View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์กล่าวว่า "อายุกาลผ่านไป วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ? ครูบาอาจารย์เฒ่าชะแรแก่ชราลงไปทุกวันแล้ว ยังจะรื่นเริงบันเทิงใจเหมือนคนมีเวลามากอีกหรือ ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาไปบวงสรวงเปิดบ้านเติมบุญ เปิดบ้านรอไว้แล้ว เปิดข้ามปีเลย ด้วยความที่กลัวรถติดตอนไปบวงสรวงช่วงเช้า เขาบอกว่าเส้นนี้รถติดมหาวินาศน์ตอนช่วงสาย ๆ ก็เลยติดหนังสือไปด้วยสองเล่ม กะว่าถ้ารถติดก็จะอ่านหนังสือรออยู่บนถนนนั่นแหละ
ปรากฏว่า ๒๐ นาทีก็กลับมาถึงบ้านวิริยบารมีแล้ว แสดงว่าการที่อาตมาขอความคล่องตัวให้กับทุกคนนั้น บังเกิดผลกับตัวเองด้วย จากรถที่ติดสาหัสสากรรจ์ทุกวัน กลายเป็นโล่งไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?
เรื่องของครูบาอาจารย์ เวลาท่านสงเคราะห์ ท่านก็ให้มากกว่าที่เราคิด แต่ขณะเดียวกันเราต้องมีพื้นฐานในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา ไว้เป็นเครื่องรองรับด้วย ไม่ใช่เอะอะก็จะขอกันอย่างเดียว คนที่จะขอได้ต้องมีต้นทุนเพียงพอ สังเกตไหมว่าบางคนบนที่ไหนก็ได้ ขณะเดียวกันเราบนเสียร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทั้งในและต่างประเทศแต่ไม่เคยได้สักที เพราะว่าต้นทุนของเรายังไม่พอที่ท่านจะสงเคราะห์ให้ได้"
พระอาจารย์กล่าวในงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "วันนี้ได้รับการอนุเคราะห์จากตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่, หลวงตาวัชรชัย วัดถ้ำเขาวง, ครูบาหน่อแก้วฟ้า ลานธรรมอรหันตา อ.คง จ.นครราชสีมา, พระอาจารย์นิล ชาครธมฺโม สำนักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ปีหน้าอาตมาจะไปทอดกฐินปลดหนี้ให้พระอาจารย์นิล ความจริงท่านยังไม่ทันได้เป็นหนี้หรอก แต่อาตมาจะปลดหนี้ให้ก่อน และครูบาวิฑูรย์ จาก ปรียนันท์ธรรมสถาน ตลอดจนกระทั่งเพื่อนพ้องน้องพี่ พระภิกษุสามเณรในสายธรรมเดียวกัน ถึงเวลามีงานมีการก็ได้รับนิมนต์มาช่วยเหลือกัน
ในปัจจุบันนี้รัฐบาลของเราเกิดขึ้นมาเพราะคำว่า "ปรองดองสมานฉันท์" ซึ่งตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ สองปีผ่านไปแล้ว ยังไม่สามารถจะสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้อย่างที่ตั้งใจ
อาตมาเองขอโอกาสที่พวกเราอยู่กันมาก ๆ เตือนว่า ปีหน้าถ้ามีการปลุกระดมทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใดก็ตาม ขอให้อยู่เฉย ๆ กับบ้าน แล้วจะปลอดภัย บอกมากกว่านี้ไม่ได้ เอาแค่นี้แหละ
ปีนี้บอกเรื่องน้ำท่วมปักษ์ใต้ให้พวกเราระวังล่วงหน้า อาตมาก็โดนเหยียบเกือบตายไปแล้ว เรื่องบางอย่างสงสารและเป็นห่วงญาติโยม อะไรที่พอจะบอกกล่าวกันได้ก็บอก แต่บางอย่างวาระกรรมนั้นหนัก เราจะเลี่ยงพ้นทีเดียวก็ไม่ได้ ดังนั้น...จากเวลาที่บอกเอาไว้ก็เลื่อนไปเป็นเดือน แทนที่จะท่วมในจังหวะในวาระที่บอกกล่าว ก็เลื่อนมาเดือนหนึ่งพอดี พวกเราระวังแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สบายใจ ....(หัวเราะ).... เขามาตอนเรากำลังสบายใจนั่นแหละ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อุปสรรคเกิดได้เสมอ ถ้าว่ากันตามรากศัพท์ อุป แปลว่า เข้าไปใกล้, สัคคะ แปลว่า สวรรค์ ดังนั้น...ถ้าก้าวข้ามไปได้ก็จะมีความสุขเหมือนกับได้ไปสวรรค์ อุปสรรคจึงเป็นเรื่องดี ทำให้มีกำลังใจมุ่งมั่นก้าวข้ามสิ่งต่าง ๆ ทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมาได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าเราไปเจอกันที่บ้านเติมบุญ ข้างสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ ไปสนับสนุนกิจการรถไฟฟ้าสายสีม่วงหน่อย เขาขาดทุนเยอะ อาตมาก็เลยต้องย้ายไปอยู่ตรงนั้น แต่ใกล้กว่าบ้านนี้ เพราะว่าลงจากสถานีรถไฟฟ้าก็ถึงบ้านเลย เนื่องจากบ้านอยู่ติดกับถนนใหญ่ ไม่ได้เข้าซอยแบบนี้
แต่จะหาที่นั่งแบบนี้ยาก เพราะที่นั่นสามชั้นรวมกันยังใหญ่ไม่เท่ากับห้องโถงนี้ ถ้าไปกันเยอะ ๆ รู้สึกจะอบอุ่นดีมาก นึกถึงตอนที่อยู่บ้านอนุสาวรีย์ ที่รับสังฆทานประมาณมุมหนึ่งข้างหลังห้องโถงนี้ ประมาณ ๑ ใน ๓ แค่นั้นเอง แต่ก็อยู่กันได้ เพราะท่านที่มาเห็นว่าไม่มีที่นั่งก็กลับ แต่ว่าพอมาอยู่บ้านหลังนี้มีที่กว้างขึ้นก็มานั่งแช่กัน เพราะฉะนั้น...บ้านจะใหญ่จะเล็กไม่ได้สำคัญ พวกเราสามารถปรับให้พอดีได้เสมอ
ถ้าใครติดใจบ้านหลังนี้ก็ยังคงมาได้ตามปกติ รอเจ้าของบ้านท่านประกาศว่าจะมีพระมาสอนกรรมฐานกันเมื่อไร ก็จะเป็นพระสายวัดป่ามาแทน"
หลังจากสวดพระคาถาเงินล้านจบ พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำเวลาได้ดีมาก ๑ ชั่วโมง ๒๕ นาทีโดยประมาณ แต่ยังขาดสติอยู่ ถึงเวลานับ ๆ ไปแล้วก็ลืมว่า ตัวเองนับจบนี้ไปแล้วหรือยัง จึงมั่วไปเลย"
หลังจากกล่าวถวายบ้านเติมบุญ พระอาจารย์กล่าวว่า "ในที่รับสังฆทานใหม่ที่จะเริ่มต้นในเดือนมกราคม ปี ๒๕๖๐ นั้น ก็ได้คุณณัฐพล สุขวัฒนศิริ พร้อมกับครอบครัว ในนามของบริษัทมุลเลอร์ แมคคานิค ได้ทำการปรับปรุงจนกระทั่งเหมาะสมที่จะใช้ในการเจริญกรรมฐาน ตลอดจนรับศรัทธาญาติโยม โดยมีคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์เว็บพลังจิต เป็นผู้ประสานงานและวิ่งเต้นจนกระทั่งน้ำหนักขึ้นมาหลายกิโลกรัม
ต้องขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งที่ท่านทั้งหลายมีจิตอันเป็นกุศล ได้สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม ตามที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ของเรา ได้ทรงมีพระราชปณิธานและทรงกระทำมาโดยตลอด ก็ถือว่าเป็นการน้อมนำเอาพระราชดำรัสมาใช้งานจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนควรจะได้น้อมนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และทำให้ได้ผลจริงในลักษณะเดียวกัน"
โอวาทจากหลวงตาวัชรชัย ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "ระยะช่วงเวลานี้ของโลก ของบ้านเมืองเรา ของพระพุทธศาสนา และของสำนักทุกสำนักในสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ก็กำลังให้ผลค่อนข้างแรง ทั้งในด้านกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้น...หลวงตาจะไม่พูดอะไรถึงเรื่องเหล่านี้ เพราะเป็นวิบากกรรมซึ่งละเอียดอ่อน มีเหตุอันยาวนานมามากมาย
ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจน้อมรับโอวาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และครูบาอาจารย์ที่เราเคารพ ขอให้ทุกคนตั้งใจ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ก็อย่าไปโทษคนอื่น ให้หันมามองตัวเองก่อน ว่าเหตุการณ์นี้เรามีส่วนเลว ส่วนผิดอันใดบ้าง ถ้าไม่ผิดก็แล้วไป ให้ตั้งใจทำความดีต่อไป ถ้าผิดก็รีบแก้ไขเสีย ก็จะเอามลทินออกจากใจเราได้ เท่ากับเอาอุปสรรคขวากหนามออกจากสังคม ออกจากสำนักเราได้
ในเวลาเดียวกันก็ตรวจดูในใจเราว่า ความดีที่เราทำมาหลายอสงไขย หลายชาตินับไม่ถ้วน ดีพร้อมหรือยัง ? หาให้เจอว่ากระแสความดีที่เราทำมาคืออะไร ขาดตรงไหน ? แล้วทำเฉพาะที่ขาดให้ถึงพร้อม ไม่ต้องไปฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความดีอะไรที่นอกวาสนาของเรา หรือความดีของคนอื่นก็ไม่ต้องไปแตกตื่นเอาเข้ามาในใจเรา เพราะเป็นคนละคน คนละประเภทกัน
เมื่อความเลวในใจเราหมดสิ้นไปมากที่สุด ความดีที่เรายังขาดถึงพร้อมขึ้นมา ความผ่องใสย่อมเป็นผลโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ขอให้ทุกคนได้ผลตามหัวใจของพระพุทธศาสนา หลวงตาก็ขอให้พรแค่นี้นะ"
โอวาทจากตุ๊พ่อมหาสิงห์ ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "ได้ยิน ได้อ่าน ในหนังสือที่เขาเขียนไว้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราสร้างบารมี ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป และมีบริวารเยอะ ท่านได้ไปพระนิพพานแล้ว ท่านก็บอกให้พวกเราทั้งหลายที่ได้มาพบองค์หลวงพ่อแล้ว ช่วยองค์หลวงพ่อ ชวนลูกชวนหลานหลวงพ่อทุก ๆ รูป ทุก ๆ นาม กลับไปบ้านใหญ่ที่องค์หลวงพ่อสร้างไว้ที่พระนิพพาน
ก็ขอให้ภารกิจอันนี้จงเป็นของพวกเราทุกคน ชักชวนเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย อมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย วิญญาณทั้งหลาย ที่เป็นลูกหลาน เป็นบริวารขององค์หลวงพ่อ ไม่ว่าจะต่ำต้อยน้อยค่าขนาดไหน ก็ขอให้พวกเราทำภารธุระ บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา แผ่เมตตา ชักจูงกันไปทั้งหมดทั้งสิ้นเน้อ"
โอวาทจากพระอาจารย์ ในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "บางเรื่องสมควรจะพูด แต่ถ้าไม่พูดพวกเราก็จะไม่มีการเตรียมพร้อมกัน
บ้านเราเมืองเราอยู่ในช่วงของการสูญเสียและได้รับ การสูญเสียของเราก็คือ การสูญเสียพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา ความดีของพระองค์ท่านเป็นสิ่งที่ทั่วโลกได้ประจักษ์
ในส่วนที่เราได้รับก็คือ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ต่อมา เพียงแต่ว่าภาวะกรรมของคนไทย ตลอดจนกระทั่งชาวโลก ถึงวาระที่เราจะต้องมีการชดใช้ คราวนี้การชดใช้นั้นจะมาในรูปแบบของสงครามก็ดี หรือ ในส่วนของภัยธรรมชาติก็ตาม ถ้าเรามีความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย อันตรายเหล่านี้ก็จะมาถึงเราได้น้อย เพราะบารมีของพระท่านก็ดี พรหมเทวดา หรือครูบาอาจารย์ก็ตาม ท่านจะปกปักรักษาผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในคุณความดีทั้งหลายเหล่านี้
เหมือนดังในพระอภิธรรมได้กล่าวไว้ถึงฐิตกัปปีบุคคล คือ บุคคลผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ขนาดไหนว่า กัปของเรานี้อยู่ใน สังวัฏฐายีอสงไขยกัป ก็คือจะต้องดับสลายเสื่อมทรามลงไป แต่ถ้ามีบุคคลที่ทรงคุณความดี ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลแม้แต่คนเดียว โลกนี้ก็ยังจะไม่สลายไปด้วยอำนาจของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่แปรปรวน เขาเรียก ฐิตกัปปีบุคคล เป็นบุคคลที่ยังกัปให้ตั้งอยู่ได้"
"คราวนี้ในส่วนของพวกเรา ถ้าเราพร้อมจิตพร้อมใจกันทำในส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามแนวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงได้ให้เอาไว้ ขอให้เชื่อมั่นว่าอันตรายทั้งหลายที่จะบังเกิดแก่เรานั้นจะมีน้อยมาก ต่อให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินบางอย่างไป แต่เราจะไม่ถึงขนาดเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด แต่ถ้าเราไม่มีการเตรียมตัวกันเลย พอเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น เราก็จะอยู่ในลักษณะของการรับมือไม่ทัน
อาตมาเองมาในสายพระโพธิสัตว์เก่า ดำเนินตามรอยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา บางอย่างพอจะฝืนกฎของกรรมได้ ก็พยายามบอกกล่าว แต่ถ้าเราทำกรรมไว้มากจริง ๆ ก็อย่างที่บอกเอาไว้ว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เมื่อจะเกิดขึ้น ก็มีการเลื่อนระยะเวลาออกไป ทำให้เราเกิดความประมาท ในที่สุดวาระกรรมก็หาช่องทางเล่นงานเราจนได้"
"ในช่วงของปีหน้าและปีถัดไป เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคล ตลอดจนกระทั่งการเมือง ถ้าหากทุกฝ่ายยังมุ่งเอาชนะคะคานกัน ไม่น้อมนำเอาพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาเป็นเครื่องนำชีวิต อาจจะต้องมีการปะทะหักล้างกัน สร้างความเดือดร้อนขนานใหญ่แก่ส่วนรวม ถ้าเกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นวาระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนมีสติ รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักว่าอะไรควร อะไรไม่ควร โดยเฉพาะในเรื่องของคำพูดและการกระทำ
ในส่วนของการกระทำ สมัยนี้ข่าวคราวต่าง ๆ เกิดขึ้นง่ายมาก รับได้ง่ายมากและส่งได้ไวมาก โดยเฉพาะการกดแชร์แค่ทีเดียวเท่านั้นเอง ก็ออกไปในหมู่พวกเราไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความจริง ?
ปัจจุบันข่าวถึงเราได้เร็วมาก สามารถค้นหาเนื้อหาเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่ายมาก แต่เราค้นหาความจริงได้ยากมาก ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่สิ่งที่เราอยากรู้ แต่เป็นสิ่งที่เขาต้องการให้เรารู้ ก็แปลว่าเราจะเห็นเพียงมุมเดียวของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ส่วนใหญ่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเราขาดสติ จะกลายเป็นว่าพวกเรานั่นแหละที่ช่วยกันสร้างกระแสร้อนให้เกิดขึ้นในสังคมของเรา จนกระทั่งในที่สุดกระแสเหล่านั้นเกิดปะทะกันเอง แล้วก็จะเดือดร้อนกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง"
"อาตมาถือว่าพูดตรงที่สุดแล้ว ก็ได้แค่ไม่เกินไปกว่านี้ ขอให้พวกเรารอดูว่าปีนี้และปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนที่ได้ตักเตือนไว้ตั้งแต่ ๒-๓ เดือนที่แล้ว ก็คือ ใครอยู่ในกรุงเทพฯ ขอให้เตรียมภาชนะสำรองน้ำเอาไว้บ้าง ปีหน้าจะแล้งกว่าปีนี้อีก ปีนี้โชคดีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังอยู่ ได้อาศัยบารมีของพระองค์ท่านนำฝนมาตกได้ทันเวลา
พวกเราไม่รู้ว่าในหลวงของเราเป็นที่รักของพรหมเทวดามากขนาดไหน ท้าวมหาราชท่านนำเอาความชื้นในทะเลขึ้นมากลายเป็นฝน ทำให้มีน้ำในเขื่อน แม้ว่าจะไม่เพียงพอถึงปีหน้า แต่ก็ช่วยให้ความแล้งเหล่านั้นผ่านพ้นไปในปีที่ผ่านมา
ถ้าพวกเราได้เห็นจะทึ่งมาก เพราะลักษณะที่เกิดขึ้นก็คือ สึนามิที่จะถล่มบ้านถล่มเมืองนั่นเอง แต่ไปเกิดขึ้นในมหาสมุทร กระแสคลื่นสูงกว่า ๑๐-๒๐ เมตร วิ่งเข้าหาฝั่ง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำลายอะไร เป็นเพียงการไล่เอาความชื้นในทะเลมาบนบก จนกระทั่งตกลงมากลายเป็นฝน กระแสคลื่นเหล่านั้นสลายตัวไปก่อนที่จะเข้าสู่ฝั่ง ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น เพราะเจตนาก็คือแค่ต้องการสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ประเทศชาติของเราที่กำลังแห้งแล้ง
ต่อไปเราคงไม่สามารถที่จะหาในหลวงที่ทรงคุณธรรมถึงระดับนี้ได้อีก ธรรมชาติต่าง ๆ ก็คงจะแปรปรวนไปตามสภาพ ทั้งของธรรมชาติเองและเกิดจากแรงกรรมที่พวกเราได้สร้างกันมา"
"สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พูดไปเหมือนกับคนบ้า แต่อาตมาในฐานะที่ฝึกหัดในวิชากรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ขอยืนยันว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนตอนนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง ถ้าใครที่ตั้งใจทำ แค่สามารถที่จะเข้าถึงได้บางส่วน ก็จะรู้เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถรู้เห็นได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการ
สิ่งที่ท่านต้องการ ก็คือ ให้พวกเราสามารถก้าวพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้น...ในส่วนที่ท่านสอนพวกเรามา ไม่ว่าจะเป็นอภิญญาสมาบัติก็ดี มโนมยิทธิก็ตาม ส่วนที่ท่านต้องการที่สุดก็คือ ให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เราไม่มีเวลาที่จะแวะที่ไหนอีกแล้ว โลกเราเร่าร้อนอยู่ยากขึ้นทุกวัน ถ้าเรายังไม่เร่งขวนขวายที่จะหนีไปให้พ้น เราก็จะลำบาก โดยเฉพาะความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีแต่จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ สภาพจิตใจของคนห่างไกลจากความดีไปเรื่อย ๆ
พวกเราที่ตั้งใจมาทำความดีกัน ก็เหมือนอย่างกับน้ำแก้วเดียวที่ใช้ดับไฟซึ่งเผาไหม้ทั้งประเทศ โอกาสที่จะเกิดความสำเร็จย่อมเป็นไปได้ยาก แต่เราก็ไม่ควรที่จะท้อถอย ต้องดูพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านต่อสู้เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกร เพื่อความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย แต่พระองค์ท่านก็ไม่ได้ท้อถอย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์ท่านอย่างเต็มความสามารถ ตลอด ๗๐ ปีเต็ม ๆ ๔,๕๙๖ โครงการ ทำเพื่อความสุขของส่วนรวมทั้งหมด ไม่มีทำเพื่อพระองค์เองเลย"
"ฉะนั้น...ถ้าวันไหนพวกเราท้อถอยขึ้นมา ขอให้ดูพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างของเรา ขณะเดียวกันสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเรามา อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว
วันนี้อาตมาสวดมนต์จนเสียงหายหมด สภาพร่างกายเป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะพูดจะคุยกับพวกเราก็คงจะน้อยลง ถ้าหากพิธีกรต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ก็คงจะพูดต่อไม่ไหว คาดว่าสิ่งที่บอกพวกเราไปเป็นการฝืนกฎของกรรมมากแล้ว ต้องรู้จักวิเคราะห์แยกแยะ และขณะเดียวกันก็อย่าประมาท ให้ยึดถือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักชัยในการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคน ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ก็เชื่อว่าภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากคน หรือเกิดจากธรรมชาติ จะมีผลกระทบต่อพวกเราและคนรอบข้างน้อยกว่าคนอื่น ขอเจริญพรไว้แต่เพียงเท่านี้"
ถาม : สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต จะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในอนาคต หรือด้วย อิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ บุญฤทธิ์ หรือฤทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แม่นแล้ว...ความจริงฤทธิ์บางอย่างสามารถแก้ไขได้ แต่ท่านที่ทำได้ก็ไม่ฝืนกฎของกรรม เพราะฉะนั้น...ก็แปลว่าแก้ไขไม่ได้
ถาม : "มหาสังฆทาน" แบบเต็มรูปแบบนั้น มีวัตถุทานอย่างอื่นประกอบด้วย นอกเหนือจากพระพุทธรูปขนาด ๕ นิ้ว, ผ้าไตรจีวร และอาหาร ตามแบบที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ได้กล่าวไว้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อะไรก็ได้แม้แต่ชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นเดียว ถ้าตั้งใจถวายสงฆ์ ๔ รูปเป็นเจ้าของร่วมกันถือว่าเป็นสังฆทานทั้งหมด
ที่คุณว่ามาเข้าใจผิดแล้ว ก็คือ หลวงพ่อฤๅษีท่านได้รับการขอจากบรรดาผีทั้งหลายบ่อย ๆ จึงได้จัดเป็นชุดสังฆทานขึ้นมา ผีบอกว่าพระพุทธรูปทำให้เขาได้ในส่วนของรัศมีกายที่สว่างมาก พรหมเทวดาเขาวัดกันที่รัศมีกาย ใครสว่างมากก็มีศักดานุภาพมากกว่า ในส่วนของผ้าหรือผ้าไตรจีวรทำให้มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ ส่วนของอาหารทำให้เขาอิ่มทิพย์ ซึ่งก็คือของหลักที่หลวงพ่อให้จัดในส่วนของสังฆทาน แต่ไม่ได้หมายความว่าสังฆทานต้องมีแบบนั้น มีขนมแค่ชิ้นเดียวถวายพระ ๔ รูปขึ้นไปก็เป็นสังฆทานเช่นกัน
ถาม : ขอพระอาจารย์เมตตาแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ หากสิ่งเหล่านั้นยังประโยชน์แด่สงฆ์ครับ ?
ตอบ : พระพุทธรูปหน้าตักสัก ๒๑ ศอก ถวายไปเถอะ...!
ถาม : ในส่วนของผ้าไตรจีวร จำเป็นหรือไม่ว่าต้องกี่ขันธ์ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น เป็นผ้าเปล่า ๆ กว้างคืบยาวคืบขึ้นไปก็เป็นจีวรเช่นกัน
ถาม : การถวายผ้าไตรจีวร ๙ ขันธ์ อานิสงส์ต่างจากถวายเพียงผ้าสบงธรรมดา หรือชุดผ้าไตรจีวรที่จำนวนขันธ์น้อยกว่าอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าถวายในชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ พระไม่ต้องไปตัดเย็บย้อมด้วยตนเอง อานิสงส์ก็ได้ในส่วนของความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ในส่วนของวัตถุทานถ้าสมบูรณ์พร้อม เวลาที่เราได้รับอะไรก็ได้รับอย่างสมบูรณ์พร้อม ไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน
ถาม : ถวายสังฆทานเพียงผ้าสบงสำหรับนุ่งเพียงอย่างเดียว ถือว่าเป็นการถวายผ้าไตรจีวรไหมครับ ? หรือต้องถวายผ้าครบชุดทั้ง ๓ ส่วน เท่านั้น ?
ตอบ : ตอบไปแล้ว ฟังหรือเปล่าครับ..!?
ถาม : หากญาติเสียชีวิตและไม่เคยมาเข้าฝันเลย ในลักษณะเช่นนี้ ถือว่าดวงวิญญาณนั้นมีสิทธิ์ที่จะไปจุติยังภพเบื้องบน แต่ขี้เกียจมาหาลูกหลานแล้วหรือเปล่าครับ ? หรือลงนรกภูมิรับโทษไม่มีว่างมาเข้าฝันครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือขึ้นไปเพลิดเพลินกับทิพยสมบัติ ด้วยเวลาที่ต่างกันมาก ไม่ทันจะรู้ตัว ข้างล่างก็ผ่านไปหลายร้อยปี
อีกอย่างก็คือลงข้างล่าง ซึ่งอายุนานยิ่งกว่าข้างบนอีก โอกาสจะหลุดขึ้นมาในช่วงอายุของแต่ละคนก็ยาก ฉะนั้น...ทำใจเถอะ..!
