View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙
ถาม : โดยปกติหนูจะสวดพระคาถาเงินล้านทุกวัน วันละ ๓๐๐ จบ เนื่องจากไม่ได้ทำงาน หลังจากที่สวดพระคาถาเงินล้านมาได้ระยะหนึ่ง ก็เกิดความคล่องตัวทั้งเรื่องงาน เรื่องเงินพอสมควร แต่ถ้าหนูทำงานคงไม่มีเวลาสวดพระคาถาเงินล้านได้วันละ ๓๐๐ จบเท่าเดิมแน่นอนเจ้าค่ะ หากหนูจะลดจำนวนลงเหลือเพียงวันละ ๑๐๘ จบ จะมีผลให้ความคล่องตัวเรื่องงาน เรื่องเงินลดลงไหมเจ้าคะ ? ควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้ากังวลก็ลดจำนวนลงได้ เพราะสภาพจิตไม่เป็นสมาธิเท่าเดิมแล้ว ความจริงจะทำการทำงานอะไรก็ภาวนาได้อยู่แล้ว เพียงแต่พวกเราไม่ค่อยจะซักซ้อมให้คล่องตัว จึงมักจะภาวนาได้เฉพาะเวลาที่นั่งเฉย ๆ
การยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำอะไรก็ตาม ถ้าเราภาวนาควบไปด้วย เป็นเรื่องที่สามารถทำได้และไม่ยากเกินไป
ถาม : เกี่ยวกับศีลข้อสอง ตอนสมัยเรียนหนังสือ ได้ทำการถ่ายเอกสารหนังสือเรียนไว้หลายเล่ม เนื่องจากตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องของศีลมากนัก พอมาตอนหลังกำลังจะไปเรียนต่อ มาเห็นหนังสือที่ถ่ายเอกสารไว้ ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไร หรือควรจะนำไปทิ้ง หรือทำลาย ?
ตอบ : ถ้าคิดมากเกินไปก็เอาไปชั่งกิโลขาย หรือไม่ก็ไปซื้อหนังสือใหม่เสียก็หมดเรื่อง ของเก่าที่ถ่ายเอกสารไว้ก็ตั้งไว้เฉย ๆ เอาไว้เป็นที่ระลึก
ถาม : สมัยที่เกณฑ์ทหาร เพื่อนทหารที่ย้ายสังกัด หรือวันที่ปลดประจำการ ได้ทิ้งของใช้ เช่น ถังน้ำ ผ้าห่ม ไว้ตามตึก ตามโรงนอน ของเหล่านี้จะถือว่าได้กลายเป็นของหลวงแล้วหรือไม่ ? ถ้าเรานำมาใช้ที่บ้านจะเป็นการผิดหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็นของหลวง แต่ไม่ควรที่จะเอามาใช้ที่บ้าน การที่เขาทิ้งแสดงว่าเจ้าของเขาไม่ต้องการแล้ว แต่ทิ้งไว้ในสถานที่ไหนก็ควรจะไว้ในที่นั้น ไม่ใช่เราไปกอบโกยกลับมาไว้ที่บ้านตัวเอง
ถาม : หากเรานำของหลวงมาใช้ ทั้งที่ตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี สามารถชดใช้หนี้โดยการบริจาคให้กับมูลนิธิของหลวง หรือโครงการในพระบรมราชูปถัมภ์ เช่น ราชประชานุเคราะห์ สายใจไทย ได้หรือไม่ แล้วก็ใช้ของเหล่านั้นต่อไป ?
ตอบ : เรียกว่าทดแทนกันไป...ว่าอย่างนั้นเถอะ เอาที่คุณสบายใจก็แล้วกัน ของหลวงก็เหมือนกับสังฆทาน เพราะเป็นของเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ถ้าติดใจว่าเราไปเอาของหลวงมาใช้ เป็นการเบียดบังทรัพย์สินของหลวง ได้บริจาคคืนมูลนิธิที่เป็นของหลวงไปก็นับว่าทำถูกต้องแล้ว
ถาม : หากมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยบิดาหรือมารดาตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด โดยใช้เครื่องมือที่ใช้เข็มเจาะเลือดและเราต้องเป็นผู้ที่ลงมือเจาะเลือด อยากทราบว่าในกรณีนี้กรรมจะส่งผลลบกับตัวของบุตรที่เจาะเลือดให้บิดาหรือมารดาหรือไม่ โดยที่บุตรได้รับอนุญาตและได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่นี้ ถ้ามีผลลบเกิดขึ้น กราบขอคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยครับ ?
ตอบ : เรียกว่ากังวลเกินไป ถ้าเขาบอกให้เจาะเลือดแล้วคุณใช้มีดกรีดเอาก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อเป็นการรักษาและได้รับการอนุญาตแล้วก็เป็นอันไม่มีกรรมต่อกัน ยังจะพยายามคิดหานรกอีก...!
ถาม : กระผมจะออกวิ่งเพื่อลดน้ำหนักตอนเย็น โดยเวลาวิ่งจะภาวนาคาถาเงินล้านสลับกับบทสวดพระจักพรรดิของหลวงปู่ดู่ โดยรู้สึกว่า ขณะที่วิ่งไปและภาวนาไปด้วยรู้สึกว่าอารมณ์ไม่ส่ายไปไหน จะจับจุดกับคำภาวนามาก แต่ไม่ได้จับลมหายใจเข้าออก เพราะเวลาวิ่งจะหายใจแรงและเร็วครับ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าจะมีผลไหมครับ ? สำหรับการภาวนาในขณะวิ่งครับ
ตอบ : ถ้ามีสติอยู่ตลอดถือว่าเป็นการภาวนาเหมือนกัน ความจริงอาตมาหากินทางวิ่งภาวนามาหลายปี ขอยืนยันว่าถ้าทำจนคล่องตัวจริง ๆ และสามารถจับลมหายใจไปด้วยได้ ทำให้เหนื่อยช้าลงหลายเท่า
ถาม : ผมอยากเรียนถามว่า พระเจ้าจักรพรรดิชื่อ "มันตุราช" ทำบุญอะไร จึงเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในพระไตรปิฎก ที่สามารถขึ้นไปครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ และมีอายุนานถึง ๑ อสงไขยครับ ?
ตอบ : "พระเจ้ามันตุราช" ไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดินะ พระเจ้ามันตุราชเป็นต้นตระกูลองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้า กว่าจะมาถึงเจ้าชายสิทธัตถะ น่าจะเป็น "พระเจ้ามันธาตุราช" มากกว่า
ต้องไปถามท่านเองว่าทำบุญอะไรมา เพราะว่าท่านไม่ได้ครองแค่ดาวดึงส์เฉย ๆ ในพระไตรปิฎกบอกว่า เมื่อพระเจ้ามันธาตุราชได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว ยึดครองทวีปทั้งสี่ มีทวีปน้อยอีกสองพันเป็นบริวาร ก็แปลว่ายึดดวงดาวไปอย่างน้อยก็สองพันดวง ท่านก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ถามบรรดาเสวกามาตย์ว่ามีสมบัติอะไรที่ยิ่งไปกว่านี้อีก ? ข้าราชบริพารก็บอกว่าสวรรค์ ท่านจึงขึ้นจักรแก้วลุยขึ้นไป ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็มอบราชสมบัติให้ ครองราชสมบัติจนกระทั่งเบื่อ ถามท้าวมหาราชว่ามีที่ดีกว่านี้อีกไหม ? ท้าวมหาราชก็บอกว่าต้องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พอขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ก็แบ่งสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ครองสมบัติร่วมกัน จนกระทั่งพระอินทร์จุติไปสามสิบกว่าพระองค์ ท่านเองยังไม่หมดอายุเลยนะ แล้วท่านก็เบื่อ คิดว่ามีอะไรยิ่งกว่านี้หรือเปล่า ? พอเกิดพระอินทร์องค์ใหม่ขึ้นมาอีกเพื่อครองสมบัติต่อ พระเจ้ามันธาตุราชอยากจะได้สมบัติคนเดียว ไม่ต้องแบ่งครึ่ง จึงคิดไม่ดีจะทำร้ายพระอินทร์องค์นั้น ตนเองก็เลยร่วงตกกลับมาที่โลกมนุษย์ตามเดิม บรรดาเสวกามาตย์เห็นเข้า อาตมารับประกันว่าไม่เคยรู้จักหรอก ขนาดพระอินทร์ยังผ่านไปสามสิบกว่าพระองค์ แต่เขาก็รู้ว่านี่คือพระเจ้าจักรพรรดิ จึงถามว่าจะให้ปฏิบัติกับพระองค์อย่างไร ท่านก็บอกว่าท่านแก่มากแล้ว ใกล้จะตายแล้ว
ส่วนที่อยากจะบอกกับทุกท่านก็คือ ความอยากของคนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่สามารถควบคุมความอยากได้ ชีวิตนี้จะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ แล้วจะเดือดร้อนเหมือนกับพระองค์ท่านเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้ามันธาตุราชนั้นเกิดมาเป็นตถาคตในปัจจุบันนี้ ท่านไม่ได้บอกรายละเอียดว่าทำบุญอะไรไว้ แต่บุคคลที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น ต่ำสุดต้องเคยถวายสังฆทานไว้ในพุทธศาสนา ถ้าใครอยากเป็นก็สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ หน้าตักสัก ๔ ศอกก็ได้แล้ว ไม่ได้เป็นครั้งเดียวด้วย เป็นจนเบื่อไปเอง
อย่าจำสับสนกันนะ พระเจ้ามันธาตุราช กับ พระเจ้ามันตุราช เป็นคนละท่านกัน
ถาม : ข้าพเจ้าและบุตรของข้าพเจ้าสวดพระคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบ บุตรของข้าพเจ้าสวดได้ประมาณ ๒๐ กว่าวัน ได้ถูกเรียกตัวให้ไปทำงานจากสถานที่ที่ได้ไปสมัครงานไว้หลายแห่ง และตอนนี้ได้ไปทำงานแล้ว แต่ไม่สามารถสวดครบ ๓๐๐ จบได้ โดยลดลงเหลือ ๑๐๘ จบ ส่วนตัวข้าพเจ้าเองสวดวันละ ๓๐๐ จบ โดยไม่ได้ขาด ผลปรากฏว่าในระยะ ๒ เดือนแรก จนถึงขณะปัจจุบันนี้ จากที่เป็นคนจ่ายเงินทุกอย่างอยู่คนเดียว กลับกลายเป็นว่ามีคนมาช่วยจ่ายให้บ้าง อาชีพของสามีรับจ้างซ่อมรถ จากที่ไม่ค่อยมีงานซ่อม ตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าสวดพระคาถาเงินล้าน กลับมีงานเข้ามาแทบจะไม่ได้ขาด จึงอยากทราบว่า ข้าพเจ้าสวดพระคาถาเงินล้านแต่สามีไม่ได้สวด แต่ทำไมงานของสามีถึงได้เยอะ เกี่ยวข้องกับการที่ข้าพเจ้าสวดพระคาถาเงินล้านหรือเปล่า ?
ตอบ : เรื่องของพระคาถาเงินล้าน เป็นการอำนวยความคล่องตัวในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แต่ถ้าทำให้เราได้รับความสะดวกสบายจากทรัพย์สินนั้น ถือว่าเป็นผลของพระคาถาทั้งหมด
สามีคืออะไร ? ผัวหรือเปล่า ? คนข้างตัวแท้ ๆ กระเป๋าเงินของผัวก็กระเป๋าของเรานั่นแหละ ล้วงบ่อย ๆ หน่อยก็แล้วกัน
ถาม : ส่วนตัวข้าพเจ้าเองเชื่อในคำพูดของท่านในเรื่องของการสวดพระคาถาเงินล้าน โดยยังสวดวันละ ๓๐๐ จบ ไม่ได้ขาด ข้าพเจ้าหวังความไพบูลย์ของชีวิตเพราะยังมีหนี้สินอยู่ อยากมีความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต อยากทราบว่าจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ?
ตอบ : อยากทำจริงหรือ ? ถ้าอยากทำจริง ๆ ก็สวดภาวนาโดยจับลมหายใจไปด้วย จะได้ผลมากกว่านั้น นี่สักแต่ว่าสวดให้จบ ๆ ไปเท่านั้น ผลจึงน้อยไปนิดหนึ่ง
ถาม : วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ เพื่อนชวนไปรับตุ๊กตาที่มีวิญญาณลูกของเขา ที่แท้งจากอุบัติเหตุคืนกลับมาจากหมอดูไพ่ยิปซี ที่อ้างว่าจะส่งวิญญาณไปเกิดให้ แต่กลับจะนำไปให้ผู้อื่นเช่าเป็นกุมาร ข้าพเจ้าถามเขาว่า เด็กตายก่อนอายุขัย ส่งไปเกิดได้ด้วยหรือ ? เขานิ่งไม่ตอบ แต่คืนให้ค่ะ
วันต่อมาข้าพเจ้าจะรู้สึกร้อนตามร่างกายมาก เหงื่อไหล หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายวันละหลาย ๆ ครั้ง ข้าพเจ้านึกถึงคาถาที่อ่านพบจากเก็บตกบ้านวิริยบารมี มาใช้เมื่อเกิดอาการดังกล่าวก็ลดลง ข้าพเจ้าตั้งใจบูชาพระขุนแผนเกราะเพชรตะกรุดทองคำ แต่เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติกับร่างกายขึ้น จึงเปลี่ยนมาบูชาพระขุนแผนเกราะเพชรตะกรุดนากแทนค่ะ ได้รับวัตถุมงคลวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และอาราธนาติดตัวทุกวัน อาการที่เกิดกับร่างกายลดลง ทำให้มั่นใจมากขึ้น
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ วันอาสาฬหบูชาไปทำบุญ นั่งฟังเทศน์จนเกิดเหน็บชาก็ยังไม่จบ จึงนำคำสอนหลวงพ่อช่วงกรรมฐานมาใช้ โดยดึงให้คำเทศนาไหลตามลมหายใจเข้าออกจนจิตนิ่ง รู้สึกได้ว่ามีร่างบางเบาร่างหนึ่ง ล้มออกจากตัวข้าพเจ้าไปทางขวามือ เมื่อกลับจากทำบุญ ขณะนั่งดูภาพงานบุญวัดท่าขนุน ก็มีเสียงดังที่อกด้านซ้าย คล้ายแรงดันให้ของกระเด็นออก บริเวณที่พระขุนแผนเกราะเพชรห้อยอยู่ ตรวจดูคิดว่าตะกรุดดีดตัวออกจากองค์พระ แต่คงอยู่ในสภาพปกติค่ะ
ข้าพเจ้าโดนทำของใส่หรือเปล่าคะ ? ปัจจุบันไม่มีอาการร้อนตามร่างกายแล้วค่ะ
ตอบ : ประการแรก...ถ้ารู้สึกร้อน หงุดหงิดง่าย เหงื่อออกบ่อย อารมณ์เสียวันละหลาย ๆ รอบ ต้องดูว่าอายุเกิน ๓๕ หรือเปล่า ? ถ้าเกินก็แสดงว่าเริ่มเป็นวัยทอง..! ประการที่สอง...จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด มีแววเหมือนกันว่าอาจมีใครทำไสยศาสตร์ให้ แสดงว่าเป็นที่รักของคนอื่นมาก เขามีอะไรถึงได้แบ่งปันให้กับเรา...!
