View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
ถาม : ผมอยากทราบว่ามีวัตถุมงคลชิ้นใดบ้าง ที่ช่วยส่งเสริมด้านการปฏิบัติธรรมให้สามารถทำหรือเข้าสมาธิได้ไว ?
ตอบ : อันดับแรก สมเด็จวัดระฆัง ไม่ได้พูดเล่นนะ เรื่องจริง...! อันดับที่สอง พระของหลวงปู่บุดดา ขอยืนยันทั้งสองรายการนี้ ถ้าพกติดตัวจะรู้สึกว่าสนับสนุนการปฏิบัติธรรมได้ดีมาก
ถาม : ผมอยากทราบว่ามีหรือไม่ครับ วัตถุมงคลที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิระดับฌาน แต่ผู้ใช้สามารถใช้วัตถุมงคลนั้นให้สามารถส่งผล หรือแสดงอานุภาพได้เต็มที่ ? หากมี...มีวัตถุมงคลประเภทใด หรือสายไหนบ้าง ? ผมจะได้ไปเสาะหาครับ
ตอบ : หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม แต่ดูของให้เป็นนะ ถ้าดูไม่เป็นโดนเขาหลอกมาก็ตัวใครตัวมัน
ถาม : ผู้ใช้วัตถุมงคลมีสมาธิห่วย แต่มีความมั่นใจสูง วัตถุมงคลจะส่งผล หรือแสดงอานุภาพได้เต็มที่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ไว้เท่าไร ถ้าครูบาอาจารย์สงเคราะห์เต็มที่อย่างหลวงพ่อกวย ห่วยแค่ไหนท่านก็ช่วย เพราะท่านรักลูกศิษย์ท่าน
ถาม : วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยในเว็บฯ หมดหรือยังคะ หรือยังจะมีมาอีก ?
ตอบ : จะพยายามหามาลงให้
หลวงพ่อกวยเป็นพระอาจารย์ที่รักลูกศิษย์สุด ๆ แล้วรักแบบไม่มีข้อแม้ จะดีจะชั่วท่านก็รัก ขนาดลูกศิษย์ติดคุกยังตามไปช่วยเลย ไปรดน้ำมนต์ให้ บอกว่าอีกกี่วันจะได้ออกจากคุก แล้วก็เป็นไปตามนั้น
ครูบาอาจารย์ที่มาสายวิสุทธิมรรคบางรายไม่ชอบหลวงพ่อกวย เพราะหลวงพ่อกวยเล่นไสยศาสตร์เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ของทุกอย่างที่ท่านทำไว้ มีอานุภาพที่เห็นผลจริง ๆ
ถาม : แล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าขนุน สงเคราะห์ระดับไหนละคะ ?
ตอบ : ก็เหมือนกับตัวท่านนั่นแหละ ตัวใครตัวมัน...!
ถาม : เมื่อมีคนตายแล้วเราอยากรู้ว่าเขาตายแล้วไปไหน เราต้องทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ว่าเขาตายแล้วไปไหนเจ้าคะ ?
ตอบ : ไปร่วมงานศพเขา วันสุดท้ายก็จะรู้ว่าเขาตายแล้วถูกเอาไปไหน...! พยายามฝึกทิพจักขุญาณให้คล่องตัว พอได้แล้วก็ตามไปดูสิ...!
ถาม : ตั้งแต่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๙ จนถึงปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็ภาวนาพระคาถาเงินล้านทุกวัน (วันละ ๓๐๐ จบ) ผลก็เป็นอย่างที่ท่านบอกคือคล่องตัว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้รับทรัพย์ก้อนใหญ่เข้ามา ข้าพเจ้ามีที่นาให้เขาเช่าอยู่ ๑๐ ไร่ ถ้าข้าพเจ้าไปเอาพันธุ์ข้าวปลูก ๑ กำมือพกติดตัวไว้ แล้วภาวนาพระคาถาเงินล้านแบบที่ข้าพเจ้าทำอยู่ทุกวันนี้ เมื่อถึงเวลาเพาะปลูก ข้าพเจ้าก็เอาพันธุ์ข้าวที่ข้าพเจ้าภาวนานี้ ให้ผู้เช่าไปผสมกับพันธุ์ข้าวที่เขาจะใช้หว่าน เพื่อให้ได้ผลผลิตเยอะ ทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : ถูกอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือ สอนคนเช่าให้ภาวนา แล้วก็ให้เขาเสกเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปทำให้เขา
ถาม : พระอาจารย์พอจะทราบยารักษาอาการปลายประสาทอักเสบบ้างไหมครับ ? อาการนี้น่าจะเป็นผลมาจากที่เพื่อนกระผมป่วยเป็นโรคเบาหวาน อาการของโรคคือ จะมีอาการปวดตามแข้งขา เหมือนถูกเข็มทิ่มตามขาทั้งสองข้างจนถึงเอวครับ ?
ตอบ : พาไปหาพระอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังกา ที่อินทร์บุรีจะง่ายกว่า ทำยากินเองกว่าจะหายก็ยาก ไปให้ท่านจิ้มสักสองสามทีก็หมดเรื่องแล้ว
ถาม : เวลาพระอรหันต์ท่านฉันอาหาร แล้วลิ้นท่านไปสัมผัสกับรสชาติอร่อย พระอรหันต์ท่านจะคิดว่าอาหารที่ท่านฉันเป็นอาหารอร่อยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถามอย่างกับอาตมาเป็นพระอรหันต์ ไปถามพระอรหันต์เองสิวะ...!
ถาม : ถ้าท่านคิดว่าอาหารที่ท่านฉันอร่อยท่านปรุงแต่งหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มั่นใจไหมว่าถ้าอธิบายไปแล้วจะเข้าใจ ? ประเภทเด็ก ป.๑ พยายามจะไปเข้าใจว่าด็อกเตอร์ท่านทำอะไร
ถาม : เวลาพระอรหันต์เห็นคนที่หล่อหรือสวย ท่านจะคิดว่าคน ๆ นั้นหล่อหรือสวย หรือเปล่าครับ ? ถ้าท่านคิดจะเรียกว่าเป็นการปรุงแต่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : คำถามพวกนี้ข้ามไปเลย ตอบไปก็ไร้ประโยชน์ พอ ๆ กับหมาเห็นเครื่องบินนั่นแหละ...!
ถาม : ผมเคยอ่านข้อความจากหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านสอนเกี่ยวกับนิวรณ์ ผมสงสัยตรงที่ท่านบอกประมาณว่า คนที่มีนิสัยเจ้าชู้ แต่คน ๆ นั้นสามารถกำจัดนิวรณ์ได้ในทันทีเพราะว่ามี "กำลังใจสูง" ผมอยากทราบว่า กำลังใจสูงที่หลวงพ่อท่านบอก นั่นกำลังใจระดับไหนแล้ว ? จะทำอย่างไรให้เข้าถึงกำลังใจสูงครับ ?
ตอบ : ทรงฌานสี่ให้คล่องตัวก็ทำได้อย่างเขาแล้ว
ถาม : หลวงพ่อเล็กเคยเล่าเรื่องที่มีชายแก่ ในอดีตท่านติดเหล้ามาก แต่ท่านสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญาได้ในขณะเพิ่งดื่มเหล้าเสร็จ ผมสงสัยว่าท่านวางกำลังใจอย่างไรให้แสดงอภิญญาตามใจนึก ขนาดศีล ๕ ท่านยังไม่มีครบเลย ?
ตอบ : ใครบอกว่าไม่ครบ ? ตอนท่านแสดงท่านผิดศีลตรงไหน ? ไม่ได้กินเหล้าไปแสดงไปนี่หว่า..!
ถาม : ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเจตนาเป็นตัวกรรม หรือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าว่า มีคนจะบวชพระแต่ดันโดนถูกงูกัดตายก่อนจะบวช แต่คนนั้นยังได้บุญเต็มเหมือนเดิม ถ้าผมตั้งใจแบบพิเรนทร์ ๆ ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงไหม ? แต่ตั้งใจไว้ก่อนว่าเราจะเป็นประธานสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผมดันตายเสียก่อน ผมยังจะได้บุญเต็มไหมครับ ?
ตอบ : ได้...เพียงแต่มีปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าเสือกไม่ตายและไม่ได้สร้าง จะโดนใคร "ตื้บ" บ้างก็ไม่รู้...?!
ถาม : บางวัดที่ผมเคยไปทำบุญ จะมีช้างที่จะให้เราอธิษฐานว่าคำอธิษฐานจะสำเร็จไหม แล้วใช้นิ้วก้อยยกขึ้น ถ้ายกขึ้นแปลว่าสำเร็จ ถ้ายกไม่ขึ้นแปลว่าไม่สำเร็จ ผมสงสัยว่าเป็นการเล่นกลอะไรหรือเปล่าครับ หรือเป็นอธิษฐานบารมีล้วน ๆ ?
ตอบ : ยกเองแล้วไม่รู้ว่าเล่นกลหรือเปล่า ก็ปล่อยให้โง่ต่อไป...!
ถาม : บางครั้งจิตเผลอนึกเรื่องที่ไม่ดีแล้วรู้สึกผิดและเสียใจมาก ๆ ช่วงนี้เหมือนจะรุนแรงขึ้น ไม่อยากคิดถึงเลย แต่ก็ควบคุมได้บ้างไม่ได้บ้าง ควรทำอย่างไรดีไม่ให้นึกถึงอีกคะ ?
ตอบ : จงคิดต่อไป...ตราบใดที่สติยังไม่สมบูรณ์ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่คิดในเรื่องชั่ว แต่พอรู้ตัวให้คิดแต่ในสิ่งที่ดี ๆ เอาไว้ จะต้องต่อสู้ยื้อแย่งแบบนี้กันไประยะหนึ่ง จนกว่ากำลังของเราสูงกว่า จึงจะคิดดีมากกว่าคิดชั่ว
ถาม : ชื่อจิรัฏฐญาที่ตั้งใจจะเปลี่ยน เอาไปตรวจสอบดูสำหรับคนเกิดวันเสาร์มีตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีอยู่สองตัวค่ะ แต่ชื่อเดิมความหมายก็ไม่ดีจึงตั้งใจจะเปลี่ยน ควรเปลี่ยนเป็นชื่อจิรัฏฐญาหรือชื่ออื่นดีคะ ?
ตอบ : ไม่รู้ว่าคนถามตอนเรียนคณิตศาสตร์ตกวิชานี้หรือเปล่า ? แสดงว่าสูตรคณิตศาสตร์แบบง่าย ๆ ก็จำไม่ได้ว่า ลบกับลบเป็นบวก เพราะฉะนั้น...ถ้าชื่อใครมีกาลกณีตัวหนึ่งก็หากาลกิณีมาให้ได้สองตัว ถ้ามีสามตัวให้หามาให้ได้สี่ตัวก็จะดีไปเอง..!
ถาม : การเทศน์มหาชาติที่มีการร้องแหล่ พระที่ร้องแหล่นั้นจะติดอาบัติไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านับจริง ๆ ก็ต้องอาบัติเหมือนกัน เพราะศีลพระห้ามไว้ชัดเจนว่าห้ามขับลำด้วยเสียงอันยาว การขับลำด้วยเสียงอันยาวเกิดโทษก็คือ ผู้ฟังหลงติดในเสียงนั้น โทษอันดับต่อไปก็คือ คนขับก็หลงติดในเสียงของตนเอง สรุปว่าโดนทั้งคู่
ถาม : การสวดพระอภิธรรมในพิธีหลวงนั้นมีกี่ทำนอง และใครเป็นผู้แต่งทำนองต่าง ๆ นั้นขึ้นมาครับ ?
ตอบ : ปกติมีอยู่ทำนองเดียว คือ ทำนองสังโยค แต่ระยะหลังมีประเภทสวดแบบกระแทกกระทั้น อาจจะเป็นเพราะพระเห็นว่าโยมฟังแล้วมักจะหลับ ก็เลยสวดกระแทกให้ตื่น บางวัดไม่ได้กระแทกแต่เสียง กระแทกด้ามตาลปัตรด้วย ถือว่าเป็นลีลาเรียกแม่ยกอย่างหนึ่ง
ถาม : นอกจากหลวงปู่ละมัยแล้ว มีพระรูปใดที่สร้างปิรามิดบ้างครับ ?
ตอบ : อาตมาก็เคยสร้างนะ แต่เป็นในอดีตชาติ หลวงพ่อรัตน์ รตนญาโณ อยู่ที่อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างเยอะกว่าเพื่อน ตอนนี้เสียมวยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคำทำนายเรื่องภัยพิบัติไม่เป็นไปตามที่ท่านบอกสักอย่าง
ถาม : ในขณะที่ผมเล่นแบดมินตัน สมาธิผมจดจ่อกับการเล่นแบดมินตันอย่างเดียว ถ้าผมตายในตอนนั้น จะได้ไปสวรรค์ไหมครับ เพราะอย่างน้อยผมก็ตายในขณะมีสมาธิ ?
ตอบ : ขนาดเขาไม่ได้เล่นแบดมินตัน ตั้งหน้าตั้งตาภาวนายังไม่แน่ว่าจะรอดเลย นี่เล่นแบดมินตันอยู่ ยังมั่นใจเสียอีกว่าสมาธิของตัวเองจะทำให้ได้ไปสวรรค์...!
ถาม : ตัวผมมีความรู้สึกว่า ผมไม่ใช่คนดีหรือคนเลว แต่ผมเป็นคนเทา ๆ อยู่ตรงกลางระหว่างความดีและความเลว ผมรู้ว่าอะไรดีผมก็ทำ รู้ว่าอะไรชั่วผมก็ละ แต่ถ้าผมต้องทำความชั่ว เช่น ดื่มเหล้ากับเพื่อนหรือหัวหน้า เพราะสถานการณ์บังคับ ผมก็จำเป็นต้องทำถึงไม่เต็มใจก็ตาม อยากทราบว่าความรู้สึกของผมแบบนี้ควรแก้ไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบแก้ บุคคลที่จะเอาดีได้ ต้อง "ตัวตายดีกว่าศีลขาด" แต่นี่เป็นประเภท "ศีลขาดดีกว่าตัวตาย" ไม่ใช่ต้องรีบแก้อย่างเดียว แต่ต้องแก้กันขนานใหญ่เลย
ถาม : สมัยที่พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ ก่อนที่ท่านจะไปบวชกับพระพุทธเจ้า ท่านได้ชวนอาจารย์คนเก่าของท่านให้ไปบวชกับพระพุทธเจ้าด้วยกัน แต่อาจารย์ของท่านปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านเก่งจริง ผมเลยสงสัยว่า ทำไมอาจารย์คนเก่าของพระสารีบุตร ท่านไม่ไปครับ ?
ตอบ : ไปถามท่านอาจารย์ของท่านสิ...! ดันทะลึ่งมาถามคนที่ไม่ใช่เจ้าของเรื่อง
ถาม : แล้วทำให้ผมสงสัยอีกเรื่อง ในสมัยพุทธกาลที่มีอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์นั่นด่าพระพุทธเจ้า แล้วลูกศิษย์สรรเสริญพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์ก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนดีจริง ๆ ผมเลยสงสัยอีกว่า ทำไมอาจารย์คนนั้น ท่านถึงด่าพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านดี ?
ตอบ : ก็เพราะว่าอยากด่า..!
ถาม : การฝึกแบ่งจิตให้ทำหลาย ๆ อย่าง เช่น อ่านหนังสือแล้วดูลมหายใจไปด้วย ฝึกอย่างไรหรือครับ ? พอเวลาผมอ่านหนังสือแล้วดูลมหายใจ ถ้าผมจดจ่อลมหายใจเกินไป ผมก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือถ้าผมจดจ่อกับการอ่านหนังสือ ผมก็กำหนดรู้ลมหายใจไม่ได้ หลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับ ?
ตอบ : "มัชฌิมาปฏิปทา" คำเดียว เขาให้ขับรถตรงทาง แต่ดันขับกินซ้ายหรือขวามากเกินไป
ถาม : พระอรหันต์ท่านมีอารมณ์รำคาญไหมครับ ถ้ามีคนหลายร้อยคนไปกวนท่าน หรือขอความช่วยเหลือจากท่าน ?
ตอบ : ไปถามท่านเองเลยครับ...!
ถาม : ในมงคล ๓๘ มีข้อหนึ่งคือข้อที่ ๘ คือการมีศิลปะ หลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับ เพราะความหมายของการมีศิลปะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : ศิลปะในการเรียนรู้เพื่อที่จะเลี้ยงดูตนเอง ศิลปะในการดำรงชีวิต ศิลปะในการเอาตัวรอดจากวัฏสงสาร
ถาม : ในเรื่องวัตถุต่าง ๆ ที่ได้นำไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก เช่น พิธีเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นต้น หากวัตถุที่นำไปเข้าพิธีนั้นได้แตกหักลง และไม่สามารถซ่อมแซมได้ เช่น กลด, ร่ม หรือเป็นส่วนที่ไม่สามารถนำมาใช้งานต่อได้ เช่น ตลับขี้ผึ้งเปล่า เป็นต้น จึงขอรบกวนถามว่าการจะจัดการกับวัตถุที่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกแต่เสียหายแล้วเหล่านี้ ควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสมครับ ?
ตอบ : หากระบะอย่างดี เป็นโลหะได้เลยยิ่งดี ใส่ลงไปเผาให้เรียบร้อย แล้วเอาผงมาทำพระต่อ...เสียดายของ
ถาม : หากนำไปทิ้งตามปกติ จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าคิดมากก็เป็น..!
ถาม : ศาสตร์โหงวเฮ้ง มีความเกี่ยวข้องกับอภิญญาสมาบัติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่บุคคลที่ได้อภิญญาสมาบัติ จิตของท่านจะมีกำลัง มีความผ่องใสมาก เพราะฉะนั้น...โหงวเฮ้งต่าง ๆ ของท่านก็จะดูดีกว่าคนปกติ ทั้งที่บางทีดูหน้าตาท่านก็ไม่ได้มีอะไร ต้องบอกว่าเป็นเพราะกำลังข้างในแผ่ออกมาจนถึงข้างนอก
ถาม : โยมอยากขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ว่า สิ่งที่ผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ว่า แท้ที่จริงแล้วการย้ายเจดีย์จริง ๆ ก็คือการนำเงินหรือสิ่งของที่ถวายเป็นพุทธบูชา หรือศาสนสมบัติแล้ว ภายหลังได้นำมาแปลงเป็นตัวเงินเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวในทางโลกเท่านั้น จึงต้องโทษย้ายเจดีย์และต้องรับโทษในอเวจีภูมิ ?
ตอบ : เข้าใจผิด การย้ายเจดีย์คือเจ้าของเงินตั้งเจตนาตั้งใจจะทำบุญอย่างหนึ่ง แต่คนทำดันเอาไปทำอีกอย่างหนึ่ง เขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ เพราะทำให้เจ้าของเงินเสียศรัทธาไป
ถาม : ควรจะแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็เลิกย้าย..!
ถาม : ถ้าหากโยมตั้งใจเลี่ยมทองพระห้อยคอเป็นพุทธบูชา แต่ต่อมาหากโยมตัดสินใจถอดกรอบทองที่เลี่ยมพระนั้นนำไปหล่อพระองค์ใหญ่แทน โดยเจตนาถวายเป็นศาสนสมบัติที่บรรจุอยู่ในองค์พระไปเลย
การที่หากมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากความตั้งใจเดิม คือ สละจากการเลี่ยมทองนั้น มาเพื่อส่งหล่อพระองค์ใหญ่ โยมสามารถทำในลักษณะนี้ได้หรือไม่ ? และขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าการตัดสินใจนี้เรียกว่าย้ายเจดีย์หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ได้ย้ายเจดีย์อย่างเดียว หาเรื่องลงนรกด้วย..! เพราะตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาไปแล้ว มีวิธีเดียวจะทำได้คือแกะของเก่าไปหล่อพระ แล้วทำของใหม่ให้ดีกว่าเดิม อย่างเช่น ถ้าของเก่าเป็นทองธรรมดา ของใหม่อาจจะทำเป็นทองสวิส หรือเป็นทองคำฝังเพชร
ถาม : อานิสงส์จากกรณีที่ตั้งใจเลี่ยมทองพระห้อยคอเป็นพุทธบูชา กับการสละทองคำทั้งหมดนำไปหล่อพระองค์ใหญ่แทน อานิสงส์ต่างกันมากน้อยเพียงใดครับ ?
ตอบ : ต่างกันมาก เพราะการเลี่ยมทองพระเป็นการเสริมภายนอกให้ดูงดงามขึ้น ถ้าเกิดใหม่จะมีอานิสงส์เหมือนนางอุบลวรรณาเถรี คือมีผิวสวยเหมือนทอง แต่การหล่อพระถือว่าเป็นพุทธบูชา เกิดชาติใหม่ชาติใดก็ตาม จะต้องเป็นผู้นำเขาอยู่เสมอ
ถาม : ทางสายวิชชาธรรมกายเห็นว่าจะเน้นทางด้านดวงแก้วอาโลกกสิณเป็นหลัก และจะมีพวกธาตุกายสิทธิ์ เช่น ดวงแก้วจักรพรรดิ เหล็กไหลวัชรธาตุ เหล็กไหลทองปลาไหล เหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวง เหล็กไหลโกฏิปี สุริยัน-จันทรา ฯลฯ รวมถึงมีการแบ่งภาคของวัตถุธาตุศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่เป็นฝ่ายดีและมาร
โยมอยากทราบจากท่านพระอาจารย์ว่า เหตุใดทางสายวิชชาธรรมกายนั้น ถึงมีวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้โดดเด่นมากกว่าทางสายการปฏิบัติอื่น ?
ตอบ : ไปหาตำราวิชชาธรรมกายภาคสุดท้ายมาอ่าน ความจริงทุกสายถ้าปฏิบัติไปถึงจะพบเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เพียงแต่จะนำมาเป็นสาระหรือไม่เท่านั้น ภาคสุดท้ายของวิชชาธรรมกายคือมรรคผลพิสดาร เคยได้ยินกันไหม ? แต่ไม่ต้องไปหาที่วัดธรรมกายคลองสามนะ เพราะที่นั่นท่านเน้นเอาแค่ทานเท่านั้น
ถาม : โยมเคยได้ยินว่าธาตุกายสิทธิ์พวกนี้รับพลังงานได้ไม่สิ้นสุด ไม่จำกัด เพิ่มขึ้นเองได้ด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะรับพลังได้มากกว่าทองคำด้วยซ้ำ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไปถามเจ้าของธาตุดีกว่า ของบางอย่างการสัมผัสของเราน้อย ก็รู้สึกว่าไม่สิ้นสุด แต่ขณะเดียวกันบางท่านสัมผัสได้มากกว่า ก็รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน เพราะฉะนั้น...เราเองจะไปพูดเต็มปากเต็มคำก็ไม่ได้ ถ้าเราเป็นเด็กเพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ เดินแค่นี้ไปถึงประตูก็ปางตายแล้ว แต่สำหรับอาตมา ๙๓ กิโลเมตรที่ทุ่งใหญ่ เดินวันเดียวก็ถึงแล้ว
ถาม : ธาตุกายสิทธิ์พวกนี้จะช่วยส่งเสริมด้านการปฏิบัติภาวนาของเราได้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าทำเป็นรูปพระพุทธก็ได้พุทธานุสติ ถ้านึกถึงพระสงฆ์ที่ท่านทำขึ้นมาก็เป็นสังฆานุสติ เมื่อมีของดีอยู่กับตัว ถ้าเกิดความกล้า ความมุ่งมั่นบากบั่นในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น ก็จะได้ผลดีมากขึ้น
ถาม : หากมีผู้ประสงค์ร้ายทราบว่าเรารับยันต์เกราะเพชรมา จึงผสมเหล้าลงในอาหารโดยที่เราไม่ทราบ เมื่อกินเข้าไปแล้วยันต์เกราะเพชรจะหายหรือไม่ ?