ถาม : ที่ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่าเมื่อมีคนตายแล้วเราอยากรู้ว่าเขาตายแล้วไปไหน ท่านตอบว่าให้ฝึกทิพจักขุญาณแล้วตามไปดู ข้าพเจ้าอยากทราบว่าการฝึกทิพจักขุญาณต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?
ตอบ : ไปหาดูในอินเตอร์เน็ต วิธีการมีบอกไว้เพียบ...!
ถาม : การสวดพระอภิธรรมศพนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าภาพและผู้ที่ฟังการสวดนั้น ได้รับอานิสงส์ต่างหรือเหมือนกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ในส่วนของการสวดพระอภิธรรมศพ ถ้าฟังแล้วมีความเข้าใจ นำเอาหลักธรรมไปปฏิบัติได้ย่อมมีอานิสงส์มากกว่า แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ก็คือฟังเฉย ๆ แล้วยังคิดว่าสวดให้คนตายอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นผู้ที่เป็นเจ้าภาพซึ่งมีการถวายปัจจัยไทยธรรม จะได้อานิสงส์มากกว่าคนที่ฟังเฉย ๆ
ถาม : การที่สวดพระอภิธรรมในงานศพต่าง ๆ ไม่ได้มีการเจาะจงนิมนต์พระรูปใดให้เป็นผู้สวด แต่เวลาถวายเครื่องไทยธรรมหรือชุดสังฆทาน โยมจะเห็นว่าตามวัดจัดถวายพระไว้จำนวน ๔ ชุด โยมอยากทราบว่าในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการถวายที่ได้อานิสงส์สังฆทานหรือไม่ ?
ตอบ : โบราณท่านฉลาด ท่านบังคับว่าสวดพระอภิธรรมต้องใช้พระ ๔ รูป เท่ากับว่าบังคับให้เป็นอานิสงส์สังฆทานอยู่แล้ว
ถาม : ผู้ร่วมงานศพควรวางกำลังใจเช่นใดในการฟังสวดพระอภิธรรมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ ?
ตอบ : ตะเถวาหัง มะริสสามิ ไม่ช้าเราก็ตายเช่นกัน
ถาม : การสวดพระอภิธรรมทำนองปกติ (พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์) กับแบบสังคหะนั้น นอกจากเรื่องทำนองแล้ว อานิสงส์หรือประโยชน์ในด้านอื่น แตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าฟังเข้าใจว่า คำย่อของพระอภิธรรมแบบสังคหะนั้น ย่อมาจากหลักธรรมบทใด แล้วสามารถปฏิบัติตามได้ ก็จะมีอานิสงส์มากกว่า แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ฟังเพราะคิดว่าเขาสวดให้คนตาย โอกาสที่จะฟังเข้าใจจึงหายากเต็มที หรือไม่มีเอาเสียเลย
ถาม : พระสงฆ์ผู้สวดพระอภิธรรม ๔ รูป ที่รับเครื่องไทยธรรมและของถวายจากเจ้าภาพงานศพ ของเหล่านั้นถือว่าเป็นของสงฆ์ส่วนรวมหรือส่วนองค์ครับ ? เพราะโยมเห็นแต่ละรูปถือกลับกุฏิไปเลยครับ ?
ตอบ : เรื่องของท่าน อย่าเสือกไปยุ่ง เดี๋ยวจะเดือดร้อน..!
ถาม : พระสงฆ์สามารถรับถวายและฉันน้ำปานะที่ตุ๋นรวมจากเห็ดหูหนูดำ, ขิง และพุทราจีน ได้ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพุทราจีนกับเห็ดหูหนูน่าจะอยู่ในส่วนของอาหารมากกว่า ไม่ควรที่จะเสี่ยงไปฉันหลังเพลแล้ว
ถาม : อานิสงส์การถวายผ้าสบงกับผ้าปกติ เช่น ผ้าขนหนู เป็นต้น มีอานิสงส์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้ากว้างคืบยาวคืบขึ้นไป มีอานิสงส์เท่ากับถวายผ้าไตรจีวรอยู่แล้ว
ถาม : การที่ฟังพระสวดเป็นภาษาบาลี แต่จิตของผู้ฟังพยายามน้อมจิตฟังตามเสียงสวดนั้นไป โยมอยากทราบว่าจิตผู้นั้นสามารถรับรู้ความหมายและเข้าใจถึงแก่นธรรมะนั้น ๆ ได้ โดยแม้กระทั่งบุคคลนั้นอ่านภาษาบาลีไม่ออกและแปลไม่รู้เรื่องเลยก็ตามหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพื้นฐานเดิมมาในด้านนิรุกติสัมภิทา สามารถที่จะเข้าใจเองได้ แต่ส่วนใหญ่ท่านที่ได้นิรุกติสัมภิทาท่านก็ไม่มาเกิดแล้ว ก็เหลืออย่างที่สองคือ อาจจะมีวิสัยเก่าที่เคยศึกษาทางด้านนั้นมาก่อน เวลาได้ยินได้ฟังแล้วจะเกิดความเข้าใจ เพราะสามารถจะระลึกถึงของเก่าที่เคยศึกษาขึ้นมาได้เอง
ถาม : ทำไมพญามารถึงพยายามทำทุกวิถีทาง ที่จะขัดขวางไม่ให้มนุษย์เราได้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานครับ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ...! ท่านพยายามส่งเสริมทุกวิถีทาง แต่มึงโง่เอง...! เด็กเรียนหนังสือ ถ้าสอบไม่ผ่านจะจบได้ไหม ? ท่านอุตส่าห์ทดสอบด้วยความขยันอยู่ทุกวัน เสือกไปว่าท่านอีก...!
ถาม : พญามารจะได้ประโยชน์อะไรจากการกักให้เรายังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารครับ ?
ตอบ : เป็นอะไรที่โคตรน่าสงสารเลยสำหรับครูคนนี้ ขยันสอนเด็ก ขยันสอบเด็ก แต่เด็กดันไปด่าว่าท่านด้วยความโง่อีก หาว่าท่านไปกักเอาไว้ไม่ให้สอบผ่าน ทั้งที่ตัวเองฝีมือไม่ถึง
ถาม : พระอภิธรรมคือธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดพระพุทธมารดา อยากทราบว่าหลังจากนั้นพระพุทธองค์ทรงใช้พระอภิธรรมเทศนาท่านใดอีกบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เทศน์อีกเลย เพราะไม่มีมนุษย์ที่ไหนมีเวลาฟังติดต่อกันถึงสามเดือน ยกเว้นให้พระสารีบุตรนำไปสอนศิษย์ที่เคยเกิดเป็นค้างคาวทั้ง ๕๐๐ มาก่อน
ถาม : พระสงฆ์ที่ท่านมักจะพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าแล้วไม่เป็นไปตามที่พยากรณ์ไว้ อย่างนี้พระรูปนั้นต้องอาบัติปาราชิกข้ออวดอุตริมนุสสธรรมหรือไม่ ?
ตอบ : เราต้องเข้าใจคำว่าอุตริมนุสสธรรมก่อน อุตริมนุสสธรรม แปลว่า ธรรมอันยิ่งที่ไม่มีในมนุษย์ทั่วไป ในบาลีบอกว่า ฌานัง วา วิโมกขัง วา สะมาธิง วา สะมาปัตติง วา มัคคัง วา ผลัง วา ก็คือในเรื่องของฌาน วิโมกข์ วิมุตติ สมาธิ สมาบัติ มรรคและผล ถ้าส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนนี้เขาไม่เรียกว่าอุตริมนุสสธรรม
โดยเฉพาะเรื่องของการพยากรณ์ ถ้าเป็นไปเพื่อตั้งใจอวดคนอื่น เพื่อหวังลาภผล นั่นถึงจะโดนอวดอุตริมนุสสธรรม แต่ถ้าหากท่านรู้เห็นตามนั้น หรือโดนหลอกให้เห็นตามนั้น แล้วพยากรณ์ไปจนเกิดความผิดพลาด เห็นอย่างไรก็บอกตามนั้นตรง ๆ ไม่ถือว่าเป็นการอวด แต่โดยปกติการรู้เห็นจะต้องรู้ด้วยว่าควรที่จะบอกได้เท่าไร
ถาม : อยากทราบว่าบุคคลที่ประกอบอาชีพที่พระพุทธองค์ทรงห้ามแล้วจึงร่ำรวย แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็นำปัจจัยบางส่วนจากการประกอบอาชีพนั้นมาทำบุญ อยากทราบว่าเขาเหล่านั้นจะได้บุญไหม ? และจะต้องรับผลกรรมจากการประกอบอาชีพอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ถึงเวลาก็ให้ผลตามวาระของตน
ถาม : เวลาราดน้ำแล้วน้ำไปโดนมดตาย หรือไถนาแล้วไปโดนพวกมดแมลงเข้า ควรวางกำลังใจอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : วางกำลังใจว่า...กูต้องลงนรกแน่ ๆ...!
ถาม : กรณีที่เราไม่มีแบงค์ย่อยในการทำบุญ เราสามารถแลกเงินหรือทอนเงินในซองทำบุญที่คนทำบุญได้อธิษฐานไว้เรียบร้อยแล้วได้หรือไม่ครับ จะเกิดโทษหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ได้...ใส่คืนไปมากกว่าก็ยิ่งดี
ถาม : ไม้ถือที่หลวงพ่อกำลังจัดสร้าง มีวิธีใช้และอานุภาพเหมือนหรือต่างกับมีดหมอเพชราวุธอย่างไรคะ ?
ตอบ : ยังไม่ทันที่จะสร้างเลย แล้วจะรู้ไหม ?
ถาม : ถ้าผมจับพระนิพพานในระหว่างขับรถ และเกิดอุบัติเหตุตาย ผมตายแล้วจะไปไหนครับ ?
ตอบ : น่าจะลงข้างล่างนะ เขาให้จับพวงมาลัยดันไปจับพระนิพพาน...! ก็ต้องดูว่าตอนนั้นกำลังใจของเราตัดละได้แค่ไหน ไม่ใช่เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วเราก็ไปโอดโอยอยู่กับความเจ็บปวดตรงนั้น อย่างนั้นก็คงจะมีหวังหรอกว่าจะได้เห็นเงาพระนิพพานกับเขาบ้าง..!
ถาม : อยากจะให้ช่วยแนะนำวิธีดับทุกข์ เป็นทุกข์ที่เกิดจากการไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ ไม่ได้ดั่งใจเรา ทั้ง ๆ ที่เรารู้ไม่ได้สิ่งนี้ ชีวิตเราก็ยังอยู่ได้ไม่เดือดร้อน มีชีวิตที่ปกติดีกว่าคนอื่น ๆ ที่ลำบากอยู่ตั้งเยอะ แต่ในใจก็ยังอยากได้และเป็นทุกข์จากการไม่สมหวัง ขอคำแนะนำที่จะตัดความอยากนี้ออกไปด้วยค่ะ ?
ตอบ : ก็แค่ "เลิกอยาก" เท่านั้น
ถาม : ปกติเป็นคนชอบรับกระแสต่าง ๆ ได้ และบางครั้งทำให้ร่างกายเจ็บปวด เช่น น้องสาวป่วยโดยที่เราก็ไม่รู้ คืนนั้นเราเจ็บปวด ไม่สามารถนอนได้ทั้งคืน เวลารับกระแสจากคนอื่น และทำให้เราเจ็บปวดร่างกาย เป็นเพราะอะไร ? และควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกรับมาเท่านั้นเอง ต้องตั้งใจภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัวอยู่ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวจะรบกวนไม่ได้ นี่แสดงว่าช่วงนั้นขาดสติ
ถาม : บางครั้งที่ให้คำแนะนำ รับฟัง หรือช่วยเหลือคนอื่นโดยทำตามที่เขาขอร้อง ทำให้เกิดผลต่อตนเอง เช่น เจ็บปวดร่างกาย ควรทำอย่างไรคะ ? หรือไม่ควรฟังหรือยุ่งกับเรื่องของใครหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าตัดสินใจเลิกรับไม่ได้ก็จงทนต่อไป..!
ถาม : ได้ดูคลิปที่หลวงปู่ท่อนพูดถึงว่า ท่านได้พบในหลวงในนิมิต ท่านเล่าเรื่องวิบากที่ท่านเสียตา เพราะท่านเมินเฉยเมื่อทรัพย์สมบัติของผู้อื่นจะเกิดภัยพิบัติ การเมินเฉยหรืออยู่เฉยก็เป็นความผิดหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าสามารถช่วยเหลือเขาได้แล้วไม่ช่วย ก็ถือว่าสภาพจิตของเราตอนนั้นต้องประกอบไปด้วยอกุศลกรรมบางอย่างอยู่ ในเมื่อสภาพจิตของเรามีอกุศลกรรมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นยินดีในโทษที่เกิดขึ้นกับคนอื่น หรือไม่ชอบหน้าคนอื่น แล้วพลอยยินดีที่เห็นความวิบัติของเขา ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าใจเราไม่ดี โทษที่เกิดขึ้นเกิดจากกำลังใจที่ไม่ดีของเราเอง เพราะเป็นมโนกรรม
ถาม : และเราควรมีหลักในการพิจารณาว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำเมื่อไรคะ ?
ตอบ : อะไรที่ไม่เกินวิสัยที่จะช่วยเขาได้ก็ให้ช่วย ถ้าเกินวิสัยให้ตั้งกำลังใจว่า ถ้าสามารถช่วยได้เมื่อไรเราก็จะช่วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำถามหลายอย่างแทบจะหาประโยชน์สำหรับตนเองไม่ได้เลย ถามเพราะอยากรู้เฉย ๆ หลายคนก็ถามในลักษณะที่ตั้งธงเอาไว้ในใจแล้วว่าคำตอบควรเป็นอย่างนี้ ก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าจะถามไปทำไม ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เป็นการรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่บ้านวิริยบารมีแห่งนี้เป็นวันสุดท้าย เดือนหน้าหรือปีหน้าก็ไปเจอกันที่บ้านเติมบุญ ข้างสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ นนทบุรี
ในส่วนของการโยกย้ายสถานที่ พวกเราส่วนหนึ่งก็เกิดความหวั่นไหว ต้องบอกว่าเสียทีที่ปฏิบัติธรรมกันมานาน เพราะเรื่องแค่นี้เรายังปล่อยให้กระทบกำลังใจเราได้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่หนักกว่านี้ ก็ย่อมจะทำให้เรามีความหวั่นไหวมากยิ่งขึ้น
การปฏิบัติธรรมของเราต้องมีความมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ และเคยชินกับ 'สิ่งธรรมดา' อย่างที่เขาพิจารณากันว่า เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง เพราะถ้าเราไปฝืนก็เป็น 'การฝืนธรรมชาติ ฝืนธรรมดา' ฉะนั้น...ถ้าหากเห็นธรรมดาได้ ก็จะรู้ว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ ในเมื่อรู้ว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ เราสามารถปล่อยได้ วางได้ กำลังใจของเราจะก้าวขึ้นสู่อีกระดับหนึ่ง ก้าวเข้าไปส่วนของสังขารุเปกขาญาณ ซึ่งเป็นส่วนที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักปฏิบัติธรรมที่จะต้องมีไว้
ถ้าไม่มีในสังขารุเปกขาญาณ เราก็ยังต้องกระทบกระทั่งกับผู้อื่น กับสัตว์อื่น กับสิ่งของ กับสถานที่ กับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะยังมีความรักชอบเกลียดชังเป็นปกติ โดยเฉพาะบางอย่างที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา เป็นอนุสัยกิเลส เรารู้ไม่เท่าทัน อย่างเช่น ความหัวดื้อ ความรั้น ไม่ฟังใคร เป็นต้น ถึงเวลาต่อให้เขายกเหตุผลมาร้อยแปด เราก็ไม่ฟัง ถ้าลักษณะอย่างนั้นโอกาสที่จะกลายเป็นปทปรมะ คือ บุคคลที่สงเคราะห์ไม่ได้ โปรดไม่ได้ เพราะว่ารู้มากเกินไป ก็จะเกิดขึ้นแก่เรา"
"ฉะนั้น...สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราต้องหาประโยชน์ในด้านธรรมะให้ได้ หลักการสำคัญที่สุดก็คือ อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราต้องรักษาความผ่องใสของใจเอาไว้ให้ได้ อย่าได้หวั่นไหวไปกับสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง อะไรที่ดีเกิดขึ้นกับเรา จิตใจก็อย่าฟูมากนัก อะไรที่ร้ายเกิดขึ้นกับเรา ก็อย่าห่อเหี่ยวแฟบฟุบมากจนเกินไป
การย้ายสถานที่ใหม่ก็ย่อมมีบุคคลที่สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีบุคคลที่เดินทางลำบากขึ้น เพราะระยะทางไกลขึ้น เป็นต้น บุคคลที่อยู่ใกล้ก็ให้วางกำลังใจลักษณะที่ว่า เป็นโชคดี เป็นบุญใหญ่ของเราแล้ว ที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติธรรมหรือไปทำบุญได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ส่วนบุคคลที่ไกล เดินทางลำบากขึ้น ต้องต่อรถหลายต่อ ก็ให้วางกำลังใจลักษณะที่ว่า ได้แสดงออกซึ่งความพากเพียรของเราที่จะก้าวเข้าไปหาความดี ที่จะไขว่คว้าหาความดี แม้ว่าจะลำบากเพียงใดเราก็ไม่ท้อถอย ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้จึงจะสมกับเป็นนักปฏิบัติ แต่ถ้ามัวไปตัดพ้อต่อว่า กอบโกยเอา รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาใส่ตัว ก็จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์
ในวันสุดท้ายก็ขอตักเตือนพวกเราเอาไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราต้องสรรหาประโยชน์มาให้ได้ และที่สำคัญที่สุด ก็คือ รักษาสภาพจิตของเราให้มั่นคง แน่วนิ่ง ไม่หวั่นไหว ไม่ยินดีและไม่ยินร้าย ถ้าทำอย่างนั้นได้โอกาสที่เราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์นี้จึงจะมีขึ้นมาได้
ไปเปิดดูหนังสือสวดมนต์วัดท่าขนุนก็ได้ ปัพพชิตอภิณหปัจเวกขณะที่ว่า เราจักมีประการต่าง ๆ คือว่า เราจะพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา ฯลฯ ไล่ไปเถอะ ครบ ๑๐ ข้อเมื่อไร ถ้ายังไม่บรรลุก็ให้ทบทวนใหม่"
ถาม : คนงานที่ร้านมีอาการคล้ายกับโดนของค่ะ ?
ตอบ : หาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุง ให้เขากรอกเข้าไปสักขวดหนึ่ง
ถาม : ตั้งขวดหนึ่ง ?
ตอบ : แค่ช้อนเดียวก็พอ คนงานอายุเท่าไรแล้ว ?
ถาม : เกือบ ๕๐ แล้วค่ะ
ตอบ : ผู้หญิงหรือผู้ชาย ?
ถาม : ผู้ชายค่ะ
ตอบ : บอกเขาว่าให้หาพวกวิตามินบีรวมมากินบ้าง สังขารร่างกายพร่องไปเยอะ หาพวกวิตามินบีรวมให้กินสัก ๔-๕ วันติดต่อกัน เดี๋ยวก็ดีขึ้น
ถาม : ตกลงไม่ได้โดนของใช่ไหมคะ ?
ตอบ : บางทีก็ไม่ใช่โดนของ ประเภทธาตุพร่อง อยู่ในวัยทอง ฮอร์โมนเริ่มขาด
มีโยมนำขันทิเบต (Singing Bow) มาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงเคาะให้ดู "การเคาะเป็นลักษณะของอิริยาบถและสัมปชัญญะอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการเคาะปลาไม้ของจีน เคาะไปสวดมนต์ไป จับอาการเคลื่อนไหว จับเสียง และขณะเดียวกันก็กำหนดสติในการสวดมนต์ไปด้วย ทำให้ฟุ้งซ่านได้ยาก เพราะงานทางใจมีเยอะ
การเคาะหัวปลาไม้ของจีนมีที่มาที่ไป ก็คือ เห้งเจียพาพระถังซัมจั๋งขึ้นเต่ายักษ์ข้ามทะเลไป เต่าบอกว่าเมื่อพบพระพุทธเจ้าให้ช่วยถามด้วยว่า ตนเองสร้างกรรมอะไรมาถึงต้องมาเป็นเรือโดยสารจำเป็นแบบนี้ ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ ปรากฏว่าพระถังซัมจั๋งลืมถาม ขากลับขนเอาพระไตรปิฎกกลับมา ว่ายมาถึงกลางทะเล เต่าก็ถามว่าตนเองสร้างกรรมอะไรมา พระถังซัมจั๋งบอกว่าลืมถาม เต่าโมโหจึงดำน้ำไปเลย
พอดำน้ำไปข้าวของทุกอย่างก็จมน้ำ บรรดาปลาต่าง ๆ พอเห็นของแปลก ๆ ก็แย่งกันมากิน ดันกินคัมภีร์พระไตรปิฎกเข้าไป เห้งเจียจึงจับปลาขึ้นมาแล้วเอากระบองเคาะหัวให้ปลาคายคัมภีร์ออกมา คนจีนก็เลยถือตรงนั้นเป็นเคล็ด ว่าถ้าอยากได้หลักธรรมก็ให้เคาะหัวปลา จึงมีการสวดมนต์และเคาะมู่อวี๋ ถ้าแต้จิ๋วเรียกบักฮื้อ เคาะป๊อก ๆ ๆ เคาะทีหนึ่งก็ได้อักขระมา ๑ ตัว"
"ของบางอย่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น ลักษณะแบบเดียวกับพระเจ้าปเสนทิโกศลส่งคนไปหาพระกาฬ งูเหลือมก็สงสัยว่าทำไมตนเองไปไหนไม่ได้ คนที่ไปหาพระกาฬเขาไม่ลืม เขาถามมาให้ ท้ายสุดคนถามก็เลยรวย เพราะงูเหลือมในอดีตเคยเป็นเศรษฐี เอาสมบัติไปฝังไว้ แล้วใจผูกอยู่กับสมบัติ ก็เลยไปไหนไม่ได้ เลื้อยอยู่แถวนั้น พองูเหลือมรู้เข้าก็ยกสมบัติให้คนถาม ตัวเองจึงไปที่อื่นได้ คนถามก็เลยรวยแทน
พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นตัวอย่างของบุคคลที่ว่า ถึงอายุขัยแล้วแต่ไม่ตาย ก็คือไม่ได้สวรรคตตามที่พระกาฬบอกไว้ เพราะว่าตลอด ๗ วันพระองค์สร้างสาธารณประโยชน์ส่งท้าย ทำแบบทิ้งทวน กลายเป็นสร้างบุญใหญ่ไม่รู้ตัว ทำให้ได้บุญตัวนี้มาต่ออายุได้
การที่คนหรือสัตว์จะตาย ท่านบอกว่า มีอายุขัย ก็คือ อายุหมดลง อาหารขัย อาหารหมดลง ปุญญขัย บุญหมดลง และกัมมขัย กรรมหมดลง
บุญหมดก็ตาย กรรมหมดก็ตาย แบบเดียวกับพระที่เป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งได้บวชกับพระสารีบุตรตอนอายุ ๒๐ เศษ ไม่เคยได้กินข้าวอิ่ม สามารถกินเศษข้าวได้ครั้งละ ๗ เม็ดเท่านั้น หลังจากนั้นอาหารตรงหน้าก็จะหายไปหมด ก็ต้องไปเที่ยวควานหา บ้านไหนล้างถ้วยล้างจาน สาดเศษอาหารทิ้งไว้ ไปเก็บเม็ดข้าวเขากิน กินแค่นั้นไม่น่ามีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่กรณีนี้กรรมรักษาจึงทำให้อยู่ได้ "
"จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต พระสารีบุตรบิณฑบาตมาเลี้ยงเอง เพราะพาบิณฑบาตแล้วท่านไม่เคยได้ข้าว เดินข้างหลังเขาก็ใส่ข้างหน้าหมดเสียก่อน เดินข้างหน้าเขาดันไปใส่จากข้างหลังมา พอให้อยู่ตรงกลางเขาก็ใส่จากหัวกับท้าย สุดท้ายพระสารีบุตรก็เลยต้องบิณฑบาตแทน
พอวางบาตรให้ท่านก็มองไม่เห็นว่ามีอาหารอะไร พระสารีบุตรต้องใช้มือข้างหนึ่งจับบาตรเอาไว้ ท่านถึงมองเห็นว่ามีอาหาร ได้ฉันอิ่มครั้งเดียวในชีวิต ร่างกายสบาย พิจารณาเห็นโทษว่าตลอด ๒๐ ปีกว่าที่ผ่านมามีแต่ทุกข์เข็ญปานนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก สภาพจิตปลดออกจากการอยากได้ใคร่มีในร่างกายและการเกิด กลายเป็นพระอรหันต์และไปพระนิพพานตอนนั้น หมดกรรมก็ตายเหมือนกัน หมดบุญก็ตาย หมดอาหารก็ตาย หมดอายุก็ตาย"
ถาม : กรรมรักษาก็คือแบบในนรกใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ประมาณนั้นแหละ โดนฆ่าโดนหั่นเป็นชิ้นเป็นท่อนอย่างไรก็ไม่ตาย โดนไฟเผาปกติหน่อยเดียวก็ตายแล้ว นี่โดนเผาอยู่เป็นแสนปีเป็นล้านปีแต่ไม่ตายเสียที
อาตมานี่กรรมรักษา น่าจะตายไปนานแล้ว อยู่ทรมานไปได้เรื่อย ๆ ญาติโยมอาจจะสงสัยว่าอยู่อย่างไร ก็อยู่วันเดียว มีแค่วันนี้ เดี๋ยวก็พ้นไปแล้ว ไม่มีพรุ่งนี้ จึงไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหน
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ นี้ เขาจะช่วยกันทำความสะอาดใหญ่บ้านวิริยบารมี ทำความสะอาดจะได้คืนบ้านให้เจ้าของไป ก็น่าจะใหม่เอี่ยม ส่วนบ้านหลังใหม่ก็ไม่ต้องแบกภาระมาก เพราะพื้นที่ทำความสะอาดไม่ได้เยอะแยะขนาดบ้านวิริยบารมีนี้ ตอนนี้ป้ามอยกับป้าเปี๊ยกทำความสะอาดทุกอาทิตย์ ไม่ใช่ทำความสะอาดเฉพาะตอนพวกเรามา ทำความสะอาดกันทุกอาทิตย์ ป้าเปี๊ยกเขาถือว่าดีกว่าไปฟิตเนส
ส่วนบ้านใหม่ทางด้านคุณต๋องกับคุณคมน์ก็จัดการกันอย่างเต็มที่ ทำกันชนิดที่ไม่กลัวเหนื่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอแสดงความยินดีที่รัฐบาลยืนยันว่า วันพ่อแห่งชาติยังคงเป็นวันที่ ๕ ธันวาคมต่อไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แปลว่าเดือนตุลาคมจะมีวันหยุดเพิ่มขึ้น ก็คือวันคล้ายวันสวรรคตที่ ๑๓ ตุลาคม ส่วนวันที่ ๕ ธันวาคมยังคงหยุดปกติเหมือนเดิม แล้วก็ไปหยุดวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันที่ ๒๘ กรกฎาคมอีกหนึ่งวัน ของเก่าไม่หายไปไหน ของใหม่ก็ได้เพิ่มขึ้นมา บ้านเราวันหยุดมากจนฝรั่งงง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปลายปีของเราได้วันหยุด ๔ วันต่อเนื่อง ตอนแรกก็คิดว่าการจัดปฏิบัติธรรมส่งท้ายปีงวดนี้คงจะฉุกละหุก เพราะว่ามีแค่ ๒ วัน ปรากฏว่ารัฐบาลเพิ่มวันที่ ๒ กับวันที่ ๓ ให้หยุดได้สี่วัน เท่ากับว่าปฏิบัติธรรม ๔ วัน ก็น่าจะได้สัก ๓ วันเต็ม ๆ
ในงานสวดมนต์ข้ามปี เป็นอันว่าการลอยโคมของเราต้องเลิกไปโดยอัตโนมัติ เมื่อวันก่อนมีสารวัตรท่านหนึ่งยศร้อยตำรวจเอก มาสอบถามเกี่ยวกับการสวดมนต์ข้ามปี ลักษณะที่เจ้านายให้มาหาข้อมูล แต่จริง ๆ แล้วข้อมูลหาจากอินเตอร์เน็ตก็ได้ ทำไมต้องให้ลูกน้องวิ่งมาถามด้วย ?
