View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
ถาม : การบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เทพเทวดา หรือพระพุทธรูป ด้วยวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ได้กำหนดตายตัว บางคนจะบนมาก บางคนจะบนน้อย อยากทราบว่าการบนมากหรือน้อยนั้น ให้ผลจากการบนแตกต่างกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : วัตถุในการบนแทบจะไม่มีความหมาย สำคัญตรงบุญเก่าที่เราสร้างเอาไว้ ถ้าบุญเก่าเราสร้างเอาไว้มากเพียงพอ การบนเป็นการเติมส่วนขาดเพียงเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้นก็จะบนสำเร็จ
แต่ถ้าบุญเก่าเราสร้างไว้น้อย ของใหม่เติมเข้าไปมากมายมหาศาลเท่าไรก็ยังไม่ได้จำนวนที่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นบนให้ตายก็ไม่สำเร็จ ก็แปลว่าสาระสำคัญอยู่ที่บุญเก่าของเรา ถ้าบุญเก่าของเราเพียงพอ เติมเพียงเล็กน้อยก็สำเร็จแล้ว
ถาม : เวลาผมทำบุญ ผมอธิษฐานให้วิมานเป็นต้นโพธิ์ทั้งดุ้นแทนได้ไหมครับ ผมชอบต้นโพธิ์ครับ ?
ตอบ : ดูท่าจะได้เกิดเป็นแค่รุกขเทวดา..!
ถาม : ผมนั่งสมาธิไปสักระยะแล้ว พอจิตเริ่มเป็นสมาธิมากขึ้น อยากจะให้ทรงสมาธิแบบนั้นไปนาน ๆ แต่สักพักก็เริ่มเบื่อขึ้นมา ไม่ทราบว่าผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ ถึงจะสามารถทำสมาธิได้อย่างต่อเนื่องไปนาน ๆ ?
ตอบ : เวลาทรงสมาธิได้แล้ว อย่าเผลอให้สติหลุดจากสมาธินั้น ที่กล่าวมาแสดงว่าเป็นแค่อุปจารสมาธิเท่านั้น
ถ้าเป็นแค่ปฐมฌานขึ้นไป เราสามารถกำหนดได้ว่าจะทรงนานเท่าไร จิตของเรามีสภาพจำ ถ้ายังไม่ครบตามกำหนดเวลา ก็จะไม่คลายออกมาจากสมาธินั้น
ถาม : ผมสมัครบวชเนกขัมมะเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา เกิดเหตุที่ไม่สามารถไปได้กะทันหัน ก็คือ ขณะที่ขึ้นรถตู้กับแฟน แฟนผมน็อคจนต้องเข้าโรงพยาบาล ปรากฏว่าเป็นโรคหัวใจ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ฝันเห็นหลวงพ่อเล็กมาเรื่อย ๆ ครับ ในฝันหลวงพ่อบอกกับผมว่า "ถ้าอยากรู้อะไร ให้บวชสัก ๑ ปี แล้วจะรู้ทุกอย่าง" แถมวันนั้นแฟนผมก็ฝันเห็นหลวงพ่อเหมือนกัน
เมื่อคืนผมก็ฝันว่า หลวงพ่อให้หีบสมบัติมา เขียนชื่อหีบไว้ยาว ผมจำได้แต่คำว่า รัตนะ ผมตีความหมายของความฝันไม่ออกครับว่าหมายถึงอะไร
ผมต้องบวชไหมครับ ? และถ้าต้องบวช ผมก็มองไม่เห็นหนทางเลยครับว่าจะไปบวชได้อย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่นั่งรถสายกรุงเทพฯ-ทองผาภูมิ..!
ถาม : หากว่าเราเจตนาสวดพระคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ปรากฏว่าพอสวดได้ไม่กี่จบก็เกิดอาการง่วงมากทนไม่ไหวจึงหลับไป ตื่นอีกทีตอนเช้าหลาย ๆ วันติดกัน จะต้องหาเวลาสวดชดเชยจำนวนจบคงเหลือที่สะสมมาทั้งหมดหรือไม่ ?
ตอบ : ควรที่จะชดเชยเพราะคาถาเป็นบาทของอภิญญา บุคคลที่มีวิสัยจะได้อภิญญาต้องเป็นคนจริงจัง จริงใจ ทำอะไรสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น...รีบไปชดเชยเสียไว ๆ แต่ก็คงอีกนานกว่าจะครบ
ถาม : เวลาที่ผมภาวนาแบบต่อเนื่องกันนาน ๆ ประมาณ ๔ ชั่วโมงขึ้นไป ผมมักจะมีอาการตันขึ้นมา และรู้สึกเบื่อ ๆ เหงา ๆ จนไม่อยากจะภาวนาต่ออีก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นสมาธิก็เริ่มรู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว สุดท้ายก็ต้องไปหาอะไรอย่างอื่นทำจนได้ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ อยากจะทราบว่าผมควรจะทำอย่างไรครับถึงจะภาวนาได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่เบื่อไม่เหงาครับ ?
ตอบ : ถ้าภาวนาอย่างเดียวไม่มีใครไปรอด พอภาวนาไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตเหมือนกับแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้ว จะรับเพิ่มไม่ได้อีก ควรที่จะคลายกำลังใจออกมา แล้วหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา เป็นการใช้งานกำลังที่เราทำมาได้ เมื่อใช้ไปจนแบตเตอรี่พร่อง ก็สามารถที่ภาวนาใหม่ได้อีกครั้ง
ให้ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้ ไม่ใช่เอาแต่ภาวนายาวอย่างเดียว จนกว่าเราจะมีความสามารถในการทรงฌานตั้งเวลาได้ ถ้าอย่างนั้นเราจึงจะสามารถรักษากำลังใจไว้ได้ตลอดเวลาอย่างที่ต้องการ
ถาม : ถ้าไปดูหนังฟังเพลงแล้วสามารถพิจารณาทุกข์จากสิ่งที่ได้รับมา จะมีประโยชน์ไหมคะ ?
ตอบ : ยังไม่เจอว่าใครทำได้ ส่วนใหญ่ก็ไหลตามกิเลสไปหมด ตอนแรกก็ตั้งใจพิจารณา พอ ๕ นาทีต่อมาก็ลืมหมดแล้ว
ถาม : เห็นต่างประเทศเกิดพายุทอร์นาโดบ่อยมาก และบางทีก็มีเสียงดังมากและน่ากลัวลอยโหยหวนมาตามท้องฟ้า แต่หาต้นตอของเสียงไม่ได้ แต่ทำไมที่เมืองไทยถึงไม่ค่อยจะเจอกับพายุขนาดใหญ่หรือเหตุการณ์ประหลาดแบบนั้นสักเท่าไรครับ ?
ตอบ : เมืองไทยของเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกันอยู่มาก เพราะว่าบุคคลยังอยู่ในศีลในธรรมมากอยู่ โปรดดีใจเสียเถิดว่าเราเกิดในปฏิรูปเทส คือ แผ่นดินที่เหมาะสม มีภัยธรรมชาติน้อย แต่ถ้าคนของเรายังเพลิดเพลิน ไหลตามกระแสกิเลสไปเรื่อย ๆ ต่อไปภัยธรรมชาติก็จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน
ถาม : คาถาที่เอาไว้ใช้ทดสอบวัตถุมงคลว่ามีอานุภาพในด้านใดบ้างนั้นคือคาถาอะไรครับ ?
ตอบ : เท่าที่เคยใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ใช้ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง ส่วนวิธีการไปค้นหาเอาเอง เคยบอกไปหลายชาติแล้ว...!
ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า มีของขลังใดที่สามารถกันงูได้บ้างครับ ?
ตอบ : ความจริงมีมากด้วยกัน สำคัญที่ตรงความมั่นใจ ถ้าเราขาดความมั่นใจก็ไม่สามารถที่จะกันได้ ถ้าจะกันงูส่วนใหญ่โบราณจะหาเครื่องรางที่เป็นรูปพญาครุฑ หรือไม่ก็หาว่านนาคราช แต่ว่านนาคราชหายาก อาตมาเคยได้มาตอนธุดงค์ อุตส่าห์บอกแม่ไว้ว่าเป็นของดีหายาก แม่ก็เลยช่วยรดน้ำเช้าเย็นจนเน่าตายไปเลย
ถาม : ญาติของผมได้ไปทำบุญสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วมีคนหลายคนเกิดความสงสัยในคำสอนและการปฏิบัติตนของสถานที่แห่งนั้น จนไปสอบถามถึงการปฏิบัติตนและคำสอนของทางเจ้าของสถานที่แห่งนั้น แต่ได้คำตอบกลับมาว่า "การถามแบบนี้ทำให้สมเด็จองค์ปฐมท่านร้องไห้" ซึ่งผมเพิ่งเคยได้ยิน จึงกราบขอความเมตตาว่าเป็นความจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาตมาก็เพิ่งเคยได้ยิน ก็เลยตอบไม่ได้...! ตั้งแต่พระโสดาบันเอกพีชีขึ้นไป ท่านก็เลิกร้องไห้กันแล้ว นี่ต้นตำรับคือพระพุทธเจ้ามาร้องไห้ ก็แปลว่าสถานที่นั้นไม่ควรที่จะไป เพราะไปแล้วบาป ทำให้พระพุทธเจ้าต้องร้องไห้ทุกที...!
ถาม : ผมอ่านเก็บตกจากบ้านเติมบุญเดือนมิถุนายน แล้วไปสงสัยตรงที่หลวงพ่อบอกว่า ถ้าคนที่เคยมีพื้นฐานมาก่อน เมื่อใจของบุคคลนั้นสงบ ฌานต่าง ๆ จะมาเอง ตอนผมอายุ ๑๕ ป้าผมพาผมไปนั่งสมาธิที่วัดไม่ถึง ๓๐ นาที แล้วตอนนั้นความรู้ทางศาสนาผมไม่รู้เลยสักนิด และไม่เคยนั่งสมาธิแบบจริงจังมาก่อน และก็ไม่ได้เชื่อศาสนามากเท่าไร แต่พอผมนั่งสมาธิไปแล้ว จู่ ๆ ผมมีความรู้สึกสุขหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ แล้วต่อมาตรงเหนือสะดือเหมือนมีอารมณ์ดิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วผมก็รู้สึกเหมือนรู้สึกตกจากที่สูงตอนที่ป้าเรียกผม
ผมก็ไปค้นหาในกูเกิ้ลเกี่ยวกับอารมณ์ฌานที่หลวงพ่อท่าซุงอธิบายไว้ แต่ไม่เจอเกี่ยวกับอารมณ์ดิ่ง เลยอยากทราบว่าอารมณ์ดิ่งตรงเหนือสะดือ คืออารมณ์ฌานหรือเปล่าครับ ? ถ้าใช่หลวงพ่อช่วยบอกได้ไหมครับ เป็นอารมณ์ฌานระดับใด ?
ตอบ : อารมณ์เกือบจะเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นปฐมฌานหยาบ ช่วงที่เรามีความสุขนั้นคือส่วนหนึ่งของอารมณ์ก่อนที่จะเข้าถึงฌาน แต่เนื่องจากไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ เกิดการพลัดออกจากฌาน จึงมีความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ให้พยายามเข้าไว้ เกือบจะขึ้นชั้นอนุบาลหนึ่งได้แล้ว
ถาม : ผมอ่านเจอว่าสถานที่ก็ช่วยกับการทำให้ใจสงบเช่นกัน ในกรณีผมอยู่ต่างประเทศ ไม่มีวัดให้ช่วยในการทำให้ใจสงบ ควรทำอย่างไรให้เข้าฌานได้ทุกสถานที่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากเข้าฌานได้ทุกสถานที่ จำเป็นต้องขยันหมั่นฝึกซ้อม เรื่องของสถานที่มีส่วนช่วย แต่ความเพียรของเราเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า ถ้าหมั่นซ้กซ้อม หมั่นกระทำ จนสามารถเข้าฌานได้ทุกเวลาตามต้องการ จะเป็นสถานที่ไหนก็ไม่จำเป็นแล้ว
ถาม : การระลึกถึงลมหายใจตลอดเวลา ในตอนที่รู้ตัวจะสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าฌานและทรงฌานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำได้ โอกาสที่จะทรงฌานได้ก็มีสูง
ถาม : การที่บางครั้งผมทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงคนคุยกันภาษาอะไรไม่รู้ ตอนนั้นสมาธิผมเข้าฌานหรือว่าเป็นแค่อุปจารสมาธิครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะเป็นแค่อุปจารสมาธิ ทำให้เกิดทิพโสตหรือทิพจักขุญาณขึ้น แต่ส่วนใหญ่พอได้ยินเสียงหรือได้เห็นภาพ เรามักจะไปให้ความสนใจ ช่วงที่เราให้ความสนใจระดับสมาธิจะเคลื่อนคลายไปจากจุดที่เราเข้าถึง จะทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหายไป
ถาม : อยากทราบว่าเหตุปัจจัยหรือธรรมอันใด ที่สามารถช่วยให้จิตเข้าถึงฌานสมาบัติง่ายยิ่งขึ้นครับ เท่าที่ผมทราบมาคือ สถานที่ วัตถุมงคล ?
ตอบ : อันดับที่ ๑ สถานที่ต้องไม่เกลื่อนกล่นด้วยบุคคล เป็นสัปปายะ พอเหมาะพอสม อันดับที่ ๒ อากาศที่เหมาะสม อันดับที่ ๓ ตัวเราต้องมีร่างกายแข็งแรง พักผ่อนอย่างเพียงพอ ฯลฯ
ถาม : ผมอยากจะฝึกอภิญญา โดยเฉพาะกสิณลมกับกสิณสีเหลือง เพราะว่าเดินทางสะดวกดีและหาเงินได้ดีด้วยการเสกทอง แต่ผมสงสัยว่าการเสกทองด้วยอำนาจอภิญญาไม่เป็นการฝืนกรรมหรือครับ ?
ตอบ : อาตมาฝึกแทบตาย สุดท้ายถ้าไม่เดินก็ต้องนั่งรถอยู่ดี...! นี่คงคิดว่าอภิญญาฝึกแล้วใช้ได้ทุกเวลาตามที่ต้องการกระมัง ? ถ้าไม่ใช่ว่าจำเป็นสุดขีดจริง ๆ เขาให้ใช้สังขารร่างกายนี้ทำหน้าที่ไปตามปกติ ไม่ใช่นึกจะใช้อภิญญาก็ใช้ นั่นเป็นการฝืนกฎของกรรมมากเกินไป
ถาม : ผมลองฟุ้งซ่านเล่น ๆ สมมุติผมอยากซื้อบ้านใหญ่ ๆ สัก ๑๐ ล้านก็เสกทองแล้วไปขาย หรือถ้าผมอยากทำบุญใหญ่ ๆ ที่หาโอกาสยากมาก ๆ อย่างการเป็นประธานสังคายนา ก็เสกทองแล้วเอาไปขาย แล้วเอาเงินที่ได้มาช่วยการสังคายนา สิ่งที่ผมฟุ้งซ่านนี่ ถ้าผมหรือบุคคลใดที่สามารถได้กสิณสีเหลือง ท่านทำสิ่งเหล่านี้ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเลิกฟุ้งซ่านแล้วเอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ก็มีโอกาสที่จะทำได้มากกว่า..!
ถาม : บารมีหรือกำลังใจสามารถขึ้นลงได้ไหมครับ ? ยกตัวอย่างง่าย ๆ ผมตั้งใจจะออกกำลังกายทุกวัน แต่ทำได้ไปแค่ ๑ อาทิตย์ก็เลิก แปลว่า ๑ อาทิตย์นั้นผมมีสัจจบารมีดี แต่หลังจากนั้นสัจจบารมีลดลงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ลดลง เท่าเดิมนั่นแหละ ยังอยู่ในระดับเฮงซวยใช้การไม่ได้เท่าเดิม..!
ถาม : พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่าใน ๑๐ บารมี ตั้งแต่ทานบารมีจนถึงอุเบกขาบารมี พระพุทธเจ้าสรรเสริญปัญญาบารมีที่สุด ผมเลยอยากทราบว่า ในชาตินี้อยากมีปัญญาบารมีมาก ๆ แล้วเผื่อไปชาติหน้าด้วย ควรจะทำบุญประเภทใดนอกจากการภาวนาและการถวายพระไตรปิฎก ?
ตอบ : พิจารณาวิปัสสนาญาณไว้บ่อย ๆ ถ้าสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วยอมรับได้ ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าอีกด้วย
ถาม : การภาวนาต้องเข้าถึงระดับฌาน ๘ และวิปัสสนา ๑๖ จะได้มีปัญญาบารมีมาก ๆ ในชาตินี้และเผื่อในอนาคตชาติด้วย แบบขนาดที่ว่าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งเดียวแล้วบรรลุเลย หรือเปล่าครับ หรือแค่ได้สมาธิไม่ถึงระดับฌานก็พอ ?
ตอบ : แค่กำลังใจเราเกาะความดีจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนของเก่าให้ก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว ถ้าถึงวิปัสสนาญาณ ๑๖ ก็ไม่ต้องเกิดกันอีก บรรลุตั้งแต่เข้าถึงแล้ว
ถาม : ผมเข้าใจถูกไหมครับว่า การรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังคิดดีหรือคิดชั่ว ไม่เป็นมโนกรรมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดก็เป็นไปแล้ว แต่ในส่วนที่เรารู้ตัวนั้น ต้องสามารถหยุดความคิดนั้นได้ ถ้าไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้ ก็ยังชั่วอยู่เหมือนเดิม
ถาม : แล้วการที่เราปรุงแต่งหรือคิดวางแผนต่าง ๆ ใครกันแน่เป็นคนคิด ตัวจิตหรือตัวสังขารครับ ?
ตอบ : สภาพจิตสั่งงาน สมองคิด
ถาม : ผมเคยอ่านมาว่า บุคคลสามารถพูดคุยกับสัตว์ได้ด้วยการใช้ภาษาใจ ผมเลยสงสัยว่าภาษาใจในศาสนาพุทธเขาฝึกกันอย่างไร หรือจริง ๆ แล้วจะฝึกภาษาใจได้ต้องเป็นระดับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าครับที่สามารถเข้าใจทุกภาษาได้ ?
ตอบ : ภาษาใจแค่อภิญญา ๕ ก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงระดับดังที่กล่าวมา
ถาม : พระโพธิสัตว์กับปุถุชนทั่วไปมีข้อแตกต่างหรือเปล่าครับ ? เพราะบางชาติพระโพธิสัตว์ก็ทำบาปทั้งที่ ๆ ดูแล้วไม่น่าจะทำ อย่างโตไทยพราหมณ์โพธิสัตว์ ที่จะได้ตรัสรู้ในกัปหน้า ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ก็คือบุคคลที่เหมือน ๆ กับเรานี่เอง ประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน เพียงแต่เป้าหมายในการดำรงชีวิตของท่านเหล่านั้นยิ่งใหญ่มาก คือ ตั้งใจขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ดังนั้น...การเป็นพระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นอยู่แน่แท้ คือลงนรกเป็นปกติ..!
ถาม : บุคคลที่สามารถระลึกชาติได้ เขาระลึกเหมือนกับการระลึกว่าเมื่อวานเราทำอะไร แต่เปลี่ยนจากเมื่อวานเป็นชาติที่แล้วหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แบบนั้นเลย
ถาม : ผมอ่านเรื่องอาฬวกยักษ์ ยักษ์ท่านนี้มีอาวุธประจำกาย คือผ้าพันคอที่มีอานุภาพทำลายมหาศาลยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์อีก ผมสงสัยว่าในโลกสวรรค์ เทวดา พรหม ท่านเหล่านี้มีอาวุธประจำกายไว้ทำอะไรหรือครับ ?
ตอบ : มีเอาไว้ยืด...! เป็นไปตามบุญบารมีของตน จะเอาไปทำอะไรใครก็ไม่ได้ เพราะถ้าหากทำร้ายผู้อื่นด้วยโทสะ ตนเองก็จะสูญเสียกายทิพย์เพราะไฟคือโทสะเผาผลาญไป พูดง่าย ๆ ว่าสอนให้รู้จักระงับยับยั้งใจเสียยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป เช่น ถ้าเรามีอาวุธปืน ต้องรู้จักระงับใจของตนเอง เพราะการชักอาวุธออกมาเขาปรับโทษเท่ากับยิงแล้ว เพราะถือว่าพยายามฆ่าเท่ากัน
ถาม : ถ้าจะจัดบวงสรวงในห้องที่อยู่ในร่มใต้ชายคาได้หรือไม่คะ เพราะพื้นที่ไม่อำนวยให้จัดกลางแจ้งค่ะ ?
ตอบ : ใครเป็นคนบอกว่าต้องจัดกลางแจ้ง ?
ถาม : จัดในร่มได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : วัดท่าขนุนจัดบวงสรวงในศาลา ในร่มหรือเปล่า ?
ถาม : วัดแต่ละวัดสามารถจัดการองค์กฐินให้ตนเองหรือให้วัดอื่นได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องของกฐินใครจะเป็นคนจัดก็ได้ แต่ต้องเป็นเจตนารมณ์ของเจ้าภาพ ไม่ใช่พระวัดนั้นไปขอเขามา ถ้าไปขอจากเขาเมื่อไร แปลว่าอานิสงส์กฐินไม่มี ถ้าภาษาบาลีเรียกว่า กฐินเดาะ ไม่มีอานิสงส์ตั้งแต่แรกแล้ว แปลว่าทำบุญก็ได้บุญไปเฉย ๆ ส่วนพระไม่ได้อานิสงส์อะไรเลย
ถาม : พระในวัดสามารถร่วมบุญกฐินในวัดตนเองได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำไปเลย อย่าทำน้อยก็แล้วกัน...!
ถาม : การจัดหากิจกรรมเพื่อหารายได้เป็นกฐิน ถวายให้วัดตนเองทำได้ไหมครับ เช่น การสร้างวัตถุมงคลให้เช่าบูชา นำรายได้เข้ากองกฐิน ?
ตอบ : ดูด้วยว่าเจตนาแต่แรกที่ทำเช่นนั้นเป็นของใคร ถ้าเจ้าอาวาสตั้งใจทำเป็นกฐินก็ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นเจ้าภาพเอง แต่ถ้าเราเองอยากจะทำบุญกฐิน แล้วไปขอให้เจ้าอาวาสออกวัตถุมงคล อานิสงส์กฐินของเจ้าภาพก็จะยิ่งน้อยมากเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่า อย่าไปใช้พระหาประโยชน์ให้กับเรา
ถาม : โยมตั้งใจอุปัฏฐากพระพุทธศาสนา ช่วยรักษาศาสนสถานที่เจ้าของที่ดินตั้งใจถวายเพื่อก่อตั้งวัด แต่เกิดเรื่องราว ยังไม่ได้เป็นวัดตามระเบียบของมหาเถรสมาคม วันที่ ๒๐ นี้จะมีการประกาศผลว่าสิ่งที่ปลูกสร้างที่พักสงฆ์จะโดนยึดไปหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : โดนแน่ ๆ เจ้าค่ะ..! เรื่องของการสร้างวัดเขามีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ดินนั้นต้องมีสิทธิครอบครองอย่างชัดเจน และเจ้าของทำหนังสือสัญญาหรือเอกสารยกให้กับทางวัดแล้ว ถ้าไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่มีอะไรเลย โดนเขายึดคืนไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ถาม : เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ? อ้างอิงจากตอนที่พระพุทธเจ้าหนีพระภิกษุสองฝ่ายที่ทะเลาะกันหนีไปอยู่ที่ป่าเลไลยก์ และพระอานนท์พร้อมทั้งสาวก ๕๐๐ รูปไปตาม หลังเทศน์เรื่องการคบมิตรแล้วทำให้พระภิกษุ ๕๐๐ รูปบรรลุอรหัตผล ?
ตอบ : เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นท่านฉลาด ส่วนเราโง่ก็เลยไม่บรรลุเสียที...! ในเรื่องของเทศนาจะต้องส่งใจตามธรรมไป โดยเฉพาะเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไร้สาระแก่นสารของการเกิดมาในโลกนี้
ถ้าหากปัญญาถึง สามารถรู้เห็นได้อย่างชัดเจน สภาพจิตถอนจากการยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ไม่ใช่ว่าต้องป้อนไปจนกระทั่งถึงปาก ต่อให้ป้อนถึงปาก ถ้าเราไม่อ้าปาก ก็ไม่สามารถที่จะกินข้าวนั้นได้อยู่ดี
ถาม : เวลาหนูจับภาพพระแล้วยกจิตขึ้นพระนิพพาน หนูเห็นรูปพระพุทธเจ้า แต่มีคนบอกว่าหนูยังไปไม่ถึงพระนิพพาน กราบเรียนว่าหนูจะมั่นใจได้อย่างไรคะว่าหนูยกจิตขึ้นถึงพระนิพพานแล้ว ?