ถาม : หากรอบด้านที่เราอยู่ มีร่างทรง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หมอดูที่ปล่อยของดึงลูกค้า คนเล่นของ หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีป้องกันให้ด้วยค่ะ ?
ตอบ : วิธีที่ทำมาก็ใช้ได้แล้ว คือ ภาวนานึกถึงพระให้เป็นปกติ แล้วอธิษฐานภาพพระครอบตัวเราเอาไว้ก็จะปลอดภัย ตรงจุดนี้เป็นอุทาหรณ์ที่อาตมาเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่า อย่าเที่ยวไปวิ่งหาร่างทรง ตำหนักทรง หรือพวกหมอผีต่าง ๆ เพราะคนเหล่านี้ไม่ค่อยมีจรรยาบรรณ ถึงเวลาเขาอยากได้เราเป็นบริวารหาเงินให้เขา เขาก็จะใช้ผีหรือไสยศาสตร์คุม ฉะนั้น...ส่วนใหญ่พวกที่หน้ามืดไปตามสถานที่นี้ก็มักจะได้ของแถมกลับมาเสมอ
จากกรณีนี้เดี๋ยวคงต้องขึ้นราคาพระขุนแผนตะกรุดนาก เพื่อเป็นการป้องกันการกักตุน...!
ถาม : ทำไมผมสวดมนต์หลายบทสวดแล้วอาการอยากบริกรรมภาวนาหายไปเลย ? เพราะปกติจะบริกรรมพุทโธหรือไม่ก็คาถาเงินล้านครับ ?
ตอบ : เกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่หนึ่ง...การสวดมนต์ก็คือการภาวนา ในเมื่อเราสวดจนเต็มที่แล้วก็เหมือนกับภาวนาจนเต็มที่แล้ว ก็เลยไม่อยากที่จะภาวนาต่อ
สาเหตุที่สอง....สักแต่ว่าสวด ๆ ไป สภาพจิตไม่ได้เป็นสมาธิ เริ่มฟุ้งซ่าน จึงไม่อยากภาวนา เพราะปกติแล้วบุคคลที่สวดมนต์ไปเรื่อย ๆ สภาพจิตทรงตัว มักจะต้องการภาวนาต่อไปเลย
ถาม : ถ้าหนูนั่งสมาธิแล้วสวดคาถาเงินล้านในใจ ๑ ชั่วโมง บางทีเคลิ้ม ๆ ไป จะได้ผลเหมือนกับสวดคาถาเงินล้าน วันละ ๑๐๘ จบไหมคะ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าสภาพจิตตอนนั้นแบบไหนมีคุณภาพมากกว่ากัน เรื่องของจำนวนจบบางทีก็ไม่สำคัญเท่ากับสภาพจิตที่มีคุณภาพในขณะที่เราภาวนาพระคาถา
ถ้าสภาพจิตทรงตัวได้สูง แม้ว่าจะใช้เวลาน้อยในการภาวนาก็เกิดผลมาก แต่ถ้าเราภาวนานานแต่สภาพจิตทรงตัวในขั้นต่ำ ผลก็จะมีน้อยกว่า แต่จะมากจะน้อยก็เกิดผลทั้งนั้น ขอให้ทำจริงจังและสม่ำเสมอเท่านั้น
ถาม : รู้สึกว่าเจ้ากรรมนายเวรตามทัน คือ ทำอะไรติดขัดไปหมด ไม่สำเร็จ ต้องตั้งอารมณ์อย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ตั้งใจภาวนาให้เป็นปกติ เพราะตัวภาวนาเป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา ถ้าอารมณ์ใจของเราทรงตัว ผลบุญใหญ่นี้จะทำให้เราหนีห่างจากกรรมเก่าไปได้ โดยเฉพาะถ้าภาวนาพระคาถาเงินล้าน ความคล่องตัวต่าง ๆ จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากว่าในตัวพระคาถามีทั้งคาถาปัดอุปสรรค มีทั้งคาถาให้ลาภสารพัดรวม ๆ กันอยู่
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เห็นพระครูหน่อยเปิดคลิปที่เด็กอนุบาลเถียงกับแม่ค้า มีใครได้ดูบ้างหรือยัง ? พระครูหน่อยไม่ได้ดูเอามันตรงนั้นหรอก ท่านถามว่า “หลวงพ่อครับ เขาเอากำลังใจที่ไหนมาสู้ผู้ใหญ่ครับ ?”
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ข้ามชาติข้ามภพ บุคคลที่เคยฝึกสมาธิมา ความเข้มแข็งของกำลังใจจะมีมาก คิดดู...เด็กคนนั้นยังเป็นเด็กวัยก่อนเกณฑ์นะ ไม่ใช่เข้าอนุบาลแล้ว กล้าเถียงป้าอายุ ๕๐-๖๐ ปีแล้ว เถียงมีเหตุมีผลด้วย แล้วลงท้ายว่าเรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ เด็กเขาฝากไว้อย่างนั้น โอ้โห...สุดยอดจริง ๆ
การฝึกฝนกำลังใจเป็นเรื่องข้ามชาติข้ามภพ พอถึงเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ก็จะแสดงออกมาเองโดยอัตโนมัติ คนก็ถ่ายคลิปไปหัวเราะไป ดูเด็กกับผู้ใหญ่ทะเลาะกัน แต่ถึงเด็กเขาโกรธแต่เขาพูดไพเราะนะ เขาไม่ด่าไม่หยาบคาย ต้องบอกว่าควบคุมตัวเองได้ดีกว่าผู้ใหญ่มากทีเดียว ผู้ใหญ่เวลาโกรธบางทีขาดสติยังด่าบ้าง หยาบคายบ้าง อันนี้เขาหาเหตุผลมาเถียง เพื่อปกป้องเด็กอีกคนหนึ่ง
แม่ค้าบอกว่าเด็กทะเลาะกับแม่ เด็กบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทะเลาะกับแม่ก็บาปตายเลย ยิ่งใกล้วันแม่แล้วด้วย ต้องทำแต่ความดี นี่เป็นเหตุผลแบบเด็ก ๆ ที่ในใจมีแต่ความดี"
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากคำถามของวันนี้ ส่วนที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ บุคคลที่ตั้งใจภาวนาพระคาถาเงินล้าน จะมีความคล่องตัวในความเป็นอยู่มากขึ้นจริง ๆ
แต่ส่วนที่อยากจะเสริมก็คือ ให้พวกเราฝึกหัดภาวนาให้ได้ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะทำงานทำการอะไรก็ต้องภาวนาได้ ถ้าอย่างนั้นกำลังใจถึงจะมีโอกาสที่จะชนะกิเลสได้บ้าง ถ้าต้องรอให้มีเวลานั่งสมาธิแล้วถึงจะภาวนาได้ มีหวังโดนกิเลสก็กินตาย เพราะกิเลสเขาไม่ได้รอให้เรานั่งสมาธิก่อนแล้วค่อยมากินเรา เขากินเราอยู่ทุกอิริยาบถ
อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของไสยศาสตร์ต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะสู้คุณพระได้อยู่แล้ว เพียงแต่วัตถุมงคลนั้นเป็นเหมือนกับเครื่องส่งพลัง วัตถุมงคลส่งพลังอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเครื่องรับของเราคือใจไม่เปิดรับ โอกาสที่วัตถุมงคลนั้นจะช่วยเราได้ก็มีน้อย การที่ใจเราจะเปิดรับพลังวัตถุมงคลนั้น ต้องประกอบไปด้วยศรัทธาเลื่อมใส มีการอาราธนาระลึกถึงเป็นปกติ ถ้ากำลังใจทรงตัว นึกถึงภาพวัตถุมงคลครอบตัวเราไว้ได้ก็ยิ่งดี"
"อีกเรื่องหนึ่งก็คือ บรรดาร่างทรงต่าง ๆ ตลอดจนพวกหมอผี เป็นอะไรที่หลีกให้ห่างได้เท่าไรก็ดีเท่านั้น ในส่วนที่ถามมานี้ก็คือ มีคนไปหาเพราะความจำเป็น เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุจนแท้งลูก แล้วก็ยังห่วงยังกังวลอยู่ ก็เลยให้หมอผีเรียกวิญญาณลูกเข้าไปอยู่ในตุ๊กตาแทน ยังโชคดีที่เขาไม่เอาไปขายเสียก่อน เพราะเจ้าของเขารู้ว่าเอาไปทำเป็นกุมาร ก็เลยไปขอคืน ทำให้เขาขาดรายได้ไป เขาจึงแถมของแถมมาให้เยอะทีเดียว...!
ช่วงก่อนมีงานเป่ายันต์ฯ มีโยมคณะหนึ่ง ๔ คนเดินเข้ามาทำบุญ อุ้มตุ๊กตาลูกเทพติดเอวมาด้วย นี่เขายังไม่หายเห่อกันอีกหรือ ? ตอนแรกอาตมาก็นึกว่าอุ้มเด็ก มองไปอีกที อ้าว...ตุ๊กตานี่นา แต่ถ้าเอามาเข้าพิธีเป่ายันต์ฯ ก็จะกลายเป็นลูกเทพจริง ๆ ที่ไปให้บรรดาสำนักต่าง ๆ เสกมา อาจจะได้ลูกผีลูกซาตานมาก็ได้ เรื่องพวกนี้ต้องระมัดระวังไว้ให้มาก
ไม่แต่เพียงสำนักต่าง ๆ แม้แต่กระทั่งวัดวาต่าง ๆ ก็มี ที่ใช้ผีหรือไสยศาสตร์คุมเพื่อให้คนเข้าวัดไปทำบุญอยู่ตลอดเวลา บางรายเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ๆ ก็มีการดึงไปเพื่อเหตุอื่นด้วย เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้มาก อาตมาเกรงว่าถ้าพวกเราเผลอ อยู่ในช่วงวาระกรรมเข้ามา อาจจะหลุดวงโคจรไปชนิดกู่ไม่กลับ
เหมือนกับลูกศิษย์บางคน ทั้ง ๆ ที่รู้ แต่เนื่องจากโดนคุมจนไม่มีสติที่จะแก้ไขตัวเอง ถึงเวลาแต่ละเดือนก็เอาเงินไปให้เขาสามหมื่นสี่หมื่นบาท ไม่อย่างนั้นจะกินไม่ได้นอนหลับ อาตมาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเขาไม่ยอมไปงานที่วัดท่าขนุน เนื่องจากว่าได้ที่ซึ่งเหมาะสมกับวาระบุญวาระกรรมของตัวเองแล้วก็เป็นได้"
"จะว่าไปแล้วบรรดานักบวชที่แสบสุดยอดก็มีเยอะมาก หลายท่านก็เบากว่านั้นหน่อยหนึ่ง แค่ใช้วิธีโทรจิกทุกวัน เดี๋ยวก็จะทำบุญอย่างนั้น เดี๋ยวก็ทำบุญอย่างนี้ เดี๋ยวก็ขอให้เป็นประธานงานนั้นงานนี้ ต้องบริจาคเงินเท่านั้นเท่านี้ จนกระทั่งบางทีโยมทนไม่ไหวก็บริจาคซื้อรำคาญไป
อีกประเภทหนึ่งไม่ได้รู้จักกันหรอก แต่รู้ว่าโยมคนนี้ฐานะดี ท่านก็บุกไปยันบ้านเลย ตื๊อให้เป็นเจ้าภาพกฐิน เจ้าภาพผ้าป่า ให้เป็นเจ้าภาพสร้างศาลาสารพัด มีแต่จะสร้างความเสื่อมศรัทธาให้กับญาติโยม
อีกประเภทหนึ่ง โยมเคยไปทำบุญวัดของตัวเอง พอไปทำบุญที่อื่นถึงกับโทรไปด่า สมัยนี้ไม่ค่อยโทรด่าหรอก แต่ไปด่าลงเฟซบุ๊กแทน อาตมาก็ยังสงสัยเหมือนกันว่า ถ้าไปวัดของตัวเองแล้วนี่ห้ามไปที่อื่นเลยหรือ ? อาตมาเองไม่เคยหวงนะ ใครจะไปทำบุญวัดไหนก็ไปเถอะ เดี๋ยวก็กลับมาตายรังเองแหละ...!
เรื่องที่ว่ามาให้ถือเป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่ง ถ้าเป็นพวกร่างทรงหมอผีก็ถือว่าเป็นการหากินของเขา แต่ในส่วนของบุคคลในผ้าเหลืองนั้น บางสิ่งไม่ควรที่จะทำก็ทำกัน จะต้องเป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่จะต้องว่ากล่าวสั่งสอน แต่ถ้าพ้นนิสัยมุตตกะไปแล้ว ไม่ต้องฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์แล้ว ก็คงต้องรอท่านได้สติกันเอง"
"วิธีที่จะปลอดภัยในสมัยนี้ ไปวัดก็อย่าไปทิ้งเบอร์โทรศัพท์ อย่าไปทิ้งที่อยู่ไว้ให้ อาจจะปลอดภัยสัก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครแอดไลน์มา ถ้าหากว่าเป็นพระก็อย่ารับเป็นเพื่อน ถ้ารับแล้วก็อันเฟรนด์หรือบล็อกไปเลย..!"