ตอบ : หาย
ถาม : หากอาราธนาวัตถุมงคลที่เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรพกติดตัวไว้ จะมีพุทธานุภาพเช่นเดียวกับการรับยันต์เกราะเพชรหรือไม่ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ทั้งสองอย่างมีข้อดีข้อด้อยต่างกัน การเป่ายันต์เกราะเพชรติดตัวไปไหนเราไม่ลืมแน่ แต่ถ้าทำผิดข้อห้ามก็สูญไปเลย การใช้วัตถุมงคลที่เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร เราอาจจะลืมติดตัวไปได้ แต่ถ้าละเมิดข้อห้ามก็แค่งดการคุ้มครองชั่วคราว ถ้าสามารถรักษาได้ใหม่ก็คุ้มครองได้อีก เพราะฉะนั้น...วิธีที่ดีที่สุดคือเอาสองอย่างรวมกัน
ถาม : การฝึกจิตให้ได้ทิพจักขุญาณนั้น ถ้าเราปรารถนา เราจะสามารถทำได้ถึงขึ้นที่สามารถมองเห็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนดูภาพยนตร์ ที่จะสามารถรับชมพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ในภาพและเสียงที่เป็นจริงได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้มากกว่านั้นอีก ไม่ใช่แค่ชาติเดียว ย้อนอดีตได้สารพัดชาติตามกำลังของเรา
ถาม : สิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่ปรารถนาก็คือ ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง จะสามารถตั้งใจและอธิษฐานเช่นนี้เพื่อให้เกิดผลตรงตามปรารถนาได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นไปพระเกศแก้วจุฬามณี ถ้าวันไหนพระองค์ท่านเสด็จมาก็ได้ฟัง ถ้ารอไม่ไหวก็ขึ้นไปพระนิพพาน กราบขอพระองค์ท่านสงเคราะห์โดยตรงไปเลย
ถาม : มีวิธีดูว่าพระรูปใดเป็นสุปฏิปันโนบ้างครับ ?
ตอบ : ไปหา "บทพิสูจน์นักบุญ" ของหลวงพ่อฤๅษีลิงเล็กมาอ่าน คาดว่าค้นเอาในอินเตอร์เน็ตก็มี
ถาม : เหตุใดพระโบราณจึงเสกพระแบบไสยศาสตร์ และทำไมถึงมีผลทั้งที่ไม่ใช่พุทธศาสตร์ ?
ตอบ : ไม่ว่าไสยศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ พื้นฐานก็คืออำนาจจิตที่ได้รับการฝึกมาดีแล้ว สำเร็จสัมฤทธิ์ผลเป็นมโนมยา คือ สำเร็จด้วยใจ ต้องการอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
ถาม : หากนำพระที่เสกแบบไสยศาสตร์มาห้อยกับพระสายเรา ซึ่งมีอำนาจพระพุทธคุณ อำนาจไสยศาสตร์ในของเดิม จะถูกลบเลือนไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะอธิษฐานทำลาย อำนาจนั้นก็ยังคงอยู่ เพียงแต่แสดงออกไม่ได้
ถาม : เสกแบบไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไสยศาสตร์ส่วนใหญ่ใช้เวทย์มนต์คาถา ใช้กำลังใจเฉพาะตน ส่วนพุทธศาสตร์ส่วนใหญ่ขอบารมีพระหรือพรหมเทวดาท่านสงเคราะห์
ถาม : ขอเทคนิคเคล็ดลับในการอธิษฐานวัตถุมงคลเพื่อใช้งานให้เกิดผลสูงสุดตามแบบฉบับของหลวงพ่อหน่อยครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาตมาก็วิ่งขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน มีอะไรจะสงเคราะห์ขอความเมตตา "เหมาหมดเลยครับ"
ถาม : กระผมและคณะมีความตั้งใจอยากจะสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูปหลวงปู่สายขนาดเท่าองค์จริง ถวายไว้ที่วัดท่าขนุน ?
ตอบ : เลิกคิดไปได้เลย การสร้างต้องมีสถานที่เหมาะสมเอาไว้ประดิษฐานด้วย ถ้าไม่ได้สร้างมณฑปราคาสัก ๔๐-๕๐ ล้านบาทถวายท่าน ก็อย่าคิดทำเลย
ถาม : อยากทราบว่าน้ำมันโสฬสวังหน้ามีที่มาที่ไปอย่างไร และมีอานุภาพอย่างไรครับ ?
ตอบ : เกิดจากการปลุกและการเสกในสมัยนั้น ซึ่งเขาเชื่อกันว่าหลวงปู่โลกอุดรมาสงเคราะห์ วังหน้าในที่นี้คือกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญในรัชกาลที่ ๕ แต่ถ้าชื่อท่านเป็นฝรั่ง ก็คือ พระองค์เจ้าจอร์ช วอชิงตัน แต่รัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนให้ใหม่ เป็นพระองค์เจ้ายอดยิ่งประยุรยศ
ถาม : น้ำมันโสฬสวังหน้าแตกต่างจากน้ำมันชาตรีอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ไม่ต่างกัน
ถาม : บ้านเติมบุญ มีความหมายว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าบุญของแกขาดแน่นอน ไปทำเพิ่มเสียแต่โดยดี...!
ถาม : แก้วเติมบุญที่เข้าพิธีมา ๘ วาระ จะใช้แทนเพชรจักรพรรดิได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ควรที่จะไปใช้แทน ควรที่จะใช้ร่วมกัน มีเพชรจักรพรรดิวัดท่าซุงอยู่ ดันทะลึ่งไปใช้อย่างอื่นแทนก็โง่ตายชัก...!
ถาม : วัตถุมงคลที่เข้ากรรมฐาน ๓ วันครั้งล่าสุด มีอานุภาพเด่นทางด้านไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะเด่นด้านราคาแพง...!
ถาม : ลักษณะการนอนหลับโดยทรงฌานจะมีลักษณะอย่างไร และสามารถรู้ได้อย่างไรว่าหลับโดยการทรงฌานครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...จะรู้ลมหายใจเข้าออกเองโดยอัตโนมัติ อันดับที่สอง...รู้สึกเหมือนกับตัวเองไม่ได้นอนเลย แต่ความจริงแล้วหลับอยู่
ถาม : หลวงพ่อมีการกล่าวถึงโหงวเฮ้งอยู่บ้าง อยากทราบว่าถ้าต้องการศึกษา ควรศึกษาจากที่ใดจึงจะเห็นผลครับ ?
ตอบ : ดูจากพระไตรปิฎกเกี่ยวกับมหาปุริสลักษณะและอนุพยัญชนะของพระพุทธเจ้า นั่นแหละ...สุดยอดตำราโหงวเฮ้งเลย
มีใครรู้จัก "ซินแสโอ" บ้างไหม ? ถ้ารู้จักไปขอศึกษากับท่านก็ได้ แต่ไปถึงแล้วเห็นว่าหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวก็อย่าไปดูถูกว่าไม่เก่งนะ ซินแสโอแอบย่องมาที่นี่ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ เพราะว่าท่านค่อนข้างจะดังอยู่มาก ลูกศิษย์ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตในแผ่นดิน อาตมาก็กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าท่านมาที่นี่เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวลูกศิษย์ท่านจะตามมา เป็นซินแสโอก็ไม่ค่อยจะดีเพราะเลือกไหว้พระ จะไหว้พระต้องดูโหงวเฮ้งก่อน..!
ซินแสโอออกหนังสือมาหลายเล่ม ถ้าตั้งใจจะศึกษาจริง ๆ หาตำราของท่านมาศึกษาก็ได้ เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก เพียงแต่ตอนที่ไปศึกษาวิชาการต่าง ๆ ต้องอดทนอดกลั้นทีเดียว คนเราต้องตั้งใจทำจึงจะสำเร็จ ฉะนั้น...อย่าไปดูถูกว่าเป็นคนหนุ่ม
พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าดูถูกพระราชาว่าเด็ก อย่าดูถูกงูพิษว่าเล็ก อย่าดูถูกสะเก็ดไฟว่าน้อย เพราะพระราชาเด็กก็สั่งประหารชีวิตเราได้ งูพิษถึงตัวเล็กถ้ากัดเราก็ตายเหมือนกัน สะเก็ดไฟเล็กน้อยสามารถที่จะเผาผลาญป่าใหญ่ ๆ หมดไปทั้งป่า หรือเมืองใหญ่ ๆ หมดไปทั้งเมือง
และท้ายสุดพระองค์ท่านบอกว่า อย่าดูถูกสมณะว่ายังหนุ่มอยู่ อันนี้เท่ากับพระพุทธเจ้าด่าอาตมาตรง ๆ เพราะเมื่อก่อน ถ้าพระไม่แก่อาตมาจะไม่แลเลย ต้องไปเจอหลวงปู่โลกอุดร มาทีก็หน้าเด็กมาเชียว แต่ผมขาวทั้งหัว ท่านตั้งใจจะแกล้งว่าเราจะดูหัวหรือจะดูหน้าของท่าน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงระยะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองของเราเหมือนกับภูเขาไฟใต้น้ำ ค่อย ๆ ปะทุรอวันระเบิด สำหรับพวกเราแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถึงเวลาบารมีพระคุ้มครองรักษาเราก็จะอยู่รอดปลอดภัยเอง ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอเตือนคนอยู่กรุงเทพฯ ว่า ให้ รีบหากะโหลกกะลา ถัง กะละมัง หม้อ ไว้เยอะ ๆ หน่อย ตุนน้ำเอาไว้บ้าง ปีหน้าจะแล้งกว่าปีนี้ ปีนี้อาตมาเตือนไปบางคนก็ทำ แต่ยังโชคดีที่ในหลวงยังอยู่ ฝนจึงมาทันการณ์
รู้ไหมว่าเขื่อนวชิราลงกรณที่เลี้ยงคนกรุงเทพฯ ปีนี้น้ำหมดเขื่อนพอดีกับฝนลง ไม่อย่างนั้นปีนี้คนกรุงเทพฯ ได้ซมซานอดน้ำกันบ้าง ไม่แปลกใจหรือว่าทำไมอาตมาตุนน้ำข้างหลังห้องนี้เอาไว้เพียบเลย จำเป็นต้องตุนเผื่อเอาไว้ก่อน ไม่ใช่เดือดร้อนแล้วค่อยไปหาตอนที่มีแต่ของแพง
ซื้อถัง ๔๐ - ๕๐ ลิตรไว้สักสองใบก็ได้ ถังสีน้ำเงินนั่นแหละ ใส่น้ำทิ้งเอาไว้ก็ไม่เสียหลาย ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาถ้าขาดน้ำ อย่างน้อย ๆ เราก็ยังอยู่ได้อีกหลายวัน ถ้าใช้แบบมหา ๕ ขันก็สบาย แต่ทีละ ๕ ขันก็ยังเปลืองอยู่นะ ต้องเอาอย่างครูบาอาจารย์สมัยก่อน ท่านใช้น้ำแก้วเดียว ถึงเวลาก็หดตัวเหลือนิดหนึ่งลงไปอาบน้ำในแก้ว อาบเสร็จแล้วค่อยขยายตัวใหญ่เท่าเดิม ไม่เปลืองน้ำเลย
เสด็จในกรมหลวงชุมพรเคยทำให้คนในวังดูทีหนึ่ง ท่านเอาขวดโหลใส่ลูกกวาดสมัยก่อนมาใส่น้ำไว้ครึ่งโหล แล้วอยู่ ๆ ก็กลายเป็นองค์เล็กลงไปอยู่ข้างใน อาบน้ำสบายใจ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไม่อยากจะบอกเคล็ดลับว่า ที่ลงกระทู้คนมีเงินฯ แล้วของออกหมดเลย เพราะว่ากุมารทองหลวงพ่อกวย อาตมาบอกกุมารทองช่วยขายของให้ด้วย พอลงแม่นางกวักหลวงปู่อิ่ม ก็บอกแม่นางกวักช่วยจัดการให้ก่อนที่จะไป เพราะฉะนั้น...ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ ไหน ๆ ก็อยู่ด้วยกันมานาน ก่อนจะไปก็ช่วยกันทำงานก่อน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาว่าจะซื้อเม็ดเงินหล่อพระ ราคาก็กระโดดขึ้นกระโดดลง อาตมาเลยผลักภาระไปให้โยมแทน ให้จองเป็นเจ้าภาพเม็ดเงินหล่อพระคนละ ๑ กิโลกรัม ต้องการเจ้าภาพแค่ ๒๕๐ คน ดูท่าจะไม่ถึงแล้ว เพราะมีบางคนจองไปรายเดียว ๕ กิโลกรัม"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมาถึงก็มีไปรษณีย์มาส่งจดหมาย เป็นฉบับแรกในรอบ ๖ ปี ปรากฏว่าเขาจ่าหน้าส่งถึงบ้านวิริยบารมี บ้านเลขที่ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แต่ไปรษณีย์เขาเก่ง เขาส่งมาถึงเหมือนกัน แกะออกมาเป็นเงิน ๑๐๐ บาท ระบุว่าช่วยค่าใช้จ่ายบ้านวิริยบารมี ไอ้พวกสิ้นสติ..! จะทำบุญเสียอย่างก็ทำไปเรื่อย ๆ ส่งมาลักษณะนั้นโอกาสสูญหายมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ประการแรกก็คือเงินสดใส่ซองมา ประการที่สองไม่มีบ้านเลขที่ ไม่มีซอย ไปรษณีย์ก็เก่ง...ส่งมาถึงได้"
พระอาจารย์เล่าว่า "งานทอดกฐินปลดหนี้ที่วัดตะเคียนงาม ได้เงินทั้งหมด ๑,๘๕๐,๐๐๐ บาทถ้วน คืออาตมามีค่านิยมว่าเติมให้เต็มไว้ เหตุที่ได้น้อยเพราะว่าพระเครื่องที่เตรียมไว้ประมูลหนีกลับวัดไปเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หนีกลับไปนอนวัดกันหมด แม้กระทั่งพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน (๒) เนื้อตะกั่ว ก็หนีกลับไปนอนวัด เป็นอะไรที่อาตมารู้สึกเครียดมาก
จัดของใส่กระเป๋าแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไปด้วย ประมูลกันได้พักเดียวของก็หมด อุตส่าห์เอาของหลวงพ่อกวยไปหลายองค์ ของหลวงพ่อคงไปหลายองค์ ยังมีของหลวงปู่หลวงพ่ออื่น ๆ อีก ท่านหนีหมด..! ไปนึกถึงหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม สมัยก่อนถ้าใครรับวัตถุมงคลของท่านไปแล้วทำผิดศีลผิดธรรม วัตถุมงคลจะหนีกลับ พอไปขอใหม่ท่านก็จะเตือน บอกว่า "ให้รู้จักทำให้ดี ๆ นะจ๊ะ" อาตมาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แค่จะเอาท่านไปขายเท่านั้น หนีกันหมดเลย..!
ที่เจ็บใจที่สุดก็คือ หนีไปแอ้งแม้งที่วัดประเภทเย้ยฟ้าท้าดิน ถ้าไม่ใช่อาตมาเป็นคนสมาธิดี ความจำดี คงคิดว่านี่เราสมองเสื่อมเป็นอัลไซเมอร์แล้วกระมัง ? จำได้ว่าเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง ถึงเวลาล้วงหาไม่เจอ ประสบการณ์แบบนี้อาตมาเจอบ่อย เจอจนกระทั่งเลิกแปลกใจแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติแล้วเบี้ยแก้จะมีอานุภาพไปในทางกันคุณไสย แก้อาถรรพ์ กันภูตผีปิศาจ แต่ว่ามีเบี้ยแก้อยู่ ๒-๓ สำนักที่คงกระพันแน่นอน เห็นชัด ๆ ก็คือหลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี ท่านเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่รอด วัดนายโรงนี่แหละ ใครไปรับเบี้ยแก้กับหลวงปู่ม่วง ลูกศิษย์ที่เป็นนักเลงจะดักรออยู่ปากทาง เดินออกมาเมื่อไรเจอทั้งมีดทั้งดาบ..!
อีกสำนักหนึ่งก็หลวงพ่อกา วัดแค นครชัยศรี ส่วนของหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านให้คาถากำกับมา ถ้าต้องการที่จะให้ยิงไม่ออก ต้องการให้ยิงออกไม่ถูก ต้องการให้ปืนแตก ท่านบอกให้ภาวนาคาถาอย่างนี้ ๆ จริง ๆ แล้วก็คือขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของคนทำ หลวงปู่เพิ่มท่านเป็นพระที่เมตตาสุด ๆ แต่ทำของแล้วเหนียวได้เหมือนกัน
อาตมาเป็นคนนครปฐม รู้จักหลวงปู่เพิ่มดี สมัยที่เรียนประถมมัธยมอยู่ แผ่นพับวัตถุมงคลท่านยังไปถึงโรงเรียนบ่อย ๆ พระองค์ละ ๒๐ บาทสมัยนั้นรู้สึกว่าแพงเหลือเกิน เพราะก๋วยเตี๋ยวชามละบาทเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็องค์ละประมาณ ๘๐๐ บาท คราวนี้เด็ก ๆ มีเงินน้อย รวมกันทั้งห้องทำบุญแล้วได้พระมา ๒ องค์ ก็ต้องมาจับฉลากกันว่าใครจะดวงดีได้ไป ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ เขาจะได้กัน ส่วนอาตมาไม่กลัว ถึงเวลาเก็บสตางค์ได้ก็วิ่งหาหลวงปู่ ไปบูชาเอาที่วัด
เบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่มที่หายากนักยากหนา อาตมามีเป็น ๑๐ ตัว สมัยนี้ของปลอมมีเยอะ หลวงปู่เจือรุ่นแรก ๆ เขาก็จะเล่นเป็นของหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มรุ่นแรก ๆ ก็จะเล่นเป็นหลวงปู่บุญ ไอ้พวกไร้จรรยาบรรณ..! ทั้ง ๆ ที่จุดต่างมีให้เห็นชัด ๆ แต่ว่าแกล้งโง่ จะเอาสตางค์เขา เรื่องของวัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆ นอกจากจะต้องดูของเป็นแล้ว แหล่งที่มายังต้องน่าเชื่อถือด้วย ถ้าแหล่งที่มาไม่น่าเชื่อถือ โอกาสโดนฟันเลือดโชกก็มีเยอะ"
พระอาจารย์พูดถึงเรื่องเม็ดเงินสร้างพระ "อาตมารับแค่ ๒๕๐ กิโลกรัม ถ้าเหลือจะเอาไปผสมในเนื้อนาก เพราะว่าเนื้อนากจะประกอบไปด้วยทองคำ เงิน ทองแดง ถ้าหากว่าเม็ดเงินบริสุทธิ์จะเหมือนกันหมด แต่ถ้าหากว่าเป็นพวกเงินรูปพรรณต่าง ๆ นี่ขอว่าไม่รับ เพราะว่ามีส่วนผสมของโลหะอื่น ทำให้เนื้อเงินดำง่าย ถึงเวลาแล้วพระจะกระดำกระด่างไม่น่าดู
ไปดูฝีมือช่างแล้วปลื้มใจ ปั้นได้สวยมาก ความจริงท่านอาจารย์สุชาติบอกว่าเกษียณแล้ว ท่านไม่ทำแล้ว สายตาแย่แล้ว ปรากฏว่าของวัดท่าขนุนนี่เท่าไรเท่ากัน ท่านเต็มใจทำให้ แล้วขอด้วยว่าให้ไปหล่อที่วัดท่าขนุน ก็เลยตกลงว่าย้ายไปหล่อที่วัด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปีนี้วัดพุทธบริษัทกับสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษีมีแต่คนอิจฉา วัดของเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิทอดได้ ๘ แสนกว่าบาท วัดรองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจาทอดได้ ๘ แสนกว่าบาท ส่วนสองวัดนี้อยู่เฉย ๆ ซองกฐินสักซองก็ไม่ต้องพิมพ์ ได้ไปเกือบล้านบาท ขาดไปแค่หมื่นนิด ๆ
โยมใส่ตอนตักบาตรเทโวมาเยอะมาก บางรายใส่ทีหนึ่งเป็นปึก ๆ ชนิดมาเป็นแสนเลย อาตมาเทลงกองกฐินหมด ในเมื่อเทลงกองกฐิน ๓ วัด พอถึงเวลายอดเฉลี่ยจึงสูง ช่วงนี้เป็นเจ้าภาพงานศพมีแต่คนเขาแซวกัน ว่าวัดท่าขนุนได้กฐินมาก ต้องเป็นเจ้าภาพหลายวันหน่อย"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานแวะไปดูฝีมือปั้นพระของท่านอาจารย์สุชาติแล้ว ประทับใจมาก เหลือแค่ติดเม็ดพระศกอย่างเดียว ท่านบอกว่าอาทิตย์หน้ามาดูได้ครับ สมบูรณ์แบบแน่ ถ่ายรูปแล้วจะได้เข้าปูน แต่ท่านขอให้ไปหล่อที่วัด องค์ทางใต้นี่อ้วนมากหน่อย เป็นศิลปะศรีวิชัยแบบขนมต้ม องค์ทางเหนือนี่เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนแบบพระพุทธสิหิงค์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงงานพระบรมศพนี่ก็ดีนะ ทำให้ได้งัดเสื้อผ้าเก่า ๆ มาใช้ ทุกบ้านจะมีสีดำอยู่แล้ว ไม่ดำก็ขาวอย่างไรก็ต้องมี
ต้องบอกว่าบ้านเรานั้นมิจฉาชีพฉวยโอกาสได้ทุกงาน แม้แต่งานพระบรมศพก็ยังอุตส่าห์ฉวยโอกาส แรก ๆ มีการเปิดรับบริจาคทางเว็บด้วยนะ ใครเป็นเจ้าภาพต้องจ่าย ๒๐,๐๐๐ บาท พวกประเภทศรัทธามากรีบโอนก็เสียสตางค์ฟรี แล้วก็มีพวกไปรับอาหารแจกมาขายต่อ แบบนี้ก็เกินไป
อย่างที่วัดท่าขนุนเปิดโรงทาน ก็จะมีพวกตั้งใจมาตุน ขนกลับบ้านกันแบบบันเทิงใจมาก ตอนแรก ๆ แม่ชีก็ด่าเสียหูตูบ อาตมาบอกว่าจะไปด่าเขาทำไมเล่า ? เราตั้งใจแจก เขาเอาไปหมดเราก็สบาย แต่อีกหลายรายก็ขนกันมาทั้งลูกหลานญาติโยม เดินคลำพุงมาเลย มีการส่งกองลาดตระเวนนำมาด้วย มาดูว่าที่วัดมีหรือเปล่า ถ้ามีก็ส่ง LINE บอกกัน แหม...ทันสมัยจริง ๆ ก็เท่ากับเขาประหยัดค่าอาหารไปมื้อสองมื้อ ถ้าหากว่าตุนไปมากก็ประหยัดมื้อเย็นไปอีกมื้อหนึ่ง
เพราะฉะนั้น...เปิดโรงทานต้องทำใจกว้าง ๆ ไว้ ใครเขามาก็ให้เขาไปเถอะ เรียกว่าต้องมีอุเบกขาในการให้ทานด้วย คือให้แล้วเขาจะเอาไปทำอะไรต่อก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนพวกที่ทำน่าเกลียดมาก ชนิดเอาไปวางขาย เดี๋ยวเขาก็จัดการกันเองแหละ
แต่ส่วนหนึ่งที่เห็นแล้วชอบใจก็คือบรรดาดารา โดยเฉพาะดาราสาว ๆ ที่ชอบแต่งตัวไอ้โน่นหกไอ้นี่หล่น มางานพระบรมศพ แหม...แต่งตัวได้เรียบร้อยดีมาก แสดงว่ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดชำรุดหมด ว่าแต่ว่าก็ทำให้ไม่ได้ดูอะไรไปอีกเป็นปีเลยนะ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้สถิติลูกหมาที่วัดตก ได้มาแค่ ๔๐ กว่าตัว ปกติแต่ละปีจะได้ประมาณ ๕๐-๖๐ ตัวเป็นอย่างน้อย "เจ้าคนแคระทั้งเจ็ด" นี่ใหญ่กว่าลูกแมวหน่อยหนึ่งแล้วนะ โอ้โฮ...อะไรจะผอมได้ขนาดนั้น ต้องบอกว่าคลอดลูกมาอย่างชนิดที่ไม่ได้ดูเลย ข้าวปลาอาหารก็ไม่มี ดันคลอดมาได้ตั้ง ๗ ตัว..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าอาตมาไม่เปิดกระทู้ให้บูชาเครื่องรางของขลัง จะรู้กันไหมว่ามีของขนาดนี้ ? สมัยก่อนอาตมาก็บ่นหลวงปู่จง วัดท่าซุงว่า “หลวงพี่...สะสมมาก ๆ ระวังคานกุฏิจะร้าวนะ” ไป ๆ มา ๆ น่ากลัวว่าคานกุฏิของอาตมาก็จะร้าวเหมือนกัน เลยต้องเอามาแบ่งให้น้อยลงบ้าง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนหรอกที่มานั่งถักตะกรุดให้ลูกศิษย์ เห็นมีแต่หลวงพ่อกวยเท่านั้น ปกติก็ให้คนอื่นทำให้ทั้งนั้น นี่ท่านต้องมานั่งถักเองเสกเอง"
พระอาจารย์กล่าวกับพระลูกศิษย์ที่มาเบิกเงินค่าเล่าเรียนว่า "วันนี้ความจริงไม่มีเงินให้พวกคุณหรอกนะ แต่ผมก็แปลก...เป็นคนไม่มีเงินได้ไม่เกิน ๑ วัน เมื่อเช้านั่งรับสังฆทานมีโยมถวายมา ๖ แสนบาท เออ...ค่อยพอใช้หน่อย ก่อนจะมานี่ช่างเขาเบิกไป ๑ ล้านกว่าบาท หมดกระเป๋าเลย ผมก็ยังว่าเดี๋ยวพระท่านมาเบิกค่าเรียนแล้วจะจ่ายอย่างไร เมื่อเช้านั่งอยู่พักหนึ่งโยมถวายมา ๖ แสนบาท...ค่อยยังชั่วหน่อย
โยมเกษียณแล้วเอาเงินออมที่ทางหน่วยงานหักเอาไว้มาทำบุญ หน่วยงานทำลักษณะนั้นก็ดีนะ เท่ากับบังคับให้ฝากเงิน แต่โยมคงจะไม่เดือดร้อน เพราะว่าเป็นเงินออมที่จมอยู่เฉย ๆ เวลาเกษียณได้เงินคืนมา ก็เลยเอามาถวายพระเพื่อทำบุญหมดเลย
บางทีศรัทธาของโยมก็น่ากลัว ถ้าคนไม่รู้จักกันจริง ๆ อาตมามักจะไล่ให้กลับบ้านไปคิดดูก่อน ดูว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินส่วนนี้ไหม ? คิดให้รอบคอบ อีกอาทิตย์หนึ่งค่อยมาให้คำตอบ โยมบางท่านก็บ่นเอาว่า ให้แล้วอาตมายังจะเรื่องมากอีก
ตอนนี้มีอยู่ ๒ รายที่เวลาจะถวายอะไรก็ต้องรีบบอกว่า “คิดรอบคอบแล้ว...ไม่เดือดร้อนครับ” เมื่อตอนกฐินโยมถวายทองคำมา ๒๔๕ บาท เขายืนยันว่าเป็นทองที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อใหม่ แล้วก็ไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งสะเทือนด้วย อาตมาจึงต้องรับเอาไว้ ถ้าเป็นพวกเราถวายทองคำ ๒๔๕ บาท คลำดูหน้าแข้งน่าจะสะอาดเอี่ยม ไม่มีเหลือสักเส้น..!"