ระยะหลังนี้เหมือนกับว่าทางด้านหน่วยงานต่าง ๆ พยายามที่จะแทรกเข้ามามีบทบาทในการทำความดีถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ สอบถามมาว่าเขาจะจัดกิจกรรมอะไรร่วมกับเราได้บ้างหรือเปล่า ? มีบางหน่วยงานที่น่าทุบมากเลย อย่างวัดท่าขนุนจัดอุปสมบทหมู่ เขามาถึงก็ถวายปัจจัย ๓๐,๐๐๐ บาทร่วมเป็นเจ้าภาพบวชพระ ขอถ่ายรูปด้วย กลายเป็นว่าเขาเป็นเจ้าภาพทั้งหมดเลย อาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ได้เสียอะไรนี่ ได้สตางค์อีกด้วย เพราะว่าจัดเองอยู่แล้ว เขาเล่นกันง่าย ๆ อย่างนี้แหละ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมานี่สาหัสมาก ๓ วันนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชพระ ๑๕๐ รูปถ้วน...เกือบตาย โดยเฉพาะของที่อื่นส่วนใหญ่แล้วยังขานนาคยังไม่เป็น ซึ่งถ้าเป็นอาตมาเองจะไม่บวชให้ แต่คราวนี้เป็นวัดในเขตปกครอง โดยปกติแล้วทางคณะสงฆ์มีกำหนดว่า เจ้าคณะตำบลทุกรูปต้องสอบพระอุปัชฌาย์ แต่คราวนี้ท่านสอบตกบ้าง ไม่ได้เข้าสอบบ้าง หรือไม่ก็ถอนตัวจากการสอบเพราะรู้ว่าไปไม่รอดบ้าง ท่านที่สอบได้ก็รับเละไปเถอะ
งานสุดท้ายนี้นาคก็ขานนาคไม่ได้ ต้องบอกทุกคำ คู่สวดก็สวดผิด ๆ ถูก ๆ ต้องคอยแก้อยู่นั่นแหละ สุดท้ายแล้วเป็นการนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์ที่เหน็ดเหนื่อยและทรมานสุด ๆ มานึกว่าทางด้านวัดของเรา ค่อนข้างจะมีคุณภาพในเรื่องนี้ เพราะถือตามพระธรรมวินัย คือท่านนำเอาผ้ากาสาวพัสตร์มาร้องขอการบรรพชาอุปสมบท ในเมื่อมาร้องขอก็ต้องว่าด้วยตัวเอง การสอนให้ขอนี่ไม่ใช่แล้ว แต่ที่อื่นส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะนั้น บวชวันนี้ก็เข้าวัดวันนี้ ไม่ได้ซักซ้อมอะไรก่อนเลย
ที่แน่ ๆ คือนัดอาตมาไว้ ๘ โมง เขาแห่นาคกันจน ๑๐ โมง พระอุปัชฌาย์ก็นั่งดูไปเถอะ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ต้องบอกว่าแบบธรรมเนียมเป็นอย่างนั้นไปหมดแล้ว มีแต่วัดท่าขนุน ถ้าคุณแห่นาน โน่น...แห่กลับบ้านไปเลย หรือไม่ก็แห่ไปบวชที่วัดอื่น...!"
"ไปงานบิณฑบาตถวายในหลวงเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่สำนักงานเทศบาลทองผาภูมิ อาตมาพาพระไปแค่ ๘๙ รูปพอดี แล้วเหลือไว้ที่วัด ๒๐ กว่าเกือบ ๓๐ รูป บอกกับท่านนายกเทศมนตรีว่า ถ้างานนี้วัดเดียวก็พอแล้ว เพราะปกติเขาต้องนิมนต์พระ ๕ วัดถึงจะได้พอ ท่านนายกฯ บอกว่า วัดเดียวก็ดีแล้วครับ เพราะว่าดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี
ที่อื่นเขาค่อนข้างจะมีอาการกระโดกกระเดก ของวัดท่าขนุนเองขนาดยังไม่ได้อย่างใจของอาตมา ก็ยังดูเรียบร้อยกว่าที่อื่น ถึงบอกว่าค่อย ๆ ฝึก ค่อย ๆ หัด ค่อย ๆ อบรมไป ของบางอย่างขึ้นอยู่กับบารมี สมัยอยู่ที่วัดท่าซุงก็ดี สมัยบวชที่วัดท่าซุงก็ดี ที่ชอบใจก็คือบรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤๅษีฯ มีความคล่องตัวจริง ๆ สมกับที่จะไปพระนิพพานกัน
ที่ว่ามีความคล่องตัวก็คือ แต่ละคนไปถึงวัดแล้วรู้จักหางานทำเอง พอถึงเวลาไปก็ไปช่วยเขาตรงนั้น ช่วยตรงนี้ ช่วยตรงโน้น จนกระทั่งเป็นหมู่เป็นคณะกันขึ้นมา พอเป็นหมู่คณะขึ้นมา เคยรับหน้าที่ตรงไหน ก็รับหน้าที่ตรงนั้นเป็นประจำ ท้ายสุดก็กลายเป็นงานของตัวเองไป วัดท่าขนุนปัจจุบันญาติโยมไปแล้วก็รู้จักหางานทำเอง อาตมารู้สึกว่าปลื้มใจหน่อย ไม่ถึงขนาดต้องชี้ ไม่ถึงขนาดต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช แล้วที่สำคัญคือไม่ต้องไปเสียเวลาแก้งานอีกด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้นัดเซ็นสัญญาหุ้มทองจังโกพระเจดีย์ ๘๔ พรรษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ของวัดท่าขนุน มูลค่า ๙.๘ ล้านบาท เซ็นสัญญาแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องโอนให้เขาก่อน ๒ ล้านบาท อาตมาเซ็นสัญญาทำแก้ผีหลอกเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้จ้างเขาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรก็ไม่เห็นต้องเซ็น แต่พอเป็นทางการขึ้นมาแล้วก็ต้องมี"
"ตอนนี้ที่รออยู่แน่ ๆ เลยก็คือพิพิธภัณฑ์เครื่องรางของขลัง ๑๐๐ ปีหลวงพ่อฤๅษี ๔๓.๒ ล้านบาท เมรุก็ยังไม่เรียบร้อย คาดว่าจะทะลุ ๒๐ ล้านบาทแน่นอน เพราะตอนนี้ ๑๘ ล้านกว่าบาทแล้ว แต่ส่วนงานหนักของเมรุก็คือ เทคอนกรีตทำลานจอดรถนั่นเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว หมดไปเกือบ ๆ ๑.๘ ล้านบาท ก็แปลว่าตอนนี้เมรุน่าจะถึง ๑๙ ล้านบาทแล้ว ก็เหลือแต่ลวดลายไทย เพราะว่าอาจารย์สมบัติท่านทำลายนาคสะดุ้งมาเล็กไปหน่อย คือทำมาประมาณ ๕ นิ้ว ไม่ได้ขนาด ต้องกว้างถึง ๘ นิ้ว คราวนี้พวกนาคสะดุ้ง ที่เป็นลายไทยชุดนั้นจึงเสียไปเฉย ๆ ต้องทำใหม่
แต่อาจารย์สมบัติท่านก็รับผิดชอบงานดี เพราะว่าความผิดพลาดอยู่ที่ตัวเองกะขนาดผิดเอง ก็เลยทำให้ฟรีโดยไม่ได้คิดเงินเพิ่ม เรื่องของลายไทยปัจจุบันนี้ราคาจะแพงมาก มีหลายคนถามว่าสร้างพระเจดีย์ทำไมไม่บอกกันบ้างเลย ? พระเจดีย์นั้นมีอยู่แล้ว ๒ องค์ ที่สร้างมาคือเมรุ แต่คนเห็นเป็นพระเจดีย์
รุ่นของเราถ้าทำได้ต้องทำไว้ก่อน ถ้าเห็นว่าฝีมือเขาสุดยอดจริง ๆ เดี๋ยวจะให้หุ้มหลังเล็กบนเขาด้วย ถ้าหากว่าหุ้มทองจังโก เจ้าประคุณเอ๋ย...คงมองเห็นตั้งแต่ ๒๐ กิโลเมตร เพราะว่าสีสันจะจับตามาก หุ้มทองแบบนี้อยู่ได้เป็น ๑๐ ปี รอ ๑๐ ปีถึงจะปิดทองอีกครั้ง แต่ทางด้านพม่านี่อาจจะเป็นเพราะว่าญาติโยมมีศรัทธากันมาก ๒ - ๓ ปีก็ปิดทองกันที เขาจะเอาอานิสงส์กัน ของเราอยู่ได้ ๑๐ ปีก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
แต่ว่าสล่าท่านบอกว่ายิ่งเก่าจะยิ่งสวย สีทองจะออกนวลตาไปเรื่อย ใหม่ ๆ สีจะสะท้อนแสบตามาก คราวนี้วัดท่าขนุนจะสร้าง ๘๔ พรรษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีพระไพรีพินาศ ฯลฯ อยู่ข้างใน แต่พระเจดีย์ไม่ค่อยได้ใช้งานเพราะว่ามีการรั่วซึม พยายามแก้ไขมา ๒ ครั้งก็ไม่สำเร็จ สล่าบอกว่าถ้าหุ้มทองนี่จบเลย เพราะว่าเชื่อมรอยต่อด้วยตะกั่ว ไม่มีทางรั่วอีก ต่อไปเวลาเวียนเทียนสีสันจะจับตามาก"
ถาม : ทองจังโกเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ลักษณะเหมือนกับทองสัมฤทธิ์ แต่มาแผ่เป็นแผ่นแล้วหุ้ม จะบอกว่าเป็นทองเหลืองก็ใช่ แต่ว่าเป็นทองเหลืองแบบเหนือ เขามีสูตรผสมของเขาเอง เป็นภูมิปัญญาของเขาอย่างหนึ่ง อาตมาบอกว่าไม่ต้องมีลายก็ได้ แต่คราวนี้สล่าเขาบอกว่าเอาลายดุนเสียหน่อย จะเอาลายอะไร ? ในเมื่อสร้างถวายสมเด็จพระสังฆราช ก็เลยดุนลายพระนามย่อก็แล้วกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางพระสายธรรมยุตมีกองทุนที่อาตมาเรียกว่า กองทุนเชียร์ตัวเอง ทางธรรมยุตเขามีระบบการจัดการที่ดีมาก เขามีการตั้งกองทุนแล้วก็ทำประวัติครูบาอาจารย์สายวัดป่า จะวัดเล็กวัดน้อยอย่างไรก็ต้องมีประวัติเป็นเล่ม ว่าท่านมีคุณความดีอย่างไรบ้าง พยายามที่จะขุดออกมาเพื่อแสดงออกให้คนอื่นเห็นและเกิดความศรัทธา อาตมาก็เลยเรียกว่ากองทุนเชียร์ตัวเอง
แต่มหานิกายของเราไม่มีตรงจุดนี้ จริง ๆ ควรจะทำมาก แต่คราวนี้ใครจะจ่าย ? สำคัญตรงที่ว่าใครจะจ่าย ของเขาร่วมกันตั้งเป็นกองทุนขึ้นมาแจกเป็นธรรมทาน ถือเป็นธรรมะบรรณาการ ห้ามจำหน่าย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาลงต้นแบบหลวงพ่อนากเอาไว้ในเว็บวัดท่าขนุน มีใครเห็นบ้างไหม ? เห็นกันแต่หลวงพ่อเงิน...ใช่ไหม ? อยู่หัวกระทู้บอกเล่าเก้าสิบ แอบ ๆ ไปลงไว้ ถ้าไม่ได้บอกบางคนก็ไม่ได้ไปดูกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นคนรักษามีดหมอดี ๆ แล้วชื่นใจ ไม่อย่างนั้นบางคน โอ้โฮ...เป็นสนิมชักไม่ออก ให้ขยันเช็ดเอาไว้หน่อย"
ถาม : ไอจนเป็นเลือด ดิฉันแทบจะกลุ้มใจตายเลย ?
ตอบ : ไปนอนให้แอร์หรือพัดลมเป่าใส่ตัวตรง ๆ ถึงได้เป็น ทำอย่างไรที่จะเลี่ยงได้บ้างไหม? อย่าให้พัดลมเป่าใส่ตัวตรง ๆ ขี้ร้อนมากหรือเปล่า ? ประเภทจ่อตัวเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่หาย
ถาม : ไอเป็นเลือดค่ะ ต้องไปส่องกล้อง ?
ตอบ : เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่อย่าให้โดนลมเย็น ๆ จ่อใส่ เพราะถ้าโดนก็จะไอไม่หาย พอไอไม่หาย เรื่องเลือดเรื่องแผลก็แก้ไม่ได้ ถ้าหากว่าเปิดเครื่องปรับอากาศก็อย่าให้ลงตรง ๆ ที่เตียงนอนของเรา ถ้าหากว่าพัดลมก็อย่าไปเปิดจ่อใส่ตัว ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ปล่อยให้ป่วยเสียอยู่ได้ พออายุเริ่มมากแล้วไฟธาตุน้อย พอไปเจอลมเย็น ๆ จ่อใส่ก็เสร็จทุกราย เอาเถอะ...อย่างไรก็แก้โดยวิธีนี้ไปก่อนแล้วกัน
ถาม : ส่วนเจ้านี้เมื่อก่อนหมอบอกว่ามีปัญหาทางตามาก เป็นต้อหิน ?
ตอบ : พวกเดียวกัน อาตมาไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัตนิน ทางรัตนินบอกว่าไม่ต้องรักษาหรอกหลวงพ่อ เดี๋ยวก็บอดไปแล้ว แล้วมีหน้ามาบอกอีกว่า "ผมบอกตรง ๆ หลวงพ่ออย่าเครียดนะ" เพราะฉะนั้น...เราพวกเดียวกัน เป็นก็เป็นไป จะไปเดือดร้อนอะไร
ถาม : ต้ออะไรครับ ?
ตอบ : ต้อหิน...แก้ไม่ได้ ที่แก้ได้แต่ต้องเป็นต้อเนื้อ
ถาม : แล้วจะแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ลองไปหาท่านอาจารย์บ๊ะดู พระอาจารย์บ๊ะบอกว่าที่เป็น ๆ แล้วมาหาผม ไม่เห็นต้องผ่าสักราย เพียงแต่ว่าต้องไปบ่อย ๆ อาจจะน่ารำคาญหน่อย ไปถึงท่านก็จิ้มนั่นนิดจิ้มนี่หน่อย ท่านอยู่อินทร์บุรี อยู่เลยสิงห์บุรีไปนิดหนึ่ง แต่ยังเป็นจังหวัดสิงห์บุรี ไปโน่นท่านจิ้มให้ไม่กี่ที อาตมาเองก็อาศัยท่านอยู่ ตั้งแต่ท่านจิ้มให้นี่รู้สึกว่าตาใสขึ้นจริง ๆ เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีเวลาไปต่อเนื่อง ถ้าเป็นไปได้ก็ไปสักอาทิตย์ละครั้ง ประมาณ ๕ นาทีก็เสร็จแล้ว ท่านรักษาเหมือนอย่างกับไม่ได้รักษา จับหันซ้ายหันขวา จิ้มโน่นจิ้มนี่ไม่กี่ที ก็กลับได้แล้ว เดี๋ยวค่อยมาใหม่
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อรุ่งเป็นศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่อเดิม พูดง่าย ๆ ว่าท่านทำมีดหมอมาก่อน แล้วหลวงพ่อเดิมก็ไปศึกษาเพิ่ม คือสมัยก่อนใครสำเร็จวิชามา ก็จะมีคนไปเรียนต่อ หลวงพ่อเดิมไปเรียนกับหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้วมาด้วยกัน แต่ยังไม่ได้ทำมีดหมอ หลวงพ่อรุ่งท่านทำสำเร็จก่อน หลวงพ่อเดิมก็เลยไปทำใส่เกวียนเข็นให้หลวงพ่อรุ่งช่วยเสก เพราะฉะนั้น...มีดหมอของหลวงพ่อเดิมจะมีรุ่นที่ฝังเงิน ทอง นากไว้เหมือนกับหลวงพ่อรุ่ง แต่มีอยู่รุ่นเดียว พอมารุ่นหลังช่างทางพยุหะคีรีเขาทำให้ ถึงได้มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
คนนครสวรรค์เขามีภาษิตว่า "มีดหมอหลวงพ่อเดิมเอาไว้ขาย มีดหมอหลวงพ่อรุ่งเอาไว้ใช้" เพราะมีดของหลวงพ่อเดิมราคาแพงมาก เขาเอาไว้ขาย ของหลวงพ่อรุ่งเอาไว้ใช้ ของหลวงพ่อรุ่งระดับเงินหมื่นยังพอหาได้อยู่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกรรมฐานต้องทำต่อเนื่อง ถ้าทำไม่ต่อเนื่องก็จะเสียผล อย่างช่วงนี้พระที่ท่านบวชถวายในหลวง ๘๙ รูป อาตมานำกรรมฐานให้ ๔-๕ วันติดกัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพอไม่อยู่แล้วจะทำเองได้หรือเปล่า ? เพราะว่าที่นำให้จริง ๆ นั้นเป็นการทำของยากให้ง่าย ก็คือเอากรรมฐาน ๔๐ กองมายำรวมกัน คนไม่สังเกตก็ไม่รู้ ทำตามไปเรื่อยเปื่อย
ที่ไหนได้ทั้งอนุสสติ ๑๐ ทั้งอสุภกรรมฐาน ๑๐ ทั้งพรหมวิหาร ๔ จตุธาตุววัฏฐาน อาหารเรปฏิกูลสัญญา หรือกระทั่งอรูป ๔ ก็อยู่ในนั้นหมด อาตมายืนยันว่าในประเทศไทยปัจจุบันน่าจะเหลือวัดท่าขนุนอยู่ที่เดียว ที่สามารถยำกรรมฐาน ๔๐ กองเป็นกองเดียวได้"
"คนเขาสงสัยว่าอรูปฌานอยู่ตรงไหน ? อยู่ตรงที่คุณกำหนดภาพพระไว้ในอกหรือในท้อง ถ้าเป็นข้างนอกต้องอาศัยรูปเป็นที่ตั้ง ถ้าเป็นข้างในต้องอาศัยกำลังใจนึกอย่างเดียว จึงเป็นส่วนของอรูปฌาน พอถึงเวลาประกบรวมกับอสุภกรรมฐาน ร่างกายเราเปื่อยสลาย ไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่น้อย ก็เป็นอากิญจัญญายตนฌาน
พวกอรูปฌานจริง ๆ เป็นอารมณ์คล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณเลย แต่ว่าอาศัยกำลังของสมาธิมากกว่า"
ถาม : คำว่ารูปที่เราเห็นนี่คือสมมติที่เราจำได้ อย่างนี้แล้วรูปที่อยู่ในความนึกคิดกับที่ตาเห็น ก็เป็นเรื่องเดียวกันไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วรูปเป็นสิ่งที่ติดตาติดใจของเรา เพียงแต่ว่าเมื่อติดตาติดใจแล้ว ถ้ากำหนดไว้ข้างนอกก็เป็นรูปฌาน ถ้ากำหนดไว้ข้างในก็เป็นอรูปฌานแค่นั้นเอง แต่สำคัญตรงที่ว่าตั้งรูปขึ้นมาให้ได้ก่อน ถ้าหากว่าไม่สามารถทำคล่องตัวในลักษณะของรูปได้ ก็จะทำอรูปไม่ได้
ต้องบอกว่าคนที่ทำบุญมาด้วยกัน อย่างน้อยพื้นฐานก็ต้องมี อยากให้เขาได้ประโยชน์มากหน่อย อาตมาจึงยำใหญ่รวมกันไปเลย
ตอนแรกอาตมาก็ไม่คิดจะสอนใคร เริ่มจากตอนที่ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ ก็มีพวกพระครูน้อย พระครูหน่อย ท่าน ยอมตามไปตกระกำลำบากด้วย เพราะว่าวัดนั้นต้องขุดออกมาจากป่าจริง ๆ ตอนที่ไปนี่ต้องบอกว่าขยะท่วมวัด จำได้ว่าเฉพาะขนขยะทิ้งไป ๔๐ กว่าคันรถ วัดอยู่กลางเมืองปล่อยให้ขยะรกขนาดนั้น เพราะว่าเขาจัดตลาดนัดกันทุกอาทิตย์ แล้วไม่มีใครดูแลเรื่องความสะอาด ท่านเจ้าคณะจังหวัดทนดูไม่ได้ ต้องส่งอาตมาไปช่วยจัดการ
พอท่านยอมไปตกระกำลำบากกับเราด้วย ก็ไม่มีอะไรจะตอบแทน อาตมาเลยสอนกรรมฐานให้ ปรากฏว่ารุ่นนั้นได้หลักกันไปหมด
ถาม : ....เป็นฌาน หรือเป็นอรูปฌานครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นอะไร จับให้ได้ก็พอ การไปหาเรื่องเรียกชื่อมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือฟุ้งซ่านเพิ่มขึ้นไปอีก อย่างที่สองคือไปคิดว่าตัวเองเก่ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ส่งพระ แม่ชี กับเด็กวัดเรียนอยู่ ปกติเดือนหนึ่งประมาณ ๑ แสนเศษ ๆ ถ้าค่าเทอมออกก็ ๘ แสนเศษ ๆ เดือนนี้เป็นเดือนที่จ่ายค่าเทอม ปกติค่าเทอมเขาจะเก็บเดือนพฤศจิกายน เทอมลากยาวมาถึงธันวาคม มัวแต่ติดงานในหลวงกันอยู่"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้มีงานสวดพระคาถาเงินล้านที่นี่ น่าจะเป็นการจัดสวดที่กรุงเทพฯ ครั้งท้าย ๆ แล้ว เพราะว่าบ้านใหม่ไม่สะดวก บ้านใหม่หลังเล็กมาก ถามว่าเล็กแค่ไหน ? บ้านทั้งหลังใส่ลงในห้องนี้แล้ว ห้องนี้ยังมีพื้นที่เหลือ จึงไปจัดบ้านใหม่ไม่ได้ แต่ว่าถ้ารับสังฆทานแบบปกตินี่ยังพอรับไหว
ต่อไปที่นี่เจ้าของท่านจะนิมนต์พระสายวัดป่ามา ใครนิยมการปฏิบัติสายวัดป่าก็ลองถามดู ว่าวันเดือนปีไหนเขาจะมากัน แต่สายวัดป่านี่เข้มงวดมาก "ไปทำเอา ไปภาวนาเอา" ติดขัดแล้วค่อยมาถาม ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าวเหมือนอย่างกับพวกเรา พวกเรานี่ป้อนใส่ปากยังไม่ค่อยจะยอมกินกัน...!"