พระอาจารย์ "มีใครไปไล่จับโปเกม่อนบ้าง ? ระวังรถจะชนตาย อาตมาเคยบอกอยู่เสมอว่า เทคโนโลยีเป็นผลงานของมาร ที่สร้างมาเพื่อดึงเราให้ติดอยู่กับโลก ถ้าเรามีฉันทะไปไล่จับโปเกม่อนทั้งวัน เราแค่เปลี่ยนฉันทะตัวนั้นมาภาวนาทั้งวันก็จบแล้ว จับโปเกม่อนได้แค่สนุก แต่ถ้าจับลมหายใจเข้าออกมีโอกาสที่จะพ้นทุกข์ จะเอาอย่างไรดี ? ตั้งตาตั้งตามาก...ขนาดในคูหากาบัตรยังจะไปจับโปเกม่อน ฉะนั้น...จับลมหายใจเข้าออกแทนน่าจะมีผลมากกว่า
บ้านเรามักจะเห่อตามกระแส อาตมาไม่เคยเล่นเกมก็เลยไม่เคยรู้ว่าเกมนี้ต้องเสียเงินให้เขาหรือเปล่า เวลาเราจะโหลดแอพฯ โหลดข้อมูลอะไร เราคงต้องจ่ายเงินเขาก่อน คาดว่าคงไม่สามารถที่จะแบ่งปันให้กับเพื่อนได้ ต้องต่างคนต่างโหลด ต่างคนต่างจ่าย
โปเกม่อนเป็นของญี่ปุ่นใช่ไหม ? แสดงว่าบ้านของเรานี่วัฒนธรรมเกาหลี ญี่ปุ่น ครองไปเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลาก็ต้องให้พวกร็อกเกอร์เกาหลีมาโกยเงินบาทกลับไปบ้านเขา พวกเราก็ไปกรี๊ด ถ้าทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ แต่ในเรื่องของโลกียสุข พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า ความสุขนั้นมีน้อย แต่ความทุกข์นั้นมีมาก ในเมื่อความสุขมีน้อย ความทุกข์มีมาก ถ้าเราไปหลงใหลได้ปลื้ม ความทุกข์ที่มีมากเกิดขึ้นมา เราก็จะเดือดร้อนเอง"
มีคนตาบอดจูงมือกันมา "พวกเขาไปไหนไปด้วยกัน ไม่มีทิ้งกัน ที่อาตมาพูดไม่ได้หมายความว่าต้องให้พวกเราพิการทางสายตานะ แต่ที่พูดเพื่อให้พวกเราดูตัวอย่างของผู้พิการทางสายตา เขามีอะไรก็ต้องอิงอาศัยกัน ฉะนั้น...จะโกรธกันไม่ได้ เกลียดกันไม่ได้ บ้านเราเมืองเราทำอย่างไรจึงจะให้เป็นอย่างนี้บ้าง ?
ทำอย่างไรที่จะเห็นคนอื่นเป็นเหมือนเพื่อนร่วมหมู่บ้าน เหมือนคนร่วมชายคา ทำอย่างไรจะอนุเคราะห์สงเคราะห์คนอื่นได้เท่ากับที่เราอยากให้เขาทำให้กับเราเอง ต้องบอกว่าให้ทำไปก่อน ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็คือเราต้องทำก่อน วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ"
ถาม : เมืองพระนิพพานเป็นอย่างไรคะ ? ...(เด็กถาม)...
ตอบ : ก็เป็นเมืองนิพพาน...! เป็นที่พ้นบุญพ้นบาปแล้ว ไม่ต้องทุกข์อีก ถ้าไม่ซนมากก็ไปได้ ถ้าซนมากไปไม่ได้ ไม่ให้ซนหนูยอมตายดีกว่า...ใช่ไหม ?
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออภัยด้วย เมื่อคืนอาตมาด่า ค.ส.ช.เยอะไปหน่อย (งานสวดพระคาถาเงินล้าน) เลยมีคนในเครื่องแบบมาขอแสดงความนับถือ ฉวยโอกาสได้ออกทีวีก็เลยด่าประจาน รู้สึกปลื้มใจมากที่ทหารเห็นคุณค่าของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขออภัยที่ป่วยเพราะอาตมาไม่เจียมตัว เห็นสถานการณ์บ้านเมืองกำลังย่ำแย่ จะเอา "ท่าน" ออกจากโรงพยาบาลให้ได้ ตัวเองก็เลยหงิก
ธรรมดานะ สังขารัง โรคะนิทธัง สังขารเป็นรังของโรค โรคจะอาละวาดก็ปล่อยเขาไป แต่อย่างไรอาตมาก็ไม่เปลี่ยนความคิด จะเอา "ท่าน" ออกจากโรงพยาบาลให้ได้ ขอลองดูหน่อยว่าจะยากแค่ไหน
เมื่อวานที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มีโยมคนหนึ่งมา “หลวงพ่อเป่าหัวให้ผมหายป่วยที” อาตมาบอกว่า “ถ้ากูเป่าตอนนี้มึงก็ป่วยหนักเลย เพราะกูกำลังป่วยอยู่...!”
ถาม : พวกสัมภเวสีเขาอยู่ภูมิเดียวกับเทวดาหรือครับ ?
ตอบ : เขาอยู่ภูมิเดียวกับเรานี่แหละ เพียงแต่พวกเรามองไม่ค่อยเห็น ...(หัวเราะ)... เป็นภูมิละเอียดที่ทับซ้อนกันอยู่ แต่ภุมมเทวดาละเอียดกว่าเยอะ ถ้าภุมมเทวดาไม่ต้องการให้เขาเห็น เขาก็เห็นไม่ได้
ถาม : ภุมมเทวดา ต้องอยู่เฉพาะบนพื้นบกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ภูมิ แปลว่า พื้นที่ ฉะนั้น...ท่านก็อยู่บนบกเท่านั้น ในทะเลก็มีพวกรักษาทะเลอีก พวกรักษาทะเลส่วนใหญ่เป็นลูกน้องของเจ้าแม่มณีเมขลา
ถาม : คนตายในทะเล ส่วนใหญ่กลายเป็นสัมภเวสีอยู่ในทะเลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยมีใครอยู่เท่าไรหรอก ด้วยความเคยชินส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้านกัน เขาไม่รู้ว่าอยู่ในความเป็นทิพย์ แค่นึกก็ถึงแล้ว นึกถึงบ้านก็เลยไปอยู่ที่บ้าน
ถาม : ผีทะเล ?
ตอบ : ผีทะเลมีทั้งพวกเปรต พวกอสุรกาย หรือพวกอสูรกึ่งเทพกึ่งยักษ์ พวกปลาหรือสัตว์ยักษ์ในทะเลที่สายตาคนทั่วไปมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าจะเป็นอชคราทิเปรตหรือเปล่า ? น่าจะใช่...เป็นเปรตประเภทเดียวที่อยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นสมัยนี้แค่หนึ่งตัวสองตัวก็เต็มทะเลแล้ว เพราะตัวใหญ่มาก
ถาม : มองไม่เห็นพวกนี้หรือคะ ?
ตอบ : เขาอยู่ในภูมิละเอียด ถ้าเขาตั้งใจทำหยาบขึ้นมาก็เห็นได้ แต่ส่วนใหญ่เขาไม่อยากจะเดือดร้อนกันหรอก บางทีเขาก็ทำตัวหยาบขึ้นมา คนก็ไปส่องพบเข้าพอดี "อ้อ...ที่แท้ทะเลตรงนี้ตื้นแค่นี้เอง" พอไปส่องใหม่ "อ้าว..ทำไมตอนนี้ลึกจัง ?" ทำเอานักวิทยาศาสตร์หรือนักสมุทรศาสตร์เครียดกัน
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ผ่านมา วัดท่าซุงมีงานหล่อรูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ด้วยทองคำ อาตมาอุตส่าห์ยุให้คนไปทางด้านนั้นแล้ว คนก็ยังมางานเป่ายันต์ฯ กันเสียแน่นวัดท่าขนุนอยู่ดี เพราะหลายท่านตั้งใจจะไปร่วมพุทธาภิเษกแล้วค่อยไปหล่อพระที่วัดท่าซุง อีกหลายท่านตั้งใจรับยันต์รอบแรกแล้วค่อยไป
เสียดายว่างูกะปะมาถึงหลังเป่ายันต์ งานเสร็จแล้วค่อยโผล่มา ไม่อย่างนั้นรับยันต์แล้วจะได้ลองให้กัดดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง อาตมาโดนมาแล้วรสชาติเด็ดขาดมาก ปวดเหมือนอะไรแทงอยู่ในเนื้อ วิ่งขึ้นมาเป็นเส้น พอถึงข้อก็ย้อนกลับไป เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่อีก ตื๊อกันไปตื๊อกันมาอยู่ ๔-๕ รอบกว่าจะยอมหายไป อาตมาทดสอบคุณภาพมาด้วยตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้น...ถ้าใครมั่นใจว่ารักษายันต์ได้ ลุยไปเลย...ไม่ต้องไปกลัวงู"
พระอาจารย์กล่าวถึงงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "เจ้าประคุณเถอะ...ญาติโยมร่วมสวดอยู่ทางบ้าน ๖๐๐ กว่าราย อยู่ใน YouTube ๕๐๐ กว่า แสดงว่าเขาเห็นว่าไทยพีบีเอสที่แคบเกินไป ก็เลยอยู่บ้านดีกว่า ความจริงห้องคอนเวนชั่นฮอลล์เขาใหญ่นะ แต่คราวนี้ กกต. ดันมาแย่งพื้นที่เพื่อที่จะประชุมครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลงประชามติ ก็เลยไล่พวกเราไปอยู่ตรงลานไม้หน้าอาคาร A
ต้องบอกว่าเล่นเอาด็อกเตอร์ตั้มประสาทกลับไปเลย ตอนแรกท้อใจจะไม่จัดเสียแล้ว ความจริงคุณตั้มกล้าจัดนะ ถามว่ามีทีมงานกี่คน ? “มีผมคนเดียวครับ” “เฮ้ย..กล้ามากว่ะ...!” ท้ายสุดคุณชยาคมน์กับคณะอื่น ๆ ก็ไปช่วยกัน สะพานบุญก็เข้าไปด้วย จัดแล้วไม่เสียหน้า คนแน่นดี แต่เนื่องจากว่าเลื่อนระยะเวลาขึ้นมาเร็วไป ๒ ชั่วโมง ก็เลยทำให้คนเลิกงานไม่ทันกันเสียเยอะ"
"จะว่าไปแล้วสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสนั้น ระดับผู้บริหารก็เป็นศาสนาอื่นเสียเกือบหมดแล้ว พวกเรากล้าหาญชาญชัยมากที่ไปจัดงานในนั้น โดนบี้ขนาดไหนก็จะจัด ถึงได้บอกว่าโปรดระวัง อยู่ ๆ มี ม.๔๔ สั่งมาให้ย้ายไปอยู่ต่างดาวก็ไม่ต้องแปลกใจหรอก..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บาตรน้ำมนต์ที่อาตมาจะสร้าง ด้านบนเป็นยันต์พุทธบารมี ใต้ฝาบาตรเป็นยันต์สุริยันทรงกลด ก้นบาตรเป็นยันต์ทำน้ำมนต์ ไม่รู้ว่ายันต์สุริยันทรงกลดจะเสร็จเมื่อไร ถ้าอาจารย์แบงค์ทำงานของวัดท่าขนุนครบทุกชิ้น ก็ตั้งตนเป็นเกจิฯ ได้เลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมาเสียงหล่อมาก เป็นหวัดมาเกือบ ๒ อาทิตย์แล้ว รู้สึกว่าหวัดระยะหลังนี่หายยากมาก แต่ถ้าอยู่ที่วัดโอกาสที่จะหายก็ยาก เพราะว่าฝนตกทั้งวันทั้งคืน โดยเฉพาะตกตอนบิณฑบาต พอเริ่มเดินจากวัดฝนก็จะตก พอเดินครบ ๕ กิโลเมตรกลับจะถึงวัด ฝนก็หยุด...! เจตนาแกล้งกันชัด ๆ ถ้าเปียกเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ต้นทางนี่ไม่ว่าอะไร เพราะถือว่าออกไปก็ต้องเปียก แต่มีบางครั้งเดินมาจนถึงหัวสะพานจะเข้าวัดอยู่แล้ว ฝนเทตูมลงมา เหลือไม่กี่ก้าวจะเข้าวัด เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลย แกล้งกันจริง ๆ
แต่ว่าที่วัดมีกติกาที่บำเพ็ญมาโดยที่ไม่ต้องมีลายลักษณ์อักษร ก็คือ จะฝนตกแดดออก ฟ้าถล่มดินทลาย พระก็ต้องออกบิณฑบาต ญาติโยมหลายคนถามว่า “หลวงพ่อ...จนป่านนี้แล้วยังบิณฑบาตเองอีกหรือ ?” “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นละโยม ?” โยมเขาบอกว่า “ที่อื่นเขาเป็นเจ้าอาวาส เขาก็ให้ลูกวัดบิณฑบาตให้ฉันแล้ว”
หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่เคยสอนอย่างนั้น ไม่เคยสอนว่าเป็นเจ้าอาวาสแล้วให้ลูกวัดหรือเณรบิณฑบาตแทนได้ ไม่เคยสอนว่าเป็นเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ แล้วให้ลูกวัดบิณฑบาตแทนได้"
"พระพุทธเจ้าของเรายังบิณฑบาตจนวาระสุดท้ายของชีวิต พระองค์ท่านบิณฑบาตมื้อสุดท้ายที่บ้านของนายจุนทกัมมารบุตร เสวยลงไปแล้วถ่ายเป็นเลือด พระองค์เกรงว่าคนจะกล่าวหาว่านายจุนทะถวายบิณฑบาตแล้วทำให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน อุตส่าห์สั่งพระอานนท์ไว้ว่า
"อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ ถ้าต่อไปมีใครกล่าวหานายจุนทกัมมารบุตร ขอเธอจงบอกกับเขาทั้งหลายเหล่านั้นว่า บิณฑบาต ๒ ครั้งในชีวิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าบิณฑบาตทุกครั้ง นั่นคือบิณฑบาตที่เสวยแล้วตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และบิณฑบาตที่เสวยแล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน"
ในพระพุทธศาสนาของเราผู้ที่ถวายบิณฑบาตพระพุทธเจ้าแล้วได้ผลานิสงส์มากที่สุด ก็คือ นางสุชาดาเสนิยบุตร กับนายจุนทกัมมารบุตร คนหนึ่งถวายพระองค์ท่านเสวยแล้วตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ อีกคนหนึ่งถวายเสวยแล้วปรินิพพาน"
