่องจำพระไตรปิฎกก็แบบเดียวกัน เขาท่องพร้อม ๆ กัน เวลาใครผิดก็รู้ จะได้แก้ไขให้ถูก เพราะฉะนั้น...โอกาสที่คนหมู่มากถูก คนส่วนน้อยผิด คนส่วนน้อยก็จะต้องแก้ไขตาม เขาถึงได้ใช้คำว่า สังคีติ ก็คือการร้อยกรอง เหมือนแต่งโคลง แต่งกลอน หรือแต่งเพลง
การที่เราสังคายนามาจาก คำว่า สังคีติ ในบาลี ใครผิดส่วนใหญ่จะรู้ทันที แล้วคนผิดก็จงรีบแก้เสียดี ๆ"
ถาม : อาการขนลุกเกิดจากเหตุอะไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : ขนลุกมีหลายสาเหตุด้วยกัน ถ้าภาวนาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสมาธิ เขาเรียกว่าปีติ เป็นปีติเบื้องต้น แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ซึ่งอากาศเย็นก็มีขนลุก หรือผีกำลังจะหลอกก็ขนลุก เพราะฉะนั้น...ต้องดูบริบทด้วยว่าเป็นเพราะอะไร
ถาม : ลูกน้องชอบหยุดงาน ไม่เชื่อฟัง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็แค่ยุติธรรม ตรงไปตรงมา คนไหนไม่เชื่อก็ไล่ลดปลดออก ตัดเงินเดือนอะไรไปก็ได้ พวกเราส่วนใหญ่จะไปกลัวว่าหาคนใหม่ไม่ได้ ไม่ต้องไปกลัว ไล่กระจายไปเลย ถ้าหากว่าเรางานดีเงินดีจริงแล้วมีความยุติธรรม อยู่ที่ไหนเขาก็มาเอง
สมัยก่อนที่อาตมาคุมงานอยู่ก็ใช้ระบบนี้แหละ เพราะว่าพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะถึงกันหมด พอถึงกันหมดนี่เราทำอะไรคนหนึ่งคนอื่นจะรู้ด้วย ถ้าเรามีความยุติธรรมจริง เงินเดือนออกตรงเวลา มีการปูนบำเหน็จลงโทษชัดเจน เดี๋ยวเขาก็มาเอง ถ้ามัวแต่ไปกลัวอยู่เขาก็ขี่หัวเป็นพ่อเรา ไม่ใช่เป็นลูกน้องเรา
ถาม : อยากจะเอาลูกชายมาฝากเป็นลูกท่านครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเอามาหรอก จะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การอบรมสั่งสอน ไม่ใช่ว่าเอาไปฝากเป็นลูกพระแล้วลูกจะดี ฝากเป็นลูกพระส่วนใหญ่จะเดือดร้อนทีหลัง ถึงเวลาเผลอไปตีเข้า เดี๋ยวเขาก็ป่วยไข้ไม่มีสาเหตุ
ถาม : ช่วงนี้ไปปฏิบัติแล้วรู้สึกแห้ง ๆ กลัวว่าฝึกมากไป พอผ่อนแล้วกิเลสจะแรงขึ้นกว่าเดิมครับ ?
ตอบ : ก็พิจารณาสิครับ ให้เห็นว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร ? น่าเบื่อหน่ายอย่างไร ? ควรที่เราจะละทิ้งแบบไหน ? ถ้าหากว่าสภาพจิตยอมรับ ก็จะถอยห่างออกมาเอง จะไม่กำเริบ ต้องพิจารณาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ใช่แห้งอย่างเดียว เดี๋ยวจะโดนงัดหงายท้องไปด้วยจะหนักกว่าเดิม เพราะฉะนั้น...ไปพิจารณาเพิ่มอีกหน่อย
ถาม : เราตั้งใจจะมีเมตตา เคยเมตตาแล้วแต่ใช้ไม่ได้ผลกับคนไม่ดี แล้วเราเปลี่ยนกำลังใจไปอีกอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : อุเบกขาในเมตตา พูดง่าย ๆ คือเตะสักป้าบหนึ่ง เพราะว่าถ้าหากว่ากูไม่เตะมึงนะ ไปเจอคนอื่นเขาอาจจะฆ่ามึงเลย เพราะฉะนั้น...กูเมตตามึงแค่นี้ ว่าแล้วก็เหวี่ยงซ้ำเข้าให้ อย่าไปเมตตาอย่างเดียว ต้องมีอุเบกขาด้วย การเมตตาไม่ได้หมายความว่าไม่ทำอะไรเลย ถ้าเราไม่สั่งไม่สอน เขาก็จะทำผิดไปเรื่อย ๆ อันนั้นถือว่าไม่เมตตาเสียด้วยซ้ำไป
ถาม : ภาวนาพุทโธ แล้วลมหายใจเบา ๆ ไม่แน่ใจว่าต้องให้นิ่งไปกว่านี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าไม่สามารถไปไกลกว่านี้ก็ถอยออกมาพิจารณา แต่ถ้าไปไกลกว่านี้ได้จะดีกว่า เพราะว่ากำลังจะสูงกว่า เมื่อพิจารณาแล้วสามารถตัดกิเลสได้ง่ายกว่า
ถาม : ตอนพิจารณา...?
ตอบ : ถ้าปัญญาเห็นจริง สภาพจิตจะยอมรับว่าเป็นไปตามนั้น เมื่อยอมรับแล้วก็รับเลยโดยไม่กำเริบใหม่ อย่างเช่น บอกว่าร่างกายนี้ไม่ดี ก็เห็นว่าไม่ดีจริง ๆ ในเมื่อร่างกายของเราไม่ดี ก็จะเห็นว่าร่างกายของคนอื่นก็ไม่ดีด้วย ไม่ต้องการของเราก็ไม่ต้องการคนอื่นด้วย ตัวปัญญาถ้ายอมรับจะรับแบบเด็ดขาด ภาษาบาลีเรียกว่า สมุจเฉทปหาน ตัดขาดได้เลย ค่อย ๆ ทำ เดี๋ยวจะแซงพระไปไกล
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้น้ำซึ่งท่วมหลายพื้นที่ก็เริ่มคลี่คลายตัวลง ในขณะที่อีกหลายพื้นที่เพิ่งจะเริ่มท่วม ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดนท่วมพอ ๆ กัน เอเชียก็ท่วม ยุโรปอเมริกาก็ท่วม ท่วมกันทั่วถึงมาก โดยเฉพาะรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นว่าน้ำท่วมครั้งนี้น่าจะเสียหายเป็นหมื่นล้านดอลล่าร์ เพราะว่ารัฐเท็กซัสสมัยก่อนค่อนข้างจะแล้งมาก แต่อยู่ ๆ มาเจอพายุเฮอริเคนตามมาด้วยฝนหนัก
ส่วนเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มุมไบสมัยก่อนชื่อบอมเบย์ มุมไบเปรียบไปก็เหมือนกับกรุงเทพฯ ของเรา ท่วมไม่มากหรอก แค่คอเท่านั้นเอง..!
ในเมื่อเราทำความดีกันน้อยลง ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็รุนแรงขึ้น การสิ้นกัปหรือว่าการสิ้นโลกของเราจะสิ้นลงไปด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยโรคภัย ด้วยอาวุธ ถ้าเป็นสันตถันตรกัปก็จะโดนทำลายด้วยอาวุธ อย่างนิวเคลียร์ล้างโลก เป็นต้น ถ้าเป็นโรคันตรกัปก็จะโดนทำลายด้วยโรค
เรื่องพวกนี้มีระบุเอาไว้นานแล้ว เพียงแต่ว่าคนเราอยู่นาน ๆ ไปก็ห่างศีล ห่างธรรม ห่างความดี เมื่อความชั่วมีมากกว่า กระแสความชั่วแรงกว่า ไม่มีส่วนของความดีมาคอยยับยั้ง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามกรรมที่เราทำไว้เอง
ดังนั้น...ถ้าพวกเราไม่อยากเดือดร้อน ก็ต้องปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นปกติ เอาให้ถึงระดับที่บาลีเรียกว่า ฐิตะกัปปี ได้ก็ยิ่งดี ฐิตะกัปปีแปลตรง ๆ ว่า ผู้ยังกัปนี้ให้ตั้งอยู่"
"ในบาลีบอกว่า บุคคลนั้นจะเข้าถึงมรรคผลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ต่อให้โลกจะโดนทำลายแล้วก็ยังทำลายไม่ได้ ต้องรออยู่จนกว่าท่านจะได้มรรคผลตามวาระของท่านเสียก่อน จึงได้ชื่อฐิตะกัปปี ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่
พวกเราทำความดีกันแม้ว่าจะจำนวนน้อย ก็อาจจะแค่รักษาตัวเรา รักษาครอบครัว เอาแค่นี้ก็พอ...ไม่ต้องมาก ถ้ามากไปกว่านั้น ท่านที่ทรงความดีสูง ๆ ก็สามารถรักษาชุมชน จะเล็กจะใหญ่ก็แล้วแต่กำลังความดีของท่าน
เราจะเห็นว่าระยะนี้หลวงปู่หลวงพ่อที่ทรงคุณความดี โดยเฉพาะอายุมากเป็นร้อยปี มรณภาพกันหลายรูปหลายองค์ แม้ว่าจะเป็นการมรณภาพ เท่ากับสูญเสียบุคคลที่ทรงคุณความดีไป แต่ก็แลกกับภัยพิบัติ ซึ่งจะรุนแรงมากก็กลายเป็นเบาบางลง
ทางบ้านของอาตมาเองคือจังหวัดนครปฐม ก็เพิ่งจะเสียพระเถระที่อายุกาลพรรษามาก คือ หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม อายุ ๑๐๒ ปี ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม หลวงปู่เต๋สมัยก่อนโด่งดังมาก สิ่งที่พวกอาตมาอยากได้สมัยนั้นก็มีตะกรุดของหลวงปู่เต๋ บรรดาพ่อค้าแม่ขายก็อยากได้ตุ๊กตาทองของท่าน ตอนหลังตุ๊กตาทองของท่านเขาเรียกกันว่ากุมารทอง หลวงปู่เต๋เป็นสำนักแรก ๆ เลยที่สร้างกุมารทอง
ท่านทำตะกรุดแล้วดังขนาดไหนบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าถ้าหาวัสดุสร้างตะกรุดไม่ได้ ต้องเอาถุงปูน ปูนก่อสร้าง..ปูนซิเมนต์นั่นแหละ มาทำความสะอาด เขียนยันต์เสร็จแล้วก็ม้วน ถักเชือกให้ลูกศิษย์แทน เพราะว่าหาโลหะไม่ทัน นาน ๆ จะมีตะกรุดถุงปูนหลุดออกมาสักที เราต้องคิดว่าบุคคลที่สร้างวัตถุมงคล ลูกศิษย์ไปขอจนกระทั่งสร้างไม่ทันนั้น ท่านจะเป็นที่เคารพนับถือขนาดไหน"
"บางสำนักอย่างหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย เจ้าของเครื่องรางในตำนานก็คือ พิสมรวัดพวงมาลัย หลวงปู่แก้วหาวัสดุสร้างตะกรุดให้ลูกศิษย์ไม่ทัน ก็เอาสังกะสีมุงหลังคาศาลานั่นแหละ เอามาตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เขียนยันต์แล้วม้วนเป็นตะกรุดให้ เพราะฉะนั้น...ใครไปเจอตะกรุดสังกะสีผุ ๆ นี่ โปรดอย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด อาจจะมองข้ามของดีไปอย่างน่าเสียดาย
ถ้าไปเจอม้วนกระดาษเก่า ๆ มีเชือกผูกหัวผูกท้ายมา ก็อย่าไปคิดว่าใครมาทำอะไรเหลวไหล นั่นคือตะกรุดถุงปูนของหลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม
ตะกรุดเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่ใช้ร้อยเชือกติดตัว ค่านิยมก็คือต้องแขวนไม่ต่ำกว่าเอว สมัยก่อนเป็นหนึ่งในเครื่องคาดราชศัสตรา ก็คือของขลังคู่กายพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งจะมีตะกรุด มีลูกสะกด เป็นต้น ถามว่าทำไมเครื่องรางของขลังกลายเป็นเครื่องคาดราชศัสตราติดพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ? ก็เพราะว่าสมัยก่อนเขาถือว่าพระต้องอยู่วัด
ดังนั้น...คนสมัยโบราณไม่ได้บูชาพระอยู่กับบ้าน เพราะเห็นว่าบ้านเป็นของต่ำ พระผู้บริสุทธิ์ไม่ควรที่จะอยู่ปะปนกับคน เพราะฉะนั้น...สมัยโบราณเมื่อออกรบอะไรเสร็จสรรพเรียบร้อย ถ้ามีพระติดตัวไป ถึงเวลาเลิกรบแล้วก็เอาพระไปคืนไว้ที่วัด ที่จะติดตัวอยู่ก็มีแต่พวกเครื่องรางเท่านั้น อย่างเช่นว่า ตะกรุด พิสมร แหวนพิรอด สายคาดเอว เป็นต้น ก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องคาดราชศัสตรา"
"เท่าที่อาตมาเคยได้ข่าวมาก็มี หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จังหวัดอยุธยา ทำตะกรุดถวายในหลวง มีหลวงพ่อไท วัดไทรย้อย จังหวัดเพชรบุรี ทำเสือมหาอำนาจถวายในหลวง แล้วที่เห็นคาตา ก็คือ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถวายมีดหมอดาบฟ้าฟื้นให้ในหลวง ทั้ง ๒ พระองค์เลยนะ ทั้งในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในปัจจุบัน
สมัยก่อนครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละรูป ท่านสร้างเครื่องรางของขลังให้ลูกศิษย์ ก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก เพราะส่วนหนึ่งเกรงว่าจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ เกรงลูกศิษย์ได้เครื่องรางของขลังไปแล้วอยู่ยงคงกระพัน อาวุธทำอันตรายไม่ได้ อาจจะคิดการใหญ่ก่อกบฏขึ้นมา ก็เลยมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างสูง
ท่านที่ทำถวายในหลวง ก็จะทุ่มเทสุดยอดความสามารถในชีวิตของตน เพื่อที่จะสร้างวัตถุมงคลที่มีพลานุภาพสูงสุด ถวายเป็นเครื่องคาดราชศัสตรา อย่างเช่น สายวัดประดู่ทรงธรรม สืบทอดตำราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งได้สร้างเครื่องคาดราชศัสตราถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทางสายวัดประดู่ทรงธรรม ก็จะทำตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชถวายในหลวง ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชต้องใช้พิธีใหญ่ ล้อมราชวัตรฉัตรธง แล้วจารตะกรุดในพิธี โดยมีพระสงฆ์ ๑๐๘ รูปเจริญพุทธมนต์ แล้วต้องมีการกำหนดว่า เจริญพุทธมนต์บทนี้ต้องลงอักขระชุดนี้ เจริญพุทธมนต์บทนี้ลงอักขระชุดนี้ สวดจบก็เขียนตะกรุดเสร็จพอดี
ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชจึงไม่ใช่ของหาง่าย ๆ อาตมาเรียนมาจากตำราสายหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ที่ถ่ายทอดไปถึงหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี แล้วหลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน ศึกษามาอีกต่อหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำเมื่อไร เพราะว่าต้องใช้พระ ๑๐๘ รูป ตั้งปะรำพิธี ๔ ทิศ ทิศละ ๒๗ รูป"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ในสื่อสังคมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างร้อนแรง ความจริงนั้นเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ดังขึ้นมาอีกรอบก็คือ เรื่องที่คุณเนติวิทย์ ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดนปลดออก
คุณเนติวิทย์คัดค้านการที่นิสิตไปหมอบกราบพระบรมราชานุสาวรีย์ ๒ รัชกาล ในเมื่อคัดค้านแล้ว ทำให้มีความปั่นป่วนขึ้นในพิธี มหาวิทยาลัยก็เลยลงโทษด้วยการตัดคะแนนความประพฤติ จนกระทั่งคะแนนไม่พอ จึงหลุดออกจากสภานิสิต ฯ ซึ่งเรื่องนี้ในความเห็นของอาตมาว่า ทางมหาวิทยาลัยทำถูกแล้ว
เหตุที่ทำถูกแล้ว ไม่ใช่ว่าการเห็นต่างของคุณเนติวิทย์เป็นความผิด แต่คุณเนติวิทย์ทำแบบไม่ดูกาละเทศะ ไม่ดูขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี โบราณว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม แต่คุณเนติวิทย์เป็นคนตาดีเพียงคนเดียว ก็เลยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ยาก
ถ้าว่ากันในด้านของหลักธรรม คุณเนติวิทย์ขาดข้อธรรมที่ว่า ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีคุณความดีขนาดไหน คนรู้กันทั้งในและต่างประเทศ คุณเนติวิทย์จะบอกว่าพระองค์ท่านเลิกทาสแล้ว ทำไมต้องไปหมอบ ไปกราบ ไปไหว้อยู่ด้วย ในเมื่อไม่รู้จักบุคคลที่ควรบูชายังไม่ว่า ยังไม่รู้กาลเทศะอีกต่างหาก"
"กาละ คือ เวลาที่เหมาะสม เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม
แปลว่าขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ก็คือขาดมงคลอีกข้อหนึ่งที่ว่า การมีศิลปะเป็นอุดมมงคล คือ สิปปัญจะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ในเมื่อขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ไม่รู้จักคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่ แปลว่าเป็นบุคคลที่กระด้าง คำว่ากระด้างก็คือ ส่วนใหญ่ต้องการอย่างไรตัวเองไม่สนใจ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกแล้ว ดีแล้ว อย่างเดียว บุคคลประเภทนี้จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ยาก
สมมติว่าเรียนจบไปแล้วถ้าไปสมัครงาน ไปบริษัทไหน ถึงเวลายื่นใบสมัคร เขาเห็นว่าชื่อเนติวิทย์ ทุกบริษัทก็คงจะคิดหนัก ว่าบุคคลมีความสามารถแต่ไม่รู้กาละเทศะ ไม่เคารพธรรมเนียมแบบนี้ ควรที่จะรับเอาไว้ในบริษัทของตนหรือไม่ ?"
"เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะเห็นว่า ในส่วนของหลักธรรมคุณเนติวิทย์ก็ขาด ในด้านของสังคมก็บกพร่อง ท้ายที่สุดก็เลยเหลือในเรื่องของปัญญา
ในเรื่องของปัญญานั้น คุณเนติวิทย์สามารถสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ในเรื่องของปัญญาที่เป็นสุตมยปัญญา ก็คือ ความจำ ถือว่าดีมาก แต่ว่าปัญญาในการเอาตัวรอดที่เป็นเนปักกปัญญาไม่มี ก็เลยต้องไปขัด ต้องไปสะดุดกับระบบ ไปสะดุดกับธรรมเนียมประเพณีของคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เป็นที่ถูกใจของตนเองที่เป็นชนกลุ่มน้อย เป็นเสียงส่วนน้อย ในเมื่อตนเองเป็นเสียงส่วนน้อย ไม่รู้จักเคารพเสียงส่วนมาก ปัญหาจึงเกิดขึ้น
บุคคลประเภทนี้อยู่ที่ไหนก็จะสร้างความวุ่นวายให้กับสังคมที่นั่น เพราะว่าถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง เห็นว่าตัวเองทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว
บุคคลอย่างคุณเนติวิทย์เกิดเร็วเกินไป หรือเกิดผิดสถานที่ คำว่าเกิดเร็วเกินไปก็คือ ถ้าต่อไปอีกสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปี สังคมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในแนวที่เขาต้องการ ขณะเดียวกัน ถ้าไปเกิดอยู่ในสังคมตะวันตก ที่เชื่อความสามารถของคนมากกว่าเชื่อความดีของคน ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกับเขาได้
แต่ว่าในสังคมของบ้านเรายังเชื่อในความดีของคน ยังมีการแสดงออกในลักษณะของกตัญญูกตเวทิตา ก็จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ยาก"
"ดังนั้น...เรื่องของคุณเนติวิทย์จึงขอสรุปลงตรงที่ว่า เป็นบุคคลที่ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ไม่เข้าใจสภาพสังคมส่วนใหญ่ว่ามีความต้องการอะไร และบกพร่องทางปัญญา แสดงออกโดยไม่ดูกาลเทศะ ไม่ดูขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี จึงทำให้ตนเองและบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองเดือดร้อน
เรื่องการเห็นต่างของคุณเนติวิทย์เป็นของดี เพราะว่าบุคคลอื่นจะได้ดูว่า สิ่งที่คุณเนติวิทย์ว่ามานั้นมีความจริงเท่าไร แต่เราจะต้องคำนึงถึงสภาพของส่วนรวมด้วย ไม่ใช่ว่าเราไปได้คนเดียว แต่มหาวิทยาลัยไปไม่ได้ มหาวิทยาลัยของเราไปได้ แต่ประเทศชาติไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ถูกต้อง
ความจริงเรื่องของคุณเนติวิทย์ไม่น่าจะดังขึ้นมา แต่ที่ดังขึ้นมาเพราะว่าเมื่อเขาแสดงการต่อต้านระบบแล้ว อาจารย์ก็แสดงออกด้วยความรุนแรง เรื่องจึงดังขึ้นมา เราเองเมื่ออยู่ในกระแสสังคม เราต้องรู้จักกลั่นกรองด้วยสติ ด้วยปัญญา จะได้เห็นว่าอะไรดีจริง อะไรไม่ดีจริง อะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นแล้ว มัวแต่ใช้อารมณ์ ก็อาจจะสร้างกระแสร้อนแรง โหมกระพือไฟ จนกระทั่งกลายเป็นความแตกแยกในสังคม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานฉลอง ๘๐ ปีตุ๊พ่อสิงห์ ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายจนสำเร็จลงด้วยดี ต้องบอกว่าจัดได้ดีกว่าที่อาตมาคาดไว้มาก เพราะว่าไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิด แต่ท่านที่รับช่วงไปดูแลมีความสามารถจริง ๆ โดยเฉพาะในส่วนของซุ้มสืบชะตา ทำได้สวยมาก ยังบอกกับท่านเอาไว้ว่า เดี๋ยวพออีก ๒ ปี จะจัดงานของตัวเอง ๖๐ ปีบ้าง ขอให้พระชุดนี้ไปช่วยงานที่วัด ท่านเจ้าอาวาสวัดศรีปิงเมืองท่านตกลงแล้วนะ
เรื่องของการจัดงาน ๘๐ ปีให้ตุ๊พ่อสิงห์ ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จในหลายด้านด้วยกัน ด้านความรักความสามัคคีในหมู่ศิษย์ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ทุกคนพร้อมใจกันช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนงานออกมาดีมาก ในเรื่องของความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่
เพราะว่าในช่วงวันที่ ๑๙ ตุ๊พ่อก็ได้มาติกาบังสุกุล ทำบุญถวายบรรพบุรุษก่อน พอวันที่ ๒๐ คณะศิษย์ก็จัดงานสืบชะตาหลวงถวายท่าน คือตุ๊พ่อท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ คณะศิษย์ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อตุ๊พ่อ
ฉะนั้น...ในส่วนเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงามของไทยเรามาแต่เดิม ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างจะเลือนลางจางหายไปในกระแสสังคมยุคใหม่ พวกเราก็ได้ทำให้ปรากฏชัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราระยะนี้ให้ระมัดระวังเรื่องน้ำไว้ด้วย ตอนนี้น้ำท่วมทั่วโลกเลย ไม่ใช่แต่บ้านเรา ได้ยินกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนในเรื่องของพายุเข้าประเทศไทย ก็ระมัดระวังล่วงหน้าไว้สักนิดหนึ่ง
ในเรื่องของการอุตุนิยมวิทยาสมัยใหม่ ความรู้ความสามารถมีมากขึ้น เพราะว่าเครื่องมือเครื่องไม้ดีขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้ทำนายได้แม่นยำ ลักษณะเดียวกับประเทศอังกฤษ ประเทศอังกฤษทำนายสภาพอากาศทุกชั่วโมง ใครจะออกจากบ้านนี่จะโทรถามก่อน ถึงเวลาจะได้รู้ว่าจะฝนตก แดดออก หิมะลงอย่างไร จะได้ระวังป้องกันไว้ล่วงหน้า
เรื่องของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะคุณสมิทธ ธรรมสโรช ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ยอมรับความสามารถของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ บอกอะไรก็เป็นอย่างนั้น จนคุณสมิทธงงว่า ตนเองมีเครื่องไม้เครื่องมือในการตรวจสภาพอากาศครบถ้วน ยังทำนายไม่ได้อย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเลย"
"ตอนช่วงปีนั้นพายุแองเจล่ากำลังจะเข้าปักษ์ใต้ คุณสมิทธก็รีบทูลเกล้าถวายรายงาน เพราะว่าถ้าขึ้นฝั่งเมื่อไรบรรลัยแน่นอน เหตุว่าแรงกว่าวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกอีก ในหลวง ร.๙ ยืนยันกับคุณสมิทธว่า พายุไม่ขึ้นฝั่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากว่าอย่างไรพายุก็ต้องขึ้นฝั่ง
แต่กระนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ไม่ได้ทรงประมาท สั่งให้เรือหลวงจักรีนฤเบศร์ลอยลำเตรียมช่วยเหลือผู้คน ถ้าไม่เป็นไปตามที่พระองค์ท่านตรัสไว้ สั่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เตรียมช่วยเหลือผู้คนล่วงหน้าไว้แล้ว แต่พอพายุใกล้จะเข้าถึงฝั่งก็หักเลี้ยวออกทะเลไปเฉย ๆ แทนที่จะเข้าประเทศไทยก็ไปถล่มเวียดนามแทน
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงตรัสในวันที่ ๓ ธันวาคมว่า พระองค์ท่านไปขอความช่วยเหลือจากนางมณีเมขลา ซึ่งเป็นเทวดาที่ดูแลสภาพดินฟ้าอากาศและมหาสมุทร นางมณีเมขลาบอกว่าจะลองช่วยดู แล้วพระองค์ท่านก็สรุปว่า ตกลงว่านางเมขลาแข็งแรงกว่า ก็เลยปล้ำจนพายุยอมเปลี่ยนทิศไปได้ ซึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นที่ไหนในโลก
เมื่อเห็นคนฟังทำหน้างง ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เลยสรุปว่านางมณีเมขลา ก็คือ สัญลักษณ์ของกรมฝนหลวง ก็ในเมื่ออยากโง่ดีนัก พระองค์ท่านก็เลยลากออกทะเลไปเลย"
"มีอยู่ปีหนึ่งที่อากาศแห้งแล้งมาก ปรากฏว่าอยู่ ๆ ฝนหลงฤดูก็ตก ตั้งแต่กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายนเลย ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตรัสว่า พระองค์ท่านไปขอร้องท้าวมหาราช ให้พาเทวดาไปเล่นสงกรานต์ที่สุวรรณภูมิหน่อย เพราะว่าชาวบ้านเขาเดือดร้อน เนื่องจากฝนแล้ง