พระอาจารย์กล่าวกับคณะทำงานของอาจารย์บรรจบว่า "ส่วนหนึ่งที่เคยคุยเป็นการส่วนตัวกับท่านอาจารย์บรรจบก็คือ งานทำแล้วอย่าไปหวังความสำเร็จ ถามว่าถ้าไม่หวังความสำเร็จแล้วจะไปทำทำไม ? งานใหญ่เหมือนกับการสร้างบ้านแปลงเมือง กรุงโรมจะให้สร้างเสร็จภายในวันเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้...ใช่ไหม ? ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือเราจะต้องเป็นคนวางแนวทางเพื่อให้คนอื่นเขาก้าวตาม
ถ้าก้าวแรกซึ่งยากที่สุดไม่มี ก้าวต่อไปก็จะไม่มี ฉะนั้น...คนที่เริ่มก้าวแรกจะได้งานที่ยากที่สุด และจะหวังความสำเร็จนั้นยากมาก แต่ถึงยากที่สุดแต่ก็ต้องทำ
ยังดีใจว่าพวกเราทั้งหมดเริ่มก้าวกันแล้ว พระของเราขยับเมื่อไร เขาก็บอกว่า "ไม่ใช่กิจของสงฆ์" ในเมื่อเขาเอาตรงนี้มาตีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงต้องอาศัยโยมออกหน้า พระก็ต้องเป็นกองหนุนให้ ลำบากอยู่เหมือนกัน"
ถาม : ขอพรในการทำงานเพื่อศาสนาครั้งนี้ด้วยครับ
ตอบ : อาตมภาพในฐานะตัวแทนของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆะรัตนะเป็นประธาน ดลบันดาลให้พวกท่านทั้งหลายมีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ถึงพร้อมในการกระทำงานครั้งนี้เพื่อพระพุทธศาสนา ขอให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลจงทุกประการด้วยเทอญ
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนพระที่วัดซึ่งบวชรุ่น ๑๐๐ ปีหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไปอยู่ปริวาสที่วัดชากสมอ ขากลับเอาลูกอมผงพรายกุมารมาฝาก ๖ ลูก ปรากฏว่าปลอมล้วน ๆ อาตมาบอกว่า "ดูเองไม่เป็น อย่าไปจับสิวะ" บอกให้ไปขอเงินเขาคืน พระท่านบอกว่าราคาไม่แพง ไม่ต้องคืนก็ได้ นั่น...ทำรวยอีก"
ถาม : ผงอิทธิเจ คืออะไรคะ ?
ตอบ : ผงวิเศษที่เขาลบกระดาน มีทั้งผงมหาราช ปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห เพียงแต่คุณภาพไปคนละอย่าง
คนโบราณมีความละเอียดของใจมาก ตัวหนังสือทุกตัวจะได้รับความเคารพ ของรุ่นเราอาจจะทันที่ว่า พ่อแม่สอนให้กราบหนังสือก่อนอ่าน เนื่องจากความละเอียดของใจมีมาก ท่านก็เลยเห็นว่า อักขระทุกตัวสามารถจารึกพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
โดยเฉพาะบรรดาท่านที่เรียนเกี่ยวกับบาลี ไม่ว่าจะเป็นสูตร เป็นสนธิ ในบาลีมูลกัจจายน์ต่าง ๆ ถึงเวลาเขียนตัวหนังสือแล้วลบก็เก็บผงเอาไว้ด้วย เอาไว้ใช้ทำประโยชน์ เพราะถือว่าทุกอย่างที่รู้กระจ่างแจ้งได้ เกิดจากอักขระทั้งหลายเหล่านี้ บาลีว่า อัตโถ อักขระสัญญะโต ตัวหนังสือมีประโยชน์ในการช่วยจำ เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านก็เลยเห็นว่า สิ่งที่ทำมาเป็นตัวแทนในการจารึกพระธรรมได้ มีคุณค่า มีความศักดิ์สิทธิ์ ให้ความเคารพ จึงไม่ทิ้ง ไม่ได้ลบแล้วทิ้งเฉย ๆ แต่เก็บเอาไว้สร้างวัตถุมงคลต่อไปเพื่อให้คนไว้บูชา
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนส่วนหนึ่งด้วยความที่เคารพหลวงพ่อวัดท่าซุง กลัวว่าจะไม่มีเวลาในการปฏิบัติเมื่ออยู่กับท่านมากมายนัก ก็ทุ่มเทจนกระทั่งลืมสำนักอื่นหมด กว่าจะรู้ก็ใกล้เกลือกินด่างไปเยอะ อย่างหลวงพ่อกวย อยู่ใกล้วัดท่าซุง อาตมาวิ่งจากวัดท่าซุงไปสรรคบุรี ไปหาหลวงปู่บุดดา อย่างไรก็ต้องเจอหลวงพ่อกวยอยู่แล้ว ไม่แวะก็ไม่ได้ น้อยคนที่จะแวะ แต่อาตมาแวะทีหนึ่ง ขนวัตถุมงคลมา พวกทหารก็ปล้นจนหมดตัว เขาไม่ไปเองกันหรอกนะ รอให้อาตมาไป เพราะเขาได้ฟรีไม่เสียเงิน แต่ถ้าไปเองเขาก็เสียเงิน
หลวงพ่อกวยท่านแบ่งลูกศิษย์เป็นหลายประเภท ลูกศิษย์พระท่านให้อย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ประเภทฆราวาสหญิงชายท่านให้อีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน และก็มีบางประเภทที่ท่านถูกใจ จะเอาอะไรบอก ท่านให้หมด ท่านชอบคนจริง
ความจริงลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงน่าจะได้ไป เพราะพวกเราส่วนใหญ่ปฏิบัติกันจริงจังมากในยุคนั้น แต่ก็อย่างว่า...ทำเสียจนไม่มีเวลาจะไปไหนกันเลย"
ถาม : ตอนนี้ทางเว็บวัดท่าขนุนกำลังนิยมหลวงพ่อกวยกันค่ะ เขาบอกว่าหลวงพ่อกวยฟีเวอร์ ?
ตอบ : กว่าจะรู้จักก็หมดตลาดไปแล้ว ไปรู้จักตอนท่านมรณภาพแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะคนอื่นคว้าของดีไปหมดแล้ว แต่หลวงพ่อกวยท่านเคยบอกไว้ ว่าใครกราบไหว้คิดถึงท่าน ท่านก็พร้อมที่จะช่วยเขาเสมอ
แต่หลวงพ่อกวยมาสายพระโพธิสัตว์เดิมเต็ม ๆ อะไรที่ท่านทำได้ก็ไม่แปลกหรอก ศึกษาอะไรท่านก็ทำขึ้นหมด ท่านชอบลองนะ ของบางอย่างท่านทำชิ้นเดียว ให้ลูกศิษย์ไปใช้ดูว่าได้ผลจริงหรือเปล่า แล้วก็เลิกไปเลย ทำต่อไม่ได้ ทำต่อเดี๋ยวเสียคน
ยังแปลกใจว่า เมื่อก่อนอาตมาพกพระของท่านอยู่หนึ่งองค์ ทำไมคิดชั่วไม่ได้ ทำชั่วไม่ได้ เป็นเพราะอะไร ? พออ่านอักขระขอมออก ท่านเขียนข้างหลังองค์พระไว้ว่า "สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง" เว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ไปที่ไหนก็เห็นการไว้ทุกข์ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ความจริงพระองค์ท่านไม่ได้ไปไหน งานของพระองค์ท่านยังไม่หมด เพียงแต่เปลี่ยนจากกายหยาบมาทำงานในกายละเอียดเท่านั้น
แต่พระองค์ท่านมีติงมาอย่างหนึ่งว่า ประเภท "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" พระองค์ท่านตรัสว่า "นั่นเป็นอธิษฐานบารมี พวกเธอแน่ใจแล้วหรือ ? ถ้าหากไปเกิดลำบากตามกันนี่ว่าฉันไม่ได้นะ" ฉะนั้น...ใครที่ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไปก็ตัวใครตัวมันเถอะ อาตมาถือว่าเตือนแล้ว"
"อาตมาพูดถึงเรื่องของในหลวงก่อนพระองค์ท่านสวรรคตสองสามวัน ปรากฏว่าพระที่วัดไม่ได้รู้หนักรู้เบา ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร นำไปเผยแพร่ข้างนอก อาตมาไม่โดนทหารลากไปเข้าคุกก็บุญโขแล้ว เพราะกลายเป็นว่าทำให้ชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมด
พออาตมารู้ว่าเรื่องหลุดออกจากวัดไป เย็นนั้นก็เลยเทศน์กัณฑ์มหาราช ด่าจมดินไปเลย...! "ทำอะไรไม่รู้จักใช้หัวแม่ตีนคิด...! อะไรที่เป็นส่วนรวม อะไรที่เป็นส่วนตัว ต้องแยกแยะให้ออก เมื่อพูดในวัดเรื่องก็ควรที่จะอยู่แค่ในวัด ตักเตือนให้รู้ว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น ควรที่จะวางตัวเองอย่างไร วางกำลังใจอย่างไร ดันทะลึ่งเอาไปเผยแพร่ออกข้างนอก"
ทหารเขายิ่งมาขอแสดงความนับถืออยู่ อาทิตย์ก่อนเขามาถามว่า วัดท่าขนุนทำอะไรให้ในหลวงบ้าง ? ยังโชคดีที่เขามาถามเจอพระรูปอื่น ถ้าเจออาตมาจะถามกลับว่า "แล้วมึงทำอะไรให้ในหลวงบ้าง ?" ที่วัดสวดพระอภิธรรมถวายในหลวงทุกวัน จัดงานปฏิบัติธรรมถวายพระองค์ท่าน ๗ วัน ส่วนพวกเขาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้เห็นหัวหรอก...! จัดงานแต่ละทีมีคนมากหน่อยก็ตามมาถ่ายรูปรายงานเจ้านาย กลัวว่าอาตมาจะพาชาวบ้านไปล้มรัฐบาลขนาดนั้นเลยหรือ ?"
"ในหลวงสิ้นพระชมน์ลงจะทำให้เหตุการณ์บางอย่างเลื่อนออกไป แต่วาระก็คงไม่เกินปีหน้าหรือปีถัดไป เพราะว่าของทุกอย่างที่โดนกดอยู่ก็เหมือนกับน้ำเดือด ไม่มีทางระบายออกก็ต้องระเบิด ถ้าสถานการณ์หนักหน่อยก็ถึงขนาดนองเลือดกัน แต่ถ้าแย่มาก ๆ ก็จะมีภัยธรรมชาติมาห้ามทัพ แต่ภัยธรรมชาติที่มาห้ามทัพ โปรดทราบ...ใครสร้างกรรมไว้เยอะก็จงรับไว้ด้วย ของบางอย่างไม่รู้มากดีกว่า รู้มากถ้าทำใจไม่ได้ก็เครียดตายเลย"
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาไปสร้างวัดที่พม่า เอารูปในหลวงไปติดไว้ คนพม่าก็ถามว่าพ่อเป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้เลยหรือ ? เขาคิดว่าอาตมาเอารูปพ่อตัวเองไปติดไว้ในศาลา ก็ "พ่อ" เหมือนกันแหละนะ "พ่อหลวง"
ท่านอาจารย์ใหญ่ธัมมะเสนะ รองเจ้าคณะรัฐมอญ ท่านบอกว่า ท่านก็สวดมนต์ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลให้ในหลวงอยู่ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นคนพม่า ท่านบอกว่าบุคคลที่สร้างแต่ความดี เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ควรที่จะสรรเสริญแล้วก็ช่วยเหลือกัน
มีนักท่องเที่ยวไทยไปเนปาล ไปเที่ยวภูเขาหิมาลัย แล้วก็ไปกรี๊ดกร๊าดกับความสวยของหิมาลัย เขาบอกว่าคนเนปาลโชคดีมาก ๆ ที่มีหิมาลัย ไกด์เขาบอกว่า "เอาอย่างนี้ไหม คุณยกหิมาลัยไปไว้บ้านคุณแล้วแลกกับในหลวง" เล่นเอานักท่องเที่ยวไทยยืนเซ่อไปเลย ถามว่านึกอย่างไรจะเอาหิมาลัยแลกกับในหลวง ? เขาบอกว่าคนเนปาลจะได้อยู่ดีกินดีกับเขาบ้าง แสดงว่างานที่พระองค์ท่านทำทั่วโลกเขารู้หมด
ขนาดยูเอ็นต้องจัดพิธีไว้อาลัย แล้วดูเหมือนว่าจะกำหนดวันที่ ๕ ธันวาคมเป็นวันกษัตริย์โลก The King’s Day แต่ประเทศเราไม่ค่อยรู้สึกรู้สากันหรอก อาตมาตั้งใจจะทำป้ายประชดติดที่วัดท่าขนุน ติดเมื่อไรดังแน่ ๆ "ข้าพระพุทธเจ้า "เพิ่งจะ" สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้" แหม...สำนึกกันทุกคน แต่ไม่เคยทำอะไรให้ "พ่อ" ชื่นใจเลย พอตายแล้วค่อยมาทำ
ลองติดดูสักป้ายไหม ? แล้วช่วยกันถ่ายไปลงเฟซบุ๊ก รับรองว่า ๕ วัน ๓ วันนี่คนแห่ไปดูกันบาน ถ้าจะเอาดังกว่านั้นก็ "ข้าพระพุทธเจ้า "เพิ่งจะ" สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ แต่ทรงเชื่อเถอะ...ข้าพระพุทธเจ้าจำไม่นานหรอก...เดี๋ยวก็ลืม"
"เห็นแต่ละที่ติดป้ายจัดกิจกรรมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแล้ว อาตมาไปนึกถึงพวกที่พ่อตายแม่ตาย ถึงเวลาแล้วจัดอาหารไป แล้วไปวางไว้ แล้วเคาะโลงก๊อก ๆ “พ่อกินข้าว...แม่กินข้าว” เหมือนกันเลย ตอนท่านมีชีวิตอยู่ทำไมไม่เลี้ยงท่านให้ดี ? ตอนตายดันไปเรียกให้กินข้าว..!
สิ่งที่ในหลวงท่านอยากเห็นที่สุดก็คือ คนในชาติทำตามพระราชดำริของพระองค์ท่าน เพราะทุกอย่างที่พระองค์ท่านทำ ก็เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็มักจะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักพออยู่พอกินตามหลักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน ก็ในเมื่อพระองค์ท่านทรงพระชนมชีพอยู่ไม่ได้ทำให้เห็น มาทำเอาตอนตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ? ก็พอ ๆ กับที่ไปเคาะโลงเรียกพ่อแม่กินข้าวตอนตายนั่นแหละ แต่ก็ยังดีที่ยังทำบ้าง ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย"
"ที่วัดท่าขนุน อาตมาจัดสวดอภิธรรมตอน ๖ โมงเย็น วัดอื่นเขาจะสวดตอนบ่าย ๓ โมง ๕๒ นาที ตามเวลาที่ประกาศว่าพระองค์ท่านสวรรคต อาตมาเอาตอนเย็นเพราะว่าเป็นเวลาทำวัตร ถึงเวลาสวดพระอภิธรรมเสร็จ ก็อาศัยโยมที่มาร่วมงานทำวัตรต่อไปเลย ได้ทำความดี ๒ รอบ เพราะว่าทางการไม่ได้กำหนดว่าจะเอาเวลาไหน แล้วแต่ทางวัดสะดวก
เพียงแต่มีหลายวัดที่จัดแล้วก็ประกาศหาเจ้าภาพ บรรดาหน่วยราชการเอกชนอะไรต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แล้วเจ้าภาพตั้งเดือนหนึ่งต้องมีทุกวันไม่ใช่หาง่าย ๆ เพราะว่าหลาย ๆ วัดก็จัดกันทั้งนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักคุณยายตุ้มบ้างไหม? คุณยายตุ้มอายุ ๑๐๒ ปี เป็นคุณยายที่ถือดอกบัวเหี่ยว ๆ รอรับเสด็จ คุณยายไปรอรับเสด็จตั้งแต่เช้า กว่าในหลวงจะไปถึงก็เย็น ดอกบัวเหี่ยวคามือเลย แต่ในหลวงก็ทรงก้มลงไปรับ กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ ใครว่าเข้าเฝ้าในหลวงต้องแต่งตัวดี นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวก็เข้าเฝ้าได้
พระองค์ท่านเสด็จไปถึงบ้านเขาโดยที่ไม่มีใครบอกก่อน ชาวบ้านก็อยู่บ้านตามสบาย นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวก็เข้าเฝ้าทั้งอย่างนั้น ขำที่ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เล่าให้ฟังว่า ในหลวงไปเยี่ยมบ้านชาวเขา แล้วเขาก็เอาเหล้าข้าวโพดมาเลี้ยง เทใส่ถ้วยพลาสติกเก่า ๆ มาถวาย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างเมรุวัดท่าขนุน ตั้งงบไว้ ๑๕ ล้านบาท ขอแสดงความยินดีกับตัวเองด้วย ทะลุไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ยังไม่เสร็จ...! หมดไป ๑๗ ล้านกว่า ๆ แล้ว
ช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้เคยเตือนไว้ว่า ถ้ามีคนป่วยหรือคนแก่ให้ดูแลดี ๆ เนื่องจากช่วงอากาศเปลี่ยน คนแก่หรือคนป่วยทนไม่ไหวมักจะตายกัน ที่ทองผาภูมิ พระสังฆาธิการ คือ เจ้าอาวาสวัดสะพานลาว มรณภาพ ๑ รูป ญาติโยมก็ตายติด ๆ กัน ๓ ศพ เอาไปเผาวัดท่าขนุนอีกศพหนึ่งแล้ว เมรุนี้ดูท่ากิจการจะรุ่งเรือง...! ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จเลย เผาได้เผาดี"
"ตอนนี้บูรณะกุฏิใหม่หลวงปู่สายเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังบูรณะกุฏิเก่าต่อ ปรากฏว่าช่างทำไปก็หัวเราะไป ช่างบอกว่าทรงกุฏิประหลาด หน้าจั่วตั้ง ๖ เมตร แต่กุฏิกว้างไม่ถึง ๖ เมตร ความจริงกุฏิหลวงปู่กว้างประมาณ ๒ เมตรครึ่งเอง แต่อาตมาทำคร่อมห้องน้ำที่อยู่นอกกุฏิไปด้วย ก็เลยออกมาหน้าตาประหลาด
ช่างก็บอกว่าจะทำอย่างไรครับ เพราะไม่อยู่ในสูตรไหนเลย ? อาตมาบอกให้พยายามปรับหน่อย ท้ายสุดก็ต้องยกหลังคาขึ้นมาประมาณเมตรกว่าเพื่อให้ได้รูป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทรงไทยที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดในโลก
วันก่อนมีโยมอยู่รายหนึ่ง เคยบวชที่วัดท่าขนุนเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน เข้ามาแล้วเดินถามพระว่า นี่ใช่วัดท่าขนุนหรือเปล่า ? ....(หัวเราะ).... บอกว่าวัดนี้ปีต่อปีคุณก็จำไม่ได้แล้ว นี่คุณไม่ได้มา ๒๐ กว่าปี จะไปจำอะไรได้ เขาบวชกับหลวงปู่สาย หลวงปู่สายมรณภาพไป ๒๔ ปีแล้ว แสดงว่าเขาเป็นลูกศิษย์รุ่นท้าย ๆ เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ พอพระครูกาญจนวิสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดสะพานลาวมรณภาพ เขาก็แต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาส
ท่านที่รักษาการเจ้าอาวาส คือ ท่านวิชัย ปภสฺสโร บวชรุ่นเดียวกับพระครูกิตติกาญจนธรรม เจ้าคณะตำบลปิล็อก ไม่ได้บวชรุ่นเดียวกันเฉย ๆ บวชวันเดียวกัน ชุดเดียวกัน เวลาเดียวกันด้วย แต่คนหนึ่งเป็นเจ้าคณะตำบล เป็นพระครูสัญญาบัตรไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งเพิ่งจะขึ้นมารักษาการเจ้าอาวาส
ของบางอย่าง ถ้าไม่ทำไว้หรือทำไว้ช้ากว่าเขา โอกาสได้ก็ยาก อาตมาถึงได้เตือนว่า เรื่องทำบุญให้ทำไว ๆ ทำง่าย ๆ ไว้ ทำง่ายทำไว ถึงเวลาเราก็ได้อะไรง่าย ๆ ได้อะไรไว ๆ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประกาศรับสมัคร ๘๙ รูปถวายในหลวง ที่ต้องการบรรดา "ทิด" เพราะงวดนี้อาตมาไม่มีเวลาอบรม ต้องเอาคนเก่า ก็มีพวกคนใหม่พยายามเสนอตัวเข้ามา บอกว่าไม่ต้อง เขาก็พยายามที่จะเอาให้ได้ จะไปขานนาควันนั้นวันนี้ อาตมาบอกว่าไม่ต้อง ถ้าอนุญาตหนึ่งคนแล้วก็ต้องอนุญาตทั้งหมด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่ใช่ระยะนี้ที่ราคาเงิน ราคาทอง ขึ้น ๆ ลง ๆ เอาแน่ไม่ได้ และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นอีกมาก อาตมาก็ว่าจะซื้อเอง ปกติแล้วไม่ค่อยรบกวนโยมหรอก ปรากฏว่าบางวันเหวี่ยงขึ้นลง +๓๐๐ บาท +๔๐๐ บาท แล้วอาตมาซื้อทีหนึ่ง ๒๐๐-๓๐๐ กิโลกรัม ราคาจะต่างกันมากระดับหลายแสน
อาตมาก็เลยผลักภาระให้โยม ไปจัดการกันเอง ซื้อกันคนละกิโลกรัมก็คงไม่แพงเท่าไร ถ้าซื้อทีเป็นร้อยกิโลกรัม ต่างกันแค่ +๑๐๐ ก็แย่แล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยในระยะนี้ที่เขาเลิกเล่นกัน หันไปเล่นเครื่องรางแทน เพราะมีการมาเปิดโปงกันว่า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดเอาแม่พิมพ์ เอาผงของวัดไปพิมพ์เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะเลย โดยเฉพาะสมเด็จแหวกม่าน ก็เลยหันมาเล่นเครื่องราง พวกตะกรุด เชือกคาด แหวนแขน ฯลฯ ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำเสร็จแล้วทำไมคณะกรรมการไม่ทำลายแม่พิมพ์ หรือเห็นว่าเป็นรูปพระก็เลยไม่กล้าทำลาย
อาตมาทำลายแม่พิมพ์ด้วยวิธีบรรจุพระองค์ใหญ่ วัตถุมงคลของวัดท่าขนุนทุกรุ่น ลงมาจนถึงก่อนเหรียญพุทธบารมีรุ่น ๒ แม่พิมพ์บรรจุอยู่ในสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก วัดหนองบ้านเก่า ใครอยากเอาไปปลอมก็ต้องไปทุบสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่แล้วเอาแม่พิมพ์ออกมา...! บรรจุถวายเป็นพุทธบูชาไปเลย หมดเรื่องหมดราวไป
แม่พิมพ์วัตถุมงคลรุ่นหลัง ๆ กำลังหาที่เหมาะสมบรรจุต่อ ตอนนี้ที่ดูอยู่ คือ วัดบ้านห้วยน้ำขาว กำลังสร้างโบสถ์ใหม่ ถึงเวลาก่อฐานพระประธานเมื่อไรก็นิมนต์เลย ตอนนี้แบบที่เหลืออยู่ล่าสุด คือ แบบเหรียญพุทธบารมีรุ่น ๒ สมัยก่อนบรรดาช่างเขาทำลายแม่พิมพ์ด้วยการใช้หินเจียรคาดกลาง แต่แบบนั้นเท่ากับทำลายรูปพระไปด้วย เป็นเรื่องที่ไม่สมควร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศจีนจัดสวดมนต์ถวายในหลวงอย่างใหญ่โต เมื่อวานนี้ประเทศญี่ปุ่นเกทับ ....(หัวเราะ)... จัดใหญ่กว่า แต่ที่น่าชื่นชมที่สุดก็คือ ภูฏาน
ภูฏานทั้งประเทศทุกวัดต้องจัดถวายในหลวง เป็นคำสั่งของกษัตริย์จิกมี ถ้าใครไปดูในพระบรมมหาราชวังของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านติดพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงคู่กับสมเด็จพระราชบิดา จะเห็นว่าทันทีที่ในหลวงสวรรคต พระองค์ท่านเสด็จถึงไทยวันนั้นเลย แล้วมีใครรู้บ้างว่า วันที่ ๑๓ ตุลาคม เป็นวันครบรอบราชาภิเษกสมรสของพระองค์ท่าน ? แทนที่จะจัดฉลองกันที่ประเทศตัวเอง กลายเป็นพาพระราชินีและพระโอรสมาเมืองไทยแทน
ส่วนใหญ่บรรดาผู้นำประเทศมักจะส่งลูกไปเรียนทางตะวันตก แต่ภูฏานส่งลูกมาเรียนประเทศไทย..! สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ก่อนของภูฏาน ต้องบอกว่ามีสายพระเนตรยาวไกลมาก นอกจากมีพระโอรสที่ขึ้นครองราชย์ถัดมา สามารถรับพระราชภาระแทนได้แล้ว ถ้าหากว่าไม่แน่นอน พระองค์ท่านที่เพิ่งพระชนมายุ ๕๐ เศษ ยังมีโอกาสยืนคอยค้ำบัลลังก์ให้กับกษัตริย์องค์ใหม่ แต่ปรากฏว่ากษัตริย์จิกมีองค์ใหม่ เป็นที่เคารพรักของชาวบ้านพอ ๆ กับสมเด็จพระราชบิดา
อ่านข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน เพิ่งจะเสด็จขี่ม้าขี่ลาและดำเนินด้วยพระบาทไปยังหมู่บ้านที่อยู่หลังเขา ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทาง ๒-๓ วันกว่าจะออกมาโลกภายนอกได้ พระองค์ท่านบอกว่า ประเทศภูฏานเป็นประเทศเล็ก ประเทศไทยใหญ่กว่าหลายเท่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยยังเสด็จไปได้ทุกตารางนิ้ว แล้วประเทศภูฏานที่เล็กกว่า พระองค์ท่านก็ต้องไปได้เช่นกัน"
"ทั่วโลกเห็นความดีของในหลวง ขณะที่คนไทยส่วนหนึ่งหูหนวกตาบอดขนาดไหน จึงมองไม่เห็น ไม่เห็นยังไม่พอ ยังหาเรื่องด่าไปเรื่อย โดยเฉพาะฝรั่งที่ไม่รู้จริง เอาเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาตีมูลค่า แล้วว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ถ้าเป็นสมบัติของพระองค์ท่านจริง พระองค์ท่านก็รวยที่สุดในโลก
แต่รู้ไหมว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของที่คณะราษฎร์ยึดไปจากในหลวงรัชกาลที่ ๗ แล้วตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้นมาเพื่อบริหาร ก็แปลว่าเป็นของทางราชการทั้งหมด ไม่ใช่ของในหลวงอีกแล้ว แต่มีคำว่าส่วนพระมหากษัตริย์ เขาก็เลยเหมาว่าเป็นของพระมหากษัตริย์ ไอ้พวกปัญญานิ่มก็ไม่พยายามที่จะศึกษาที่มาที่ไปกันเลย"
"ต้องบอกว่าคนเราดีแต่จับผิดคนอื่น โบราณท่านว่า แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา
อาตมาเคยเล่าตัวอย่างลูกอีช่างติ มีคนบอกว่าหลวงพ่อพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทย เขาก็ไปเดินดูซ้ายดูขวาดูหน้าดูหลัง ดูจนครบแล้วก็บอกว่า "ก็สวยหรอก เสียอย่างเดียว...พูดไม่ได้..!" อุตส่าห์หาที่ติจนได้ ถ้าอาตมาเป็นพระพุทธชินราชจะไม่พูดหรอก แต่จะถีบมันแทน...!