ตอบ : ถ้าเราเห็นแปลว่าเรายังอยู่ที่เดิม ถ้ารู้สึกว่าอยู่ในสถานที่นั้นแปลว่าเราไปถึงแล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรม สิ่งที่เพิ่งเข้าถึงใหม่ ๆ จะเหมือนกับได้อะไรเยอะแยะมหาศาล เพราะเป็นอารมณ์ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าถึง แต่พอซักซ้อมทบทวนไปสักระยะหนึ่ง มีความเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะเข้าใจว่าที่เราทำได้นั้นมีแค่นิดเดียวเอง
ในส่วนนี้ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปใหญ่โตว่า ตนเองเข้าถึงมรรคผลแล้วอย่างนั้น เข้าถึงสมาบัติแล้วอย่างนี้ ความจริงได้แค่อุปจารสมาธิ ยังไม่ทันเข้าถึงปฐมฌานเลยก็มี"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันงานผลไม้ของดีทองผาภูมิ ๒๒-๒๖ มิถุนายนที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้าไปออกร้านในงานได้ มีอยู่ร้านหนึ่งไปคั้นน้ำผึ้งสด ๆ ตรงนั้นเลย ก็ยังมีคนไม่ไว้ใจ บอกว่าขอซื้อที่เป็นรังเลยได้ไหม ? เจ้าของร้านบอกว่ายินดี แต่ขายอีกราคาหนึ่ง
อาตมาขอยืนยันว่า ต่อให้ซื้อรังผึ้งมาก็ไม่แน่ว่าจะได้น้ำผึ้งแท้ พวกเรารู้จักฝีมือคนน้อยเกินไป เขาใช้เข็มฉีดยาดูดเอาน้ำผึ้งแท้ไปใส่ขวดนานแล้ว ที่ฉีดเข้าไปนั่นเป็นแค่น้ำตาลเคี่ยวล้วน ๆ แถมยังมีรังและตัวอ่อนให้อีกด้วย
ถ้าญาติโยมอยากได้น้ำผึ้งแท้ ไม่ว่าจะเป็นผึ้งเลี้ยงหรือผึ้งจริง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำผึ้งเหมือน ๆ กัน ผึ้งเลี้ยงก็แค่เขายกกล่องไปให้หากินแค่นั้นเอง ไม่ใช่เขาเอาน้ำตาลไปเลี้ยงผึ้งเสียเมื่อไร แค่ยกหรือย้ายไปในสถานที่ซึ่งเหมาะสม อย่างเช่นตามสวนหรือไร่ อาตมาเห็นเขาเอาเข้าไปในสวนลิ้นจี่ สวนลำไย ไร่ที่ปลูกงา เวลางาออกดอกบานพร้อม ๆ กันทั้งไร่ เอารังผึ้งไปวางไว้ ผึ้งก็บินออกไปหากิน
เพราะฉะนั้น...จะผึ้งเลี้ยงหรือผึ้งธรรมชาติ น้ำผึ้งก็มีคุณภาพเหมือนกัน ไม่ต้องไปเลือกหรอก...เสียเวลา ไปซื้อของ....ก็ได้ ของ....ก็ได้ ไม่ปลอมด้วย"
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องหวย "การพนันจะเล่นชนะได้มา ส่วนใหญ่ต้องเคยทำบุญแบบไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน ไปเจอกองบุญการกุศลที่ไหนก็ควักเงินร่วมด้วยเลย ถ้าตั้งใจทำอย่างพวกสังฆทานซึ่งพวกเรามาทำที่นี่ เกิดใหม่ก็รวยไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเล่นหวย
ต้องถามอาจารย์ ดร.เอ เพราะว่ารายนั้นถูกหวยทุกงวด แต่โพยหวยยาวมาก ประเภทเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย บุญเขาทำมาทางนี้"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้านั่งใต้ต้นไม้บ้าง นั่งกลางแจ้งบ้าง ส่วนญาติโยมก็นั่งล้อมฟังธรรมกัน
อาตมาไปนึกถึงโยมคนหนึ่ง เจอหลวงพ่อวัดท่าซุงกำลังเดินข้ามถนน จากฝั่งวัดเก่าเพื่อไปฝั่งวัดใหม่ แกกราบกลางถนนนั่นแหละ หลวงพ่อบอกว่า "แดดกำลังร้อน พื้นถนนร้อน ๆ โยมลุกขึ้นก่อน" "ไม่ครับ นรกร้อนกว่านี้" แสดงว่าเขาไปจนชิน..!
ที่พูดถึงก็คือ สมัยพุทธกาลเขาลำบากกว่าเราเยอะ รุ่นของเราสบายแล้ว มีเครื่องปรับอากาศ ส่วนรุ่นนั้นไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่สภาพจิตที่จดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับหลักธรรม ทำให้ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพอากาศภายนอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์ปั้น ออกสมัยที่ท่านยังอยู่วัดปากทะเล อาตมาเอาลงกระทู้คนมีเงินฯ ไปเล่น ๆ อย่างนั้นแหละ แต่ดันมีคนเอาจริง แสดงว่ามีคนรู้จักของ เพราะว่าของจริงแพงมาก ในสนามพระคนที่อยากได้เขาให้ถึงเลขแปดหลักเลย
ส่วนใหญ่พวกเราดูของกันไม่ค่อยเป็น พิมพ์ปั้นนี้จะดูจากฝีมือปั้น เนื้อหามวลสาร รัก ทองและความเก่า องค์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยมีมาอยู่ที่คุณศิวาภา ไปขอดูเอาเอง องค์นั้นคนปั้นไม่ยั้งมือ ถ้าเอาผงไปปั้นองค์อื่นจะได้สององค์เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง "ท่านย่า" เตือนมาว่า พวกเราที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ควรที่จะสังวรณ์ไว้ด้วย การเข้าหาผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไป ก็ยังต้องมีการขออนุญาตพบก่อน พอท่านอนุญาต เมื่อมาถึงก็ต้องแจ้งขอพบ หลังจากนั้นท่านจึงจะพิจารณาให้เข้าพบได้หรือไม่ ? แต่พวกเราทำกับพระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นเพื่อนเล่นของเรา ถึงเวลาก็ตั้งเครื่องบวงสรวงเอาไว้ นึกจะพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเมื่อไรก็อาราธนาท่านเลย
ท่านบอกว่า "ใครจะมาทำให้แก ?" อาตมาก็เถียงว่า "ย่า...หลวงตาแก่แล้ว ให้คนอื่นทำงานแทน คนอื่นก็อาจจะมีการหลงลืมบ้าง" ท่านบอกว่า "ความแก่ไม่ใช่ข้ออ้าง สมัยพ่อแกอยู่ไม่ได้แก่กว่าหลวงตาหรือ ? ทำไมพ่อแกถึงไม่ลืม ถึงเวลาก็มีการขึ้นไปบอกกล่าวก่อน หลังจากนั้นก็ทำการบวงสรวงบอกกล่าวอย่างเป็นทางการ แล้วจึงอาราธนาทำพิธี เสียทีที่พ่อสอนมโนมยิทธิให้พวกแก แล้วใช้งานกันไม่เป็น ใช้งานกันไม่ถูกต้อง" ตกลงว่าแก้ตัวไม่ได้
ขนาดถามว่า "ย่าด่าผิดตัวหรือเปล่า ?" "ไม่ผิดหรอก...ถ้าไม่ด่าแกแล้วจะไปด่าใคร ไอ้พวกหูหนวกตาบอด ด่าไปไม่รู้เรื่องหรอก...!" สรุปอาตมาโดนเป็นชุดเลย"
"พอนั่งลงตั้งใจจะออกไปกราบพระ อ้าว...ใครมายืนชนหน้าอยู่เลย ? พอมองดี ๆ ใจหายแว้บ ย่าใส่ชุดแดงมา คว้าหูได้ก็หิ้วไปเลย ถ้าเป็นสมัยก่อนก็บิดหูลากไปเลย สรุปว่างานนี้ไม่มีข้อแก้ตัว รับไปเต็ม ๆ งานต่อไปไม่ต้องนิมนต์อาตมานะ กลัว..! ...(หัวเราะ)...."
"สรุปแล้วงานหลวงตา อาตมาได้อยู่อย่างเดียว คือ ได้หลวงพ่อเจ้าคุณดำ (พระราชสุวรรณเวที) ไปงานวันแม่ที่วัดท่าขนุน สอบถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า หลังจากสิ้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้ว งานในรั้วในวังก็รู้สึกว่าน้อยลง จะมีงานก็โน่น...ตอนเย็น อาตมาจึงสรุปว่า "ตอนเช้าไปวัดผมก่อนก็แล้วกัน" ไม่ใช่ว่าถึงเวลามีฎีกาด่วนขึ้นมาอีกนะ
ท่านถามว่าทำไมจึงต้องจัดงานวันที่ ๑๒ สิงหาคม ? กราบเรียนว่า "พ่อผมตาย ๑๒ สิงหาฯ จะให้ผมไปจัดวันไหน ?" โยมพ่อตาย ๑๒ สิงหาคม โยมแม่ตาย ๑๘ กันยายน อาตมาบอกกับญาติพี่น้องว่า จัดงานให้ครั้งเดียว จะเอาวันไหนก็เลือกเอา สรุปว่าเลือกเอา ๑๒ สิงหาคมกัน เพราะว่าเป็นวันหยุด"
"ให้คนอื่นจัดงานแทน ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับ "ท่านย่า" นะ เพราะว่าเราเป็นเจ้าของงาน ส่งลูกน้องไปทำงานผิดพลาด เจ้านายก็ต้องรับ ไม่ใช่ประหารชีวิตลูกน้องเซ่นความผิดพลาด..!"
"มโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาสอนมานั้น คุณค่าที่สำคัญที่สุด คือ รู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง ถ้าเราจดจำอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ได้ ตอนที่เรากลับลงมาแล้วประคับประคองรักษาเอาไว้ เท่ากับว่าเราเข้าถึงอารมณ์ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ถ้าสามารถทำได้บ่อย ๆ เข้า ระยะเวลาที่เราทรงอารมณ์แบบนั้นได้ก็จะนานขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะเข้าถึงความหมดกิเลสไปจริง ๆ นั่นคือเป้าหมายหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้กับพวกเรา"
"ส่วนเป้าหมายรองลงไปก็คือ พิสูจน์ว่าบรรดาภพภูมิต่าง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นมีจริงหรือไม่ ? ดูว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร ? ถ้าเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้วยังเลือกที่จะทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรแล้ว
แต่พวกเรามักจะเอาไปใช้ผิด ก็คือไประลึกชาติว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็เกิดมาลำบากอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เข็ด แถมไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีกต่างหาก ที่อาตมาเคยเปรียบว่า เราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง กลับไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายกันทั้งหมดนั่นแหละ..!"
"สาเหตุที่อาตมาไม่สอนมโนยิทธิให้กับใคร ยกเว้นว่าติดขัดแล้วมาสอบถามได้ ก็เพราะกลัวว่าพวกเราจะเอาไปใช้ผิด ๆ ในปัจจุบันนี้เท่าที่เห็น ร้อยละ ๙๙ ใช้กันผิดหมด แม้กระทั่งอาตมาเอง ก็เกือบจะหลงทางไปเป็นหมอดูอยู่แล้ว
ถามว่าการเป็นหมอดูดีหรือไม่ ? ดี...แต่เป็นขี้ข้าชาวบ้าน ถ้าคิดจะซักซ้อมมโนมยิทธิให้ดี มีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะแยะ การเป็นหมอดูต้องไปยุ่งกับกรรมชาวบ้าน ถ้าเราไม่เข้าถึงยถากัมมุตาญาณจริง ๆ มีสิทธิ์ที่จะเดี้ยงได้ เพราะกรรมชาวบ้านบางคน ก็หนักเกินกว่าที่เราจะควรไปยุ่งด้วย
บุคคลที่ได้มโนมยิทธิแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องซักซ้อมให้ชัดเจนเหมือนกับตาเห็น และจะยุ่งเกี่ยวกับคนรอบข้างไม่ได้ เพราะไปยุ่งเกี่ยวเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น สภาพจิตก็จะเฝือ เพราะความผ่องใสหมดไป ความชัดเจนก็จะไม่มี แต่พวกเราก็ชอบกันจัง...ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน
บางคนก็เอาไปใช้ประโยชน์ในด้านผิดอีกต่างหาก เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่มีคนเอาถาดทองคำมีค่าแสนกหาปณะไปให้สุนัขจิ้งจอกเยี่ยวรด ก็คือเอาสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสสอนไปใช้ในทางที่ผิด ๆ"
"อาตมาเล็งดูแล้วว่า ขนาดตัวเราเองค่อนข้างจะรู้ตัวเร็ว ผิดพลาดอะไรก็แก้ไขได้เร็ว ก็ยังไปติดอยู่ตรงนี้ถึงสามปีเศษ ๆ เวลาไปดูอะไรให้ใครเขาชมแล้วก็ฟู อยากจะได้รับคำชมอีก ก็เที่ยวไปเป็นขี้ข้ารับใช้เขาอีก คำพูดประเภท "รู้ได้ชัดเจนเหลือเกิน" "เหมือนกับตาเห็นเลย" "ทำไมแจ่มใสอย่างนี้" ฟังแล้วฟูฟ่อง ตัวจะลอย หารู้ไม่ว่าตายตอนนั้นก็ไม่ได้ไปพระนิพพานอย่างที่ต้องการหรอก
พอได้สติขึ้นมาก็ทิ้งเรื่องหมอดูหมดเกลี้ยงเลย เลิกดูกันที แต่ถ้าไม่หลง ไม่พลาด ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บางทีเราบอกคนอื่นเขายังไม่รู้ตัว บอกไปก็เท่านั้น ฟังแล้วก็ผ่านหูไปเฉย ๆ จนกว่าจะเจ็บจนพอนั่นแหละ จึงจะรู้สึกตัว
อาจารย์เอเจอรุ่นหลัง ๆ แล้วรู้สึกเบื่อบ้างไหม ? แต่ละคนเก่งฉิ..หายเลย อาตมาขอยืนยันว่าใช้คำพูดถูกต้องนะ ...(หัวเราะ)... ไม่ได้เก่งแล้วดีหรอก"
ถาม : (ถามเรื่องลูกที่จะเกิด)
ตอบ : อันนี้คงต้องไปถามหมอดูจะได้เสียสตางค์ต่อไป เรื่องแบบนี้อาตมาไม่รับรู้หรอก
ถาม : (ลูกหลง)
ตอบ : ทำไมถึงเรียกว่าลูกหลง ? ลูกหลง หมายความว่า เคยมีลูกแล้ว เวลาผ่านไปนาน แล้วอยู่ ๆ ก็มีโผล่มาใหม่ นี่เขาเรียกว่าลูกหลง โยมใช้คำพูดผิดนะสิ ถึงได้ถามว่าทำไมเรียกว่าลูกหลง ?
ถาม : ทำไมเขาจึงมาเกิดกับเรา ?
ตอบ : ก็ถือว่าเป็นบุญของเขาและเราที่เคยหนุนเสริมกันมา มาแล้วจะทำให้เราเจริญรุ่งเรืองก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นดูแลให้ดี ๆ
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไปตรวจให้ดี ๆ ก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ เครียดขึ้นมาประจำเดือนหาย ก็ไปตกใจว่ามีลูกเดี๋ยวก็ยุ่งอีก ไปตรวจซ้ำดีกว่า ตอนเช้า ๆ ตื่นมาก็ฉี่ใส่ขวดเตรียมไว้ให้หมอเลย
ทองผาภูมิมีอยู่ ๒ รายที่อาตมารู้จักสนิทมากเลย ทำอย่างไรเขาก็ไม่มีลูก เครียดเสียจนหายเครียดไปเอง ไม่ว่าจะวิธีหมอ วิธีพระ วิธีผีอะไร ก็ไม่มีลูกทั้งนั้น ก็คนจะไม่มี
ไปนึกถึงพระโพธิราชกุมาร...ใช่ไหม ? นั่นขนาดอาราธนาพระพุทธเจ้าไปเองเลยนะ ปูผ้าขาวอธิษฐานว่า ถ้าจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้าเดินบนผ้าขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อทิ้งหมดเลย แล้วบัญญัติศีล ๑ ข้อ ห้ามภิกษุเดินบนผ้าขาวอันชาวบ้านปูลาดไว้ให้ เพราะว่าถ้าไม่มีทิพจักขุญาณที่ใช้งานในด้านต่าง ๆ แล้ว เกิดไม่รู้เท่าทันไปเดินเข้า ก็ต้องหาลูกให้เขาให้ได้ ตัวเองไม่รู้ว่าจะโดนตัดอะไรไปบ้าง
อย่าลืมว่าแรงอธิษฐานคนหนักมากนะ อาตมาเดินเลี่ยงมาหลายทีแล้ว มีคนเอาผ้าขาวปูผืนเล็ก ๆ อาตมา ก็เดินหลบซ้ายเลี่ยงขวาไปเรื่อย เขาบอกว่าอยากได้รอยเท้าไปบูชา อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องเลย...พระพุทธเจ้าห้าม" ถ้าปูไว้ตรงทางเดินก็จบเลย แต่ถ้าหากว่าตั้งใจทำให้ก็คนละเรื่องกัน เพราะว่าไม่ได้ปูให้เดิน
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อคืนอาตมามาถึงที่นี่สี่ทุ่มกว่า ถามว่าทำไมถึงมาดึก ? ก็เพราะว่าจัดงานศพให้หมอฉลอง (ไวยาวัจกรและมัคคนายกวัดท่าขนุน) อาตมาเหนื่อยมาหลายวันแล้ว เมื่อวานเผาศพตอนประมาณ ๔ โมง ๑๓ นาที แต่ ๕ โมงเย็นแล้วรถยังออกไม่หมดวัดเลย
ตอนแรกทางญาติไม่ยอมให้เอาศพหมอฉลองขึ้นไปที่ทองผาภูมิ เพราะว่าโยมแม่อยู่ที่เมืองกาญจน์ พระน้องชายบวชเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดท่ามะขาม จึงให้ตั้งศพไว้สวดที่นั่น และจะเผาที่นั่น คนทองผาภูมิยื่นคำขาด “พระอาจารย์เล็ก...เอาหมอหลองกลับมาให้ได้นะ” ตอนแรกไปต่อรองท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน...ให้ไปสวด ๓ คืนแล้วเอากลับไปเผาที่ท่ามะขาม” อ้าว...กลายเป็นทรมานศพไป มัวแต่เอาขึ้น ๆ ลง ๆ
ท้ายสุดตกลงกันว่าสวดคืนสุดท้ายที่วัดท่าขนุนหนึ่งคืน แล้วก็เผาที่วัดท่าขนุนนี่แหละ ก็ปรากฏว่าคืนที่สวดเก้าอี้ทั้งหมดของวัดท่าขนุนประมาณ ๗๐๐ ตัวไม่พอให้แขกนั่ง คนต้องนั่งเต็มพื้นเลย ก็เลยถามโยมทองร่วม (แม่หมอฉลอง) ที่อายุ ๘๐ ปี ว่า “ยาย...คราวนี้ยายรู้หรือยังว่าทำไมถึงต้องเอาหมอหลองมานี่ ?” ยายบอกว่า “เพิ่งจะเข้าใจค่ะ”
แต่ที่อนาถที่สุดก็คือเจ้าภาพเตรียมอาหารว่างไว้ ๒๐๐ ชุด เพราะว่าอยู่ที่เมืองกาญจน์ ไม่เคยมีคืนไหนแขกมาเกิน ๒๐๐ คน ที่นี่คนมา ๗๐๐-๘๐๐ คน แล้วจะเอาที่ไหนให้ ?"
"ครอบครัวนี้มีลูกทั้งหมด ๖ คน หมอฉลองเป็นพี่รอง และทั้งหมดเป็นลูกชายล้วน ๆ ตายไปแล้ว ๓ คน คุณแม่อายุ ๘๐ ปี ส่งศพลูกมา ๓ ศพแล้ว
๒ ศพแรกแกยังคุยว่า “ลูกฉัน...ฉันเผามากับมือทุกราย” แกไม่รู้ว่าโบราณเขาถือ แต่ยายร่วมอาจจะรักลูกมาก ก็เลยไม่ใส่ใจคำโบราณที่ว่า ‘คนเป็นพ่อเป็นแม่ ถ้ายังมีลูกเหลืออยู่ ห้ามเผาลูกที่ตายแล้ว’ เผาคนที่ ๑ ก็จะได้เผาคนที่ ๒ เผาคนที่ ๒ ก็จะได้เผาคนที่ ๓ อาตมาเลยบอกว่า "คนนี้ยายนั่งเฉย ๆ ไม่ต้องเผาหรอก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวที่เหลืออีก ๓ คนจะไปอีก" ไปนั่งดูคนอื่นเขาเผาลูกก็พอ อะไรที่โบราณเขาถือ ก็เพราะว่าเขาสังเกตกันมานาน
มีลูก ๖ คนเผาไป ๓ คนแล้ว คิดดูก็แล้วกันว่าคนเป็นแม่จะเสียใจขนาดไหน ? แต่เมื่อวานนี้ยิ้มออกเพราะว่าอาตมาเทให้หมอฉลองหมดกระเป๋าเลย บรรดาเจ้าคุณต่าง ๆ มาเกือบจะหมดกาญจนบุรี เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด ๒ รูป เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ ฯลฯ มากันอย่างกับงานประชุมสงฆ์
อาตมาเตรียมผ้าไตรให้ชักบังสุกุล ๔๐ ไตร เตรียมซองไว้ด้วย ปกติงานศพเขาไม่มีถวายซองกันนะ เพราะส่วนใหญ่เขาต้องไปช่วยคนตาย อาตมาถวายหมดทุกท่าน ตั้งใจทำบุญให้กับหมอฉลอง แม้กระทั่งเงินเทศน์หน้าศพก็เอาไปสร้างพระให้เขา ตั้งใจเอาไปสร้างพระสามกษัตริย์ คนตายจะได้ได้บุญเต็มที่หน่อย"
"เป็นการเปิดใช้งานเมรุวัดท่าขนุนเต็มรูปแบบครั้งแรก ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ยกเว้นอาคารรับแขกหลังกลาง ไม่ทราบว่าติดเครื่องปรับอากาศใหม่ ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น คอล์ยเย็นไม่ทำงาน แล้วอาตมาก็จัดให้บรรดาชุดปกติขาวนั่งข้างในหลังนั้นหมดเลย แม้กระทั่งท่าน อดีต สว. ทำเอาแขกผู้ใหญ่เหงื่อหยดติ๋ง ต้องรีบออกมาข้างนอกกัน
ท่านอดีต สว. สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกาญจนบุรี เป็นอดีตอาจารย์ของหมอฉลอง เป็นรองศาสตราจารย์นายแพทย์ ขอให้ท่านนายกเทศมนตรีพามาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ท่านบอกว่าท่านเคยมาวัดท่าขนุน สมัยโน้นกับสมัยนี้เป็นคนละวัดกันแล้ว อาตมาก็เลยบอกว่า ถ้าโยมไม่เห็นวัดท่าขนุนสัก ๖ เดือนก็เปลี่ยนมากแล้ว คราวนี้โยมไปอยู่ที่อื่นมาตั้งหลายปี ไปเป็นนักการเมือง เป็นสมาชิกวุฒิสภาเพิ่งจะกลับมา จึงรู้สึกว่าที่นี่เปลี่ยนไปเยอะมาก"
"บรรดาพระในเมืองต่างคนต่างบอก "โห...อาจารย์เล็ก ทำไม่ไว้หน้าไว้ตากันเลย เมรุในเมืองยังไม่มีขนาดนี้" ก็เลยกราบเรียนพระผู้ใหญ่ท่านว่า "ทองผาภูมิแขกผู้ใหญ่มากันเยอะมาก หลายท่านเกษียณแล้วมาปักหลักที่นี่ อีกหลายท่านก็มีคนสนิทชิดเชื้อ มีญาติมีโยมที่ทองผาภูมิ ถึงเวลาคนเจ็บคนตายก็ขึ้นมาเยี่ยม มางานศพ แต่ไม่มีเมรุที่พอเป็นหน้าเป็นตาได้เลย ส่วนใหญ่ก็เมรุเล็ก ๆ เก่า ๆ โทรม ๆ เพื่อให้เป็นหน้าเป็นตาสมเกียรติคนตายหน่อย อาตมาก็เลยต้องลงทุนด้วยตัวเอง" ตอนนี้เปิดใช้เต็มรูปแบบแล้ว ยินดีต้อนรับทุกคน...!
เมื่อวานเช้าไปบิณฑบาต โยมชมว่า "เมรุอาจารย์สวยมาก" อาตมาสะดุ้งเฮือก...! อันนี้โบราณเขาถือมาก อย่าชมว่าเมรุสวยเดี๋ยวจะได้ใช้ ห้ามชมอย่างเด็ดขาดเลยนะว่าเมรุวัดไหนสวย ที่แน่ ๆ ก็คือคนเป็นพัน ขนาดเปิดให้ดูเตาเมรุแล้ว เขายังยืนยันว่าเป็นเจดีย์ไม่ใช่เมรุ เจดีย์ก็เจดีย์วะ...!