ถาม : การอัญเชิญพระธาตุมาติดบนพระเครื่องต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ให้ทำด้วยความเคารพ ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนขออัญเชิญท่านอย่างเป็นทางการได้ก็จะดีมาก
ถาม : เวลาอัญเชิญเอาอะไรติดครับ ?
ตอบ : ปกติใช้กาวตราช้างก็ได้ เอาไปหลอดหนึ่ง จิ้มลงไปเสร็จแล้วก็แตะองค์พระธาตุติดไว้ก็เท่านั้นเอง จะลำบากตรงการดูแลรักษา ต้องระวังจนตัวลีบ ประเภทพอเห็นแล้วนึกถึงว่า "ห้ามชั่ว" เอาไว้บังคับตัวเองก็ดี
ถาม : การบูชาพระราหูกะลาตาเดียวว่าคาถาอย่างไรครับ ?
ตอบ : คาถาสุริยประภา จันทรประภา ถ้าขี้เกียจมาก ว่านะโมพุทธายะก็พอ
ถาม : ให้ผลด้านเร่งลาภหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระราหูเป็นประเภทกลับร้ายกลายดี หนุนดวงค้ำดวง แต่จะขอลาภท่านก็พอได้ ตำราเขาบอกว่าราหูใจดีเหมือนคนขี้เมา คือบทจะให้ก็ให้หมดตัวเลย แหม...โบราณก็เปรียบเทียบไว้เสียเลย ราหูใจดีเหมือนคนขี้เมา อารมณ์ดีก็ให้หมดตัว
เวลาคุณแขวนมาก ๆ มีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือ ถ้าวันไหนลืมนี่..ใจหายวาบเลย เพราะว่าราคาแพง...!
ถาม : ผมเติมน้ำมันชาตรีใส่ขวดไปตั้งหลายรอบแล้วครับ จะยังมีอานุภาพเหมือนเดิมไหมครับ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร ก็หาของที่ใช่เติมลงไปก็จบแล้ว ให้เอาของเก่าเติมของใหม่ อย่าเอาของใหม่เติมของเก่า
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีข่าวเป็น ๒ กระแสว่า หลวงพ่อประยุทธ์ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปสุดท้ายของรัชกาลที่ ๙ อีกกระแสหนึ่งบอกว่าเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปแรกของรัชกาลที่ ๑๐ ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ ? แล้วปีนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ท่านสถาปนาด้วย พระราชทานตั้งด้วย พระราชทานเลื่อนด้วย เยอะมากเป็นพิเศษ ระดับเจ้าคุณนี่ ๑๕๐ กว่ารูป พระครูปาไปเกือบ ๒,๐๐๐ รูป พระองค์ท่านทำบุญทีเดียวทั้งประเทศเลย
ไปนึกถึงตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ให้เสด็จแทนพระองค์อยู่เรื่อย ไปพระราชทานพัดยศบ้าง ไปเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตบ้าง ไปทอดกฐินพระราชทาน ฯลฯ พระองค์ท่านก็ฝึกทรงงานมาเรื่อย ๆ อยู่หลายปี พอถึงเวลาก็ได้ที่พอดี"
ถาม : มีบทสวดมนต์ที่ไม่แน่ใจว่าจะอ่านว่าอย่างไรค่ะ ตัว ฑ.นางมณโฑ ค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเราจะอ่านตามบาลีจริง ๆ ฑ.นางมณโฑ จะออกเสียงเป็น ด.เด็ก
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ละเอียดมาก เป็นภาษาที่พรหมเทวดาใช้เป็นปกติ เป็นภาษาที่ถ้ามนุษย์เกิดมาแล้ว ถ้าไม่เคยได้ยินมนุษย์ด้วยกันเอ่ยวาจามาก่อนเลย จะพูดเองเป็นภาษาบาลี ก็คือสำเนียงต้นแบบ อย่างเด็ก ๆ เรียกแม่ว่า "อะมะ" ต่อให้ไม่สอนเลยก็จะพูดคำนี้ได้ เป็นภาษาของมนุษย์ต้นกัป เมื่อกำเนิดมนุษย์ขึ้นมาใหม่ ๆ ก็ใช้บาลีเป็นภาษาสื่อสาร
ตอนสวดมนต์ถวายในหลวงช่วงที่ทรงพระประชวร แต่ละวัดก็จะได้รับคำสั่งจากมหาเถรสมาคมให้จัดสวด วัดท่าขนุนจัดสวดทางราชการก็สบายใจ เพราะว่าพระสวดแม่น สวดเร็ว ก็เลยจบเร็ว ที่อื่นเขาสวดช้า ผิดพลาด สะดุดหยุดยั้งกันไปเรื่อย
ถาม : ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องงาน ?
ตอบ : เกี่ยวกับเรื่องงานใช่ไหม ? ไม่อยากจะแนะนำแต่ควรจะแนะนำ สำหรับคุณให้ไปไหว้พระพิฆเณศวร์สักหน่อย ขอท่านช่วยสงเคราะห์ วันก่อนเพิ่งเจอท่านมา ในเมื่อเจอท่านแล้วก็ฝากงานด้วยแล้วกัน
ปกติสำหรับพวกเราแล้ว พระพิฆเณศวร์ท่านเป็นเทพของชาวฮินดู แต่จริง ๆ แล้วในพระพุทธศาสนาก็มีเทวตานุสติ เพียงแต่ทางฮินดูเขาร้องขออย่างเดียว บนบานศาลกล่าวกันอย่างเดียว แต่ศาสนาพุทธของเรา พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีทำตนให้มีคุณสมบัติเหมือนพรหม เหมือนเทวดา พูดง่าย ๆ ก็คือเราเป็นพรหมเป็นเทวดาเองได้ ต่างกันที่ตรงนี้เอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของหลวงพ่อเจ้าคุณธัมมชโยนั้น การที่ไปจับท่านเรื่องเงินเรื่องทอง เป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น ส่วนที่เสียหายที่สุดก็คือ ที่ท่านสอนผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัย ถ้าตรงจุดนั้นเท่ากับทำลายพระพุทธศาสนาเลย เรื่องอื่น ๆ เป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น แต่ว่ากลับเป็นส่วนที่ผิดข้อกฎหมายอย่างชัดเจน ในเมื่อผิดข้อกฎหมายอย่างชัดเจน เขาก็เลยไปเล่นงานท่านกันตรงนั้น
ถ้าสามารถเล่นในเรื่องการสอนผิดจากพระธรรมวินัย ตามกฎหมายใหม่ที่เขาร่างกันอยู่ตรงนั้นได้ อีกไม่นานท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพงก็จะโดนไปด้วย งานนี้ถ้าท่านเจ้าคุณธัมมชโยโดนจับ อาจจะมีคนถวายสังฆทานหนัก ๆ ให้กับวัดอ้อน้อย เพราะเค้าเรื่องมาจากตรงนั้น
เมื่อเวลามียศมีอำนาจวาสนา ควรที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น แต่บางคนพอมียศมีอำนาจวาสนา กลับใช้ยศใช้อำนาจวาสนาในการข่มเหงรังแกผู้อื่น อาตมาเคยเห็นข้าราชการผู้ใหญ่บางท่านที่มีลักษณะนิสัย พอถึงเวลาเป็นใหญ่เป็นโตก็ข่มเหงรังแก รีดไถผู้อื่น ถึงเวลาเกษียณอายุแล้วก็อยู่กับหมาเท่านั้น ไม่มีคนไปแลเลย แต่บางท่านเวลาที่มียศมีอำนาจวาสนา ช่วยเหลือเขาเอาไว้ ถึงเวลาจะแม้จะเกษียณอายุไปเนิ่นนาน อายุ ๗๐-๘๐ ปีแล้ว จัดงานวันเกิดแต่ละที ข้าราชการมากันเต็มบ้าน
เรื่องเหล่านี้อยู่ที่การประพฤติตัวทั้งนั้น ต้องใช้คำว่า ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว มีบางท่านที่เคยเจอ ท่านเป็นคนดีมาก ขนาดดันลูกน้องให้เป็นใหญ่เหนือตัวเองก็ทำ ประเภทนั้นหายากมาก นอกจากไม่อิจฉาแล้วยังสนับสนุนอีกด้วย ยังโชคดีในชีวิตของอาตมาได้เจออยู่หลายคน เจ้านายแบบนั้นหายากมาก"
"ทางด้านพระเถระสายมอญ ตำแหน่งพระสุเมธมุนีนี่ผูกขาดเลย ไม่ไปเชื้อสายอื่นหรอก ไม่ว่าพระสุเมธมุนี พระราชสุเมธมุนี พระเทพสุเมธมุนี ฯลฯ สมัยก่อนที่สนิทสนมกับวัดท่าซุงก็หลวงพ่อวัดจันทน์กะพ้อ องค์นั้นท่านเป็นพระเทพสุเมธมุนี
จะว่าไปพระเถระสายมอญส่วนใหญ่แล้ว ต้องบอกว่าท่านเก่งจริงมาตั้งแต่อดีต แต่ละท่านเอ่ยชื่อมาอย่าง...หลวงปู่นาค วัดอรุณฯ หลวงพ่อเจ้าคุณสว่าง วัดเทียนถวาย หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ล้วนแต่สืบสายมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว นั่นต้นตำรับมอญเลย
พระมอญสมัยก่อนการปฏิบัติเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยมาก จนกระทั่งรัชกาลที่ ๔ ให้ความศรัทธาเลื่อมใส ก็เลยตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุตขึ้นมา โดยเลียนแบบการปฏิบัติของพระมอญสมัยนั้น
หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์นี่ลบผงทะลุกระดานยังไม่พอนะ ผงเดินไปลงถาดเองได้ด้วย ตอนหลังชื่อเสียงของพระเถระสายมอญทางบ้านเรา โดนหลวงพ่ออุตตมะท่านกลบหมด เพราะทางโน้นมอญแท้จากนอกเลย"
"ตอนนี้ที่ดังมาก ๆ เลย อยู่ทางด้านประเทศพม่า คือหลวงปู่โกวิทะ เขาว่าท่านอายุถึง ๙๐๐ ปีแล้ว แต่นั่นสุดยอดจริง ๆ ออกมาพบปะประชาชนปีละครั้งตอนวันเกิด ให้ทุกคนเอาไม้หอม ธูปหอม เทียนหอม ไปช่วยกันเผาท่าน ท่านอาบไฟแทนอาบน้ำ เขาก่อไฟลักษณะที่เรียกว่ากู่ คืออยู่ในลักษณะที่เหมือนกับถ้ำเล็ก ๆ ให้ท่านไปนั่งข้างใน แล้วก็สุมฟืนจนกระทั่งมิด แล้วจุดไฟเผา พอไฟเริ่มซาท่านก็เดินออกมา จีวรจะไหม้สักนิดยังไม่มีเลย
ไปทักทายญาติโยม โยมเป็นหมื่นเป็นแสน เดินไปทักทางนี้ ทางด้านโน้นก็ใจร้อน "หลวงปู่...ทางนี้บ้าง" ท่านก็ไปอยู่ตรงหน้า คนโน้นก็ "หลวงปู่...ทางนี้บ้าง" ท่านก็ไปอยู่ตรงหน้า ถ่ายวิดีโออยู่ยังจับไม่ได้เลยว่าท่านไปอย่างไร ถ้าเป็นบ้านเราท่านก็ฉายาโกวิโท ทางด้านโน้นเขาออกเสียงบาลี โกวิทะ เสียดายว่าอาตมาไปพม่าอยู่หลายปี แต่ไม่เคยได้ไปตรงกับวันเกิดของท่านเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนบางคนมีดวงในเรื่องบริวาร จริง ๆ ก็คือเคยเป็นใหญ่มาก่อนในอดีตชาติ พอมาถึงปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่แล้ว คนเคยอยู่ใต้ปกครองมาก่อนก็จะเกรงใจ แต่ขณะเดียวกันพอไปอยู่กับอีกคน คนเดียวกันกับที่เป็นลูกน้องเราที่พินอบพิเทา ดันไปอาละวาดใส่คนอื่น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดีใจว่าทางราชการยังคงวันที่ ๕ ธันวาคมเป็นวันพ่อแห่งชาติ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปคงไม่มีกษัตริย์รัชกาลไหนได้ทำรัชมังคลาภิเษกอีกแล้ว รัชมังคลาภิเษกจะจัดขึ้นก็ต่อเมื่อครองราชย์เทียบเท่าอดีตบูรพมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุด แล้วใครจะทำได้ อายุ ๗๐ ก็ยากแล้ว"
ถาม : การอ่านพระนามาภิไธยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ?
ตอบ : อาตมายืนยันว่าอ่านว่า บอ-ดิน-ทอน ถูก ถ้าอ่านว่า บอ-ดิน-ทะ-ระ ตามหลักการอ่านแล้วไม่ได้ อย่าง สม-เด็ด-พรฺะ-เทบ พะ-รัด-ราด-ชะ-สุ-ดา ไม่ใช่ รัด-ตะ-นะ เพราะว่าคำว่าเทพรัตนนั้นมีคำตาม เขาเอาการันต์ออก ในเมื่อเอาการันต์ออกก็ยังอ่าน เทบ-พะ-รัด เหมือนเดิม
ถาม : หนูเกิดอุบัติเหตุรถชน แล้วรู้สึกเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยดึงตัวไว้ เลยไม่บาดเจ็บมาก ขณะที่คนอื่น ๆ ขนาดกระดูกหักเลย แต่ตรงไหล่หนูมีรอยเหมือนมือคนเลยค่ะ เวลาท่านมาช่วยนี้จะมีรอยขนาดนี้เลยหรือคะ ?
ตอบ : จากที่มีประสบการณ์มา เวลาสัมผัสกันเหมือนกับเราจับกันเองเลย แต่เรามองไม่เห็นท่าน...ถ้าตั้งใจมองนะ แบบว่าจับมือเรารู้สึกชัด ๆ เลยว่าท่านจับ แต่ถ้าตั้งใจมองจะมองทะลุเห็นมือตัวเอง ส่วนของเขาจะเป็นแค่เงาจาง ๆ
ถาม : ช้ำเขียวเป็นรอยมือเลยค่ะ ?
ตอบ : ก็ลักษณะเนื้อเรานี่แหละ พอโดนแรงก็ช้ำ
ถาม : คนอื่นกระดูกหักไปหมด หนูไม่เป็นไร แต่ช้ำไปหมด ?
ตอบ : รอดมาได้ก็ดีแล้ว อย่าไปทำบ่อยแล้วกัน ขอยืนยันว่าเป่ายันต์ฯ แล้วไม่ตายโหงแน่
ถาม : วันต่อมาหนูนอนสะลึมสะลือ มีผู้หญิงมาเกาะหนู เขาพูดอะไรไม่รู้ หนูได้ยินแต่คำเดียวว่า "รอดตายไปแล้ว" ?
ตอบ : ขอบคุณที่บอก หนูรู้แล้วแหละว่ารอด แหม...มาบอกไวไปหน่อย
ถาม : หนูเอาผ้ายันต์เกราะเพชรไปติดหน้าบ้าน แล้วเห็นรัศมีเส้นสีแดงจากผ้ายันต์ล้อมทั่วรอบบ้าน หนูเดินเข้าไปในบ้านครึ่งชั่วโมงก็ยังเห็นอยู่ หนูเชื่อมั่นในยันต์เกราะเพชรมากเลยค่ะ ?
ตอบ : ใครมีประสบการณ์อันไหนก็เชื่อมั่นอันนั้นแหละ อย่างน้องสาวท่านแบงค์ก็เหมือนกัน เอาอะไรมาแลกพระปิดตาก็ไม่ยอม เขารอดมาได้เพราะห้อยพระปิดตา ถึงเวลารอดตายมาก็มานั่งหัวใจเต้นระทึกอยู่ ...(หัวเราะ)... ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมยันต์เกราะเพชรห้ามตายโหง อ๋อ...ท่านมีคาถาแคล้วคลาดอยู่ด้วย
เรื่องของยันต์เกราะเพชรเป็นบารมีพระพุทธเจ้าที่ท่านสงเคราะห์ ฉะนั้น...เรื่องของบารมีพระต้องใช้คำว่า "พุทโธ อัปปมาโณ" คือ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณไม่ได้ เรายิ่งเคารพ ศรัทธาเลื่อมใสมากเท่าไร ผลก็ยิ่งเกิดกับเรามากเท่านั้น
ในปัจจุบันมีหลายสายด้วยกันที่เขาเป่ายันต์เกราะเพชรกันแบบแปลก ๆ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะใช่ตำราหลวงปู่ปาน อย่างของวัดชนะสงครามจะมีอยู่ท่านหนึ่งอ้างว่า เรียนมาจากหลวงปู่ปาน แต่ของเขาเป่าได้ทุกวัน หรือแม้กระทั่งหลวงพี่ของอาตมาเองคือหลวงพี่แป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ สมัยก่อนตอนบวชใหม่ ๆ ก็คลุกคลีตีโมงอยู่ด้วยกันที่วัดท่าซุง แต่หลวงพี่แป๊ะจัดเป่ายันต์เกราะเพชรวันเสาร์และวันอาทิตย์ ส่วนของอาตมาตอนครอบครู หลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่าต้องเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำเท่านั้น แล้วถ้าไม่มีคำสั่ง ทำไปก็ไม่มีผล
เราต้องเข้าใจว่าหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านมรณภาพปี ๒๔๘๑ มาถึงปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลาไม่มากไม่มาย แค่ ๗๘ ปีเท่านั้น ถ้าหากว่าพระอาจารย์ท่านนั้นอายุ ๗๘ ยังไม่มีสิทธิ์เรียนกับหลวงปู่เลย ก็มีอยู่อย่างเดียวว่าต้องอายุน้อย ๆ ๙๘ ปี เพราะต้องอายุ ๒๐ ถึงจะได้บวช ขนาดหลวงพ่อฤๅษีท่าน ปีที่ผ่านมาอายุครบ ๑๐๐ ปี ในเมื่อครบ ๑๐๐ ปีแล้วท่านยังทันหลวงปู่ปานแค่พรรษากว่า ๆ มีโอกาสบวชกับหลวงปู่ปานแค่พรรษากว่า ๆ หลวงปู่ก็มรณภาพ แล้วคนอื่นที่อายุไม่ถึงร้อยปีบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่าท่านสืบสายกันมาอย่างไร ? หลายท่านบอกว่าเรียนมาจากหลวงปู่ปานเลย
ที่พูดนี่ไม่ได้บอกว่าหวงวิชา ไม่ได้หวงสายครูบาอาจารย์ แต่เขาทำอะไรผิดไปจากที่เคยศึกษามา ก็เลยพูดท้วงติงให้พวกเราได้ยั้งคิด โดยเฉพาะถึงขนาดไปเมื่อไรก็สามารถเป่ายันต์ให้ได้ สมัยก่อนมีอยู่ท่านหนึ่งที่บอกว่าเรียนจากหลวงปู่ปานไป ไปถึงยกขันครู ๒๙๙ บาทก็เป่ายันต์ให้ได้ก็มี
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้ที่ซื้อประคำมาให้อาตมาสวดพระคาถาเงินล้าน เขาบอกว่าประคำอำพัน ราคา ๓ หมื่นกว่าบาท ถามเขาว่าทำไมเนื้อดูห่วยแตก เขาบอกว่า พวกใส ๆ ราคาเป็นแสนเลยครับ"
ถาม : มีท่านมาบอกว่าให้หนูพกพระพิฆเณศวร์ แต่หนูรู้สึกว่าท่านเป็นเทวดาของทางฮินดู เรายึดพระพุทธเจ้าไว้ดีกว่าเลยไม่พก หนูคิดถูกไหมคะ ?
ตอบ : ก็คิดถูก แต่ว่าพระพิฆเณศวร์จริง ๆ ท่านเป็นเทวดา ถ้าเรายึดในลักษณะของเทวตานุสติ ก็เป็นการระลึกถึงความดีของเทวดาตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แต่พระพุทธเจ้าของเราสอนให้คนเป็นเทวดา สอนให้คนเป็นพรหม สอนให้คนเป็นพระวิสุทธิเทพ เพราะฉะนั้น...เทวตานุสติของพระพุทธเจ้านี่ทำได้ยันพระอรหันต์เลย
แต่ว่าเทวตานุสติของศาสนาอื่น ส่วนใหญ่ยึดเป็นที่พึ่งแล้วก็ร้องขอเฉย ๆ ฉะนั้น...ถ้าเรารู้ว่าคุณสมบัติการเป็นเทวดาอย่างน้อยต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีหิริ รู้จักละอายต่อความชั่ว มีโอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะสนองตนเอง แล้วไม่กล้าทำชั่วอีก เราปฏิบัติตามนั้นก็เท่ากับเรามีคุณสมบัติของความเป็นเทวดา พอเราปฏิบัติลักษณะนั้นเทวดาเขาก็เห็นเองว่ามีคุณสมบัติเหมือนกัน เป็นพวกเดียวกัน ถึงเวลามีอะไรท่านก็สงเคราะห์ให้ ไม่สงเคราะห์พวกเดียวกันแล้วจะสงเคราะห์ใคร...ใช่ไหม ?
ถาม : ที่ยุโรปเทวดาเยอะไหมคะ ?
ตอบ : เยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่เทวดาที่เรารู้จักจะเป็นคนนำไป ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะว่าไปแล้ว ในเรื่องของบุญกุศลเขาไม่ขาด เพราะว่าศาสนาคริสต์เขาทำบุญกันเป็นปกติ เพียงแต่ว่าถ้าจะเอาหรูหราฟู่ฟ่าเหมือนบ้านเราเลยก็ยากหน่อย
ไปสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตร นั่งกรรมฐานแล้วขอให้โมทนา แหม...มากันมืดฟ้ามัวดิน ถ้าไปที่โน่นต้องการความปลอดภัย ก่อนไปไหนให้สวดมนต์ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อนแล้วขอให้เขาช่วยดูแลให้ด้วย
ถาม : หนูไปเจอผีเยอะมาก ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าเราทำบุญไปจึงสว่าง คนที่ไม่มีบุญจะมืด แล้วเราลองนึกดูว่า ในที่มืด ๆ แล้วเราสว่างอยู่ที่เดียว เขาเห็นก็รี่ต้องเข้ามาหา จะไปไหนได้ ก็ต้องมาขอเราอยู่คนเดียว
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่ท่านหนึ่งบรรดาศักดิ์เป็นท่านขุน อายุ ๙๐ กว่าแล้ว อยู่มาถึงสมัยนี้ แกหมดสติแล้วลูกหลานก็พาไปโรงพยาบาล พอลืมตาขึ้นมาพยาบาลบอกว่าฉีดยาไม่ได้ เลยต้องปล่อยให้คุณลุงฟื้นเอง ถามว่าทำไม ? พยาบาลบอกว่าเข็มหักไป ๓ อันแล้ว แกก็บอกว่า "ฉีดได้ลูก อนุญาตแล้ว" คราวนี้แทงเข้า ก่อนหน้าที่จะอนุญาตแทงเข็มหักไป ๓ อัน แต่ว่าท่านขุนแกพกมีดหมอปากกาสามกษัตริย์ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ กับปลัดหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก ปลัดเขาควายเผือกหายากสุด ๆ"
ถาม : ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ว่าง ๆ ท่านก็นั่งอยู่พรหมชั้นที่ ๑๑ นั่งมองว่าจะช่วยคนอย่างไรดี ตอนแรกทูลถามว่าทำไมไม่อยู่ชั้นดุสิต ? พระองค์ท่านตรัสว่าเวลาเยอะเกินไป จะรีบลงมาเกิด จึงต้องไปอยู่พรหมชั้นที่ ๑๑
ถาม : อายุพรหมไม่นานกว่าชั้นเทวดาหรือครับ ?