คนประเภทนี้ที่ไหนก็มี เขาเรียกประเภทมือไม่พายแต่เอาตีนราน้ำ นอกจากไม่ช่วยสร้างความเจริญแล้ว ยังคอยถ่วงความเจริญเขามาตลอด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอในหลวงสวรรคตสถานการณ์บ้านเมืองกลายเป็นคลื่นใต้น้ำ ที่กลายเป็นคลื่นใต้น้ำเพราะว่าจากที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันก็สามัคคีกันชั่วคราว แต่หลังจากงานถวายพระเพลิงพระบรมศพเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ต้องดูว่ายังจะสามัคคีกันไหม ?
ช่วงเปลี่ยนผ่านมักจะมีความวุ่นวายเสมอ เพราะบุคคลก็ย่อมมีทั้งได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ฝ่ายที่เสียประโยชน์ก็อาจจะก่อความวุ่นวายขึ้นมา หรือฝ่ายที่ได้ประโยชน์อาจจะสร้างสถานการณ์เสียเองเพื่อใส่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้น...ช่วงเวลาอย่างนี้ต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มาก ๆ โดยเฉพาะเราจะเห็นว่า พอสิ้นในหลวงลงทางด้านปักษ์ใต้ของเราก่อการร้ายกันแหลก เพราะฉวยโอกาสต้องการดูสมรรถภาพของทางทหารตำรวจของเรา ว่าในช่วงที่สิ้นผู้นำอย่างในหลวง จะเอาอยู่ไหม ?
เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของการข่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตามให้ทัน แต่ว่าปักษ์ใต้นั้นตามทันยาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาเป็นพวกเดียวกันหมด คนต่างถิ่นเข้าไปแม้แต่คนเดียว ก็เป็นอันว่าเขาเห็นอย่างชัดเจน จึงเข้าไปสืบข่าวยาก"
"สมัยก่อนที่มี ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) เจ้าหน้าที่บางคนฝังตัวอยู่ ๒๐-๓๐ ปี จนกระทั่งเหมือนอย่างกับเป็นชาวบ้านด้วยกัน เพียงแต่ว่าเวลาไปตลาดไปทำอะไร ก็แอบแวบไปส่งข่าว พอมายุคนายกฯ ทักษิณเห็นว่า ศอ.บต.ใช้งบประมาณเยอะมาก นายกฯ ทักษิณจะคิดถึงแต่เรื่องตัวเลขกำไรขาดทุน ก็เลยสั่งยุบ ศอ.บต.
พอยุบลง บรรดาเจ้าหน้าที่การข่าวที่ฝังตัวในพื้นที่ก็อยู่ไม่ได้ เพราะนอกจากงานหมดแล้ว ก็เงินหมดอีกด้วย จึงต้องถอนตัวออกมา คราวนี้เขาก็รู้หมดว่าใครเป็นใคร จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ได้แล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราจะเห็นว่า พอเหตุการณ์ประทุขึ้นมาที เราเอาไม่อยู่แม้แต่ครั้งเดียว เพราะว่าการข่าวของเราเหมือนกับโดนปิดหูปิดตา ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า พวกเดียวกันเองเขาเห็นการทำชั่วของพวกเดียวกันไม่ได้ แล้วแอบมาส่งข่าวให้บ้าง
บ้านเราเมืองเราจึงต้องรอหลังงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ว่าจะออกไปเป็นอย่างไร เพราะว่าช่วงนี้ชาวบ้านที่เดือดร้อนก็เริ่มมีการแสดงออกแล้ว คนเราถ้าท้องหิวขึ้นมาก็ไม่กลัวลูกปืนหรอก เพราะอดก็ตาย โดนลูกปืนก็ตาย"
พระอาจารย์กล่าวถึงย่ามที่ท่านใช้เป็นประจำว่า "ในย่ามใบนี้เท่ากับมีสมเด็จพระสังฆราชอยู่ด้วย ๓ พระองค์ พระองค์แรกอยู่ที่นี่ ที่ผ้ารับประเคนตราสัญลักษณ์ ญสส. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานให้ตอนฉลองพระชนมายุ ๘๔ พรรษา แล้วก็มาองค์ที่ ๒ เป็นเจ้าของย่าม คือหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ประทานให้ตอนฉลองอายุ ๘๕ พรรษา แล้วก็พระองค์ที่ ๓ เจ้าของกระเป๋าใส่สตางค์ใบนี้และเข็มกลัด คือ หลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพราะฉะนั้น...ถือย่ามไปทีหนึ่งเท่ากับมีสมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปด้วยถึง ๓ พระองค์"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของงานบวช ถ้าตั้งใจจะให้อาตมาเป็นพระอุปัชฌาย์ ต้องให้อาตมากำหนดงานเอง เพราะอาตมาไม่ค่อยจะว่าง ไม่ใช่ว่าคุณกำหนดวันที่ตัวเองว่างแล้วไป คงจะได้บวชอยู่หรอก..!"
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเดือนก่อนวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ อาตมาเอาวัตถุมงคลต่าง ๆ ไปหลอมเพื่อทำเป็นชนวนในการสร้างวัตถุมงคลรุ่นต่อไป เกิดเรื่องมหัศจรรย์ที่ตนเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนก็คือ มีมีดหมอส่วนหนึ่งหลอมเท่าไรก็ไม่ละลาย ใช้ถ่านหินหมดไป ๓ กระสอบ เร่งไฟด้วยพัดลมหอยโข่ง ๒ ชั่วโมงเต็ม ๆ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมละลาย
ช่างเขาใช้เหล็กเส้น ๘ หุน เป็นเหล็กข้ออ้อย กระแทกกระทุ้งจนกระทั่งใบมีดหงิกงอม้วนเป็นก้อนลงไป เหล็กเส้นยังละลาย แต่ใบมีดไม่ละลาย ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องเก็บกลับมา
ช่างเขาบอกว่า “อาจารย์หลอมนานขนาดนี้ก็ได้พลังไปเยอะแล้ว” เขาว่าอย่างนั้น ท้ายสุดก็เลยเก็บกลับมา เอาไปให้ช่างตีมีด บอกว่าช่วยตีให้กลับคืนรูปที เดี๋ยวจะเอาออกประมูลทั้งอย่างนั้นแหละ ใครอยากได้ให้เอาไปใส่ด้ามเอาเอง เพราะว่าอาตมาถอดด้ามหมดแล้ว ด้ามก็ป่นเป็นผงไปเพื่อใช้อุดตอนบรรจุแล้ว
ที่จำได้ก็มีของหลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง หลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล หลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว ถ้าถามว่าสามรูปนี้เป็นใคร ? ท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ แล้วที่ยังไม่ละลายอีกก็มีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะท่านทั้งหลายอยู่รวมกันเลยทำให้เล่มอื่นไม่ละลายไปด้วยหรืออย่างไร ? และกระทั่งของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ที่เป็นรุ่นลูกศิษย์หลานศิษย์ก็หลอมไม่ละลาย ที่ละลายแน่ ๆ มีอยู่เล่มเดียวคือพระขรรค์ของหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ท่านยอมรับการขอขมา ยอมให้เอาไปทำวัตถุมงคลอื่น ๆ ได้"
"มีดหมอโบราณหน้าตาดูไม่ดี แต่คุณภาพสุดยอด แบบที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรได้รับจากหลวงปู่ยิ้มไป แล้วก็เห็นว่าของพระองค์ท่านเองมีมีดมีพระขรรค์สวย ๆ เยอะแยะ มีดหน้าตาชาวบ้านแบบนี้ดูไม่ค่อยจะดี พระองค์ท่านก็เลยโยนน้ำไป ปรากฏว่ามีดหมอลอยทวนน้ำกลับไปวัดหนองบัว..!
แล้วไม่ใช่ว่าตัวมีดไม่ละลายอย่างเดียวนะ แม้กระทั่งเหล็กรัดปลอกก็ไม่ละลาย อะไรจะปานนั้น ถามบรรดาช่างตีมีดว่าเป็นไปได้ไหมที่ความร้อนยังไม่ถึง ๑,๕๐๐ องศา ? ช่างเขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ขนาดใช้ถ่านธรรมดา ถ้าเร่งด้วยพัดลมหอยโข่งแบบนี้ความร้อนต้องเกินอยู่แล้ว แล้วขนาดเหล็กเส้น ๘ หุนยังละลาย มีดหมอบาง ๆ กลับไม่ยอมละลาย
ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นมีดกะไหล่ เข้าใจคำว่ากะไหล่ไหม ? เพราะว่าอย่างอื่นที่ละลายเคลือบหน้ามาด้วย บรรดาตะกรุดของหลวงปู่หลวงพ่อสารพัดสารเพที่หลอมไปด้วย เคลือบใบมีดมาเสร็จสรรพ ตกลงว่าท่านเอากำไร"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีธนบัตรในหลวง เจอเลขสวย ๆ ให้เก็บไว้บ้างนะ ถึงเวลาเขายกเลิกจะได้มีเป็นที่ระลึก แต่ก็อย่าเก็บมาก เก็บมากเดี๋ยวจะผอม...!"
ถาม : ทำความสะอาดวัดมีอานิสงส์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาอานิสงส์ทำความสะอาดอย่างเดียวก็ฉลาดน้อยไปหน่อย ทำความสะอาดเสร็จให้ไปอธิษฐานขอกับพระประธาน ขอให้เราหมดกิเลสได้ง่าย ๆ เหมือนกับที่ทำความสะอาดวัด
ถาม : แล้วพระพุทธรูปทำความสะอาดอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้ปิดทองก็เช็ดล้างได้ตามปกติ ถ้าปิดทองก็อย่าไปแตะ ถ้าจำเป็นก็ใช้เครื่องเป่าลมเป่าเอา
ถาม : ใช้ซันไลต์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าปิดทองใช้ซันไลต์ก็บรรลัยหมด..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่รู้หรือว่าตอนนี้ที่บ้านเมืองเราสงบเพราะว่าในหลวงสิ้น ? เดี๋ยวรอดูถวายพระเพลิงเสร็จสิ ทุกวันนี้ที่ลุ้นอยู่คืออย่าให้ระเบิดก่อนถวายพระเพลิง..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวยเป็นพระที่รักลูกศิษย์อย่างเหลือเชื่อ ถ้าเพื่อลูกศิษย์แล้วท่านทำให้ทุกอย่างจริง ๆ อาตมายังทึ่งเลยว่าพระที่รักลูกศิษย์ขนาดนี้ยังมีอยู่ พวกเราไม่ได้มาสายเดียวกับหลวงพ่อกวย
หลวงพ่อกวยท่านพระโพธิสัตว์แท้ ท่านช่วยเขาทุกเรื่อง ส่วนพวกเราถ้าเกินกำลังก็ปล่อยวาง แต่ของท่านไม่ใช่ ท่านช่วยทุกเรื่อง ต้องบอกว่าท่านเป็นหนึ่งในพระอาจารย์ในดวงใจของอาตมา เรื่องของสายธรรมครูบาอาจารย์บังเอิญทับรอยกันพอดี ถ้าได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็ถือว่าโชคดี ต้องทำบุญร่วมกันมากี่ชาติก็ไม่รู้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเรามาทำบุญแต่ส่วนใหญ่แล้วตั้งกำลังใจผิด มาถวายสังฆทานก็จริง แต่กำลังใจมุ่งมาว่าถวายพระอาจารย์เล็ก ถวายหลวงพ่อเล็ก
ถวายสังฆทานเราต้องนึกถึงหมู่สงฆ์ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ไม่ใช่นึกถึงพระอาจารย์เล็กที่นั่งอยู่ตรงนี้ อาตมาเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้น
ฉะนั้น...ถ้าเรานึกผิด ยึดผิด เกาะผิด บางทีก็ได้บุญน้อยกว่าที่คิดนะ ยังโชคดีว่าอาตมายังไม่สิ้นสติ ไม่ว่าโยมจะนึกผิดหรือนึกถูก อาตมาก็เอาลงสังฆทานไว้เสมอ ถ้าเป็นที่อื่นเดี๋ยวก็บุญหายเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จริง ๆ แล้วท่านเป็นพระอาจารย์รุ่นหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่คนกลับรู้จักท่านน้อย รู้ไหมว่าเหรียญหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เป็นเหรียญนอกเบญจภาคีที่มีโอกาสราคาขึ้นถึงหลักล้าน เขาแบ่งเป็นพระอาจารย์รุ่นหลังปี ๒๕๐๐ ความจริงท่านบวชก่อน เกิดก่อน แต่มาปรากฏชื่อเสียงช่วงหลังปี ๒๕๐๐
อย่างหลวงพ่อแดงท่านสร้างเหรียญรุ่นแรกปี ๒๕๐๓ ต้องไปถามพวกทหารแถวเพชรบุรีถึงจะรู้ว่าหลวงพ่อแดงเป็นอย่างไร แถวเพชรบุรี ถ้าเอ่ยก็ต้องหลวงพ่อโสก วัดปากคลอง หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เมืองเพชรเกจิอาจารย์ดัง ๆ เยอะมาก พอ ๆ กับนครปฐม อย่างในยุคหลัง ๆ ยังมีหลวงพ่อตัด วัดชายนา หลวงพ่อแล วัดพระทรง
หลวงปู่ฉุย วัดคงคาราม นั่นเป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงพ่อแดงอีกที ยังมีหลวงพ่อจิตร วัดสัตตนาถปริวัตร พระเกจิอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ถ้าขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ส่วนใหญ่แล้วความสามารถเกินตัวทั้งนั้น ไม่ใช่แค่พอตัวนะ เกินตัวทั้งนั้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กระทู้ใหม่ที่จะลงมีมีดหมอของหลวงพ่อเดิมอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งความจริงน่าจะต้องเก็บไว้เอง ช่างตีลายเศียรพระฤๅษีชัดและสวยมากเลย ประเภทนั้นน่าจะเป็นมีดครู
แต่เราต้องเข้าใจคำว่า "ฤๅษี" ไม่ใช่ฤๅษีแบบลิเกนะ ฤๅษีก็คือฆราวาสที่นุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรม ถ้าไม่มีเวลาไปตัดผมก็เกล้ามวย ก็แค่นั้นเอง แต่คนไปคิดว่าฤๅษีเป็นประเภทนุ่งห่มหนังเสือ ไปห่มแบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า ? ยิ่งคนโบราณเขาถืออยู่ว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์
ฤๅษีที่มีชื่อเสียงมาก ๆ ที่ปรากฏ ก็คือ ฤๅษีสุกกทันต์กับฤๅษีวาสุเทพ ที่ช่วยกันสร้างเมืองเชียงใหม่กับเมืองละโว้ พระฤๅษีที่ช่วยสร้างพระผงสุพรรณ พระฤๅษีที่ช่วยกันสร้างพระท่ากระดาน โดยเฉพาะฤๅษีพิมพิลาไลย ฤๅษีนารอท ฤๅษีตาวัว ฤๅษีตาไฟ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีตัวตนจริง ๆ หลายท่านเป็นพระอรหันต์ หลายท่านเป็นพระพรหมอนาคามี เพราะสมัยก่อนเขาปฏิบัติกันจริงจัง พอมีความสามารถก็ได้รับการอัญเชิญมาสร้างวัตถุมงคลบ้าง ช่วยสร้างเมืองบ้าง ดูทำเลตั้งเมืองบ้าง"
ถาม : ฤๅษีโบโบอ่องล่ะครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นฤๅษีทางพม่า ฤๅษีทางพม่าที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ฤๅษีโบโบอ่อง ฤๅษีโบมินข่อ ฤๅษีอูคันตี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็แบบเดียวกัน นุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมอยู่ โดยเฉพาะเขาโป๊บป้าสมัยก่อนไม่มีทางขึ้นนะ ไม่มีทางขึ้นลงแต่ท่านขึ้นไปปฏิบัติธรรมกันอยู่ข้างบน เป็นยอดภูเขาไฟที่อยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมากลางทุ่งเฉย ๆ แล้วเขาขึ้นลงอย่างไร ? เรื่องนี้ต้องคิดเหมือนกัน
ฉะนั้น...ไม่แปลกหรอกว่าทำไมท่านจึงกลายเป็นที่เคารพนับถือของคนจำนวนมาก ฤๅษีทั้งหลายที่เอ่ยนามมา บางท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ บางท่านก็กลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว บางท่านก็ยังเป็นพระพรหมอนาคามีอยู่
เวลาระลึกถึงท่าน ใช้คำรวมก็ได้ ท่านเคยบอกว่า นึกถึงบรมครูฤๅษีทั้ง ๑๐๘ ตน ถ้าเรานึกถึงท่าน นึกถึงถูกองค์ ท่านก็สงเคราะห์เราได้มากกว่า ถ้าเหวี่ยงแหมั่วไปหมดก็ไม่รู้ว่าจะสงเคราะห์อย่างไร สำคัญตรงที่ต้องรู้จักท่านด้วย
แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง รู้จักสมเด็จองค์ปฐม หลังจากที่ท่านเปิดออกมา แต่ละคนก็แห่สร้างตามกันเต็มประเทศไทย เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะมหานิกายหรือธรรมยุตสร้างสมเด็จองค์ปฐมกันแหลกราญเลย ก็ดีอยู่อย่างว่าเป็นการเผยแผ่เกียรติคุณของพระองค์ท่าน แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ ทำอะไรมักง่าย ไม่เคารพ ไม่รู้จัก ไม่มีความคุ้นเคยเลย แต่ไปเรียกใช้ท่าน
มีอยู่วัดหนึ่งทางด้านอำเภอหนองปรือ สร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ปรากฏว่าหล่อ ๓-๔ เที่ยวก็ไม่สำเร็จ ลักษณะว่าไม่รู้จักท่านจริง เห็นท่านมีชื่อเสียง ถ้าสร้างไว้จะดึงคนเข้าวัดได้ ช่างคนเดียวกันกับที่หล่อพระประธานวัดท่าขนุน เครื่องมือก็ชุดเดียวกัน ทำที่วัดท่าขนุนไม่มีปัญหา ฤกษ์เดียวกันด้วย หล่อของวัดท่าขนุนเสร็จก็ต้องวิ่งไปหล่อให้เขา วันเดียวกัน แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ เครื่องมือเครื่องไม้พังไม่พอ แบบก็พังด้วย หล่อออกมาพรุนเป็นรังผึ้งเลย ทำเอาช่างประสาทจะกิน
ถ้าเป็นงานของวัดท่าขนุนช่างชุดนั้นมอบกายถวายชีวิตให้เลย ไม่เคยเกี่ยง ทำมากี่ครั้งไม่เคยมีปัญหา แต่พองานวัดอื่นทำแล้วทำไมมีปัญหา ต้องบอกว่าปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเขาไม่รู้จักพระองค์ท่าน ในเมื่อไม่รู้จักพระองค์ท่านแล้วไปสร้างส่งเดช ไม่รู้ด้วยว่าได้ขออนุญาตถูกต้องหรือเปล่า ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่อาตมาเข้าพระกรรมฐาน ๓ วัน ได้เอาพระขรรค์หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือเข้าไปด้วย เพราะว่าเวลาเข้ากรรมฐาน บางทีก็มีผู้หวังดีปรารถนาดี "ส่งของขวัญของฝาก" มาให้อยู่เรื่อย อาตมาขี้เกียจรบราฆ่าฟันกับใคร จึงอาราธนาพระขรรค์หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ไว้ที่หัวเตียง ปรากฏว่าหลวงพ่อแจ่มท่านมา เนื่องจากอาตมาบ่น ๆ ว่า "ศึกษาวิชาสายของท่านไม่ทัน"
คนรุ่นหลังมักจะคิดว่าหลวงพ่อแจ่มใช้กรดกัดเหล็กจนเป็นยันต์นูนขึ้นมา แต่ความจริงแล้วท่านเขียนยันต์แล้วแช่น้ำมนต์ ยันต์จะนูนขึ้นมาเอง ตัวยันต์บาง ๆ ขนาดนั้นจะไปเอากรดกัดอีท่าไหน
หลวงพ่อแจ่มท่านบอกว่าให้ไปหาลูกศิษย์ของท่านรูปหนึ่งที่ชุมพร ท่านบอกชื่อ บอกที่อยู่ไว้ ท่านว่าอายุมากแล้วต้องรีบไปเหมือนกัน ถ้าหากว่าไปครอบครูแล้วก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายของท่าน เรียนวิชาของท่านได้
แต่พระขรรค์เล่มที่ได้มาต้องบอกว่าเสียดายแทนเจ้าของ หลวงพ่อแจ่มท่านเขียนเอาไว้ชัด ๆ เลยว่า "ประจำตระกูลแซ่ตั้ง" ไม่รู้ว่าลูกหลานไม่รู้จักของดีหรืออย่างไร เอามาขายเสีย ท่านทำให้ชนิดสุดจิตสุดใจจริง ๆ ลงวิชาความรู้ไว้ครบถ้วนยังไม่พอ ด้ามแกะยังเป็นท้าวเวสสุวรรณที่สวยมาก ๆ
เมื่อไรอาตมามีโอกาสลงไปชุมพร คงไปต้องแบกบายศรีไปด้วย เพื่อไปขึ้นครู"
"หลวงตาวัชรชัยเคยชวนไปหาหลวงลุงวงศ์ หลวงตาบอกว่า "สมาธิแกดี ภาวนาคาถาไม่นานก็ได้ผลแล้ว" เลยชวนไปเรียน แต่ช่วงนั้นอาตมาไม่กล้าทิ้งหลวงพ่อวัดท่าซุง
หลวงตาวัชรชัยแต่เดิมเป็นคนอยุธยา ท่านคุ้นเคยกับหลวงลุงวงศ์ หลวงลุงวงศ์เป็นศิษย์หลวงปู่แจ่ม หลวงลุงวงศ์เรียนวิธีจารอักขระลงเนื้อเหล็กแล้วแช่น้ำมนต์ให้นูนขึ้นมา บอกให้รีบไปเรียน ปรากฏว่าถ่วงกันไปดึงกันมา ท้ายสุดหลวงลุงมรณภาพไปก่อน
ถ้าเป็นอาตมา ของที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้เป็นของประจำตระกูล คงไม่กล้าขยับไปไหน เหมือนกับมีดหมอหลวงพ่อกวยที่ท่านทำให้เฉพาะลูกศิษย์ที่เป็นพระ อาตมาก็ไม่กล้าขยับไปไหน ปูผ้าขาววางบนแท่นไว้บนโต๊ะหมู่เลย แต่ว่าพอคนรุ่นหลัง ๆ ไปแล้ว ข้าวของหลุดมาเพราะว่าลูกหลานไม่รู้จักของ ไม่เห็นคุณค่า ไม่มีประสบการณ์เหมือนกับรุ่นรุ่นปู่รุ่นพ่อ เลยเอาไปขายเอาเงินใช้ดีกว่า"
ถาม : เวลาเข้าป่า นอนกลางดินกินกลางทราย ระหว่างอิติปิ โสฯ ๘ ทิศ กับขีดแม่พระธรณีด้วยมีดหมอ อย่างไหนจะดีกว่ากันคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่ค่อยขีดด้วยมีดหมอ กลัวลืม..ถ้าลืมตรงนั้นก็ไม่ต้องมีใครเข้ามาอีก ส่วนใหญ่จะใช้อิติปิ โสฯ ๘ ทิศ เสกก้อนดินโยนไป ๘ ทิศ อธิษฐานว่าพอสว่างก็ให้หมดอานุภาพ ไม่อย่างนั้นเขตนั้นจะไม่มีใครเข้าได้ ถ้าใช้มีดหมอไปขีดเอาไว้ ถึงเวลาเจ้าของที่เขาจะลำบาก เกิดเราลืมลบขึ้นมานี่ยุ่งเลย
ถาม : ถ้าฝากแม่พระธรณี ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วอาศัยนอนอยู่บนอกแม่ก็สบายแล้ว นึกถึงท่านให้คุ้มครองก็หมดเรื่อง เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ที่ไปด้วยกันท่านชอบนอนเปล อาตมาไม่นิยม ชอบเลื้อยกับพื้นมากกว่า มั่นใจกว่ากันเยอะ
ถาม : เรื่องศีลข้อสอง เวลาเก็บผลไม้ในป่า ใบไม้ใบหญ้า จะผิดไหมคะ ?