ท้าวมหาราชท่านตอบว่า เมื่อพระราชาของแคว้นสุวรรณภูมิขอร้องก็จะจัดให้ แต่อาจจะมีบางที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมากเกินไป ในหลวงก็ตรัสว่าถ้าคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ คนส่วนน้อยเดือดร้อน ก็ต้องยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม ให้เอาส่วนใหญ่แล้วกัน ท้าวมหาราชท่านก็เลยจัดเต็มให้
นี่คือสิ่งที่ในช่วงท้าย ๆ ของการทรงงาน แล้วพระองค์ท่านเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผีเรื่องของเทวดานางฟ้านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก และพระองค์ท่านสามารถติดต่อพูดคุยได้ ขอร้องให้มาช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนของพระองค์ได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่ยังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเตือนไว้นักหนาว่า ถ้าไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ไหน ให้ทำการบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางและครูบาอาจารย์ไว้เสมอ เพราะว่าเรื่องของเทวดา เรื่องของพรหม รับปากอะไรใครไว้ก็ให้เฉพาะคนนั้น ถ้าคนใหม่มาต้องทำความตกลงกันใหม่
ฉะนั้น...บางแห่งบางสถานที่เมื่อละเลยตรงจุดนี้ เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้น เราก็จะได้เข้าใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะว่าเรื่องของพรหม เทวดา ท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเรา ถ้าเราไม่ได้ขอร้อง ท่านก็วางเฉย แต่ถ้าเราขอร้อง โดยความสัมพันธ์ โดยหน้าที่ หรือว่าโดยวาระบุญวาระกรรมที่ผูกพันกันมาแต่เดิม ท่านก็จะช่วยสงเคราะห์ผ่อนหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายให้ได้
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากต่อมากด้วยกัน ไม่ว่าจะในเทวตาสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ มารสังยุตต์ กล่าวถึงเรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องของมาร หรือว่าในส่วนของวิมานวัตถุ เปตวัตถุ กล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทั้งที่เสวยสุขและเสวยทุกข์
แต่ว่าคนสมัยหลัง ๆ ความสามารถไม่ค่อยจะถึง สภาพจิตไม่มีความผ่องใสเพียงพอ ไม่สามารถรับรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ส่วนหนึ่งก็กล่าวหาว่าเป็นการหลอกลวงกัน โดยไม่ได้ดูว่า หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านอาศัยการสงเคราะห์ของพระ ของเทวดาอยู่เป็นปกติ ก็เลยกลายเป็นว่าคนยุคใหม่ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้
ก็ดีอยู่อย่างเพราะว่าพรหม เทวดา ไม่ค่อยเดือดร้อน ในเมื่อไม่เชื่อก็ไม่มาขอให้ช่วย แต่คราวนี้พรหม เทวดา ไม่เดือดร้อน ปัจจุบันเห็นว่าพญานาคเดือดร้อนมาก ใคร ๆ ก็ไปหาพ่อปู่ศรีสุทโธที่คำชะโนด...ใช่ไหม ? หมดท่าหมดทางก็ทำน้ำท่วมคำชะโนดไปเลย จะได้ไม่ต้องไปกันอีก"
"บ้านเราเป็นเรื่องแปลก เป็นเมืองพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องเอาพระรัตนตรัยเป็นใหญ่ ตามมาด้วยพรหม เทวดา แล้วค่อยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ
แต่บ้านเรากลับไปเชื่อที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ก่อนที่จะเป็นพรหม เทวดา ก่อนที่จะเป็นพระรัตนตรัยซึ่งที่เป็นที่พึ่งสูงสุด ก็เลยกลายเป็นสังคมย้อนแย้ง กลับตาลปัตรอย่างที่เห็นกันปัจจุบันนี้"
ถาม : เคยบอกบุญกับเพื่อน ๆ ญาติ ๆ ว่าจะซื้อของถวายสงฆ์ แล้วออกเงินซื้อของไปก่อน เพื่อนกับญาติค่อยมาจ่ายทีหลัง ส่วนที่จ่ายทีหลังจะเป็นสงฆ์หรือของหนูคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่เกินราคาของที่ซื้อ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่เราจ่ายไปแล้ว ไม่นับเป็นของสงฆ์ แต่ถ้าสมมติว่าเราซื้อของไป ๕๐๐ บาท แต่ญาติ ๆ เขาทำบุญมา ๑,๐๐๐ บาท อีก ๕๐๐ บาทนั่นจึงเป็นของสงฆ์
ถาม : เปรียบเทียบคนไม่ชอบทุเรียนทนกลิ่นทุเรียนที่ใส่มาในรถไม่ได้ แต่คนที่ชอบกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้พยายามสูดดม กับการที่เจริญอสุภกรรมฐานได้แล้ว จะเป็นว่าไม่ได้กลิ่นส้วมแบบที่ไปทิเบตหรือไม่ ?
ตอบ : ได้กลิ่นเป็นปกติ ดีไม่ดีก็ได้กลิ่นชัดกว่าปกติ เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายของเรานั้นเป็นเรื่องแปลก เพราะว่าสามารถปรับให้คุ้นชินกับสภาพรอบข้างได้เร็วมาก พอเริ่มคุ้นชินแล้วก็ไม่ได้นึกถึง พอไม่ได้นึกถึงก็เท่ากับไม่ได้กลิ่นไปโดยปริยาย
ถาม : แปลว่า ที่คนที่ชอบทุเรียนไม่ได้กลิ่นทุเรียน คือผลจากกิเลสหรือไม่ใช่ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือยังมีกลิ่นเป็นปกตินั่นแหละ เพียงแต่ว่าพอเราชินแล้วก็ไม่ได้ไปใส่ใจ ลักษณะแบบเดียวกับพวกโรงฆ่าสัตว์ พวกเราเข้าไปใหม่ ๆ เจอกลิ่นนี่หงายท้องตึงเลย แต่คนที่อยู่ที่นั่นเขาไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าจมูกของเขาชินแล้ว
ถาม : คนที่ฝึกอสุภกรรมฐานได้ถึงที่สุด เวลาได้กลิ่นจะเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ชัดเจนกว่าปกติมาก แต่ว่าสามารถวางอุเบกขาได้ เพราะว่าทรงฌานในอสุภกรรมฐานแล้ว ในเมื่อสภาพจิตทรงฌาน จึงไม่หวั่นไหวกับสิ่งภายนอก
มีประวัติอยู่ส่วนหนึ่งของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ที่ไม่ค่อยมีใครรู้หรือไม่ค่อยมีใครเล่ากัน ก็คือท่านไปธุดงค์ คราวนี้เมื่อออกจากป่ามา ก็มาขอพักที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากชายป่ามากนัก วัดนั้นมีสระน้ำอยู่ด้วย เมื่อเตรียมที่พักเสร็จแล้ว หลวงปู่ปานท่านก็สรงน้ำที่สระ ปรากฏว่าพระที่ไปด้วยไม่กล้าสรงน้ำนั้น เพราะเห็นชัด ๆ ว่าส้วมหลุมไหลลงไปในสระ แสดงว่าปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง ทั้ง ๆ ที่น้ำทั้งสระมากพอที่กลิ่นจะไม่ปรากฏ แต่ด้วยความที่ตาเห็นเลยทำให้รังเกียจ ส่วนหลวงปู่ปานท่านปล่อยวางได้แล้ว จึงสรงน้ำหน้าตาเฉย
ถาม : คนที่ทรงฌานลักษณะนี้ ของรอบตัวจะเหมือนกันหมดที่เรียกว่าธรรมดาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาเห็นอย่างนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าทรงฌานแล้วจะเป็นเลย ต้องมีปัญญาประกอบด้วย
ถาม : ไปอ่านในหนังสือ เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า คำว่าโสฬส หมายถึงอะไร ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาหมายถึงญาณ ๑๖ ของพระพุทธศาสนา เขาเรียกโสฬสญาณ หรือเรียกว่าญาณโสฬส แค่อย่างหนึ่งก็หากินได้ทั่วโลกแล้ว นี่ปาเข้าไปตั้ง ๑๖ อย่าง
ถาม : คนที่เขียน เขาเขียนทำนองว่าเอามารวมกัน ?
ตอบ : บางคนก็ตีความว่าเป็นวิชชา ๘ บวกกับสมาบัติ ๘ ลองไปหาคำว่าวิชชา ๘ ดูว่ามีอะไรบ้าง ก็แค่เอาอภิญญา ๖ มาบวกเพิ่มไปเท่านั้นเอง
ถาม : โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเคมีในสมองจริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเกิดจากสภาพจิตใจ ในเมื่อสภาพจิตใจเกิดขึ้น ก็ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติไปเท่านั้นเอง
ถาม : หนูเคยเจอคนที่เขาเป็น สภาพจิตแย่มาก อีกนิดเดียวถึงขั้นวิปลาศแล้ว แต่บังเอิญเขาเคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน หนูก็เลยจับเขาฝึกมโนมยิทธิขึ้นไปหาหลวงพ่อ แต่เขามีแต่ความหมองหม่น ไม่สามารถจะทำให้เขามีความสุขขึ้นมาได้ หนูก็เลยต้องจับเขานึกถึงบุญที่เขาทำ ทีแรกลองดูให้นึกถึงกรรมฐาน สังฆทาน แต่ก็ไม่รอดค่ะ อยู่ ๆ ก็นึกอย่างไรไม่รู้ ให้เขานึกถึงบุญที่เขาไปช่วยงานวัดท่าซุง บุญที่เขาช่วยแมวจรที่โดนหมากัด เขาเอาไปรักษาอย่างดี จนมันหาย บุญสองอย่างนี้ทำให้อกุศลกรรมของเขามันออกไปได้ และเขาก็กลับมามีสภาพจิตดีขึ้น ?
ตอบ : เขาเรียกว่าจ่ายยาตรงโรค ถ้าไม่ตรงโรคก็แก้ไม่ได้
ถาม : เขาบอกว่า เขากินยาพวกรักษาสารเคมีในสมองค่ะ ?
ตอบ : ยาพวกนี้ยิ่งกินยิ่งเพี้ยนหนัก เพราะจะไปกดความคิด กินเข้าไปแล้วมึน นั่งบื้ออยู่ทั้งวัน
ถาม : คนรอบข้างก็บอกว่า เขาต้องกินยา เพราะว่าเขาป่วย ?
ตอบ : จับไปปีนเขาสัก ๗-๘ ลูกก็หายแล้ว
ถาม : หนูเจอคนเป็นโรคซึมเศร้า หลัง ๆ จะเจอบ่อยค่ะ หนูรู้สึกว่าแค่มองลูกตาเขา พบว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าจะมีลูกตาบางอย่างที่เหมือนกันมาก ๆ ?
ตอบ : โบราณเขาบอกว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ...(หัวเราะ)... ถ้าดวงใจคิดอะไรก็ออกทางตา
ถาม : หนูว่าคนเป็นโรคนี้ไม่กินยาไม่ได้นะคะ ?
ตอบ : จับไปวิ่งสัก ๗-๘ รอบสนามฟุตบอลให้หายบ้า พอหลับได้เดี๋ยวก็ดีขึ้น วิธีมักง่ายที่สุดก็คือกินยา เพราะว่ากินยาแล้วไปกดประสาทความรู้สึกของเขา ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก ก็เลยไม่ไปทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น เป็นวิธีการรักษาที่มักง่ายที่สุด
คนที่เป็นโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีใครต้องการ ให้เขาแสดงศักยภาพออกมา ได้รับคำชมบ้าง คนรอบข้างสรรเสริญบ้างอะไรบ้าง ก็จะกระตือรือร้นขึ้นมาเอง
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะ ถ้าเราจะชะลอการรับรู้ด้วยทิพจักขุญาณ ให้เหมือนกับการใช้สายตา ?
ตอบ : ยังไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน การรับรู้ในความเป็นทิพย์จะรับรู้ทีเดียวทั้งหมด แล้วเราต้องมาย่อยสลายทีหลังด้วย เพราะฉะนั้น...เกิดเร็วเกินกว่าที่เราจะชะลอได้
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะ คนเป็นโรคซึมเศร้าเกิดจากเจ้ากรรมนายเวร ?
ตอบ : เป็นเศษกรรมของการดื่มสุราเมรัย
ถาม : เขาบอกว่าอาการของเขาจะเกิดเป็นเวลา มีเวลาประจำของเขา ?
ตอบ : เวลาที่เขาเมาก็จะเป็น เวลาที่เขาไม่เมาก็จะไม่เป็น เป็นเศษกรรมของการละเมิดศีลข้อที่ ๕
ถาม : ทำไมถึงเวลาที่เป็น จะมาหนักมาก เหมือนกับอกุศลกรรมครอบเอาไว้หมดเลย ?
ตอบ : ก็เขาทำตัวเขาเองนี่
ถาม : เป็นเศษกรรม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่เคยสร้างความดีอะไรไว้กับคนอื่นมาก่อน ก็ไม่มีคนยื่นมือไปช่วย ก็อยู่ในวงจรกรรมนั้นไป
ไปทำวิจัยกับคนที่เป็นจริง ๆ ดีกว่า อย่ามาถามคนที่ไม่เคยเป็นสิวะ..! ถึงอดีตตูจะเคยเมาบ่อยก็จริงแต่ไม่โง่แบบนั้น ถึงเวลาก็เข้าฌานหนี ก็ในเมื่อเขาเข้าฌานหนีไม่เป็นก็รับไปเต็ม ๆ..!
ถาม : มีสถานที่แห่งหนึ่งที่มหาสารคาม เขาอัญเชิญลูกแก้ว ให้ตก ๆ ลงมาจากฟ้า เขาทำได้จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จะอัญเชิญได้เฉพาะกลางคืนแล้วก็ต้องเป็นสถานที่รก ๆ เพราะว่าให้คนเอาหนังสติ๊กยิงไปตก พอ...อย่าไปบ้ากับเขา
ถาม : เพื่อนไป เขาบอกว่าอธิษฐานจิตให้ตกข้างหน้าก็ตกข้างหน้า ให้ตกข้าง ๆ ก็ตกค่ะ ?