ตอบ : พรหมชั้นที่ ๑๑ เทียบกับเวลาของเราแล้วก็แค่แวบเดียว ของดุสิตนานกว่านี้ ถ้าหากว่าข้อมูลไม่ตรงกับคนอื่นก็ได้โปรดทราบว่าอาตมามั่วเอาเองนะ อย่าไปว่าคนอื่นเขามั่ว แต่อย่าลืมที่พระองค์ท่านเตือนเอาไว้ด้วย พวกขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป พระองค์ท่านตรัสว่า นั่นเป็นอธิษฐานบารมีเลยนะ ถ้าไปเกิดตามกันแล้วลำบากลำบนแล้วห้ามบ่นพระองค์ท่านอย่างเด็ดขาด
ถาม : ตอนที่พระองค์สวรรคตเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ทันได้ดูอะไรหรอก มัวแต่สวดมนต์ถวายท่าน ทางอำเภอเขาจัดสวดมนต์ร่วมกัน แล้วอาตมาก็ดันไปเป็นประธานสงฆ์ในงาน แต่ก็บอกเขาล่วงหน้าไปแล้ว บอกว่า "ขอให้พวกเราได้ทำ ส่วนทำแล้วจะช่วยพระองค์ท่านได้หรือไม่ได้ก็ถือว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว" พระองค์ท่านก็ชราภาพมากแล้ว ถ้าเป็นคนทั่วไป ๘๐-๙๐ นี่ไข้ก็ตาย บ่ไข้ก็ตายแล
ถาม : หนูไม่อยากให้พระองค์ท่านลงมาเกิดเลย อยู่ข้างบนสบายกว่า ?
ตอบ : พระองค์ท่านต้องลงมาสร้างบารมีต่ออีกหน่อย บารมีเต็มแล้วคราวนี้ถึงจะไปดุสิตจริง ๆ แล้ว รอตรัสรู้ ...(หัวเราะ)... รออย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก รอนานเท่าไรก็รอได้ แต่ถ้าจะสร้างบารมีต้องรีบลงมาแล้วรีบทำ
ถาม : (โยมนำพระพุทธรูปที่แกะจากไม้มาให้ดู) ไม้อะไรครับ ?
ตอบ : ไม้สารคาม ดมเอาก็รู้แล้ว ไม้สารคามมักจะตกน้ำมัน องค์ที่อยู่ที่วัดตกน้ำมันนองเต็มพื้น แข็งเป็นเกล็ดเลย
ถาม : เมื่อวานมาสวดคาถาเงินล้านแล้วมีอาการสั่น คล้ายจะมีองค์ลง เทวดาลง ?
ตอบ : รู้ได้อย่างไรว่าเป็นเทวดา ? ปกติแล้วถ้าเราภาวนาจะมีช่วงที่กำลังใจเข้าถึงปีติ ก็จะสั่นบ้างเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากว่าเราทำต่อไป กำลังใจละเอียดขึ้นก็จะหายไปเอง แล้วสมาธิก็จะทรงตัวขึ้นไปเป็นฌาน ไม่ใช่ว่าสั่นเข้าหน่อยก็คิดว่าเป็นผีเข้า เทวดาเข้า
ถาม : หนูเห็นเป็นท้าวมหาพรหม ?
ตอบ : ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ต่อรองกับท่านสิ ว่าถ้าหากจะมาเข้ามาทรงก็ขอให้เรารวยก่อน จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องทำมาหากิน ด้วยอานุภาพของพรหมของเทวดา เรื่องทำให้เรารวยเป็นเรื่องเล็ก บอกท่านไปเลยว่าถ้าจะใช้งานอะไรก็ขอให้เรารวยก่อน แล้วจะใช้อย่างไรก็เชิญ
ถาม : ที่หลวงพ่อเล่าว่าพระขรรค์หลวงพ่อโสกสามารถแก้อาถรรพ์ของลูกอมหลวงพ่อดิ่งได้ พิสมรกับลูกอมพอกครั่งจะกันมีดหมอของหลวงพ่อเดิมได้ไหมครับ ?
ตอบ : เท่าที่มีประสบการณ์ผ่านมา ยังไม่เคยเจอวัตถุมงคลอะไรกันมีดหมอหลวงพ่อเดิมได้เลย
สมัยเด็ก ๆ เสือขาวกับผู้ใหญ่แสวงเขาดวลเดี่ยวกัน ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่แสวงแกดวงดีหรือเปล่า ? แทงกันคนละที เสือขาวตายคามีดเลย ปกติแล้วเสือขาวเหนียวจริง ๆ ก็เลยกล้าแลกกัน แต่ไปเจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเข้า ยุ่ยเป็นหยวกกล้วยเลย ส่วนเสือขาวแทงไปติดเข็มขัดของผู้ใหญ่แสวงพอดี คือสมัยก่อนจะเป็นเข็มขัดหนังที่มีกระเป๋าอยู่ ๔-๕ ช่อง เอาไว้ใส่ยาสูบบ้าง ใส่เงินบ้าง ใส่กระสุนปืนบ้าง คนเราดวงแคล้วคลาดจริง ๆ
พอมาถึงช่วงเรียนมัธยมพวกผู้ใหญ่บ้านก็เลิกแล้ว ไม่มีใครไปดวลกันแบบนั้นอีก เล่น เอ็ม. ๑๖ อย่างเดียวเลย กูไม่ไปดวลกับมึงเสียเวลา ป้อม สห.อยู่ห่างจากบ้านผู้ใหญ่ประเสริฐไม่เกิน ๒๐๐ เมตร โจรขึ้นบ้านแกกราดด้วย เอ็ม. ๑๖ ไม่เกรงใจทหารเลย อาตมาถามว่า "อาเสริฐ...ทำอย่างนั้นไม่กลัวทหารว่าเอาหรือ ?" "ปืนกูก็ซื้อมาจากมันนั่นแหละ" สรุปจบแค่นั้น ไม่ต้องเกรงใจหรอก ยิงให้เขารู้ว่ากระสุนจะหมดแล้ว เดี๋ยวเขาก็หามาขายเพิ่มให้
ถาม : ที่วัดท่าซุงหรือครับ ?
ตอบ : ตอนนั้นอาตมาอยู่ที่กำแพงแสน อยู่ใกล้ปากทางเข้าสนามบิน ป้อม สห.กับบ้านลุงแกห่างกันไม่ถึง ๒๐๐ เมตร ถ้าเป็นเราลักษณะอย่างนั้นก็ต้องเกรงใจ...ใช่ไหม ที่ไหนได้...แกเล่นกราดด้วย เอ็ม. ๑๖ สนั่นหวั่นไหวกลางดึก ไปถึงถามว่ามีอะไร "ขโมยขึ้นบ้าน" แล้วทหารอยู่แค่นี้ไม่เกรงใจเขาเลยหรือ ? "ปืนกูก็ซื้อมาจากมันนั่นแหละ"
ถาม : คนที่มีร่างเสือเดินตามนี่หมายความว่าอะไรคะ ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือเขามีวัตถุมงคลที่เป็นชิ้นส่วนของเสือติดตัวอยู่ อีกอย่างหนึ่งก็คือเทวดาประจำตัวของเขาแสดงออกให้เห็นแบบนั้น
ถาม : เทวดาทำไมร่างเป็นเสือ ?
ตอบ : ก็เทวดาประจำตัวเวลาท่านจะคุ้มครองเรา บางทีท่านก็มาเป็นรูปโน้นรูปนี้แล้วแต่ท่านจะแสดงออก สมัยอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีท่านก็ยังมาเป็นเสือดาวเลย ถ้าเจอคนนี่ไล่หมด
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นวัตถุมงคลก็คุ้มครองป้องกันตัวเอง ถ้าเป็นเทวดารักษาตัวส่วนใหญ่เขาก็คอยดูแลเรา เสือตัวที่ดูแลอาตมาที่เกาะพระฤๅษีเป็นเสือแต่ไปเกิดเป็นเทวดา ถามว่าไปเกิดได้อย่างไร ? เขาบอกว่ามีพระธุดงค์ไปปฏิบัติธรรม แล้วท่านชอบไปนั่งมอง เลยได้อนุสติแบบไม่รู้ตัว จริง ๆ ก็คืออยากรู้อยากเห็น เลยไปนั่งจ้องพระอยู่ทุกวัน พระท่านจะเดินจงกรม จะทำกิจกรรมอะไรก็ไปนั่งจ้อง เข้าท่าดีเหมือนกัน ตายขึ้นมาเลยกลายเป็นเทวดา ไม่ใช่แค่เป็นคนอย่างพวกเรา
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากการสวดพระคาถาเงินล้านช่วงเช้า หลายคนนับจำนวนผิด เห็นชัดเลยว่าพอยืนระยะยาว ๆ แล้วพวกเราจะไม่ไหวกัน สติสมาธิยังไม่เพียงพอเพราะเรายังไม่สามารถปรับระดับการใช้งานได้ ในเมื่อปรับการใช้งานไม่ได้ ถึงเวลาสมาธิลึกเกินไป ก็จะได้หน้าลืมหลังแล้ว พอสมาธิดำเนินอยู่ข้างใน ข้างนอกก็ลืม พอมาเน้นข้างนอก สมาธิก็คลาย ก็เลยทำให้เรานับจำนวนผิดกัน
แต่ถ้าหากสมาธิเราทรงตัวสม่ำเสมอ ความชัดเจนทั้งนอกทั้งในมีเสมอกัน เราก็สามารถที่จะรู้ได้ อย่างที่อาตมาเคยบอกว่า ทั้งหลับและตื่นต้องมีสติรู้เท่ากัน ไม่อย่างนั้นเราจะสู้กิเลสไม่ได้ ก็คือลักษณะอย่างที่ปรากฏแก่พวกเราในวันนี้ ก็แปลว่าเราต้องไปซักซ้อมเรื่องของการทรงสมาธิให้มีความคล่องตัวกว่านี้ และพยายามตั้งเวลาให้ได้
คำว่า "ตั้งเวลา" ให้ได้นั้น วิธีตรวจสอบได้ง่ายที่สุดก็คือ ถ้างานยังไม่จบ จิตจะไม่คลายจากสมาธิ ถ้าหากว่าคล่องตัวมาก งานจบเมื่อไรจิตจะคลายจากสมาธิทันที บางคนว่าถ้าอายุอย่างอาตมา เหนื่อยแบบเมื่อเช้าแล้วขึ้นไปพัก รับประกันเลยว่าพักจนเลยเวลาแน่นอน แต่นาฬิกาส่วนตัวของอาตมาตั้งไว้ว่าเที่ยงครึ่งแล้วลุก ในเมื่อตั้งไว้เที่ยงครึ่งลุก ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยนาฬิกาปลุก
อาตมาไม่ได้ใช้นาฬิกาปลุกมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าหากว่าเราสามารถกำหนดเวลาตื่นของตัวเองได้ ถึงเวลาก็จะตื่นเอง และเป็นที่อัศจรรย์ว่าจะตื่นก่อน ๕ นาที ให้ลุกขึ้นมาตั้งหลัก ทุกครั้งจะเป็นอย่างนั้น สมมติว่าตั้งไว้ให้ตี ๓ ตื่น ตี ๐๒.๕๕ น.ก็จะตื่นแล้ว"
"ครั้งที่ชัดเจนที่สุดก็คือไปเชียงใหม่มา ๕ วัน อาตมาเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดเพราะต้องนั่งเป็นเพื่อนคนขับ เนื่องจากว่าคนอื่นประเภทไว้วางใจคนขับมา นั่งได้ก็หลับเลย อาตมาเองถ่างตาไป ๓ วัน ๓ คืน วันที่ ๔ เรียกคนข้างหลังให้มานั่งแทน ตัวเองจะไปนั่งหลับข้างหลังบ้างเพราะว่าไปรถตู้
ปรากฏว่าเดินยังไม่ทันจะขึ้นเบาะหลังรถตู้เลย คนข้างหน้าหลับไปแล้ว เลยต้องไล่ให้ไปนั่งข้างหลัง บอกว่า "มึงไปเลย..เพราะคนขับกำลังจะหลับ" นั่งชวนคนขับคุยก็อยู่ได้ พอกลับมาถึงวัดท่าซุงปรากฏว่ารถเสีย ต้องซ่อม กว่าจะไปถึงวัดตี ๑ กว่า ตี ๒ ครึ่งต้องตื่นมาส่งโยมขึ้นรถที่ท่ารถอุทัยธานีกลับกรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำงานไม่ทัน
ก็ไม่ใช้นาฬิกาปลุกยังสามารถตื่นตามเวลาได้ ทั้ง ๆ ที่กรำงานมาหนักขนาดนั้น ทำให้มั่นใจว่าถ้ากำลังใจของเราทรงตัวจริง ๆ ถึงเวลาเราสามารถกำหนดเวลาได้แน่นอน ซึ่งสิ่งนี้ครูบาอาจารย์สายอื่นท่านไม่ได้พูดถึง แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพูดถึงและสอนพวกเรามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมาธิใช้งานที่ท่านเรียกว่า ฌานใช้งาน และการทรงสมาธิตามเวลา
สายอื่นอาตมาไม่เคยได้ยินท่านพูดถึง แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมาและอาตมาก็พยายามฝึกหัดและทำให้ได้อย่างที่ท่านสอน ฉะนั้น...พวกเราก็ใช้ความพยายามเพิ่มอีกนิดหนึ่ง วันนี้ผิดแค่ ๓ จบถือว่าไม่มาก หรือว่าลูกประคำของเขามีน้อยกว่าอาตมา ๓ เม็ด ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบ้านเราพระสงฆ์จีนนิกายกับอนัมนิกายมีสิทธิพิเศษ ขึ้นตรงต่อสมเด็จพระสังฆราช ไม่ได้มีเจ้าคณะตามลำดับชั้น ของเราเองต้องไล่ขึ้นจากวัดไปตำบล ไปอำเภอ ไปจังหวัด ไปภาค ถึงจะเข้ามหาเถรสมาคม ถึงพระสังฆราช ส่วนอนัมนิกายถึงเวลาก็ยื่นตรงถึงสมเด็จพระสังฆราชได้เลย"
ถาม : บนไว้ที่หนึ่ง แต่ถ้าเราไม่สะดวกไป จะไปแก้บนอีกที่หนึ่งได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไปแก้ตามที่บนไว้ ไม่สะดวกอย่างไรก็หาทางไปให้ได้ เรื่องของการบนต้องตรงไปตรงมา ไม่สามารถบิดพลิ้วได้เลย ในเมื่อบนไว้ที่นั่นก็ไปแก้ที่นั่น จะกลายเป็นว่าถึงเวลาเราต้องการอะไร เรารับปากได้ทุกอย่าง แต่พอได้แล้วก็เริ่มบิด ๆ เบี้ยว ๆ ระวังจะซวยไม่รู้ตัว..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสวดพระคาถาเงินล้านครั้งต่อไปคงต้องสวดที่วัดแล้ว เพราะว่าบ้านหลังใหม่ไม่มีที่กว้างพอ เดี๋ยวเราไปสวดฉลองหลวงพ่อเงินกันดีกว่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ปานวัดบางนมโค สร้างพระหกกษัตริย์ เป็นรูปพระขี่สัตว์ ๖ ชนิด ขี่ครุฑ ขี่เม่น ขี่ไก่ ขี่ปลา ขี่หนุมาน และขี่นกกระจาบ
ลูกศิษย์ที่เอาพระหลวงปู่ปานไปใช้เขาใช้แยกกันว่า นกทำนา ถ้าหากว่าใช้พระขี่นก ให้มีอาชีพทำนา สามารถป้องกันพวกเพลี้ยแมลงสัตว์ต่าง ๆ ได้ เม่นเดินป่า สมัยก่อนหนทางป่ายังเยอะ ถ้าพกพระขี่เม่นไปจะปลอดภัย ปลาค้าขาย สมัยก่อนค้าขายทางน้ำทางเรือกันมาก ก็เลยเอาพระขี่ปลา ไก่หากิน นอกจากเรื่องของการทำนาหรือค้าขายทางน้ำแล้ว อาชีพสุจริตอื่น ๆ เหมาะที่จะใช้พระขี่ไก่
แต่พระขี่ไก่ท่านบอกว่ามีอานุภาพพิเศษอย่างหนึ่งคือเป็นเมตตามหานิยม เจ้าชู้วายร้ายเลยเพราะว่าไก่ตัวผู้ตัวหนึ่งมีตัวเมียทั้งฝูง แต่อาตมาว่าคงไม่ใช่ที่พระหรอก เป็นที่สันดานคนใช้มากกว่า..! ครุฑเป็นมหาอำนาจ เหมาะกับบุคคลที่เป็นเจ้าคนนายคน ลิงหรือหนุมานรับราชการ ไม่เคยมีงานไหนที่ทำไม่ได้ พระรามใช้หนุมานเมื่อไร งานไหนงานนั้นสำเร็จทุกอย่าง"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกเพชรจักรพรรดิใหม่ ๆ ปรากฏว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเขาหมั้นกันด้วยแหวนเพชรจักรพรรดิเป็นสิบ ๆ คู่เลย จริง ๆ นะ บอกว่าเพชรแท้ไม่เอา จะเอาเพชรจักรพรรดิ ถ้าเป็นรุ่นเราก็ดี วงหนึ่งราคาไม่เท่าไรก็หมั้นสาวได้"
พูดถึงเบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม "สมัยก่อนหลวงปู่ท่านอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะหาง่าย ถึงเวลาต้องเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอกับท่าน ถ้าหากว่าวันไหนท่านไม่มีปรอท ก็ต้องซื้อปรอทร้านขายยาไปให้ท่านด้วย แล้วท่านก็จะหาฤกษ์ดี ทำการเสกปรอทเข้าตัวเบี้ย อุดด้วยชันโรง ถ้ามีเวลาท่านก็หุ้มเอง ถ้าไม่มีเวลาท่านก็บอก "ไปหาสมุห์เจือ" หลวงปู่เจือท่านก็จัดการให้ ท่านก็ไปเคาะ ๆ ทุบ ๆ ตะกั่วหุ้มให้เสร็จสรรพเรียบร้อย บางทีหลวงปู่เพิ่มไม่ว่าง หลวงปู่เจือก็จารให้เลย สรุปว่าหลวงปู่เจือท่านเก่งตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว แทบจะแทนหลวงปู่เพิ่มได้แล้ว
อาตมาก็พกเบี้ยหลวงปู่เจือตัวเล็ก ๆ อยู่ ปีก่อนอยู่วัด นึกว่าเบี้ยแก้หลวงปู่เจือสั่นเตือน ปรากฏว่าไม่ใช่ เป็นแผ่นดินไหว ...(หัวเราะ)...
เบี้ยแก้หลวงปู่เจือเล่นยาก เพราะลูกศิษย์ที่ทำไร้จรรยาบรรณ เล่นทำให้หลวงปู่ด้วย ทำขายเองด้วย กลายเป็นว่าถ้าไม่ได้รับจากมือหลวงปู่มีสิทธิ์โดนแน่"
มีคนมาเบิกวัตถุมงคลหลายรายการ พระอาจารย์หยิบถูกทุกครั้งว่าอยู่ห่อไหน ซองไหน จึงกล่าวสอนลูกศิษย์ว่า "รอให้เอกฝึกสติให้มั่นคงมากกว่านี้ แล้วจะจำได้เองว่าของเป็นร้อย ๆ รายการอยู่ตรงไหนบ้าง
อาตมาบอกไม่ถูกว่าตัวเองมีการจัดระดับความจำอย่างไร เหมือนกับถึงเวลาเขาจะแยกแยะของเขาเองว่าอะไรควรจะจำอย่างไร พอจัดหมวดหมู่ได้เสร็จสรรพ ก็เหมือนกับคนนั่งอยู่บนที่สูงแล้วมองลงไป จะเห็นหมดทุกอย่าง เลยอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ยาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "ลาว" จริง ๆ หมายความว่า "ผู้เป็นใหญ่" อย่างทางภาคเหนือของเรามีปู่เจ้าลาวจก หรือ ลวะจังกราช ความหมายดี ๆ มาถึงสมัยนี้กลายเป็นดูถูกกันไปได้"
พูดถึงเรื่องน้ำท่วม "อาตมาพยายามเตือนแล้ว แต่ต้องบอกว่ากรรมยังหนัก นี่เลื่อนมาเดือนกว่า ต้องบอกว่าเป็นวาระกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ เตือนแล้วเขาก็เลยเลื่อนไปจนพวกเราตายใจว่าไม่ท่วมแน่ ล่อไปตูมเดียวท่วม ๑๑ จังหวัดพร้อมกัน แต่ขอบอกว่านี่ยังไม่ใช่ที่หนักที่สุด แค่น้ำจิ้มเท่านั้น อาหารหลักยังไม่มา คอยดูเอาก็แล้วกันว่าจะมาเมื่อไร ปีนี้ ปีหน้า หรือปีโน้น บอกมากก็ไม่ได้ บอกมากเดี๋ยวก็โดนเอง
ไปนึกถึงหลวงปู่จวน หลวงปู่วัน หลวงพ่อสิงห์ทอง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้อยู่ว่าไปเครื่องบินเที่ยวนี้แล้วเครื่องบินจะตกแล้วตาย แต่ท่านก็ไปกันแบบรื่นเริงบันเทิงใจมากเลย เพราะท่านเห็นอยู่แล้วว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เรามีโอกาสที่จะพ้นไปแล้ว ก็เดินเข้าหาความตายอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
แต่ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ ท่านที่อยู่มหาดไทยที่ไปพร้อมเอกสารลับของทางราชการ พอถึงเวลาเอกสารไปอยู่ในบาตรหลวงพ่อจวนอย่างไรก็ไม่รู้ เอกสารตัวเองใส่ไว้ในอกเสื้อ พอฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล รอดตายมาได้ก็ตกใจว่าเอกสารลับจะตกอยู่ในมือใครหรือเปล่า ปรากฏว่าไปเจอว่าอยู่ในบาตรหลวงพ่อจวน หลวงพ่อก็มรณภาพไปแล้ว ทำไมเอกสารถึงไปอยู่ในบาตรได้ ?"
"ช่วงนั้นเป็นการสูญเสียพระอริยเจ้าชุดใหญ่ ไปพร้อม ๆ กันเลย สร้างเวรสร้างกรรมมาด้วยกัน ปกติก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไฟโรงงานแต่กัปตันเขาเห็นเป็นไฟส่องทางสนามบิน เลยบังคับเครื่องลง เพราะกรรมบัง ทำให้เข้าใจผิดไปได้ขนาดนั้น ปทุมธานีกับดอนเมืองห่างกันตั้งเยอะ เห็นไฟโรงงานเป็นแถวยาว นึกว่าไฟรันเวย์ก็ลง โรงงานราบเป็นหน้ากลอง"
"เมื่อก่อนอาตมาสนิทกับหลวงพ่อวัน (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม) มาก ไปขอข้าวท่านกินประจำ คนอื่นเขาไปใส่บาตร ส่วนอาตมาไปขอข้าวท่านกิน แต่ช้อนของท่านใหญ่มาก ขนาดเท่ากับทัพพีเล็ก ๆ เลย เป็นช้อนทองเหลือง คู่หนึ่งตักใส่ทีเดียวล้นจานเลย"
ถาม : ทำใจอย่างไรเราจะรู้ว่าพระท่านนี้ออกจากนิโรธสมาบัติ อยากจะช่วยพ่อกับแม่ค่ะ ?
ตอบ : ทำใจของเราให้เท่ากับท่านแล้วจะรู้เอง อยากจะช่วยพ่อกับแม่ก็สอนท่านภาวนาคาถาเงินล้าน ถ้าทำจริงจังต่อเนื่องวันละ ๑๐๘ จบ สัก ๒ เดือนทุกอย่างจะดีขึ้นไปเอง
ถาม : หนูจะสร้างบุญให้เต็มได้ไหมคะ ?