ตอบ : คนทั่วไปไม่เป็นไร เป็นพระอย่าไปเก็บ พระโพธิสัตว์ยิ่งไม่สมควรเก็บ
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25416&d=1477575959
มีโยมมารับแม่นางกวัก หลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "หายากมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบไม้ป้ายปูน ประเภทนางกวักลอยองค์มาเดี่ยว ๆ แบบนี้ไม่ค่อยมีหรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครไปสักการะพระบรมศพมาหรือยัง ? ทางทองผาภูมิคุณยายล้วน หวนประไพ บอกว่า “อาจารย์... อิฉันไปตั้งแต่ตี ๒ ยังไม่ได้คิวเลย” ออกจากทองผาภูมิไปตี ๒ ยายจะไปได้คิวอะไร คนอื่นเขานอนที่สนามหลวงกันเลย
ออกจากทองผาภูมิตี ๒ ต่อให้รถไม่ติดเลย มาถึงก็น่าจะถึงประมาณตี ๕ หรือหกโมงเช้า คนอื่นเขานอนรอกันอยู่ มีทางเดียวก็คือต้องตื๊อต่อไปเลย รอคิววันต่อไป...ห้ามกลับ"
ถาม : เป็นหูดใหญ่ค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหูดขนาดใหญ่ก็ไม่ทันแล้ว ถ้าหูดเล็ก ๆ พวกชุมเห็ดช่วยได้ เอาใบชุมเห็ดเพสลาด (ครึ่งอ่อนครึ่งแก่)มาใบหนึ่ง ที่มีใบเล็ก ๆ เป็นแถวประมาณ ๒ นิ้วมือ เอามาย่างไฟเสียหน่อยแล้วกินเข้าไป จะถ่ายอยู่ประมาณวันหนึ่ง แล้วหูดจะยุบหมด แปลกดีเหมือนกัน
ถาม : ต้มหรือคะ ?
ตอบ : เอาไปย่าง ไม่ใช่ต้ม ย่างเกรียม ๆ แล้วก็เคี้ยวกินเข้าไป จะถ่ายอยู่ประมาณวันหนึ่ง ใครเป็นหูดแล้วสู้ไม่ไหวก็ใช้ใบชุมเห็ด แต่ก็แปลก...ถ่ายเสียจนหูดยุบหมด ที่เหลืออยู่ก็ฝ่อหล่นไปเฉย ๆ ไม่รู้ว่าแพ้อะไรกัน
ถาม : ญาติเขาป่วย เจ็บมาก ใส่เครื่องหายใจ ?
ตอบ : ก็ให้เขาพุทโธไป เพียงแต่บอกว่าให้อยู่กับลมหายใจจริง ๆ จัง ๆ ถ้าอยู่กับลมหายใจได้ ก็จะไม่เจ็บ อย่างลุงเดฟเป็นฝรั่งด้วย เป็นกรรมการวัดของอาตมา แกเป็นมะเร็ง ลุงเดฟก็ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร เพราะภาวนาเห็นภาพพระแล้วสบายใจ ลืมเจ็บหมด ลูกหลานเห็นเงียบ ๆ ก็ไปเขย่าเรียก พอหลุดจากสมาธิมาแกก็โวยว่าแกเจ็บ แล้วก็ภาวนาใหม่ ลูกหลานเห็นเงียบเมื่อไรก็ไปเขย่าเรียกอีก คนไม่รู้เรื่องนี่สมควรตายจริง ๆ...! สรุปแล้วลุงเดฟเป็นฝรั่ง ตายแล้วไปเป็นพรหม เราเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ ตายแล้วจะไปเป็นอะไร ?
ถาม : ต้องถึงฌานสี่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น แค่ปฐมฌานก็พอ จิตกับประสาทแยกจากกันก็ไม่รับรู้อาการร่างกายแล้ว บอกเขาว่าภาวนาก็ได้ แต่ให้ภาวนาอยู่กับลมหายใจจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่ปากสักแต่ว่าพุทโธ ๆ ไป
ฝรั่งเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะว่า ทำอะไรแล้วทำจริงจัง เพราะฉะนั้น...เวลาทำอะไรแล้วเขาก็ทำได้ผลง่ายกว่าเรา พวกเราประเภทสบายจนเกินเหตุ เหมือนกับหนูอยู่กับถังข้าวสาร ในเมื่ออยู่บนถังข้าวสารก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินสักที รอแมวมางับหัวเมื่อไรแล้วจะรู้สึก..!
ถาม : ถ้าพื้นที่ธรณีสงฆ์ ทางวัดเอาไปทำเป็นที่พักอาศัยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเช่าที่ก็ปลูกได้ เพียงแต่ว่าไม่มีทางซื้อขาดได้ เพราะถ้าเป็นชื่อวัด จะซื้อได้ต่อเมื่อออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น แปลว่าต้องเข้าคณะรัฐมนตรี สภาบนสภาล่างอนุมัติเสร็จสรรพเท่านั้น
ถาม : แต่เรามีสิทธิ์เช่าได้ ?
ตอบ : มีสิทธิ์เช่าได้ ต่อให้ไปถือครองโดยปรปักษ์โดยที่พระไม่คัดค้านเลย กี่ ๑๐๐ ปีก็ไม่สามารถเอาเป็นของเราได้ เพราะว่ากฎหมายเขาบังคับไว้ เขากลัวกรรมการวัดเอาที่วัดไปขายกระมัง ? ก็เลยออกกฎหมายกันไว้เสียขนาดนั้น
ถาม : บ้านหลังใหม่อยู่แถวไหนคะ ?
ตอบ : อยู่ข้างสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่สายสีม่วง ลงจากสถานีเดินเข้าบ้านเลย เพราะบ้านอยู่ข้างถนนใหญ่ อยู่ที่โน่นจะอบอุ่นกว่านี้เยอะ เพราะว่าบ้านทั้งหลังใส่ลงในห้องนี้แล้วยังเหลือที่ว่างของห้องนี้อีกตั้งเยอะ
ถาม : แล้วท่านย้ายไปทำไมคะ ?
ตอบ : รู้สึกว่าพวกเราห่างเหินกัน อาตมาชอบนั่งคุยกันใกล้ ๆ มากกว่า...!
ถาม : ท่านจะไปลองรถไฟฟ้าสายใหม่หรือคะ ?
ตอบ : เห็นกิจการเขาไม่ดีก็เลยย้ายไปช่วยกิจการรถไฟฟ้าหน่อย เพราะสายนั้นขาดทุน...!
ถาม : ท่านย้ายไปแล้วจะย้ายอีกไหมคะ ?
ตอบ : ก็อาจจะย้ายไปเรื่อย ๆ เพราะว่าถ้าหากว่าที่ตรงนั้นหมดสัญญา ก็ย้ายใหม่ ย้ายบ่อย ๆ จะได้ฝึกความไม่ยึดติด
ถาม : หมอเขาตรวจเจอมะเร็งครับ ?
ตอบ : จะไปกลัวอะไรกับมะเร็ง ถ้าเราไม่กลัว มะเร็งก็จะกลัวเราเอง
ถาม : จะฝากไปอยู่ทำกรรมฐานที่วัดท่าขนุน ?
ตอบ : ถ้าไปอยู่แล้วทำกิจกรรมร่วมกับเขาไม่ได้ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกมา อยู่บ้านดีกว่า ที่วัดมีระเบียบว่า ถ้าไม่ได้นอนโรงพยาบาล กิจกรรมทุกอย่างต้องทำร่วมกัน
อาตมาเจอมาหลายรายแล้ว ถึงเวลาเราไม่กลัวมะเร็ง ก็หายเอาดื้อ ๆ แม้กระทั่งตัวอาตมาเอง โดนกินจนเข้ากระดูก จะเดินไม่ได้อยู่แล้ว พอไม่สนใจทำงานไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ ไปตรวจใหม่ก็หายไปเฉย ๆ ก็แสดงว่าแค่ขู่เราเท่านั้น พอเห็นเราไม่กลัวเข้ามะเร็งก็จากไปเอง
นี่แสดงว่าพวกเราเห็นอาตมาแข็งแรงดี เลยไม่รู้ว่าเคยเป็นมะเร็งมาแล้ว เป็นแล้วก็ไม่ได้บอกใคร แต่ช่วงนั้นโดนกินกระดูก กินเส้นประสาทจนจะเดินไม่ได้ แต่ยังพอขยับได้ก็ทำงานไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ใส่ใจหรอก ทำไปทำมาเดือนกว่าก็หายไปเฉย ๆ ทุกวันนี้หมอก็ยังสงสัยว่าหายได้อย่างไร ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ราคาเงินราคาทองกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ หาความแน่นอนไม่ได้ อาตมาก็เลยผลักภาระให้กับญาติโยมแทน ไปหามาร่วมหล่อพระคนละ ๑ กิโลกรัม
มีครอบครัวแสงอุทัย เคยถวายมาหลายกิโลกรัมแล้ว วันเกิดพ่อ วันเกิดแม่ วันเกิดลูก ถวายมาครั้งละ ๑ กิโลกรัม ครอบครัวนั้นไม่ต้องถวายก็บุญเหลือเฟือแล้ว
ตอนหล่อสมเด็จองค์ปฐมวัดท่าซุงครั้งแรก อาตมาถวายทองคำไป ๗ บาท แล้วก็มีสร้อยมรกตล้อมเพชรอีก ๑ เส้น ว่าจะเก็บไปหมั้นสาวก็หมดโอกาสแล้ว สละปัจจัยถวายบูชาพระไปเลย ต้องบอกว่าพออายุ ๓๐ ไปแล้วเรื่องคิดจะมีครอบครัวก็ชักจะหาย ๆ ไป มาตอนนี้ดีใจมากเลยที่มีลูกเยอะแยะไปหมด ต้องบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ประหลาด ไม่มีเมียก็มีลูกได้"
ถาม : เวลาลูกหลานหลวงพ่อทะเลาะกัน หลวงพี่ก็ไปต่อว่าหลวงพ่อว่ามีลูกเยอะ ?
ตอบ : อันนั้นว่ากันไม่ได้หรอก ตอนโมโหอาตมาก็โทษเปะปะไปเรื่อย ความจริงอยู่ที่พวกเราสันดานเสียกันเอง ทำไมถึงรักกันไม่ได้ ต้องมีการชิงดีชิงเด่นกันด้วย ?
ถาม : มีดหมอหลวงพ่อกวยตีเองหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นรุ่นเก่าท่านทำกันเองในวัด ถ้าเป็นรุ่นหลัง ๆ สั่งทำจากพยุหะคีรี ฉะนั้นรุ่น...แรก ๆ มีเท่าไรก็เก็บไว้เถอะ เพราะว่าท่านสะสมโลหะอาถรรพ์ พอได้สมควรแล้วท่านก็หลอมกันเองตีกันเอง
คนรู้จักแต่ของรุ่นหลัง ๆ เพราะว่าท่านดังมากแล้ว ของรุ่นแรก ๆ ไม่ค่อยรู้จักกัน แต่ก็ดี...เพราะของพวกนี้จะไม่แพงมาก
พระอาจารย์กล่าวถึงพระแก้วใสเก้านิ้วทรงเครื่องว่า "งานเป่ายันต์ครั้งที่แล้วเอาเข้าพิธีไป ๙๔ องค์ อึดใจเดียวก็หมดเกลี้ยง เพราะปกติพระปิดทองคำแท้จะแพง แต่ของเราให้บูชาองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท พักเดียวก็หมดเกลี้ยง ตอนขนเข้าพิธีว่ากันเป็นคันรถ ๙๔ องค์ ตอนบูชาโยมยังได้ไม่ถึงครึ่งแถวเลย...หมดแล้ว"
พระอาจารย์เล่าว่า "เทอมนี้เด็ก ๆ ที่วัดก็ชวดตามเคย บอกว่าถ้าหากว่าสอบได้เกรด ๔.๐๐ เทอมไหน จะให้เงินไปดัดฟัน ปรากฏว่าไม่ได้กันสักทีหนึ่ง ลดลงมาเหลือ ๓.๕๐ ก็ยังไม่ได้อีก เทอมนี้ก็ร่อแร่ได้แค่เกรด ๒ กว่า ๆ ได้ ๒.๘๕ เขาบอกว่าว่า “หลวงพ่อ...หนูหมดอยากที่จะดัดฟันแล้ว”
เวลาเห็นคนอื่นเขาเรียนกันยากลำบาก อาตมาก็สงสัยว่ายากตรงไหนวะ ? ยากตรงไม่เข้าใจใช่ไหม ? ถ้าเข้าใจก็ไม่ยาก แต่ว่าส่วนใหญ่ทำความเข้าใจในวิชาการจะยาก เพราะเขาไม่มีหลัก หลักการก็คือเรียนวิชาอะไร ให้เราศึกษา Scope ก็คือ สังเขปรายวิชากว้าง ๆ หลังจากนั้นเวลาอาจารย์อธิบายวันนี้ว่าด้วยเรื่องอะไร ? หัวข้อหลักคืออะไร ? หัวข้อรองคืออะไร ? ฟังให้เข้าใจว่าหัวข้อรองท่านอธิบายมาอย่างไร ? ถ้าเราฟังแล้วเข้าใจ ก็เท่ากับได้หมดนั่นแหละ ถ้าไม่เข้าใจก็ถาม
อาตมาเรียนอยู่ชั้น ป. ๗ ถามจนคุณครูร้องไห้ คุณครูผู้หญิง ชื่อ ครูเฉลิม โพธิ์ทอง ผู้หญิงสมัยก่อนนี่เขาไม่กลัวนะว่าชื่อเฉลิมจะเป็นชื่อผู้ชาย เพื่อนเรียนชั้นเดียวกันกับอาตมา เป็นผู้หญิงสวยเช้งวับชื่อสมศักดิ์..! แม่อยากได้ลูกชาย พ่อก็อยากได้ลูกชาย ตั้งชื่อไว้ว่าสมศักดิ์ สมัยอาตมาก็ไม่ได้มีอัลตราซาวด์จะได้ตรวจดูได้ว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ออกมาก็ตั้งชื่อลูกประชดเลย เด็กหญิงสมศักดิ์ ก็ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนอะไร เขาก็สมศักดิ์มาเรื่อย คนสวยเสียอย่างจะชื่ออะไรก็ได้"
"ครูเฉลิมสอนวิชาคณิตศาสตร์ อาตมาถามซอกถามแซก ถามจนครูอธิบายไม่ได้ โมโหจนร้องไห้เลย ท่านสอนเรื่องเศษส่วน เศษส่วนจำนวนเกิน เศษส่วนจำนวนคละ “แล้วเศษส่วนมาจากไหน ? ทำไมต้องมีด้วย ?” เจอลูกศิษย์สงสัยแบบนี้นี่ตายเลย เรื่องของคณิตศาสตร์เป็นการลับสมอง ให้เราหาวิธีคิดหลาย ๆ วิธี เพื่อที่จะให้ออกมาเป็นคำตอบนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยได้ใช้งาน ก็จะมีคนอยู่ประเภทเดียวเท่านั้นที่ชอบตัวเลขพวกนี้ ก็คือ พวกประเภทถ้าไม่ใช่อัจฉริยะก็ต้องบ้าไปเลย..!
วันนี้ลูกสาวมาหาแต่เช้า ลูกเจนนี่สอบคณิตศาสตร์ได้ที่ ๑ ของจังหวัด แต่เลือกเรียนสายศิลป์ ครูโกรธมาก “ทำไมเธอไม่เรียนสายวิทย์...หือ ?” เจนนี่บอกว่า “มันยากค่ะ” คนสอบคณิตศาสตร์ได้ที่ ๑ ของจังหวัดบอกว่ายาก แล้วที่เหลือจะรอดไหม ? ท้ายสุดก็กลับไปคิดตัวเลขเหมือนเดิม ปัจจุบันนี้เรียนอยู่ปี ๒ บัญชีอินเตอร์จุฬาฯ คนไม่ชอบตัวเลขต้องไปเรียนตัวเลขก็คงจะเครียดเหมือนกัน แต่ว่าโปรแกรมภาษาอังกฤษน่าจะง่ายกว่าภาษาไทย สอบเข้าทีหนึ่งติดตั้ง ๔ คณะ ทั้งจุฬาฯ ทั้งธรรมศาสตร์ ติดหมดเลย เป็นอินเตอร์โปรแกรมไป ๓ คณะ
นาน ๆ จะมีลูกที่เรียนได้อย่างใจสักที ที่เหลือต้องลุ้นเหนื่อยกว่าตัวเองเรียนเยอะเลย เด็ก ๆ เขาจะถอดใจ อาตมาบอกว่าไม่ต้องถอดใจหรอก เพราะหลวงพ่อเห็นมาเยอะแล้ว ยิ่งโตยิ่งเรียนเก่งก็มี...แปลกดี เหมือนอย่างกับว่าโตแล้วรู้จักคิด หรือมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้ เรียนเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็กเรียนไม่รู้เรื่อง"
ถาม : วันก่อนหนูไปทำกายภาพบำบัด หมอที่ทำกายภาพบำบัดก็ทักว่าหนูเป็นสายพญานาค และมีวิญญาณตามมาเพียบเลย หนูก็ไม่เชื่อ หนูบอกเขาว่าหนูนับถือหลวงพ่อฤๅษี เขาก็บอกว่าหลวงพ่อฤๅษีก็สายพญานาคนั่นแหละ เขาทักหนูเยอะเลย ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก
ถาม : เขาจับตัวหนู จับกระดูก แล้วก็บอกว่า "ร้อนไปหมดเลย แสบไปหมดเลย" หนูก็ว่าอะไรไม่รู้ ?
ตอบ : แสดงว่าเจอหมอไม่เต็มบาท..!
ถาม : หนูก็ว่ามียันต์เกราะเพชร หนูก็มีพระกริ่ง มีอะไรเต็มไปหมด วิญญาณจะมายุ่งกับหนูได้อย่างไร ?
ตอบ :ไม่ต้องไปใส่ใจ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ขืนฟังมากเดี๋ยวก็บ้าไปกับเขาด้วย..!
ถาม : ในวัดท่าขนุนมีสวดพระอภิธรรมถวายในหลวงไหมครับ ?
ตอบ : มีสวดทุกเย็น เป็นระยะเวลา ๑ เดือน
ถาม : ท่านไม่คิดจะเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมในวังบ้างหรือครับ ?
ตอบ : ตูไม่ได้กินอิ่มขนาดนั้น รู้จักคำว่า "เอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง" ไหม ? ต้องใช้หนูกี่ตัวถึงจะพอปะ ? ตูไม่ใช่หนูพุกด้วย ตูเป็นแค่หนูหริ่งตัวกระเปี๊ยกเดียว ไม่คิดที่จะไปดังขนาดนั้น
จำไว้ว่า ถ้าอยากดังก็อย่าไปหวังความสงบ หน่อยแน่...สวดอภิธรรมในวัง ชิชะ...กูยังไม่ได้สิ้นสติขนาดนั้น คนอย่างกูจะดัง ก็ไม่จำเป็นต้องไปโหนสถาบัน...!
ถาม : สวดพระอภิธรรมถวายในหลวงได้อานิสงส์อะไรครับ ?
ตอบ : อันดับแรกได้ความกตัญญู อย่างน้อยก็ได้แสดงการตอบแทนที่เรียกว่ากตเวที อันดับที่ ๒ พระได้ซักซ้อมความคล่องตัวในการสวดมนต์ อันดับที่ ๓ ถ้าแปลออกก็เท่ากับได้ปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวัน อันดับที่ ๔ การสวดมนต์ ถ้าไม่มีสมาธิก็สวดไม่ได้ ก็เท่ากับเราปฏิบัติสมาธิภาวนาไปด้วย อันดับสุดท้าย คนสวดได้เงิน..!
ถาม : เวลาเราเกิดปัญหา ระหว่างการที่เราหนีไปไม่ให้รู้เห็น กับหยิบมาแก้ วิธีอย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ไม่รับรู้ด้วยวิธีไหน ?
ถาม : ถ้าหลบไปสงบสักพักหนึ่ง กับอีกแบบหนึ่งเอามาจัดการด้วยสมาธิ หรือวิปัสสนา เขาบอกว่า....?