ตอบ : เขายิงมั่วไปหมด คราวนี้พอลงได้ตรงที่ก็คิดว่าใช่ จำไว้ว่าเรื่องของพระเสด็จ ท่านจะไปในสถานที่อันเหมาะสมเท่านั้น ไม่ใช่ไปลงตรงไหนก็ได้
ถาม : เขานับถือพระศรีอาริยเมตไตรย หนูก็ไม่กล้าไป เขาบอกว่ายังไม่ถึงวาระ เดี๋ยวปีหน้าถึงต้องไป หนูไม่อยากไปค่ะ ?
ตอบ : ตามสบายเขา อย่าไปยุ่งกับเขา เรารู้แล้วก็จบแค่นั้น อย่าไปว่าอะไรเขา เพราะถ้าคนไม่เชื่อ เราพูดให้ตายก็เท่านั้น
ถาม : บางที่มีร่างทรง ร่างทรงหลวงปู่โต หลวงปู่ทวด เป็นไปได้หรือคะ ?
ตอบ : ร่างทรงก็ต้องอ้างของสูงเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ สำคัญที่สุดก็คือเรื่องที่เขาบอกเราเป็นไปตามนั้นไหม ? ถ้าเป็นแล้วค่อยเชื่อ แต่เรื่องที่หนึ่งเป็นไปตามนั้น เรื่องที่สองก็อย่าเพิ่งเชื่อ เรื่องที่หนึ่งที่สองเป็นไปตามนั้น เรื่องที่สามก็อย่าเพิ่งเชื่อ
ถาม : ให้พิจารณาไปเรื่อย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ใช่...ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวก็ต้องไปรื้อบ้านขุดหาตอตะเคียนกันอีก น่าสงสารแค่ไหน? ตอนนี้ต้องนั่งร้องไห้ บ้านก็ไม่มีจะอยู่แล้ว
ถาม : การที่พวกเทพต่าง ๆ มาประทับทรง เช่น พญานาค ?
ตอบ : เรื่องของเทวดาเขาไม่อยากยุ่งกับมนุษย์หรอก เพราะมนุษย์เราเหมือนกับหนอนที่อยู่ในส้วม มีใครอยากลงส้วมกันบ้างเล่า ? ต้องจำเป็นจริง ๆ ท่านถึงจะมา การที่ท่านมาก็มาเป็นเวลา ไม่ใช่มาได้ทุกเวลา ขณะเดียวกันสิ่งที่ท่านช่วยเราก็จะเกิดผลตามนั้น ส่วนใหญ่ท่านจะไม่เรียกร้องผลประโยชน์ นอกจากต้องการความเคารพ สังเกตง่าย ๆ แค่นี้แหละ เทวดาแต่ละท่านงานท่วมหัว ไม่ใช่ว่ามาทุกเวลาได้ที่เราต้องการ
ถาม : ทำไมเทวดางานท่วมหัวคะ ?
ตอบ : เจ้านายใช้
ถาม : เคยได้ยินว่าเทวดาอยู่สบาย ไม่ต้องทำงาน ?
ตอบ : คนพูดไม่เคยเป็นนี่ แบบเดียวกับที่บอกว่าบวชพระแล้วสบาย ถ้าสบายแล้วทำไมไม่มาบวชกัน ?
ถาม : เพิ่งรู้ว่าเทวดามีงานทำ ?
ตอบ : เทวดาไม่เคยตกงาน มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ตกงาน
ถาม : เทวดามีประเทศไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี...มีแต่เขต ไม่ใช่เล่นลิ้น เป็นเรื่องจริง เขามีเขตการดูแลของตัวเอง พอเวลาขึ้นไปเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ก็เป็นอยู่ประเภทเดียวกัน ไม่ใช่เป็นคนละภาษา ไม่ใช่เป็นคนละประเทศ ในเมื่อขึ้นไปแล้วก็เป็นเหมือนกันหมด ถึงเวลาเจ้านายให้รับผิดชอบเขตไหนก็ไปดูแลเขตนั้น แล้วเขตรับผิดชอบก็ประหลาด ไม่เหมือนกับประเทศในสมัยปัจจุบัน อาจจะเป็นเขตในลักษณะเคยเป็นประเทศดึกดำบรรพ์มาก่อนก็มี เขตที่เพิ่งจะแบ่งใหม่ก็มี...ยุ่งไปหมด
ถาม : รุกขเทวดาอยู่เฉพาะต้นไม้ต้นนั้นหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อยู่เฉพาะต้นนั้น แต่ถ้าวิมานโดนทำลายก็เร่ร่อนไปเรื่อย จนกว่าจะหาต้นใหม่ได้
ถาม : ที่อยู่ก็จำกัดกว่า ?
ตอบ : จำกัดและมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ ช่วงนี้เขากำลังขยายทางขึ้นไปทองผาภูมิ สองข้างทางต้นไม้โดนตัดไปนับไม่ถ้วน อาตมาก็เลยต้องชวนรุกขเทวดาไปอยู่ที่เสาวัดแทน วัดท่าขนุนสร้างอาคารใหม่อยู่เรื่อย ๆ ถ้าเราไม่อนุญาตเขาก็อยู่ไม่ได้ พอเราอนุญาตเขาก็อยู่ได้ ก็สบายกว่า เพราะว่าต้นไม้จริงมีอายุ ถึงเวลาก็ตาย แต่ว่าอาคารคอนกรีตตายช้าหน่อย ทนกว่า ตอนนี้รุกขเทวดาที่วัดเป็นที่อิจฉามาก เพราะว่าอยู่ตึกกันเลย
ถาม : ถ้าเราทำสังฆทานถวายรุกขเทวดา แต่ว่าบุญของท่านใหญ่กว่า ?
ตอบ : ไม่ใช่ว่าใหญ่กว่าเรา ในเรื่องของมนุษย์เรานี่ เป็นเทวดาได้ เป็นนางฟ้าได้ เป็นพรหมได้ เป็นพระอริยเจ้าได้ เราอยู่ในเขตที่เหมาะสมที่สุด เพราะฉะนั้น..ถ้าเราสร้างกำลังบุญเอาไว้มาก ๆ บุญเรามากกว่าท่านนะ ในเมื่อกำลังบุญบารมีมากกว่าท่านนี่ ประเภทเรียกใช้ท่านก็ยังได้เลย เพียงแต่ว่าอย่าให้เป็นสิ่งที่ไปละเมิดกฎของกรรม
ถาม : กายทิพย์คือเทวดา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นมนุษย์ทั่วไปก็คือมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าออกไปในลักษณะเต็มบุญบารมีของตัวเอง อย่างเช่นว่าถ้าสร้างบุญมาเท่ากับพรหม กายในก็เป็นพรหม ถ้าสร้างบุญเท่ากับเทวดานางฟ้า กายในก็เป็นเทวดานางฟ้า
ถาม : หมายถึงตอนมีชีวิตอยู่ ?
ตอบ : ขณะมีชีวิตอยู่ ถ้าเสียชีวิตแล้วก็ไปเป็นตามกำลังของตัวเอง อาจจะเป็นข้างล่างก็ได้ เป็นข้างบนก็ได้ แล้วแต่ว่าใจสุดท้ายเราเกาะดีหรือเกาะชั่ว
กำลังจะขาดใจตายอยู่ แหม...ทำขัดใจเรา ทำไม่ได้อย่างใจเรา แบบนี้ก็ลงข้างล่างเลย เพราะฉะนั้น...ต้องรักษาใจตัวเองดี ๆ อย่าเป็นคนขี้โมโห
ถาม : พวกตุ๊กตาลูกเทพ มีวิญญาณหรือเทวดาไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเป็นแค่ตุ๊กตา ยกเว้นว่าหลวงปู่หลวงพ่อท่านมีความสามารถ ถึงเวลาไปให้ปลุกเสก ท่านเชิญเทวดาหรือว่าพวกสัมภเวสีเข้ามา ก็พออาศัยได้หน่อยหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าเขาเองก็ลำบากเหมือนกับเรา ต้องอาศัยเราสร้างบุญสร้างบารมีเผื่อให้
ถาม : รุกขเทวดาที่อยู่ตามต้นไม้ เราไปตัดกิ่งมา แล้วเราก็ไปเชิญเขามาอยู่ที่เสาบ้านเรา ?
ตอบ : เราต้องรู้ด้วยว่าเสาบ้านเราว่างหรือไม่ ? ถ้าเสาบ้านเรามีเจ้าของแล้วเขาก็อยู่ไม่ได้ อย่างเช่นว่าเสาบ้านที่เป็นไม้ ตอนที่ยืนต้นอยู่เป็นสิทธิ์ของรุกขเทวดาท่านนี้ พอถึงเวลาโดนโค่นลง วิมานท่านแปะไม่ได้ ท่านก็ตามไปเรื่อย พอคนยกตั้งขึ้นมาค่อยไปแปะใหม่ เท่ากับว่าท่านเป็นเจ้าของเดิม
คราวนี้ท่านเป็นเจ้าของโดยสิทธิ์ดั้งเดิม เราจะไปอนุญาตให้ท่านอื่นอยู่แทนไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ต้องรู้ด้วยว่าเสาบ้านเราว่างหรือไม่ ?
ถาม : อย่างนี้ถ้าเราไปหยิบผลไม้ในป่ากิน ถือว่าลักขโมยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าในป่าถือว่าเป็นของส่วนกลาง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะขอก่อน โบราณเขาก็เลยทำพิธีที่เรียกว่า พลี ก็คือทำการขอ อย่างเช่นว่า ใช้หมาก พลู เหล้า บุหรี่ อะไรประมาณนี้ ลักษณะเหมือนกับว่าทำพิธีขอมีการแลกด้วยของ เพื่อที่จะไม่ให้มีความผิดติดตัว หรือถ้าเป็นสิ่งที่มีเจ้าของ เจ้าของจะได้ไม่โกรธเคืองเรา
แบบเดียวกับพระโพธิสัตว์ตอนเป็นชายตัดฟืน เดินทางเข้าป่าลึกกว่าปกติ ไปเจอสระโบกขรณี เห็นมีดอกบัวสวย ๆ อยู่มากมาย ก็ตั้งใจจะเก็บไปบูชาพระ ปรากฏว่าผีเสื้อน้ำโผล่ขึ้นมาตะโกนว่า “ขโมย” ท่านก็ว่า "อ้าว...สระอยู่กลางป่า ไม่มีเจ้าของ แล้วมาบอกว่าขโมยได้อย่างไร ?"
ผีเสื้อน้ำบอกว่า "ถ้าคนอื่นเอาไม่ถือว่าเป็นขโมย แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปฏิบัติตัวเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจะต้องเป็นครูสอนเขา ถ้าในส่วนละเอียดเล็กน้อยแค่นี้ ท่านยังไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ แล้วท่านจะไปเป็นครูเขาได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น...คนอื่นเอาไม่ถือว่าขโมย แต่ท่านจะไปเป็นครูเขา ท่านเอาถือว่าขโมย" โบราณเขาเก่ง เขาทำอะไรจึงมีการพลีก่อน อย่างเช่นการไปขุดว่าน การไปขุดสมุนไพร ก็จะทำพิธีพลีก่อนทุกครั้ง
ถาม : อย่างนี้เข้าป่าก็ต้องเอาของไปพลี ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ หมดท่าขึ้นมาก็สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิอุทิศให้เขาไป ดีกว่ากันเยอะเลย
ถาม : เราต้องตั้งใจอธิษฐานอย่างไรจึงจะเป็นคนฉลาด ?
ตอบ : การอธิษฐานก็แค่ขอ ถ้าต้องการความฉลาดจริง ๆ ส่วนที่ยั่งยืนกว่าก็คือกำลังสมาธิ คนที่ทำสมาธิเป็นปกติ เกิดใหม่จะฉลาดทุกคน เพราะจิตเขาจะสงบนิ่ง บุคคลที่มีจิตสงบจะจำอะไรก็ง่าย เรียนรู้อะไรก็ง่าย
ถาม : ต้องขอให้เรามีสมาธิหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ทำ...ขออย่างเดียวถ้ายังไม่ลงมือทำก็ยาก
ถาม : ทำยากค่ะ ?
ตอบ : เริ่มทำไปทีละนิดทีละหน่อย เอาแค่นึกถึงลมหายใจได้คู่หนึ่งโดยไม่ฟุ้งซ่านก็พอแล้ว ถึงเวลาเราก็ขยับเป็น ๒ คู่ ๓ คู่ ๔ คู่ จะได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่าไปท้อใจเสียก่อนว่าเราทำไม่ได้ แล้วไม่คิดจะทำอีก อย่างน้อย ๆ เราก็ได้นั่ง คนอื่นเขายังไม่ได้นั่งเลย
ถาม : บางคนฉลาด แต่ความจำไม่ได้เรื่อง ?