อาตมาสร้างเมรุแต่เขาเห็นเป็นเจดีย์ สร้างหลวงพ่อโตหน้าวัด เขาก็เห็นเป็นเจ้าพ่อ ทำไมถึงเห็นเป็นเจ้าพ่อ ? เวลาขับรถผ่านบีบแตร แปร๊น ๆ แปร๊น ๆ พวกมึงหนอ....กูจะให้เป็นพุทธานุสติ จะขึ้นจะลง มึงเห็นพระก่อนอย่างน้อยใจจะได้เกาะพระ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็ยังไปดีบ้าง ดันเห็นเป็นเจ้าพ่อไปเสียนี่"
ถาม : ถ้าบริษัทหนูขายเหล้า หนูเป็นพนักงานไปช่วยเสิร์ฟ ไปช่วยเติมเบียร์ เติมเหล้าให้ลูกค้า ถือว่าเป็นการนิยมส่งเสริมทำผิดในศีลห้าไหมคะ ?
ตอบ : ให้เติมแบบประเภทเรามีหน้าที่ทำ ส่วนเขาจะกินหรือไม่กิน เป็นเรื่องของเขา
ถาม : แต่ไม่เกี่ยวกับการส่งเสริมใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าอยู่ที่เรา ให้ทำใจว่านั่นเป็นหน้าที่ซึ่งเราต้องทำ เรา ไม่ได้ไปบังคับบีบคอให้ใครเขากิน เรามีหน้าที่เทลงไป ส่วนจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา
ถาม : ถ้าสมมติว่าเราขายของอย่างหนึ่ง แล้วมีซินแสมาทักว่า ถ้าเราขายเบียร์ ขายน้ำ ขายเหล้าแล้วจะรวย ?
ตอบ : ถ้าเชื่อเขาก็ลองทำดู...! จะขายน้ำ ขายน้ำแข็ง ขายน้ำอัดลม ขายน้ำหวานอะไรก็ขายไปสิ ทำไมต้องไปขายเหล้าขายเบียร์ ก็น้ำเหมือนกันไม่ใช่หรือ ?
ถาม : เรื่องฮวงจุ้ยมีผลไหมคะ อย่างเช่น จะค้าขายต้องปรับฮวงจุ้ยใหม่ ?
ตอบ : ถ้าเราเชื่อมากก็มีผลมาก ถ้าเราเชื่อน้อยก็มีผลน้อย เพราะว่ากำลังใจของเราสำคัญที่สุด ถ้าเราไปคิดว่าไม่ดี ๆ ๆ ๆ ก็เท่ากับเราแช่งตัวเอง ท้ายสุดก็เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ กลายเป็นว่าเราแช่งตัวเองว่าไม่ดี ก็เลยกลายเป็นไม่ดีไป
ถาม : หนูนั่งทำงานที่บริษัทไปด้วย แล้วก็เปิดฟังเสียงธรรมไปด้วย อย่างนี้ถือว่าปรามาสพระรัตนตรัยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจฟังก็ไม่เป็นไร ถ้าฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ก็เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่มาหาว่า "มองดูสิว่าที่ตัวเองนั่ง เวลาคนอื่นเดินมานั้นเกะกะเขาไหม ? ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย จะนั่งจะยืนอะไร โบราณเขาสอนว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ให้นั่งเยื้องไปทางซ้ายหรือทางขวา ไม่ต้องให้ท่านเหลียวมองมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่นั่งประจัญหน้าแบบนี้ เกิดช้าไปหรืออย่างไร ถึงไม่เคยได้ยินกันเลย
การเป็นนักปฏิบัติธรรมของเรา สภาพจิตต้องละเอียดขึ้นไปเรื่อย ๆ อาตมาย้ำเรื่องนี้อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ จะต้องผ่านการตรึกตรองมาแล้วทั้งนั้น ว่าทำไปแล้วเป็นผลดีต่อตัวเราและคนอื่นหรือเปล่า
ถึงเวลาก็มานั่งเข้าแถวเป็นกำแพง แล้วคนมาทีหลังเขาจะเข้ามาทางไหน ? พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในเกสปุตตสูตรว่า สิ่งที่เราทำนั้นช่วยให้ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ลดลงหรือไม่ ? เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นหรือไม่ ? เป็นต้น
เรื่องที่อาตมาหนักใจก็คือ ญาติโยมยังไม่สามารถที่จะนำเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาในชีวิตจริง ๆ ได้ เท่ากับว่าที่ปฏิบัติกันมายังเปล่าประโยชน์"
มีโยมเอาธงชัยจีวร ลายมือหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ มาให้พระอาจารย์ดู "เก็บ..เก็บไปเลย...ปวดหัว อาตมาอยู่ใกล้ของขลังไม่ได้ มักจะโดนบีบอยู่เรื่อย เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เหมือนกับรับพลังได้ พอรับได้ ก็เหมือนกับพลังแทรกเข้ามา แล้วประสาทร่างกายรับไม่ไหว"
ถาม : ปิดไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้...ตั้งแต่เด็กมาก็เป็นอย่างนี้ พูดง่าย ๆ ว่าของใครขลังจริงถ้ามาใกล้นี่เป็นทุกราย จะมากจะน้อยก็เป็นหมด ขอให้ขลังจริงเท่านั้น ตอนเด็ก ๆ อาตมาก็อยากจะดูพระ แต่ดูทีไรปวดหัวทุกที....ไม่เอาแล้วโว้ย..!
ยังดีที่อาตมามีมีดหมอสะกดวิญญาณของหลวงพ่อแจ่มอยู่ ๓-๔ เล่ม รอให้เขาทำฝักให้อยู่ คนไม่เห็นคุณค่า เขาเห็นแค่ใบมีด บอกว่าไม่รู้มีดหมอที่ไหน ? ปล่อยให้สนิมกินเขรอะเลย
มีมีดหมอบรมครูปราบไตรภพของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว อยู่เล่มหนึ่ง คนทำฝักก็สักแต่ว่าทำจริง ๆ ฝักหนาเป็นไม้กระบองเลย เขาทำแค่รักษามีด ไม่ได้คิดจะทำให้สวย
ยังนึกถึงหลวงพ่อกวย ว่าอย่างไรเสียลูกศิษย์ก็ทำมา ท่านก็พยายามทำให้สวยหน่อย คนอื่นทำนี่ออกมาหน้าตาดูไม่ได้เลย
อาตมาเคยได้ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบมาอันหนึ่ง แต่ให้เขาไปแล้ว ตอนนั้นสนใจแต่ของหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค (วัดโฆสิตาราม) ...(หัวเราะ)...
แปลกตรงที่ว่าพระสมัยก่อนทำอะไรเหมือน ๆ กัน อย่างครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ ทำกะลาราหู ทำควายธนู แล้วทำไมหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง อยู่ภาคกลาง ก็ทำแบบเดียวกัน เพียงแต่ฝีมือช่างต่างกัน เหมือนกับเรียนมาจากตำราเดียวกัน
แบบเดียวกับคาถากันไฟไหม้ กันฟ้าผ่า อาตมาก็คิดว่าเป็นคาถาของหลวงปู่ปาน ปรากฏว่าหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอกท่านใช้เสกแพะของท่าน เพราะว่าแพะท่านทำจากเขาควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตาย
ถาม : (มโนมยิทธิเต็มกำลัง)
ตอบ : นั่นเป็นแบบจีนแท้ ๆ คนจีนทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาตมาดูมาตั้งแต่เด็ก ถึงเวลาคนตายไปไหน เขาให้ไปถาม เขาจะกำชับให้คนไปดูเลยว่า ถ้าเห็นแม่น้ำอย่าข้ามนะ ถ้าข้ามจะตายไปด้วย ตำรานี้จีนแคะเขาเรียก "ล็อกซ้ำกู๊" ลงไปดูในนรก
ถ้าลูกศิษย์มองไม่เห็น อาจารย์ก็จะจุดกระดาษเงินกระดาษทองตรงหน้า ก็คือลักษณะที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านปรับมาเป็นการเอาไฟส่อง ผมมั่นใจเลยว่าท่านอาจารย์สุขเรียนมาจากคนจีน อาตมาดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ เวลาเริ่มไปดูคนตาย เขาจะสั่นแรงมาก ตบจนกระทั่งขาเขียวหมด ตอนแรกก็สงสัยว่าไปดูกันได้จริง ๆ หรือวะ ? แล้วสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าทำไมลงไปได้แต่นรก ?
ถาม : มีผีพาไปดูบาดาล เจอบ้านคนอยู่อีกฝั่งของน้ำ กำลังจะข้ามแม่น้ำ มีเสียงเรียกห้ามไว้ก่อน ?
ตอบ : ข้ามไม่ได้ นั่นเป็นเขตคนตาย พวกที่เล่นอย่างนี้มาเขาสั่งกันนักสั่งกันหนา ว่าเจอน้ำอย่าข้ามเด็ดขาด ญาติคนไหนมาชวนก็ห้ามข้าม จะน้ำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นน้ำนี่อย่าข้าม จะเป็นสะพาน จะเป็นเรือ หรือเป็นแม่น้ำ สระน้ำ ก็ห้ามข้าม เขาเล่นกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอมาฝึกมโนมยิทธิ อาตมาถึงได้สงสัยว่าทำไมเหมือนกันวะ ?
ถ้าหากว่ามองไม่เห็น เพราะมืด เขาจะจุดกระดาษเงินกระดาษทองส่องหน้าให้ ก็เหมือนการเอาไฟฉายส่องนี่แหละ
ถาม : ถ้าเราข้ามไปละครับ ?
ตอบ : ต้องลองดู อะไรที่เขาห้าม แปลว่าน่าจะเคยโดนกันมาแล้ว พอข้ามไปอาจจะมีเสียงถามว่า เจ้าเป็นอะไรตาย ? ...(หัวเราะ).... อาตมาไปดูมาตั้งแต่เด็กเลย กี่ศพ ๆ เขาก็ไปดูกัน ดูว่าตายแล้วไปไหน ? มีอะไรจะสั่งเสียไหม ?
ถาม : เขาไปดูได้จริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไปได้จริง ๆ เขาไปดูกันมาไม่รู้เท่าไรแล้ว แต่สงสารคนที่เป็นม้าทรง ตบกันเข่าเขียวหมด ก่อนจะหลุดออกไปได้สั่นแล้วตีตึง ๆ ๆ
ถาม : นั่นคือ ?
ตอบ : ก็มโนมยิทธิเต็มกำลังนั่นแหละ เขาเรียกม้าทรง ส่วนใหญ่แล้วจะเอาเด็ก ๆ เขาว่าบริสุทธิ์ เด็กคนไหนโดนหมายตา ก็เข่าเขียวทุกครั้ง ...(หัวเราะ)....
ถาม : ต้องรอผีมาพาไป ไม่สามารถกำหนดได้ พอถึงเวลาเขาจะกดหลับเลย ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะนั้นแหละ เขาจะดึงเราไปเอง สมัยก่อนอาตมาโดนบ่อย เพราะไม่รู้จักตั้งกำลังใจเอาไว้รอรับการติดต่อ
ถาม : แก้อย่างไรให้ติดต่อได้ตลอดครับ ?
ตอบ : ก็แค่อธิษฐานไว้ ว่าใครมีอะไรก็มาบอกกัน ไม่อย่างนั้น เราไม่เปิดช่อง เขามาไม่ได้ ถ้าจำเป็นเขาก็ลากเราไปเลย แบบที่โดนมานั่นแหละ
ถาม : ส่วนของจีน ของไทย เต็มกำลังเหมือนกันไหม ?
ตอบ : ก็คือมโนมยิทธิ เพียงแต่ว่าจะมาจากตำราไหน แบบเดียวกับพวกนักพรตที่เขาเบิกเนตรทิพย์ ก็เหมือนกับทิพจักขุญาณ นั่งภาวนามา ๒๐ ปี ๓๐ ปี เบิกเนตรทิพย์ได้ เห็นพลังหยินหยาง "ไอ้บ้า...ทำเสียเกือบตาย มึงเห็นได้แค่นั้นเอง" ....(หัวเราะ)....
ถาม : ทิเบตที่เจาะโพรงนาสิกเปิดตาที่สาม ?
ตอบ : เขาใช้สมุนไพร ก็ลักษณะเดียวกัน เพราะว่าคนโดนเจาะกำลังใจจะรวมไม่ไปไหน เพราะว่าจะตึงอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เท่ากับบังคับใจให้เพ่งอยู่จุดเดียว
ถาม : เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ไหม ?
ตอบ : น่าจะมี แต่เขาต้องเลือกคนที่เขาเห็นแววจริง ๆ
ถาม : แสดงว่า ต้องเลือกคนที่มีความเพียรจริง ?
ตอบ :ไม่ใช่เก่งเฉย ๆ ต้องขยันด้วย พวกเขาเดินจงกรมรอบทะเลสาบก็ยังเอา ขนาด ๓๐ กิโลเมตร เขาเดินกัน ๑๐๘ รอบ เห็นหรือยังว่าความเพียรของเราไม่พอ ขนาดขี่ม้ายังใช้เวลา ๒ ชั่วโมงครึ่ง ขี่ม้าประเภทม้าวิ่งด้วยนะ แต่เขาเดินนับประคำ ถึงเวลาค่ำตรงไหนก็หากิน หานอนแถวนั้น แล้วรุ่งเช้าก็ไปต่อ
พระอาจารย์กล่าวถึงตระกรุดโทนของหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญว่า "ท่านทำเฉพาะวันพระ เดือนหนึ่งทำได้แค่ ๔ ดอกเท่านั้น ยกเว้นบางเดือนที่มี ๕ วันพระ ซึ่งหาได้ยากสุด ๆ"
ถาม : พระพุทธเจ้ามีสัพพัญญุตญาณ รู้ทุกอย่าง แล้วคนอื่นมีความสามารถที่จะรู้ทุกอย่างได้บ้างไหมคะ ?
ตอบ : สัพพัญญุตญาณมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะว่าคนอื่นไม่จำเป็นต้องมี ไม่ได้คิดจะช่วยใครแล้วจะมีไปทำไม ?
มีโยมมาเบิกวัตถุมงคล "แมลงภู่คำส่วนใหญ่จะเป็นครูบาทางด้านไทยใหญ่ท่านทำ ตอนหลังสืบมาถึงทางเมืองไทย แต่สร้างได้รายละเอียดไม่เท่าเขา รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ทำกันหยาบ ๆ"
มีโยมมาเบิกปลัดขิกหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องของปลัดขิกว่า
"เรื่องของปลัดขิกมีที่มาจากความเชื่อของฮินดู คือ ศิวลึงค์ ความเชื่อทางด้านฮินดูเขาเข้าถึงมากกว่า เขาเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แล้วพวกเราสืบเชื้อสายต่อเนื่องกันไป สิ่งที่ทรงพลังถึงขนาดสร้างโลกได้ ก็คือศิวลึงค์กับอุมาโยนี เขาก็เลยให้ความเคารพในเรื่องอย่างนี้ ถือว่าเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าถึงขนาดสามารถสร้างชีวิตได้
พลังงานที่ถึงขนาดสร้างชีวิตได้ เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ? บรรดาพราหมณาจารย์ที่เข้าถึงเคล็ดลับตรงนี้ จึงทำศิวลึงค์หรืออุมาโยนีได้ศักดิ์สิทธิ์และขลังมาก
คราวนี้ทางบ้านเราสมัยก่อนมีการค้าขายติดต่อกับอินเดียมาตั้งแต่โบราณ วิชาการพวกนี้จึงสืบทอดมาถึงบ้านเราด้วย แต่บ้านเราเป็นพุทธศาสนา จะไปสร้างศิวลึงค์กับอุมาโยนีใหญ่ ๆ โต ๆ ไว้บูชาในเทวาลัยก็ไม่เหมาะสม หลวงปู่หลวงพ่อสมัยโน้นก็เลยปรับสร้างเป็นศิวลึงค์อันเล็ก ๆ"
"สมัยก่อนถ้าพูดถึงอวัยวะเพศเด็กผู้ชาย หรือว่าของผู้ชายด้วยกัน จะเรียกขุนเพชรบ้าง ปลัดบ้าง เรียกในลักษณะให้เกียรติ คราวนี้ครูบาอาจารย์ที่สร้างปลัดขิกได้โด่งดังมาก ท่านแรกที่เป็นเจ้ายุทธจักรด้านนี้จริง ๆ คือหลวงพ่อขิก วัดสาวชะโงก เขาก็เลยเปลี่ยนจากการเรียกว่าขุนเพชร หรือคุณปลัด มาเป็น "ปลัดขิก" ซึ่งก็คือปลัดของหลวงพ่อขิก
หลวงพ่อขิกถ่ายทอดวิชาสืบต่อมาให้หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก เราลองนึกถึงชื่อวัดดูว่าท่านทำได้ขลังขนาดไหน ? รุ่นหลัง ๆ ก็สืบต่อกันมาเรื่อย ๆ ที่ทำแล้วโด่งดังมากก็มีหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เพราะว่าปลัดขิกของท่านว่ายน้ำตามเรือได้
เนื่องจากว่าช่วงที่ท่านทำปลัดขิกด้วยไม้กัลปังหา กัลปังหาจะหาตรง ๆ ยาก มักจะคด ๆ งอ ๆ พอทำเป็นปลัดขิกเขาเห็นว่าไม่สวย จึงโยนน้ำทิ้ง นั่งเรือมาเป็นชั่วโมงแล้ว ปลัดขิกว่ายน้ำตามเรือมา จะเอาหรือไม่เอา...อะไรประมาณนี้ กลายเป็นของท่านขลังและดังระเบิด เพราะว่าว่ายน้ำตามเรือได้"
"ครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่ทำปลัดขิกแล้วดัง ก็มีหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ ปลัดขิกหลวงพ่อฟักแพงมากตั้งแต่ยุคโน้น ของหลวงพ่อฟักเป็นปลัดขิกสร้างวัด ปลัดขิกตัวแรกของหลวงพ่อฟัก อาตมาต้องบูชาครูด้วยปูน ๒ ตัน..! ท่านขอเป็นปูน เป็นวัสดุก่อสร้าง ...(หัวเราะ)...
ที่ดังมากในเรื่องปลัดขิกอีกท่านนึ่งคือ หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก เขาว่าลูกศิษย์หลวงพ่ออี๋เป็นทหารเรือ ปลัดขิกว่ายน้ำตามได้ หลวงพ่อยิดมีลูกศิษย์เป็นทหารบก แถมเป็นทหารการบินทหารบก ปลัดขิกจะบินได้ไหม ? ปรากฏว่าวันนั้นออกลาดตระเวน เห็นปลัดขิกบินอยู่ข้างเฮลิคอปเตอร์ เข็ดไปตาม ๆ กัน ขอได้โปรดอย่าท้า...!"
"ท่านอื่นที่ทำปลัดขิกแล้วมีชื่อเสียง ก็มีหลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน หลวงปู่เมฆทำปลัดขิกจาก "ไม้เขยตาย"
ไม้เขยตายเกิดจากลูกเขยกับแม่ยายไปทำนาด้วยกัน ลูกสาวก็คอยหุงข้าวไปส่ง คนโบราณรีบออกไปทำนาตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ เพราะว่าถ้าแดดร้อนจะทำนาไม่ไหว ออกไปแต่มืด ลูกเขยไปเหยียบงูเห่าเข้าก็โดนกัด ชักแหง็ก ๆ ตัวแข็งทื่อ แม่ยายไม่รู้จะทำอย่างไรก็ตัดกิ่งไม้เอามากองสุม ๆ ไว้ กันสัตว์มากินซาก แล้วรีบกลับบ้านเพื่อจะไปตามคนมาช่วยหามศพ
ปรากฏว่าพอกลับมาถึงนา เห็นลูกเขยนั่งงง ๆ อยู่ แม่ยายก็...อ้าว...ตายแล้วทำไมฟื้นขึ้นมาได้ ? ด้วยความที่แม่ยายรีบ ๆ ตัดไม้มาสุม จึงไปตัด "ไม้เขยตาย" มา ยางไม้หยดใส่รอยงูกัดพอดี เป็นยาแก้งูกัดที่ได้ผลที่สุด คนที่ดูเหมือนตายไปแล้วก็เลยฟื้นใหม่
หลวงปู่เมฆทำปลัดขิกด้วยไม้เขยตาย ถามว่าหลวงปู่เมฆดังแค่ไหน ? หลวงปู่เมฆอยู่หนองจอก กลางดงอิสลามเลย แต่อิสลามรอบวัดพกปลัดขิกของหลวงปู่เมฆทุกคน..!"
"หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย จังหวัดนครนายก ปลัดขิกของท่านเอาครั่งคาดหัวไว้ คำว่า ครั่ง คือตัวแมลงที่กินต้นไม้ ถึงเวลาขี้เอาไว้แล้วเขาเก็บเอามาใช้งาน สมัยก่อนใช้อุดด้ามมีดบ้าง ติดตราประทับหนังสือบ้าง เพราะเวลาเผาละลายได้ แต่เวลาแข็งตัวก็เหมือนกับหินดี ๆ นี่เอง มีอยู่ระยะหนึ่งที่ไปรษณีย์ไทยใช้ครั่งในการตีตราพัสดุ
คำว่า ครั่ง ออกเสียงคล้าย ๆ กับคำว่าคลั่งไคล้ ฉะนั้น...ปลัดขิกหลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย จึงคาดครั่งมาด้วย
ถ้าปลัดขิกหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม (วัดบ้านแค) คนจะพยายามหารุ่นที่เป็นหมวกทหาร ปกติเขาจะแกะปลัดขิกเป็นรูปอวัยวะเพศผู้ชาย ปรากฏว่าคนแกะเกิดมีสายตาศิลปินอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ? ทำเป็นรูปหมวกทหารครอบหัวปลัดขิกเอาไว้"
"ท่านอื่น ๆ ที่ทำปลัดขิกระยะหลังก็มีหลายสำนักด้วยกัน แต่ว่าครูบาอาจารย์ที่ทำแล้วมีชื่อเสียงจริง ๆ เพราะว่าคนเอาไปใช้แล้วเห็นผลมากก็มีแค่ไม่กี่สำนัก
ทางด้านภาคตะวันออกต้องหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส หลวงพ่อคงมีปลัดขิกนางครวญ ปลัดขิกเสือผู้หญิง คำว่าเสือผู้หญิงก็คือ ท่านทำเป็นรูปเสือเกาะปลัดขิกอยู่ ปลัดขิกหลวงพ่อคง ผู้หญิงอย่าเดินข้าม เดินข้ามนี่ขยับได้ บางตัววิ่งตามเลย เจอสาวถูกใจวิ่งตามไปเลย
ฉะนั้น...เรื่องนี้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเข้าถึงเคล็ดลับตรงที่ว่า ปลัดขิกหรืออุมาโยนีเป็นของที่มีอานุภาพมากถึงขนาดสามารถสร้างโลก สร้างชีวิตได้ ถ้าเข้าถึงเคล็ดลับตรงนี้ก็จะสามารถทำได้ขลัง กลายเป็นที่นิยมกัน ส่วนใหญ่จะดีทางเมตตาเข้าหาเพศตรงข้าม แต่คาถากำกับจะตรงข้ามกัน ถ้าไปหาผู้ชายว่าอย่างหนึ่ง ไปหาผู้หญิงว่าอย่างหนึ่ง ถ้อยคำค่อนข้างจะหยาบคาย ไปหาเอาเองก็แล้วกัน
อย่างของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เขาเอาไปใช้ดีทางอยู่ยงคงกระพันด้วย หลวงพ่อคง หลวงพ่อกวย ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เมตตาอย่างเดียว ส่วนของหลวงพ่อฟัก เหมาะสำหรับฝรั่งใช้งาน เพราะว่าชื่อท่านเป็นมงคลกับฝรั่งดี...!"