"ยังมีแรงอาตมาก็เดินไปเรื่อย ๆ แต่อาตมาออกระเบียบวัดไว้แล้วว่า ภิกษุรูปใดอายุถึง ๖๐ ถ้าไม่ต้องการบิณฑบาต หรือเดินบิณฑบาตไม่สะดวก ก็ให้ไปฉันที่โรงครัวได้เลย ปัจจุบันนี้มีรูปเดียวที่ทำตามนั้น ก็คือ หลวงตาปรีชา อกิญฺจโน แต่ก็ไม่ได้ให้ท่านอยู่ว่าง ๆ นะ ระหว่างที่พระบิณฑบาต หลวงตาท่านก็เดินตรวจวัด ห้ามอยู่เฉย ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพระออกไปหมด ใครมางัดแงะกุฏิก็ไม่รู้
แต่ก็อย่างว่า แก่ปานนั้นแล้วถึงโจรมาแงะจริง ๆ จะไปทำอะไรโจรได้ อาศัยที่หลวงตารูปร่างสูงใหญ่พอที่จะขู่เขาได้ แต่ต้องอย่าเดิน ยืนเฉย ๆ จ้องหน้าโจรก็พอ ถ้าเดินเดี๋ยวเขารู้ว่าแก่ เพราะว่าเดินเซแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การป่วยครั้งนี้เกิดจากการพยายามฝืนกฎของกรรม ช่วยผู้มีบารมีในแผ่นดินให้ออกจากโรงพยาบาล เห็นแล้วน่ากลัวมาก เจ้ากรรมนายเวรตรึงท่านตั้งแต่บนยันล่าง ไม่มีที่ให้ขยับเลย ไปลองปะทะกันมา อาตมาก็เลยน่วมอย่างที่เห็น ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวเอาใหม่ ดูว่าใครจะทนกว่ากัน
ไปไล่ทุบไล่ตีเขาเรื่อย ๆ ชนะไม่ได้ไปกวนให้ขุ่นเล่นก็ยังดี เห็นประเทศชาติของเราวุ่นวาย ชาวบ้านขาดหลักยึดทางใจก็จำเป็น ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อาตมาถือว่าทำเต็มที่แล้ว ในเมื่อฝืนกฎของกรรม ตัวเองต้องรับบ้าง ก็ถือว่าปกติ"
"ช่วงที่สบายที่สุดในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ก็คือ ช่วงที่ไปอยู่ประเทศอังกฤษ มีอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นมัคคุเทศก์...! ปกติแล้วกรมอุตุนิยมวิทยาอังกฤษทำนายไม่เคยผิด บอกว่ามีฝนก็ต้องเตรียมร่ม วันนั้นบอกว่าอากาศหนาว ลมแรง มีฝน อาตมาไปถึงก็แดดดี ถ่ายรูปสวยทุกที่เลย
แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่อาตมาสงสัยเพราะเขาเถียงกันไม่เลิก ก็คือสโตนเฮนจ์ ใครเคยไปเที่ยวบ้าง ? ที่เป็นหมู่หินวงกลมแล้วก็มีหินก้อนยักษ์ ๆ พาดเป็นวงอยู่ข้างบน มีพรหมท่านหนึ่งมาบอกว่า เป็นวงกลมของนักบวชโบราณที่ใช้ทำพิธีเพื่อชัยชนะของกษัตริย์ แล้วตัวคนทำพิธีก็คือพรหมที่มาบอกนั่นแหละ เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปเถียงกับเขา ใครบอกว่าเป็นวงกลมสำหรับเป็นเครื่องหมายของจานบิน ใครบอกว่าเป็นนาฬิกาโบราณ เรารู้ว่าเป็นวงพิธีแล้วกัน เพราะเขาทำพิธีแล้วพลังจะมากเป็นพิเศษ ส่งไปช่วยกษัตริย์และกองทัพให้รบชนะ แสดงว่าไสยศาสตร์นี่เขาเล่นกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว"
"ไปอังกฤษเที่ยวนี้อาตมาเน้นไปบ้านนอก เพราะสงบน่าอยู่มาก บ้านเขาถนนหนทางดี ระยะทางไกล ๆ นี่รถวิ่ง ๒ - ๓ ชั่วโมงก็ถึง แต่เขาจำกัดความเร็วนะ ถ้าเขาไม่จำกัดความเร็ว จะถึงเร็วกว่านั้น ฝ่าฝืนกฎจราจรไม่ได้ เพราะเขามีกล้องเป็นระยะ ๆ ถ้าเร็วเกินกำหนดติดอยู่ในกล้องเมื่อไร ใบสั่งจะส่งถึงบ้าน ถ้าผ่านไป ๒ วันไม่จ่ายโดนปรับเพิ่ม
แต่บ้านเขาของแพงมากเพราะว่าเงินเขาใหญ่ จึงเป็นประเทศท้าย ๆ ในโลกที่อาตมาจะไป งานนี้โดนลูกสาวบังคับไปเพราะเขารับปริญญาโท อย่างไรก็ต้องเอาหลวงพ่อไปอวดชาวบ้านเขาให้ได้...ไปก็ไป
แต่ที่น่ากลัวอย่างหนึ่งก็คือ มหาวิทยาลัย Middlesex นักศึกษาที่รับปริญญารุ่นนี้เป็นอิสลามเกินครึ่ง แสดงว่าอิสลามเขาสร้างบุคลากรมากเป็นพิเศษ ส่งไปเรียนต่างประเทศ เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ กัน ของเราเองกว่าจะไปได้ต้องต่อสู้กับโทเฟลแทบล้มประดาตาย กว่าภาษาจะเพียงพอใช้งาน ของเขาเหมือนกับง่าย ๆ ไปกันเต็มไปหมด ถึงเวลารับปริญญาพอประกาศชื่อมีการเป่าปากวี้ดวิ้ว โห่ร้อง ถ้าเป็นบ้านเราไปทำอย่างนั้นก็โดนไล่ออกจากหอประชุมเท่านั้น"
พระอาจารย์กล่าวถึงเหรียญพุทธบารมีรุ่น ๑ ที่ผ่านมาว่า "แค่เฉพาะค่ากล่องไม้ก็แพงมากแล้ว ทำทั้งทีก็ต้องทำให้ดีไปเลย"
ถาม : ถ้าในอดีตเราทำทานบารมีน้อย เกิดชาตินี้เราไม่คล่องตัว เราภาวนาพระคาถาเงินล้านเพื่อให้คล่องตัว ผลของคาถาจะช่วยให้คล่องตัวได้ไหมครับ ?
ตอบ : ช่วยได้ เพราะว่าเข้ามาเสริมในชาตินี้ อย่าลืมว่าสิ่งที่เรารับในปัจจุบันนั้นเกิดจากในอดีต ถ้าหากว่าวินาทีนี้ผ่านไป ก็จะเป็นอดีตแล้ว เพราะฉะนั้น...เราทำปัจจุบันของเราให้ดีต่อเนื่องยาวนานพอ ผลก็จะไปเกิด ไม่ใช่ว่าอดีตไม่เคยทำ อดีตชาตินี้ทำ แต่อดีตชาติก่อน ๆ อาจจะไม่ได้ทำ
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเคยไปอังกฤษบ้าง ? สงสัยไหมว่า บ้านเมืองในอังกฤษลงท้ายด้วย bury เต็มไปหมด ท่านผู้รู้บอกว่า ก็ไปจากภาษาบาลีว่าบุรีนั่นแหละ
บุรี แปลว่า เมือง เช่น ชลบุรี สิงห์บุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี เพียงแต่ที่โน่นเป็น Bibury Banbury คนคิดอักษรคิดศัพท์ไม่ทัน ก็ทับศัพท์ไปเลย ไปอังกฤษแล้วเสียดายเงิน เป็นประเทศท้าย ๆ ในโลกที่อาตมาจะไปเลย แต่คราวนี้โดนโยมลากไป
ที่ไม่คิดจะไปอังกฤษเพราะเงินเขาแพง ทำใจไม่ได้ ไปกินข้าวอุตส่าห์จิ้มที่ถูกที่สุดในเมนูแล้ว ยังตั้ง ๑๓.๕ ปอนด์ จานหนึ่งเกือบ ๗๐๐ บาท กินไม่อิ่มด้วย แต่ถ้าใครไปอังกฤษแล้วจะกินอาหารไทย ให้ไปให้ถึงซาลิสบิวรี่ ร้านอาหารไทยชื่อสโรชา เป็นร้านอาหารที่ทำอาหารไทยอร่อยโคตร ยังเป็นรสไทยแท้ ๆ อยู่ แต่ราคาฝรั่ง กินมื้อหนึ่งอย่างไม่มี ๆ ก็ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ บาท แต่ต้องบอกว่ากินแล้วไม่เสียรสมือ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมรุปลอดมลพิษวัดท่าขนุนประเดิมไปแล้ว ศพแรกคือ พระมหาทรงกลด กุสลจิตฺโต อายุ ๖๕ พรรษา ๓๑ วิทยฐานะ นักธรรมเอก เปรียญธรรม ๓ ประโยค ปริญญาโทสาขาวิปัสสนาภาวนา
ท่านไปฝากผีฝากไข้เพราะว่าท่านเป็นมะเร็งตับ คราวนี้ไปอยู่ได้เกือบเดือนอาตมาก็เอาเข้าโรงพยาบาล หมอดูแลดี แข็งแรงขึ้นมาขอกลับวัดไป กลับไปแล้วอาการกำเริบก็เลยกลับมาใหม่ คราวนี้ได้เผาจริง ๆ
อาตมาพยายามจะจับผิด เขาบอกว่าเตาปลอดมลพิษ ต้องไม่มีควัน แต่ทางด้านวิศวกรเขาบอกว่า เตายังใหม่อยู่ ความชื้นยังเยอะ ควันต้องมี อาตมาก็ไปจ้องจับผิด เออ...ไม่มีควันจริง ๆ จะเตาใหม่เตาเก่าก็ไม่มีควันสมกับราคาที่แพง เฉพาะเตาก็ตั้งล้านกว่าบาท"
ถาม : พระขุนแผนเกราะเพชรองค์นี้คุ้มครองได้ทั้งบ้านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็อธิษฐานเผื่อสิวะ ถ้าเอาไปวางไว้เฉย ๆ ก็จะไปคุมอะไรได้
ถาม : ว่าคาถาให้ว่าครั้งเดียวหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้อธิษฐานภาพพระคลุมไว้ทั้งบ้านเลย
ถาม : ตอนที่ลูกจับภาพพระเฉย ๆ ก็สบาย แต่ถ้าเป็นภาพพระด้วย ลมหายใจด้วย ยังไม่ชัดค่ะ ?
ตอบ : แสดงว่าเรายังแบ่งใจไม่เป็น ก็เลือกเอาที่สบายสิ เพราะว่าที่สำคัญที่สุดคือให้ใจเราเกาะความดีได้
ถาม : เมื่อเรามีอาการเจ็บ เวทนา แสดงว่าเราไม่ได้เกาะพระใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เจ็บแล้วไปเกาะร่างกายก็เจ็บตายชักสิวะ เจ็บก็ไปอยู่กับพระท่าน ไปอยู่ไกล ๆ ร่างกาย เดี๋ยวก็หายเจ็บไปเอง
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดจบปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา เป็นรุ่นน้องของพระครูแสง เวลาเจอกันท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดอายุก็มากกว่า พรรษาก็มากกว่า พระครูแสงมาถึงก็ “เป็นอย่างไรรุ่นน้อง ?” นาน ๆ จะได้ขี่พี่สักที
ด้วยความที่ท่านเป็นมะเร็งแล้วรู้ตัวเพราะว่าเป็นนักปฏิบัติด้วย ท่านก็เตรียมเบื้องหลังไว้เรียบร้อย โอนเงินเข้าบัญชีอาตมา ๓๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ถวายวัดท่าขนุน ๕๐,๐๐๐ บาท ถวายวัดตุ๊กตา นครชัยศรี ๕๐,๐๐๐ บาท ถวายวัดกลางบางแก้วของท่าน ๕๐,๐๐๐ บาท ถวายวัดพุทโธภาวนา ๕,๐๐๐ บาท ถวายสำนักสงฆ์ธรรมวิสุทธาจารย์ ๕,๐๐๐ บาท มอบให้โรงพยาบาลทองผาภูมิ ๕,๐๐๐ บาท รวมแล้ว ๑๖๕,๐๐๐ บาท
เหลือเงินอยู่อีก ๑๙๑,๐๐๐ บาทเศษ อาตมาเลยเติมให้ครบเป็น ๑๙๒,๐๐๐ บาท มอบให้น้องชายท่านไป เพราะตอนแรกบอกไว้แล้วว่าเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวก็ดี เรื่องงานศพก็ดี อาตมารับผิดชอบเอง แต่ท่านบอกว่าท่านมีสตางค์ ฉะนั้น...ขอจัดการเอง ก็เลยกลายเป็นว่าอาตมาได้ช่วยในเรื่องการเผาศพ
หมอบอกว่าอยู่ไม่เกินอาทิตย์ แต่ท่านอยู่ยาวมา ๓-๔ เดือน อาการที่หมอบอกอยู่ไม่เกินอาทิตย์ ก็คือ ท่านหายใจนิดเดียว อาตมาดูแล้วนี่เป็นลักษณะอาการของคนเข้าสมาธิ หมอไม่เข้าใจ เห็นสภาพร่างกายก็นึกว่าไม่ไหวแล้ว"
"ท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดเป็นมะเร็งตับ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นนักภาวนา ก็เลยไม่รู้สึกอะไร อาตมาถามว่าไม่ปวดบ้างเลยหรือ ? เพราะหมอเขาบอกว่าถ้าปวดมากต้องฉีดมอร์ฟีน ท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดบอกว่าตื้อ ๆ ก็คือรู้สึกแน่นอึดอัดเฉย ๆ ไม่รู้สึกอย่างอื่น
ถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะปกติมะเร็งนี่ปวดเห็นดาวเห็นเดือนเลย ต้องฉีดมอร์ฟีนกันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีดจนติดมอร์ฟีนไปเลย ถ้าใครไม่อยากจะปวดแบบนั้น ก็ต้องภาวนาให้ได้อย่างท่าน
อานาปานสติระงับกายสังขาร ก็คือ ช่วยตัดความรู้สึกทางร่างกายออกไป เพราะว่าสมาธิไปจับอยู่ที่การภาวนาแทน ในเมื่อสมาธิจิตไปอยู่กับการภาวนา ไม่รับรู้อาการทางร่างกาย ถึงเจ็บเหมือนไม่เจ็บ ปวดก็เหมือนไม่ปวด ฉะนั้น...ท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดก็ถือว่า เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องของอานาปานสติระงับกายสังขารได้ ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานมาก
รดน้ำศพเสร็จ ท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดก็ตามอาตมากลับกุฏิไปด้วยความเคยชิน ไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว ต้องบอกว่า “มีโลงก็ไปนอนโลงสิโว้ย...! อย่ามายุ่งที่นี่” ต้องให้สติท่านหน่อย"
ถาม : ตอนนี้แม่ของผมป่วยหนักมาก ระหว่างที่ไปเฝ้าแม่กลางคืน นอกจากขอขมาพระรัตนตรัยแล้ว จับคำภาวนาพุทโธแล้ว จับภาพพระแล้ว ยังมีอะไรอีกที่ต้องทำครับ ?