ตอบ : ความฉลาดมีหลายอย่าง กุสโล...ฉลาดในการสร้างบุญกุศล โกวิโท...ฉลาดในการนำความสามารถของตนเองไปช่วยเหลือคนอื่น เฉโก...ฉลาดในการโกงชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไม่ฉลาด มีปัญญาทั้งนั้นแหละ แต่ใช้ปัญญาผิด กลายเป็นมิจฉาปัญญา ไม่ใช่สัมมาปัญญา
ถาม : บางคนก็เก่งเลข แต่วิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นความสามารถเฉพาะด้านที่เขาชอบ แบบเดียวกับเด็กบางคนที่หมอเขาบอกว่าเป็นออทิสติก แต่ว่าเด็กคนนั้นมองหนังสือทีเดียวจำได้ทั้งเล่มเลย เด็กบางคนเป็นออทิสติก แต่กลับเล่นดนตรีเก่งชนิดที่อัจฉริยะต้องทึ่ง เพราะว่าความสามารถของเขาเด่นไปในด้านเดียว
แบบเดียวกับนายรามานุจัน รามานุจันเป็นอัจฉริยะทางตัวเลข เก่งที่สุดในโลกเท่าที่เคยปรากฏมา เป็นชาวอินเดีย แต่รามานุจันใช้ตู้เย็นไม่เป็น เวลาส่งนมกล่องให้ก็ไม่รู้ว่าจะกินอย่างไร เอามีดแทงข้าง ๆ กล่อง แล้วเอาหลอดปักดูดเอา
กำลังใจของเขามุ่งมั่นไปเรื่องเดียว ในเมื่อมุ่งมั่นไปเรื่องเดียว ไม่ยอมรับรู้เรื่องอื่น ก็เลยเหมือนกับคนโง่ในเรื่องอื่น แต่ความจริงไม่ใช่หรอก ถ้าเขาสนใจเขาจะเก่งกว่าเรามาก
ถาม : เจ้าหน้าที่ที่รถไฟฟ้า เขารู้หมดนะคะว่าเราจะมาบ้านเติมบุญ งงมากเลย ?
ตอบ : พวกเราเป็นผู้โดยสารส่วนใหญ่ของสายนี้
ถาม : ไปเติมเงินเขาถามว่ามาบ้านเติมบุญหรือครับ ? อ้าว...เขารู้ได้อย่างไร ? เขาบอกว่าวันนี้ผู้โดยสารเยอะ ?
ตอบ : ก็แสดงว่าลักษณะเดียวกันกับเจ้าของปั๊มแก๊สที่ทองผาภูมิ เขาบอกว่าถ้าวันไหนเห็นรถวิ่งพรืด ๆ ไปทางสามแยก แปลว่าไปวัดท่าขนุนแน่ ๆ ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าถ้าวัดท่าขนุนมีงานมักจะตรงเวลา รถทุกคันจะต้องเร่งไปให้ถึงวัดก่อนก็เลยไม่เติมแก๊ส จะมาเติมตอนขากลับ
ถาม : เขาไม่มีส่วนลดนะคะ ถ้าเป็นรถใต้ดินมีส่วนลด ?
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ ลองคุยกับเขาว่ามีผู้โดยสารมาบ้านเติมบุญจำนวนเท่าไรแล้วจะลดให้ อย่างเช่นว่า ถ้าเดินทางวันละ ๒๐๐ คนขึ้นไป ให้มีส่วนลดให้พวกเราบ้าง จะได้สนับสนุนกิจการรถไฟฟ้า
ถาม : อย่างเวลาเข้าป่า เราต้องฟันกิ่งไม้เป็นสัญลักษณ์ อย่างนี้ก่อนเข้าไปเราควร...?
ตอบ : โบราณเขาใช้วิธีเปิดป่า ก็คือขออนุญาตก่อนเข้าป่าล่วงหน้าไว้แล้ว ให้จำเป็นหลัก ๆ ว่า ต้นไม้มีแก่นสูงศอกหนึ่งขึ้นไป รุกขเทวดาจะอาศัยอยู่ได้ แล้วเราจะไปทำอะไรล่ะ ?
ต้นไม้ใบหญ้าอื่น ๆ มีตั้งเยอะตั้งแยะ จะทำเครื่องหมายอะไรก็ทำไป อย่างอาตมาเวลาเดินป่า ก็แค่จับยอดหญ้าพับ ๆ เป็นทางไปเพื่อให้คนที่ตามมาทีหลังรู้ว่าไปทางไหนเท่านั้น
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้มีอาชีพบางอย่างที่เราก็นึกไม่ถึง ก็คือการไปเที่ยวแล้วมาทำรีวิวสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะที่กิน ที่เที่ยว ที่พัก เอาไปลงอินเตอร์เน็ตแล้วก็รับเงิน เท่ากับว่าได้เที่ยวไปเรื่อย ๆ มีคนจ้างให้เที่ยว...ว่าอย่างนั้น
คราวนี้ในส่วนที่จะพูดก็คือเรื่องการกิน ส่วนใหญ่แล้วจะไปอยู่ในลักษณะที่ว่า เลือกสถานที่มีอาหารอร่อย ราคาไม่แพงได้ยิ่งดี ซึ่งในส่วนนี้แต่เดิมเรามีแต่รายการแนะนำอาหารอย่างเดียว ก็คือรายการเชลล์ชวนชิม ของหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ วัตน์ ตัวนี้ วัตนะ ที่แปลว่า หมุนวน ไม่ใช่ วัฒนะ ที่แปลว่าเจริญ
หลังจากนั้นก็มีคนเลียนแบบ ก็คือ แม่ช้อยนางรำ ก็เลยทำให้มีหลายคนที่ไปเลือกกินตามที่เขาแนะนำ ถ้าร้านอาหาร ร้านขนม ไม่ได้โด่งดังจนเป็นที่ได้รับการแนะนำจากคนจำนวนมาก หลายคนก็ไม่เข้าเลย ไม่เลือกไม่กินอาหารของร้านนั้น
ก็เลยไปนึกถึงที่อรรถกถาท่านขยายความ ในส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่ประกอบด้วยอวิชชาแล้วหลุดพ้นไม่ได้ อรรถกถาขยายความว่า “มีบุคคลจำพวกหนึ่ง เมื่อถึงเวลาไปเกิดเป็นสัตว์ มีหญ้าเป็นอาหาร มีคูถเป็นอาหาร” คูถก็คือขี้นั่นแหละ “เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้น ติดในรสอาหารในขณะที่เป็นมนุษย์” ฟังแล้วสยองเหมือนกันนะ คนติดในรสอาหาร บางคนทำไม่ถูกใจก็โกรธ
แต่สมัยนี้คนยึดติดในรสอาหารก็น้อยแล้ว เหตุที่น้อยเพราะเห็นว่าแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวนุ่งน้อยห่มน้อยมาขายแทน...! หนุ่มขายทุเรียนก็ต้องถอดเสื้อโชว์กล้ามล่ำบึ้ก แสดงว่าไม่ได้ติดในรสอาหาร ค่อนข้างจะปลอดภัย ไม่รู้ว่าไปติดอะไรแทน...! ถึงเวลาแม่ค้าส้มตำก็มีรายการตำไปเด้งไป มีคนแนะนำแล้วหนุ่ม ๆ ก็แห่กันไปเพียบ"
"อาตมาโชคดีที่เกิดมาไม่เคยกินอะไรแล้วติดใจจนต้องไปกินซ้ำ แต่เวลาเจออาหารที่ไหนคิดว่าอร่อย อร่อยในที่นี้ก็คือไม่ใช่หวานเป็นขนม ยังคงเป็นรสดั้งเดิมแบบโบราณ ก็แนะนำให้คนแวะกินเหมือนกัน
สมัยนี้น่าเบื่อมาก ตอนที่เรียนปริญญาโทอยู่ ได้ต้อนรับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเว้ ถามเขาว่าอาหารไทยเป็นอย่างไรบ้าง ? “กินไม่ได้เลย หวานมาก” แสดงว่าอาหารไทยของเรามีชื่อมาก...ใช่ไหม ? กินไม่ได้เลย ก็ถามว่าแล้วกินอะไรบ้าง ? “กินได้แต่ส้มตำ เพราะว่ามีหลายรสหน่อย ไม่ใช่หวานอย่างเดียว”
ไม่รู้ใครที่ไปพูดว่าอาหารรสหวานเป็นอาหารชาววัง เล่นเอาชาววังเสียหายหลายล้าน อาหารในวังของเขาสารพัดรสชาติ โดยเฉพาะอาหารไทยเรามีของหวานหลังอาหารอยู่แล้ว ดังนั้น...มีอาหารไทยไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่ติดไปทางรสหวาน อย่างพวกแกงบอน แกงหมูชะมวงพวกนั้น ถ้าอย่างอื่นนี่รับรองว่าห่างไกลรสหวานหลายกิโลเมตรเลย
ปัจจุบันพวกเราก็ติดรสหวานเสียจนชิน ไม่มีการต่อว่าแม่ค้าเลย แม่ชีที่วัดท่าขนุนก็เคยทำอาหารรสหวาน จนอาตมาต้องสั่งให้เอาน้ำตาลออกจากครัวไปเลย ปัจจุบันนี้ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย ที่อนาถที่สุดก็คือแกงส้มแล้วหวาน มาได้อย่างไร ? แกงส้มต้องเปรี้ยวนำ เผ็ดตาม แล้วถึงจะเค็ม อันนี้เอาหวานนำ ส้มแปลว่าเปรี้ยว ไม่ได้แปลว่าหวาน"
"บ้านใครที่ทำอาหารติดรสหวาน จงโวยแม่ครัวหรือแม่บ้านได้แล้ว บอกว่าจะเป็นเบาหวานกันทั้งประเทศแล้ว ประเทศอื่น ๆ เขาบริโภคน้ำตาลกันเฉลี่ยวันละ ๔-๖ ช้อนชา ไทยเราเจ๋งมาก ๘-๑๒ ช้อนชา มากกว่าเขา ๒-๓ เท่าเลย
เรื่องของการบริโภคของหวานมาก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนสมัยนี้ใจร้อนใจเร็ว ทะเลาะเบาะแว้งกันมาก เพราะอย่างสมัยอาตมาเด็ก ๆ ถ้าจะให้หมาดุเขาจะให้กินข้าวเหนียวคลุกน้ำตาล เพราะว่าเวลาความหวานเข้าไป ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่าน แล้วหมาก็จะหงุดหงิดไล่กัดกระจาย คราวนี้คนเราบริโภคหวานมากไป ก็เลยทะเลาะกันง่าย ขับรถปาดหน้ากันหน่อยหนึ่ง ก็ลงไปไล่ยิงไล่ฟันกันกลางถนน"
ถาม : กินยาคูลท์บาปหรือเปล่า ?
ตอบ : จะไปบาปตรงไหน ?
ถาม : มีเชื้อจุลินทรีย์ ?
ตอบ : พวกนั้นเป็นจุลินทรีย์ที่ลงไปโตในท้องของเรา ไม่ได้ตาย กินลงไปเยอะ ๆ เลย แต่ขออภัยนะ...กินนมเปรี้ยวก็เท่ากับกินน้ำตาลดี ๆ นี่เอง
บ้านเราเครื่องดื่มที่เข้าน้ำตาลมากที่สุดก็คือนมเปรี้ยว เพราะต้องการจะไปกลบรสเปรี้ยวของนม บางคนบอกว่ากินแต่นมเปรี้ยวเพื่อลดน้ำหนัก...ฝันไปเถอะ อิ่มก็ไม่อิ่ม แถมยังอ้วนอีกต่างหาก ยี่ห้ออะไรที่ขวดสูงประมาณเท่านี้ เป็นยี่ห้อหลัง ๆ ไม่ใช่ยี่ห้อแรก ๆ ใส่น้ำตาล ๘ ช้อน เอาไว้เลี้ยงจุลินทรีย์ด้วย แล้วก็เอาไว้กลบรสเปรี้ยวด้วย กินนมเปรี้ยวขวดแค่นี้เจอน้ำตาลไป ๘ ช้อน
ใครเคยกินก็ช่วยอุดหนุนของเขาต่อไปนะ ไม่ใช่เดี๋ยวบริษัทเขาเจ๊งจะมาโทษอาตมาอีก
ถ้าจะกินนมเปรี้ยวต้องกินแบบคนอินเดีย...ที่เรากินไม่ได้ เขาหมักนมเปรี้ยวไว้ในหม้อดิน เปรี้ยวยิ่งว่ามะนาวอีก ถ้าบอกว่ากินเพื่อให้ระบาย เราไปกินนมเปรี้ยวอินเดียนี่ไม่ใช่ยาระบาย เป็นยาถ่ายขนาดหนักเลย แต่พวกแขกเขาก็สุขภาพดีกันทุกคน ทั้ง ๆ ที่อาหารก็มีแต่ถั่วกับแป้ง ก็เพราะว่าเขากินนมเปรี้ยวเป็นหลัก
ตอนนี้ลูกสาวคนหนึ่งลดน้ำหนักไป ๒๐ กว่ากิโลกรัมแล้ว ปกติจะกินนมวันละ ๒ ลิตร ก็แค่เลิกกินนมเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่สมัยนี้เขากินแต่นมหวาน นมจืดขายไม่ค่อยออก นมจืดของอาตมาเอาไว้เลี้ยงลูกหมา ตอนนี้ไอ้ซูโม่ตัวแค่อ้วนบึ้กเลย แม่หมาตัวเล็กนิดเดียวออกลูกมา ๙ ตัว ลูกสัตว์ถ้ากินถึง ๆ จะตัวใหญ่มาก ครอกนี้ ๙ ตัวเหลืออยู่ ๔-๕ ตัว ตัวไหนสวยมากก็หายก่อน เล่นเอาแม่ชีนั่งร้องไห้ร้องห่มที่ลูกหมาหาย
อาตมาเองดูแล้วก็ แหม...เลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงคนก็ติดคน ไปไหนไม่รอดหรอก เดี๋ยวก็ได้เกิดเป็นเห็บหมาสักวัน เลี้ยงไอ้ปั๊กก็ติดไอ้ปั๊ก...ใช่ไหม ? โชคดีที่ตายไปแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "ได้ยินว่ารัฐบาลจะออกบัตร เรียกว่าบัตรคนจนก็แล้วกัน สามารถใช้ซื้อของได้ ขึ้นรถเมล์ได้ แต่ไม่มีการสะสมยอด ถ้าใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้ง ก็ต้องใช้งบประมาณเป็นหมื่น ๆ ล้าน ซึ่งก็คือนโยบายประชานิยมอย่างหนึ่งนั่นแหละ แต่เขาเปลี่ยนใหม่เป็นประชารัฐ ก็แค่วาทกรรมหรู ๆ ว่าทำไม่เหมือนรัฐบาลเก่าที่กล่าวหาว่าเขาทำไม่ดี
ในเมื่อคำพูดไม่เหมือนกัน แม้ว่าผลการกระทำจะเป็นอย่างเดียวกันก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ได้ว่าอะไรหรอก เป็นห่วงแค่ว่าคนอยากจนมีมาก พวกที่ไปลงทะเบียนคนจนแต่ไม่จนจริงเยอะมาก เป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องแก้ไข เราปฏิบัติธรรมของเราไปก็แล้วกัน"
พระอาจารย์ให้โอวาทกับโยมว่า "มีวิธีหนีสาวอยู่อย่างหนึ่งคือบวชนาน ๆ ผู้หญิงสมัยนี้ใจร้อน บวชสักปี ๒ ปี เขาก็ไม่รอแล้ว แต่อย่าไปเจอสาวแบบอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านอาจารย์สมเด็จบวชหนีอยู่ ๑๑ พรรษา เขาก็รออยู่ ๑๑ ปี สึกมาก็เสร็จเขาอยู่ดี ถ้าเจอประเภทนั้นก็ยอมรับชะตากรรมเถอะ..!