ถาม : ท่านเสกด้วยอะไรคะ ถึงดิ้นได้ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะใช้การตั้งธาตุ หนุนธาตุ ถ้าไม่เคยศึกษามา พูดไปก็บ้าเปล่า ๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยธาตุ ๔ แล้วหนุนด้วยอากาศและวิญญาณ
ดิน น้ำ ลม ไฟ เสริมด้วยอากาศและวิญญาณ ถ้าหากว่าเป็นพวกหุ่นพยนต์ กุมารทอง วัวธนู พวกนี้ต้องเรียกอาการ ๓๒ ด้วย ไปค่อย ๆ เรียนรู้เอา วิชาการด้านไสยศาสตร์ทุกอย่างลำบากลำบนมาก เพราะว่าต้องหาฤกษ์หายาม หาวัสดุที่เหมาะสม เสียเวลาในการเสกการสร้าง
ที่อาตมานิยมเครื่องรางของขลังทั้ง ๆ ที่เป็นพระ เพราะว่าของทำยาก ของพวกเราสายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เสกพระง่าย เสกของขลังยากมาก แบบเดียวกับที่อาตมาอธิบายว่า ถ้าเราเข้าถึงว่าคาถาบทนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ก็จะสามารถทำได้ขลังกว่าคนอื่น
ครูบาอาจารย์ของเราท่านเก่ง ก็คือไสยศาสตร์นั้นจะเห็นผลเร็ว ส่วนใหญ่แล้วก็จะถ่ายทอดสอนลูกศิษย์และกำชับในเรื่องของการขยันภาวนา จะเห็นว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนนั่งลบผงกันทั้งวัน นั่งเขียนยันต์กันทั้งวัน ภาวนาคาถากันทั้งวัน นั่นก็คือพื้นฐานของสมาธิ
พอสมาธิทรงตัว มีกำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลสได้ ครูบาอาจารย์ท่านก็จะพาเลี้ยวเข้าหาหลักธรรม ก็แปลว่าครูบาอาจารย์ท่านฉลาด เริ่มที่ไสยศาสตร์แล้วมาจบลงตรงพุทธศาสตร์
ดังนั้น...หลวงปู่หลวงพ่อสมัยก่อนจึงเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านได้ทุกคน เพราะว่ากำลังใจชาวบ้านส่วนใหญ่ อยู่แค่ระดับไสยศาสตร์กับศีลธรรมเบื้องต้นเท่านั้น
ปลัดขิกอีกเจ้าหนึ่งที่ดังมาก แต่หาของยากสุด ๆ ก็คือ หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี ลูกศิษย์คนไหนมี ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก นอกจากเมตตามหานิยมแล้ว ยังอยู่ยงคงกระพันสุด ๆ
เพชรบุรีเป็นเมืองเสือ เมืองคนจริงมาแต่โบราณ จะเห็นว่าปรมาจารย์เพชรบุรี อย่างหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก ล้วนแล้วแต่เป็นที่ยอมรับนับถือกันทั้งประเทศ
หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นครูบาอาจารย์รุ่นที่ดังหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่เหรียญแพงถึงล้านแล้ว ครูบาอาจารย์อื่น ๆ รุ่นหลัง ๆ ที่เป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์เหล่านั้น ก็มีชื่อเสียงเกียรติคุณเยอะแยะ เมืองคนดุ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ขลังจริงเขาไม่นับถือหรอก
ถาม : ผมจะต้องไปคุมงานก่อสร้าง ผมควรตั้งกำลังใจในการทำงานแบบนี้ว่าอย่างไรดีครับ ? ที่ที่ผมไปค่อนข้างเละเทะ พอเจอปัญหาเราตั้งสติไม่ได้ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ปัญหาเกิดเพราะคน ถ้าอ่านคนออกก็จบ ส่วนใหญ่จะอ่านคนไม่ออกเพราะว่าประสบการณ์น้อย จำไว้ว่าคนเราจะกลัวคนที่เข้มแข็งเด็ดขาด จะไม่กลัวคนที่อ่อนแอ เพราะฉะนั้น...ถ้ามีเชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย เดี๋ยวลิงก็เป็นระเบียบเรียบร้อยไปเอง
อาตมาเองคุมงานเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีกระดิก บอกกับเขาว่าถ้าเอ็งทำที่นี่ไม่ดีพอ ก็ไปหาที่อื่นทำใหม่ ข้าหาคนใหม่ได้ พอเราไม่ง้อเขา เขาก็ต้องง้อเรา สรุปง่าย ๆ ว่า ไม่มีใครอยากตกงาน
พระอาจารย์กล่าวกับผู้สวมหมวกกันน็อกมาว่า "เห็นมีดราม่าว่าหมวกกันน็อกราคาเท่าไรไม่ใช่หรือ ? ได้ดูคลิปกันหรือเปล่า ? ในโลกของข้อมูลข่าวสาร หาความจริงแท้ได้ยาก ส่วนใหญ่จะนำเสนอในมุมที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง อย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรง่าย ๆ"
มีโยมมารับวัตถุมงคล "ปลัดขิกหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ระวังสาวไล่ตามไม่เลิกนะ..!"
ถาม : สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ไม่ว่าโยมหรือพระก็ได้รับวิบากกรรมเช่น มีอุบัติเหตุตาย แต่กำลังวิปัสสนาก็ทำให้บรรลุได้ ไม่เกี่ยวกันใช่ไหมครับว่าจะต้องมีบุญ จะต้องเจริญขึ้นแล้วต้องบรรลุ หรือต้องรับกรรมนั้น ?
ตอบ : ยิ่งทุกข์ยากลำบากยิ่งเห็นง่าย วิปัสสนาญาณหลัก ๆ ที่สำคัญก็คือมองทุกข์ให้เห็น ยอมรับสภาพว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วเราไม่ต้องการอีก ถ้าหากว่ามีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว บางทีลืมทุกข์ไปเสียด้วยซ้ำ บางคนเป็นพระโสดาบันก็ติดอยู่แค่นั้นทั้งชีวิต เพราะว่าไปเพลินกับความสุขของอารมณ์ที่กิเลสลดน้อยลง
ยิ่งลำบากยิ่งได้เปรียบ ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อบรรลุจริง ๆ จะง่าย ก็แบบเดียวกับเรื่องของการสร้างวัด ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าทำใจได้จะบรรลุเร็ว ผมเองก็สงสัยว่าอย่างไร ทำใจได้ บรรลุเร็ว ?
พอไปเจอเข้าจริง ๆ สารพัดเรื่องสารพัดราว โดยเฉพาะพวกช่างรับเงินแล้วไม่ทำงาน อยากจะไปกระทืบพวกนี้ถึงบ้าน แต่พอเราทำใจได้ ปล่อยได้ วางได้ รู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรไหลมาเทมา ได้มากกว่าเดิมเยอะ ถ้าหากว่าเอาแต่สบาย โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมกลับมีน้อย ต้องพวกสร้างบุญมาดีจริง ๆ เท่านั้น
ถาม : เรื่องการสร้างวัด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสหลอกให้เราอยากทำ หรือกิเลสหลอกให้เราเบื่อหน่าย อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องทำอะไร ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควรแก่การใช้งาน ถ้าหากว่ามีเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เหนื่อยยาก เพราะว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างคน
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งใจจะสร้างคน ถึงขนาดทำธุดงค์สถาน ๑๐๐ ไร่ ท่านตั้งใจจะให้พระผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปฝึกกรรมฐานคนละ ๑ เดือน แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันจะทำเสร็จ ท่านก็ไปเสียก่อน ตกลงว่าท่านสร้างได้แต่ของ ส่วนคนสร้างได้ไม่มากเท่าที่ท่านต้องการ
จะว่าไปแล้วในหมู่ลูกศิษย์ของท่านรุ่นแรก ๆ ได้ดีกันทั้งนั้น แต่คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าท่านอยากให้พระได้ดี ท่านบอกว่า "ข้ามัวแต่ทำงานอยู่ จนพระรอไม่ไหว สึกหาลาเพศไปก็มาก ออกไปอยู่วัดอื่นก็มี" ท่านก็เลยตั้งใจทำธุดงค์สถานเอาไว้ เพื่อที่จะให้พระเข้าไปฝึกกรรมฐานกันที่นั่น แต่ว่ายังไม่ทันจะสำเร็จ
เพราะฉะนั้น...พวกคุณก็ดูแค่ว่า ถ้าวัดมีเสนาสนะเพียงพอแก่การใช้งาน ไม่ต้องถึงขนาดหรูหรามาก ใหญ่โตมาก ก็เริ่มสร้างคนได้แล้ว ตัวผมเองในวัดก็หยุดสร้างแล้ว เหลืออยู่แค่สร้างคนอย่างเดียว
ถาม : เจอหลวงพ่อครั้งแรกตอนที่เมียของคุณสุวิทย์ตาย พอหลวงพ่อบอกว่าเมียของคุณสุวิทย์ตาย ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ข้างก็ดีใจ แต่ผมตอนนั้นไม่เข้าใจ ?
ตอบ : กำลังใจที่กำลังเกาะกุศลแล้วตาย โอกาสลงต่ำไม่มีอยู่แล้ว พวกเราไปงานศพ มักจะไปเฮ ๆ ฮา ๆ กัน เจ้าภาพเขาหมั่นไส้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "หมอบอกกับอาตมาว่า "ต้อหินรักษาไม่ได้ หลวงพ่อไม่ต้องเครียดนะครับ จะช้าจะเร็วก็บอดอยู่แล้ว" ขำตรงที่หมอบอกไม่ต้องเครียดนี่แหละ ถ้าหากว่าหมอบอกคนอื่นนี่ รับรองว่าเขาเครียดตายเลย โชคดีที่บอกอาตมาก็เลยไม่เครียด
เจอหมอพูดตรงเกินไปก็ไม่ดี แต่ก็อย่างว่าแหละ...หมอไม่อยากให้คนไข้มีความหวังทั้งที่ไม่มีทางเป็นไปได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาตั้งใจบวชแค่ ๗ วันแล้วลากยาวมาจนป่านนี้ เพราะว่างานที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น สร้างไป ๗ - ๘ วัดแล้ว เห็นเขาลำบาก สันดานเดิมก็อดช่วยเขาไม่ได้ ญาติโยมเห็นทำให้ก็ดีอกดีใจ ทำแล้วพออาตมาไปต่อก็ร้องห่มร้องไห้กัน ว่าทำแล้วทำไมไม่อยู่ ? อาตมาไม่ได้บอกว่าทำแล้วจะอยู่นี่หว่า..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัดวาอาราม พอทำไปสักระยะหนึ่งจะรู้สึกว่าพอแล้ว ในเมื่อรู้สึกว่าพอแล้วก็หยุดได้แล้ว เริ่มหันมาสร้างคนได้
บางท่านงานมีแต่ใหญ่ขึ้น ๆ ถ้าแบบนั้นมีสิทธิ์ตายคางาน..! ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปไหน ก็สร้างความเจริญให้แก่ที่นั่น นี่เป็นเรื่องจริง แต่ว่าไม่ต้องทำมากถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่าถ้าทำมากแล้ว การใช้งานมีน้อยก็น่าเสียดาย
ที่วัดผมหมุนเวียนทำวัตรเช้าอาคารโน้น ทำวัตรค่ำอาคารนี้ ก็เพราะว่าจะใช้งานให้ทั่วถึง อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเราใช้งานอยู่ ก็เท่ากับบังคับว่าต้องทำความสะอาดไปในตัว ไม่ใช่ถึงเวลาเปิดเข้าไป มองเห็นฝุ่นหนาคืบหนึ่ง..!"
ถาม : พอมีปัญหาก็ไม่เอาแล้ว เป็นปัญญาเห็นทุกข์หรือว่าขี้เกียจครับ ?
ตอบ : เป็นเพราะว่าไม่สามารถที่จะก้าวข้ามความเบื่อไปได้
ถาม : ถ้าก้าวข้ามได้จริง ?
ตอบ : ถ้าก้าวได้ก็เป็นสังขารุเปกขาญาณ ทุกอย่างจะเป็นปกติ คราวนี้ท่านข้ามไม่ได้สักที เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ พอชนก็ถอย ชนก็ถอย กลายเป็นเบื่อแล้วเบื่ออีก
ความจริงอารมณ์เบื่อเป็นอารมณ์ที่ดีมาก เพราะถ้าเราไม่เบื่อก็ยังอยากเกิดอีก แต่เราต้องพิจารณาแล้วก้าวข้ามความเบื่อนั้นให้ได้ เห็นให้ได้ว่าธรรมดาของการอยู่ในโลกต้องเป็นอย่างนี้ จะต้องพบกับเหตุการณ์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อพบกับสิ่งที่น่าเบื่อเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ถ้าสามารถก้าวข้ามไปได้ ก็จะกลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นปกติแบบเห็นธรรมดา ไม่ใช่ปกติแบบคนทั่ว ๆ ไป
ถาม : ผมจะสร้างวัดแต่ก็บอกบุญไม่ได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก แค่พัฒนาวัดให้สะอาดก็พอแล้ว วัดแต่ละวัดจริง ๆ เสนาสนะพอใช้งาน เพียงแต่ว่าบางคนอยากได้ที่พร้อมสมบูรณ์กว่านั้น
โดยเฉพาะผม บอกบุญใครไม่เป็นเลย ถึงได้ต้องห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร เพราะว่าตกลงกับหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ว่า "ถ้าจะให้ผมทำ ต้องหาเงินให้ผมด้วย ถ้าผมต้องขอเขาแม้แต่บาทเดียว ผมจะไม่ทำอะไรเลย"
พูดง่าย ๆ ว่าถ้าคุณกล้าพูดอย่างนี้ ก็ต้องมีดีพอ คือผมไม่ได้รั้นกับครูบาอาจารย์ แต่มีนิสัยไม่ชอบขอเงินใคร เพราะฉะนั้น...ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าผมสามารถที่จะทำงานให้ได้ หลวงพ่อต้องหาเงินให้ผม
ท่านเลยถาม "แกแน่ใจนะว่าจะเอาอย่างนี้ ?" กราบเรียนว่า "แน่ใจครับ" "เออ...ได้" แล้วท่านก็หาเงินของท่านเอง แต่ว่าอย่าใช้ผิดนะ ถ้าใช้ผิดโดนด่าหูตูบ..!
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมคิดจะติดกระจกรอบตึกแดงเพื่อให้โปร่ง เห็นข้างนอกได้ ปรากฏว่าพอจะเรียกช่างทำกระจกมา หลวงพ่อท่านบอกว่า "แพงเกินไป ถ้าใครตัดหญ้า เครื่องตัดหญ้าดีดหินไปโดนแค่ก้อนเดียวก็ฉิบหายแล้ว ทำอะไรอย่าให้ฟุ่มเฟือยมากเกินไปนัก เงินข้าเป็นคนหา ไม่ใช่แกหา"
ท้ายสุดตึกแดงถึงได้เป็นมุ้งลวดรอบหลังแทนที่จะเป็นกระจก นั่นก็โปร่งเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่โดนด่า ความคิดก็ไม่เกิด มุ้งลวดไม่กี่บาท ส่วนกระจกราคาแพง เพราะฉะนั้น...เงินของหลวงพ่อท่านไม่ต้องไปใช้ส่งเดชหรอก ผิดท่าผิดทางมีหวังโดนก่อน..!
ผมคิดอยู่แต่แรกว่าถ้าเราไม่ฝึกมโนมยิทธิก็ดีนะ งานไม่เยอะ หูหนวกตาบอด ไม่รู้อะไร...ใช่ไหม ? หมดเรื่องไปเลย
แหม...แต่ตอนนั้นคัน อยากจะฝึก ซ้อมแล้วซ้อมอีก หามรุ่งหามค่ำ ปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว เล่นไม่ยอมเลิก ใครจะไปรู้ว่าพอซ้อมคล่อง กลายเป็นโดนด่าง่ายแบบนี้..!
ผมเป็นคนที่บังเอิญฝึกตามวิธีที่หลวงพ่อท่านบอก ที่ท่านบอกว่า "ข้าสั่งให้ทำอะไร ก็ทำแค่นั้น ให้ทำแบบคนโง่ ๆ" ผมก็ทำไปเรื่อย ทำแบบโง่จริง ๆ ทำจนโดนครูฝึกไล่ เพราะว่าไปทำให้การฝึกของเขาเสียหมด
พอครูฝึกเอ่ยประโยคแรกผมก็รู้แล้วว่าคำถามคืออะไร จึงชิงตอบก่อน คนอื่นเจ๊งหมดเลย เพราะว่าคนอื่นเขายังไม่ได้ยินเลยว่าคำถามคืออะไร
ผมโดนไล่ออกจากห้อง มานั่งหน้าเหี่ยวอยู่ หลวงพ่อท่านบอกว่า "คล่องตัวขนาดนั้นก็ไปเป็นครูสอนเขาได้แล้ว" จึงเริ่มไปสอน พอไปสอนเข้าก็มีปัญหาอีก ก็คือว่า ครูฝึกส่วนใหญ่เขายึดตายอยู่กับรูปแบบ เนื่องจากว่าไม่มีความคล่องตัว ไม่รู้อารมณ์ลูกศิษย์จริง ก็ต้องไป ๑-๒-๓-๔-๕ ทั้ง ๆ ที่ลูกศิษย์ไปตั้ง ๒๐-๓๐ แล้ว
พอถึงเวลาก็มาบอกว่าผมสอนผิดอีก อย่างเช่นบอกว่าผมสอนไม่ได้ตัดขันธ์ ๕ ไม่ถูกต้อง ผมบอก "ป้า...ฟังดี ๆ นะ ผมบอกกับลูกศิษย์ว่า ถึงตอนนี้เราตายลงไปก็ยอม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้าป้าคิดว่าอย่างนี้ไม่ได้ตัดขันธ์ ๕ ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปตัดอะไรแล้ว" ต้องบอกว่ารวบรัดมากเกินไป จนคนแก่ตามไม่ทัน
ผมเป็นคนถนัดในการทำของยากให้ง่าย บรรดาครูอื่น ๆ ชอบทำของง่ายให้ยาก ก็เลยประเภทไม่ค่อยจะลงรอยกัน เถียงกันอยู่ประจำ
ถาม : (การใช้ลูกแก้ว)
ตอบ : ถ้าเสกมาแล้วก็มีอานุภาพในเรื่องลาภผล ให้ใช้คู่กับพระคาถาเงินล้าน
ถาม : เอารูปปั้นศาลตายายที่บ้านมาล้างทำความสะอาด ปรากฏว่าฐานร้าวแตก เพราะเป็นปูนพลาสเตอร์ เปลี่ยนได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ซื้อมาเปลี่ยนใหม่ จุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน บอกท่านว่าขอเปลี่ยนชุดใหม่ที่ดูดีกว่านี้ ส่วนของเก่าก็ลอยน้ำไปหรือไม่ก็เอาไปไว้โคนไม้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะทำด้วยปูนปลาสเตอร์ พวกนี้โดนน้ำไม่ได้ ท่านทำให้รู้ว่าถ้าโดนน้ำก็เจ๊งแบบนี้แหละ
ถาม : ควรทำวันไหนคะ ?
ตอบ : วันพฤหัสบดี
ถาม : ทำไมคนเราต้องภาวนาคะ ?
ตอบ : อันดับแรกคือต้องการให้ใจสงบ ในเหตุการณ์ทางโลกถ้าใจเราสงบลง ประสิทธิภาพการทำงานทุกอย่างจะดีขึ้น อันดับที่สองก็คือ จิตใจที่สงบจากกิเลสชั่วคราว เป็นความสุขที่หาได้ยากในชีวิตปัจจุบัน หลังจากนั้นก็คือต้องการให้เกิดปัญญา เพื่อหาทางหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งเป็นขั้นท้าย ๆ ของการภาวนาเลย
ถ้าคนสมาธิดี ๆ โรคสารพัดโรคจะหายไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นโรคเครียด นอนไม่หลับอะไรประมาณนั้น เพราะฉะนั้น...ลองไปทำดู เป็นยานอนหลับชั้นดีเลย พุทไม่ทันจะโธก็หลับแล้ว
ถาม : ถ้าสติตามไม่ทันละคะ ?
ตอบ : ถ้าสติตามไม่ทันจะมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือหายไปเฉย ๆ เหมือนกับเราเผลอหลับ อีกอย่างหนึ่งก็คือไปฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง เสียเยอะแยะ พอรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ เริ่มต้นนับ ๑ กันใหม่
ถาม : ถ้าวูบหายไปเลย ?
ตอบ : รอให้ได้สติแล้วก็เริ่มต้นใหม่ พยายามตั้งสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเอาไว้ อย่าเผลอให้หลุดไปอีก แต่ก็จะหลุดอยู่เรื่อย ๆ จนกว่าเราจะชำนาญ ถึงจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็จะรำคาญ ไม่ทันไรหลับอีกแล้ว ความจริงไม่ได้หลับหรอก สติขาด จึงไม่รับรู้อะไร
ถาม : ผมไม่ใช่คนโทสะจริต ถ้าจะเลือกฝึกกสิณสีสามารถทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้ทุกคน แต่เพียงแต่ว่าถ้าเป็นคนโทสะจริต การฝึกกสิณสีจะมีส่วนช่วยในการระงับโทสะได้
ถาม : การตั้งศาลสี่เสา ?
ตอบ : ถ้าไม่จำเป็นและไม่รู้จริงอย่าไปตั้ง
ถาม : ถ้าทำไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปทำ ถ้าทำไปแล้วอย่าถอน เพราะเราไม่สามารถที่จะไปใช้ผู้ใหญ่ระดับนั้นได้หรอก ส่วนใหญ่เขาไปตั้งอากาศเทวดาให้ท่านเป็นเจ้าที่ บ้าชัด ๆ..!
ถาม : ถ้าต้องการเปลี่ยนแก้ไข ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่าคนอื่นเขาจะว่าเอาหรือเปล่า ? ถ้าเป็นส่วนรวมคนเขาเคยไหว้ เดี๋ยวจะโดนเอาง่าย ๆ
ถาม : ของโรงงาน ?
ตอบ : ถ้าสามารถสั่งการได้ก็เอา ถ้าไม่สามารถสั่งการได้ก็อย่าไปยุ่งดีกว่า
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าเป็นงบที่เบิกออกมาแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรก็เอาไปคืนไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนกลางเท่านั้น ถ้าเอาเข้ากระเป๋าเองก็ผิด จำไว้ว่าพวกเราอยู่ลำบาก เพราะว่าติดเรื่องศีลเรื่องธรรม พวกที่ไม่คิดเรื่องนี้ก็อยู่กันสบาย
พระอาจารย์เล่าว่า "อาทิตย์ก่อนไปสอนหนังสือที่วัดไร่ขิง ตอนนั่งรถแท็กซี่กลับมามีแต่ธนบัตรใบใหญ่ จะจ่ายค่าแท็กซี่อย่างไร ? เพราะแท็กซี่ยืนยันว่าไม่มีทอน ก็เลยเข้าสถานีบริการน้ำมัน แวะเข้าไปในร้านสะดวก จะซื้อของใช้สักหน่อย
ปรากฏว่าร้านในสถานีตราหอยไม่มีใบมีดโกนแม้แต่อันเดียว ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร แต่อยากได้ใบย่อยมาจ่ายค่าแท็กซี่ ก็เลยหยิบถั่วมา ๑ กระป๋อง พอเดินไปที่จ่ายเงิน มีโยมพรวดพราดเข้ามา ยื่นใบละพันให้พนักงาน "ผมช่วยจ่ายครับ" แล้วอาตมาจะทำอย่างไร ? หยิบใบละพันคืนไป บอกว่า "ไม่ต้อง" แล้วก็ส่งใบละ ๕๐๐ ของตัวเองไปให้พนักงาน
เขายืนงงอยู่พักหนึ่ง ท้ายสุดวิ่งไปเปิดตู้ หยิบน้ำเย็นมา ๑ ขวด "ถ้าอย่างนั้นผมขอถวายน้ำแล้วกันครับ" จะบอกเขาอย่างไรว่าอาตมาไม่ฉันน้ำเย็น ? บอกก็ไม่ได้ รับก็รับวะ..! ที่ดีใจคือยังมีคนอยากทำบุญอยู่มาก แต่ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เกือบ ๕ โมงเย็น ไปซื้อถั่วกระป๋อง ยังจะแย่งจ่ายอีก มึงจะสนับสนุนให้ฉันตอนเย็นใช่ไหม ?
เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ขึ้นไปงานสืบชะตาของหลวงปู่ครูบาบุญยัง วัดห้วยน้ำอุ่น ถึงยอมรับว่าตัวเองดังแล้ว เพราะว่าแวะที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก ท้ายสุดแวะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระพุทธชินราชก็ยังอุตส่าห์มีคนวิ่งมาทำบุญ เขาถามก่อนว่าใช่ไหม ? ใช่ก็ใช่วะ เขาบอกว่าไม่เคยไปวัด แต่จำหน้าได้ เห็นในเฟซบุ๊กบ่อย"
"สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ จัดงานแต่ละทีคนจะมาประมาณแสนกว่าถึงสองแสนคน กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ถ้านับหลวงพ่อกับหลวงปู่ปานแล้วใครดังกว่ากัน ?" ท่านบอกว่าหลวงปู่ปานดังกว่าเยอะ ถามว่าทำไมครับ ? ท่านบอกว่ารุ่นข้ามีทั้งโทรทัศน์ มีทั้งวิทยุ มีทั้งหนังสือพิมพ์ช่วยโฆษณา คนมาแค่แสนสองแสน สมัยหลวงปู่ปานไม่มีโฆษณา มีแต่บอกกันปากต่อปาก จัดงานวัดแต่ละที เรือแพจอดแน่นขนัดจนคนเดินข้ามฝั่งได้เลย ท่านบอกว่าหุงข้าวทีละ ๘ กระทะ ยังไม่ทันคนกิน
มาถึงรุ่นอาตมาที่เขาบอกว่าดัง ก็ ดังเพราะสื่อโซเชียลไปไว ลำพังประเภทจัดงานวัดคนมาทีสองพันสามพัน ไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของหลวงพ่อท่านสมัยโน้น แต่จะว่าไปแล้ววัดเราถ้าไปเยอะกว่านั้นก็ไม่ไหว ญาติโยมส่วนหนึ่งก็อยู่บ้านดีกว่า เพราะว่าพุทธาภิเษกหรือเป่ายันต์เกราะเพชร อยู่บ้านตั้งใจรับได้เหมือนกัน แถมยังมีถ่ายทอดสดด้วย...ใช่ไหม ? ยิ่งสบายใหญ่เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมผู้หญิงบางคน พอเห็นพระเดินมาก็ขยับปุ๊บ อาตมาต้องบอกว่าให้ยืนเฉย ๆ เพราะขยับแล้วจะชน ยืนเฉย ๆ พระท่านเดินหลบได้เอง เขามักจะหลบไปขวางทางพระพอดี"
ถาม : ทำไมคนที่เกิดมาเป็นผู้ชายแล้ว กรรมที่เกิดจากการล่วงละเมิดผู้หญิง ยังสามารถส่งผลได้อีก ?
ตอบ : มีอะไรที่กรรมส่งผลไม่ได้บ้าง ?
ถาม : บางคนก็เคยล่วงเกินผู้หญิงเหมือนกัน แต่ทำไมเรา...?
ตอบ : เพราะว่าเราทำได้ชั่วกว่าเขา นี่เป็นความสามารถพิเศษที่น่าชื่นชม...! เราก็เลยได้มากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้น...พยายามชั่วให้มากกว่านี้ จะได้เยอะกว่านี้อีก...!
ถาม : ที่หลวงพ่อให้ผมทำตามท่านขันติวาทีดาบส จะเป็นขนาดนั้นได้ต้องสั่งสมบารมีไว้ดีแล้ว ต้องสั่งสมกำลังฌานเยอะด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เปล่า...ของท่านเป็นแค่ระดับต้น ๆ เท่านั้นเอง ลองนึกถึงวัวถึงควายดูสิ ว่าสั่งสมกำลังฌานเท่าไร ? ขนาดไม่ได้อะไรเลย ทำไมถึงทนได้ ?
ถาม : ตะกรุดหนังเสือที่รับไป ถ้าเอาไปใช้ทางค้าขายได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เอาไว้ค้าขายก็ได้ แต่แม่ค้าคงจะดุน่าดู เหมือนกับเสือ ถามว่าเสือเป็นมหาเสน่ห์ไหม ? เป็น...เสือดุใคร ๆ ก็อยากเห็น ถือเป็นเมตตามหานิยมอย่างหนึ่ง แต่คงจะงับลูกค้าเป็นว่าเล่น
ถาม : เวลาคิดไปแล้ว เหมือนลงแค่ทุกขัง ความทุกข์ไม่เที่ยง มีอยู่แค่นี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็แค่นี้ ถ้าเราไม่แบกก็จบแล้ว ถ้าเที่ยงก็ต้องอยู่กับเราตลอดไป ทำไมบางทีเราดีใจ ทำไมบางทีเราเสียใจ ตอนดีใจเราลืมทุกข์ ทุกข์หายไปชั่วคราว ถ้าเที่ยงก็ต้องอยู่ตลอดไป พยายามมองให้เห็นว่าธรรมดาของทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ในเมื่อปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น เราไม่ไปยุ่งด้วยก็หมดเรื่อง
ถาม : ก็ต้องมีคิดบ้างใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่...เพียงแต่ว่าคิดแล้วต้องจบให้เร็วที่สุด ถ้าเผลอจะฟุ้ง
ถาม : ความกลัวเหมือนขึ้นมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องกลัว ถ้าเราขจัดความกลัวออกไปได้ก็จบ ไม่มีอะไรต้องกลัวบนโลกใบนี้ ?
ตอบ : ถ้าเราเห็นความตายเป็นของธรรมดา เราจะไม่กลัวอะไรเลย เพราะทุกอย่างที่เรากลัวคือกลัวตาย ผู้หญิงกลัวจิ้งจก กลัวตายไหม ? จิ้งจกโดดเกาะ ยี้...ขยะแขยง..เดี๋ยวขาดใจตาย ท้ายสุดก็ลงตรงตาย
อาตมาตามดูอยู่ ๒ ปีกว่าเกือบ ๓ ปี ดูความกลัวอยู่อย่างเดียว ว่ากลัวเพราะอะไร ท้ายสุดสรุปได้ว่า ความกลัวทุกประเภทเกิดจากกลัวตายทั้งนั้น ถ้าเลิกกลัวตาย ก็เลิกกลัวทุกอย่าง
ถาม : เรื่องสมาธิค่ะ พอเข้าไปแล้ว เหมือนเข้าไปนิ่งอยู่ในนั้น ดิ่งลงไปจนหนูรู้สึกว่าจะดิ่งลงไปถึงไหนวะ บางทีก็นิ่งค่ะ ?
ตอบ : บางเวลาอยากนิ่งก็ให้นิ่ง บางเวลาอยากจะดิ่งก็ให้ดิ่ง แต่ว่ากำหนดเวลาไว้ว่าต้องการนานเท่าไร แล้วคลายออกมาพิจารณาด้วย ไม่อย่างนั้นจะได้แต่กำลังอย่างเดียว ปัญญาจะไม่มี
ตอนที่สั่นนั้นอยู่ลักษณะว่ากำลังเพียงพอ อยากจะหลุดออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง เราก็แค่ตั้งใจว่า ออกไปเมื่อไร เราก็จะไปกราบพระที่พระนิพพาน
ถาม : ไปแล้วไม่กลับมาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถามท่านเองแล้วกัน ส่วนใหญ่ที่เห็นโดนถีบกลับมาทุกราย
ถาม : ตอนที่เริ่มสามารถคิดได้ จะมีช่วงหนึ่งที่คิดไม่ได้ก่อน เหมือนกับต้องถอยลงมา แล้วก็เริ่มคิดได้ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิสูงเกินไปจะคิดไม่ได้ เพราะว่าจะไปอยู่กับตัวนิ่งแทน ต้องคลายออกมาให้ได้ระดับหนึ่งถึงจะคิดได้ แต่ถ้าหากว่าเข้าออกได้คล่องตัวจริง ๆ สมาธิสูงแค่ไหนก็คิดได้ ฉะนั้น...ซ้อมอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือซ้อมออก จะได้คิดได้ง่ายขึ้น อีกอย่างคือซ้อมเข้าให้สูงกว่านั้น ถ้าเข้าออกได้คล่องตัว สูงแค่ไหนก็คิดได้
ถาม : ตอนที่คิดได้จะพุ่งมาที่กายก่อนค่ะ เราตั้งไว้ก่อนเข้าสมาธิค่ะ ว่าเราต้องกลับมาดูกายมาพิจารณา พอเข้ามาแล้วก็วูบไปเป็นโครงกระดูก แบบนั้นเอาได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ ให้เราเห็นว่าสภาพร่างกายของเรานี้หาความดีไม่ได้ แบบไหนก็เอา ให้คิดได้ก็แล้วกัน
ถาม : คนที่อยู่อย่างโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ทำไปก็จะรู้เองหรือครับ ?
ตอบ : เอาศีลเป็นกรอบ ติดกรอบศีลเมื่อไรก็ถอยหลัง อย่าไปต่อ
ถาม : บางทีเหมือนคนไม่สนโลกครับ ?
ตอบ : ไอ้นั่นอยู่ที่สันดานของเรา การที่เราไม่สนใจในโลก แปลว่าแบกสักกายทิฏฐิและมานะไว้เต็ม ๆ แต่แบกแบบที่ไม่รู้ตัว เพราะมึงมีความคิดอยู่ในใจว่า "กูดีกว่าเขา กูเลยไม่ยุ่งกับเขา" แบกกิเลสไว้เต็มหัว แต่ไม่รู้ตัว ดันคิดว่าดี
คนเข้าถึงธรรมจริง ๆ ยังคงเคารพสมมติทางโลกอยู่ เพราะว่าสมมติก็เป็นความจริง แต่เป็นความจริงแบบโลก เรียกว่า สมมติสัจจะ ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างนั้น ระเบียบปฏิบัติเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องทำตามนั้น ไม่อย่างนั้นก็ขวางโลก พยายามทำตัวให้เป็นน้ำกลิ้งบนใบบอน ไม่ได้ติดอยู่บนใบบอนหรอก
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะไปยากอะไร แค่เห็นว่าธรรมดา กูทำมากูก็ต้องโดนอย่างนี้ เรียกว่ายอมรับกฎของกรรม ในเมื่อเรายอมรับ เราไม่ไปดิ้นรนต่อต้าน เหมือนกับสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดัก ถ้าไม่ดิ้นก็ไม่เจ็บ คุณทะลึ่งไปดิ้นเอง
ทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากด่าก็ด่า อยากว่าก็ว่า พอเหนื่อยเขาก็เลิกเอง ดูว่าใครจะหน้าด้านกว่ากัน มึงมีปัญญาด่า กูก็มีปัญญาฟัง ถ้าเป็นอย่างอาตมาก็สนุกไปด้วย มีคนด่า "ไอ้เหี้ย" "อืม...มึงรู้จริง กูเคยเกิดเป็นเหี้ยด้วย" "ไอ้ชาติหมา" " กูก็เคยเกิดเป็นหมาเยอะเลย มึงรู้ได้อย่างไรวะ ?" โดนมาเยอะแล้ว บางทีก็ช่วยเขาด่าด้วย
ทำตัวเหมือนอย่างกับยืนอยู่กลางที่โล่ง ๆ ใครขว้างอะไรมา ไม่กระทบสักอย่าง จะไปเดือดร้อนอะไร เราดันไปตั้งกำแพง ตั้งข้างฝา ตั้งหลังคาไว้เสียเยอะแยะ ถึงเวลาปึงปังมาด้านไหนก็โดนหมด คราวนี้พอโดนเข้าดันจัดการไม่เป็นอีก โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว เดี๋ยวก็หัวหงอกหน้าเหี่ยว คนแกล้งยังไม่ทันเป็นอะไรเลย
อย่าเอาคำพูดของคนอื่นเป็นประมาณ ดีชั่วเรารู้ที่ตัวเราเอง อยากจะพูดก็ให้เขาพูดไป
อย่างหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านบอกว่า จะเอาอะไรกับคำของมนุษย์ ดีแสนดี ถ้าเขาจะติ เขาก็หามาติ ชั่วแสนชั่ว ถ้าเขาจะชม เขาก็หามาชม ฉะนั้น...คำพูดของคนประมาณไม่ได้ แบกไว้เมื่อไรก็หนักอยู่คนเดียว เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับเราด้วย เขาด่าเราก็ยิ้ม เขาว่าไอ้บ้าเราก็ยิ้ม
พระอาจารย์เล่าว่า "เจ๊ซกลั้งไปโรงพยาบาล ยื่นบัตรไว้ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ๙ โมงกว่าแล้วคนอื่นไปจนจะหมดแล้ว ตัวเองยังไม่ได้คิวสักทีก็โมโห ไปโวยวายเจ้าหน้าที่ว่า "ทำไมอั๊วมาก่อน คนมาทีหลังเรียกเขาหมด ไม่เรียกอั๊วสักที ?" เขาถามว่าชื่ออะไร เจ๊บอกว่าชื่อซกลั้ง เจ้าหน้าที่ดูหมดแล้วบอกไม่มีบัตรชื่อซกลั้ง ไหนเจ๊เอาบัตรประชาชนมาดูหน่อย ? ปรากฏว่าเจ๊เปลี่ยนชื่อเป็น "เพียงเพ็ญ" เขาเรียกเพียงเพ็ญเท่าไรเจ๊ก็ไม่สนใจ เจ๊รอแต่ซกลั้ง คนอื่นก็แซงคิวไปเรื่อย
ตอนสมัยอาตมายังรับราชการอยู่ ไปชายแดนมีหมาเป็นเจ้านาย เพราะยศทางทหารของหมาสูงกว่า หมามียศพันตรี แต่ขอโทษ...ไม่มีใครเรียก "ผู้พันเอ็กซ์" หรอก เรียก "ไอ้เอ็กซ์" ถ้าเราเจอหน้าครั้งแรกต้องทำความเคารพก่อน เพราะว่ายศเขาสูงกว่า ปรากฏว่าเวลาเจ้านายโมโหตะโกน "ไอ้เอ็กซ์" อาตมาก็ "ครับ" ทุกที เพราะว่าชื่อดันคล้ายกัน...!"
"พอไปเห็นถึงได้เข้าใจคำว่า ยศช้าง ขุนนางพระ เวลาช้างออกศึกชนะมา ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นคุณหลวง คุณพระ เป็นเจ้าคุณ อย่างคุณพระเศวตฯ ช้างคู่บารมีในหลวงรัชกาลที่ ๙ เจ้าพระยาไชยานุภาพ ช้างทรงของพระนเรศวรมหาราช นั่นเป็นเจ้าคุณ ปรากฏว่าเจ้าคุณก็ยังกินหญ้าอยู่เหมือนเดิม
ถึงได้บอกว่า ยศช้าง ขุนนางพระ ในหลวงตั้งสมณศักดิ์ให้เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ก็เห็นได้แค่ฉันเช้า ฉันเพล ได้ไม่มากไปกว่านั้นเลย
พระเราจำกัดด้วยเวลา จำกัดด้วยศีล ทำอะไรต้องอยู่ในกรอบ ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมสมัยนี้ห่างวัดห่างวามาก โทรมาตอน ๑๑ โมง ๑๐ นาที ถ้าเป็นโยม อาตมาให้อภัย แต่หลังจากที่คุยจบก็จะเตือนว่าคราวหลังอย่าโทรมาเวลานี้ เพราะพระกำลังฉันเพลอยู่ แต่ถ้าเป็นพระโทรมานี่จะด่าเลย "ถ้ามึงไม่แด..ก็ให้คิดถึงกูด้วย กูกำลังแด..อยู่...!"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยโดนพระยายมราชท่านว่าครั้งหนึ่ง ตอนนั้นโยมทำบุญแล้วเขาไม่เขียนชื่อมา อาตมาลงบัญชีไม่ถูกว่าใครเป็นคนถวาย ก็เลยแกล้งบอกโยมว่า "เขียนชื่อเขียนนามสกุลมาด้วย เดี๋ยวนายบัญชีท่านไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำบุญ" เสียงท่านลุงพระยายมราชบอกว่า “เทวดาไม่ได้โง่เหมือนท่านนี่” แอบย่องมาข้างหลังตอนไหนก็ไม่รู้ ? ...(หัวเราะ)..."
ถาม : เป็นหมอแต่รักษาคนไข้ไม่ได้ จะบอกเขาตรง ๆ ว่าเกินความสามารถที่จะรักษาก็ไม่ได้ ?
ตอบ : เรามีหน้าที่รักษา คนทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ถ้าสามารถผ่อนกรรมของเขาได้ก็ดี ถ้าผ่อนกรรมของเขาไม่ได้ เขาก็ต้องยอมรับสภาพของเขาเองบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะเครียด...อุเบกขาบ้าง เมตตากรุณาก็ดี มุทิตายิ่งดีใหญ่เลย แต่ถ้าหากว่าสุดความสามารถแล้วต้องอุเบกขา พระพุทธเจ้าให้อุเบกขากันไว้ไม่ให้พวกเราบ้า อย่าลืมพรหมวิหารตัวสุดท้ายนะ สำคัญมากเลย
ถาม : ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ได้ไหม ?
ตอบ : ได้...ทำไปเถอะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเหมือนอย่างกับเอาน้ำแก้วเดียวไปดับไฟทั้งกอง ซึ่งเป็นไปได้ยาก เพราะเขาสร้างกรรมผูกพันกันมานาน
ไปนั่งท่องพวกคำแผ่เมตตา กัมมัสสะกา...มีกรรมเป็นของตน กัมมะทายาทา...มีกรรมเป็นมรดก กัมมะโยนิ...มีกรรมเป็นกำเนิด กัมมะพันธุ...มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
ใครทำใครได้ เขาต้องทำมาเขาถึงเป็นอย่างนั้น เราทำตามหน้าที่ของเรา ช่วยเขาได้เท่าไรก็เอาแค่นั้น ได้ทำหน้าที่ก็พอแล้ว ไม่ใช่ทำหน้าที่แล้วเราต้องประสบความสำเร็จทุกครั้งไป
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะทำบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาทอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่งตรงข้ามกับวัด ให้ทิดโอไปสำรวจ รายงานมา ๘๙๐ กว่าเมตร อาตมาก็ว่าบันไดเกือบพันเมตร ราคาจะเท่าไร ? ช่างสรุปราคามาที่ ๑๒ ล้าน ๘ แสนบาท"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้พระสำหรับถวายสังฆทาน เขาไม่ค่อยหล่อทองเหลืองกันแล้ว เห็นมีแต่ปูนทาสี ต่อไปพระทองเหลืองจะกลายเป็นของหายาก สมัยนี้ไม่ใช่เรซิ่นด้วย เห็นเป็นปูนขาวหรือปูนปาสเตอร์ทาสีเลย เขาพยายามลดต้นทุนลงไปเรื่อย ๆ เพื่อเอากำไรมากขึ้น"
มีโยมเอาพระแก้วมาถวาย "สมัยก่อนคำว่า แก้ว แปลว่า ของที่มีค่ามาก เช่น ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว เป็นสัตว์หรือบุคคลที่มีคุณค่าหาได้ยาก ของเราถวายพระแก้ว ก็แปลว่า ถวายพระที่มีคุณค่าหาได้ยาก"
มีโยมเอาผ้าอาบน้ำฝนมาถวาย "ผ้าอาบน้ำฝนต้องอย่างนี้ ผ้าอาบสมัยนี้ซีทรูชัด ๆ เขาพยายามที่จะลดวัสดุลงเพื่อที่จะได้ขายให้ได้กำไรมากขึ้น ทอตาห่าง ๆ อย่างกับตามุ้ง แล้วจะให้พระที่ไหนไปนุ่งอาบน้ำ เพราะฉะนั้น...ผ้าอาบของอาตมาใช้ผ้าสบงทั่วไป แต่อันนี้เขาทำผ้าอาบมาประณีตมาก ถือว่าร้านนี้คบได้
ส่วนใหญ่พวกร้านขายสังฆภัณฑ์ ไม่น่าจะเป็นร้านบรรจุสังฆทานเอง แต่ได้รับการบรรจุมาจากที่อื่น หลายแห่งจะเห็นว่าเอากระดาษหนังสือพิมพ์บ้าง ถุงบ้าง ยัดใส่เอาไว้ครึ่งค่อนถัง แล้วก็เอาของวางไว้ข้างบน จนดูเหมือนกับมีของเยอะ
บางร้านก็เอาถาดวางไว้ตรงปากถังเลย แล้วเอาของวางบนถาด ถึงเวลาก็ห่อกระดาษแก้วรวมกัน เหมือนอย่างกับว่าของล้นขึ้นมาขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นถังเปล่า ๆ วางผิดจังหวะก็หกคะเมนไปเลย เพราะว่าหนักข้างบน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณหมอฉลองตายทำให้เห็นว่า คนที่ตั้งใจทำงานด้วยใจจริง ๆ ชาวบ้านจะรักมาก เพราะว่าคนไปกันแน่นวัด เผาตอน ๔ โมง ๑๓ นาที จนถึง ๕ โมงเย็นรถยังออกจากวัดไม่หมด เจ้าหน้าที่ ๕ คนช่วยกันโบกไปเถอะ ถ้าไปเจอพวก “ผมเคยออกทางนี้” สักคันก็เจ๊งเลย เขาให้เดินรถทางเดียวแล้วไปวิ่งสวน
คืนแรกที่สวดตั้งเก้าอี้ไว้ ๔๐๐ ตัวไม่พอ ไปเอาเพิ่มอีก ๓๐๐ ตัวก็ไม่พอ ก็เลยแจ้งทางด้านนายกเทศมนตรีว่า วันเผาขอเก้าอี้เพิ่มด้วย นายกเทศมนตรีเอามาให้อีก ๕๐๐ ตัว เกือบไม่พอเหมือนกัน
หมอฉลองเริ่มรับราชการที่โรงพยาบาลทองผาภูมิปี ๒๕๓๐ ทำงานด้วยใจจริง ๆ ทุ่มเททุกอย่างให้กับชาวบ้าน คิดโครงการสารพัดโครงการเพื่อสุขภาพของชาวบ้าน ใครเจ็บใครป่วยอะไรถ้าอยู่โรงพยาบาลจะตามดูตลอด ถ้ากลับบ้านแล้วก็ยังตามข่าวคราวอยู่ อยู่ ๆ ก็ตาย อายุแค่ ๕๕ ปี เป็นการตายที่กะทันหันมาก ญาติ ๆ ทำใจไม่ได้
ท่านพิจิตร โตเร็ว อัยการศาลจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวานนี้ร้องไห้เลย เพราะว่าใส่บาตรคู่กันทุกวัน อาตมาเทศน์เมื่อวานไม่เข้าหูท่านอัยการเลย เพราะว่ามัวแต่ร้องไห้อยู่ ขึ้นบาลีว่า "อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีการงานอะไรพึงทำให้สำเร็จเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะตายในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า" อธิบายขยายความจนจบ ไม่ได้เข้าหูท่านอัยการเลย คิดอยู่อย่างเดียวว่าหมอฉลองตายเร็วเกินไป
วันที่ ๒๑ มิถุนายนนี้คุณหมอยังไปวัด เพราะว่าท่านทำหน้าที่มัคคนายกและเป็นไวยาวัจกรด้วย ปรากฏว่าวันที่ ๒๒ พระมหาสันติ พระน้องชายโทรมาบอกว่าหมอฉลองเข้าโรงพยาบาล อาตมาก็...เออ เดี๋ยวมีเวลาค่อยไปเยี่ยม วันที่ ๒๓ โทรมาบอกว่าตายแล้ว ไปเร็วมาก คนมีบุญมักจะไปในลักษณะอย่างนั้น ไปง่าย ไปเร็ว ไม่มีทุกข์ทรมาน คนดีตาย คนก็ร้องไห้เสียใจ คนไม่ดีตาย ถ้ามีคนร้องไห้คงจะดีใจ..!"
"การตายของหมอฉลองนั้น ครอบครัวสูญเสียลูกที่ดี โรงพยาบาลสูญเสียบุคลากรที่ดี วัดก็สูญเสียไวยาวัจกรและมัคคนายกที่ดี ชาวบ้านเสียหนักกว่าเพื่อน เสียคุณหมอที่แสนดีของเขาไป
ตอนแรกคุณยายทองร่วม คุณแม่ของหมอฉลองก็บ่น “ยายอายุ ๘๐ แล้วจะให้ไปท่าขนุนก็ไกลเกินไป อย่าเอาหมอไปที่นั่นเลย” บอกว่ายายลองขึ้นไปหน่อยก็แล้วกัน ปรากฏว่าสวดศพคืนแรกคนมากัน จนเตรียมเก้าอี้ ๗๐๐ ตัวไม่พอนั่ง บอกยายว่า “คราวนี้ยายรู้หรือยังว่าทำไมต้องเอาหมอมาที่นี่ ?” ยายไม่คิดว่าคนจะรักหมอฉลองกันขนาดนี้
ตอนนี้บรรดากลุ่ม LINE ต่าง ๆ เหงาเลย เพราะว่าหมอฉลองขยันส่ง LINE มาก ไม่ว่าจะข่าวคราวอะไรจะแจ้งถึงตลอด หลายคนบอกว่าต้องรีบปิด LINE ถามว่าทำไม ? เดี๋ยวหมอส่งมาอีก ...(หัวเราะ)... ถ้าส่งตอนนี้น่าจะส่งข่าวว่าไปอยู่ที่ไหน..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปงานวันเกิดหลวงปู่ครูบาบุญยังที่วัดห้วยน้ำอุ่น ท่านทำพิธีสืบชะตาอายุ ๗๘ ปี ไปเจอ "กล้วยลับแล" เข้าที่นั่น อ๋อ...ที่แท้พวกเขาย่องมาทำบุญกับหลวงปู่เหมือนกัน
สมัยก่อนหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์บอกว่า พวกลับแลมาทำบุญกับท่านบ่อย ส่วนใหญ่ชอบเอากล้วยมาถวาย ให้สังเกตว่ากล้วยเครือไหนถ้ามีถึง ๑๓ หวี หวีหนึ่งมีถึง ๑๖ ลูกขึ้นไป เป็นกล้วยของคนลับแล เคยเห็นกล้วยเครือใหญ่ขนาดนั้นไหม ? แต่ครั้งนี้อาตมาเจอ ๒๐ หวี หวีละ ๒๐ ลูก ถ่ายรูปไว้ดูด้วย ไม่ทันเห็นว่าเขาเอามาวางไว้ตอนไหน เพราะว่านั่งลงไปก็อยู่ตรงหน้าแล้ว"
ถาม : ได้ชิมไหม ?