ตอบ : แนะนำท่านให้นึกถึงเรื่องของบุญของกุศล ถ้าสามารถแนะนำให้เห็นถึงความไม่ดีของร่างกาย แล้วเกาะพระนิพพานได้ก็ยิ่งดี
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีใครฟังที่อาตมาพูดที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสบ้าง ? เรื่องที่พูดแรงจนชวนติดคุกไหม ? บางคนบอกว่าพระอาจารย์กล้าเกินไป ก็ไม่ได้กล้าเกิน อาตมากล้าแค่นี้มาตลอด คนเราถ้าไม่กล้าพูดความจริงแล้วจะเกิดมาทำอะไร ? ขณะเดียวกัน...การพูดความจริง ถ้าก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่สมควรต้องทำ แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าสามารถสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม จนทำให้คนเห็นดีเห็นงาม หันมายึดหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ก็ต้องถือว่าเป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติและแก่โลกด้วย
ที่อาตมาบอกว่ารัฐบาลตั้งโจทย์ผิด แทนที่จะเห็นพระเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ สามารถช่วยเหลืองานรัฐบาลได้ดีที่สุด กลับเห็นพระเป็นศัตรู เมื่อตั้งโจทย์ผิดแล้วจะเอาคำตอบที่ถูกมาจากไหน ? โบราณบอกว่าอย่าไล่หมาจนตรอก เพราะถ้าหมาจนตรอกจะหันกลับมากัด ตอนนี้รัฐบาลกำลังไล่พระจนตรอก เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องการตั้งสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านไม่ได้มีความผิดอะไร ก็ตีฆ้องร้องป่าวว่าท่านผิด อาตมาถามโยมว่า ถ้าโยมไปซื้อเครื่องไฟฟ้ามาหนึ่งเครื่อง แล้วอยู่ ๆ มีคนมาบอกว่าเป็นเครื่องไฟฟ้าหนีภาษี ตกลงว่าคนหนีภาษีคือเรา หรือว่าคนขาย หรือว่าคนผลิต ? เราเองเป็นผู้ร้ายหรือว่าเราเป็นผู้เสียหาย ?"
"ถ้าโยมสังเกตจะเห็นว่า ทุกวันนี้ที่ดีเอสไอตีฆ้องร้องป่าวว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านมีความผิดติดตัว ไม่สมควรที่จะเป็นพระสังฆราช แต่ไม่สามารถที่จะตั้งข้อหาท่านได้สักข้อหนึ่ง เป็นเพียงคำกล่าวหาลอย ๆ เท่านั้น ถ้าภาษาโบราณเขาว่า พวกหน้าตัวเมีย...ตีหัวเข้าบ้าน ก็คือแอบตีกบาลชาวบ้าน แล้วก็วิ่งหนีเข้าบ้านตัวเอง ไม่สู้กับใครตรง ๆ เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปแล้ว
ตอนนี้ที่เดือดร้อนก็คือคณะสงฆ์ทั้งประเทศ และคนไทยทั้งประเทศ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีเจตนาที่จะทำลายศาสนาโดยตรง ทุกวันนี้สถาบันหลักของบ้านเราเหลือแต่ศาสนาเท่านั้นที่เขายังทำลายไม่ได้ สถาบันชาติไม่ต้องพูดถึง แตกกันบรรลัยชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบไปตั้งแต่สมัยเป่านกหวีดนำม็อบกันแล้ว เขาทำได้สำเร็จแล้ว
แต่ที่บ้านเราเมืองเรายังเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่ เพราะว่ายังมีสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์เขาเห็นว่าแค่นับเวลารอเท่านั้น ก็เหลือเพียงอย่างเดียวคือต้องทำลายพระพุทธศาสนาให้ได้ ถ้าหากพวกเราเองยังนิ่งนอนใจกันอยู่ ยังมัวแต่กลัว กลัวตัวเองเดือดร้อน กลัวกระทบกระทั่งกับคนอื่น ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา บ้านเราจะอยู่ไม่ได้
อาตมาขอยืนยันว่า ถ้าศาสนาพุทธอยู่ไม่ได้ ไม่มีใครได้อยู่สุขอยู่เย็นสักคน ขนาดศาสนาพุทธยังอยู่ เรายังโดนเบียดเบียนทุกวิธีการ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่อาตมาทำเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนคิด แต่ไม่กล้าพูดไม่กล้าทำ ถ้าเราสังเกตศาสนาอื่น พอถึงเวลามีปัญหาเล็กน้อยแค่ไหนเขาจะโวยวายเอาไว้ก่อน ออกสื่อเอาไว้ก่อน หาว่าเราไปเบียดเบียน ไปรังแกเขา แต่ศาสนาของเราโดนเขารังแกเท่าไรก็ทนเอา
รัฐบาลไม่เคยจัดงบประมาณสนับสนุนให้ชาวพุทธเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย แต่จัดงบประมาณเป็นร้อย ๆ ล้านให้ศาสนาอื่นเดินทางไปแสวงบุญได้ ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นเงินภาษีอากรของประชาชนเหมือนกัน"
"ประเทศเราต้องบอกว่ามีแต่ไอ้พวกขี้ขลาด โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่รับหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ ประชากรไทย ๙๘ เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่กล้าเขียนว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ในขณะที่หลาย ๆ ประเทศมีประชากรประมาณ ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ เขากล้าประกาศให้ศาสนาเขาเป็นศาสนาประจำชาติ
ทุกวันนี้เราไม่สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขอะไรพระพุทธศาสนาได้ ก็เพราะว่าเราไม่สามารถออกกฎหมายมารองรับได้ ถามว่าทำไมไม่สามารถออกกฎหมายมารองรับได้ ? เขาบอกว่าในเมื่อไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายแม่ เราก็ไม่สามารถที่จะออกกฎหมายลูกมาได้เพราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็จริงของเขา แต่พอถึงเวลาจะบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติลงรัฐธรรมนูญ จะมีการเตะสกัดกันสุดชีวิต
อาตมาไม่ได้ต้องการให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่อาตมาอยากให้คนเขียนรัฐธรรมนูญที่เป็นศาสนาพุทธ มีจิตสำนึกที่จะทำอะไรเพื่อพระพุทธศาสนาบ้าง หรือแค่ว่าสักแต่นับถือพุทธศาสนาตามทะเบียนบ้านเท่านั้น ? ท่านมีโอกาสที่จะสร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติอย่างยิ่ง...แต่กลับไม่ทำ ในขณะที่ศาสนาอื่นเขาช่วงชิงโอกาสทำเพื่อศาสนาของเขาทุกอย่าง
หลวงพ่อพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ระบุไว้ชัดเลยว่า ถ้ามีศาสนาอื่นถึง ๕ เปอร์เซ็นต์เมื่อไร บ้านเราจะเดือดร้อนไม่รู้จบ ทุกวันนี้ยังไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์เราก็เดือดร้อนกันมากขนาดนี้แล้ว"
"อาตมาไม่ได้ต้องการให้พวกเราเกลียดชังศาสนาอื่น เพราะรู้ว่าคนดียังมีอยู่มาก แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องรู้เท่าทันเขาด้วย ไม่ใช่ไว้วางใจอยู่ตลอดเวลาว่าในเมื่อเราดีเขาก็ต้องดี พระพุทธเจ้าสอนเราไม่ให้ประมาท ภัยคุกคามมาจนถึงคอหอยแล้ว ถ้าเรายังนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ท้ายสุดเราจะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว
อาตมาเองก็ได้แต่ทำหน้าที่ของตนเอง ทำอย่างไรที่จะรักษาศรัทธาให้ญาติโยมเอาไว้ได้ ? ทำอย่างไรที่จะสร้างเสริมพระเณรของเราให้อยู่ในศีลในธรรม ? ทำอย่างไรที่จะทำให้พระเณรของเรามีความรู้ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลกว่านี้ ? ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะแก้ไขส่วนรวม คือ มหภาคได้ เราก็แก้ไขในขอบเขตที่เรามีอำนาจ ถ้าหากว่าทุกคนทำงานในลักษณะอย่างนี้ ต่อให้ไม่บัญญัติว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
พวกเรามีเวลาพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันก่อนที่จะตัดสินใจไปลงประชามติ ก็ตัดสินใจกันให้ดี ๆ แล้วกันว่าเราจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คาดว่าไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีรัฐธรรมนูญมากไปกว่าประเทศไทย เมื่อไรกินเนสบุ๊กจะบันทึกลงเสียทีก็ไม่รู้ ว่าเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุดในโลก
อาตมาก็ยังสงสัยอยู่ว่า ท่านทั้งหลายที่เขาว่าเป็นนักปราชญ์ ทำไมต้องเสียเงินเป็นพันล้านเพื่อที่จะร่างรัฐธรรมนูญ ในเมื่อเรารู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับไหนดี มีข้อบกพร่องตรงไหน เราก็ยึดฉบับนั้นเป็นหลัก แก้ไขเฉพาะข้อบกพร่อง ๓ วัน ๕ วันก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ ตกลงว่าเขาโง่จริงหรือฉลาด ?
เรื่องทั้งหมดนี้ว่าไปแล้วก็ขึ้นอยู่กับกิเลสคน อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าจะเอาดีจริง ๆ โน่น...หาพระโสดาบันมาเป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีทั้งหมดอย่างน้อยจะต้องถือศีล ๕ เคร่งครัด ถ้าลักษณะอย่างนั้นแล้วประเทศชาติคงจะพอไปได้ แต่ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ในเรื่องที่จะไปหวังว่าจะไม่กินไม่โกงนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่นอนหลับฝันกลางวันไปเท่านั้น"
ถาม : พระอาจารย์ครับ ถ้าพระอาจารย์เป็นฆราวาสจะรับหรือไม่รับครับ ? (รับร่างรัฐธรรมนูญ)
ตอบ : รับสิ...! นี่ก็กำลังนั่งรับอยู่ จะไม่รับได้อย่างไร เดี๋ยวขัดศรัทธาญาติโยม .....(รับสังฆทาน).....
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ต้องบอกว่าเป็นอัจฉริยะภิกษุรูปหนึ่ง เรียนอะไรก็ขลังไปหมด โดยเฉพาะพระของท่านใช้แทนของวัดระฆังได้เลย ถ้าใครสู้ราคาพระสมเด็จ วัดระฆัง ไม่ไหวก็ใช้ของท่านแทนได้ แต่ว่าของท่านเขาปลอมกันฉิบหา...วายป่วงเลย เพราะลูกศิษย์ได้แม่พิมพ์ไปจากวัดแล้วก็พิมพ์ขายกัน โดยเฉพาะสมเด็จแหวกม่าน ถ้าเห็นสมเด็จแหวกม่านนี่ถอยหนีห่าง ๆ ไว้เลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ สำคัญตรงที่ว่าต้องปลุกใจตัวเองให้ลุกให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะนอนท่าเดียว คนไหนนอนห้องปรับอากาศจะตื่นยากเพราะอากาศน้อย ส่วนใหญ่ที่เราหายใจเข้าไปเป็นอากาศเสีย ทำให้สมองไม่สดชื่น บางคนก็สงสัยว่าไปอยู่วัด นอนไปส่งเดชตามศาลาทำไมสดชื่นตื่นง่าย
อย่าไปเข้าใจว่าที่นอนไม่สบาย ความจริงร่างกายรับอากาศที่ดี ๆ เข้าไปก็ตื่นง่าย ช่วงที่อาตมาไปปากีสถาน หายใจเข้าไปนี่รู้เลยว่าคุณภาพอากาศของเขาต่างจากเราลิบโลก ของเราหายใจไม่ค่อยเต็มปอด ที่ปากีสถานหายใจทีรู้สึกว่าลงไปถึงหัวแม่เท้าเลย ไม่ใช่แค่ปอด สภาพอากาศสุดยอดมาก ไปมาเป็นอาทิตย์ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรเลยเพราะอากาศดีมาก มากลับมาถึงบ้านเราก็เจ็บไข้ได้ป่วยกันต่อ"
ถาม : จะซื้อรถค่ะ ?