ตอบ : ต้องถามเขาสิ ใครบอกมาแทนที่จะถามคนนั้น ดันไปถามอีกคนหนึ่ง แล้วจะรู้ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร ?
ถาม : ผมเข้าใจว่า เขาหมายถึง การไม่เจริญในสติปัฏฐาน ๔ ?
ตอบ : สติปัฏฐาน ๔ ในปัจจุบันทำผิดร้อยละ ๙๙ ..!
ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่าจะต้องรู้เท่าทันกับปัจจุบัน เสร็จแล้วก็ปล่อยวาง โดยการที่พยายามทำอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ให้เสมอกัน อย่างในปัจจุบันที่เห็นอยู่คือเขาพยายามใช้แค่อุปจารสมาธิ ก็เหมือนกับให้มือเปล่าขึ้นไปต่อยกับไมค์ ไทสัน โอกาสตายมีเกิน ๑๐๐ %...!
ทุกวันนี้ที่เขาทำผิดก็เพราะบุคคลที่มีสมาธิ เขาให้คลายสมาธิออกมา แล้วไปสู้กับกิเลส ควายชัด ๆ...! ในเมื่อคุณบอกว่าอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ต้องเสมอกัน ทำไมไม่ยกอย่างอื่นขึ้นมาให้เท่ากับสมาธิที่มีอยู่ ทำไมเสือกทะลึ่งลดสมาธิลงไปจนโดนกิเลสฟัดตายห่..! ฉะนั้น...บรรดาอาจารย์สายนี้ในปัจจุบัน สอนผิดสัก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เห็นแล้วสงสารลูกศิษย์
ถาม : ก็คือ ต้องปล่อยวาง ?
ตอบ : ถ้ากำลังคุณไม่พอ ตายอย่างเดียว ต้องรู้หลบรู้หลีก รู้จักผ่อนหนักเป็นเบา ฉะนั้น...ลองนึกถึงที่หลวงปู่หล้าท่านบอก ว่าหัดเป็น "นักหลบ" เสียบ้าง ไม่ใช่เป็น "นักรบ" อย่างเดียว รู้ว่ารบแล้วสู้ไม่ได้ ยังทะลึ่งไปรบเขาเรียกว่าโง่...!
ถาม : ถ้าเราเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้า เวลาเราทำกรรมฐาน จะถือว่าเราได้ประโยชน์หรือไม่ หรือถ้าเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้า เราจะทำประโยชน์ได้มากกว่า ?
ตอบ : คุณจะทำประโยชน์อะไร ? มีประโยชน์ตน มีประโยชน์ท่าน มีประโยชน์ทั้งสองส่วน พูดง่าย ๆ ว่าถ้ารู้จักพระพุทธศาสนา เวลาปฏิบัติธรรม นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง อานิสงส์ก็ย่อมมีมากกว่าคนที่ทำสมาธิเฉย ๆ
ถาม : เวลาเราตาย ถ้าเกิดเราไม่ภาวนา แต่เราอธิษฐานเลยว่าจะไปที่นั่น ?
ตอบ : รอตายไปก่อน ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ขนาดตั้งใจไว้ก่อนตายยังพลาดมาเยอะแล้ว ทุกวันนี้ที่พระมัวแต่สอน จ้ำจี้จ้ำไชปากเปียกปากแฉะอยู่ ก็เพื่อตอกย้ำให้พวกคุณทำกันบ่อย ๆ ทำจนเคยชิน คติจะได้แน่นอนขึ้น คำว่า "แน่นอนขึ้น" ไม่ได้แปลว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่ากรรมอาจแทรกระหว่างนั้นได้ แต่ก็ดีกว่าปล่อยไปตามบุญตามกรรม
ถาม : ยันต์ของหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ที่เป็นเอกลักษณ์บนมีดไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี เพราะว่ายันต์ของท่านไม่ค่อยจะเหมือนกัน ตอนนั้นอยากลงอะไรท่านก็ลงไปเรื่อย เขียนไปตามแต่พื้นที่ใบมีดที่มีอยู่ ใบใหญ่ก็ได้ไปมากหน่อย อาตมาได้มีดหมอของท่านมา ๔ เล่ม ไม่เหมือนกันสักเล่ม
ถาม : ถ้ามีคนทิ้งกระดาษที่เขาบอกว่า ให้พิมพ์แจกกระดาษนี้อีก ๑๐ แผ่น เราต้องทำตามเขาไหมครับ ? ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดวิบัติอย่างที่เขาว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยทำตามสักทีก็ยังสบายดีอยู่ ที่แสบที่สุดคือมีอยู่ครั้งหนึ่งไปซื้อหนังสือ เขาสอดอยู่ในหนังสือว่าถึงคุณผู้โชคดี อาตมาก็ว่าอะไรวะ ? หนังสือใหม่เอี่ยมในร้านเลยดันมีไอ้นี่สอดอยู่ เปิดซองออกมาเขาบอกให้ส่งต่ออีก ๙ คน ไม่อย่างนั้นจะโชคร้ายแบบนั้นแบบนี้ อาตมาก็เลยส่งลงถังขยะตรงนั้นไปเลย
ถาม : คนที่ทำเขาจะบาปไหมครับ ?
ตอบ : จะบาปตรงไหน ? ยกเว้นว่าคุณโง่ไปเชื่อ เพราะเขาเชื่ออย่างนั้น เขาก็ส่งต่อไปเรื่อย ถ้าเราไม่เชื่อ วงจรอุบาทว์ก็จบลงแค่เรา
ถาม : สมมติเราเคยอธิษฐานในสิ่งหนึ่งและสำเร็จแล้ว พอเวลาผ่านมาอธิษฐานซ้ำได้ไหมครับ ?
ตอบ : อะไรที่ได้แล้วก็แล้วกัน แต่คำอธิษฐานสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ สามารถตอกย้ำได้
ถาม : อธิษฐานใหม่จะได้เท่ากับกำลังจิตเดิมไหมครับ ?
ตอบ : จะได้เท่าไรก็ช่างเถอะ ตอกย้ำกำลังใจให้แน่วแน่มั่นคงแล้วกัน แต่อย่าลืมที่ในหลวงท่านเตือนไว้นะ "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ท่านบอกนั่นเป็นอธิษฐานบารมีเลยนะ เธอแน่ใจแล้วหรือที่ว่าอย่างนั้น ถ้าเกิดตามกันไปแล้วลำบากยากเข็ญขึ้นมาก็อย่ามาโทษกัน
ถาม : อธิษฐานแล้วจะต้องได้ตามนั้น ?
ตอบ : ตั้งใจแล้วก็ต้องได้ตามนั้น ซื้อตั๋วแล้วขึ้นรถอย่างไรก็ต้องไปถึงปลายทาง เพียงแต่ว่าจะไปแบบไหน ถ้าหนทางเป็นเตาขนมครกตั้งแต่ต้นยันปลาย ก็เป็นเวรเป็นกรรมของคุณเอง...!
ถาม : ในขณะที่เรากำลังทำงานอยู่ สามารถทรงอุปจารฌาน ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทรงอิริยาบถอยู่ คนที่มีความคล่องตัว แม้แต่ฌาน ๔ ก็ทรงได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอุปจารฌานหรือว่าปฐมฌาน เพียงแต่ปฐมฌานนั้นจะครบด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ อุปจารฌานเพียงแต่เลยปีติไปหน่อยเดียวเท่านั้น
ถาม : เรื่องการแผ่อุเบกขาในพรหมวิหาร ที่ผมเพิ่งจะเริ่มทำก็คือจับภาพพระ ?
ตอบ : พอก่อน...ผิดตั้งแต่แรกแล้ว อุเบกขาประเทศไหนเขาให้แผ่วะ...?! เขาให้ฝึกหัดสภาพจิตให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว สิ่งดีเข้ามาก็ไม่ยินดี สิ่งร้ายเข้ามาก็ไม่ยินร้าย มีใครเขาไปนั่งแผ่อุเบกขา..?
ถาม : ถ้าฝึกกสิณ ต้องเป็นวิปัสสนาก่อน หรือทำสมถกรรมฐานก่อน ?
ตอบ : กสิณคือการเริ่มฝึกสมาธิ มีวัสดุพร้อมก็ฝึกไปได้เลย เพียงแต่ให้ฝึกควบกับลมหายใจเข้าไว้
ถาม : ขณะที่สวดมนต์ทำวัตรอยู่ แล้วมีพระมาสะกิดเรา ทำให้จิตเราส่าย ฟุ้งเป็นชั่วโมง ไม่ทราบจะมีวิธีสร้างกำลังใจป้องกันตัวไหมครับ ?
ตอบ : เกาะภาพพระแล้วสวดไป ถ้าสมาธิดี สะกิดให้ตายก็ไม่หลุด
ส่วนใหญ่พวกเราจะเห็นว่าแค่สวดมนต์ ถ้าหากว่าสวดเป็นก็ไปได้ยันพระนิพพาน แต่คนเรามักจะไปคิดว่าแค่สวดมนต์ การสวดมนต์ขั้นต้นถ้าไม่มีสมาธิจะสวดผิด ให้สังเกตว่าเราเผลอคิดเรื่องอื่นเมื่อไรจะสวดผิดทันที
ถ้าเป็นผู้ที่คล่องตัวในอานาปานสติ คำสวดมนต์ก็คือคำภาวนา เพียงแต่เป็นคำภาวนาที่ยาวหน่อยเท่านั้น สำหรับผู้ที่เข้าถึงฌานสมาบัติ การสวดมนต์คือการซักซ้อมทรงฌานตั้งเวลา ถ้าหากว่าสวดมนต์ไม่เสร็จ สมาธิเราจะไม่คลายออกมา
สำหรับผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณ ให้กำหนดภาพพระในขณะที่สวดมนต์ไปด้วย สมาธิยิ่งทรงตัวมากเท่าไร ภาพพระจะชัดเจนแจ่มใสมากเท่านั้น สำหรับผู้ที่ได้อภิญญา ให้ยกจิตขึ้นไปสวดมนต์ถวายพระบนพระนิพพานเลย ถ้ากำลังใจเราตั้งมั่นอยู่บนพระนิพพานบ่อย ๆ สภาพจิตเคยชินกับความสะอาด ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ของที่นั่น ถ้าจำอารมณ์นั้นได้ ลงมาแล้วประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ ถ้าทำไปนาน ๆ จะหมดกิเลสแบบไม่รู้ตัว
สำหรับบุคคลที่แปลบาลีได้ คำสวดมนต์ส่วนใหญ่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าแปลได้ก็ทำตามไปเลย ถ้าปฏิบัติตามได้ โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีอย่างแน่นอน
ฉะนั้นใครที่บอกว่า "แค่สวดมนต์" สำคัญว่าคุณสวดเป็นไหม ? อาตมาทำมาแล้วทุกรูปแบบ ถ้าไม่ได้ทำก็บอกให้ไม่ได้ สมัยเป็นฆราวาสฝึกปฏิบัติใหม่ ๆ ก็ใช้วิธีการสวดมนต์เป็นการซักซ้อมการทรงสมาธิ
ทุกคนจะสงสัยว่าทำไมพระวัดท่าขนุนเจริญกรรมฐานแล้วมานั่งทำวัตร สมาธิก็หลุดหายหมดสิ ? พวกนั้นโง่มาก...ปล่อยมันไป แต่ถ้าบุคคลที่เข้าใจ ถึงเวลาเขาจะทรงสมาธิไว้ไม่ให้เคลื่อน ไม่ให้คลายออกไป
แต่เท่าที่สังเกต พระวัดท่าขนุนส่วนใหญ่ถึงเวลาก็นั่งแข็งทื่อ ปล่อยเจ้าอาวาสสวดไปคนเดียว ทรงสมาธิได้เหมือนกันแต่ไม่ใช่สมาธิใช้งาน อย่างท่านอาจารย์เตชะ อุ้มไปทิ้งแล้วยังไม่รู้ตัวเลย พระอื่นเดินกลับกุฏิหมดแล้ว อาจารย์เตชะยังนั่งเงียบอยู่นั่น
ตั้งใจจะให้ซักซ้อมการทรงฌานใช้งาน แต่หาคนทำได้น้อยมาก ถามว่าผิดหวังไหม ? ไม่หรอก...เพราะอย่างน้อย ๆ ฌานขั้นต้นท่านได้กันหมด เพียงแต่เจ้าอาวาสเหนื่อยหน่อย เพราะคนอื่นเล่นนั่งทรงฌานกันหมด ปล่อยให้เจ้าอาวาสสวดมนต์อยู่นั่นแหละ..!
ถาม : อุเบกขา ก็คือ ถ้าเราได้ยินเสียง ไม่ว่าเสียงนั้นจะเสียงดีหรือเสียงร้าย ก็ให้เราวางเฉยหรือครับ ?
ตอบ : รักษากำลังใจอย่าไปสนใจในเสียงนั้น เพราะทันทีที่คุณสนใจ คุณจะไปปรุงแต่ง ทันทีที่ปรุงแต่ง ถ้าไม่ชอบใจก็จะชอบใจ มี ๒ อย่างเท่านั้น ชอบใจก็เป็นราคะ ไม่ชอบใจก็เป็นโทสะ ฉะนั้น...อุเบกขาเป็นเรื่องที่จำเป็นในการฝึกปฏิบัติธรรมทุกระดับ ถ้าไม่มีอุเบกขาก็หาความเจริญในการปฏิบัติไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำได้แต่เบื้องต้นเท่านั้น เบื้องปลายสุดถ้าจะเข้าถึงจริง ๆ ต้องมีอุเบกขา โดยเฉพาะสังขารุเปกขาญาณ หยุดการปรุงแต่งทั้งปวง ในเมื่อหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง รัก โลภ โกรธ หลง เกิดไม่ได้ แล้วจะเหลืออะไร ? กิเลสก็ตายเกลี้ยง..!
แต่สมัยนี้นักวิชาการเก่งมาก สังขารุเปกขาญาณของเขาเป็นแค่เบื้องกลางเท่านั้น เขาต้องมีมรรคฌานผลญาณอะไรให้ยุ่งไปหมด ไปนึกถึงหลวงพ่ออุตตะมะ ลุงสัจจะ มูลแก้ว จะไปเรียนอภิธรรม ท่านก็เตือน "โยมลัย อย่าไปเรียนอภิธรรมเลย เรียนไปเดี๋ยวจะไม่มีพระให้ไหว้นะ" เพราะคนเรียนอภิธรรมมักคิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระ หารู้ไม่ว่าพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนมนุษย์ ท่านสอนพรหมเทวดาที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล แค่ฟังหัวข้อก็เข้าใจแล้ว ขนาดนั้นยังใช้เวลาตั้ง ๓ เดือนของมนุษย์ ลองดูสิว่าถ้าพระพุทธเจ้าเทศน์ ๓ เดือน โดยไม่ไปไหน คนฟังจะเป็นลมตายก่อนไหม ? แต่ก็ยังมีพวกเก่งกล้าสามารถไปเรียนพระอภิธรรมกัน
อาตมายอมแพ้พระอภิธรรม ขออ่านผ่านตาเท่านั้น ไม่พยายามไปแตะเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านจำเป็นต้องสอนตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็เพราะเป็นไปตามจริตของผู้ฟัง ในเมื่อเป็นไปตามจริตของผู้ฟัง ก็แปลว่าถึงจะเหมาะกับบุคคลประเภทหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะกับบุคคลอีกประเภทหนึ่ง อย่างมหาสติปัฏฐานสูตร อาตมาว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนมนุษย์ต่างดาว คนก็ว่าพระอาจารย์เล็กเพี้ยน..!
มหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ที่หมู่บ้านกัมมาสธัมมะนิคมของชาวกุรุ เราต้องย้อนประวัติศาสตร์กลับไปในสมัยที่โลกยังมีพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ พระองค์ท่านต้องแสดงพระราชอำนาจด้วยการปราบได้ในทวีปทั้ง ๔ แล้วกวาดต้อนเอาบุคคลของแต่ละทวีปมาเพื่อการแสดงซึ่งพระราชอำนาจ
บุคคลที่มาจากอุตรกุรุทวีป ท่านเอาไว้ที่แคว้นกุรุ บุคคลที่มาจากอมรโคยานทวีปเอาไว้ที่เมืองอมรปุระ บุคคลที่มาจากปุพวิเทหทวีปไว้ที่เมืองเทวทหะ ก็เมืองแม่ของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น...ใครว่าพระพุทธเจ้าฉลาดเหนือมนุษย์ น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาว ก็ไม่ผิดหรอก คนแคว้นกุรุฉลาดขนาดไหน ? ฉลาดขนาดนกแขกเต้าที่เลี้ยงไว้ยังเจริญอสุภกรรมฐานเป็นปกติ พวกเราทำได้อย่างนกไหม ?
เราจะสังเกตว่าพอกล่าวถึงกายในกาย เราก็ได้อานาปานบรรพ คือลมหายใจเข้าออก กิริยาบถบรรพ สัมปชัญญบรรพ พวกนี้พอแตะถึง แต่พอไปถึงเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม บางคนไปไม่เป็นเลย ก็เพราะท่านสอนเฉพาะชาวกุรุ เราเอาแค่อานาปานบรรพ คือลมหายใจเข้าออกก็พอแล้ว เพราะว่าทุกบรรพหรือว่าทุกตอน แต่ละตอนพระองค์ท่านลงท้ายจุดจบไว้ให้หมดแล้ว ทำจบก็เป็นพระอรหันต์ได้
พระองค์ท่านว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราจะไม่ยึดสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ ปล่อยให้หมดแล้วจะเหลืออะไร ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของกรรมฐานอย่าโลภมาก ทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นผลไปเลย แล้วของอื่นจะไม่ยาก แต่ถ้าทำแล้วยังไม่เห็นผลก็จะยากทุกประการ ฉะนั้น...อะไรที่ได้หลักแล้ว พอใจแก่ตัวเองแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้จบ จบแล้วถ้าไม่ขี้เกียจค่อยขยับมาทำอย่างอื่นต่อ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่ากลัวอ้วน แต่ให้รู้จักประมาณในการกิน ถ้าหากว่ากินน้อยแล้วอ้วนแสดงว่าระบบเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของเราพิลึกกว่าชาวบ้านเขา แต่ก็ประหยัดดี ส่วนพวกกินมากแล้วไม่อ้วนอย่างอาตมาถือว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก..!
สาว ๆ สมัยนี้จะไปคุ้มคลั่งอะไรกับการอดข้าว ? การลดน้ำหนักที่แน่นอนคือทำงานหรือไม่ก็ออกกำลังกาย ทำงานไปทั้งวันเช้ายันค่ำ ดูสิว่าจะอ้วนไหม ? ส่วนใหญ่ที่อ้วนก็คือนั่ง ๆ นอน ๆ กินเสร็จแล้วก็นั่งเขี่ยไลน์ นอนเขี่ยไลน์ ถ้าแบบนี้รับประกันว่าเดือนเดียวเห็นผล..!
อะไรที่พอดีจะมีประโยชน์ อะไรที่ไม่พอดีก็จะมีโทษ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาวิเคราะห์ว่าออกซิเจนทำให้ร่างกายสดชื่น คลอโรฟิลทำให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มาก แล้วก็ให้พวกเราซื้อมากิน อาตมาเห็นว่ามีโทษแน่ ๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเลยว่า มีธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต และก็มีธาตุไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง
อาตมาเห็นคนที่กินน้ำผัก กินคลอโรฟิล กินน้ำออกซิเจน เหี่ยวดูไม่ได้เลย ร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ เนื่องจากออกซิเจนเกิน ก็ไปผลาญเซลล์ในร่างกาย ดังนั้น...เราจะเห็นในพระอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสในเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา ใช้ได้ทุกเรื่องจริง ๆ อะไรที่ไม่พอดี เกินหรือขาดก็จะก่อให้เกิดโทษ
แต่โยมคนนั้นเขาไม่รู้ตัวนะ ที่ไม่รู้ตัวเพราะว่าเหมือนกับเสพติดไปแล้ว เขาบอกว่าสดชื่นดี น่าจะอายุสั้นกว่าปกติไปหลายปี อยากแข็งแรงต้องออกกำลังกาย กินอาหารให้ถูกหลัก แต่ไม่ต้องกินครบ ๕ หมู่ อย่างอาตมาได้แค่หมู่ ๑ หมู่เดียว พระครูแสงเคยเดินหาอาหารกินแค่ ๒ หมู่ ยังบอกว่าขาอ่อนเลย โดยเฉพาะแค่สหกรณ์นิคม ๘๐,๐๐๐ ไร่ก็มีตั้ง ๒ หมู่ ไม่ต้องไปกินครบ ๕ หมู่หรอก ตายก่อนแน่ ๆ...!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาเจองูตัวใหญ่ ๆ ต้องดูก่อนว่าเป็นงูจริงหรืองูปลอม ส่วนใหญ่งูปลอมจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางเทวดาอารักษ์ ต้องการจะข่มขู่พวกโลภมาก ก็ใช้วิธีแปลงเป็นงูตัวใหญ่ ๆ คนจะได้วิ่งหนีกัน
มีคนไปขุดกรุปราสาทหินทางอีสาน เปิดกรุออกมา ปรากฏว่าฝนกระหน่ำลงมา กำลังตั้งหน้าตั้งตาจะโกยของ ทำไมอยู่ ๆ ฟ้ามืด เงยหน้าขึ้นไป เห็นเกล็ดใต้ท้องงูพาดผ่านหลุมแทบจะปิดหลุมมิด แล้วหลุมกว้างขนาดผืนพรมตรงหน้าอาตมา (ประมาณ ๓ X ๕ เมตร) คราวนี้ไม่มีใครเอาสมบัติแล้ว วิ่งกันป่าราบอย่างเดียว
อาตมาไปเจอที่บึงลับแลก็เหมือนกัน ชูหัวขึ้นมาจากบึงเลยคอไปหน่อยเดียว หัวงูเสมอกับภูเขา..! แล้วถ้ามาทั้งตัวจะใหญ่ขนาดไหน ? ประเภทนั้นดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็ได้เพื่อนดีไปเลย ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็โกยเถอะโยม...!"