ตอบ : เรื่องนี้อย่าถาม กำลังใจของเราสามารถทำให้เต็มได้ภายในชาติเดียว เพียงแต่ว่าเราจริงจังหรือเปล่า ? บุญใหญ่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พยายามทำไว้ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้มีบุญมากกว่าการทำบุญปกติร้อยเท่า เจริญสมาธิภาวนาได้มีบุญมากกว่าปกติหมื่นเท่า ถ้าใช้ปัญญาเห็นธรรมได้มีบุญมากกว่าล้านเท่า พอไหม ? ฉะนั้น...ไม่ต้องกังวล ทำให้ดี ทำให้ถูก เดี๋ยวก็ได้บุญมากเอง
ถาม : การที่เราอธิษฐานขอให้มากขึ้น คือการที่เราก้าวหน้ามากขึ้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สำหรับอาตมาแล้วถือว่าถอยหลัง เขามีแต่ยิ่งมายิ่งสั้น ยิ่งมายิ่งรวบรัดตัดสิ่งรุงรังออกไป เราดันไปเพิ่ม แล้วควรนับว่าก้าวหน้าหรือถอยหลัง ?
ถาม : คือเรายังไม่พร้อม แล้วยังไปอธิษฐานช่วยนี่ถือว่าถอยหลังหรือครับ ?
ตอบ : อะไรที่เกิดขึ้นมาเป็นภาระทั้งนั้น
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับบารมีของเราว่าบกพร่องตรงไหน ต้องรอเวลาที่เหมาะสมหรือต้องถามครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ทบทวนอยู่ทุกวันก็รู้เอง วันนี้เราได้ให้ทานหรือเปล่า ? วันนี้เรารักษาศีลบกพร่องไหม ? วันนี้เราแผ่เมตตาหรือเปล่า ? เห็นคนอื่นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย หรือยังโกรธเกลียดรักชอบชังอยู่ ? ไล่ไปทีละข้อ ก็รู้เองว่าบกพร่องตรงไหน
ถาม : พระพุทธเจ้าปางจักรพรรดิทรงเครื่อง เวลาที่เรานึกถึงในการเจริญภาวนา....?
ตอบ : อยู่ที่เราชอบ พระพุทธเจ้ามีองค์เดียว แต่คนชอบแบบต่าง ๆ กันก็เลยมีการสร้างขึ้นมาหลายปาง
ถาม : เคยได้ยินว่า ถ้าปางจักรพรรดิจะดีกว่า ความจริงก็คือไม่เกี่ยว ปางไหนก็ได้ ?
ตอบ : สำคัญอยู่ที่ว่านึกได้หรือเปล่า ? ไม่ใช่สำคัญตรงที่นึกถึงปางไหน
ถาม : ชาติหน้าหรือชาตินี้ก็ได้ ถ้าเราอยากมีคู่ที่เป็นแม่หรือเป็นแบบน้องสาว เราต้องทำบุญอย่างไรครับ ?
ตอบ : หาไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้เอง ที่ควรจะมีที่สุดคือสขีภริยา มีเมียเหมือนเพื่อน หัวหกก้นขวิดไปด้วยกัน ถ้ามีเมียเหมือนแม่ ก็คอยแต่จะเลี้ยงดูอุ้มชู รำคาญตายห่...! ถ้ามีเมียเหมือนน้อง ก็คอยอ้อนจะเอานั่นเอานี่ จริง ๆ อยู่ที่เราเอง นิสัยเราชอบแบบไหน ถ้าโจรีภริยา มีเมียเหมือนโจร ข้าวของอะไรในบ้านขนไปหมด
ถาม : ท่านที่อยู่เขาพระสุเมรุ หรืออยู่สวรรค์ชั้น ๑ - ๒ - ๓ การที่อยู่ชั้นต่างกัน... ?
ตอบ : ท่านที่สูงกว่าจะมีศักดิ์นุภาพมากกว่า สามารถลงมาหาท่านที่อยู่ต่ำกว่าได้ ท่านที่อยู่ต่ำกว่ามีศักดานุภาพน้อยกว่า ข้ามขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าไม่ได้
ถาม : ในเรื่องการทำสมาธิ เราอยู่กับปัจจุบัน เวลาที่เรามีความรู้หรือสัญญาเก่าจำอะไรได้ขึ้นมา แล้วเอามาใช้แก้ปัญหาในปัจจุบัน ไม่ได้แปลว่าไปยึดติดในสัญญาอดีตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าคนมีปัญญา คนมีปัญญาไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ ถ้าใช้งานได้ก็เอาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าพอใช้เสร็จ ก็ไม่ใช่ยึดติดตายตัวอยู่ตรงนั้น เพราะเหมาะสำหรับแต่ละงาน แต่ละครั้งไป
ถาม : หัวใจพระคาถาต่าง ๆ เราควรจะสวดพระคาถาแบบย่อ หรือควรแบบเต็ม ๆ ดีกว่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความเชื่อมั่นของเรา พระคาถาที่เป็นบทเต็มยาวมาก ยากแก่การสวด เขาก็เลยย่อเอาแต่หัวใจมา ถ้าทำด้วยความเคารพก็มีอานุภาพเหมือนกัน
ถาม : ผมมีคำถามเยอะเลยครับ ?
ตอบ : พยายามถามอะไรที่เป็นของตัวเองจะได้ประโยชน์มากกว่า เรื่องทั่ว ๆ ไปคว้ามามั่วไปหมดประโยชน์จะมีน้อยไป
ถาม : ตอนนี้สามารถกำหนดภาพพระ ขึ้นไปกราบพระได้ แต่เวลาที่ไปวิปัสสนา เจอกระทบอารมณ์ โดยเฉพาะพอใจและไม่พอใจ มาไวมากเลยค่ะ ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังไม่ได้ดั่งใจค่ะ ?
ตอบ : ปรับเปลี่ยนใหม่ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งเกาะข้างบนไว้ เอาความรู้สึกอีกส่วนหนึ่งใช้ควบคุมร่างกายทำหน้าที่ปกติ ถึงเวลาแล้วพอแบ่งความรู้สึกจะไม่ค่อยชิน แต่นานไป ๆ จะชินไปเอง พอสติเกาะอยู่ข้างบนครึ่งข้างล่างครึ่ง จะไม่หลุดออกไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ให้ไปซักซ้อมทำใหม่
ถาม : มีคนแก่ติดเรา สำหรับเราถือว่าเป็นรุ่นลูก แต่เขาไม่ค่อยระมัดระวังตัว มารู้ทีหลังว่าเขามีผู้หญิงหรือไม่เขาก็ไปติดใครที่อื่น และเราก็รู้สึกโกรธเขามากเลยค่ะ แต่เวลาเรากลับบ้าน เขาก็น่ารักมาก ?
ตอบ : ทำทุกอย่างตามปกติ
ถาม : พอเราไม่อยู่กับเขา เขาก็ไปมีคนอื่น ?
ตอบ : ก็ธรรมดา อยู่กับเขาให้เยอะหน่อยก็แล้วกัน
ถาม : เขารู้สึกว่าโยมเป็นแม่เขา ?
ตอบ : รับหน้าที่แม่หน่อย ช่วยดูแลให้ใกล้ชิดกว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็ลอดง่ามมือไป เป็นธรรมดา โดยเฉพาะคนแก่ ถ้าคนแก่ไม่มีกำลังใจที่เข้าถึงธรรมชนิดยึดหลักได้ก็มักจะขี้เหงา พอขี้เหงาใครเอาใจหน่อยก็จะติดคนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เราก็ให้เวลาท่านเยอะหน่อย จะได้ไม่ต้องไปติดคนอื่น
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ปล่อยเขา ถึงเวลามีโอกาสก็เตือนให้ทำบุญทำทานบ้าง ส่วนที่นอกจากนั้นก็ถือว่าตัวใครตัวมัน กรรมใครกรรมมัน อย่าไปแบกมาก แบกมากแล้วเครียด
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดท่าขนุนออกระเบียบวัดไว้ มีอยู่ข้อหนึ่งว่า ผู้ใดมาอ้างเป็นเพื่อนพ้องพี่น้องของพระภิกษุสามเณร แล้วมาทำผิดระเบียบ ให้ขับออกจากวัดและห้ามเข้าวัดตลอดชีวิต พวกนี้จะเจอบัญชีดำ ไม่อย่างนั้นก็อาศัยความคุ้นเคยมาบงการชี้นิ้วพระเณร ถ้าคนคุ้นเคย คนกันเอง โดนหนัก ๆ เข้า คนอื่นจะเกรงใจไปเอง โดยเฉพาะอาตมาไม่มีพี่น้องมาตั้งแต่เด็กแล้ว
สมัยถวายการรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม วันเกิดท่านก็ปล่อยเข้าหาหลวงพ่อเป็นชุด ชุดละ ๑๒ คน ให้เวลา ๓ นาที ปรากฏว่าคนนี้ก็จะเข้าก่อน คนนั้นก็จะเข้าก่อน นั่นก็นายพล นี่ก็คุณหญิง นั่นก็คุณนาย อ้างไปเถอะ อาตมาชี้ไปให้ดู "โน่นครับ...เห็นผู้หญิงแก่ ๆ ที่อยู่ตรงประตูนั่นไหม ? แม่ผมเอง...ยังไม่ได้เข้าเลย..!" เจอไม้นี้เข้าไปใคร ๆ ก็หัวหดหมด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็หัวเราะ "ใจเย็น ๆ โยม เขาตั้งกติกาไว้ก็ทำตามเขาไป"
ถาม : สวดมนต์บทไหนจะเป็นสมาธิ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ให้สติอยู่ตรงหน้าไม่ไปคิดเรื่องอื่น
ถาม : สวดแต่บทถวายพระบรมสารีริกธาตุ ?
ตอบ : บทไหนก็ได้ ทำให้สมาธิทรงตัว จะเป็นบทไหนก็ได้
ถาม : หนูกลับบ้านด้วยมอเตอร์ไซค์ อยู่ ๆ ก็ไม่มีแรงค่ะ แต่รถก็ไม่ได้ล้ม แล้วใจก็บอกว่า "นี่มีรถสิบล้อผ่านมา จะมาชน" ในขณะที่กำลังรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เห็นเป็นภาพเลยค่ะ ก็ถามตัวเองว่า "นี่กลัวไหม ? กลัวตายไหม ?" ใจก็ตอบ ตอบอยู่ในอกค่ะ แต่เหมือนเวลานานมากเลยทั้ง ๆ ที่กำลังจะโดนรถชน ใจทวนไปทุกอย่างว่าเรากลัวอะไร เราห่วงอะไร วนไปหาตัวที่อยากเกาะ ก็คือห่วงพระ ห่วงหลวงพ่อ ห่วงว่าถ้ามีคนมาชนหนูแล้ว จะมีคนมาเก็บวัตถุมงคลของหลวงพ่อไป หนูหวงค่ะ ก็เลยคิดว่าเป็นวัตถุ เขาได้ตรงนั้นไปก็ดี
พอหลุดจากตรงนั้นก็มาเป็นห่วงญาติค่ะ ก็คิดว่า "จะห่วงหาอะไรเขา เดี๋ยวเขาก็มีคนมาดูแล" พอหลุดจากตรงนั้นก็กลายเป็นพ่อแม่ หนูเห็นว่าใจวิ่งไปจับที่แม่โดยเฉพาะ "เราเป็นลูกอกตัญญู เราตายไปแล้ว ใครจะมาดูแลแม่" หนักค่ะ รู้สึกหนักมาก ๆ ค่ะ ถ้าจบตรงนี้ได้ก็ต้องเป็นหนึ่งในคนที่จะได้ไปกับหลวงพ่อ อย่างไรถ้าหนูชิงตายก่อนหลวงพ่อต้องช่วยหนูแน่นอน
ใจคิดตรงนั้นก็สว่าง...ไม่กลัวแล้วค่ะ แล้วสิบล้อก็ใกล้หนูมาก แต่เวลาที่จะมาก็พร้อมทุกอย่างค่ะ เหมือนข้างหน้าไม่ใช่ถนนแล้ว เป็นแก้ว ๆ มีพระใส ๆ หนูก็คิดว่า ถ้าหนูตาย หลวงพ่อต้องมาถีบหนูเข้าไปแน่นอน เป็นเวลาแค่นิดเดียว แต่เหมือนนานมากเลย รู้ว่าเราห่วงหาอาทรค่ะ แต่ดันไม่ตายค่ะ
ตอบ : นั่นคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดว่าความคิดของเราเร็วแค่ไหน ชั่วระยะเวลาไม่กี่วินาทีคิดได้เป็นร้อย ๆ เรื่อง และสำคัญที่สุดก็คือ ถ้าเผลอไปเกาะเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ คนอื่นฟังและจำไว้เป็นอุทาหรณ์ด้วย นั่นคือกำลังใจที่แท้จริงของเรา ถ้าตัดไม่ได้ ละไม่ได้ ตอนนั้นก็ไปตามที่ตัวเองเอาใจไปยึดไปเกาะ ถ้าตัดได้ ละได้ในตอนนั้นก็จะไปตามกำลังใจของตัวเอง
ลักษณะนั้นจริง ๆ แล้วพระหรือเทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ เพราะถ้าหากว่าไปต่อ...ตายแน่ เลยต้องดึงให้เรากำลังหมดก่อน เอาเป็นว่าถ้ารู้ว่ายังใช้ไม่ได้ก็ซ้อมไปต่อ
ถาม : เวลานั่งสมาธิตอนนี้ก็ไม่ได้เห็นอะไร แต่เห็นเข้ามาข้างในค่ะ รู้สึกว่าอีกส่วนแบ่งออกไปเดินเล่น พยายามเรียกให้กลับเข้ามาก็ ไม่เข้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : นึกถึงลมหายใจเข้าออก ถ้านึกถึงลมหายใจเข้าออก จิตทั้งหมดจะมารวมอยู่ที่เดียว ไม่อย่างนั้นก็จะออกไปเรื่อย
นั่นคืออาการที่อาตมาเคยบอกตอนสอนกรรมฐาน สอนวิธีแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่าง มีผลเสียก็คือ ถ้าเราทำจนคล่องแล้ว ใจหนึ่งภาวนา อีกใจหนึ่งก็ฟุ้งซ่านได้ ไม่ต้องเสียเวลาเรียกหรอก กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เดี๋ยวก็กลับมาเอง
ถาม : สิ่งที่เกิดขึ้น พอรู้เหมือนกับเป็นความรู้ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แล้วก็รู้ ๆ ๆ หนูก็ว่าดี อยากจะเก็บมาพิจารณาบ่อย ๆ แต่ก็ยกไม่ขึ้นค่ะ เหมือนกับหนักมาก หยิบอย่างไรก็หยิบไม่ได้ ?
ตอบ : นั่นแค่เห็น ยังไม่ใช่เป็นของเรา เหมือนกับเงาในน้ำ เอื้อมมือลงไปก็แตกกระจายหมด จับไม่ติด
ถาม : ใช่ค่ะ ?
ตอบ : ทำต่อไป เดี๋ยวกำลังเราถึงก็จับได้เอง
ถาม : เอาที่รู้ในปัจจุบันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ซ้อม ๆ ไปแบบนั้นก่อน
อย่าถามว่าทำไมพระอาจารย์ตอบได้หมด ตูเจอมาเยอะแล้ว..! กว่าจะผ่านมาแต่ละครั้งเลือดตาแทบกระเด็น โยมถามแค่ ๒ นาที เอาประสบการณ์ไปหมดแล้ว
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเดินทาง ถ้าเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เราเจออะไร คนอื่นก็เจอแบบนั้น เมื่อเราเจอมาจนเป็นปกติแล้ว คนอื่นถามเราย่อมบอกได้ว่าเจออะไรมาบ้าง ฉะนั้น...การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าต้องมีกัลยาณมิตร คือบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์หรือสหธรรมิก ที่จะช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้การปฏิบัติของเรา ให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้ แต่ว่าคุณสมบัติของกัลยาณมิตรนั้น...ยากมาก
กัลยาณมิตร ท่านบอกว่าประกอบไปด้วย
๑. ปิโย เป็นผู้น่ารัก น่าชิดใกล้ ไม่อย่างนั้นแล้วใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้ไปสอบถาม
๒. ครุ มีความหนักแน่น คือ กำลังใจหนักแน่น ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย
๓. ภาวนีโย เป็นผู้ชักชวนไปในทางที่เจริญ คือทำให้ กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้น
๔. วัตตา เป็นผู้รู้จักใช้คำพูด
๕. วจนักขโม เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำได้ ใครจะว่าอะไรจะช่าง จะงี่เง่าเต้าทึงขนาดไหนท่านก็รับได้หมด
๖. คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา เป็นผู้สามารถอธิบายหัวข้อธรรมที่ลึกซึ้งได้
ข้อสุดท้ายที่สำคัญ คือ ๗.โน จัฏฐาเน นิโยชะเย ไม่ชักนำไปในทางเสื่อมเสีย เช่น เขาปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ ก็พาไปเข้าสำนักทรง เป็นต้น
ดังนั้น...ครูบาอาจารย์จัดเป็นกัลยาณมิตรชั้นยอด แต่ไม่ใช่กัลยาณมิตรแบบวัดธรรมกาย แบบนั้นท่านชวนบริจาคอย่างเดียว ถ้าไม่บริจาคก็ตื๊อไม่เลิก
พระอาจารย์กล่าวว่า "วสี คือ ความชำนาญ เกิดจากการฝึกฝน วสีมีอะไร ? มีความชำนาญในการเข้าฌาน มีความชำนาญในการออกฌาน มีความชำนาญในการกำหนดไปตามลำดับฌาน มีความชำนาญในการเข้าออกสลับฌาน มีความชำนาญในการทรงฌานตามเวลา ทำกันได้ครบไหมนี่ ?
วุฎฐานวสี ชำนาญในการออก เข้าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องชำนาญในการออกด้วย อยู่ที่วัดท่าขนุนอาตมาก็พยายามฝึกพระฝึกโยม ฝึกเท่าไรก็ไม่ค่อยจะได้เรื่อง เพราะส่วนใหญ่จะติดแหง็ก ถ้าสังเกตจะเห็นว่าที่วัดท่าขนุนจะเจริญกรรมฐานก่อน แล้วก็ทำวัตรเลย ส่วนใหญ่คลายกำลังใจออกมาไม่ได้ หรือออกมาได้ก็กลับเข้าไปใหม่ นั่งแข็งทื่อ ปล่อยให้พระ ๒-๓ รูปนั่งสวดมนต์ไป ที่เหลือก็สบาย นั่งเงียบ คลายไม่ออก ฝึกแล้วฝึกอีกก็คลายไม่ออก
ยิ่งท่านอาจารย์เตชะยิ่งแล้วใหญ่ พวกกลับกุฏิกันหมดแล้ว ท่านยังนั่งทื่ออยู่คนเดียว ท่านอาจารย์เตชะชำนาญในการเข้า คือมีสมาปัชชนวสี แต่ขาดวุฎฐานวสี เนื่องจากมีคำว่า "ฐานะ" ตามหลัง พออ่านติดกันกลายเป็น "นวสี" คนที่อ่านไม่เข้าใจจะกลายเป็นป่าช้า ๙ ไปอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องความกลัวนี้ว่ากันไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราพิจารณาไม่ตลอดก็จะกลัวอยู่นั่นแหละ กลัวไม่เลิก อาตมาพิจารณาอยู่เป็นปี ๆ ว่าความกลัวมาจากไหน ตามดูอยู่เป็นปี ๆ ในที่สุดก็สรุปได้ว่ากลัวตาย กลัวตายแล้วเราไปคิดล่วงหน้าก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ถ้าหยุดคิดได้ก็จะเลิกกลัวไปเอง
ไปนั่งกรรมฐานในป่าช้า พอดึก ๆ หน่อย ๔-๕ ทุ่ม งูก็ออกหากิน เสียงเลื้อยมาตามใบไม้แกรก ๆ ฟังดูก็รู้ว่าตัวประมาณนิ้วชี้เท่านั้นแหละ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอก ก็นั่งภาวนาต่อไป แวบเดียวเท่านั้นเอง ใจบอกว่า "ถึงตัวเท่านิ้วชี้ แต่ถ้ามีพิษก็กัดเราตายเหมือนกันนะ" ความรู้สึกเริ่มหลอกตัวเอง รู้สึกว่างูตัวนั้นใหญ่ขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง แล้วก็คิดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ "จะใหญ่กว่าที่เราคิดอีกนิดหนึ่งกระมัง ?" จากที่ใหญ่เท่านิ้วชี้นิ้วโป้ง ตอนนี้ชักใหญ่เท่าถ่านไฟฉายแล้ว กลัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ท้ายสุดยังไม่ทันจะเห็นงูเลย รู้สึกว่าน่าจะโตสักเสาเรือน..! ท้ายสุดก็ให้รู้เรื่องกันไปเลยวะ เปิดกลดออกไปส่องไฟดู โธ่เอ๋ย...งูปล้องฉนวน ตัวขาว ๆ ดำ ๆ เป็นท่อน ๆ ตัวใหญ่กว่านิ้วก้อยนิดเดียว ยาวสักศอกกว่า ๆ เอง ก็เลยมาตามดูว่า ตกลงว่าเรากลัวอะไร สรุปได้ว่ากลัวตาย กลัวงู งูกัดเรา...ตาย
กลัวผี ผีมาบีบคอเรา...ตาย กลัวเสือ เสือกัดเรา...ตาย สรุปแล้วก็ลงตรงตายหมด แม้กระทั่งกลัวจิ้งจกตุ๊กแกก็ลงตรงตายหมด น่าขยะแขยง...เดี๋ยวขาดใจตาย กูจะบ้า...หลอกกันได้ขนาดนั้น ตามดูอยู่เป็นปี ๆ กว่าที่จะหายกลัวได้"
"แต่ตอนที่หายกลัวนี้ไม่ค่อยดี ทำอะไรไม่ค่อยมีใครช่วย เพราะคนอื่นเขายังกลัวกันอยู่ เมื่อไม่นานมานี้หลวงพ่อเมียะ เจ้าอาวาสวัดสะพานลาว (พระครูกาญจนพิสุทธิคุณ) มรณภาพ เพื่อนพระไม่กล้าทำอะไร อาตมาไปโกนหนวดโกนเครา เปลี่ยนผ้าให้เสร็จสรรพ เอาใส่โลง คนอื่นเขากล้าทำที่ไหน กลัวผีจะตาย
สมัยศพหลวงปู่สายก็เหมือนกัน อาตมาไปเปลี่ยนผ้าถวายท่าน ใส่โลงแก้วให้ท่าน ตอนนั้นท่านสมเด็จยังเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ ปีแรกก็ไม่เจอหน้า ปีสองก็ไม่เจอหน้า ปีสามทนไม่ไหวถามแม่ชีชื่นว่า "ตกลงว่ามีเจ้าอาวาสอยู่หรือเปล่านี่ ?" แม่ชีชื่นบอก "อย่าไปถาม...เขากลัว" ขนาดหลวงปู่มรณภาพแล้วไม่เน่า รู้ ๆ อยู่ว่าความดีของท่านขนาดไหน ดันไปกลัวซะอีก"
"สมัยที่อยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน พอท่านมรณภาพ อาตมาก็เปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน แล้วก็นอนอยู่หน้าเตียง กลางคืนนอน ๆ อยู่สะดุ้งตื่น เขามาเปิดไฟ พอไฟสว่างอาตมาก็สะดุ้งตื่น เปิดทำไมวะ ? ก็ลุกมาปิดไฟนอนต่อ กำลังหลับเขามาเปิดอีกแล้ว สรุปว่าเขากลัวผี เขาก็เลยเปิดไฟ เห็นกุฏิหลวงปู่มืด คนนอนอยู่ในกุฏิแท้ ๆ ไม่กลัว คนอยู่นอกกุฏิเสือกกลัว ไม่รู้จะว่าอย่างไรกับเขาดี คนจะกลัวเสียอย่าง
ถ้าหากว่าใครยังกลัวอยู่ ให้พยายามพิจารณาดูว่าตกลงว่าเรากลัวอะไรแน่ ? ถ้ารู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมถึงกลัว แล้วกลัวอะไร ต่อไปก็จะไม่กลัว สาเหตุที่แท้จริงคือเราไปนึกคิดปรุงแต่ง ถ้าหยุดความคิดได้ก็ไม่กลัว สาเหตุของความกลัวที่แท้จริงก็คือกลัวตาย ถ้าเลิกกลัวตายได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
หลวงปู่คูณ วัดป่าภูทอง ท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าน้องชายท่านบวช พระเราเวลาบวชต้องรักษาผ้าครอง เวลาจะไปไหนก็ต้องติดผ้าไปครบไตร มีสบง จีวร สังฆาฏิ เวลาค่ำน้องชายของท่านก็แต่งมาครบชุด ที่ไหนได้...มาขออาศัยนอนด้วย เพราะท่านกลัวผี ...(หัวเราะ)..."