ตอบ : ไม่กล้ากิน เขาวางถวายหลวงปู่ คาดว่ารสชาติน่าจะดีเพราะว่าอุดมสมบูรณ์ขนาดนั้น ลูกใหญ่มากนะ แล้วหวีหนึ่งมีตั้ง ๒๐ ลูก อาตมาไปนั่งนับเลย เครือหนึ่งมีกี่หวีก็หมุนซ้ายหมุนขวานับดู สรุปแล้วเครือนั้นมี ๒๐ หวี หวีหนึ่งมี ๒๐ ลูก กล้วยเครือหนึ่งมีตั้ง ๔๐๐ ลูก..!
สมัยหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์มีลูกศิษย์ช่างสังเกต พอเห็นแล้วก็ย่องตามเขาไป เขาก็แต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดานี่แหละ เดินไป ๆ เผลอหน่อยเดียวหายลับตาไปทุกที อยากจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็อุตส่าห์ย่องตามไป
อาตมาอยู่ที่ตองไว ประเทศพม่า วันนั้นเป็นวันพระ เดินขึ้นไปไหว้พระเจดีย์เสร็จ ก็นั่งพิงผนังภูเขาภาวนาไปเรื่อย อยู่ ๆ ก็มีคนมายืนอยู่ตรงหน้า อาตมาก็...อ้าว อย่างนี้ไม่ใช่คนปกติแล้ว จึงทักก่อน เขาไม่เห็นว่ามีพระแอบนั่งอยู่ตรงซอกเขา ก็เลยถามว่า “โยม...ถามอะไรหน่อย ?” เขาก็ตกใจหันมาเห็นพระเข้า ถามว่า “ที่โยมมานี่เป็นอภิญญาหรือว่าเป็นฤทธิ์โดยธรรมชาติ ?” เขาบอกว่าเป็นฤทธิ์โดยธรรมชาติ เรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์ สามารถใช้ได้ตามปกติ
ถามว่า “ฤทธิ์โดยธรรมชาติแบบไหน ?” “ก็แบบเดียวกับนกบินได้ ปลาว่ายน้ำได้” แล้วก็เลยถามว่าเขามาทำอะไร ? เขาบอก “วันนี้วันพระ มาทำบุญ” แสดงว่าอาจารย์อังกุระท่านปฏิบัติดีใช้ได้
ก็เลยบอกว่า “มาลองแข่งกันหน่อยไหม ?” รู้สึกคัน..อยากลอง ไม่ได้เล่นมานานแล้ว เขาถามว่าแข่งอะไร ? “ใครจะเข้าไปถึงศาลาก่อนกัน” เขาบอกว่า แข่งกันเฉย ๆ นั้นไม่สนุก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เขาล้วงถุงเงินมาให้ดู โอ้...เจ้าประคุณเถอะ มีแต่เหรียญเงินใหญ่ ๆ รูปพระนางเจ้าวิกตอเรียทั้งนั้นเลย เป็นเหรียญเงินสมัยอังกฤษครองพม่าอยู่
เขาบอกว่า “ถ้าท่านชนะผมให้หมดนี่เลย” “แล้วถ้าหากว่าอาตมาแพ้ ?” เขาบอกว่า “ให้ท่านหาพระอีก ๔ รูป รวมกับท่านเป็น ๕ รูปเข้าไปให้ผมทำบุญ ๓ วัน” ก็เลยบอกว่าถ้าทำบุญ ๓ วันไม่ได้หรอก เพราะอาตมาได้ยินว่าวันหนึ่งของเขานี่เป็นเดือนของเรา อาตมาหายไป ๓ วันนี่คนทางกรุงเทพฯ ร้องตายเลย
เขาก็เลยเปิดทางให้ดูว่า ถ้าพระคุณเจ้าจะไปเมื่อไรให้ไปทางนี้ ก็มองไป พอเขาเอามือทำท่ากวาดไป เห็นเป็นทางเลย จะมีแนวลำธารที่ต้องข้ามไป เขาบอกว่ามาถึงลำธารแล้วตะโกนเรียก ผมจะให้คนมารับ จนป่านนี้อาตมายังไม่ได้ไปเลย สิบกว่ายี่สิบปีแล้ว ไปทีจะเอาตั้ง ๓ วัน ต้องแบบนี้ไปจำพรรษากับเขาด้วยนะสิ
ถาม : ได้ลองแข่งกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ลองกัน เพราะว่า ๓ วันถ้าอาตมาแพ้นี่เจ๊งเลยนะ วันหนึ่งเป็นเดือนยังพอทน ถ้าวันหนึ่งเป็นปีนี่ยุ่งเลย หายไป ๓ ปี โผล่มาอีกทีหลายคนแก่หมดแล้ว ถ้าเวลาเขาต่างกันขนาดนี้ สำหรับเรากับเขาก็คงจะไม่นาน วันไหนเบื่อ ๆ โยมก็ลองหนีเข้าไปในนั้น ๓-๔ วันแล้วค่อยออกมา
ถามว่าชาวลับแลเป็นใคร ? ก็เป็นคนนี่แหละ ทำบุญมาดี แต่ว่าไม่ดีพอที่จะเสวยสุขเป็นเทวดานางฟ้า แต่ก็ดีเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมกับพวกเรา ก็เลยกลายเป็นเขตต่างหากของพวกเขาอยู่ ส่วนใหญ่แล้วมีพื้นฐานศีล ๕ เป็นปกติ เพราะฉะนั้น...โครงการหมู่บ้านศีล ๕ นี่ไม่ต้องไปประกาศในเขตลับแลหรอก เขาทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีอยู่วันหนึ่ง ก็กำลังรับสังฆทานอยู่อย่างนี้แหละ พระท่านก็บอกว่า "คนสมัยนี้ทำบุญ ตั้งกำลังใจผิดจึงได้บุญน้อย" กราบเรียนถามท่านว่าเป็นเพราะอะไร ? ท่านบอกว่า “มัวแต่ถ่ายรูปกัน” กำลังใจไม่ได้ตั้งมั่นอยู่กับทานตรงหน้า ห่วงแต่จะถ่ายรูป
อันนี้อาตมาไม่ได้ว่าเองนะ ท่านที่มองไม่เห็นท่านว่ามา อาตมาก็แค่ว่าต่อ ไม่เป็นไรหรอก...อย่างไรก็มีหลักฐานนะ ถึงเวลาลงไปข้างล่างนี่นายบัญชีทำงานง่าย เพราะว่าเรามีหลักฐานพร้อมว่าได้ทำบุญจริง ๆ”
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนช่วงสตมวาร ก็คืองาน ๑๐๐ วันในหลวง ทางอำเภอมอบหมายให้สภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิเป็นแม่งาน มีงบประมาณให้ ๓๐,๐๐๐ บาท แล้วจัดงานออกมาดีมาก เขาก็เลยให้มาอีก ๓๔,๐๐๐ บาท ขอให้ช่วยจัดงานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิ
ไม่ทราบว่าทางอำเภอไม่รู้หรือว่ารู้แต่แกล้งไม่รู้ ว่าที่ให้มา ๓๐,๐๐๐ บาทตอนงานในหลวง อาตมาควักเพิ่มไปเป็นแสน..! นี่เขาก็เลยให้มา ๓๔,๐๐๐ บาท จัดงานเทศกาลสำหรับคนทั้งประเทศ ปรากฏว่าเจ้าคณะอำเภอบอกว่า “อาจารย์พระครูรู้ไหม ? เขาเก็บค่าร้าน ร้านหนึ่งตั้ง ๒,๕๐๐ บาท” อาตมาก็ “เฮ้ย...เก็บหรือ ? ผมให้เต็นท์ฟรีเลยนะ” “ก็ส่วนของอาจารย์พระครูเขาไม่เก็บหรอก แต่พวกที่มาตั้งร้านส่วนอื่นโดนทุกคน” "เขาไม่มาบอกผมนี่ ถ้าเขาบอกผมให้ตั้งฟรี" ใครไม่รู้เป็นนักเลงไปเก็บเสียร้านละ ๒,๕๐๐ บาท"
"อาตมาในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ก็ต้องบอกว่าเป็นภาระที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าอะไรรู้ไหม ? สภาวัฒนธรรมอำเภอมีทั่วประเทศ ๘๗๘ สภา มีประธานสภาเป็นพระอยู่ ๑ รูป อีก ๘๗๗ เป็นฆราวาสทั้งหมด ในเมื่อเป็นสภาวัฒนธรรมก็ต้องเอางานเกี่ยวกับวัฒนธรรมไปแสดง ส่วนเด็ก ๆ กระดี๊กระด๊ามาก ถ้าพระอาจารย์เล็กเป็นประธานก็แสดงกันสุดชีวิตเลยเพราะรู้ว่าได้เงินแน่
สรุปว่าวันแรกอาตมาจ่ายคนละ ๒๐๐ บาทให้เด็ก ๆ ที่มาแสดง หมดไป ๑๓,๘๐๐ บาท หารเอาเองว่ากี่คน ? เฉพาะรางวัลเด็กที่มาแสดงนะ ๖๐ กว่าคนมากันแบบไม่ยั้งเลย
แต่ก็เป็นที่ชื่นชมของประธานจัดงาน ทางด้านรองผู้ว่าฯ มาเปิดงาน ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดในฐานะผู้บังคับบัญชาอีกชั้นหนึ่งของอาตมาก็มา เขามาดูงานว่างบน้อย ๆ จัดงานได้ดีจัดกันอย่างไร ก็จัดแบบนี้แหละ เพราะว่าควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มเอง..!"
"อาตมาให้งบประมาณสภาวัฒนธรรมตำบล ๗ ตำบลเพื่อทำอาหารที่เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านมาจำหน่ายในงาน ก็มีมอญ กะเหรี่ยง ขมุ ฯลฯ ปรากฏว่าไทยอีสานกินขาดเลย ของรายอื่น ๆ ให้งบประมาณไปแล้วต่อยอดไม่ได้ เพราะว่าอาหารที่ทำมาไม่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา พอวันแรกหมดแล้วก็หมดเลย
แต่ปรากฏว่าของเรือนไทยอีสานนี่ ๕ วันคึกคักมาก ให้ทุนไป ๓,๐๐๐ บาท เขาต่อยอดได้ตั้งหลายหมื่น ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ปิ้ง ซุปหน่อไม้ ขายกันกระจายเลย อาตมาก็ถามหัวหน้าทีมมอญกับกะเหรี่ยงว่า "ทำไมสู้เขาไม่ได้วะ ?" ก็เพราะว่าอาหารอีสานเขารู้จักกันทั่วประเทศ แต่อาหารมอญอาหารกะเหรี่ยงเขารู้กันอยู่แค่กลุ่มเล็ก ๆ
อาตมามอบเงินให้เขาไปทำ ถ้าหากว่าเขาต่อยอด ได้กำไรก็ใส่กระเป๋าตัวเองไปเลย ไม่ต้องเอามาคืน ได้ลองไปลองชิมดู...อร่อยมาก โดยเฉพาะซุปหน่อไม้ อาตมาฉันข้าวเหนียวหมดไปถุงใหญ่ ฉันเสร็จแล้วต้องทำงานต่อ เดินแทบไม่ออกเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า “งานอุปสมบทหมู่ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวงรัชกาลที่ ๙ ช่วงวันที่ ๒๑ –๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ความจริงก็น่าจะให้คร่อมวันที่ ๒๖ ตุลาคมไปเลย แต่ปรากฏว่าวันที่ ๒๖ ตุลาคม เป็นฤกษ์มหาสิทธิโชคพอดี ก็เลยบวชตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม แล้วไปสึกในวันที่ ๒๖ ตุลาคม หลังทำวัตรค่ำแล้ว ก็ประมาณ ๒ ทุ่ม
สำหรับคนที่จะไปบวชนั้น ถ้าไม่เคยบวชมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบวชแบบอุกาสะ จำเป็นที่จะต้องเข้าวัดตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม จากวันที่ ๑๔ ตุลาคม ถึง วันที่ ๒๖ ตุลาคม ก็ประมาณ ๑๓ วัน ถ้าไม่มั่นใจว่าลางานได้ก็อย่าเพิ่งสมัคร สมัครบวชแล้วถอนตัวเจอขึ้นบัญชีดำ...!”
พระอาจารย์เล่าว่า "เดี๋ยวนี้เสียเงินซื้อไก่ปิ้งทีหนึ่ง ๓๐๐-๔๐๐ บาท ปกติอาตมาเลี้ยงหมาอยู่แค่ตัวเดียว ปรากฏว่าอีกตัวหนึ่งมาฝากตัวเป็นลูกของตัวที่เลี้ยงอยู่ หมาที่เหลือก็ยัดเยียดตัวเองมาเป็นหมาเจ้าอาวาส ถึงเวลาจะเลี้ยงแต่ละที แห่กันมาจะครึ่งวัด..!
ส่วนเจ้าหมูหยองเป็นหมาประหลาด เป็นโกลเด้นฯ ผสมไซบีเรียนฯ สายพันธุ์ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในวงการ ผสมข้ามพันธุ์กันแต่หน้าตาออกมาดูดี แต่ลูกที่คลอดออกมานี่หมาวัดล้วน ๆ หมูหยองเป็นคุณแม่มือใหม่ คลอดลูกทีเดียว ๙ ตัว ต้องคอยหาซื้ออะไรให้กิน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวนมไม่พอเลี้ยงลูก จากหมาที่ไม่สู้ใครเลย แม้กระทั่งหมาเล็ก ๆ ก็กัดได้ พอมีลูกแล้วหมูหยองเริ่มดุ ตอนนี้ใครเข้าใกล้ลูกไม่ได้ กระโชกใส่ไว้ก่อน สัญชาตญาณคุณแม่มือใหม่ล้วน ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาพิมพ์ปั้นของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ท่านสร้างตั้งแต่สมัยยังอยู่วัดปากทะเล เนื่องจากว่าปั้นด้วยมือ ก็เลยหาความแน่นอนไม่ได้ จึงต้องไปดูเนื้อหามวลสารกับฝีมือการปั้นแทน ถ้ามีที่ปิดทองมานี่ยิ่งดีเลย เพราะว่าทองเก่าเลียนแบบไม่ได้ อย่างไรทองเก่าคือทองเก่า ทองใหม่ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมท่านหนึ่งว่า "พอใจอะไรง่าย ๆ แล้วจะมีความสุขขึ้น เห็นอะไรแล้วไม่พอใจเลยสักอย่างก็จะกลุ้มไปเรื่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาทำบุญถ้ารอพวกก็จะได้พวก ไปเกิดใหม่จะมีบริวารมาก"
ถาม : เดือนที่แล้วมีโอกาสจะได้งาน เกือบจะได้แล้ว แต่ว่าโดนยกเลิก ในทางธรรมหรือการปฏิบัติจะมีทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : เรื่องพวกนี้ป้องกันไม่ได้ เพราะว่าอดีตเคยทำไว้ปัจจุบันถึงได้รับ ประเภทเวลาเขาจะทำบุญเราก็ไปขัดคอเขา
ถาม : ชาติก่อนหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องชาติก่อนหรอก ชาตินี้ก็ทำ ของทำไปแล้วแก้ไม่ได้ มีอยู่อย่างเดียวก็คือก้มหน้ารับไป ไม่เป็นไร...เดี๋ยวค่อยไปเอาอย่างอื่นมาทดแทนไป อย่าไปเชื่อใครว่าแก้กรรมได้ ถ้าแก้ได้ก็รวยกันหมดทั้งประเทศแล้ว..!
ถาม : ก่อนหน้านี้จะนึกถึงพระนิพพาน ตั้งแต่วันวิสาขบูชาที่ผ่านมา เกาะแต่พระพุทธเจ้า เรื่องพระนิพพานไม่เอาเลย ควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็แค่นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพานก็จบแล้ว เท่ากับเอากรรมฐาน ๒ กองมารวมกันเป็นกองเดียว ก็คือพุทธานุสติบวกกับอุปสมานุสติ เพิ่มขึ้นมาอีกกองหนึ่ง ได้มากกว่าเดิมเสียอีก
ถาม : เกาะอารมณ์นี้ต่อไป ?
ตอบ : เกาะต่อไป เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากพระนิพพาน เราตายเมื่อไรก็ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่นั่น ของเราเขาเรียกว่าไปต่อไม่เป็น
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ไล้ วัดเขายี่สาร ท่านเกิดรัชกาลที่ ๓ อายุมากที่สุดในบรรดาพระที่สร้างลูกอม ท่านเป็นลูกคนจีน แต่มาบวชพระไทยแล้วขลังมาก ตอนเด็ก ๆ เขาก็คงเรียก “อาไล้” บวชเป็นพระ คนไทยไม่รู้จัก เรียกหลวงปู่ร้าย"
ถาม : ตอนนี้ลำบาก ท่องคาถาเงินล้านก็ไม่เอา จะเอาอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ไม่เอาแล้วจะไปเอาอะไร ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้ได้ระยะหนึ่ง
ถาม : จะได้หรือคะ ?
ตอบ : มัวแต่สงสัยอยู่ก็ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ทำคาถาเขาห้ามสงสัย เขาให้ลงมือทำเลย
ถาม : ถ้าเกิดไม่เอาก็ต้องบังคับให้เอาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ถ้าอยากได้ก็ต้องทำ
พระอาจารย์กล่าวว่า “ห้างสรรพสินค้าสุดท้ายที่อาตมารู้จักก่อนบวช ก็คือห้างมาบุญครอง ตอนนั้นสร้างยังไม่เสร็จ ใครสร้างทีหลังมาบุญครองอาตมาไม่เคยไปทั้งนั้น
พระห้ามเดินห้าง เป็นคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานครว่าห้ามพระเดินห้าง พระวินยาธิการไปตรวจสอบ ปรากฏว่าห้างพันธุ์ทิพย์มีพระเพียบเลย จับมาตรวจสอบแต่ละท่านปรากฏว่าไปหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สรุปก็คือไม่ใช่พระปลอม แต่มีความจำเป็นไปหาซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาเพื่อทำงาน เพราะว่าส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้วัดต่าง ๆ เก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์กันหมดแล้ว ก็จะมีพระส่วนหนึ่งของแต่ละวัด ที่มีความสามารถทางด้านนี้ ก็ไปหาซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์กันที่นั่น อาตมาใช้วิธีบอกลูกศิษย์ผู้ชายให้ไปซื้อแทน ไม่ให้พระไปเองหรอก
คำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ห้ามพระปักกลดในเขตกรุงเทพมหานคร ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘.๓๐ น. ห้ามเดินห้าง ห้ามพักบ้านโยม ถ้ามากรุงเทพฯ ต้องพักในวัด แต่ขอโทษ...ถ้าพระด้วยกันไม่รู้จัก ท่านก็ไม่ให้พักหรอก
ที่ห้ามพักบ้านโยมเพราะว่า พวกที่ปลอมตัวหากินมักจะไปเช่าบ้านพักกัน ถึงเวลาก็นั่งรถกระบะไปทีหนึ่ง ๘-๑๐ คน เดินบิณฑบาตตั้งแต่เช้ายันเพล แล้วก็ขนอาหารที่บิณฑบาตได้ไปขายต่อ ต้องบอกว่าเป็นการใช้ปัญญาในทางที่ผิด พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสัมมาปัญญา ปรากฏว่าพวกนี้กลายเป็นมิจฉาปัญญา ใช้ปัญญาในการคดเคี้ยวเลี้ยวลดเพื่อที่จะโกง จะกิน จะแหกกฎไปให้ได้ ตัวนี้บาลีเรียกว่า “เฉโก” คือฉลาดแบบขี้โกง ถ้า “กุศโล” คือฉลาดแบบสร้างกุศล “โกวิโท” ฉลาดในการเป็นอยู่"
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระอนุรุทธเถระ เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ในฐานะผู้เลิศด้วยทิพจักขุญาณ ท่านอื่น ๆ มาบวช ๗ วันเป็นพระอรหันต์ ๑๕ วันเป็นพระอรหันต์ พระอนุรุทธติดอยู่ ๗ ปี เพราะว่ามัวแต่ไปคิดถึงมหาปุริสวิตก ๘ ประการ
มหาปุริสวิตก ๘ ประการมีข้อหนึ่งว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีใจตั้งมั่น” คำว่ามีใจตั้งมั่น คือ มีสมาธิดี คนมีสมาธิดีนี่ผลพลอยได้อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความจำจะดี เพราะว่าสมาธิเวลาทรงตัวก็เหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งเหมือนกระจกเงา สามารถสะท้อนทุกอย่างรอบข้างลงไปอย่างชัดเจน ก็เลยช่วยให้ความจำดีไปโดยอัตโนมัติ
แรก ๆ อาตมาไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมามีของเก่ามาก รู้อยู่อย่างเดียวว่าทำอะไรก็ง่ายไปหมด อย่างตอนเด็ก ๆ มีงานศพ ไปดูผู้ใหญ่เขาเล่นไพ่กัน พักเดียวก็โดนไล่กลับมานอน ตอนหลับตาเห็นโพดำ โพแดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด บินว่อนไปหมด
เขาเปิดหน้าศพให้ดูก่อนที่จะเผา มองแวบเดียวเท่านั้นติดตาไป ๒ วัน ๓ วัน คิดว่าผีตามมาหลอก ไม่ได้นึกว่าเป็นเพราะภาพเหล่านี้เคยทำได้ในอดีต ถึงเวลามองก็ติดตาเลย จนกระทั่งมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านถึงได้เฉลยให้ฟังว่า “พวกนี้เป็นของเก่า”
ท่านก็เล่าให้ฟังว่าของเก่าตามท่านมาเยอะแยะ เกิดเป็นนักรบมาทุกชาติ การใช้อาวุธทุกประเภทมีความคล่องตัวโดยอัตโนมัติ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านย่าสั่งให้ไปเก็บหัวปลีให้หน่อย หัวปลีก็คือดอกกล้วย เด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว เอามาทำอาหารได้หลายชนิด โดยเฉพาะยำหัวปลี ผัดหัวปลี
ท่านบอกว่าท่านไม่เคยใช้ไม้ขอยาว ๆ สอยแบบคนอื่น หากแต่พกมีดบางทำครัวไปหลาย ๆ เล่ม ถึงเวลาใช้ขว้างตัดขั้วเอา ท่านบอกว่าสั่งได้ว่าจะให้ปลายแทง จะให้สันตี จะให้คมฟันได้ทั้งนั้น อาตมาก็แปลกใจว่า แบบนี้เราก็ทำเป็นตั้งแต่เด็ก"
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กมอญเด็กพม่า พอคลอดออกมาเขาก็พาเข้าวัดเลย ส่วนพวกเราไปกลัวเด็กโดนแดดโดนลมจะป่วย ปรากฏว่าพวกนั้นหัวแข็งทุกราย ไม่เห็นว่าจะป่วยสักที ฉะนั้น...เลี้ยงลูกต้องลักษณะอย่างนี้แหละ ให้สมบุกสมบันเข้าไว้ พอเดินได้นี่ไม่มีคำว่าอุ้ม ไม่มีคำว่าใส่รถเข็น ให้เดินอย่างเดียว ไม่เดินตามใช่ไหม ? อยู่นั่นแหละ...แม่ไปแล้ว พักเดียวก็ต้องวิ่งตาม
ต้องเลี้ยงลูกให้แข็งแกร่ง เอาตัวรอดให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ มัวแต่ไปทะนุถนอมอยู่ เดี๋ยวเด็กจะเอาตัวไม่รอด”
พระอาจารย์กล่าวว่า “งานอุปสมบทหมู่ประจำพรรษาปีนี้มีผู้กล้าหาญสมัครบวชมา ๑๐ ราย ไม่นึกว่าจะใจถึงกันขนาดนั้น ปกติระยะหลังส่วนใหญ่มักจะบวชระยะสั้น ๆ ๗ วัน ๑๐ วัน เต็มที่ก็ ๑ เดือน
๑๐ รายนี้ใจถึงมาก วัดท่าขนุนมีกติกาว่า บวชแล้วต้องรับกฐินก่อนถึงสึกได้ สมัครมา ๑๐ ราย ถ้าไม่ขี้เกียจก็ผ่านทุกคนนั่นแหละ เพราะว่าที่วัดท่าขนุนต้องท่องขานนาคได้ด้วยตนเอง ซึ่งก็หลายหน้ากระดาษทีเดียว เพราะว่าการขอบวชคือตัวของอุปสัมปทาเปกขะ (ผู้ขอบวช) เข้าไปเอ่ยวาจาขอร้องต่อคณะสงฆ์ ให้ยกตนเองเป็นอุปสัมบัน คือผู้ที่มีศีลเสมอกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องไปขอด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ขอ วัดท่าขนุนจะไม่มีการบอกให้ว่าตาม อย่างเก่งก็แค่บอกว่าขั้นตอนไหน ที่เหลือคุณไปจัดการเอาเอง จึงควรจะเข้าวัดก่อนอย่างน้อย ๑ อาทิตย์”
มีผู้มารับวัตถุมงคล "ตะกรุดของหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ มีแต่ใหญ่ขนาดนี้แหละ เพราะว่าหลวงพ่อเชื้อท่านทำแต่ตะกรุดขนาดนี้ กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำไมถึงต้องทำใหญ่ขนาดนี้ ? ท่านบอกว่าท่านมีความรู้อะไรท่านใส่หมด
อย่าเอาไปเป็นอาวุธตีหัวใครนะ คนนั้นจะบ้าเลย ขอยืนยันว่าของท่านแรง"
ถาม : (เล่าเรื่องอารมณ์ใจขณะว่ายน้ำ)
ตอบ : ก็เหมือนกับเราเดินจงกรม เพียงแต่เปลี่ยนไปว่ายน้ำแค่นั้นเอง เหมือนเดินจงกรมด้วยมือแทนที่จะเดินจงกรมด้วยตีน..!