จะได้รู้ไว้ว่าคราวหน้าอย่าใจร้อนใจเร็ว หลวงพ่อเองสมัยฆราวาสมีสาวล้อมรอบเป็นฝูง แต่ต้องทำตัวเป็นแมวไม่กินปลาย่าง เพราะรู้ตัวว่าต้องบวช ส่วนใหญ่แล้วพวกเราสู้กิเลสไม่ได้ ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็ไหลตามกิเลสไป ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เหลือก็ต้องแก้ไขไปตามหน้างาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านต่างจังหวัดของใครโดนน้ำท่วมแล้วบ้าง ? ปีนี้น้ำท่วมหลายระลอก ฉะนั้น...ใครยังไม่โดนก็อย่านิ่งนอนใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้คลังวัดท่าขนุนเกือบหมดแล้ว ก่อนตักบาตรเทโวต้องล้างคลังอีกรอบ ไม่เป็นไรหรอก...ชาวบ้านเดือดร้อน พระจะไปตุนอะไร ก็ต้องเทให้เขาหมด ถึงเวลาชาวบ้านลวกบะหมี่ เราก็ไปบิณฑบาต...แบ่งกันกิน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้างานออกพรรษา ตักบาตรเทโว อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อน ๓ วัน โผล่หน้ามาก็วันตักบาตรเทโวเลย ความจริงปีนี้คิดว่าไม่มีโอกาสเข้ากรรมฐานแล้ว เพราะว่าติดสอนที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่ปรากฏว่าเขาให้นิสิตหยุดเพราะว่าสอบนักธรรม ในเมื่ออยู่ ๆ ประกาศให้หยุด ก็เลยมีเวลา
สรุปว่าอะไรที่เป็นงานของพระท่าน อย่าไปเลี่ยงเสียให้ยาก ท่านหาวันให้จนได้แหละ ฉะนั้น...ใครจะไปทำบุญกฐิน ตักบาตรเทโว หรือทำบุญพระออกกรรมฐาน วันที่ ๖ ตุลาคมก็ไปพร้อมกันที่วัดท่าขนุน แล้วหลังจากนั้นก็ไปกฐินปลดหนี้กันอีกทีหนึ่งที่สกลนคร
ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเป็นการอุปสมบทหมู่ ๙๙ รูป ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตอนนี้สมัครมาน่าจะเหลือ ๑๗-๑๘ รูปเท่านั้น สุภาพบุรุษท่านใดจะบวชถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ต้องบอกว่าเป็นงานครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่เคยบวชกับวัดท่าขนุนมาก่อน ต้องเข้าวัดตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม แล้วไปบวชวันที่ ๒๑ ตุลาคม สึกวันที่ ๒๖ ตุลาคม
ความจริงอยากจะให้อยู่เลยวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่ว่าฤกษ์ดีที่สุดดันเป็นวันที่ ๒๖ ตุลาคม ฉะนั้น...หลังถวายพระเพลิงแล้ว เราสึกหลังทำวัตรค่ำ ก็คงจะประมาณ ๒ ทุ่ม"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนกับบ้านเรา ประการแรก ความเคยชินไม่เหมือนกัน ประการที่ ๒ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน ประการที่ ๓ อาหารการกินไม่เหมือนกัน
ฝรั่งเวลาทะเลาะเบาะแว้งจะเคลียร์กันตรงนั้น แต่คนไทยเราทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าเคลียร์กันตรงนั้นก็ได้ฆ่ากันตาย ต้องรอให้ใจเย็นลงก่อน อย่างเดียวกับแขกอินเดีย ทะเลาะกันไป ผลักกันไป ดันกันมา ครึ่งค่อนวันไม่มีตีกัน ถ้าเป็นบ้านเราก็ทิ้งร่วงไปตั้งแต่ผลักครั้งแรกแล้ว..!
เป็นธรรมเนียมของเขาในลักษณะที่ว่า การทำร้ายร่างกายเขาถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก แม้กระทั่งทางด้านตะวันออกกลางก็เหมือนกัน ผลักกันไป ดันกันมา กอดกันไป ปล้ำกันมา ท้ายสุดถอดรองเท้าฟาดหลังกัน ก็ไม่เห็นจะตีตรงอื่น ก็ตีแต่หลัง ไปเจอคนไทย หมัดเท้าเข่าศอกชุดเดียวกองกับพื้น แล้วก็โดนเขาเฆี่ยนเกือบตาย เพราะว่าไปทำร้ายคนของเขา
ฝรั่งเขารักษาสิทธิส่วนตัวมาก ใครไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวมีโกรธ ไปด้อม ๆ มอง ๆ ในเขตบ้านเขา เราอาจจะไปหาเจ้าของบ้าน ไปชะโงกดูว่าเขาอยู่หรือเปล่า ? เขาโทรศัพท์แจ้งตำรวจเลย ที่ฝรั่งเขาทำอย่างนั้นแสดงออกให้เห็นชัดอย่างหนึ่งว่า เขามั่นใจในตัวบทกฎหมายและมั่นใจในผู้รักษากฎหมาย ว่าคุ้มครองเขาได้จริง
ฉะนั้น..มีเรื่องอะไรขึ้นมา ถึงตำรวจไว้ก่อน คุณโดนจับแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูดอาจถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล"
ถาม : สมัยนี้มีผ้าห่มกันยุงด้วยค่ะ ?
ตอบ : น่าจะเคลือบสารกันยุงสักอย่าง แต่สำหรับพระ ถ้าทำสมาธิดี ๆ ก็ไม่ต้องไปใช้จีวรกันยุง พอสมาธิทรงตัว อวัยวะภายในเกือบจะไม่ทำงาน ร่างกายเหมือนกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ยุงจะตามความร้อนไม่เจอ ก็เลยไม่สนใจที่จะกิน
เวลาอาตมานั่งรวมกับเพื่อน ๆ แล้วก็ขำ เพื่อนโดนกัดไปเถอะ ส่วนอาตมานั่งสบาย ยกเว้นบางช่วงโดนบังคับให้กินพวกยาโด๊ป ยาบำรุงเยอะ ๆ ถ้าอย่างนั้นร่างกายจะร้อน ในเมื่อร้อน ยุงก็หาเจอ ช่วงนั้นจะโดนกัดบ้าง
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมแต่ละคนที่หายามาให้มักจะมั่นใจว่ายาที่ตัวเองนำมาดีเลิศประเสริฐศรี กินลงไปต้องหายแน่ อาตมาฉันให้มา ๓๐ กว่าปีแล้ว ไม่เคยหายสักโรค ถามว่าฉันทำไม ? ฉันเพราะไม่ให้เขาพูดว่าที่ไม่หายเพราะไม่กินยาของเขา
เราต้องเข้าใจว่าเรื่องของโรคว่าเกิดจากกฎของกรรม โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะพ้นวาระกรรม โรคบางอย่างต้องรักษาจึงจะหาย ไม่รักษาก็ตาย ส่วนโรคบางอย่างกรรมหนักมาก รักษาหรือไม่รักษาก็ตาย"
ถาม : กระเพาะปัสสาวะเป็นแผลครับ ?
ตอบ : ลองไปทำยาขมิ้นชันกับหญ้าแพรกของหลวงพ่อฤๅษีกิน ช่วยได้เยอะ ไปเปิดหาดูตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง
ถาม : กรณีปฏิบัติ เราไม่รู้หรอกว่าเราขั้นไหน เราทำไปเรื่อย กับรู้ว่าเราขั้นไหนแล้ว ควรจะหาทางปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : วิ่งเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน รักษากรรมบถ ๑๐ ให้ได้...แค่นั้นก็พอ พวกเราเรียกว่าประเภทตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล เล็งหาปลาดี ๆ ตัวเดียวก็พอแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำผึ้งฝรั่งกับน้ำผึ้งไทย อย่างไหนคุณภาพดีกว่ากัน ? ถ้าถือตามหลักแพทย์แผนจีนก็ต้องว่าของไทยดีกว่า เพราะว่าตำราแพทย์จีนให้เสาะหาอาหารและสมุนไพรใน ๓๐ ลี้รอบภูมิลำเนา ธาตุคนจะเหมาะกับสารอาหารในบริเวณนั้น ๑๕ กิโลเมตร อาตมาแปลงแล้วนะ แปลงมาจาก ๓๐ ลี้ของจีน"
ถาม : ให้วิ่งเข้าหาพระโสดาบัน ถ้าหนูปฏิบัติได้ หนูมีโอกาสที่จะ...?
ตอบ : เรามีหน้าที่ทำ ส่วนจะทำได้แค่ไหนอยู่ที่ความสามารถตัวเอง ไม่ใช่ไปถามคนอื่นว่าจะทำได้แค่ไหน ตัวเองกินข้าวแล้วไปถามคนอื่นจะกินได้แค่ไหน แค่คิดก็บ้าแล้ว..!
ถาม : ครั้งก่อนที่ผมมาถามว่าฝึกสมาธิได้ฌานแล้ว จะมาฝึกมโนมยิทธิ แล้วหลวงพ่อบอกว่าเลยไปแล้ว หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : สมาธิของเราสูงเกินไป มโนมยิทธิเป็นกำลังแค่อุปจารสมาธิ คราวนี้ตัวสมาธิของเราที่จะใช้เป็นทิพจักขุญาณ ถ้าไม่ขึ้นสูงสุดเลยก็ต้องต่ำสุด ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นอะไร ของเราเหมือนกับอยู่กลางบันได ห้องบนก็ยังไม่ถึง ห้องล่างก็เลยมาแล้ว
ถาม : ไม่ทราบว่าฌาน ๔ ฌาน ๕ และอรูปฌาน ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ในส่วนของฌาน ๔ กับฌาน ๕ จริง ๆ เป็นอย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีจิตละเอียดมากในลักษณะที่ต้องไปเป็นพระโพธิสัตว์สอนคนอื่นเขา จะเอาเอกัคตารมณ์คืออารมณ์ใจที่ตั้งมั่น แยกออกจากอุเบกขาได้ ก็เลยเป็น ๔ กับ ๕ แต่จริง ๆ เป็นอย่างเดียวกัน
ถาม : ฌาน ๕ ก็คือเหลืออุเบกขาอย่างเดียว ?
ตอบ : ใช่...เหลืออุเบกขาอย่างเดียว ส่วนอากาสานัญจายตนะคือเข้าไปจับความว่างของอากาศแทน
ถาม : ถ้าจะฝึกอรูปฌานล่ะครับ ?
ตอบ : จะฝึกอรูปฌานต้องได้กสิณกองใดกองหนึ่ง ที่ไม่ใช่อากาสกสิณและอาโลกกสิณ เพราะว่า ๒ ข้อนี้ใกล้เคียงกับอรูปฌาน บางทีเราจะแยกไม่ออก
ถาม : แต่ถ้าเราได้อานาปานสติแล้วสามารถทำอรูปเลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้...ต้องมีรูปกสิณเป็นเครื่องกำหนด หลังจากที่กำหนดรูปจนกระทั่งคล่องตัวแล้ว เราค่อยตัดรูปทิ้งฝึกจนเป็นอรูปฌาน
ถาม : การพิจารณาในฌานคืออะไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือการที่เราซ้อมเข้าออกจนกระทั่งชิน พอซ้อมจนกระทั่งชินแล้ว ก็สามารถที่จะคิดได้ทั้ง ๆ ที่เราทรงฌานอยู่ ถ้าหากว่าคนปกติจะคิดไม่ได้ จะนิ่งไปเฉย ๆ อย่างเดียว
ถาม : แล้วผมเข้าไปนิ่งอย่างเดียวนี่เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าสภาพจิตของเราแน่นจนเกินไป ต้องซ้อมเข้าออกจนกระทั่งชินแล้ว ถึงจะสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปคิดอย่างอื่นได้
ถาม : อยากจะขอวิชากุมารทองของหลวงพ่อกวยครับ ?
ตอบ : ต้องไปขอหลวงพ่อกวย มาขออะไรตรงนี้ ?
ถาม : ขอวิชาครับ ?