มีคนมาสมัครบวช โดยบอกว่าเคยบวชมาจากที่อื่น "ขออภัยที่ไม่สามารถรับได้ เพราะรุ่นนี้ต้องการเฉพาะพระที่บวชงาน ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย หรือ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อฤๅษีที่วัดท่าขนุนเท่านั้น บวชแล้วอาตมาไม่ได้กลัวว่าจะสึก แต่กลัวว่าจะอยู่ต่อ..! ก็คือ ถ้าไม่ได้รับการอบรมแล้วอยู่ต่อ เกิดทำผิดทำพลาดอะไรขึ้นมา จะพาอาตมาซวยไปด้วย
เอาเป็นว่างวดหน้าบวชถวายในหลวงครบ ๑๐๐ วันอีก ๘๙ รูป ถึงคราวนั้นจะเปิดสมัครบวชแบบทั่วไป นัดล่วงหน้าเข้าวัดก่อนบวชสักอาทิตย์หนึ่ง จะได้ไปฝึกซ้อมอบรมกันก่อน"
มีโยมมารับตะกรุดแม่ทัพของหลวงพ่อกวย "ได้ของแท้ไป คลำให้ขึ้นใจเลยนะว่าของแท้ลักษณะรูปร่างเป็นอย่างไร ถึงเวลาจะได้จำได้ อย่างนี้เรียกว่า "ลายห้าเสา" เชือกถักเขามีลายตะเข้ขบฟัน ลายห้าเสา ฯลฯ สารพัดลาย ของหลวงปู่ปานเป็นลายเสาเดี่ยวพันตัวเอง
อาตมามีตะกรุดหลวงปู่ปานอยู่ดอกหนึ่ง ท่านอุดผงวิเศษมาให้ด้วย คาดว่าอาจจะเป็นลูกศิษย์ทำเอง ก็คือ เวลาอุดผงพระของท่าน อุดไปอุดมาก็แอบอุดให้ตะกรุดของตัวเองไปด้วย แต่โลหะก็ใช่ ลายก็ใช่ รักก็ใช่ เอาเป็นว่าดอกนี้พิเศษกว่าเขาก็แล้วกัน "
"ส่วนใหญ่ตะกรุดของหลวงปู่ปานเป็นลายมือของหลวงพ่อเจิม หลวงพ่อเจิมเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค หลวงปู่ปานเป็นพระลูกวัด หลวงปู่ปานไม่อยากมีภาระเลยให้หลวงพ่อเจิมเป็นเจ้าอาวาสแทน แต่ใคร ๆ ก็ว่าหลวงปู่ปานเป็นเจ้าอาวาสทั้งนั้น เขาเรียกหลวงพ่อใหญ่ คนรุ่นเก่า ๆ ที่อาวุโสมากเขาเรียกว่า ท่านใหญ่"
มีโยมเอาพระสมเด็จบางขุนพรหมมาถวาย "แน่ใจแล้วนะ พระสมเด็จบางขุนพรหมถ้าราคาต่ำกว่าหกหลักนี่อาตมาให้เหยียบเลย
ที่ขำที่สุดก็คือ คุณตัวเล็กออกพระสมเด็จบางขุนพรหมองค์ละร้อย ตูจะสลบ...! วันก่อนก็เห็นมีขุนแผนผงพลายกุมารองค์ละร้อย อาตมาไปตรวจเห็นอยู่ ไม่รู้ว่าลงไปหรือยัง ? ถ้าลงไปคนที่รู้จักจะลังเลว่าจริงหรือปลอม ว่าจะให้ชักออกมาลงกระทู้ประมูลแทน"
พระอาจารย์กล่าวถึงเหรียญปาป้ามุม "เหรียญนี้ทหาร GI สร้างถวาย หลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์เหนือ วัตถุมงคลทุกชิ้นของหลวงพ่อมุมรับประกันยิงไม่ออก บรรดา GI เห็นทหารไทยโดนยิงเท่าไรไม่เป็นอะไรสักที ก็อยากได้วัตถุมงคลบ้าง เพื่อน ๆ จึงพาไปกราบหลวงพ่อมุม ปรากฏว่าลองแล้วเห็นว่ายิงไม่ออกจริง ๆ ก็เลยช่วยกันสร้างเหรียญถวายหลวงพ่อมุมรุ่นหนึ่ง
เหรียญรุ่นนี้ชื่อจะเป็นภาษาอังกฤษ เขียน PAPA MUM สร้างโดยศิษย์ GI อาตมาไม่รู้จักหลวงพ่อมุมสมัยนั้นหรอก พระครูแสงท่านแนะนำให้ เพราะตอนช่วงวัยรุ่นพระครูแสงเล่นวัตถุมงคลก่อน ไปหัดส่อง หัดดู รุ่นพี่ก็จะช่วยบอกว่าของแท้มีลักษณะอย่างไร ต้องศึกษาให้ครบ ท้ายสุดไปทดสอบพระถ้ำเสือพิมพ์ตุ๊กตาองค์หนึ่ง หลายคนบอกว่าปลอม เพราะสวยเกินไป แต่พอทดสอบตามที่เซียนใหญ่ท่านแนะนำ ปรากฏว่าใช่ อาตมาก็เลยรีบตะครุบไว้ ใช้ติดตัวอยู่หลายปี
ถ้าพิมพ์ใช่ เนื้อใช่ คราบกรุใช่ ไม้ตายสุดท้ายก็คือหยดน้ำลงไป ๑ หยด ถ้าหายวับไปเลยก็ของแท้ เพราะของแท้สร้างมานานจะแห้งสนิท ถ้าหยดลงไปแล้วค่อย ๆ ซึมหรือติดอยู่บนผิวก็ของปลอม ของบางอย่างถ้าสวยเกินไป เซียนก็ไม่กล้าจับ ตีว่าปลอมไว้ก่อน"
"อาตมาถวายพระผงสุพรรณเนื้อดำแก่หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม สมัยที่ยังเป็นท่านเจ้าคุณพระธรรมโมลีอยู่ บอกว่า "หลวงพ่อครับ...องค์นี้สวยเกินไป ถ้าไม่ใช่ของแท้ผมขออภัยด้วยนะครับ ผมอาจจะตาไม่ถึง" หายไปเดือนกว่า เจอหน้ากันใหม่ กราบเรียนถามว่า "เป็นอย่างไรครับหลวงพ่อ ?" "เฮ้ย...แท้ว่ะ" ถูกใจท่านสุด ๆ บอกว่าไม่เคยเจอพระสวยขนาดนี้
พระกรุขนาดมีหน้ามีตา ที่ภาษาเซียนเรียกว่า "หูตากระพริบ" นั้นหายาก อาตมาก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง ต้องดูกันหลาย ๆ ตา อะไรที่สวยเกินไป คนส่วนใหญ่ไม่กล้าแตะ...กลัวพลาดแล้วเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อะไรที่เกี่ยวกับในหลวงขึ้นราคาหมด แต่อาตมาเตือนล่วงหน้ามาเป็นปีแล้ว จำกันได้ไหม ? ที่บอกว่าให้เก็บวัตถุ รูป หรือเหรียญในหลวงเอาไว้บ้าง"
ถาม : เขานิยมโชว์เหรียญในหลวงกัน ?
ตอบ : อาตมาไม่โชว์เหรียญหรอก ถ้าจะโชว์ต้องสมเด็จจิตรลดา องค์นี้พิมพ์เล็ก ปี ๒๕๐๘ ส่วนพิมพ์ใหญ่มีผู้หวังดีเอาทองคำแท่ง ๒๐ บาทแลกไปแล้ว องค์นี้ต้องคิดเยอะกว่าเพราะสวยกว่า
เจ้าของท่านไม่ให้หนังสือรับรองมา เพราะว่าหนังสือรับรองการพระราชทานเขาถือว่าเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล เขาสละให้มาแต่องค์พระ
ปี ๒๕๐๘ อาตมาเพิ่ง ๖ ขวบ องค์นี้ที่ชอบใจเพราะว่าใส่มวลสารเยอะ ลอยหน้าเพียบเลย เรื่องของเนื้อหา ของพิมพ์ทรง บางทีก็สามารถปลอมกันได้ แต่มวลสารปลอมไม่ได้
เป็นพระที่ฆราวาสสร้าง ไม่ผ่านการปลุกเสกโดยพระเกจิอาจารย์ เพียงแต่ในหลวงทรงอธิษฐานจิตไว้เท่านั้น ปัจจุบันนี้ราคาเป็นล้าน พิมพ์เล็กจะหายากเพราะว่าสร้างน้อยกว่า
ต้องบอกว่าอาตมามีวาสนากับในหลวง เพราะสมัยฆราวาสช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓-๔-๕ ธันวาคม อาตมาจะถือศีลแปดถวายพระองค์ท่านสามวัน พวกเราเคยทำอะไรลักษณะแบบนี้ถวายพระองค์ท่านบ้างไหม ? ลองนึกดูว่าวัยรุ่นกำลังกินกำลังนอนต้องมาอดข้าว เป็นรสชาติของชีวิตเหมือนกันนะ
รักษาศีลแปด เจริญพระกรรมฐาน ถวายเป็นพระราชกุศล เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า ทำไมอาตมาขึ้นพระนิพพานครั้งแรกถึงได้เห็นในหลวงเป็นพระภิกษุมาขวางหน้า แสดงนิมิตให้เห็น
องค์ในหลวงบอกใบ้ให้พวกเราทราบว่า พระองค์ท่านเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญวิริยบารมี ตั้งแต่ตอนที่พระองค์ท่านออกเหรียญและหนังสือพระมหาชนก เพียงแต่วิริยบารมีของพระองค์ท่านนั้น เป็นไปในด้านที่ทำทุกอย่างเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน
พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็กจะสร้างน้อยกว่า แต่ถึงจะสร้างน้อย อาตมาก็มีสององค์นะ...! เพียงแต่อีกองค์อาตมายังไม่ได้เลี่ยมทองเท่านั้น ถ้ามีใครหอบทองแท่ง ๒๐ บาทมาให้ อาตมาจะตัดใจสละอีกองค์หนึ่งให้ แต่ต้องเอาไปเลี่ยมเองนะ
ถาม : ใส่บาตรพระแถวบ้าน ถือว่าเป็นสังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ตั้งใจว่าจะใส่ใครก็เป็นสังฆทาน ต่อให้พระรูปเดียวก็เป็นสังฆทาน แต่ถ้าตั้งใจจะว่าจะใส่หลวงปู่รูปนั้น หลวงพ่อรูปนั้น ก็ได้แค่ปาฏิกบุคลิกทาน
ถาม : ถ้าเกิดท่านรับไปแล้วเข้ากุฏิ ไปฉันรูปเดียวเป็นของตัวเอง ?
ตอบ : นั่นเรื่องของท่าน เราจะไปเดือดร้อนอะไรกับท่านด้วย เราตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ส่วนท่านจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของท่าน
ส่วนใหญ่วัดต่าง ๆ ที่ไม่รู้จริง ที่ครูบาอาจารย์ไม่ได้อบรมมา เวลาบิณฑบาตก็มักจะไปฉันคนเดียว โอกาสที่จะเป็นโทษมีมาก เพราะถ้าเขาตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน เท่ากับไปน้อมลาภของสงฆ์มาเพื่อตน
แต่บางที่ก็ระบุชัดจนกระทั่งอาตมาก็สยอง เคยตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปบ้านโยมสันต์ ภู่กร ที่พิษณุโลก เขาใช้คำว่า "ขอน้อมถวายแด่พระอริยสงฆ์" อาตมาก็มองหน้าเพื่อนพระ "แล้วกูจะได้แดกไหมนี่ ?" เพื่อนพระก็สุดยอดมาก "มึงก็เป็นสักพักสิวะ" ก็จริงของเขานะ ตอนฉันก็พยายามเกาะพระนิพพานไว้ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นไปกินของเขาเป็นโทษแน่ ๆ
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เอาชามาถวายว่า "จำไว้...ปกติอาตมาเป็นคนไม่ฉันชา ที่ฉันเพราะมี ถ้าไม่มีก็ไม่ได้เดือดร้อน แต่สำหรับบางท่านติด พอไม่มีชาแล้วอยู่ไม่ได้ อาตมาไปงานบางที ๓-๔ วันติดกันฉันแต่ชา พอกลับวัดมาก็ฉันน้ำร้อนเปล่า ๆ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
เรื่องของชา หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านยังเป็นนักเทศน์อยู่ ถ้าไม่ได้ฉันชาก็รู้สึกว่าเทศน์ไม่ลื่น ถ้าไปบางวัดเขาก็ไม่ได้เตรียมไว้ให้ ท้ายสุดท่านก็เลยพกชาไปเอง มีอยู่วันหนึ่งท่านกำลังเดินข้ามทุ่งอยู่ มือหนึ่งก็หิ้วกาน้ำชา รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา ก็มาคิดว่า "เราบวชมาเพราะต้องการจะละกิเลส แล้วกาน้ำชานี่คืออะไรกัน ?" ว่าแล้วก็โยนโครมเข้าพุ่มไม้...เลิกฉันตั้งแต่บัดนั้นเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาเซียนพระเขามีพระขรรค์หลวงพ่อโสกกันคนละเล่มสองเล่มก็ตั้งตัวเป็นเซียนใหญ่ ถ้ามาเห็นของอาตมานี่คงช็อกตายเลย เพราะมาทีเป็นหอบ..!"
"เมืองเพชรฯ เป็นเมืองคนดุ โดยเฉพาะสมัยก่อนเขาเล่นอาวุธสงครามกันล้วน ๆ จะเห็นว่ามือปืนเมืองเพชรใช้แต่ เอ็ม. ๑๖ คนรุ่นเก่าเขาว่า ถ้ามีปลัดขิก ๑ อัน พระขรรค์ ๑ เล่ม ผ้ายันต์ ๑ ผืน ไปไหนไปกัน ไม่กลัวใคร แต่ปลัดขิกของหลวงพ่อโสกหายาก เพราะว่าปลัดขิก ๑ อัน ทำพระขรรค์ได้เป็นสิบเล่ม จนป่านนี้อาตมาเพิ่งมีแค่ ๑ อัน ถ้าไม่ได้คิดจะเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ก็คงปล่อยไปนานแล้ว"
ถาม : สะสมของพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไรคะ ?
ตอบ : ตั้งแต่วัยรุ่น พอรู้ภาษาบรรดาพี่ ๆ ลุงป้าน้าอาเขาก็นั่งส่องกันแล้ว
ถาม : สมัยนั้นราคาแพงไหมคะ ?
ตอบ : ก็ไม่แพง สมัยนั้นพระของหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ก็แค่องค์ละ ๒๐ บาท สมัยนี้แสนหนึ่งยังซื้อไม่ได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอในหลวงสวรรคต อาตมาเขียนกลอนไม่ออก เพราะที่เคยเขียนไปก็บรรยายไว้หมดแล้ว
สามโลกจักหาใคร........... ไป่มี
พ่อดังพระสุริยศรี..............คู่ฟ้า
สว่างหล้าธาตรี............ใครเปรียบ...เทียบฤๅ
นามพ่ออยู่คู่หล้า..........ตราบฟ้า...ดินสลาย
เขียนใหม่ไม่ได้แล้ว ได้แค่นั้น ๗๐ ปีทรงสร้างคุณความดีมาเหลือคณานับ บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ เด็กรุ่นใหม่ก็สงสัยว่าทำไมรุ่นพ่อรุ่นแม่รักในหลวงกันจริง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมาไม่ได้เล่นวัตถุมงคลมาก่อน คนเล่นก่อนคือน้องชาย (พระครูแสง) สมัยเด็ก ๆ ท่านเฮี้ยนมาก ท่านศึกษาตำราทำผงมหาราช ปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห ท่านทำหมด ถึงเวลาก็นั่งท่องคาถาเขียนลบผงไป "พินธุเอกัง สุมังพันธัง พินธุโท อังกุสังยะถา พินธุตรี ธัมมะวิชาลันทะ เอกะพินธุ วิชานะเย" ไล่ไปเรื่อย เสร็จเรียบร้อยท่านลืมหมด แต่ตำรามาอยู่ในหัวอาตมา เพราะจำที่ท่านท่องท่านทำได้
สรุปแล้วของแต่ละอย่างที่ท่านทำไว้เหมือนกับสอนอาตมา อาตมาเองเป็นคนขี้เกียจ ของยากจะไม่ทำ แต่ท่านกรอกหูอยู่ทุกวันเลยจำได้หมด อาตมาจำโองการมหาทมื่นได้ก็เพราะพระครูแสง ท่านท่องแล้วอาตมาก็จำติดหัวมา
อาตมาว่าจะทำตะกรุดมหาโสฬสตามตำราสักชุดหนึ่ง แต่ต้องเสกถึงสามปี เสกด้วยโองการมหาทมื่นวันละ ๙ จบ จะได้ครบหมื่นจบเมื่อสามปีไปแล้ว ตะกรุดของวัดสะพานสูงดังมาทุกรุ่นก็เพราะอย่างนี้แหละ เสกกันทีสามปี อีกตำราหนึ่งที่ยาก คือ หลวงพ่อเจ้าคุณสว่าง วัดเทียนถวาย ท่านทำตะกรุดหน้าผากเสือ เขียนเฉพาะวันเสาร์ห้า แล้วก็ต้องเสกผ่านอีก ๓ เสาร์ห้า สรุปแล้วตะกรุดดอกหนึ่งใช้เวลาสามปีเป็นอย่างน้อย"
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่มาเบิกค่าเล่าเรียนว่า "ความจริงผมเงินหมดตัวไปแล้วนะ ดันมีมาอีก มีกติกาว่า "ห้ามเงินหมดเกินข้ามวัน" มีอยู่วันหนึ่งตั้งใจแกล้ง คือหลังจากเจริญกรรมฐานตอนทุ่มครึ่ง ก็เทกระเป๋าเลี้ยงเพื่อนพระหมดเลย สั่งน้ำปานะมาเลี้ยงพระทั้งวัดเลย กะว่าเดี๋ยวพอไปนอนก็จะไม่มีสตางค์จนถึงพรุ่งนี้
ปรากฏว่า ๔ ทุ่มเขามาทุบประตูเรียกให้ไปสวดศพ เขาบอกว่าคนเพิ่งตาย อยากจะสวดวันแรกเลย ท้ายสุดก็ต้องรับสตางค์มาจนได้"
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เวลาเราไม่ชอบอะไรแล้วไปผลักไสจะรู้สึกเหนื่อยนะ ทำไม่รู้ไม่ชี้จะดีกว่า คือไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่รับรอง กลายเป็นว่าเราไม่สร้างภาระให้ตัวเอง มัวไปผลักไปไสตั้งตัวเป็นศัตรูกันก็เหนื่อยตาย ว่าอะไรมาก็ยิ้ม "ค่ะ ๆ" รับแต่ปาก ไม่ทำหรอก ถ้าเราไม่ต่อต้านนี่แรงกดดันจะกลับไปหาเขาเอง จะกลายเป็นคนอื่นเครียด ส่วนเราสบาย"
ถาม : แมวคนอื่นมาอาศัยอยู่กับเรา ถ้าเราจะย้ายที่อยู่แล้วเอาไปด้วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : บอกเขาหน่อยสิว่าตอนนี้แมวมาอยู่กับเรา ย้ายไปเราจะเอาไปด้วยนะ จะได้ไม่ไปผิดศีล ไม่อย่างนั้นก็เขียนจดหมายแปะไว้ก็ได้ นึกถึงสมัยโบราณ เวลาเข้าไร่เข้าสวนคนอื่นเขา เห็นของน่ากินก็จับกิ่งไม้หักเกี่ยวไว้ แล้วก็กินไปเถอะ ถือว่าขอแล้ว หักเป็นตะขอไว้ นี่เป็นเคล็ดลับจริง ๆ นะ
อย่างพวกบ้านกะเหรี่ยงเขาจะทำ “กะโจ” ไว้ เป็นไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ถ้าหากใครไปกินจะปวดท้องดิ้นอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ถ้าใครทำตะขอเกี่ยวไว้จะไม่เป็นไร เพราะถือว่าขอแล้ว
โบราณเขาบอกว่า “แมวมาหา หมามาสู่ ถือว่าเป็นมงคล” ที่เป็นมงคลเพราะอะไร เพราะว่าสัตว์เขามีสัญชาตญาณ เขารู้ว่าใครรักใครเมตตาเขา เขาก็อยากอยู่กับคนนั้น ลองไปดูสถานที่ซึ่งเขารับดูแลหมาแมวก็ได้ เอาไปฝากไว้ที่นั่นแล้วก็บริจาคเงินให้เขาหน่อย
ปีนี้วัดท่าขนุนได้ลูกหมา ๔๐ กว่าตัว สถิติตกไปหน่อย แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ดี ช่วงเศรษฐกิจดี ๆ จะ ๖๐-๗๐ ตัวทุกปี เศรษฐกิจดีเจ้าของเลี้ยงดี หมาก็มีลูกเยอะ ครอกล่าสุด ๗ ตัว ตัวเล็กอย่างกับลูกแมว ก็เลยเรียกว่า "คนแคระทั้ง ๗" เขาอุตส่าห์เอามาปล่อยทั้งกรงเลยนะ เอากรงหิ้วมาทิ้งไว้ เลี้ยงมา ๓-๔ อาทิตย์ ตัวค่อยใหญ่ขึ้นมาหน่อย
ถาม : ทำไมเขาเรียกคนรักแมวว่า ทาสแมว ?
ตอบ : แมวเขามีนิสัยอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เหมือนหมาที่เรียกแล้วมา ถ้าแมวไม่ชอบใจเรียกให้ตายก็ไม่มา โดยเฉพาะนิสัยแมวดึงขึ้นหน้าก็จะถอยหลัง ดึงถอยหลังก็จะขึ้นหน้า ดึงหลังก็หย่อนท้องติดพื้น พอดึงพุงก็จะโก่งตัวขึ้น นิสัยแมวจะทำอะไรตรงกันข้ามกับที่เราต้องการหมด
ถาม : ที่เขาบอกว่าแมว ๕ หมา ๖ อย่าไปเลี้ยงนี่จริงไหมคะ ?
ตอบ : โบราณเขาถือ ส่วนใหญ่แล้วเขาดูที่นิ้วตีน ถ้าแมวมีนิ้วตีน ๕ นิ้ว หมามี ๖ นิ้ว เขาก็ไม่เอา แต่ส่วนใหญ่คนตีความผิด กลายเป็นแมวคลอดมา ๕ ตัว หมาคลอดมา ๖ ตัว เขาเลยไม่เอาไปด้วย ความจริงอะไรที่เกินจากปกติน่าจะดีนะ แต่คนโบราณไปถือกันท่าไหนก็ไม่รู้
ปกติลองไปพลิกอุ้งตีนแมวดูสิ จะมีแค่ ๔ นิ้ว แล้วถ้ามี ๕ นิ้วแล้วยังมีโคนเหมือนนิ้วหัวแม่มืออีกอันหนึ่ง แต่ถ้าอุ้งตีนหมาจะมี ๕ นิ้ว ถ้าไปเจอ ๖ นิ้วเขาก็ว่าไม่ดี แต่ก็เลี้ยงไปเถอะ อาตมาว่าอะไรเกินดีทั้งนั้นแหละ เกินดีกว่าขาด...ใช่ไหม ?
ถาม : แล้วที่เขาว่าฆ่าแมวเหมือนฆ่าเณรละคะ ?
ตอบ : แมวน่ารักมาก ถ้าใจคอโหดร้ายขนาดฆ่าแมวได้ก็ฆ่าเณรได้เหมือนกัน ฉะนั้น...ฆ่าแมวเลยเหมือนกับฆ่าเณร
ถาม : หนูทำอะไรก็รู้สึกว่าเหนื่อย ทุกข์ไปหมด ?
ตอบ : นี่แหละคือเห็นความทุกข์ ทำอะไรก็เหนื่อยนี่แหละชัด ๆ เลย เป็นตัววิปัสสนาญาณ แล้วเป็นวิปัสสนาญาณแท้ด้วยเพราะเห็นแล้วเบื่อ รักษาความเบื่อไว้ให้ได้ แล้วพยายามใช้ปัญญาเพิ่มหน่อยว่า ถึงเราจะเบื่อแค่ไหน แต่ตราบใดที่สังขารนี้ยังอยู่ เราก็ไปพ้นไม่ได้ ฉะนั้น...เราก็จะอยู่แค่ชีวิตนี้เท่านั้น ถ้าหากว่าสิ้นชีวิตลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีสังขารร่างกายนี้ การเกิดมาในโลกนี้ เราไม่เอาอีกแล้ว
ถาม : ไม่เรียกว่าขี้เกียจหรือคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขี้เกียจได้ถูกทาง ขี้เกียจเพราะเห็นโทษ ทำอะไรก็เหนื่อย
ถาม : เวลาจับลมหายใจจะรู้สึกว่าลมหายใจยาว ไม่เหมือนก่อน ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดขึ้นจะรู้สึกว่าลมยาวขึ้น
ถาม : เราควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : เรามีหน้าที่ดูตามไป ไม่ต้องไปใส่ใจ ยาวแค่ไหนก็กำหนดใจตามไป
ถาม : เมื่อก่อนเวลาฝึกซ้อมทิพจักขุยังพอจะรู้เห็นได้ แต่ตอนนี้ไม่สามารถรู้เห็นได้แล้ว ?
ตอบ : การเห็นนั้นเป็นกำลังของอุปจารสมาธิ พอปฏิบัติไปมากขึ้น ๆ กำลังสูงขึ้นก็จะไม่เห็น ไปเห็นอีกทีตอนฌาน ๔ คล่องตัวไปเลย ฉะนั้น...ตอนนี้ที่ไม่เห็นแสดงว่ากำลังฌานสูงขึ้น ถ้าต้องการเห็นก็ทำให้คล่องตัว แล้วหย่อนกลับลงไปที่เดิม ก็จะเห็นใหม่อีก
ถาม : ลองใช้ดูหวยแต่ซื้อแล้วไม่ถูก..?
ตอบ : เรื่องปกติ สมัยอาตมาซ้อมทิพจักขุญาณก็เหมือนกัน ดูหวยนี่มาครบ ๗ ตัวเลย แต่หาซื้อไม่ได้ พอมาตอนหลังเขาตัดเล่น ๓ ตัวท้ายได้ พอตัดเล่น ๓ แค่ ๒ ตัว พอตัดเล่น ๒ ตัวก็ไปออกตัวเดียว ถ้าเล่นเลขตัวเดียวจะไม่ออกเลย เขาตั้งใจมาแกล้ง อยากรู้ว่าเราโลภหรือเปล่า ? แต่ถ้าบอกคนอื่นจะถูก เพราะเราไม่ได้ซื้อเอง แต่ว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวยุ่ง
ถาม : เวลานอนได้ยินเสียงกรน ?
ตอบ : ตัวเราหลับแต่ใจไม่ได้หลับ เหมือนกับเรานอนไม่หลับ แต่จริง ๆ แล้วหลับ บางทีนอน ๆ ไปแล้วได้ยินเสียงตัวเองกรน ก็สงสัยว่าไม่หลับแต่กรนได้อย่างไร ? ความจริงร่างกายหลับไปแล้ว เพียงแต่หลับแบบมีสติ กำลังใจจะทรงอยู่แค่จุดเดียว ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น ถ้าอยากรู้ก็จะคลายความรู้สึกออกมารับรู้ข้างนอก ถ้าหากหมดก็วิ่งกลับไปที่เดิม ตอนนั้นต้องเป็นประเภทกลัวกิเลสจะกินเรา จึงหลบสุดชีวิตเลย
ถาม : เวลานอน เหมือนกับตนเองวูบ เราก็คิดว่าเราจะขยับ แต่ก็ขยับไม่ได้ คือสมาธิระดับไหนคะ ?
