เถรี
29-11-2016, 20:29
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะจับการกระทบของลมฐานเดียว ๓ ฐาน ๗ ฐาน ก็ตามที่เราถนัด หรือใครมีความชำนาญจะกำหนดรู้ตลอดกองลมเลยก็ได้ ส่วนคำภาวนานั้น ให้ใช้คำภาวนาที่เรามีความถนัด มีชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้ทั้งนอกเวลาและในเวลาที่เปิดให้ถามคำถามได้ ปรากฏว่าญาติโยมส่วนใหญ่นั้น เอาแต่สงสัยโดยที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมต่าง ๆ ให้เกิดผลจริง ลักษณะแบบนี้จัดอยู่ในวิจิกิจฉาสังโยชน์ คือลังเลสงสัยว่าการปฏิบัตินี้จะมีผลจริงหรือไม่ ?
การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของคนจริง ต้องเอาจริงเอาจัง ต้องเด็ดขาด ต้องแลกกันด้วยชีวิต แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากลับทำอยู่ในลักษณะเหมือนกับแก้บน ทำพอเป็นพิธี ทำพอเป็นเชื้อสาย ไม่ได้ทุ่มเทชนิดแลกกันด้วยชีวิต โอกาสที่จะเกิดผลจึงมีน้อยมาก
ถ้าเราศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ในอดีต จะเห็นว่าแต่ละท่านล้วนแล้วแต่ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก โดยเฉพาะประวัติของครูบาอาจารย์สายวัดป่า แต่ละท่านเดินจงกรมภาวนากันข้ามวันข้ามคืน บางทีก็อดอาหารกันที ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วัน เพราะรู้สึกว่าฉันอาหารไปก็เสียเวลา สู้ภาวนาไม่ได้
บางท่านก็รู้สึกว่า รัก โลภ โกรธ หลง กินเรามากนัก ก็เพราะว่าร่างกายนี้ยังดี ยังแข็งแรงอยู่ จึงอดอาหารให้ปางตายไปเลย ดูว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังจะอยู่ได้หรือไม่ ปรากฏว่าพอถึงเวลาหมดกำลัง ร่างกายกำลังจะตายลงไป สภาพจิตก็นิ่ง ก็สงบ ห่างออกจาก รัก โลภ โกรธ หลง ไปเองโดยอัตโนมัติ การปฏิบัติท่านถึงได้ใช้คำว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” คือถ้าไม่แลกกันด้วยชีวิต ปฏิบัติกันอย่างชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง โอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมจริง ๆ ก็มีน้อยหรือไม่มีเลย
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้ทั้งนอกเวลาและในเวลาที่เปิดให้ถามคำถามได้ ปรากฏว่าญาติโยมส่วนใหญ่นั้น เอาแต่สงสัยโดยที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมต่าง ๆ ให้เกิดผลจริง ลักษณะแบบนี้จัดอยู่ในวิจิกิจฉาสังโยชน์ คือลังเลสงสัยว่าการปฏิบัตินี้จะมีผลจริงหรือไม่ ?
การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของคนจริง ต้องเอาจริงเอาจัง ต้องเด็ดขาด ต้องแลกกันด้วยชีวิต แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากลับทำอยู่ในลักษณะเหมือนกับแก้บน ทำพอเป็นพิธี ทำพอเป็นเชื้อสาย ไม่ได้ทุ่มเทชนิดแลกกันด้วยชีวิต โอกาสที่จะเกิดผลจึงมีน้อยมาก
ถ้าเราศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ในอดีต จะเห็นว่าแต่ละท่านล้วนแล้วแต่ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก โดยเฉพาะประวัติของครูบาอาจารย์สายวัดป่า แต่ละท่านเดินจงกรมภาวนากันข้ามวันข้ามคืน บางทีก็อดอาหารกันที ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วัน เพราะรู้สึกว่าฉันอาหารไปก็เสียเวลา สู้ภาวนาไม่ได้
บางท่านก็รู้สึกว่า รัก โลภ โกรธ หลง กินเรามากนัก ก็เพราะว่าร่างกายนี้ยังดี ยังแข็งแรงอยู่ จึงอดอาหารให้ปางตายไปเลย ดูว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังจะอยู่ได้หรือไม่ ปรากฏว่าพอถึงเวลาหมดกำลัง ร่างกายกำลังจะตายลงไป สภาพจิตก็นิ่ง ก็สงบ ห่างออกจาก รัก โลภ โกรธ หลง ไปเองโดยอัตโนมัติ การปฏิบัติท่านถึงได้ใช้คำว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” คือถ้าไม่แลกกันด้วยชีวิต ปฏิบัติกันอย่างชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง โอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมจริง ๆ ก็มีน้อยหรือไม่มีเลย