ตอบ : มีแต่ของ ไม่ได้มีวิชา
ถาม : วิชาจะทำแล้วได้ผลต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จะวิชาอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยต้องฌาน ๔ คล่องตัวขึ้นไป ไม่อย่างนั้นก็ใช้ไม่ได้ผล ไปทำฌานสมาบัติให้ได้เสียก่อน
ถาม : มีพี่ที่เคารพคนหนึ่งแนะนำให้กินมังสวิรัติ เพื่อเป็นการเมตตาต่อสัตว์ ช่วงระยะประมาณ ๒๔ วันค่ะ พอเรากินมังสวิรัติแล้วร่างกายหายใจไม่ออกค่ะ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเราไม่ได้ฆ่าเอง ไม่ได้ยุให้คนอื่นฆ่า ไม่รังเกียจว่าคนอื่นเขาฆ่าเพราะเรา ก็กินเนื้อสัตว์ไปเถอะ ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าขาดโปรตีนแล้วต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ผลาญแคลอรี่ไม่ได้ คราวนี้จะอ้วนบรรลัยเลย..!
ถาม : ถ้าเราเกิดมีลูกน้อง แม่เขาไม่สบาย เราเอาเขาออก แม่เขาเป็นอะไร เราบาปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกันหรอก ความประพฤติของเขาทำตัวเอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "Yellow stone ก็คือนรกดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าวันไหนจะปะทุขึ้นมาเท่านั้น เป็นภูเขาไฟใหญ่มหึมา
เมื่อวานที่พูดถึงเรื่องการที่โลกเราจะโดนทำลายด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม แล้วก็โรคภัยไข้เจ็บ อาวุธ ในส่วนของ ดิน น้ำ ลม ไฟ รอถล่มอยู่แล้ว เราก็ยังหาเรื่องรบราฆ่าฟันกันอีก
จะว่าไปแล้วก็เป็นวัฏจักรอย่างหนึ่ง สัตว์โลกชนิดไหนถ้ามีมากจนเกินกว่าที่ทรัพยากรจะรับได้ ก็จะมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายหมู่ พฤติกรรมรบราฆ่าฟันกันเอง เพื่อแย่งชิงทรัพยากรก็มี ฆ่าตัวตายหมู่ อย่างเช่นว่า พวกหนู คางคกหรือผีเสื้อ รวมพลทีหนึ่งเป็นแสนเป็นล้าน ถึงเวลาก็เดินทางไปเรื่อย ๆ เจอทะเลขวางหน้าก็โดดลงทะเล ว่ายน้ำไปจนจมตายหมด มนุษย์ของเราส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะของการรบราฆ่าฟันกันเอง
การแพทย์ศึกษาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่การแพทย์แผนปัจจุบัน ศึกษารู้จักโรคแล้วก็เพาะเชื้อโรคไปทำลายคนอื่นเขาด้วย ทุกอย่างเป็นดาบ ๒ คม ขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ว่ามีคุณธรรมเท่าไร
สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ บางประเทศเพาะสัตว์สงครามขึ้นมา สมมติว่าหมา ก็เพาะพันธุ์ให้มีความแข็งแกร่ง โหดเหี้ยม ดุร้าย ทำลายเป้าหมายตามคำสั่ง ที่ร้ายกว่านั้นก็คือพยายามที่จะตัดต่อให้เข้ากับมนุษย์ เพื่อที่จะได้เข้าใจคำสั่ง ควบคุมได้ง่าย ปัจจุบันนี้โครงการทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ว่าโดนทิ้งไป หากแต่ว่ามีการทดลองกันแบบลับ ๆ อยู่ ถ้ายังควบคุมได้ก็ไม่เป็นไร วันไหนควบคุมไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิชาการจัดการองค์กร มีอยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงการจัดการความเสี่ยง อาตมาเคยนึกว่า น่าจะเชิญอาจารย์พิเศษมาบรรยาย เพื่อที่นิสิตจะได้รับรู้วิธีการจัดการความเสี่ยงจากประสบการณ์จริง
อาจารย์พิเศษที่อยากเชิญมาบรรยายก็คือ บรรดาพวกที่ไปทำหน้า ผ่าตัด เสริมจมูก เหลากราม เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเสี่ยงมาก ถ้าคนไหนทำออกมาแล้วสวย แบบที่เขาชมกันว่า "สวยเหมือนกระเทยเลย" ต้องเอาคนเหล่านั้นมาบรรยายว่า จัดการความเสี่ยงอย่างไร เพราะว่าเขาทำตอนที่เราสลบ...ใช่ไหม ? ตอนที่สลบทำอะไรไม่ได้เลย เสี่ยงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่าสั่งหมอแล้วจะได้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า
วันก่อนดูข่าวว่ากระเทยลาว สั่งหมอว่าทำอย่างไรก็ได้ ให้ออกมาเหมือนใหม่ ดาวิกา ช่างเป็นความฝันที่พวกเราไม่กล้าอาจเอื้อม แต่เขาก็กล้าเสี่ยง แสดงว่าเขาต้องมีวิธีจัดการความเสี่ยงอยู่แล้ว
เรื่องของการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการเสริมการแปลงอย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงอยู่รอบด้าน ทำออกมาแล้วไม่สวยบ้าง จมูกเบี้ยวบ้าง ปากแทนที่จะเป็นรูปกระจับก็กลายเป็นปากนกแก้วแทน ในเมื่อมีความเสี่ยงทุกรูปแบบ คนที่ทำออกมาสวยก็ไม่ใช่ว่าจะรอดตัว เพราะว่าวันดีคืนดีก็อาจจะบีบสิวเม็ดหนึ่งแล้วดั้งหลุดออกมาด้วย เคยเห็นรูปเขาส่งมาให้ดูแล้วก็สยดสยอง เป็นสิวที่ปลายจมูก พอบีบสิวดั้งจมูกก็หลุดออกมาด้วย
ทำแล้วไม่สวยก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร เพราะแก้แพงกว่าที่ทำมาอีก ทำแล้วสวยก็ยังต้องเสี่ยงว่าจะมีผลข้างเคียงทีหลัง"
"ไปนึกถึงไมเคิล แจ็กสัน ที่ผ่าตัดแปลงตัวเอง กระทั่งไปฉีดสีผิว เพราะต้องการจะตอบสนองอะไรบางอย่างในใจของตัว จริง ๆ แล้วก็คือสภาพจิตใจต้องการความสงบ แต่ไม่มีความเข้าใจในหลักตรงจุดนี้ ก็เลยไปทำอะไร ๆ เกี่ยวกับร่างกาย ซึ่งเป็นคนละส่วนกับจิตใจ เกิดความพอใจขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว พูดง่าย ๆ ว่า สนองกิเลสแล้วกิเลสสงบลงก็คิดว่าใช่แล้ว พอถึงเวลากิเลสกำเริบใหม่ก็ไปทำเพิ่มใหม่ กลายเป็นเปลี่ยนแปลงที่เปลือกนอก ซึ่งไม่ใช่ส่วนที่เป็นสาเหตุที่แท้จริง
ก็น่าเสียดาย เพราะถ้าเขามีหลักธรรมสักนิดหนึ่ง ก็คงจะได้ดีกว่านี้ แล้วไม่ต้องใช้ยาเกินขนาด เพื่อที่จะลดความเครียดตัวเองจนถึงแก่ความตาย"
พระอาจารย์สอนว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "อย่าติดในสุข อย่ากังวลในทุกข์ ปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม" คือ ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็จะไม่โดน ถ้าโดนก็มานั่งพิจารณาว่า สมัยก่อนกูนี่เกเรน่าดูเลย
ยอมรับกฎของกรรมแล้วสบายใจที่สุด เห็นว่าธรรมดาทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เราไม่สามารถที่จะห้ามคนอื่นได้ แต่เราสามารถที่จะรักษาใจตัวเองได้"
ถาม : ช่วงนี้สวดพระคาถาเงินล้านแล้วรู้สึกอึดอัดค่ะ ?
ตอบ : ทำสบาย ๆ แต่อย่าบังคับตัวเองมากเกินไป ถ้ารู้สึกว่าทำแล้วเครียดก็ให้แบ่งเป็นเวลา เช่น ถ้าเราสวด ๑๐๘ จบ ก็แบ่งเป็นเช้า ๓๖ จบ เที่ยง ๓๖ จบ เย็น ๓๖ จบ ถ้าไปบังคับตัวเองมากเกินไป สมาธิทรงตัวมาก บางคนก็เหมือนกับแบตเตอรี่เต็ม อัดไม่เข้าแล้ว จะอึดอัดมาก
ถาม : หนูไปที่วัดหนึ่ง หลวงพ่อที่วัดนั้นก็ทำนายกรรมหนูมา ว่าในอดีตชาติหนูไปฆ่าคนเป็นน้องสาวเมื่อ ๑๑๘ ปีที่แล้ว และเมื่อ ๕๕๗ ปีที่แล้ว หนูไปฆ่าคนที่เป็นแม่ หลวงพ่อที่วัดนั้นบอกว่า หนูต้องไปบวชทำกรรมฐานที่วัดนั้นเป็นเวลา ๑ เดือน ๑๔ วัน หนูก็สงสัยว่าถ้าหนูไปฆ่าเขา ทำไมตกนรกน้อยจริง ไม่รู้หนูโดนหลอกหรือเปล่า ?
ตอบ : ไปถามท่าน ถามคนอื่นจะไปรู้ได้อย่างไรวะ ? จำไว้ว่าได้ยินได้ฟังอะไรอย่าเพิ่งเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา สมโณ โน ครูติ แม้สมณะนี้เป็นครูของเราก็อย่าเพิ่งเชื่อ ไม่อย่างนั้นต้องขุดบ้านจนพังก็ยังหาตอตะเคียนไม่เจอ แล้วจะรู้สึก...!
ถาม : หนูก็ทำแบบนี้ไปตามของหนู ก็ถูกต้องแล้วนะคะ ?
ตอบ : ชอบไปตามสำนักแบบนั้น เขาทำนายแล้วก็มาเครียดอีก ถามหลวงพ่อท่านไปสิว่า หลวงพ่อรู้หรือเปล่าว่าชาตินี้หนูกำลังจะฆ่าพระอีก..!
พวกเราก็ดูเหมือนรักเมืองไทยกันจริง ๆ คราวหน้าบอกหลวงพ่อบ้างสิว่า หัดให้หนูเกิดประเทศอื่นบ้าง ไม่ใช่เกิดแต่ประเทศไทย ตูยังไปเกิดเสียหลายประเทศ สมัยนี้กี่ชาติ ๆ ก็เกิดในประเทศไทยไม่เบื่อแย่หรือ ? ไม่อยากเจอโอปป้าบ้างหรืออย่างไร..?
ถาม : ตอนนี้โยมลาออกจากงานแล้ว เป็นงานที่ทำเพื่อสาธารณกุศลแต่ก็ได้เงินเดือนด้วย พอลาออกก็รู้สึกโหยหางานเดิม พอค้นหาความโหยหาก็รู้ว่า จริง ๆ แล้วไม่ได้อยากช่วยเขาหรอก จริง ๆ แล้วตัวเองต้องการทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเป็นคนดี ถ้าต้องการให้ตัวเองเป็นคนดี ไม่เห็นต้องไปช่วยคนอื่นขนาดนี้เลยเราก็เป็นคนดีได้ ก็เลยเริ่มงงว่าตกลงเราต้องทำดีต่อไปแบบไม่ต้องทำงานเพื่อได้เงิน ก็ช่วยเขาไปนั่นแหละ แต่ก็ยังยึดติดกับของเดิม ๆ อยู่ค่ะ พอค้นลึก ๆ ลงไปจริง ๆ ตัวเองก็มีความกลัวค่ะ เป็นความกลัวอะไรไม่รู้บางอย่างค่ะ ?
ตอบ : ท้ายสุดคือกลัวตาย กลัวว่าถ้าเราไม่เป็นคนดี จะไม่เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง เมื่อไม่เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง เดี๋ยวเราจะอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดไปลงตรงตายทั้งหมดนั่นแหละ สรุปก็คือเราจะทำอะไรก็ได้
ถาม : ต้องทำอะไรกับความกลัวนี้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำหรอก นั่นเป็นสัญชาตญาณ ความกลัวเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เรารอบคอบขึ้น แต่ว่าเราสามารถที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาในลักษณะทำอย่างจริงจัง คนเขาก็เห็นว่าเราเป็นคนดีเหมือนกัน ท้ายสุดก็ไม่มีอะไร ท้ายสุดไม่ว่าคนดีหรือไม่ดีก็ตายหมด เหลืออยู่อย่างเดียวว่าตายแล้วจะไปไหน ต้องตั้งเป้าชีวิตให้ชัดเจนไว้ ต่อไปเราก็ประเภททำการช่วยเหลือคนอื่นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ทำงานอะไรของเรา เราก็สามารถเสียสละเพื่อคนอื่นเขาได้
ถาม : ซึมเศร้า...คิดมาก ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คืออย่าไปคิดต่อ ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปคิดต่อ ทำให้ซ้ำหนักขึ้น แต่การที่จะหยุดความคิดได้นั้น สมาธิต้องดีพอ ก็คืออยู่กับลมหายใจปัจจุบันโดยไม่ไปคิดต่อ ถึงเวลาซักซ้อมการเข้าออกสมาธิให้คล่องตัว พอเรารู้สึกจะซึมเศร้าขึ้นมา เราก็หนีไปอยู่กับสมาธิ ก็จะรอดไปชั่วคราว
ถาม : ความมั่นใจเชื่อว่าเราทำได้ จำเป็นไหมครับ ? หรือว่าเราทำไปเรื่อย ๆ วางใจธรรมดาว่าถ้าได้ก็ได้ ?