ตอบ : ก็คือระดับของสมาธิที่อยู่ในปฐมฌานหยาบ เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ เพราะจิตกับประสาทแยกออกจากกัน ถ้าผีจะหลอกเขาจะหลอกตอนนี้แหละ เราจะสังเกตว่าที่เขาเรียกว่าผีอำก็อาการนี้แหละ เป็นช่วงที่เขาเข้ามา แล้วเราเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะจิตกับประสาทแยกจากกัน บังคับร่างกายไม่ได้ ให้หมั่นซ้อมลมหายใจเข้าออกไว้ เดี๋ยวพอเข้าออกได้คล่องก็จะได้ดีเอง ตั้งหน้าตั้งตาทำไป เรื่องอื่นอนุญาตให้ขี้เกียจได้ ยกเว้นเรื่องการปฏิบัติ
ถาม : เวลาตัดร่างกาย อยากจะไปเลยแต่ไปไม่ได้ ?
ตอบ : ยังไม่ถึงเวลาไปนะสิ
ถาม : ทำไมถึงไปไม่ได้ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ายังไม่ถึงวาระนี่ อาตมาเองก็ไปไม่ได้หรอก
ถาม : หนูเห็นเขาโพสต์เขาบอกว่า "ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" หนูไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่า รู้สึกว่าเกิดพอแล้ว ไม่อยากเกิดตามอีกแล้ว ?
ตอบ : หนูคิดถูกแล้ว เพราะหลวงพ่อพูดมา ๒ ครั้งแล้วว่า ในหลวงติงมาว่า “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” นี่เป็นอธิษฐานบารมี ถ้าไปเกิดร่วมกันแล้วลำบากลำบนขึ้นมา อย่าไปต่อว่าพระองค์ท่านนะ
ถาม : มีความรู้สึกละอายค่ะ ที่คิดไม่เหมือนคนอื่น ?
ตอบ : ไม่ต้องละอายหรอก เราทำถูกแล้ว อาตมาก็ไม่เคยอธิษฐานว่าขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป เพียงแต่ว่าชาตินี้มีอะไรก็ทำถวายอย่างเต็มที่
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยเด็ก ๆ เวลาเรียนหนังสือ ไปบอกพ่อแม่ว่าสอบได้ที่ ๑ แล้วเห็นพ่อแม่ดีใจ อาตมาก็ปลื้มใจไปด้วย ถึงได้บอกว่าพ่อแม่จะยากจนอย่างไรก็ตาม ถ้าลูก ๆ เรียนเก่ง พ่อแม่ก็มีกำลังใจตะเกียกตะกายหาเงินมาส่งให้เรียน สมัยนี้เห็นพ่อแม่ทุ่มเทจนแทบจะเรียนแทนลูก แต่ลูกไม่ค่อยอยากเรียนกัน เป็นเพราะอะไร ?”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ฝากสำหรับญาติโยมที่อยู่กรุงเทพฯ ต่างจังหวัดคงไม่ต้อง ให้หาโอ่งหรือถังใหญ่ตุนน้ำไว้บ้าง ถ้าหากว่าจะเอามากก็สัก ๓-๔ ถังก็ได้ เปิดน้ำใส่ทิ้งไว้เฉย ๆ ปีหน้าจะแล้งกว่าปีนี้ ปีนี้เตือนโยมแล้วปรากฏว่ารอดไปได้หวุดหวิด เพราะฝนมาทันพอดี”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ใครที่อยากลดน้ำหนักแล้วก็อยากเล่นไลน์ ให้ใช้วิธีเดินไปเล่นไลน์ไป เพราะอย่างไรเสียก็เล่นวันหนึ่ง ๒-๓ ชั่วโมงอยู่แล้ว เดินไปก็กดไป รับประกันว่าผอมแน่นอน ถ้าไม่รู้จะเดินไปไหนก็เดินวนในห้อง เดินรอบบ้าน เดินไปปากซอย จะสนุกเพลิน ๆ บางทีไม่รู้ตัวเดินไปตั้ง ๑๐-๒๐ กิโลเมตรแล้ว”
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้มีการตั้งสมาพันธ์ชาวพุทธ วัตถุประสงค์เพื่อปกป้องพุทธศาสนา มีการตั้งสาขาตามภาคต่าง ๆ และมีการหาทุนส่งคนลงสมัคร ส.ส. เพื่อจะได้เป็นสิทธิ์เป็นเสียงให้กับชาวพุทธของเราบ้าง ทางสมาพันธ์ฝากหนังสือมาจำหน่าย ถ้าใครอยากจะซื้อหนังสือเพื่อช่วยสมาพันธ์ชาวพุทธก็ได้
อาตมาเองเป็นประธานกรรมการที่ปรึกษาสาขาภาคตะวันตกของสมาพันธ์ชาวพุทธ ประกอบไปด้วยกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ๕ จังหวัด จะว่าไปแล้วก็ใหญ่เหมือนกัน พระเรามีหน้าที่สนับสนุนให้โยมเขาออกหน้า ไม่อย่างนั้นพอมีปัญหาเกิดอะไรขึ้นมา เขาบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ พระก็เดี้ยงเลย ทำอะไรไม่ได้
แต่ว่าศาสนาอื่นเขาส่งคนไปเล่นการเมือง ไปออกกฎหมายที่สนับสนุนของเขาจนกระทั่งจะยึดประเทศไทยอยู่แล้ว จึงจำเป็นที่ศาสนาพุทธของเราต้องตื่นตัวบ้าง คราวนี้ถ้าหากว่าเราตื่นเฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องช่วยกันด้วย ในเมื่อจะช่วยกันก็ไม่ได้รบกวนมาก ซื้อหนังสือคนละเล่มสองเล่มก็พอแล้ว เพื่อหาทุนให้กับสมาพันธ์เขา
ตอนนี้ทางด้านเชียงใหม่ซึ่งเป็นสมาพันธ์ภาคเหนือกับบึงกาฬที่เป็นสมาพันธ์ภาคอีสาน มีการแสดงออกที่ชัดเจนมาก ก็คือ ต่อต้านศาสนาอิสลามทุกรูปแบบ บึงกาฬนี่ห้ามสร้างมัสยิดเลย ประกาศตนเป็นจังหวัดที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแห่งแรกของประเทศไทย ส่วนเชียงใหม่นั้นต่อต้านไม่ให้มีโรงงานอาหารฮาลาล เพราะว่ามีแต่จะสร้างมลพิษ กอบโกยประโยชน์ไป ไม่ได้ให้อะไรกับพื้นที่เลย"
"ภาคตะวันตกของอาตมาไม่ห้ามหรอก แต่โตไม่ได้ ถึงเวลาพระเปิดเสียงทำวัตร ต้องถามพระครูหน่อยดู เสียงตามสายดังหน่อยเดียว เขายกมาทั้งหมู่บ้านเลย ไม่ให้เปิด แต่ของเขาละหมาดวันละ ๕ ครั้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวกลับไม่เป็นไร แบบนี้แปลว่าอะไร ? แปลว่าเขาไม่ยอมอยู่ร่วมกับเราหรืออย่างไร ? ของเราเองมีอะไรเราอดทนอดกลั้นทุกอย่าง แต่ว่าอดทนอดกลั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าเขาไม่ยอมอดทนอดกลั้นกับสิ่งที่เราทำบ้าง ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้กระทบอะไรในการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา
อาตมาเปิดเสียงตามสายที่วัดท่าขนุนครั้งแรก ปี ๒๕๔๔ เขาไปแจ้งความดำเนินคดีว่ากระจายเสียงในที่สาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาต อาตมาก็เลยไปขอใบอนุญาต มีกระทั่งใบอนุญาตตั้งสถานีวิทยุให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย สถานีวิทยุของอาตมาได้รับอนุญาตให้ตั้งเสาสูงได้ไม่เกิน ๖๐ เมตร ไอ้ ๖๐ เมตรนี่ไปได้ทั่วประเทศไทยเลยนะ
ถ้าเรามัวแต่เฉยอยู่ก็จะกลายเป็นพลังเงียบ และเงียบจนเขายึดบ้านยึดเมืองเราอยู่แล้ว แต่เราก็ยังเฉยอยู่ เพราะฉะนั้น...ตอนนี้จะเฉยไม่ได้ อิสลามเขาพยายามสนับสนุนพวกเขาให้เป็นใหญ่เป็นโต เพื่อที่จะได้ยึดครองประเทศได้ง่าย แต่ต้องบอกว่าเคลื่อนไหวแรงไปหน่อยไก่เลยตื่น เขาวางแผนว่าปี ๒๕๖๓ จะยึดประเทศไทย ตั้งเป็นสาธารณรัฐอิสลาม ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึง ๔ ปีดี"
"แผ่นดินนี้บรรพบุรุษของเราถวายไว้เป็นพุทธบูชา พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ถวายแผ่นดินนี้เป็นพุทธบูชาแก่ศาสนาพระพุทธโคดม ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา” ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเขาเป็นใคร ? จะมาเอาแผ่นดินที่พระมหากษัตริย์ของเราทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตช่วงชิงไว้ให้ลูกหลานไทย
อาตมายืนยันว่าจริง ๆ แล้วอิสลามไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เพราะจำนวนคนของเขาแค่หยิบมือเดียว เพียงแต่พวกนี้เขาเสียงดัง อาศัยการซื้อสื่อ อาศัยสร้างข่าว เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ปลอมตัวบวชเข้ามาเป็นพระ แล้วไปโอบไหล่ถ่ายเซลฟี่กับผู้หญิง ยังดีว่าการข่าวของเราเร็ว ก็เลยเอารูปตอนที่เป็นฆราวาสมาให้ดู เขาถึงได้รู้ว่าเป็นแผนของอิสลามที่ส่งคนเข้ามาบวชเพื่อทำลายพุทธศาสนา
ปัจจุบันนี้อะไรที่ทำเลว ๆ ในวัดนอกวัดนี่สืบย้อนหลังไปเถอะ ส่วนใหญ่จะเป็นอิสลามเข้ามาเพื่อทำลายศาสนาพุทธทั้งนั้น เพราะเขาซื้อสื่ออยู่ในมือเขาแล้ว สถานีโทรทัศน์บางแห่งระดับผู้บริหารเป็นอิสลามหมดแล้ว พอถึงเวลาเรื่องเล็กนิดเดียวเขาก็ช่วยกระพือเรื่องให้ใหญ่โต ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าศาสนาพุทธไม่น่านับถือ ไม่น่าเลื่อมใส ไม่น่าเป็นที่พึงได้ ถ้าหากว่าของเราไม่มีเครื่องยึดโยงให้คนอยู่ร่วมกันได้ เขาก็จะทำลายได้ง่าย
ช่วย ๆ กันทำหน้าที่ไป ถ้าเราทำเต็มที่แล้วยังสู้เขาไม่ได้ก็ต้องบอกว่าฝีมือไม่ถึงจริง ๆ สมัยพุทธกาลเขาถึงขนาดวางแผนทำลายพระพุทธเจ้าเลย ที่เอานางสุนทรีที่เป็นลูกศิษย์ตัวเองมาฆ่าแล้วทิ้งไว้ข้างวัด แล้วก็บอกว่าโดนพระพุทธเจ้าหรือว่าพระสงฆ์ข่มขืนแล้วก็ฆ่าทิ้ง แต่เสียดายว่าพวกรับเงินไปผยองไปหน่อย ไปเมากันอยู่ในโรงเหล้าแล้วคุยเสียงดัง ราชบุรุษของพระเจ้าปเสนธิโกศลจับได้ เอาไปถวายพระเจ้าแผ่นดินให้สอบสวน โดนประหารเกลี้ยง..!"
ถาม : ปกติผมไม่ค่อยได้อ่านธรรมะ แต่ช่วงนี้ได้อ่านธรรมะ แล้วมีความคิดไม่ดีต่อพระพุทธศาสนา ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลสมารหลอก บุคคลประเภทนี้ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมจะได้ผลเร็ว มารจึงหลอกให้ปรามาสพระรัตนตรัย คือ คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าหากว่าเราคิด พูด ทำไปแล้วไม่ได้ขอขมา โอกาสที่ปฏิบัติแล้วจะได้มรรคได้ผลก็ไม่มี
ต้องบอกว่ามารเขาแกล้งเรา เราก็แค่ตั้งใจขอขมาพระทุกวัน แล้วก็เริ่มทำความดีได้แล้ว เพราะว่าถ้ามารเขากันตั้งแต่แรก แปลว่าเราทำแล้วต้องได้ดีแน่ ๆ
ถาม : ผมขอขมาทุกวัน แล้วความคิดพวกนี้จะหายไปไหมครับ ?
ตอบ : ขอขมาไปเรื่อย ๆ สักระยะหนึ่ง พอเขาเห็นว่ากวนให้ใจเราขุ่นไม่ได้เขาก็จะเลิกไปเอง แต่ถ้าหากว่ากวนแล้วเรายังขุ่น ยังหงุดหงิดอยู่ แสดงว่าเขาทำสำเร็จ
ถาม : ผมควรจะอ่าน...?
ตอบ : จะอ่านอะไรก็อ่านไปแต่ว่าให้รักษาศีลและปฏิบัติสมาธิภาวนาควบไปด้วย รักษาศีลเราจะได้มีเกราะป้องกันตัวเอง ปฏิบัติสมาธิเราจะได้มีกำลังสู้กับเขา
ถาม : ผมรักษาศีล พยายามงดเหล้าได้ ๓ อาทิตย์แล้วครับ ?
ตอบ : หยุดแค่ ๓ อาทิตย์ นี่แปลว่าเลิกได้ตลอดชีวิตแล้ว เพราะว่าเราจะอยากแค่อาทิตย์แรกเท่านั้น แต่ระวังนะ...ถ้าเจ้าพวกนี้เขาตั้งใจแกล้งจริง ๆ นี่บางทีเราจะฝันเป็นจริงเป็นจังเลยว่าเรากินเหล้า...จนตกใจ เพราะว่าฝันเหมือนจริงทุกอย่างเลย สัมผัสเหมือนจริงทุกอย่างแต่ความจริงเป็นแค่ฝัน ลองดูไปสักระยะ...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ใช่เลย ไปเริ่มต้นทำได้แล้ว เสียเวลามานานมากแล้ว
ถาม : เริ่มต้นคือ ?
ตอบ : บอกแล้วว่ารักษาศีลกับนั่งสมาธิ
ถาม : ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะ แต่ไม่รู้ว่าควรจะอ่านจากตรงไหน ?
ตอบ : หาหนังสือกรรมฐาน ๔๐ หรือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาเป็นหลัก แล้วทำตามนั้นแหละ
ถาม : (จับแมวอาบน้ำ)
ตอบ : อย่าไปจับแมวอาบน้ำ พวกสัตว์ตระกูลแมวตระกูลเสือเขาไม่ชอบน้ำ ไปจับอาบน้ำเดี๋ยวเป็นปอดบวมตาย ยกเว้นว่าเขาจะลงไปแช่ของเขาเอง แค่เอาหวีสาง ๆ ขนให้เขาก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวเขาทำความสะอาดของเขาเอง คนเราถ้าอาบน้ำแบบแมวก็ดีนะ เลียมือแล้วก็ลูบหน้าตัวเอง
ถาม : เป็นหวัดมีน้ำมูก จะกำหนดภาวนาอย่างไร ?
ตอบ : กำหนดรู้ลมต่อไป พอถึงเวลาที่ลมละเอียดเกิดขึ้นจะไม่เกี่ยวกับน้ำมูกแล้วตอนนั้น พอถึงเวลาเราจะไปรำคาญเสียก่อน ช่วงแรกเป็นน้ำมูกอยู่เราก็ภาวนาของเราไป พอถึงเวลาลมละเอียดก็จะลืมไปเอง
ถาม : จัดการกับโทสะ ?
ตอบ : เราก็ต้องสร้างสติให้เกิด พอมีสติก็จะไม่ระเบิดใส่คนอื่น หลังจากนั้นก็มาพิจารณาให้เห็นว่าเป็นโทษอย่างไร ถ้าหากว่ารู้ว่าเป็นโทษก็จะไม่ไปยุ่งอีก ฉะนั้น...อันดับแรกคือสร้างสติ วิธีสร้างสติที่ดีที่สุดก็คือ พยายามรู้ลมหายใจเข้าออกให้ได้ จริง ๆ แล้วถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ก็แก้ได้ทุกเรื่อง เพียงแต่ว่าถ้าจะให้คุมได้สุด ๆ ก็พยายามพิจารณาให้เห็นความไม่ดีไม่งามของความโกรธ เมื่อเห็นโทษก็จะปล่อยวางไปเอง
ถาม : เวลาภาวนาแล้วมีอาการร้อนในร่างกาย ?
ตอบ : อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ปกติเขาไม่ให้สนใจ ถ้าเรามัวไปสนใจอยู่จะเสียการปฏิบัติ โบราณเรียกขันธมาร แค่มาแกล้งเราเท่านั้น ถ้าตามสายวิชาของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้สมาทานพระกรรมฐานว่า “ขอมอบกายถวายชีวิต” ในเมื่อมอบกายถวายชีวิต แค่ร้อนนิดร้อนหน่อยเกิดขึ้นไม่ถึงตายหรอก ขนาดตายเขายังยอม เขาไม่ให้สนใจ ภาวนาไปเรื่อยเดี๋ยวก็หายไปเอง ถ้าไปสนใจภาวนาต่อไม่ได้ เขาก็ขวางเราได้สำเร็จ เขาถึงได้เรียกว่าขันธมาร คือร่างกายของเรามาขวาง
ถาม : ภาวนาแล้วรู้สึกตัวแข็ง ตัวแข็งไม่ทราบว่าเป็นฌาน ๓ หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องดูว่าแข็งแบบไหน เราต้องสังเกตของเราเอง ถ้าหากว่าตัวแข็ง หูไม่ได้ยินเสียงภายนอกก็เป็นฌาน ๓ แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวขยับไม่ได้ รู้เรื่องภายนอกทุกอย่าง บางทีเป็นแค่ปฐมฌานหยาบ เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน เราต้องสังเกตของเราเอง ถ้ายังได้ยินเสียงอยู่ ยังรู้เรื่องอยู่ ไม่ถึงฌาน ๓ หรอก
ถาม : ฌาน ๑ หรือครับ ?
ตอบ : เป็นแค่ฌาน ๑ ขั้นต้น ที่เรียกว่าปฐมฌานขั้นหยาบ
ถาม : ตอนที่ภาวนาแล้วรู้สึกว่าลมหายใจร้อนมาก ?
ตอบ : เมื่อครู่บอกแล้วว่าไม่ต้องใส่ใจ พอเริ่มทรงสมาธิลมหายใจเราจะละเอียดขึ้น พอลมหายใจละเอียดขึ้นการเผาผลาญในร่างกายของเราก็ดีขึ้น บางทีก็รู้สึกว่าร้อนบ้าง ไม่ต้องไปใส่ใจ ปล่อยไป เพียงแต่ว่าถ้าไปโดนของ โดนคุณอะไรมา ก็แสดงว่ากำลังสมาธิของเราสูงกว่า เดี๋ยวก็กดของเขาพังไปเอง
ถาม : เวลาผมนั่งสมาธิ รู้สึกร้อนเป็นไฟ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าอย่าไปสนใจ พอข้ามตอนนั้นไปได้ก็จบ ข้ามไม่ได้ก็ร้อนไปเรื่อย เรื่องของการปฏิบัติเขาไม่ต้องการคนขี้สงสัย เขาต้องการคนจริง ทุ่มเทได้แม้แต่ชีวิต
ถาม : หากเราโดนแกล้งโดยมีคนใส่เหล้าในอาหาร โดยที่เราไม่รู้ ยันต์เกราะเพชรจะยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : รู้หรือไม่รู้ก็ขาด กินยาพิษโดยไม่รู้ตายไหมเล่า ?
ถาม : โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งใจ ก็เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน เขาเว้นให้อย่างเดียวคือที่ผสมยาตามสูตร แต่ก็ต้องกินตามหมอสั่ง ไม่ใช่กินเอาเมาหรือเอามัน
ถาม : ถ้ามีอะไรมาดลใจคนใกล้ชิดเราให้มากดดันเรา เราจะสู้กับแรงกดดันนั้นอย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรกสร้างสติ ถ้าสติรู้เท่าทันเราจะรู้ว่าโทสะจะเกิด อันดับต่อไปสร้างสมาธิให้สูงเข้าไว้ จะได้มีกำลังยับยั้งตัวเอง ท้ายสุดใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมา ถ้าเห็นโทษก็ไม่อยากจะไปเกิดอีก
ถาม : ถ้าเราไม่ได้ผิด ?
ตอบ : เอ็งผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว..!
ถาม : เวลาภาวนา ถ้าเราวิ่งจะได้ผลไหมครับ หรือต้องนั่งนิ่ง ๆ นั่งสมาธิจึงจะได้ผล ?
ตอบ : การภาวนาคาถาต้องหวังผล การที่จะหวังผลสมาธิต้องได้ถึงระดับ แล้วเอ็งวิ่งอยู่นี่ทรงสมาธิได้ระดับนั้นไหม ? ถ้าได้ก็วิ่งไป ถ้าไม่ได้ก็ทนนั่งไปก่อน
ถาม : ทำไมพระเจ้ามันธาตุราชจึงไม่ชนะพระอินทร์ครับ ?
ตอบ : มนุษย์ขี้เหม็นอะไรจะไปชนะพระอินทร์ ? แค่เรื่องของความโลภก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว พระองค์ท่านไม่รู้จักพอ โลภอยากได้ไปเรื่อย ในเมื่อเอากิเลสไปพอกตัวแล้วจะไปสู้พระอินทร์ได้อย่างไร ?
ถาม : อภิญญาที่สามารถมองด้วยตาเปล่าเห็น ถ้าอยู่ในภพเทวดา ต้องฝึกมโนมยิทธิหรือเปล่าครับจึงจะเห็นได้ ?
ตอบ : เทวดาไม่ต้องฝึก เป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม เกิดมาก็เป็นแล้ว จะฝึกไปทำซากอะไร ?
ถาม : (การไหว้กันของพระ)
ตอบ : พระท่านมีธรรมเนียมอยู่ว่า ผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่าต้องทำสามีจิกรรม คือแสดงความเคารพผู้ที่อาวุโสมากกว่า ผู้ที่อาวุโสมากกว่าพอพระผู้น้อยแสดงความเคารพ ก็ต้องแสดงความเคารพตอบ เป็นระเบียบที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ ถ้าหากว่าไม่ทำก็ต้องอาบัติ (ศีลขาด)
:4672615:เก็บตกเดือนพฤศจิกายน ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างเมรุวัดท่าขนุน ตั้งงบไว้ ๑๕ ล้านบาท ขอแสดงความยินดีกับตัวเองด้วย ทะลุไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ยังไม่เสร็จ...! หมดไป ๑๗ ล้านกว่า ๆ แล้ว
ช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้เคยเตือนไว้ว่า ถ้ามีคนป่วยหรือคนแก่ให้ดูแลดี ๆ เนื่องจากช่วงอากาศเปลี่ยน คนแก่หรือคนป่วยทนไม่ไหวมักจะตายกัน ที่ทองผาภูมิ พระสังฆาธิการ คือ เจ้าอาวาสวัดสะพานลาว มรณภาพ ๑ รูป ญาติโยมก็ตายติด ๆ กัน ๓ ศพ เอาไปเผาวัดท่าขนุนอีกศพหนึ่งแล้ว เมรุนี้ดูท่ากิจการจะรุ่งเรือง...! ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จเลย เผาได้เผาดี"
ภาพเมรุวัดท่าขนุน ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ (ให้น้องทีมงานภาพทางอากาศถ่ายให้ครับ)
https://www.mx7.com/i/df9/TtThpm.jpg (https://www.mx7.com/view2/zxcSSS8OOWck4Uhe)
https://www.mx7.com/i/c4f/Sf0OKJ.jpg (https://www.mx7.com/view2/zxcT2NxUL7VWalH3)
https://www.mx7.com/i/d7c/hiOzYs.jpg (https://www.mx7.com/view2/zxcTbj2hzcdHYFZe)
https://www.mx7.com/i/982/AXg5gW.jpg (https://www.mx7.com/view2/zxcThGEyFuWhPBqA)
เก็บมาฝากครับจะได้เข้าใจว่า "เมรุราคา ๑๗ ล้านกว่า ๆ หน้าตาเป็นอย่างไร"
ผมเดินผ่านตอนแรกนึกว่า "พระเจดีย์"
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.