ถาม : ในความรู้สึกเหมือนเราแกะสก๊อตเทปออกจากหัวใจเรา ?
ตอบ : ระวังจะแกะผิด สมมติก็เป็นความจริง ปรมัตถ์ก็เป็นความจริง เพียงแต่ว่าเป็นความจริงแท้ หรือความจริงที่ผู้คนเขาเชื่อถือกัน เพราะฉะนั้นต่อให้เข้าถึงปรมัตถ์จริง ๆ ท่านก็ยังเคารพสมมติอยู่ ไม่ใช่ก้าวข้ามไปเฉย ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นวางใส่กบาลคนอื่นอีก ชอบตีความธรรมะผิดกันอยู่เรื่อย
ถาม : อารมณ์นี้ ถ้าไม่มีเครื่องกระทบใจเรา...?
ตอบ : ถ้าไม่กระทบก็ไม่กำเริบ หรือไม่กระทบก็ไม่ฉุกใจคิด เพราะฉะนั้น...เรื่องอายตนะต่าง ๆ มีทั้งโทษและมีประโยชน์ เพียงแต่ว่าเรารู้จักละทิ้งส่วนที่เป็นโทษ แสวงหาเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์หรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าเก็บทุกเรื่องทุกราวที่เจอขึ้นมา กลายเป็นขยะอยู่เต็มหัว ถึงเวลาสางไม่ออกก็เครียดตายห่...!
ถาม : จะมีจังหวะหนึ่ง ที่รู้สึกอะไรสักอย่างขึ้นมา แล้วความเศร้าหมองก็หายไปหมด ?
ตอบ : สติระลึกได้ รู้ตัวอยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ว่าต้องมีปัญญาประกอบ จึงจะเห็นว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีธรรมดาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนั้น สมมติเป็นอย่างนั้น เราก็อย่าไปยุ่งกับสมมติ พอเราถอนตัวออกมา ก็เหมือนวางของหนักลง จึงเบาขึ้นเยอะ แต่คราวนี้ต้องให้วางได้ตลอดเวลา ไม่ใช่วางได้เป็นพัก ๆ กลับไปทำใหม่...!
ถาม : มีอยู่วันหนึ่งหนูนั่งรถตู้ ...(ไม่ชัด).... อันนี้คือทิพจักขุญาณ ?
ตอบ : ไม่ใช่ อันนี้ก็คือตัวปัญญาเลย แต่ว่าเป็นปัญญาในลักษณะของทิพจักขุญาณ ลักษณะของความคล่องตัวแล้วก็ชำนาญ ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญา ต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะมีเหตุลักษณะอย่างนี้ขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่สามารถที่จะรู้เท่าทันกิเลสได้ ก็คือเราจะรู้ว่าตอนนี้รัก ตอนนี้โลภ ตอนนี้โกรธ ตอนนี้หลง ทำอย่างไรเราจะควบคุมให้อยู่ในจุดที่ไม่ทำอันตรายแก่เราได้ แต่ถ้าท้ายสุดไม่ไปยุ่งได้นั่นแหละดีที่สุด ระวังไว้...ว่าจะเป็นโทษมากกว่า
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อย่างนั้นแหละ ก็คือสภาพจิตที่ฝึกฝนแล้วมีกำลัง ถึงเวลาก็เป็นมโนมยา สำเร็จด้วยใจ อาตมาเคยนั่งรถไปแล้วปรากฏว่าโดนสิบแปดล้อตบ เหลือขอบถนนอยู่หน่อยเดียว ถ้าเราไม่มีทางไปก็คือโดนตบเต็ม ๆ หรือต้องยอมตกถนน ก็มีทางเดียวคือต้องยันรถออกไป คนขับก็บอกว่าทำไมอยู่ ๆ ถนนกว้างขึ้นแล้วผมไปได้...! แต่อย่าทำบ่อย ไม่ใช่เรื่องดี ฝืนกฎของกรรมเดี๋ยวต้องไปชดเชย
ถาม : เราก็ต้องได้ผลจากการกระทำของเราหรือคะ ?
ตอบ : ใช่....ถึงไม่รับผลเรื่องนี้ก็ต้องไปรับผลเรื่องอื่นแทน อาจจะหนักกว่าเดิมด้วย เหมือนกับถ้าเข้าบ้านไปโดนแม่ด่า ก็ก้มหน้าก้มตารับคำด่าไปก็จบ แต่ถ้าไม่โดนแม่ด่าแล้วพ่อหมั่นไส้ ไอ้นี่ยังไม่โดนด่าเดี๋ยวกูใส่เสียเอง อาจจะตบคว่ำไปเลย อะไรแบบนี้
พระอาจารย์กล่าวว่า "เจงกิสข่านเป็นผู้นำที่สุดยอดมาก ทหารรวมอยู่เป็นแสน ๆ ใครจะนับถือศาสนาอะไร เจงกิสข่านไม่เคยห้าม ขอให้รบได้เท่านั้น
ถึงเวลาพักก็จะมีคนไปนั่งละหมาด มีคนไปบูชาไฟ มีคนไปเดินจงกรม นับลูกประคำอะไรก็แล้วแต่ คุณจะทำอะไรทำไป จึงกลายเป็นว่าพอถึงเวลายึดบ้านยึดเมืองได้ ก็ทิ้งกองทหารเอาไว้เพื่อให้ดูแล ถ้ากองทหารที่นับถือพุทธก็ช่วยกันสร้างวัด จะได้นิมนต์พระไปอยู่
พวกเราจะแปลกใจว่าทำไมอยู่ ๆ ในรัสเซียมีวัดพุทธได้อย่างไร ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย ก็เพราะคุณูปการของเจงกิสข่าน ปัจจุบันนี้รัสเซียเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่วนของสมาธิ กรรมฐาน ไปใช้กันเป็นล้าน ๆ คนเลย เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ประกาศตัวนับถือพุทธ เข้าวัดเข้าวา มาไหว้พระ มานั่งสมาธิหาความสงบ เพราะเขาเห็นผลว่าช่วยให้การทำงานเขาดีขึ้นมาก เพราะฉะนั้น...ต่อให้เขาไม่ประกาศเป็นพุทธก็เป็นไปครึ่งตัวแล้ว"
ถาม : เจ้านายชอบพาไปที่นั่น...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ท่านเป็นคนยอมลำบากเลยอยู่ที่นั่น แต่ว่าบางอย่างก็เป็นทิฏฐิเฉพาะตัว ผมเองไม่เคยถือสาเรื่องนี้ ถ้าใครทำงานได้ผมให้หมด เพราะว่าเรื่องของกิเลสเฉพาะตัวผมไม่ว่าใคร อยู่ที่ใครละได้ก่อนเท่านั้น วางได้ก่อนก็สบายก่อน ถ้าใครอยากแบกก็ให้เขาแบกไป
ท่านอาจารย์ ดร.ชาตรีเคยไปวัดท่าขนุนนะ ไปเยี่ยมกันทีหนึ่ง ท่านไปเรียนที่ต่างประเทศก่อน เรียนจนกระทั่งสามารถเผยแผ่ธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเรื่องของหลักธรรมเป็นคำพูดเฉพาะมาก อธิบายเสร็จแล้วยังต้องอธิบายซ้ำอีกว่าคืออะไร
ผมบอกฝรั่งว่า ทุกข์ คือ Suffering เขาไม่เข้าใจ ต้องอธิบายว่า สมมติคุณเดินสักหนึ่งชั่วโมง...เหนื่อยฉิบหา...เลย นั่นก็คือทุกข์ คุณทำงานสักครึ่งวันเครียดมากเลย นั่นก็คือทุกข์ อธิบายไป กำกับแล้วกำกับอีก ทุกข์คำเดียวปาไปครึ่งค่อนชั่วโมง
ฝรั่งนี่นิสัยแปลก ถ้าเขาเข้าใจไม่ชัดเจนก็ถามอยู่นั่นแหละ ไม่เหมือนกับคนไทยเรา ฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่องกูก็ไม่ถาม จึงกลายเป็นโง่กว่า ฝรั่งเขาไม่ยอมหรอก เอาจนฉลาด ถามแล้วถามอีก ถามจนกระทั่งหมดทุกซอกทุกมุมแล้วเขาถึงยอมเลิก
เรื่องหลักธรรมนี้เราเสียท่า ทางด้านศรีลังกาและพม่า เขามีธรรมะภาษาอังกฤษมานานแล้ว แต่ของไทยเรายังไม่มี การอธิบายหลักธรรมเป็นภาษาอังกฤษได้ จึงทำให้พระพม่าได้รับความนิยมมากกว่า พวกต่างชาติไปฝึกกรรมฐานที่พม่าแต่ละวัดนี่เป็นร้อย ๆ คน ไปเนปาลไปทิเบตก็เห็นเขาไปกราบอัษฎางคประดิษฐ์กันไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ทำกันเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง พวกฝรั่งส่วนใหญ่ทำอะไรเขาทำจริง ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า “พอลำบากมาก ๆ ทุกข์มาก ๆ ก็จะคิดถึงพระไปเอง ตอนนี้ยังไม่เห็นคุณค่าก็ไม่เป็นไร”
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเด็กอยู่ ๒ คนมาหาอาตมา (เจแปนกับเจด้า) เพื่อจะเอาหนอนรถด่วน ก็เลยต้องเตรียมเอามาไว้ให้ อย่างอื่นเขาไม่ยอมกิน จะกินแต่อย่างนี้"
ถาม : เด็กเขารู้ไหม ?
ตอบ : ไม่รู้ ตอนที่ยังไม่รู้ภาษาเขาก็ใส่ปากกินไปเรื่อย ตอนนี้พอรู้เรื่องขึ้นมาก็ไม่อยากกินอย่างอื่น จะกินแต่อย่างนี้ แต่พิสูจน์ได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ เพราะพวกนี้มีสาร Histamine เยอะมาก คนโต ๆ กินไปยังแพ้เลย ต้องอาจจะประเภทค่อย ๆ หยอดให้ตั้งแต่เด็กแบบนี้ รู้สึกว่าสองคนนี้จะไม่แพ้อะไรกับใครเลย
ถาม : (ไปอินเดีย)
ตอบ : การจราจรของเขาก็ยังคงน่าอนาถอยู่ดี อาตมาศึกษาเรื่องการจราจรอินเดียแล้วหมดอารมณ์ บอกว่าอย่าไปอินเดียหน้าร้อนเป็นอันขาด ขืนไปอาจจะได้ร้อนตายบนรถกันบ้าง พอกลับมาเมืองไทยโคตรสบายเลย ไม่ร้อนแบบนั้น
ตอนผมกลับมาจากทิเบต ร้อนอยู่เป็นอาทิตย์ เปิดเครื่องปรับอากาศอย่างนี้แหละ ทำไมไม่เย็นสักทีวะ ? ก็จะไปเย็นได้อย่างไร เปิดไว้ต่ำสุดก็ได้ไม่เกิน ๑๘ องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน ๒๑ องศาเซลเซียส เพราะว่ากลัวเปลืองไฟ เพราะว่าไปอยู่ในที่อุณหภูมิต่ำ ๆ มาเป็นอาทิตย์ กลับมาเมืองไทยแทบร้อนตาย ตรงทะเลสาบยัมดร็อกโซพื้นที่สูงมาก เดินเร็ว ๆ ๓-๔ ก้าวก็เหนื่อยหอบแล้ว ต้องค่อย ๆ เดินช้า ๆ
ถาม : เกี่ยวกับแข็งแรงหรือไม่แข็งแรง ออกกำลังกายประจำหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เกี่ยว...ขึ้นอยู่กับสภาพของปอดว่าสามารถฟอกอากาศได้ดีแค่ไหน ถ้าพวกประเภทฟอกอากาศได้ดีก็ไม่มีปัญหา ถ้าพวกฝึกกรรมฐานก็จะได้เปรียบ เพราะว่าลมหายใจยาว แลกเปลี่ยนอากาศได้เยอะ
ถาม : ออกกำลังกายเต็มที่ ปรากฏว่าไปแล้วไม่ไหว ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ต่อให้ฟิตขนาดไหนก็ตาม ถ้าการฟอกอากาศของปอดไม่ดีก็ร่วงเหมือนกัน
ผมไปพักอยู่ที่โรงแรมซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านทิเบต สวยมากเลย เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก คนสร้างเป็นคนจีนแท้ ๆ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของทิเบต ทุกซอกทุกมุมการตกแต่งของเขาเป็นศิลปะเก่า ๆ ของทิเบตทั้งหมด ชั้น ๒ ของพิพิธภัณฑ์มีพวกวัตถุเก่า ๆ ทางพระพุทธศาสนาเยอะมาก
ไปที่วัดโจคังเจอ Turquoise ลูกหนึ่ง ทำเป็นลูกกลม ๆ เออ...ขนาดเข้าท่า ก็ถามราคาคนขาย เขาบอก ๒๐,๐๐๐ หยวน ถามเขาว่า ๑๘,๐๐๐ หยวนได้ไหม ? เขาก็เลยวิ่งไปถามพระ พระบอกว่า “ไม่ได้...ลูกนี้ราคา ๒๐๐,๐๐๐ หยวน” ๒๐๐,๐๐๐ หยวน เอา ๕ คูณเข้าไปดูสิ แหม...รู้อย่างนี้ตอน ๒๐,๐๐๐ หยวน ให้เขาไปก็จบแล้ว ดันไปต่อราคาจนซื้อไม่ได้
ถาม : ร้านขายของที่ไปนี่คนละที่กับพิพิธภัณฑ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนละที่กัน ที่ร้านขายของอย่างไรเขาก็ต้องเอาเราไป ผมไปซื้อของที่นั่น ใคร ๆ ก็บอกว่าต่อไม่ได้ ผมต่อมาเรียบร้อยแล้ว ซื้อได้ด้วย ถึงเวลากลับมาขึ้นรถ เขายังถือประคำ Turquoise เดินตามมาอีก ถามว่าเส้นนี้จะเอาด้วยไหม ? เพราะว่าเคยต่อแล้วแต่ไม่ได้ซื้อ
พอไปดูเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าหัวประคำไม่ใช่งาช้างแต่เป็นเรซิ่น ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนี้ไม่เอา เพราะว่าไม่ใช่งาช้าง เขาบอกเป็นกระดูก ผมบอกว่าไม่ใช่ อาตมาดูออก ถ้าเป็นกระดูกต้องมีลายกระดูก อันนี้ไม่มีเลย คนขายเขาก็บอกว่า Sorry เพราะว่าเขาก็ไม่ใช่คนทำ เขาบอกอะไรมาก็เชื่อตามนั้น ขำตรงที่เขาเดินตามมาถึงรถเลย เพราะเห็นว่าซื้อจริง ๆ แต่พวกโยมส่วนใหญ่ที่ไปจะซื้อหินทิเบตกัน
ถาม : หินทิเบตของจริงเขาบอกว่าต้องเก็บมาจากวัด ?
ตอบ : ใช่ แต่ขอโทษเถอะ เงินที่เราซื้อก็ต้องตั้งใจว่าชำระหนี้สงฆ์ เพราะว่าเขาเอาหินมาจากวัด
ไปปากีสถานผมก็ชี้ให้โยมดู Turquoise บอกว่าอันนี้ของจริง อันนี้ของปลอม โยมเขาดูแล้วจำไว้ จากนั้นเขาก็ไปต่อราคาของจริง ต่อแล้วก็หันมาถามราคาของปลอม ตอนต่อของจริงนั้นซื้อไว้แล้วชุดหนึ่ง พอหันไปชี้ใส่ของปลอม เขาบอก “No...No...Man-made.” บอกเลยว่าอันนี้คนทำไว้ คราวนี้เชื่อหรือยังว่าไอ้นี่ของปลอม ? ถ้าเราดูออกนี่เขาก็หลอกเราไม่ได้ แต่ถ้าดูไม่ออกนี่โดนหมด
ถาม : ส่วนใหญ่ไปเจอก็ของปลอม หินเอย อะไรเอย ?
ตอบ : เราชอบก็ซื้อไปสิ ที่ไม่ปลอมแน่ ๆ ก็คือรุทธระ ประคำเม็ดพุทธรักษา ไม่ปลอมหรอก แต่แหม...เขาแหกตาเรา ต้องกี่ตา ๆ ถึงจะขลัง ยิ่งมากก็ยิ่งดีอะไรแบบนี้ ไล่นับตาให้เราดูเลย แต่ขายให้เราก่อน พอขายให้เราก่อนแล้วค่อยบอกว่ามีที่ดีกว่านั้น น่าถีบจริง ๆ...!
ถาม : (หมาบางแก้ว)
ตอบ : หมาบางแก้วอุปนิสัยหวงถิ่น ถ้าคนแปลกหน้าไม่ใช่เจ้านายโดนกัดทุกคนแหละ ท่านอาจารย์เอกลักษณ์ วัดปากน้ำโจ้โล้ เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ผมเข้าไปนี่เขาวิ่งใส่เลยนะ เพียงแต่ผมไม่ได้สนใจ บอกว่ามาพักเฉย ๆ เขาก็มาดมฮื่อ ๆ ๆ ขู่ใส่ไม่ยอมเลิก นี่ขนาดผมไม่กลัวหมานะ ถ้าคนกลัวขยับหรือวิ่งหนีโดนกัดแน่เลย
บางแก้วเป็นหมาหวงถิ่นมาก เพราะว่าพื้นถิ่นอาศัยอยู่ในแพมาก่อน ก็คือเป็นพวกหมู่เรือนแพในแม่น้ำยมอะไรพวกนั้น คราวนี้ไปผสมกับหมาจิ้งจอกก็เลยออกมาเป็นพันธุ์บางแก้ว ด้วยความที่อยู่แพใครแพมัน ทำให้หวงที่มาก จริตนิสัยก็เลยฝังใน DNA หวงที่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่าไปเลี้ยงพวกโกลเด้นฯ ก็แล้วกัน พวกนั้นเป็นหมารับแขก ช่วยพาโจรเข้าบ้าน..!
ถ้าจะเอาพันธุ์หมาวัด ที่ท่าขนุนมีเยอะแยะไป ตัวเล็ก ๆ หอบไปเลี้ยงได้เลย หมูหยองเพิ่งจะคลอดลูกมา ๙ ตัว อายุเพิ่งจะอาทิตย์กว่า ๆ แม่หมาวัยรุ่นคลอดลูก ๙ ตัว ตอนท้องก็ดูท้องไม่ใหญ่ คลอดออกมาตัวใหญ่กว่าลูกแมวหน่อยเดียว เลยบอกแม่ชีเอหาอะไรให้กินเยอะ ๆ หน่อย จะได้ตัวโต พวกลูกสัตว์ถ้ากินถึงตั้งแต่เด็ก ๆ จะโตมาก
สมัยก่อนอาตมาเลี้ยงอีเห็น อัดนมวัวเข้าไปเต็ม ๆ อยากกินเท่าไรก็กินได้เท่านั้น โตอย่างกับหมาเลย แต่เลี้ยงอีเห็นเราจะลายไปทั้งตัว เพราะว่าเล็บเขาเหมือนเล็บแมว ถึงเวลาก็ไต่ขึ้นตัวเรา เห็นเราเป็นต้นไม้ ไต่ขึ้นไต่ลง ไต่ขึ้นไต่ลง จนลายไปทั้งตัว
มีโยมประเภทผู้ดีกรุงเทพฯ ไปถาม “เป็นอะไรเจ้าคะ ลายไปทั้งตัว ยุงมากหรือคะ ?” บอกว่า ไม่ใช่...รอยเท้าอีเห็น คนนั้นก็ไม่รู้จักอีเห็น “โอ้โฮ...เป็นสัตว์ที่ดุร้ายมากเลยนะคะ ” ไม่ได้ดุหรอก แต่เห็นเราเป็นต้นไม้ ปีนไปเรื่อย ขึ้นบนลงล่าง อยู่นิ่งไม่เป็น
พอถึงเวลาจะตกก็เอาหางรัดคอเราไว้ เกือบจะหายใจไม่ออก ถึงได้รู้ว่าพวกลิง พวกค่าง พวกอีเห็น พวกเสือ พวกแมว ฯลฯ ใช้หางในการทรงตัวได้ สามารถใช้ยึดจับได้ พอจะหล่นเอาหางรัดคอ อ๋อ...ที่แท้ช่วยอย่างนี้ก็ได้
มีลูกศิษย์ย้ายไปทำงานที่พัทลุง "อยู่พัทลุงก็ไปกราบเจ้าพ่อขุนคางเหล็กนะ ตอนช่วงแวะไปวัดเขาอ้อบ่อย ๆ เจ้าพ่อขุนคางเหล็กท่านมาบอกว่าท่านเป็นเจ้าของพื้นที่ เคยเป็นเจ้าเมืองพัทลุงมาก่อน"
ถาม : การแบ่งเขตดูแลของเทวดา ท่านแบ่งตามหลักอะไรคะ ?
ตอบ : ตามคำสั่งเจ้านาย ...(หัวเราะ)... บางทีเขตที่แบ่งเป็นเมืองโบราณที่ปัจจุบันเขาหาซากไม่เจอแล้ว แต่เขาก็แบ่งตามเขตนั้นแหละ
ถาม : พระเครื่องแตก ขอถวายหลวงพ่อให้นำไปเป็นชนวนสร้างพระ ?
ตอบ : ไม่ควร...เอาบรรจุองค์ใหญ่ไว้บูชาต่อ ไม่อย่างนั้นจะมีโทษเท่ากับทำลายองค์พระ ของสายอื่นพระแตกอาจจะหมดสภาพ แต่ของสายวัดท่าซุงพระแตกอานุภาพจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากว่าวัตถุมงคล ๑ ชิ้น เทวดาต้องรักษา ๑ องค์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ระหว่างท่านปู่พระอินทร์กับที่พระพุทธเจ้าเมตตาตรัสไว้ ฉะนั้น...อยู่ ๆ วัตถุมงคลกลายเป็น ๒ ชิ้นก็ต้องเพิ่มเทวดามารักษาอีก ๑ องค์
วัตถุมงคลสายวัดท่าซุงแตกหักนี่ได้เปรียบ...อย่าทิ้งนะ เพราะว่าขลังกว่าเดิม หาทางติดกาวกลับไปแล้วเอาไปใช้ต่อได้เลย จากเทวดาองค์หนึ่งก็กลายเป็น ๒ องค์ หรือถ้าหากใครมีความสามารถพิเศษ จะแตก ๗-๘ ชิ้นก็เอาเถอะ ก็ได้ไป ๗-๘ องค์..!
ถาม : มีวัตถุมงคลเยอะแยะมากมาย แต่มีญาติผู้ใหญ่มาบอกว่า วัตถุมงคลนี้มีของ พอจับแล้วสั่น ขนลุก ให้เอาไปทิ้ง ?
ตอบ : บอกเขาว่าเอามาทิ้งแถวนี้แหละ เดี๋ยวจะมีคนช่วยเก็บ...!