ตอบ : การที่จะทำอะไรด้วยความเชื่อมั่น ต้องมีคุณสมบัติสองอย่าง อย่างแรกสมาธิต้องทรงตัวเข้มแข็ง จะเกิดความมั่นใจกว่าคนอื่นเขา ประการที่สอง มีประสบการณ์ต่อสิ่งนั้น ๆ มาก่อน ทำให้เกิดความมั่นใจว่าเราเคยผ่านมาแล้ว ครั้งนี้ก็ต้องทำได้ คราวหน้ามีความมั่นใจ มีประสบการณ์ จะทำให้ทำได้ดีกว่า ส่วนที่พวกทำไปเรื่อย ๆ เหมือนกับปลาตายลอยน้ำ เอาดีไม่ได้เหมือนกัน
ถาม : ถ้าเราไม่ได้มีสมาธิ และไม่เคยทำมาก่อน เราจะมั่นใจได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยาก...คนขาดสมาธิมักจะกลัว ๆ กล้า ๆ จะทำก็กลัวผิดพลาด ไม่ทำก็กลัวเจ้านายตื้บ..!
ถาม : การที่พยายามฝึกสิ่งทั้งหลายเพื่อการตายโดยเฉพาะ จริง ๆ แล้วควรจะทำตั้งแต่ตอนไหน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ควรที่จะทำได้ตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ คนที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกหัดเพื่อเป้าหมายของตัวเองไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนฉลาดที่เตรียมพร้อมโดยไม่ประมาทต่ออนาคตที่จะมาถึง
ถาม : จำเป็นไหมครับว่าเวลาสวดมนต์ต้องสวดเวลา ๒๓.๒๐-๑๒.๐๐ น. ?
ตอบ : ใครเป็นคนบอกมา ?
ถาม : มีคนบอกมาครับ แต่ผมไม่แน่ใจ ?
ตอบ : ไปถามคนนั้น
ถาม : แปลว่า ถ้าเราตั้งใจจะสวดมนต์ตอนนั้นก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สรุปว่าถ้าตายห่...ก่อนก็ไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น...ควรที่จะทำก่อนไหม ?
ถาม : คำทำนายของโหรเชื่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : เชื่อได้นิดหนึ่ง
ถาม : นิดหนึ่งหรือครับ ? ถึงแม้ดูดวงดาวเหมือนโหรสมัยก่อน ?
ตอบ : เต็มที่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็มี ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่ผิด ถ้าเกิดว่าเราดันไปเจอ ๒๐ เปอร์เซ็นต์นั้นก็บรรลัย พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงจนเกิดความผิดพลาดก็มีได้เสมอ
ถาม : เราโกหกแล้วเราไม่สบายใจ เรามาบอกความจริงทีหลัง เราผิดศีลหรือไม่ ?
ตอบ : ผิดไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนที่เราบอกทีหลังอาจจะซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่หนักเข้าไปอีก หรือกลับร้ายกลายเป็นดี ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนที่รับรู้
ถาม : ถ้าคนที่ไม่ได้สร้างเหตุให้มีบริวารในชาตินี้มาแต่ก่อน จะมาสร้างในชาตินี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : สร้างในชาตินี้ก็ไปรอชาติหน้า
ถาม : ก็ต้องเจอระบบใหม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สร้างเหตุเอาไว้ ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบหรอก ...(หัวเราะ)...
ถาม : การจะได้ฌานต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตอนที่ทรงฌาน ศีลจะบริสุทธิ์ แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะขาดอาจจะแหว่งบ้าง เพราะว่าโลกียฌานสำคัญตรงความมั่นใจ ถ้ารวบรวมกำลังใจตรงนั้นได้ ก็ทรงฌานได้ แต่ขอให้เข้าใจว่า ตอนที่ทรงฌานอยู่ ศีลของเราไม่ขาดอย่างแน่นอน
ถาม : การที่เราให้กำลังใจคนอื่น ก็คือการที่เราให้กำลังใจตนเอง ?
ตอบ : ดูว่าเขาต้องการกำลังใจจากเรา หรือเราต้องการกำลังใจจากเขา ถ้าเขาต้องการกำลังใจจากเรา เราสามารถพูดจนเขาเกิดกำลังใจ คิดจะต่อสู้ฟันฝ่าขึ้นมาได้ ถ้าเราทำแบบนั้นสำเร็จบ่อย ๆ เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาเองว่า เฮ้ย...เราก็ทำได้นี่หว่า..! ก็เท่ากับว่าเราสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
ถาม : ฉันทะเป็นอวิชชาหรือครับ ?
ตอบ : ฉันทะที่ไหนเป็นอวิชชา ? ฉันทะ ถ้าเป็นในส่วนที่กระทำสิ่งที่ดีก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นส่วนของปัญญา แต่ถ้าฉันทะในการทำความชั่วความเลว ส่วนใหญ่จะเป็นการบงการของตัณหา ถ้าในลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นส่วนของมิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นส่วนของอวิชชา แสดงว่าต้องอธิบายทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคุณชอบอ่านแล้วจับมาแค่มุมเดียว
ถาม : การที่มีลูกแก้ว ช่วยในการภาวนาได้ดี ทำให้เราเข้าถึงสมาธิได้ง่ายขึ้น ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าจะเอาหรือเปล่า ? ถ้าไม่เอา..ต่อให้อะไรก็ช่วยไม่ได้
ถาม : เพราะเราจะเข้าช้ากว่าคนอื่น ไม่เหมือนกับเวลามีลูกแก้ว ?
ตอบ : วัตถุมงคลหลายอย่างช่วยเสริมการปฏิบัติให้ดีขึ้น เพราะว่าบุคคลที่สร้างท่านสะอาดบริสุทธิ์จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเหมือนกับเราอยู่ที่ร้อน พอไปใกล้ก็รู้สึกเย็น เมื่อรู้สึกเย็น จิตใจผ่อนคลายลง ก็เข้าเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น ในเมื่อรู้วิธีแล้วก็อาศัยบ่อย ๆ จนกำลังของเราพอก็ไม่ต้องอาศัยท่านอีก
ถาม : ถ้าศีลขาด จริง ๆ เราต้องไม่เสียกำลังใจ ต้องไม่เสียการภาวนา ต้องพยายามทำกำลังใจให้ผ่องใสตลอดเวลา ?
ตอบ : ต้องหน้าด้านทำต่อไป เพราะถ้าศีลขาดแล้วมัวแต่เสียเวลาคร่ำครวญอยู่ ก็เท่ากับว่าเราเสียระยะทางที่ควรได้ เหมือนกับคนหกล้ม ลุกได้แล้วไปต่อเลย กับคนที่หกล้มแล้วนั่งครางอยู่นั่นแหละ...เจ็บเหลือเกิน ก็ไปไม่ได้สักที
ถาม : การปฏิบัติธรรมบนสวรรค์ง่ายกว่าบนโลกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ยาก...เพราะว่าส่วนใหญ่จะไปเพลินกับทิพสมบัติ ไปเพลินกับความสุขที่ได้รับ แล้วก็ลืมไปว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไร ไม่อย่างนั้นเทวดานางฟ้าก็บรรลุก่อนมนุษย์ไปหมดแล้ว
ถาม : แต่เวลาอยู่บนโลกมนุษย์ มีกรรมเก่าเยอะ บางทีพบกับความทุกข์ ?
ตอบ : ถ้ามีปัญญา ความทุกข์จะเป็นบันไดส่งให้เราหลุดพ้นได้ดีที่สุด แต่ถ้าปัญญาไม่พอ ก็เชิญหมกมุ่นกับความทุกข์นั้นต่อไป
ถาม : การที่เราเห็นจิตอีกจิตหนึ่ง คือญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณ
ถาม : ทำไมเราถึงแยกจิตกับจิตได้ครับ ?
ตอบ : ในสภาพของความเป็นทิพย์เหมือนอย่างกับว่า เรามองดูมือตัวเอง ทำไมเราเห็นมือได้ ทั้ง ๆ ที่มือกับตาเป็นตัวเราเหมือนกัน เพราะว่าต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
ถาม : อันนี้คือญาณ ?
ตอบ : ญาณคือเครื่องรู้ที่เกิดขึ้น คราวนี้ในส่วนของการรู้เห็นสิ่งอื่น ๆ เขาเรียกทิพจักขุญาณ
ถาม : เราฟังแล้วไม่รู้สึกค้าน เพราะไม่อยากค้าน อย่างนี้เป็นปัญญาไหมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าสิ่งที่เขาว่ามาเหลวไหลจนเราไม่มีอารมณ์จะค้าน หรือสิ่งที่เขาว่ามาเป็นความจริงจนเราค้านไม่ได้
ถาม : ถ้าเหลวไหลแล้วเราไม่ค้าน ?
ตอบ : ก็แปลว่าไม่ควรที่จะไปยุ่งกับเขา ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็เถียงกันไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า เราไม่ควรพูดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เถียงกัน
ถาม : หยิ่งเกิดจากอะไร ?
ตอบ :ส่วนใหญ่ความหยิ่งในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป ก็เป็นมานะ ถือตัวถือตน เห็นว่าตัวเองดีกว่าเขา
ถาม : จะแก้คนอื่นอย่างไร ?
ตอบ :แก้คนอื่นก็โง่ตายชัก...! คุณแบกโลกไหวไหมล่ะ ? เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลก จะไปแก้อะไรไหว ? แก้ที่ตัวเรา คนอื่นจะมองอย่างไรอยู่ที่เขา ส่วนตัวเราทำอย่างไรอยู่ที่เรา เราแก้ไขตัวเราเองได้ แต่เราแก้คนอื่นไม่ได้
มีผู้นำดาบหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล มาถวาย "เนื้อเหล็กเก่าได้อายุจะเป็นลักษณะอย่างนี้ คือ เป็นสนิมขุมที่กินในตัว ไม่ใช่สนิมที่กินเนื้อเหล็กจนกร่อน ถ้าหากว่าขยาย จะเห็นเป็นรูเล็ก ๆ ๆ ถี่ยิบ
............................................................................................สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ......ในตน
............................................................................................กัดกินเนื้อเหล็กจน.........กร่อนขร้ำ
คนเรามี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดในใจตัวเอง ถ้าไม่รู้จักขัด ไม่รู้จักถู ก็โดนสนิมกินใจจนผุ พรุนไปหมดเหมือนกัน"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนไปกราบหลวงปู่บุดดา ก็ต้องวิ่งไปวัดหลวงพ่อกวย แล้วก็วัดหลวงพ่อโมที่ห้วยกรด วนไปวนมากราบครูบาอาจารย์สายนั้น ท่านที่ไม่อยู่ ก็ไปกราบรูปปั้น ถึงเวลาขากลับก็บูชาวัตถุมงคลมา มาทีไรทหารที่วัดแห่กันมาขอกันจนหมด พอบอกว่าของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว เขาบอกว่า แต่ของหลวงปู่ผมยังไม่มี เอาไปจนได้"
ถาม : ทันหลวงพ่อเชื้อไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อเชื้อ ท่านแสงชวนไปตั้งแต่ท่านออกมีดหมอรุ่นแรก อยากได้ใจจะขาด เพราะรุ่นพี่พกมีดหมอหลวงพ่อเชื้อแล้วมอเตอร์ไซค์ล้ม ไถไปกับถนนลูกรัง ไม่เป็นอะไรเลย ปกติต้องไปให้หมอคีบลูกรังออก
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีคนถามว่า สมัยก่อนทรงจำพระไตรปิฎกในลักษณะมุขปาฐะ ก็คือปากต่อปาก จะแม่นหรือ ? ขอยืนยันว่าแม่นแน่นอน เพราะคนเป็นสิบเป็นร้อยสวดพร้อมกัน ถ้าคนไหนจำผิดทิ่มผิด ก็ชัด ๆ เลยว่าคุณผิด ต้องแก้ตามส่วนใหญ่ที่ถูก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนช่วงเรียนทหารจะเข้าใจว่า เรื่องการทำงานเป็นทีมสำคัญอย่างไร แต่เพื่อนเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญ เขามักจะใช้คำว่า "มึงจะจริงจังอะไรกับชีวิตนักวะ มึน ๆ ไปเดี๋ยวก็จบแล้ว"
ในความรู้สึกของอาตมาก็คือ ทุกอย่างต้องทำให้เต็มที่ เต็มกำลัง แต่เขาใช้คำว่า "หลบ ๆ อู้ ๆ พอสู้ได้ ไม่หลบไม่อู้สู้ไม่ไหว" คือ ไม่ได้คิดที่จะเอาดี ขอแค่ให้ผ่าน พอถึงเวลาก็มีการสอบผ่านแล้ว ก็มีการเลือกว่าจะไปลงที่ไหนกัน ครูฝึกเขาก็ด่าผู้บังคับบัญชาว่า ไอ้พวกเก่ง ๆ ก็เอาไปหมด เหลือแต่ไอ้พวกไม่เอาไหน เอาไว้ให้ฝึกรุ่นน้องออกมา แล้วจะดีได้อย่างไร ?"
ถาม : โดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ถ้าเราจะทำโดยใช้ร่างกายตามปกติ มีข้อจำกัดแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจแล้วก็กำลังกาย กำลังใจนี่เป็นการฝึกฝนข้างใน กำลังกายเป็นการฝึกฝนข้างนอก ถ้าถึงพร้อมทั้ง ๒ อย่างนี่แทบจะไม่มีขีดจำกัดเลย
ถาม : แต่ร่างกายก็มีสภาพไม่เที่ยง เจ็บป่วยได้ และเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ก็จะไม่พร้อมใช้งานได้ตลอด ?
ตอบ : กำลังกายมีจำกัด กำลังใจไม่จำกัด
ถาม : อย่างนี้หมายถึงว่ากำลังกายถ่วงกำลังใจได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ถ่วง อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าหากว่าใจไม่ไหว กายก็ไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากำลังใจถึง เดี๋ยวก็พาเจ้าตัวนี้ไปด้วยเองจนได้
:4672615: เก็บตกเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.