ตอบ : ซื้อรถเอาสีอะไรก็ได้แต่ให้เว้นสีดำไว้ เพราะสมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า สีดำเท่ากับไว้ทุกข์ให้ตัวเอง ส่วนรถถ้าจะออกให้เอาออกจากโชว์รูมวันพฤหัสบดีหรือวันอาทิตย์ก็ได้ แต่ให้สลับกัน ก็คือ ถ้าออกวันพฤหัสบดีให้เอามาประเดิมใช้วันอาทิตย์ ถ้าออกวันอาทิตย์ให้ไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี
พระอาจารย์กล่าวว่า “วัดไร่แตงทองของหลวงปู่หลิว ตอนนี้ท่านอาจารย์สายชลกำลังซื้อที่รอบวัด ชาวบ้านเล่นขึ้นราคาแพงหูดับไปเลย จากไร่ละไม่กี่หมื่นบาท พอท่านอาจารย์สายชลไปซื้อ เขาเอาไร่ละสามแสนบาท ส่วนที่วัดท่าขนุน ราคาประเมินไร่ละสองแสนบาท เขาขายให้อาตมาไร่ละหนึ่งล้าน ฟังแล้วชื่นใจ
เนื้อที่ที่อยู่ระหว่างศาลานวราชบพิตรของวัดท่าซุงกับจุฬามณีที่แหว่งอยู่ ตอนนั้นราคาไร่ละสามหมื่นบาท เขาขายให้หลวงพ่อไร่ละสองแสนบาท หลวงพ่อท่านก็เลยปล่อยทิ้ง ดูว่าเขาจะไปขายใครได้ ไม่อย่างนั้นท่านก็ซื้อหมดไปแล้ว นอกจากไม่คิดจะทำบุญทำกุศลแล้ว ยังโก่งราคาอีกต่างหาก
ส่วนใหญ่แล้วคนรอบวัดก็เป็นอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คือถ้าเขามีจิตศรัทธาถวายมา อานิสงส์ก็คงไม่ต้องนับกัน แต่ส่วนใหญ่จะโก่งราคามากกว่า เพราะว่าต้นตำรับโก่งราคามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
จำเจ้าเชตกุมารได้ไหม ? ที่ขายที่สวนเชตวันให้อนาถปิณฑิกเศรษฐี บอกว่าจะขายก็ได้ แต่ต้องเอาเงินมาปูให้เต็ม พูดง่าย ๆ ว่าที่จะเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดไหน เอาเงินเกลี่ยให้ที่เสมอกันได้ก็เอาไปได้เลย คิดราคาแค่นั้นแหละ คิดว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐีจะถอย ที่ไหนได้...ท่านไม่ถอยนะสิ สั่งเปิดคลังขนเงินใส่เกวียนมาเลย ปูเอาให้เรียบไปเลย ถมไปถมมาถึงหน้าประตูเหลืออยู่ไม่ถึงวา เจ้าเชตกุมารบอกว่าเอาแค่นี้แหละ พอแล้ว
ท่านก็ยังอุตส่าห์เมตตานะ ให้ที่แค่หน้าประตูก็ยังสร้างซุ้มประตูให้ ติดชื่อว่าพระเชตวันมหาวิหาร ที่ทั้งหมดตัวเองเอาเงินไปถมแท้ ๆ ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีไม่ยักใช้ชื่อตัวเอง ในเมื่อมีต้นตำรับโก่งราคามาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ที่รอบ ๆ วัดก็ไม่ต้องห่วงหรอก เขาต้องโก่งราคาอยู่แล้ว"
พระอาจารย์พูดถึงกระทู้คนมีเงิน "อาตมาตั้งกระทู้ท้าทายเขาไปอย่างนั้นเอง ถ้าไม่รวยห้ามเข้า...! ของบางอย่างคนไม่รู้จัก อย่างรูปหลวงปู่ปาน รูปหลวงปู่จง รูปหลวงปู่สีนั่นเขารู้จัก พอลงเขาจองกันทันที รูปหลวงปู่นุ่ม วัดนางใน ไม่มีใครรู้จัก แปลกมาก...อาตมารู้จักท่านตั้งแต่เด็กเลย
ก่อนหน้านั้นเขามีคำพูดเหมือนกับวลีเด็ดว่า “ภูดอนรัก ภักตร์วัดโบสถ์ โปร่งท่าช้าง นุ่มนางใน คำโพธิ์ปล้ำ ซำตลาดใหม่” สุดยอดพระเกจิอาจารย์สายอ่างทอง โดยเฉพาะเก่งทางเบี้ยแก้สุด ๆ
เบี้ยแก้บ้านเรานี่จะมีสายวัดนายโรง ซึ่งเป็นสายเดียวกับวัดกลางบางแก้ว วิชาถ่ายทอดกันไปถ่ายทอดกันมา แล้วก็ไปสายอ่างทอง เกจิอาจารย์สายอ่างทองส่วนใหญ่เก่งเบี้ยแก้กันทั้งนั้น แต่ว่าพวกตะกรุดก็ถือว่าสุดยอด อย่างหลวงปู่ภู วัดดอนรัก ตะกรุดของท่าน ถ้าดูไม่ดีบางคนตีเป็นของหลวงปู่เนียม วัดน้อย ไปเลย ส่วนใหญ่ท่านทำด้วยตะกั่วเหมือนกัน พอเก่าแล้วดูยากหน่อย
หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ส่วนที่ท่านดังเป็นพิเศษคือตะโพน ตะโพนแกะสลักจากงาช้าง ความจริงส่วนใหญ่เป็นเขากวางไม่ใช่งาช้าง พวกบรรดาลิเกทั่วฟ้าเมืองไทยยุคนั้น ต้องไปกราบหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ขอตะโพนให้ได้ เล่นที่ไหนก็ดัง แล้วก็มาหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง ท่านอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ในเรื่องตะกรุด ในเรื่องเบี้ยแก้ สุดยอดทั้งนั้น
หลวงพ่อซำท่านอาวุโสที่สุด แต่ดังสู้รุ่นน้องไม่ได้ เพราะว่ารุ่นน้องอย่างหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ กับหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ท่านดังกว่า หลวงพ่อซำทำเบี้ยแก้จำนวนตามกำลังวัน อย่างเช่นถ้าทำวันอาทิตย์ก็ ๖ ตัว สูงสุดก็ ๒๑ ตัว แต่ท่านไม่ทำวันศุกร์ ท่านทำแค่วันอาทิตย์ วันอังคารและวันเสาร์ ถ้าวันอาทิตย์ ๖ ตัว วันอังคาร ๘ ตัว วันเสาร์ ๑๐ ตัว เท่านั้นจบเลย อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนต้องไปดักปรอท ครั้งหนึ่งก็ไม่ได้มาก ได้มาทีละน้อย รวม ๆ มาพอที่จะทำได้ก็ทำเสียครั้งหนึ่ง"
ถาม : ปรอทในเบี้ยแก้ ?
ตอบ : เป็นปรอทป่าเป็น ๆ นี่แหละ ไปดักมา
ถาม : กันอะไรครับ ?
ตอบ : กันไข้ป่า กันผีเจ้าเข้าสิงอะไรพวกนั้น พวกวัตถุอาถรรพ์อะไรต่าง ๆ เจอปรอทเบี้ยแก้แล้วเจ๊งหมด
เบี้ยแก้สายอ่างทองส่วนใหญ่เป็นเบี้ยเปลือย แต่ลูกศิษย์มักจะเอาไปเลี่ยมในตลาด เอาไปเลี่ยมในตลาดส่วนใหญ่ก็มีแค่ ๒-๓ ร้านที่เป็นร้านทำเงินทำทอง ฝีมือการทำก็ไม่ต่างกัน ฝีมือการเลี่ยมก็ไม่ต่างกัน ต้องมาค่อย ๆ แยกว่าเบี้ยตัวไหนเป็นของวัดไหน โอ๊ย...เครียด
เบี้ยแก้ของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านอุดชันโรง แล้วก็ปิดด้วยแผ่นยันต์ที่ส่วนใหญ่เป็นทองแดง ของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางในนี่ ยันต์อยู่ข้างใน ข้างนอกจะเห็นแต่ชันโรง ของหลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง ปิดชันโรงแล้วค่อยปิดทอง ของหลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่นี่ ปิดชันโรงแล้วปิดด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ที่ห่อบุหรี่ จึงพอที่จะแยกได้ว่าของวัดไหน
แต่ถ้าจะเอาง่ายที่สุดก็ของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ เวลาเขย่าจะมีเสียงดังที่ไม่เหมือนเสียงปรอท เพราะท่านใส่ตะกั่วลงไปเลี้ยงปรอทด้วย จะมีเสียง “แซก ๆ” เหมือนอย่างกับเสียงทรายอยู่ข้างใน ปกติปรอทจะดัง “ขลุก ๆ” ถ้าหากว่าเลี่ยมมิดมาก็พิสูจน์ยาก ต้องจำลายจารครูบาอาจารย์ให้ได้ แต่ถ้าเปิดท้องเบี้ยมา ก็พอที่จะแยกออกว่าเป็นของสำนักไหน
ทางด้านสายวัดนายโรงกับสายวัดกลางบางแก้ว มีลวดลายการถักไม่เหมือนกัน ทั้งสองสายนี้ส่วนใหญ่นิยมถักเชือกหุ้มแล้วก็เคลือบด้วยยางมะพลับ หรือไม่ก็ยางรัก ถ้าหากว่าเป็นรุ่นเก่า ๆ สมัยหลวงปู่รอด วัดนายโรง หรือว่าหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จะชุบรักจีน ถ้าเป็นรักจีนจะดูง่ายหน่อย ถ้าเป็นรักไทยจะดูยากและทำปลอมกันมาก
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : แม่ยังอยู่ไหม ?
ถาม : ยังอยู่ครับ ?
ตอบ : ถ้ายังอยู่สอนให้ท่านภาวนา
ถาม : ถ้าหากเราเป็นคนที่ทำบุญ ก็ต้อง...?
ตอบ : เราทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าท่านไม่ยินดีด้วยก็ไม่มีประโยชน์ ต้องให้ท่านยินดีด้วย พูดง่าย ๆ ว่า ท่านต้องยินดีและโมทนาด้วย บุญส่วนเดียวเท่านั้นที่ไม่ต้องยินดีหรือโมทนาด้วย คือ บุญในการบวช ถ้าท่านไม่ค่อยจะยินดีกับบุญของเราก็บวชไปเลย อย่างนั้นท่านจะเอาหรือไม่เอาก็ต้องได้ เป็นบุญภาคบังคับ
ถาม : บวชศีล ๘ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : บวชพระ...! ไม่ต้องเลี่ยงบาลี บวชศีล ๘ เดี๋ยวเจอหลังมือ...!
ถาม : เคยบวชมาแล้วครั้งหนึ่งครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากได้ก็ต้องบวชใหม่ บวชสัก ๘ วัน ๑๐ วันแล้วก็สึก สึกแล้วก็บวชใหม่ เอาอานิสงส์ไปเรื่อย ๆ แม่จะได้เยอะหน่อย
ถาม : บวชสามครั้งคงไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็คงไม่มีใครคบกับพระอรหันต์ ๒ รูป ก็คือ ท่านจิตหัตถ์กับท่านนังคละ ทั้งสองรูปนั้นบวชเสียจนกระทั่งพระอุปัชฌาย์บ่นว่า ตกลงนี่บวชเอาหัวมาเป็นเขียงลับมีดหรืออย่างไร ? เดี๋ยวโกน ๆ ท้ายสุดท่านก็เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น...ใครไม่คบพระอรหันต์ก็เป็นความซวยของเขาเอง
ถาม : เทวดาเขามีการสวดมนต์นั่งสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : เขาทำกันเป็นปกติ ลองขึ้นไปชั้นยามาดูสิ
ถาม : มีคนบอกว่าเทวดาไม่สามารถทำบุญได้ ต้องรอโมทนาจากคนอื่น ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาถาม มัวแต่งอมืองอเท้ารอโมทนา ถ้าคนอื่นเขาไม่ทำแล้วเราจะเอาอะไรรับประทาน..!
ถาม : การปลุกเสก ?
ตอบ : เอาเป็นอันว่าแยกคนละศัพท์กันระหว่าง "ปลุก" กับ "เสก" แต่สรุปลงท้ายก็ต้องใช้กำลังของสมาธิเหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีปลุกหรือวิธีเสก การเสกก็ว่าคาถากันไป อาจจะเป็น ๙ จบ ๑๐๘ จบ การปลุกก็คือใช้อำนาจจิต อำนาจสมาธิของตนเองไปบังคับ
ถาม : การเสกนั้น เกิดจากการดึงสมาธิมาที่วัตถุมงคล หรือสวดคาถาลงที่วัตถุมงคลครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ครูบาอาจารย์เขาจะสอนมาว่าให้เราทำอย่างไร บางคนก็ใช้เพ่งจิตลงไป บางคนก็ให้แผ่กำลังจิตคลุมลงไป บางคนก็ให้อาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้
ถาม : เคยเจอแบบใช้คาถาครับ ?
ตอบ : ถ้าหากทำตามพิธีกรรมของเขาก็มีผลตามแบบของเขา
ถาม : ถ้าเราไม่ทำตามพิธีของเขา เปลี่ยนวิธี ?
ตอบ : แล้วคุณจะเปลี่ยนไปทำไมวะ ? รู้ว่าทำแล้วได้ผล แต่จะได้มากได้น้อย อันดับแรกก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของตนเอง อันดับที่ ๒ ก็คือพิธีกรรมทำได้ถูกต้องสมบูรณ์หรือเปล่า
ถาม : ถ้าเราจะทำให้ได้ผล ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เข้าสมาบัติ ๘ แล้วอธิษฐาน
ถาม : จิตที่ละเอียดเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : คือสภาพจิตที่มีการเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ในระดับที่มากกว่าคนทั่วไป ยิ่งเข้าถึงมากเท่าไรก็ยิ่งละเอียดเท่านั้น แต่ถ้าคนที่เขาละเอียดกว่า เขาก็ว่าเรายังหยาบอยู่ เพราะฉะนั้น...ระดับความหยาบละเอียดก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคน คนที่หยาบกว่าเขาก็ว่าเราละเอียด คนที่เขาละเอียดกว่าเขาก็ว่าเราหยาบ
ถาม : คนที่จิตละเอียดจะ....... เกี่ยวกันไหมครับ ?
ตอบ : คำถามเดิมอีก แสดงว่าสภาพจิตคุณไม่ละเอียดพอ ในเมื่อไม่ละเอียดพอ สิ่งที่คนอื่นเขาเห็นว่าบกพร่องเราเสือกไม่เห็น แล้วโดยเฉพาะว่าตัวเองพูดเองก็ลืมเอง ไปฝึกต่อไป
ถาม : ปลวกขึ้นบ้านค่ะ ?
ตอบ : ก็ดูว่าถ้าเป็นแค่ทางเดินเฉย ๆ ก็เขี่ยทิ้งไป แล้วก็เอายาฉีดสกัดเขาเอาไว้ แต่ให้ทำตอนกลางวันนะ กลางวันแดดร้อนปลวกจะหนีลงใต้ดิน แต่ถ้าเป็นรังใหญ่ก็เอาน้ำมันโซล่าราดรังทิ้งไว้ พอเหม็นปลวกก็จะไม่ขึ้นมาอีก
ถาม : โดนตัวต่อต่อย ?
ตอบ : เขาไม่ได้เจตนาต่อยเราหรอก เขาแค่ป้องกันตัว ถ้าพวกแตนพวกต่ออยู่แสดงว่ารอบบ้านเป็นป่า พวกนี้เขาเป็นสัตว์กินเนื้อ เขาต้องหากินพวกแมลง แสดงว่ารอบข้างเป็นป่าเยอะ ถ้าไม่อยากที่จะให้เขามาทำรังอยู่ใกล้ ๆ เราก็หมั่นก่อไฟไว้เรื่อย ๆ ถ้าไม่มีอะไรก็เผาขยะก็ยังดี ถ้าเขาเหม็นควันก็จะไปเอง พวกนี้เขากลัวไฟ พอมีไฟจะไม่เข้ามา
ถาม : เขามักจะมาแย่งที่ค่ะ
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาจะสังเกตว่าที่ไหนปลอดภัยก็จะมา
ถาม : พวกสัตว์เขาชอบเข้ามาหาเราค่ะ เผอิญไม่ค่อยชอบเขาค่ะ ?
ตอบ : พวกสัตว์เขาจะรู้ เพราะว่ากระแสใจของเรามีอยู่ กระแสของใครสงบเย็นกว่า เขาก็อยากจะเข้าใกล้
ถาม : นอนเฉย ๆ ไม่ได้ภาวนาก็รู้สึกว่าตัวลอยค่ะ ?
ตอบ : บางทีถ้ากำลังใจของเราตรงร่องพอดีก็เป็นได้
ถาม : พอหลับตาก็ตัวลอย พอลืมตาตัวก็ไม่ลอย ก็เลยหลับไปเลย ?
ตอบ : ตอนที่เราใกล้หลับ สมาธิทรงตัวใกล้จะเป็นปฐมฌาน ปีติก็จะเกิด เพราะว่าการหลับเป็นอำนาจของปฐมฌานหยาบ
ถาม : ไม่ค่อยมีความสุขในที่ทำงาน คนเขาไม่ค่อยชอบเราค่ะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องให้ใครชอบ แต่ทำหน้าที่ของเราให้ดีแล้วกัน ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ช่างมัน ให้เอางานเป็นเครื่องวัด ถ้ามัวจะให้คนชอบเรา ชาตินี้ไม่ต้องไปหางานหรอก คนเราอยู่เฉย ๆ ยังอิจฉากันได้เลย
ถาม : หนูก็ไม่รู้ว่าเราคิดไปเอง หรือเป็นคนที่พูดตรงไปหรือเปล่า ?