ถาม : เจ้าตัวเขาอยากเก็บไว้ แต่ไม่รู้ว่าจะบอกผู้ใหญ่อย่างไร เพราะบ้านอยู่กันหลายคน เขาบอกว่าพระเครื่องมีแต่ผี หนูก็สงสัยว่าเขาแยกผีและเทวดาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ต้องถามเขาแหละ อย่ามาถามอาตมา พวกประเภทมั่วไปเรื่อยมีเยอะ มีพระบางรูปก็อวดรู้แบบนี้แหละ พอหยิบวัตถุมงคลขึ้นมาก็บอกว่าเป็นของที่ไหน มีพลังมากแค่ไหน ท้ายสุดหยิบวัตถุขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เขาก็บอกว่าชิ้นนี้แหละมีพลังมากที่สุด อาตมาเลยให้เปิดดู ปรากฏว่าเป็นตลับยาหม่อง ปล่อยเขาไปเถอะ เอาที่เขาสบายใจ
คุณชะพิต ชอบเสร็จ นำพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชมาถวายร่วมบุญกฐินปลดหนี้ "สรุปว่ากฐินปลดหนี้มีเจ้าภาพไป ๓๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว เพราะว่ามีผู้บูชาพระขรรค์ไปแล้ว พระขรรค์เล่มนี้หมายเลข ๘๐ ขนาดและลวดลายทุกมิติเท่ากับพระแสงขรรค์ไชยศรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? ก็ให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่อัญเชิญและรักษาพระแสงขรรค์ไชยศรีวัดขนาดมาให้ ใช้เวลาในการทำเกือบ ๒ ปีเต็ม ทั้ง ๆ ที่ทำแค่ ๘๔ เล่ม เพราะว่าการสร้างอะไรก็ตามที่มีลักษณะเป็นเทพอาวุธ เป็นอาวุธประจำพระองค์ของเจ้าพระยามหากษัตริย์หรือพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าหากว่าบุญเก่าไม่พอนี่ทำไม่สำเร็จ บุญเก่าพอก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ
พระขรรค์เป็นตัวแทนแห่งมหาอำนาจ ใช้ในการปกครองคน ถ้าใครเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ ๆ มีลูกน้องมาก ๆ หาพระขรรค์ใหญ่หรือเล็กพกติดตัวเอาไว้บ้าง
ต้นตำรับพระขรรค์รายแรก ๆ เลยก็คือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่เห็นสร้างพระขรรค์ในเมืองไทยมีแค่ไม่กี่ราย ที่ทำแล้วประสบความสำเร็จมาก ๆ ก็คือพระขรรค์โสฬสของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระขรรค์ปราบไตรภพของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว พระขรรค์มหาปราบของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว พระขรรค์บรมครูมหาปราบของหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ แล้วที่ชัด ๆ เลยก็คือ พระขรรค์สะกดวิญญาณของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ซึ่งเอาไว้สำหรับปราบผีโดยเฉพาะ"
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคล ๓๘ ว่า สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้เห็นสมณะคือพระภิกษุสงฆ์ จัดว่าเป็นอุดมมงคล
ถามว่าเป็นมงคลตรงไหน ? ได้เห็นพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ โดยเฉพาะถ้าท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราจะรู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ เพราะว่ากระแสความดี กระแสเย็นของท่านมีอยู่ อยู่ใกล้ท่านเราจะรู้สึกว่าสงบ รู้สึกว่ามีความสุข
แต่บางทีไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เวลาอยู่ใกล้ท่าน กำลังใจของเราก็จะคิดแต่ในด้านดี ๆ มากกว่า ไม่ฟุ้งซ่านไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับอยู่คนเดียวที่บ้าน ฉะนั้น...ในเมื่อเราสามารถรักษากำลังใจไว้ในด้านดีมากกว่าด้านที่ไม่ดี จึงนับว่าเป็นมงคลใหญ่
พูดง่าย ๆ ว่าได้เห็นพระสงฆ์เท่ากับบังคับให้เราฝึกกรรมฐานกองสำคัญ ก็คือสังฆานุสติโดยอัตโนมัติ บางทีเด็ก ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่มาทุกวัน ? แต่ขณะเดียวกันเด็กบางคนก็อยากมาเอง บอกให้พ่อแม่พามา แสดงว่ามีพื้นฐานเก่าดีมาก”
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนก่อนพระที่วัดไปฝึกนักเทศน์ ๒ รูป แล้วก็ไปเรียนวิชาเทศน์ในระดับประกาศนียบัตรอีก ๑ รูป
พระที่เรียนจะมีระดับประกาศนียบัตรอยู่ ๓ สาขา สาขาแรกสำหรับบรรดาพระสังฆาธิการ คือ ตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไป เรียกว่า ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ป.บส.) เรียนจบมาได้วุฒิเท่ากับ ม.๖ แต่ว่าเป็นของสำหรับพระที่เป็นฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ
อีกประเภทหนึ่งสำหรับครูพระที่เข้าไปสอนเด็กนักเรียน เรียกว่า ประกาศนียบัตรครูพระสอนศีลธรรม (ป.สศ.) ส่วนประกาศนียบัตรพระธรรมเทศนา (ป.ทศ.) มีเรียนที่วัดประยุรวงศาวาส
คราวนี้พระท่านขอไปเรียน อาตมาถามว่าเจตนาอยู่ตรงไหน ? ถ้าต้องการเทศน์เป็น ไม่ต้องเรียนถึง ๑ ปี แต่ถ้าต้องการวุฒิ ม.๖ แล้วเทศน์เป็นด้วยก็ไปเรียน ก็ปรากฏว่าท่านเก่งกับหลวงตาต๋อยเอาแค่เทศน์เป็น ถ้าแค่เทศน์เป็นคุณไปติดต่อที่วัดราชโอรส เขามีสอนเทศน์เป็นรุ่น ๆ รุ่นหนึ่งประมาณ ๑๕ วัน ฝึกกันหูดับตับไหม้ทั้ง ๑๕ วันนั้นแหละ ส่วนอีกรูปหนึ่งก็ไปเรียนเพื่อเอาวุฒิ ม.๖ ด้วย ก็ต้องไปเรียนที่วัดประยุรวงศาวาส"
"อาตมาเองก็จบนักเทศน์วัดราชโอรสมาเหมือนกัน รุ่นถัด ๆ มาก็มี พระครูน้อย พระครูหน่อย พระครูบ่าว จบมาแล้วนาน ๆ ไม่ได้เทศน์ก็สนิมกินหมด
ที่อาตมาอยากให้มีก็คือเทศน์ ๒ หรือ ๓ ธรรมาสน์ แต่ว่าพระอื่นท่านไม่กล้าเทศน์ด้วย เจ้าอาวาสก็เลยได้แต่นั่งเฉา ตอนนี้ท่านเก่ง เลขานุการเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยกันสานฝันให้หลวงพ่อ ก็เลยชวนพวกไปเรียน เขาจะเทศน์กันเองก่อน ถ้าเห็นว่าเข้าท่าเข้าทางพอจะยืนระยะได้ ค่อยไปดวลกับหลวงพ่อกันทีหลัง"
"เรื่องของการเทศน์ ๒ ธรรมาสน์หรือ ๓ ธรรมาสน์นั้นสำคัญตรงคนถาม ขณะเดียวกันคนตอบก็ต้องฉลาดในการตอบด้วย ถ้าหากว่าคนตอบนั้นตอบผิด คนถามจะบอกว่าผิดไม่ได้ จะเสียท่าชาวบ้าน เดี๋ยวเขารู้ว่าพระไม่เก่ง ต้องหาทางหลอกให้ตอบวนไปวนมาให้เข้าที่จนได้ ส่วนคนตอบ ถ้าตอบไม่เป็นไปปิดทาง คนถามถามต่อไม่ได้ก็ซวยอีก
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นนักเทศน์ระดับอาจารย์จริง ๆ คำถามเดียวหมดไปเป็นชั่วโมงเลย ท่านจะสนุกสนานเฮฮาไปเรื่อย คนฟังข้างล่างก็หัวเราะเป็นธรรมบันเทิงไป"
"สมัยก่อนมีนักเทศน์มาก เฉพาะศิษย์ของหลวงพ่อพระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส มีเกิน ๒๐๐ รูป ท่านเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักเทศน์ ปฏิภาณถึงขนาดไม่มีใครต้อนจน ท่านบอกว่าปรารถนาจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าอีก นั่นบอกชัดเลย
หลวงพ่อพระครูโวฯ จัดงานศพตัวเอง มีเทศน์แจง ๕๐๐ ธรรมาสน์ มีคนถามว่าหลวงพ่อจัดทำไม ? ท่านบอกว่า “เวลาข้าตายแล้วไม่ได้เห็น อยากเห็นตอนเป็น ๆ ว่าพวกเอ็งทำอะไรให้ข้าบ้าง”
ปรากฏว่าจัดทีหนึ่งรวยไปเลย เพราะลูกศิษย์นักเทศน์แห่กันมาหมด เทศน์ ๕๐๐ ธรรมาสน์ ก็ต้องมา ๕๐๐ รูป มาถึงก็ถวายผ้าไตร ๑ ไตร เงิน ๑๐๐ บาท สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ๑๐๐ บาท นี่ประมาณแสนบาทสมัยนี้น่าจะได้ ค่าของเงินใหญ่กว่ากันมาก
หลวงพ่อท่านจัด ลูกศิษย์เอาเงินมาให้ห้าหมื่น เพราะว่าคนละร้อยใช่ไหม ? โวทานธรรมาจารย์ แปลว่าอาจารย์ผู้ให้ทานทางธรรม คือให้ธรรมเป็นทาน"
ถาม : หนูเคยฝึกมโนมยิทธิตอนสมัยเรียนอยู่ ตอนนี้กลับมาทำใหม่ เหมือนเราปฏิบัติได้ไม่นาน มีอาการตกใจเวลาทำสมาธิ ?
ตอบ : ไม่ใช่ตกใจ นั่นคืออาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวแต่สติตามไม่ทัน จะรู้สึกเหมือนวูบตกจากที่สูง (ใช่ค่ะ) ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ถ้าเผลอเมื่อไรก็หล่นอีก แต่ถ้าก้าวข้ามไปได้ก็จะไม่เป็นอีก เกาะลมให้ติด ๆ เอาไว้ อย่าเผลอห่าง ห่างเมื่อไรก็วูบเมื่อนั้น
ถาม : จะเป็นทุกครั้ง ?
ถาม : ถ้าหากว่าก้าวข้ามไปได้เมื่อไรก็จะไม่เป็นอีก ทิ้งไปนานก็ลำบากอย่างนี้แหละ แต่ไม่เป็นไร...มีพื้นฐานเก่าอยู่แล้วกลับมาก็ยังง่ายกว่าคนอื่น
ถาม : สัญญากับปัญญา เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สัญญาคือจำได้ ปัญญาคือทำได้
ถาม : ญาณละครับ ?
ตอบ : ญาณ เป็นเครื่องรู้พิเศษที่เกิดขึ้น มีผลมาจากฌาน เรียกว่าเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดปัญญาก็ได้
ถาม : เวลาที่เรากำลังจะตาย ถ้าภาวนาพระคาถาสั้น ๆ จะมีโอกาสขึ้นที่สูงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สำคัญที่สุดคือทำให้คล่องตัวก่อนตาย ถ้าจะตายแล้วคิดไปทำตอนนั้นไม่รอดสักราย
ถาม : คล่องตัวขนาดไหนครับ ?
ตอบ : ขนาดทรงอารมณ์ได้ทุกเวลาที่ต้องการ
ถาม : การแบ่งคำภาวนาสั้นยาว แบ่งแบบไหนครับ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ ให้ไปตามลมหายใจโดยไม่สะดุดก็ใช้ได้ แต่ละคนไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปวรรคในที่เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องไปหยุดแบบเดียวกัน
ถาม : ถ้าเราสร้างคำภาวนาให้ลมหายใจสัมผัสได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำ...ทำแล้วจะรู้ว่าได้หรือไม่ได้
ถาม : ถ้าถือศีลแปดแล้วใส่น้ำหอม ก็ถือว่าไม่เป็นไร อย่างจะดูโทรทัศน์เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมือง ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ?
ตอบ : ดูไปทำเหี้..อะไร...! อย่าลืมว่าเขื่อนที่มีรู้รั่วแม้เท่าปลายเข็ม ท้ายที่สุดน้ำก็จะดันจนพังทั้งเขื่อน ไปเปิดประตูให้โจรเข้าบ้าน แล้วก็มาบอกว่าไม่ได้สนใจอะไร โดนปล้นจนหมดตัวกี่ครั้งยังไม่รู้อีก..!
ถาม : ดูเพื่อพิจารณา ว่าเขาทำแบบนี้ไม่ดี ?
ตอบ : ไม่ใช่ข้ออ้าง ความเป็นจริงก็คือมึงอยากดู...!
ถาม : สังขารุเปกขาญาณคืออะไรครับ ?
ตอบ : วางเฉยในการปรุงแต่งทั้งปวง จะไม่มาฟุ้งซ่านในการนั่งถามอย่างนี้...!
ถาม : โคตรภูญาณคืออะไรครับ ?
ตอบ : เป็นญาณที่กำลังจะก้าวข้ามจุดใดจุดหนึ่งไป ระหว่างปุถุชนกับพระโสดาบัน หรือพระโสดาบันกับพระสกทาคามี ฯลฯ ช่วงไหนที่กำลังจะก้าวผ่าน เขาเรียกว่าโคตรภูญาณ
ถาม : เวลาเราบริจาคทาน เราควรวางกำลังใจให้ได้อานิสงส์เยอะอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ก่อนทำ...ตั้งใจอยู่ว่ามีโอกาสเราจะทำ ระหว่างทำ...ดีใจที่ได้ทำ ทำไปแล้ว...คิดถึงเมื่อไรก็ยังปีติอยู่
ถาม : เวลาเราจับภาพพระ ถ้าอยากให้ภาพพระอยู่นาน ๆ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทรงฌานโดยอัตโนมัติภาพพระก็จะอยู่ หลุดจากฌานเมื่อไรภาพพระก็หาย เพราะฉะนั้น...ถ้าทำได้ก็คือรักษาอารมณ์สมาธิเอาไว้ ภาพพระจะอยู่ได้นานไปเอง
ถาม : ถ้าภาพพระขึ้นมาเอง ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานได้แล้วเราก็กำหนดใจตั้งภาพพระขึ้นมา แต่คนที่ทำแบบนั้นได้ ต้องมีของเก่าที่คล่องตัวมาแล้ว
ถาม : เวลากินอาหาร เราเปรียบเทียบว่า รสชาติอาหารอันนี้อร่อยกว่าของอันโน้นเพราะอะไร ถือว่านิวรณ์ไม่ได้กินใจเราหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทันทีที่รู้สึกว่าอร่อย นิวรณ์ก็แด...เราไปเรียบร้อยแล้ว...!
ถาม : แต่เราคิดว่าอร่อยกว่าเพราะอะไร เราแค่เปรียบเทียบ ?
ตอบ : ยิ่งเปรียบเท่าไรแปลว่ายิ่งปรุงแต่ง ยิ่งปรุงแต่งเท่าไรความฟุ้งซ่านก็ยิ่งมาก อย่าไปหวังว่าจะเข้าถึงธรรมได้
ถาม : ....(ไม่ชัด)....
ตอบ : แล้วรู้ไปทำเหี้...อะไรละครับ ? เขาแค่รู้ว่ากินเข้าไปเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ไว้เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้นก็พอ
ถาม : เราสามารถเจริญทั้งทางโลกทางธรรมไปด้วยกันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำเป็นก็เจริญทุกคนแหละ ดูอย่างนางวิสาขา อย่างอนาถปิณฑิกเศรษฐีสิ รวยจนเราตามทันไหม ?
ถาม : เรากินไม่ได้เพื่อต้องการความอร่อย แต่เราศึกษาว่าอันนี้อร่อยเพราะอะไร ?
ตอบ : เรามีหน้าที่ต้องไปแยกแยะไหม ? ยัดเข้าไปให้อิ่มก็พอแล้ว...!
ถาม : ความรู้ทางโลกนะครับ ?
ตอบ : ก็แล้วมึงบอกว่าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมแต่ไปเอาความรู้ทางโลก ? ตั้งแต่ต้นยันปลายขัดกันเองจนหกคะเมน แล้วยังไม่รู้ตัวอีก..!
ถาม : เวลาที่เราจับภาพพระ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนั้นเป็นขณิกสมาธิ อัปปนาสมาธิ ฌาน ๑, ๒, ๓, ๔ ?
ตอบ : ไปฝึกทำ ไปศึกษาว่าอารมณ์ว่าอารมณ์ฌานแต่ละขั้นเป็นอย่างไร ? พอเข้าถึงอารมณ์นั้นก็จำว่าสีสันของภาพพระต่างกันอย่างไร ? ก็จะรู้เอง
ถาม : ที่อ่านเจอมาว่า....?
ตอบ : ไม่ต้อง ทำ...ทำ อ่านแล้วมาจินตนาการว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้วเมื่อไรจะไปรู้เรื่องของจริง ไปคิดว่าถ้าเขากินหูฉลามแล้วรสชาติน่าจะเป็นอย่างนี้ กับการแด...เองจะต่างกันไหม ?
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อารมณ์ใจตัวเองต้องรู้เอง ไม่ใช่กินข้าวแล้วไปถามคนอื่นว่ารู้สึกเป็นอย่างไร ? ไปเปิดหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง บทที่ ๗ หน้าที่ ๔๐ พอดี หัวข้อเรื่องการทรงฌาน ไปอ่านดูว่าอารมณ์ฌานแต่ละขั้นเป็นอย่างไร ? พอเราจับภาพพระเข้าไปแล้ว ถ้าถึงในแต่ละขั้นภาพพระเป็นอย่างไร ? แล้วก็จำเอาไว้
ปฏิบัติธรรมอย่าจินตนาการบรรเจิดมาก จินตนาการบรรเจิดเมื่อไรก็คือการปรุงแต่ง ปรุงแต่งเมื่อไรความฟุ้งซ่านก็รับประทานเมื่อนั้น ที่ไม่ก้าวหน้าสักทีก็เพราะมัวแต่ฟุ้งซ่านอย่างนี้แหละ..!
ถาม : ผมทำระหว่างวันตลอดเลยครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ต้นยันปลายที่ถามมาแทบจะไม่มีปัญหาที่เกี่ยวกับตัวเองเลย เรื่องของการปฏิบัติ ถ้าตั้งใจทำจะได้คำตอบเองโดยไม่ต้องถาม
ถาม : ถ้าเราเกิดแช่งผู้อื่น ผลที่เราได้รับคืออะไร ?
ตอบ : อันดับแรก ตัวเราลงนรก เพราะกำลังใจของเราเป็นโทสะจริต ถ้าตายตอนนั้นไม่รอดแน่นอน อันดับที่สอง ถ้าหากว่าผู้ถูกแช่งกำลังใจเสีย บางทีสิ่งที่เราว่าไปก็มีผล แต่ถ้ากำลังใจเขาดีกว่า ไม่ได้ใส่ใจในส่วนนั้น เราเองจะรับผลตามนั้น เพราะว่าผลนั้นสะท้อนกลับ พูดง่าย ๆ ว่าส่งของให้เขา เขาไม่รับ ของนั้นก็เป็นของเรา
ถาม : เวลาเราดูข่าว ถ้าเรามีอารมณ์ยินดียินร้ายกับที่คนนั้นทำไม่ดี ?
ตอบ : ก็ไหนว่าดูแล้วพิจารณา ? ยินดีหรือยินร้ายเป็นโทษทั้งคู่ ถ้าสิ่งที่เขาทำเป็นความชั่ว แต่เราไปดีใจ อย่างเช่นว่า เขาด่ารัฐบาลบิ๊กตู่ เราก็ว่า เออ...น่าจะด่านานแล้ว ก็ซวยไปด้วย ถ้าหากว่ายินร้ายเกิดโทษแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะว่าสภาพจิตของเราเศร้าหมอง
ถาม : ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ดูแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน ก็คือไม่เอามาฟุ้งซ่าน สักแต่ว่ารับรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น อย่าไปยินดียินร้ายตามไปเท่านั้น
ถาม : ผมชอบร้องเพลง ผมชอบเต้น ถ้าผมภาวนาไปด้วย ผมจะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ไม่บาป
ถาม : เวลาสวดมนต์หลายจบ จบที่ ๑ จบที่ ๒ จบที่ ๓ ถ้าเราสวดไปแล้วไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นจบที่ ๙๕ หรือจบที่ ๙๖ แล้ว ?
ตอบ : ถ้าไม่แน่ใจให้เอาตรงที่มั่นใจเสมอ อย่างเช่นไม่แน่ใจว่าจบที่ ๙๕ หรือ ๙๖ ให้เอา ๙๕ ไว้ก่อน
ถาม : เราตั้งใจสวดให้ครบ ๑๐๘ จบ พอไปถึงจบที่ ๙๖ ก็ไม่มั่นใจว่าครบไป ๑๐๘ จบไปหรือยัง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจก็ควรจะสวดให้ครบ ตามที่คุณว่ามาแสดงว่าจบที่ ๙๖ ไม่แน่นอน ได้แต่เริ่มแล้วเริ่มอีก ในเมื่อไม่ผ่านสักทีก็ไปนับเป็นจบหนึ่งไม่ได้
ถาม : แล้วจะทำอย่างไรที่จะมีความมั่นใจว่าครบ ๑๐๘ จบ ?
ตอบ : จะนับลูกประคำก็ได้ เดี๋ยวนี้เครื่องนับก็มีเยอะแยะไป
ถาม : ใช้ประคำนับได้ยากมากครับ ?
ตอบ : งอนิ้วนับเอา จำว่ารอบนี้ก็คือรอบที่ ๑๐ รอบถัดไปคือรอบ ๒๐ ใช้จำเอา...เพิ่มสติขึ้นมาด้วยซ้ำไป
ถาม : พูดถึงอสุภะ ผมยังไม่มีเวลาฝึกจริง ๆ ถ้าผมอยากฝึก ....(ไม่ชัด)....?
ตอบ : ไปทิเบต ส้วมทิเบตสุดยอดทุกที่ ถ้าไม่ใช่ลานก็หลุม เมื่อวานเพิ่งคุยกับพระครูปลัดเฉลิมชาติไปว่า เรื่องของพระเรื่องของวัดดี ๆ เยอะแยะไปหมดไม่จำ ดันไปจำแต่เรื่องขี้..!
ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ขณะที่คนอื่นวิ่งอ้วกแตกอาตมา ก็ทำธุระหน้าตาเฉย
ถาม : พระอาจารย์ปล่อยวางกลิ่นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ใช่ปล่อยวางอะไร เพียงแต่เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ดีไม่ดีของเราเหม็นกว่าอีกด้วย
ถาม : ผมจะทำอย่างไรจึงจะได้ครึ่งของพระอาจารย์ ?
ตอบ : เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้
ถาม : ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขี้ออกมาแล้วก็ละเลงเล่นทุกวัน เดี๋ยวก็ชินไปเอง...! ถ้าไม่เจอของจริงก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างไร ต้องเจอของจริงให้ได้ก่อน เตรียมอาหารไว้หน้าประตูส้วมเลย ละเลงเสร็จออกมาก็กินเลย จะได้ซาบซึ้งว่าที่เลือกแล้วเลือกอีกก่อนกิน พอกินเข้าไปแล้วออกมานั้นเป็นอย่างไร
ถาม : (ทดสอบยันต์เกราะเพชร)
ตอบ : รอดมาได้ก็บุญโขแล้ว เราจะได้มั่นใจว่าบารมีพระคุ้มครองเราได้จริง ยันต์เกราะเพชรป้องกันเราได้จริง อาตมาโดนงูกัดมาหลายรอบแล้ว ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย เพียงแต่พวกเราส่วนใหญ่ยังกลัวตายกันอยู่ ถ้าไม่ใช่เรื่องแบบนี้ก็ไม่มีทางที่จะไปให้งูกัดเล่นแบบอาตมาหรอก ส่วนอาตมาก็แค่อยากรู้ว่าจะตายจริงหรือเปล่าเท่านั้น..!
ถาม : จำเป็นต้องทดสอบด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ทดสอบแล้วจะรู้หรือว่าดีจริงไหม ? ...(หัวเราะ)... คนกลัวตายกับคนไม่กลัวตายพูดคนละภาษากันอยู่แล้ว ในสายตาพวกเอ็งก็ว่าข้าบ้า..!
ในชีวิตที่โดนงูกัดมาก็มีงูกะปะ งูแมวเซา งูกล่อมนางนอน ส่วนที่อยากให้กัดอย่างงูเห่าหรืองูจงอางก็ไม่ยอมกัด หนีอย่างเดียวเลย
ถาม : ถ้าโดนกัดแต่ไม่ได้รักษา ?
ตอบ : ไม่ตายแน่นอน แต่ขอโทษ...ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บนะ เจ็บโคตร..! รับประกันความเจ็บเลยแหละ พิษงูปวดแค่ไหนก็ปวดแค่นั้น เพียงแต่ว่าไม่ตาย อุตส่าห์นั่งรอว่าจะตายไหมก็ไม่ตาย พิษวิ่งขึ้นมาถึงเข่า ถึงศอกแล้วก็ถอยกลับไปที่แผล หลงดีใจนึกว่าหายแล้ว ที่ไหนได้เดี๋ยวก็มาใหม่อีก วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ ๔-๕ เที่ยว ปวดจะตายชัก..!
:4672615: เก็บตกเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.