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่าใจเรากลับกลอกมาก ตอนเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็อยากพ้นทุกข์ อยากจะไปพระนิพพาน พอหายเข้าหน่อยเดียวก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้น...ไม่ควรหาย ควรที่จะเป็นนาน ๆ ไม่เชื่อกลับไปสังเกตตัวเองได้เลย ป่วยขึ้นมาทุกข์ขึ้นมาอยากจะไปพระนิพพานเดี๋ยวนี้เลย ยังไม่ทันจะลุกจากเตียงคนป่วยเลย อาการดีขึ้นมาหน่อยเดียว ดันลืมพระนิพพานแล้ว สมควรตายจริง ๆ..!"
มีพระจากวัดดาวดึงส์มาหา พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดดาวดึงส์ที่ผมรู้จักก็มีหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ กับหลวงอามหาเวก หลวงอามหาเวกเป็นน้องชายของหลวงพ่อฤๅษีฯ ตอนแรกท่านก็บวชปฏิบัติตามหลวงพ่อฤๅษีฯ อยู่ แต่ด้วยความที่บารมีต่างกัน การปฏิบัติไม่ได้ก้าวหน้ารวดเร็วเหมือนกับหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็เลยขอไปเรียนบาลีและเรียนเทศน์ที่วัดดาวดึงส์
ตอนนั้นหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่สอนการเทศน์ สุดยอดปฏิภาณเลย ลูกศิษย์ลูกหานักเทศน์เป็นร้อย ๆ แล้วท้ายสุดหลวงอาก็เลยอยู่วัดดาวดึงส์จนมรณภาพ"
ถาม : อยู่รับสังฆทานที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายหรือคะ ?
ตอบ : ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของบ้านวิริยบารมี เดี๋ยวปีใหม่ก็ไปบ้านเติมบุญที่บางรักใหญ่ ต้องวิ่งไล่ตามกันอีก
เมื่อเช้าอาตมาเพิ่งไปบวงสรวงเปิดบ้านใหม่ ยกศาลเจ้าที่ใหม่ ไปอยู่ใหม่ต้องทำใหม่ แบบเดียวกับการเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าอาวาสใหม่ต้องบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางกันใหม่ ทำความตกลงกันใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านก็สงเคราะห์แต่คนเก่า พอคนเก่าไปท่านไม่สงเคราะห์อีกเราก็แย่
ถาม : หลวงพ่อกวยปลุกเสกในลักษณะของคาถาอาคม ทราบว่าทางสายของเถรวาทไม่ให้ใช้วิชาของพวกนี้ ?
ตอบ : มาจากสายไหนก็เหมือนกัน ถ้าเราถือพระธรรมวินัยบริสุทธิ์ก็สงเคราะห์โยมได้ยาก เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน ท่านที่ต้องการสิ่งยึดเกาะเหมือนอย่างกับเด็กหัดเดิน ต้องอาศัยสิ่งยึดเกาะก่อนยังมีอยู่มาก โบราณาจารย์ท่านฉลาด จึงสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ขึ้นมาให้เขาได้ยึดได้เกาะ เป็นการพาคนเข้าถึงธรรมอีกด้านหนึ่ง
พูดง่าย ๆ คือเบื้องต้นเอาคนเข้าวัดให้ได้ก่อน หลังจากนั้นพอเขาปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ไปมาก ๆ เข้า ก็จะก้าวขึ้นสู่ภูมิจิตภูมิธรรมที่สูงขึ้น ตอนนั้นก็จะต้องการในส่วนของธรรมะไปเอง เป็นกลวิธีในการดึงคนเข้าวัด ถ้าเราไปถือตามแบบที่คุณว่า ป่านนี้พระพุทธศาสนาขาดช่วงไปแล้ว เพราะว่าคนที่รับธรรมะบริสุทธิ์โดยตรงได้มีแค่ไม่กี่คน
ถาม : เรื่องดวงชง แก้ชง มีผลจริงไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราเชื่อก็มีผล ถ้าหากกำลังใจเราเข้มแข็ง ก็ไม่มีผล
ถาม : เมื่อครู่ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ได้ผลไหมคะ ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ ทำบุญถวายสังฆทานอะไร อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไป เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่รู้ไม่กังวลก็ไม่มีผลต่อเรา แต่ส่วนใหญ่เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ ถ้าใจเราคิดว่าดีทุกอย่างก็ดีหมด คราวนี้พอใจเราไปคิดว่าไม่ดี ๆ กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็ไม่ดีไปอีก เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้เอาแค่พอสมควร อะไรที่ไม่เกินวิสัยทำได้ก็ทำไป อะไรที่เกินวิสัย ก็ให้ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
โยมนั่งลงถวายสังฆทานแล้วลุกไม่ขึ้น "ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนักยิ่งหนอ ภาระหาโร จะ ปุคคะโล ก็หนักด้วยกันทั้งนั้นแหละ พวกเราโชคดีที่ได้เห็น พอเห็นชัดก็ไม่อยากได้ พอไม่อยากได้ก็จะไปพระนิพพานง่ายกว่า ส่วนใหญ่ถ้าอยากได้ใคร่ดี ก็ละไม่ได้ แกะไม่ออกหรอก ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแหละ"
ถาม : เวลาเจริญกรรมฐานจะมีพวกเล่นคุณไสยมาลอง ?
ตอบ : มีมากเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าพระรูปไหนประกาศเข้ากรรมฐาน ๗ วัน ๑๕ วัน หรือว่าเข้านิโรธกรรมจะโดนเป็นประจำ
ถาม : ทำไมเขาถึงทำครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาสามารถเล่นงานพระได้ถือว่าเก่งกว่า เขาอยากลอง ยุคหลัง ๆ อย่างครูบาเหนือชัย ครูบาวิฑูรย์ เขาก็เอาพระอาจารย์เล็กไปเป็นตัวประกัน อย่างไรก็กันให้เขาได้แน่ เล่นจับอาตมาเป็นตัวประกันเลย
ถาม : ถ้าเจริญเมตตากรรมฐานจะป้องกันได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าเราแผ่เมตตาได้ถึงที่สุด สิ่งที่เขาคิดร้ายก็จะสลายไปเอง เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก คิดง่าย ๆ ว่าถ้าเรายังไม่ดีพอก็ยังโดน ถ้าดีพอก็ไม่โดนหรอก
ถาม : บางท่านบอกว่าเทวดามีมิจฉาทิฐิมาลอง ?
ตอบ : พวกเทวดาถ้าจะว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ท่านก็เป็นมิจฉาทิฐิเกือบทั้งหมด ถ้าตราบใดยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็ยังถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ เพียงแต่ว่าหลายท่านมาในลักษณะต้องการที่จะสอนเรา อย่างเช่นว่าเวลาฉุกเฉินเราเกาะความดีได้ไหม ? ถ้าถึงเวลามีเหตุมีอะไรขึ้นมาเราเกาะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ไหม ? จริง ๆ แล้วท่านมีคุณกับเราเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าถ้าท่านไม่ลองเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติไปถึงระดับไหน แล้วดันไปว่าท่านเป็นมิจฉาทิฐิเสียอีก
ถาม : ถ้าเจริญเมตตาแล้ว เวลามีเรื่องเราไปแจ้งความนี่ ถือว่ายังเป็นสักกายทิฐิ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าให้อภัยเขาได้ทุกอย่างก็จบ ถ้ายังให้อภัยไม่ได้ก็แจ้งความเสียหน่อย
ถาม : พระท่านแผ่เมตตาแล้ว แต่ยังเห็นว่ามีพวกมิจฉาทิฐิมาเยอะ หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แสดงว่าพระท่านยังไม่เมตตาจริง ถ้าพระท่านเมตตาจริงโลกนี้จะไม่มีศัตรู ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์อยู่ภพในภูมิไหนก็ตาม ก็เห็นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหมด นอกจากไม่เป็นศัตรูกับใครแล้ว ก็ยังไม่ตำหนิใคร เพราะฉะนั้น...จึงไม่มีใครเป็นมิจฉาทิฐิหรือไม่เป็นมิจฉาทิฐิ สำหรับในความรู้สึกของท่านก็คือ เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด ยิ่งเป็นมิจฉาทิฐิยิ่งน่าสงสาร ยิ่งต้องสงเคราะห์เขาให้มาก
ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่า อยู่ในลักษณะของมารดลใจ เขาดลใจให้เราคิดว่า ในเมื่อเราทำสิ่งนี้แล้วถึงเกิดขึ้น เพื่อให้เราเลิกทำความดี
ถาม : ไม่แน่ใจว่าจะเจริญเมตตาดีไหม ?
ตอบ : ก็แปลว่าเขาทำงานได้ผล ส่วนเราก็แพ้ไปตามระเบียบ ให้สังเกตว่าเราตั้งใจที่จะละกิเลสตัวไหน ตัวนั้นจะมาลอง นั่นคือลีลาของเขาเลย เขาจะมาว่าเอ็งแน่แค่ไหน จะละตัวไหนเขาก็ลองด้วยตัวนั้นแหละ
ถาม : ถ้าเป็นพวกกสิณเขาจะมาลองอย่างไร ?
ตอบ : เดี๋ยวก็รู้เอง ถ้าหากเป็นวรรณะกสิณตั้งใจตัดความโกรธ เขาก็มาแหย่ให้โกรธ เพราะอำนาจของวรรณะกสิณข่มความโกรธได้
ถาม : ถ้าเป็นกสิณธาตุ ?
ตอบ : ถ้ากสิณธาตุ ตั้งใจจะเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ของร่างกาย เขาก็แหย่ให้ป่วยบ้างอะไรบ้าง ส่วนเราก็คิดว่าที่แท้เพราะว่าเรามาปฏิบัติอย่างนี้เราถึงเป็น เราก็จะเลิกปฏิบัติธรรม เขากวนจะตายไป พยายามที่จะดลจิตดลใจให้เราคิดผิด พูดผิด ทำผิดอยู่เสมอ
ถาม : มีวิธีการหลบเขาไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี นอกจากเห็นว่าเขาไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุด ก็คือทดสอบเราอยู่ทุกวินาทีที่เผลอ เราก็ไหว้เขาเป็นครูไปเลย หมดเรื่องหมดราว ถึงเวลาก็ อาจาริโย เม ภันเต โหหิ...!
กำลังใจของเรา ถ้ายังไม่ถึงก็จะมีศัตรู มีคู่แค้น มีมาร แต่ถ้ากำลังใจถึงแล้วไม่มี...มีแต่ครู ถ้าหากว่าไม่มีเขาเราก็ไม่รู้ว่ากำลังใจของเราอยู่ในระดับไหน ถ้าไม่มีการทดสอบของเขา เราก้าวข้ามพ้นไม่ได้ เราก็ยังคงจ่อมจมอยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้น...จริง ๆ แล้วมารก็คือครู ไม่ใช่ศัตรูของเรา
พอก้าวพ้นไปแล้วจะรู้สึกว่าโลกนี้พลิกกลับ สิ่งที่ไม่ดีในความรู้สึกคนอื่น ก็กลายเป็นสิ่งที่ดีของเราทั้งหมด แม้กระทั่งความทุกข์ที่เราดิ้นรนอยากหนีนักหนา ท้ายที่สุดกลายเป็นสิ่งที่มีค่าประมาณไม่ได้ เราลองมานึกดูว่า คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งตั้งแต่เกิดยันตาย ใช้เงิน ๑ ล้านบาทพอไหม ? ตีเสียว่าล้านหนึ่ง แล้วเราเกิดกี่ชาติ ? พระพุทธเจ้าอย่างน้อย ๆ ก็ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เกิดจนนับชาติไม่ถ้วน เป็นเงินล้านที่นับไม่ได้
ต้องลงทุนขนาดนั้นถึงจะเห็นทุกข์ แล้วตอนนี้ทุกข์มาอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว ของมีค่าขนาดนี้ซื้อหาอย่างไรก็ไม่ได้ มาปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า แทนที่เราจะไปดิ้นรนหลีกหนี ก็มีแต่จะวิ่งใส่เท่านั้น เพราะฉะนั้น...การปฏิบัติธรรม ถ้าทำ ๆ ไปเขาถึงบอกว่าเพี้ยน ไม่เหมือนชาวบ้านเขา อะไรที่ไม่ดีเราจะเห็นว่าดีไปหมด
ถาม : ตอนที่ท่านขึ้นเครื่องที่ต่างประเทศ มื้อเพลฉันตามเวลาของไทย หรือเวลาของเขาครับ ?
ตอบ : ฉันตามเวลาของเขา แต่ช่วงที่กลับมาจากอังกฤษ ขึ้นเครื่องประมาณ ๑๑ โมงของเขา พอขึ้นเครื่องแล้วเลยเวลา จึงไม่ได้ฉัน ปรากฏว่ามาถึงฝั่งของเรา ๑๑ โมงเมืองไทย เขาค่อยมาประเคนอาหารให้ โอ้โฮ...ไส้แขวนเลย ไม่ใช่ ๒๔ ชั่วโมง แต่เกิน ๒๔ ชั่วโมง เพราะไม่ใช่ ๑๑ โมงของเขา แต่เป็น ๑๑ โมงของเรา เวลาที่ต่างกัน ๕ ชั่วโมงต้องบวกเข้าไป แล้วอาตมาก็ไม่รู้ว่า จริง ๆ เราสามารถเรียกร้องก่อนเวลาได้ ก็มัวแต่ไปรอมื้ออาหารอยู่นั่นแหละ มารู้เอาตอนลงจากเครื่องไม่มีประโยชน์แล้ว
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปีที่แล้วตอนเดินบิณฑบาตเช้ามืด ไปเหยียบตะขาบเข้า พอเหยียบปุ๊บตะขาบก็พลิกกอดใต้ตีน แล้วก็กัดตรงช่องลมพอดี คือกัดระหว่างง่ามนิ้วพอดี อาตมาสลัดกระเด็นไป แล้วก็เดินบิณฑบาตไปเรื่อย ปรากฏว่าเท้าบวมขึ้น ๆ แล้วกล้ามเนื้อไม่ทำงาน เพิ่งจะรู้ว่าพิษตะขาบเป็นพิษประเภททำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน เหยื่อจะได้ไม่หนีไปไหน เวลาเดินไปรู้สึกเหมือนกับลากก้อนหินไปก้อนหนึ่ง ไม่ใช่ขาเรา เพราะแข็งทื่อไปหมด
เดินกลับมาถึงหอฉัน ขาบวมเบ้อเร่อเลย แต่บวมอยู่แค่ฝ่าเท้า เพราะว่าขึ้นผ่านข้อเท้าไม่ได้ มียันต์เกราะเพชรกันอยู่ โอ้โฮ...ถ้าบวมขนาดนั้นแล้วขึ้นได้ ไข่ดันคงบวมไม่ต้องเดินเลย หลังจากนั้นมาประมาณอาทิตย์หนึ่ง หนังเท้าลอกเป็นแผ่น ๆ เหมือนอย่างกับโดนไฟลวก แสดงว่าพิษตะขาบร้อนมากเลย ทำเอาหนังเท้าลอกเป็นแผ่น ๆ เลย
ต้องบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรม ปกติสว่างแล้วพวกนี้ก็กลับรังกันหมด ตัวนี้ดันมาเดินเอ้อระเหยให้เหยียบ แล้วกัดตรงไหนไม่กัด ดันไปกัดเอาประตูลมพอดี เป็นช่องที่พิษจะวิ่งเข้าร่างกายได้เร็วที่สุด"
"ก่อนหน้านั้นไหม้ดำไปทั้งขา แล้วก็หนังลอกออกเป็นแผ่น ๆ ลองไปเจอตัวที่ยาววากว่า ๆ กัดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? ก็คงไหม้ไปทั้งตัว
บางทีเวลาเจอเหตุฉุกเฉินแบบนั้นก็เป็นห่วงพระอื่น ๆ ว่ากำลังใจท่านทำไม่ได้อย่างนี้ ถ้าเป็นเองก็คงโอดโอยแล้วให้คนหามไปโรงพยาบาลให้ยุ่งไปหมด แต่อาตมาเดินบิณฑบาตไปจนจบ เห็นชัดเลยว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เพราะว่าบังคับไม่ได้ เหมือนกับลากก้อนหินไปด้วยก้อนหนึ่ง กล้ามเนื้อตายหมด ไม่ทำงาน กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตไปเลย
แต่ตะขาบกับงูนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ ถ้างูเจอตะขาบจะหนีสุดชีวิตเลย เพราะถ้างูโดนตะขาบกัดจะตายทุกตัว เข้าป่าเข้าดงถ้ากลัวงูก็พกตะขาบไป เอาใส่กระบอกใส่ขวดอะไรไว้ก็ได้ สมัยนี้ขวดน้ำพลาสติกขวดเล็ก ๆ หน่อยเจาะรูให้ตะขาบหายใจได้ ถึงเวลานอนก็วางไว้ใกล้ ๆ ตัวเอง งูมาได้กลิ่นตะขาบก็เปิดแน่บ แล้วหาอะไรให้ตะขาบกินบ้างนะ แต่ตะขาบกินสัตว์เล็ก เราหาให้กินก็คงจะสร้างเวรสร้างกรรมมากขึ้น"
ถาม : ในพม่าที่เขาฝึกทำปรอทอยู่ที่ไหนครับ ? (สนทนากับพระ)
ตอบ : ที่ผมไป คือ พะอาง คนไทยเรียกผาอ่าง ส่วนใหญ่เป็นฤๅษีที่อยู่ในป่า ลองไปถาม ๆ เขาดู แต่เครื่องมือหุงปรอทซื้อในตลาดพะอางได้ เขาทำกันเป็นอาชีพเลย ผมก็ไปเรียนอยู่เป็นปีเหมือนกัน มีโอกาสไปศึกษาไว้ก็ดี เป็นวิชาความรู้ติดตัวเรา แต่ให้ระวังไว้นิดหนึ่ง ปรอทถ้าทำขั้นแรกสำเร็จจะเป็นมหาเสน่ห์ ที่ไปกับผม ๕ รูป สาวเอาไปกินหมดแล้ว
ถาม : มีคนสำเร็จปรอทเยอะไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ทางฝั่งไทยและฝั่งพม่าเขาก็ยังร่ำเรียนกันเป็นปกติ แต่ทางด้านพม่าที่เขาทำสำเร็จเลยมีอยู่หลายรูป คำว่าสำเร็จคือทำเป็นทอง ทำเป็นแก้วได้ อย่างหลวงปู่นารทะคนไปหาวันหนึ่งเป็นพันเป็นหมื่น ท่านแจกทองคำให้คนละ ๒ เม็ดถั่วเขียว เอาไปขายกินได้เลย ผมไปถึงท่านกอบให้เป็นกำ "ไม่ต้องหรอกครับหลวงปู่ ผมขอแค่ ๒ เม็ดเท่ากับคนอื่น" แค่เอามาดูเป็นหลักฐานว่ามีคนทำได้จริง ๆ
ถาม : เวลานานไปทองไม่เปลี่ยนรูปเป็นอย่างอื่นหรือครับ ?
ตอบ : เป็นแล้วเป็นเลย ที่แน่ ๆ ก็คือถ้าเอาไปทำพวกตะกั่วก็จะเป็นทองไปอีก ลองไปศึกษาดูก็ได้
อยู่ทางด้านโน้นเขาต้องการสำเร็จปรอท แล้วเหาะเหินเดินอากาศได้ ทำเป็นแก้วแล้วอมใส่ปากก็เหาะได้ พวกนี้พอสำเร็จแล้วเขาก็จะทำเป็นทองแผ่น จารึกชื่อนามสกุลตัวเอง วันเดือนปีที่สำเร็จ เอาไปติดถวายพระเจดีย์ มักจะเอาไปติดบนยอดที่ไม่มีใครปีนได้ เพราะว่าเหาะได้
ทางด้านพม่าพวกพระ พวกฤๅษีที่มีฤทธิ์มีอภิญญา ส่วนใหญ่เขาจะแสดงให้เห็น ๆ เลย มีหลายรายที่เป็นพระ แต่ติดด้วยศีลพระห้ามไว้ เขาก็เลยสึกเป็นตาฤๅษีแล้วก็เหาะกันเล่น เพราะถ้าเป็นพระทำไม่ได้
ถาม : เมืองไทยที่เหาะได้มีไหมครับ ?
ตอบ : ที่เมืองไทยเห็นมีท่านที่ทำได้หลายคน แต่ยังไม่ถึงขนาดทำเป็นแก้ว ที่ทองผาภูมิก็มีอยู่
ถาม : ทำไมคนเหล่านี้ไม่ฝึกวิชาอภิญญาไปเลย ?
ตอบ : นี่ก็คือการฝึกของเขา ทางพม่าก็จะมีสำเร็จยันต์ สำเร็จประคำ สำเร็จปรอท ถ้าสำเร็จยันต์ก็ประเภทนั่งเขียนยันต์ไปด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือทรงอารมณ์เขียนยันต์ไปด้วย จนกระทั่งสำเร็จขึ้นมาเอง หรือไม่ก็สำเร็จประคำ นั่งนับประคำขาดกันนับครั้งไม่ถ้วน อย่างหลวงพ่ออุตตมะเป็นตัวอย่างในการสำเร็จประคำ พวกสำเร็จปรอทก็ภาวนาหุงปรอทของท่านไป ก็คือการฝึกอภิญญาแบบของท่าน
ถาม : ทำไมท่านไม่ฝึกอภิญญาโดยเริ่มจากกสิณ ?
ตอบ : ท่านรู้แต่วิธีแบบนั้น ต้องบอกว่าสายใครสายมัน ฝ่ายนั้นเขาฝึกกันมาด้วยวิธีอย่างนั้น
ถาม : อภิญญาต้องฝึกสมาบัติ ๘ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น อภิญญานี้เน้นกสิณ ๑๐ ถ้าจะเอาสมาบัติ ๘ แค่ได้กสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อากาสกสิณก็ลุยได้แล้ว แต่ถ้าอยากได้อภิญญาต้องฝึกครบทั้ง ๑๐ กอง
จะว่าไปแล้วสมาบัติ ๘ เหมือนกับข้าวหุงไว้แล้วรอกิน ที่รอกินก็คือตราบใดที่กำลังของเรายังไม่ถึงระดับพระอนาคามี ก็ไม่มีทางได้ใช้ปฏิสัมภิทาญาณตรงนั้น เพราะว่าอานุภาพคลุมอภิญญา ๖ อีกทีหนึ่ง ก็เลยไม่สามารถที่จะใช้ส่งเดชได้ ต้องให้หมดกิเลสระดับพระอนาคามีขึ้นไปถึงจะใช้ได้ แต่ว่าอภิญญานี่อภิญญา ๕ ก็ใช้ได้ทั่วไป
ถาม : สมาบัติ ๘ แล้วทรงอภิญญา จะมีกำลังมากกว่าคนที่ได้อภิญญา ๕ หรือครับ ?
ตอบ : ความคล่องตัวจะมีมากกว่า สมัยก่อนเขาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าจบเดียวก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยอภิญญา ๖ สมาบัติ ๘
ถาม : การงานไม่สะดวกกว่าแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะวิบากกรรมเก่า เราจะแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : คาถาเงินล้านบทเดียวเลย คาถาเงินล้านมีบทคาถาปัดอุปสรรคอยู่ด้วย ให้ทำจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้นแหละ อาตมาเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด ทำงานใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีสะดุด ก็ไม่สะดุดกับใคร ไปได้เรื่อยเปื่อย เมื่อเช้าก็เพิ่งจะเซ็นสัญญาไป ๙.๘ ล้านบาท หุ้มทองจังโกพระเจดีย์วัดท่าขนุน ใครจะเป็นเจ้าภาพคนเดียวจ่าย ๙.๘ ล้านบาท ก็แสดงความจำนงได้เลย ยินดีรับ...!
ถาม : ภาวนาวันละกี่จบครับ ?