ตอบ : ดูกาลเทศะ รู้ว่าเขาไม่ชอบฟังเรื่องจริงก็พูดให้น้อยหน่อย
ถาม : จะแก้ความโกรธต้องเอาพรหมวิหารสี่มาแก้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เอาแค่สมาธิก็ได้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ก็โกรธใครไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นการแก้โดยตรง
ถาม : แต่เวลาบางครั้งที่โกรธขึ้นมา จะวิ่งไปหาสมาธิ เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : ความเคยชิน สภาพจิตโกรธด้วยอำนาจกิเลส อีกส่วนหนึ่งคือรู้ว่าต้องมาทางนี้ถึงจะปลอดภัยก็วิ่งไปหาสมาธิ คือถ้าทางนี้กำลังสูงกว่าก็ชนะ ก็ไม่ต้องไปโกรธใคร ฉะนั้น...ต้องซักซ้อมเอาไว้ เอาให้กำลังสูงกว่าชนิดที่ไม่ต้องไปคิดโกรธใครเลย
ถาม : แต่ถ้าเราไม่พูด คนอื่นก็จะเสียหายด้วย ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทนให้คนอื่นโกรธ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะทำเพื่อคนอื่นก็ต้องเสียสละตัวเอง
ถาม : เล่าเรื่องจูล่งให้ฟังด้วยค่ะ ?
ตอบ : จูล่ง ใครวะ ? (หัวเราะ) ตอนแรกจูล่งเป็นทหารของกองซุนจ้าน พอกองซุนจ้านโดนโจโฉตีแตก จูล่งก็เลยไปอยู่กับเล่าปี่ หลังจากนั้นก็ช่วยเหลือเล่าปี่ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่แรก ๆ มีความสำคัญพอ ๆ กับขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย แต่ส่วนใหญ่จูล่งจะทำงานแบบปิดทองหลังพระ แม้แต่รางวัลก็ไม่รับ คนก็เลยไม่ค่อยจะเห็นคุณค่า
ต้องบอกว่าจูล่งเขาทำดีได้ดี ก็คือเป็นนักรบคนเดียวที่ตายบนเตียง นอนหลับตายไปเฉย ๆ ตอนอายุ ๗๐ กว่า เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา รับใครเป็นเจ้านายก็ถือเป็นเจ้านายไปตลอดชีวิต อายุ ๗๐ ปีแล้วยังออกรบเป็นปกติ แล้วหนุ่ม ๆ ไม่ต้องไปสู้...ไม่ได้กินหรอก
จะมีหนังสือสามก๊ก ฉบับวณิพก ของยาขอบ เล่มหนึ่งชื่อว่า “จูล่งสุภาพบุรุษจากเสียงสาน” เขาจะแยกแต่ละคนออกมาเป็นเรื่อง ๆ มี “โจโฉผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ” “เล่าปี่ผู้พนมมือให้แก่ชนทุกชั้น” “เตียวหุยคนชั่วช้าที่น่ารัก” “กวนอูเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์” “จูล่งสุภาพบุรุษจากเสียงสาน” “จิวยี่ผู้ถ่มน้ำลายรดฟ้า” เป็นต้น
ถาม : หนูจะจัดงานบวงสรวงในวันแม่นี้ แต่ไปตรงกับวันดิถีพิฆาต จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ดีถีพิฆาตเขาไม่ทำอะไรกัน จะลองฝืนดูก็ได้นะ จะได้มีตัวอย่างให้คนอื่นเขาดู..!
พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกเราลองมาจับเวลากันดูว่า เกมโปเกม่อน โก จะฮิตได้กี่เดือน บ้านเราเป็นประเทศที่ฉาบฉวยมาก มีอะไรใหม่มาจะเห่อจะฮิตมากกว่าชาวโลกเขา กลัวจะไม่ทันสมัย แล้วก็เบื่อง่ายกว่าชาวโลกเหมือนกัน คนอื่นเขายังเล่นกันสนุกสนานบ้านเราเบื่อแล้ว ต้องบอกว่ารักง่ายหน่ายเร็วจริง ๆ เลย รัฐบาลควรจะดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง ใครจะเป็นรัฐบาลจำไว้ว่าอย่าอยู่นาน อยู่นานต่อให้เป็นรัฐบาลทหารเขาก็เบื่อ...!
เอาเรื่องน่าปลื้มใจดีกว่า ไทยได้ลงแข่งโอลิมปิกวันแรกก็ได้เหรียญทองเลย ทั้ง ๆ ที่เกจิอาจารย์ทั่วโลกบอกว่าปีนี้ไทยได้อย่างมากที่สุดก็แค่เหรียญเงิน ฝีมือของคุณน้องแนน โสภิตา ธนสาร ยกน้ำหนักรุ่น ๔๘ กิโลกรัม ต้องบอกว่าหักปากกาเซียนทุกสำนัก เขาไม่เห็นว่าเรามีตัวเด่นพอ ถ้าเกิดได้อีกสัก ๓ เหรียญนี่เป็นอันว่าฝรั่งหงายท้องตึง ตอนนี้ตารางการแข่งขันไทยอยู่อันดับ ๖ ของเหรียญ แม้ว่าจะได้เหรียญเท่ากับเวียดนาม แต่เวียดนามนี่อักษร V ถัดจากไทยไป"
"วันนี้ที่คนมาน้อยเป็นเพราะส่วนหนึ่งไปลงประชามติ และส่วนใหญ่ไปจับโปเกม่อนกัน ไม่น่าเชื่อว่าตัวการ์ตูนตัวหนึ่งก็ทำให้คนคลั่งได้ขนาดนี้ ถ้าหากว่ายิ่งอัพเลเวลได้สูง ๆ ตัวที่จับได้ก็จะมีคุณสมบัติพิเศษมากขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่ที่เทคนิคของแต่ละคนว่าจะทำอย่างไร
อาตมาไม่เคยเล่นวิดีโอเกมแม้แต่เกมเดียว อย่างเมื่อหลายปีก่อนเขาก็มี Ragnarok ที่คนเล่นจนตายคาจอไปเลย อาตมาก็เลยอ่านแบบภาษาไทยว่า “รักนรก”
พระอาจารย์กล่าวว่า “จะเป็นวัตถุมงคลก็ดี เหรียญก็ดี ธนบัตรก็ตาม ที่เป็นของในหลวงหรือพระบรมราชินีนาถ มีโอกาสเก็บ ๆ ไว้บ้าง ถ้าทั้ง ๒ พระองค์เป็นอะไรไปนี่ราคาขึ้นหูดับเลย”
พระอาจารย์กล่าวว่า “อะไรที่พอดีก็ก่อให้เกิดประโยชน์ ฝนพอดีพืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์ ฝนมากเกินไปก็เดือดร้อน น้อยเกินไปก็เดือดร้อน หนาวแต่พอดีก็สดชื่นรื่นเริง หนาวมากเกินไปก็งอก่องอขิง ถ้าอบอุ่นก็กำลังดี ถ้าร้อนมากก็เดือดร้อนอีก
เราจะเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นสัจธรรมจริง ๆ คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพอเหมาะพอดีจึงจะก่อประโยชน์สูงสุด เพราะฉะนั้น...ศาสนาพุทธจึงเป็นของแท้ ทนต่อการพิสูจน์ แต่จำเป็นต้องมีการฝึกปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ ให้เกิดผล ถ้าไม่เกิดผลก็คือตัวเองยังพิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะไปท้าทายให้คนอื่นพิสูจน์ได้อย่างไร ?
พระพุทธเจ้าทรงประกอบไปด้วยเวสารัชชกรณธรรมทั้ง ๔ คือพระองค์ท่านปฏิญาณว่าหมดกิเลสก็หมดกิเลสจริง ๆ ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ พระองค์ท่านปฏิญาณว่าตรัสรู้ธรรมก็รู้จริง ๆ ไม่มีใครคัดค้านได้ พระองค์ท่านตรัสว่าธรรมอันใดเป็นอันตรายต่อการดำเนินชีวิตก็เป็นอันตรายจริง ๆ ไม่มีใครคัดค้านได้ พระองค์ท่านตรัสว่าหลักธรรมใดเป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพานก็เป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพานจริง ๆ ไม่มีใครคัดค้านได้
เมื่อพระองค์ท่านประกอบด้วยฐานะทั้ง ๔ นี้ จึงไม่ได้หวั่นไหวแม้ว่าอยู่ในสมาคมใด ๆ ก็ตาม พระองค์ท่านตรัสว่าแม้จะนั่งอยู่ในหมู่มหาพรหม หมู่เทวดาทั้งหลาย ในหมู่ของกษัตริย์ทั้งหลาย หรือในหมู่พราหมณ์มหาศาลทั้งหลายก็ตาม พระองค์ท่านก็ไม่ได้มีความหวั่นไหวใด ๆ เพราะว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ที่รู้จริง พูดจริง"
"สมัยก่อนลูกศิษย์หลวงพ่อมีอยู่คณะหนึ่งคือคณะจันทบุรี นำโดยคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ อาตมาได้ยินนามสกุลแล้วบอกว่า แหม...ช่างตั้ง เวสารัชชะ แปลว่า ความกล้าหาญ อานนท์หรืออานันทะ แปลว่า ยินดีและพอใจ นั่นก็คือยินดีในความกล้า
ในครอบครัวนั้นมี คุณวันดี เวสารัชชานนท์ ปวารณาตนกับอาตมาว่าให้ขอได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ๓๐ ปีผ่านไป ยังไม่ขออะไรเลยเพราะไม่คิดที่จะขอ อาตมามีโยมที่ปวารณาว่าให้ขอได้ทุกอย่างหรือแล้วแต่จะเรียกใช้อยู่ ๓๐ กว่าราย ไม่เคยขอและไม่คิดจะเรียกใช้ จนกระทั่งหลายรายก็ถึงแก่ความตายไปแล้ว”
พระอาจารย์กล่าวว่า “งานวันแม่ปีนี้มีพระเถระใหม่ ๒ รูป ความจริงก็คนเก่า ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่ายังไม่เคยนิมนต์ท่านมาเท่านั้น ก็คือพระครูศุภชัย หรือพระครูสุภกิจชยาภรณ์ เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช อีกท่านหนึ่งก็คือ พระมหาปราโมทย์ ฐิตปาโมชฺโช เปรียญธรรม ๙ ประโยค เบื่อโลกหันไปฝึกปฏิบัติ จัดตั้งอาศรมธรรมจาริกที่เกริงกระเวีย รับโยมเข้าปฏิบัติธรรมทั้งปี ใครมีศรัทธาจะเข้าปฏิบัติธรรมทั้งปีก็เชิญได้ อยู่เลยวัดท่าขนุนไปประมาณ ๓๐ กิโลเมตร”
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมมีศรัทธามาก มีเมตตามาก ถึงเวลาถวายอาหารก็ลืมไปว่ามีพระอยู่แค่รูปสองรูปที่ฉันอยู่ ขนมาทีพอเลี้ยงได้ทั้งวัดเลย แต่ก็ดี...ถ้าเหลือก็จะได้เป็นของญาติโยมไป
มีบางท่านบอกว่า "ทำบุญแล้วก็ได้ทำทานด้วย" หรือ "ทำบุญทำกับพระ ทานทำกับโยม" อาตมาฟังก็งง ๆ ทาน เป็นภาษาบาลี แปลว่า ให้ เพราะฉะนั้น...ทุกครั้งที่บอกว่าเชิญทานอาหาร อาตมาก็สงสัยว่าจะให้อะไรหว่า ?
ใช้ภาษาไทยเราให้ชัด ๆ ว่า กินก็กิน ดื่มก็ดื่ม หมดเรื่องหมดราวไป อย่าไปใช้คำว่าทาน ผิดภาษา ผิดหลักการใช้งาน แต่คำว่า รับประทาน สมัยก่อนผู้ใหญ่เขาถามผู้น้อย อย่างเช่นคนที่ช่วยงานอยู่ในบ้าน ถึงเวลานำอาหารไปให้ยินดีรับหรือไม่ ผู้น้อยก็บอกว่า "ยินดีรับประทานขอรับ" "ยินดีรับประทานเจ้าค่ะ" ไป ๆ มา ๆ คำนี้ก็เลยแทนคำว่ากินได้
แต่ถ้า "ทาน" อย่างเดียว แทนคำว่า "กิน" ไม่ได้ เพราะเขาไปตัดคำว่า "รับประทาน" จนสั้นลง ทำให้ความหมายเสียไป ภาษาไทยของเราชัดเจนแต่แรกแล้ว มีการใช้งานที่หลากหลายมาก ไม่ได้เหมือนกับภาษาอังกฤษที่อับจนด้วยถ้อยคำ ดังนั้น...ต้องใช้ให้ถูกกาลเทศะ รักษาภาษาไทยของเราเอาไว้ด้วย ใครเข้าเว็บวัดท่าขนุนมักจะโดนใบแดง แขวน ๓ เดือน เพราะว่าใช้ภาษาผิด"
ถาม : กฐินที่วัดปีนี้วันที่เท่าไรคะ ?
ตอบ : ต้องไปดูกำหนดการในเว็บ รู้แต่ว่าออกพรรษาวันรุ่งขึ้นก็ตักบาตรเทโวฯ แล้วก็มีกฐินเลย เดี๋ยวอาตมาจะเข้ากรรมฐานสามวันเหมือนเดิม
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่บุดดามรณภาพตอนอายุ ๑๐๓ จะขึ้น ๑๐๔ ปี วัตถุมงคลรุ่น ๑๐๐ ปีทันท่านแน่ ๆ สมัยก่อนอาตมาไปกราบท่านทีหนึ่งก็ต้องบูชาวัตถุมงคลกลับมาเป็นลัง ๆ เพราะว่าทหารตำรวจที่วัดท่าซุงจะไถหมด
ทหารตำรวจที่วัดท่าซุงเวลางานมาที ๓๐-๔๐ นาย คนละองค์ก็หมดไปครึ่งลังแล้ว บางงานมาตั้ง ๑๒๐ นาย..! เขาอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงได้พระของหลวงพ่อจนไม่เห็นคุณค่า เลยไปเอาพระของหลวงปู่แทน"
ถาม : ปกติพระไปออกเสียงเลือกตั้งได้ไหมคะ ?