ตอบ : เคยภาวนาวันละ ๓๐๐ จบอยู่ ๓ ปี และวันหนึ่ง ๑,๒๐๐ จบอยู่ครึ่งปี และวันหนึ่ง ๓๖๐-๙๐๐ จบนั่นทดลองเป็นเดือน ๆ จะทดลองดูว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ภาวนาอย่างเดียววันหนึ่งจะได้กี่จบ เริ่มตั้งแต่ประมาณตี ๓ ไปจบเอาทุ่มหนึ่งได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ แต่ไม่ได้เร่งนะ ว่าไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ถ้าเร่งจะได้เยอะกว่านั้น แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การภาวนาเร่งให้จบ ๆ ไปคุณภาพจะน้อย
ตอนนี้สัญญาที่คาอยู่ ก็คือ สร้างเมรุจากที่ราคาประเมินไว้ ๑๕ ล้านบาท ก็ทะลุไป ๑๘ ล้านกว่าบาทแล้ว สัญญาสร้างมณฑปตั้งพระพุทธรูปยืน ๒ องค์ ก็ยังเหลือจ่ายเขาอีก ๔ งวด ก็เกือบ ๕ ล้านบาท สัญญาสร้างพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อวัดท่าซุงครบ ๑๐๐ ปี ๔๓ ล้านกับ ๒ แสนบาท และสัญญาทำฝ้าเพดานสาหร่ายรวงผึ้งสำหรับสมเด็จองค์ปฐมกับมณฑปตั้งพระทองคำ ก็ยังเหลืองวดสุดท้ายอีกล้านกว่าบาท ยังไม่ได้จ่ายเขา
และเพิ่งเซ็นเมื่อเช้านี้ ๙.๘ ล้านบาท โอนงวดแรกให้เขาไปเมื่อเช้า ๑.๙ ล้านบาท ถ้าวันไหนพระอาจารย์เล็กเป็นลมตาย พระทั้งวัดก็เป็นลมตายไปด้วย เพราะว่ารับสภาพหนี้ไม่ไหว
นี่ยังไม่ได้รวมที่ส่งพระเรียนอีกนะ พระ เณร แม่ชี เด็กวัด ใครต้องการเรียนปริญญาตรี โท เอก ไปได้เลย ส่งทุกคน ถึงได้บอกว่า ถ้าโยมอยากเรียนต่อ ไปโกนหัวบวช เรียนจบแล้วค่อยสึก ที่นั่นแม่ชีจบปริญญาเอกไปหนึ่งคนแล้วนะ จบสาขาพระพุทธศาสนา อีกหนึ่งคนยังเรียนอยู่ศรีลังกา เรียนสาขาบาลีพุทธศาสตร์
ส่วนเมืองไทยเรานี่ก็เรียนปริญญาเอกอยู่ก็มีพระครูหน่อย ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรีอีก ๗ ประกาศนียบัตรอีก ๗ เรียนกันครึกครื้น ขนาดเด็กวัดยังเรียนปริญญาโท น่าอิจฉามากใช่ไหม ? ที่เหลือมีแรงใจกันใหญ่เลย "หลวงพ่อหนูขอเรียนบ้าง หนูก็จะเรียนบ้าง" เอาเถอะ...มีปัญญาเรียนไปเลย เพราะเขาเห็นรุ่นพี่จากมูเซออยู่บนดอย อาตมาส่งถึงปริญญาโทได้ รุ่นน้อง ๆ ก็อยากเรียนกัน
เดี๋ยวนี้ที่วัดเป็นวัดนานาชาติ มีมูเซอ มีพม่า มีกะเหรี่ยง มีทวาย มีมอญ เพราะฉะนั้น..วัดท่าขนุนเข้าอาเซียนก่อนประเทศไทยเยอะเลย...!
ถาม : เขาคุยกันรู้เรื่องหรือครับ ?
ตอบ : เขาก็คุยกันจนรู้เรื่อง อย่างหม่องมิดกับยายแดง อาตมาถามยายแดง "ไปโดนอะไรมาหน้าเป็นแผล ?" ยายแดงทำท่าล้ม ฟังรู้เรื่องนะ...แต่พูดไม่ได้ ทำท่าล้มให้ดู ส่วนหม่องมิดประโยคที่พูดภาษาไทยชัดที่สุดก็คือ "ขอตังค์ ๒๐" จริง ๆ แล้วน่าตายมากเลยนะ หม่องมิดเป็นคนหลักลอย อาศัยอยู่กินกับวัด แต่ติดทั้งบุหรี่ ติดทั้งกาแฟ ติดทุกอย่างที่ขวางหน้า ถึงเวลาไม่มีสตางค์ก็รีบมาทำงาน ขอสตางค์ไปซื้อ
มีพวกนี้อยู่ก็ดีเหมือนกัน เราถือว่าหมาแมวเลี้ยงได้เต็มวัด ทำไมจะเลี้ยงคนไม่ได้ ให้เขาอยู่ไปเรื่อย บางคนก็บอกว่ายายแดงกับหม่องมิดไม่เห็นทำอะไร ก็ไม่ไปเห็นตอนเขาทำนี่ ต้องไปดูรอบ ๆ บ้านของหม่องมิด แกกวาดจนดินเป็นเงา ถึงเวลาก็นั่งยอง ๆ ไล่กวาดถนนไป ให้ใช้ไม้กวาดยาวก็ไม่เอา เอาสั้น ๆ ใช้มือจับนั่งยอง ๆ กวาดไล่ไปเรื่อย เขาก็ขยันของเขา
เสียอย่างเดียวมีข้าวให้กิน ๒ มื้อไม่พอ ต้องมีบุหรี่ มีกาแฟ คำว่า "มิด" ไม่ใช่ภาษาไทยนะ เป็นภาษาพม่า บางทีคำก็ซ้ำ ๆ กัน บางคำก็โดดข้ามภาษา อย่างคำว่า "โก" แปลว่า พี่ชาย เหมือนกับภาษาจีนเลย ก็เลยไม่รู้ว่าจีนเอาพม่ามา หรือพม่าเอาของจีนมาใช้
แต่ภาษาพม่านี่ใช้ภาษาอังกฤษปนอยู่เยอะมาก อย่างที่เขาเรียก "กะบา" ที่แปลว่าโลก ก็คือภาษาอังกฤษ Global นั่นแหละ รถเขาก็เรียก "การ์" ก็คือ Car เพียงแต่ออกเสียงตัว C เป็น ก.ไก่เท่านั้นเอง
โยมเอามีดหมอปากกามาให้ดู "มีดหมอของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ส่วนใหญ่มีดเก่าต้องดูที่เนื้อเหล็ก"
โยมเอาเบี้ยแก้มาให้ดู "ไม่ใช่ของหลวงพ่อนุ่มหรอก เบี้ยที่ทำจากสมัยนั้น ถึงตอนนี้จะหมดเงา แลซีด ๆ ถ้าใหม่อย่างนี้ไม่ใช่หรอก จะซีดแบบหมดเงา อันนี้เป็นจุดพิจารณาอย่างหนึ่ง อีกอย่างก็ต้องดูที่วัสดุที่ท่านอุด
เบี้ยของทางสายอ่างทองส่วนใหญ่จะเป็นเบี้ยเปลือย เบี้ยเปลือยจะดูง่าย อย่างของหลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้างจะปิดทองทุกตัว ต้องดูความเก่าใหม่ของทองและชันโรง ถ้าของหลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ ท่านจะใช้กระดาษฟอยล์ซองบุหรี่สีเงิน ๆ ปิดท้องเบี้ย ต้องดูความเก่า กรอบ ซีดของแผ่นฟอล์ย ถ้าของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านจะปิดแผ่นตะกรุดทับอยู่ข้างนอก ก็ดูที่ความเก่าของตะกรุดและความแห้งของชันโรง
ถ้าเป็นเบี้ยแก้ของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ตะกรุดจะอยู่ข้างใน หุ้มชันโรงทับอยู่ข้างนอก ต้องพลิกดูความแห้งของชันโรง แล้วเขย่าฟังเสียง เบี้ยของหลวงพ่อคำบางลูก ถ้ามือหนัก ๆ หน่อยจะปิดชันโรงทับแผ่นตะกรุดไปเลย จึงต้องเขย่าฟังเสียง ถ้าเสียง "แซ็ก ๆ" เหมือนมีเม็ดมีทรายอยู่ข้างใน ก็เป็นของหลวงพ่อคำ ถ้าเสียงขลุก ๆ หนัก ๆ ก็เป็นของหลวงพ่อนุ่ม
มีเบี้ยอยู่รุ่นหนึ่งที่ร้านขายยาในอ่างทองขายให้กับทางวัด รุ่นนี้ตัวใหญ่หน่อย จะเงาเหมือนของใหม่อยู่ตลอดเวลา ต้องไปดูที่ความแห้ง ความเก่าของชันโรงที่ปิดปากเบี้ยแทน"
ถาม : ถ้าจะภาวนาให้พระคาถาเงินล้านมีผล กำลังสมาธิต้องถึงระดับไหนครับ ?
ตอบ : แค่อุปจารสมาธิก็มีผลแล้ว ขอแค่ให้ทำจริงจังสม่ำเสมอ ถ้าหวังผลมากกว่านั้นก็สร้างสมาธิให้สูงขึ้นไปอีก
ถาม : จะเกิดเป็นนิมิตอะไรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเห็นเป็นนิมิตก็ชนิดที่เห็นเงินเป็นฟ่อน ๆ หรือเป็นมัด ๆ มาเลย หรือมาเป็นคันรถอย่างอาตมาก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องมีนิมิตหรอก ถ้าภาวนาได้สัก ๒ เดือนติดกันสม่ำเสมอ ผลก็จะเกิดเอง
ถาม : สำคัญคือต้องภาวนาให้เป็นฌานด้วย ?
ตอบ : คาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา ต้องการคนจริงจังสม่ำเสมอ ถ้าสมาธิยิ่งสูงเท่าไรคาถาก็มีผลมากเท่านั้น
ถาม : กำลังสมาธิสูงจะตัดการภาวนาไป ?
ตอบ : ปล่อยให้ตัดไป แต่ตอนต้นเราต้องภาวนาให้ได้ พอภาวนาไปถึงตอนที่คำภาวนาหายไป ลมหายใจเบาลง หรือว่าหายไป เราก็แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ แสดงว่าตอนนั้นกำลังสมาธิของเรากำลังทรงอยู่ในพระคาถาอยู่แล้ว
ถาม : ไม่ต้องไปใส่ใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจแล้ว ถ้าเรากำหนดดูกำหนดรู้เฉย ๆ ไม่ได้อยากจะให้เป็นอย่างนั้น และก็ไม่ได้ดิ้นรนจะให้หลุดจากสภาพอย่างนั้น สมาธิจะดิ่งลึกเข้าไปเอง
ถาม : ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านอยู่ ๆ เปลี่ยนเป็นพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ ?
ตอบ : เหมือน ๆ กัน แต่คาถาเงินล้านจะมีผลหลากหลายกว่า เพราะว่าคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ก็เป็นแกนกลางของคาถาเงินล้าน คาถาเงินล้านมีเปลือก มีกระพี้หุ้มอยู่เยอะแยะ เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ กัน มีทั้งคาถาปัดอุปสรรค มีทั้งคาถาเร่งลาภ มีทั้งคาถาพิทักษ์ทรัพย์ พูดง่าย ๆ ก็คือ ให้หมดอุปสรรค ได้เงินเร็ว แถมมาแล้วยังไม่หมดอีกต่างหาก
จริง ๆ แล้วพระคาถาเหล่านี้พระท่านให้หลวงพ่อวัดท่าซุงใช้เป็นส่วนตัว ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ สภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นแย่มาก ท่านย่าจึงขอกับพระท่านว่า ขอให้ลูกหลานหลวงพ่อได้ใช้คาถาบ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีกำลังในการสร้างวัด เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อท่านทำอาคารใหญ่ ๆ หลายหลังพร้อม ๆ กัน พอได้รับอนุญาตท่านก็เอามาให้ภาวนากัน
ส่วนใหญ่ที่ทำกันก็คือ ทำพอเป็นเชื้อสาย ภาวนากัน ๕ จบ ๙ จบ อะไรประมาณนั้น อาตมาเลยมาคิดว่าสมัยหลวงปู่ป่าน มีนายแจ่ม เปาเล้ง มีนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร ทำจนเกิดผลเป็นตัวอย่างได้ สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงทำไมไม่มีใครทำเป็นตัวอย่างบ้าง ท้ายสุดก็มาคิดว่า ในเมื่อคนอื่นไม่ทำ เราก็ทำเสียเอง ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาลุยอยู่ ๓ ปีกว่า หลังจากที่เกิดผลขึ้นมา ก็เกิดความมั่นใจ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำในลักษณะที่กำหนดว่าเป็นระยะเวลายาวนานเท่าไร หรือภาวนากี่จบ แต่ว่านึกได้เมื่อไรก็ทำ
ถาม : เคยภาวนาแล้วทำไมเกิดผลแบบอึดอัด ?
ตอบ : ไม่เป็นไร เราก็ใช้สตางค์แบบอึดอัดแล้วกัน "มาเยอะจนใช้ไม่หมด อึดอัดมากเลย" อะไรอย่างนี้
ถาม : ทำไมเกิดผลแบบนั้น ?
ตอบ : จริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน ของอาตมานี่ไม่เหลือให้อึดอัดหรอก ยังไม่ทันจะมาเลยจ่ายล่วงหน้าไปแล้ว
มีโยมติดต่อมา เขาบอกว่ามาหาตั้งแต่สมัยบ้านอนุสาวรีย์ แต่ไม่รู้จักบ้านวิริยบารมี (ติดต่อมาเดือนสุดท้าย) "ส่วนใหญ่พวกคนเก่าอาตมาจะเคยสอนกรรมฐานให้สมัยอยู่วัดท่าซุง พอเขาติดขัด ใครแก้ไขไม่ได้ เขาก็วิ่งมาหา
แบบเดียวกับลุงเชิญ บุญรังษี ปฏิบัติติดอยู่เป็น ๑๐ ปี ไปไหนต่อไม่ได้ คราวนี้ลุงเชิญเป็นเพื่อนกับหลวงลุงสุนทร หลวงลุงสุนทรไปเที่ยวบ้านก็ชวนอาตมาไปด้วย เห็นโยมเขาถามปัญหาการปฏิบัติ หลวงลุงได้ยินก็โยนมาทางด้านนี้ โน่น ๆ หลวงพี่ท่านตอบได้ บังเอิญไปตอบของเขาได้...แก้ตก แกก็ดีอกดีใจ นิมนต์ตลอดชีวิตเลย ต่อให้ตายแล้วก็จะให้ลูกหลานนิมนต์ต่อ อาตมาเลยไปให้เขาปีละครั้งที่จันทบุรี"
ถาม : หนูมีความรู้สึกว่ามานะกับโทสะ คือ อย่างเดียวกัน เพราะมีมานะจึงมีโทสะ โทสะเกิดก็เพราะมานะ เชื่อมกัน แยกกันไม่ได้ แต่พี่อีกคนก็แย้งว่าแยกกัน ?
ตอบ : สังโยชน์ทุกตัวโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด เพียงแต่ว่าความเด่นชัดของแต่ละอย่างทำให้เรียกแยกกันออกไป
ถาม : โยมเป็นมะเร็ง หมอบอกอยู่ได้อีกแค่ ๔ เดือนค่ะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ตั้งใจยึดคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ อาตมาเจอมาเยอะต่อเยอะแล้ว บางคนหมอบอกว่าอีก ๓ เดือนตายอีก ๖ เดือนตาย เห็นยังอยู่มาอีกตั้งหลายปี
ถาม : ขอให้โยมได้ยาที่เหมาะสมกับโรคด้วยค่ะ ?
ตอบ : ตั้งใจรักษาศีลของเราให้ครบถ้วนสมบูรณ์ นึกถึงพระไว้ทุกวัน มีอยู่รายหนึ่งเป็นมะเร็ง ไปอยู่วัด ตั้งใจว่าจะไปตายที่วัด สวดมนต์ไหว้พระนั่งกรรมฐานอยู่ ๔ เดือน หายเอาดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ ก็เลยตกลงว่าหมอนี่จะเชื่อได้ไหม ? อยู่ที่กำลังใจเรานะ ถ้าเราคิดว่าเราจะอยู่ก็อยู่ได้เองแหละ
ถาม : ก่อนจะมาทำบุญแฟนเขาหาเรื่องค่ะ ?
ตอบ : จำไว้เลยว่าเราตั้งใจจะทำความดีอะไรจะโดนขวางอย่างนี้เสมอ
ถาม : เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ เขาเรียกว่ามารดลใจ มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการขัดขวางการทำความดีของเรา คนที่เรารักมากที่สุดจะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด แต่จริง ๆ เขาไม่ทันรู้เรื่องอะไรหรอก โดนดลใจให้ทำอย่างนั้น ฉะนั้น...พวกเราทุกคนเป็นได้ทั้งมารและเป็นได้ทั้งพระ
ถาม : ทำงานเป็นนักจิตวิทยา ให้คำปรึกษาคนที่เจอปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตแล้วรู้สึกว่าโดนหนัก ?
ตอบ : เราไปฝืนกรรม เพราะฉะนั้น...ก่อนจะไปให้อาราธนาพระครอบตัวเราไปก่อน
ถาม : ควรแนะนำให้คำปรึกษาเขาอย่างไร ?
ตอบ : เอาหลักจิตวิทยาผสมกับพุทธศาสนา อธิบายไปให้ออกไปในแนวการปฏิบัติธรรมแทน
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถึงต้องอาศัยพระ อาราธนาพระคลุมตัวไปก่อนแล้วค่อยไปเล่นกับเขา
ถาม : จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็เบาลงแต่จะให้ไม่โดนเลยเป็นไปไม่ได้ เพราะไปยุ่งกับกรรมของเขา อิทธิฤทธิ์แพ้บุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์แพ้วิบากกรรม
พระอาจารย์สอนเรื่องการดูมีดหมอหลวงพ่อเดิมว่า "งาช้างเก่าไม่มีทางที่จะมีสีเหลืองสม่ำเสมอกันทั้งอันหรอก ถ้าเจอเหลืองเท่ากันหมดนี่แสดงว่าโดนทอดน้ำมันมา
ส่วนโลหะเก่าจริง ๆ จะเป็นสนิมขุม ส่วนที่เขาปลอมกันคือเอาโซดาไฟกัด จุ่มโซดาไฟแล้วเอามาทิ้งให้แห้ง สนิมจะขึ้นคลั่กเลย แต่ว่าไม่ใช่สนิมขุม เพราะไม่ได้กินเข้าไปในเนื้อเหล็ก สนิมจะเคลือบอยู่แต่ข้างหน้า ส่วนสนิมขุมจะเป็นตามดเล็ก ๆ ละเอียด ๆ ต่อไปดูเหล็กเก่าจะได้ดูเป็น เรื่องความเก่าของอายุโลหะยังทำหลอกกันไม่ได้
ส่วนพวกด้ามเขากวางนี่ขัดอย่างไรก็จะไม่ขึ้นเงามากหรอก ได้แค่ประมาณนั้นแหละ เขาขัดส่วนเปลือกที่เป็นผิวมะระออก ถ้าคนตาไม่ดีจะไปเห็นเป็นงาช้าง อย่างตะโพนของหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ เป็นเขากวางเกือบจะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ฉะนั้น...ตะโพนของหลวงพ่อภักตร์จะไม่มีลายงา แล้วเส้นเลือดของเขากวางจะเป็นจุดตายที่เราดูว่าแท้หรือเทียม คนไม่รู้คิดจะปลอม เล่นเอางาช้างกลึงมาเลยก็มี"
ถาม : นิมิตของเมตตาในพรหมวิหารเป็นประการใดครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราตั้งใจ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรัศมีสีขาวแผ่กว้างออกไปเหมือนอย่างกับเราโยนหินลงน้ำแล้วกระเพื่อมเป็นวงออกไป
ถาม : ขึ้นอยู่กับลำดับฌานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สมาธิยิ่งสูงเท่าไร รัศมีสีขาวก็ยิ่งใสสว่างเท่านั้น ปกติถ้าแผ่เมตตาเฉย ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจกำหนดภาพไปด้วยก็จะไม่มีนิมิตให้เห็น เราต้องตั้งใจกำหนดภาพไปด้วย
ถาม : อย่างกำหนดภาพพระพุทธรูป ?
ตอบ : อาจจะกำหนดภาพพระพุทธรูปมีแสงเปล่งออกไปเป็นวง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องของเมตตาไม่ได้มีนิมิตกำกับตามกองกรรมฐาน
ถาม : ถ้าแผ่เป็นแสงออกไป ?
ตอบ : อยู่ที่ความถนัดของแต่ละคน บางคนกำกับเป็นจุดก็อาจจะวิ่งเป็นเส้นตรงไปยังที่นั้น ถ้าหากว่าแผ่ไปไม่มีประมาณรัศมีก็จะออกไปรอบด้าน
ถาม : ถ้าได้ฌานสี่ก็ทำได้ ?
ตอบ : ถ้าหากตั้งใจจะทำอย่างนี้ต้องมีพื้นฐานกสิณกองอื่นมาก่อน
ถาม : พระอรหันต์สุกขวิปัสโกท่านจะทราบได้อย่างไรว่า "ดับ" จริง ๆ ครับ ?
ตอบ : กำลังใจที่เข้าถึงก็จะเห็นจริงในทุกเรื่อง บาลีใช้คำว่า ญาณ คือ เครื่องรู้ปรากฏขึ้น "ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง" ญาณคือเครื่องรู้บังเกิดขึ้นให้รู้ว่าชาติคือการเกิดสิ้นสุดลงแล้ว "พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ" กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อพรหมจรรย์ไม่มีอีกแล้ว ถ้าทำถึงรู้เองแหละ
ถาม : ไม่รู้ว่าจะให้ลูกไปทำงานที่ไหนจึงจะดีที่สุดคะ ?
ตอบ : อะไรที่เขาชอบก็ทำไปเถอะ ถึงไม่ชอบถ้าตั้งใจทำก็ออกมาดี ไม่ต้องไปเลือกงานหรอก ถ้าหากว่าเลือกงานก็ลำบากอีกนาน อาตมาไม่เคยเลือกงานจึงไม่เคยตกงาน
ถาม : ผมพยายามชวนแฟนมาที่นี่ เขาไม่ค่อยอยากจะมาทางนี้ จะทำอย่างไรเขาจะมาได้บ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลา ถ้าวาระยังไม่มาถึง ชวนให้ตายเขาก็ไม่มา การจะเป็นในครอบครัวเดียวกันพระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าต้องมีสมชีวิธรรม
สมชีวิธรรม ก็คือ สิ่งที่ต้องมีเสมอกัน คือ มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ไม่อย่างนั้นก็ขัดกันอยู่ตลอด
ถาม : ถ้าเป็นวิปัสสนาในอุปสมานุสติกรรมฐาน อารมณ์จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อันดับแรกให้ฝึกจับความสงบที่เกิดขึ้นจากการภาวนาก่อน แล้วก็สาวต่อไปว่าแค่การภาวนาซึ่งเป็นโลกียารมณ์ต่ำ ๆ ยังมีความสงบถึงเพียงนี้ ระดับของผู้ทรงฌานชั้นสูงขึ้นไปจะสงบขนาดไหน ? หลังจากนั้นก็ไล่ขึ้นไปถึงพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ว่าท่านจะสงบขนาดไหน ? ท้ายที่สุดแล้วพระพุทธเจ้าจะสงบสงัดเยือกเย็นขนาดไหน ? สรุปรวมตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน แล้วเราก็เอาจิตเกาะตรงนั้นไว้ ไล่ขึ้นไปโดยที่เริ่มจากความสงบตอนที่เราภาวนา
ถาม : สงบของฌานก็คือสงบจากนิวรณ์ สงบจากนิวรณ์คือ ?
ตอบ : สงบจากนิวรณ์คือสงบจากกิเลส เพียงแต่ว่าสงบเพราะโดนอำนาจของฌานกดอยู่ แต่ว่าลักษณะความสงบของวิปัสสนาญาณก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่สงบแล้วไม่กำเริบอีก เราสามารถสาวหาเหตุขึ้นไปได้
ถาม : ทำให้คนในครอบครัวเข้าวัด ?
ตอบ : ทำตัวเองให้มีผลเปลี่ยนแปลงในด้านดีให้ชัดเจน ถ้าท่านสนใจเดี๋ยวท่านก็มาเองแหละ แต่ถ้าเรายังเปลี่ยนแปลงตัวเองในด้านดีไม่ได้ท่านก็ยังไม่สนใจหรอก ต้องเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดให้ท่านเห็น
ถาม : หมายถึงว่า ทำให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงดีขึ้นในทางโลกหรือครับ ?
ตอบ : อะไรที่ทำให้ กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้น ก็อย่างนั้นแหละ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงนักปฏิบัตินี่ต้องโอดโอยไว้บ้างถึงจะรู้ตัวนะ พอสบายดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็ไม่อยากตายอีกแล้ว..!"
:4672615: เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี จบลงแค่นี้นะคะ โมทนากับผู้ถอดเทปทุกท่าน และผู้อ่านทุกท่าน
เจอกันในเก็บตกจากบ้านเติมบุญค่ะ:4672615:
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.