ตอบ : ห้ามเด็ดขาดเลย เขากลัวว่าถ้าหลวงพ่อบอกว่าลงเบอร์ไหน เดี๋ยวคนเขาแห่ตามกันหมด จะกลายเป็นชี้แนะชักนำ แต่จริง ๆ แล้วน่าจะฟ้องศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองให้ปวดหัวสักครั้ง ว่าเอาอะไรมาตัดสิทธิ์พระ มีอยู่ปีหนึ่ง น่าจะเลือกตั้งผู้ว่า กทม.นี่แหละ เขาเลือกกลางพรรษา พระที่ท่านไปบวชก็เลือกไม่ได้ แต่พอสึกไปแล้วก็โดนตัดสิทธิ์เพราะไม่ได้ไปเลือกตั้ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลทองผาภูมิบอกว่าเลือดกรุ๊ปเอ กรุ๊ปบี และ กรุ๊ปเอบีหมดเกลี้ยงเลย เหลือกรุ๊ปโออยู่หน่อยเดียว แล้วพระวัดท่าขนุนก็ให้เสียจนไม่มีปัญญาจะให้แล้ว เพราะยังไม่ครบ ๓ เดือน ก็ไม่รู้ว่าจะเอาจากใคร ขนาดเขาไปกองร้อยทหาร ทหารทั้งกองร้อยได้เลือดมาแค่ถุงเดียว จะกลัวเข็มไปถึงไหนวะ...? ตอนนี้วัดท่าขนุนเป็นที่พึ่ง ไม่เป็นก็ไม่ได้ เพราะเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ"
ถาม : คนบริจาคเลือดก็เยอะอยู่นะคะ ?
ตอบ : ใช้หมด...โดยเฉพาะพวกที่เป็นธาลัสซีเมีย เดือนหนึ่งต้องให้เลือดทีหนึ่ง แล้วส่วนใหญ่พวกที่เป็นก็คือต่างด้าว พวกต่างด้าวมาจากทางมอญพม่า ส่วนใหญ่ต้องใช้กรุ๊ปบีทั้งนั้นเลย ไม่รู้เป็นกรุ๊ปประจำตระกูลประจำเชื้อชาติหรืออย่างไร กรุ๊ปบีไปนี่หมดก่อนทุกที
บางคนเห็นว่ายังพอทนอยู่ได้ เอ็งก็ทนไปอีกเดือนแล้วกัน แล้วค่อยมาให้ เขาก็จะหงอยเหงาเศร้าซึม ประเภทเม็ดเลือดน้อย ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทำอะไรก็ไม่ไหว สรุปแล้วว่าได้สละโลหิตเพื่อเพื่อนร่วมโลกจริง ๆ
พระอาจารย์กล่าวว่า "เบี้ยแก้สายนครปฐม มีเบี้ยแก้อีกสำนักหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่จะไม่รู้จัก ก็คือของวัดแค ที่ทำโดยหลวงตากา แต่หลวงตากามรณภาพไปแล้ว
เบี้ยแก้ปกติเขาทำไว้ล้างอาถรรพ์ เอาไว้ป้องกันพวกภูตผีปิศาจ แต่ทางสายวัดนายโรง หลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี ท่านเอาไปทำจนกลายเป็นอยู่ยงคงกระพัน ทางด้านสายวัดกลางบางแก้ว หลวงตากาเอาไปทำก็กลายเป็นอยู่ยงคงกระพันเช่นกัน อยู่ที่คนว่านิสัยคนทำท่านจะออกไปทางไหน
ก่อนหน้านี้สายวัดกลางบางแก้วแทบจะไม่ได้ออกนอกวัดเลย จากหลวงปู่บุญก็มาเป็นหลวงปู่เพิ่ม จากหลวงปู่เพิ่มก็มาเป็นหลวงปู่เจือ แต่คราวนี้ว่าบรรดาลูกศิษย์ที่เรียนวิชาไป ก็เอาไปทำกัน แต่ยากตรงที่ว่าพอรุ่นทัน ๆ กันฝีมือจะเหมือน ๆ กัน ทำให้แยกออกยากว่าของใครเป็นของใคร ถึงขนาดบางท่านต้องทำ ๓ ห่วง ๔ ห่วงให้ยุ่งไปหมด เพื่อที่จะได้ไม่เหมือนกัน
เบี้ยแก้ตัวนี้เป็นของหลวงปู่เจือ ปกติตัวใหญ่แบบนี้จะเป็นเบี้ยเปลือย แต่นี่ลูกศิษย์คงขยันถักให้ อาตมาเคยได้มาใหญ่ประมาณนี้ตัวหนึ่ง ท่านจารให้เต็มตัวเลย เอาออกกระทู้คนมีเงินฯ คราวที่แล้ว เบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือระยะหลังเล่นยาก เพราะพวกลูกศิษย์ที่ท่านให้ช่วยทำ ก็ทำขึ้นมาขายแข่งอยู่ตรงนั้นเอง ฉะนั้น...เบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือ ถ้าจะเอาของแท้ ต้องรับจากมือท่านเอง"
"วันก่อนอาตมาเอาปัจจัย ๕๐,๐๐๐ บาทไปถวายพระครูสถิตปุญญเขต เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว เพราะพระอาจารย์มหาทรงกลดท่านสั่งไว้ ให้ถวายที่นั่นสัก ๕๐,๐๐๐ บาท พระลูกศิษย์ที่ไปด้วยก็รี่เข้าไปหาเบี้ยแก้ อาตมาบอกว่า "เอ็งไม่ต้องไปหาเลย ถ้าหลวงปู่เจือไม่อยู่แล้ว เอ็งอย่าไปเอาให้เสียเวลา"
ถาม : ลูกศิษย์ท่านทำเกินหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำเกิน แต่เขาตั้งใจทำเลย ปกติหลวงปู่เจือท่านกรอกเบี้ย ตีหุ้มเสร็จก็จารแล้วให้ลูกศิษย์ถัก คราวนี้ลูกศิษย์ประเภทหุ้มกันเอง ถักกันเอง ทำออกมาขายกันข้างกุฏินั่นแหละ อาตมามีของหลวงปู่เพิ่มหลายตัว ยังพกของหลวงปู่เจือแทน เพราะที่หลวงปู่เจือท่านทำ มีตัวเล็ก ๆ ประมาณหัวแม่มือเท่านั้น
(ปรอทจากเบี้ยแก้ร่วง)ต้องเคาะให้ร่วงให้หมด ถ้าร่วงไม่หมด เดี๋ยวอันตราย พวกนี้เผลอกินเข้าไปก็ปางตายเลย เขาจะอุดด้วยชันโรง คราวนี้ชันโรงตัวนี้น่าจะอุดไม่แน่น หรืออุดแน่นแต่น้ำหนักปรอทเยอะเพราะตัวใหญ่ ก็เลยกดจนกระทั่งไหลออกมา เลยต้องมากดชันโรงให้แน่นใหม่
ชันโรงเป็นรังผึ้งชนิดหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ ชอบทำรังอยู่ใต้ดินหรือต้นไม้ รังเหนียว ๆ เอามาอุดของต่าง ๆ ได้ดี
สมัยเด็ก ๆ อาตมาพกเบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่มนะ แต่ที่พกเพราะผู้ใหญ่เขาบอกว่าเอาไว้กันฟันผุ หลอกกันชัด ๆ...! พกขนาดไหนฟันก็ยังผุอยู่ดี
ถาม : จริง ๆ แล้วเอาไว้กันอะไรคะ ?
ตอบ : เอาไว้กันอาถรรพ์ กันคุณไสย กันผี อะไรทำนองนั้น อธิบายแล้วเด็กไม่รู้เรื่อง บอกว่าเอาไว้กันฟันผุ...ง่ายดี เด็กไม่อยากปวดฟันก็ต้องยอมพกของดี ถ้าตอนนี้ใครบอกว่าพกเบี้ยแก้ไว้กันฟันผุ มึงโดนหลอกเหมือนกูแน่เลย...!
ท่านหุ้มผ้าแดงให้ด้วยแล้วค่อยถัก อาตมาเอาไปชุบสีเสียหน่อยดีกว่า อันนี้ถักแล้วไม่ได้ใส่ห่วงเพราะรู้ว่าพกไม่ไหว เบี้ยตัวเท่ากำปั้น ขืนเอาไปใส่ห่วงพกก็น่าเกลียดเกินไป
(โยมกำลังเก็บปรอทที่หล่นบนเก้าอี้ แต่เก็บไม่ขึ้น พระอาจารย์ต้องเก็บให้ดู) "จะเล่นกับปรอทต้องรู้ว่าทำอย่างไร ปรอทเป็นโลหะอาถรรพ์ ทางวิทยาศาสตร์เรียก Quick Silver เป็นของเหลว ทางไสยศาสตร์ถือว่าเป็นโลหะธาตุที่มีชีวิต"
ถาม : วันก่อนนั่งสมาธิแล้วตัวลอยขึ้นไปครับ ?
ตอบ : ตั้งสติรับรู้ไว้เฉย ๆ จะลอยไปไหนก็ไปไม่ไกลหรอก ถ้าหากว่าสมาธิคลายก็จะลงมาเอง แต่ถ้าตกใจจะตกตึ้ง...! ถ้าสมาธิคลายจะค่อย ๆ ลงที่เดิมเป๊ะเลย เขาเรียกว่าปีติ ถ้าเลยไปหน่อยจะเริ่มทรงฌานได้แล้ว แต่ครั้งต่อไปอย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากเป็นก็จะไม่เป็นอีก
ถาม : ไปเจอคนแก่ เขาบอกว่า การทำจิตใจให้สงบ นั่งเหมือนเต่า เดินเหมือนนกพิราบ นอนเหมือนสุนัข ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : หมาจะนอนที่ไหนก็ได้ไม่มีกังวล เห็นไหมว่าหมาอยู่ที่ไหนก็หลับ
ถาม : แล้วเต่านั่งได้หรือคะ ?
ตอบ : สงบนิ่งเหมือนเต่า เต่าไม่สามารถที่จะโฉ่งฉ่างได้หรอก ต้องช้าอย่างเดียว จะไปตีความว่าเต่านั่งไม่ได้ แต่เรานั่งให้มีความประพฤติเหมือนเต่า คือนิ่งสงบ โดยเฉพาะถ้าหากเก็บตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้ยิ่งดี
ถาม : แล้วเดินเหมือนนกพิราบ หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : นกพิราบนี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเดินแบบไหน คงจะไปด้วยความระมัดระวังมีสติทุกย่างก้าวกระมัง ?
ถาม : ผมไม่รู้ว่าผมหวังสูงไปหรือเปล่า ผมจะช่วยสืบทอดพระศาสนาให้ไปต่อได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะทำก็ทำ ไม่ต้องถามคนอื่นเขา ถ้ามัวแต่ถามคนอื่นเขาแปลว่ากำลังใจยังใช้ไม่ได้...!
ถาม : ถ้ามีคนทำเงินตก หาเจ้าของไม่เจอ เราควรเก็บหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อาตมาเก็บแล้วหยอดตู้ทำบุญหมด ตั้งใจเลยว่าเจ้าของจะเป็นใครก็ตาม เราทำบุญแทนเขา เจอตู้ทำบุญก็หยอดตู้ไปเลย
ถาม : ในพิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผน สมเด็จองค์ปฐมท่านสงเคราะห์ในพระขุนแผนด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยากรู้ให้ดูเอาเอง ถามคนอื่นเรื่องไม่จบ ดูเองให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันแรม ๘ ค่ำ คือหลังเข้าพรรษาแล้ว ๗ วัน เป็นวันที่คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรีนัดหมายกัน เพื่อจะไปทำวัตรพระผู้ใหญ่เนื่องในวาระเข้าพรรษา อาตมาก็นำพระขึ้นรถทัวร์วิ่งลงไปเมืองกาญจน์ มาติดแหง็กอยู่ที่ด่านไทรโยค ทหารไม่ยอมให้ไป ถามแล้วถามอีก สอบแล้วสอบอีกตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ถึงปล่อยให้ผ่านได้ แต่ก็ยังขับรถไล่ตามไปดู
ไปถ่ายรูปว่าไปวัดไหนกันบ้าง พอกลับมาถึงที่วัดท่าขนุน ทางวัดบอกว่ามีทหารวิทยุขึ้นมาถามว่า พระไปไหนตั้งเยอะแยะขนาดนั้น รู้อย่างนี้เอาไปหมดวัดก็ดี...! นี่เอาไปแค่คันรถเดียวเท่านั้น"
"ปัจจุบันนี้การดำเนินการของรัฐบาลทุกอย่างอยู่ในลักษณะกดดัน ไม่ให้เกียรติ เห็นพระเป็นศัตรู เมื่อไม่กี่วันก่อน ก่อนหน้าที่อาตมาจะลงมากรุงเทพฯ ก็มีการไปตรวจสอบวัดต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ป่า ต้องใช้คำว่า "อุ้มพระออกจากป่า"
ในขณะเดียวกัน พอทางด้านอิสลามมีการบุกรุกพื้นที่ป่า กลับมีการประชุมข้าราชการทุกฝ่าย เพื่อหาทางออกที่ประนีประนอมที่สุด ก่อนหน้านั้นก็มีภาพห้างบิ๊กซีประชาสัมพันธ์เชิญโต๊ะอิหม่ามไปกินอาหารแทนการเลี้ยงพระ เพราะฉะนั้น...พวกเราหัดซ้อมละหมาดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะ ถึงเวลากลายเป็นประเทศอิสลามจะได้ไม่ลำบากมากนัก...! ส่วนอาตมาเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะอยู่กับพวกเขามาตลอด
ชาวพุทธของเราต้องบอกว่าเป็นพลังเงียบที่เงียบจนไม่มีเสียง ขณะที่อิสลามเขามีอยู่แค่ ๔ เปอร์เซ็นต์เศษ เขาเรียกร้องสิทธิทุกอย่าง แต่พวกเราเงียบอย่างเดียว การเดินทางไปสังเวชนียสถานของพวกเราก็ควักกระเป๋ากันเอง แต่ถ้าหากว่าเป็นอิสลาม รัฐบาลควักกระเป๋าเป็นร้อยล้านเพื่อสนับสนุนให้เขาเดินทางไปแสวงบุญ การสร้างมัสยิดรัฐบาลก็ต้องควักเงินอุดหนุน ขณะที่ศาสนาพุทธโดนสั่งไม่ให้ อบจ. สนับสนุนเงินในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดทุกรูปแบบ ทั้งที่ก็ภาษีอากรของพวกเราแทบทั้งนั้น"
"ต้องบอกว่าเขาพยายามสร้างสถานการณ์ทุกอย่างที่จะสร้างความหวั่นไหวให้กับพวกเรา แม้กระทั่งเรื่องการตั้งสมเด็จพระสังฆราชก็มีการยุแหย่ จนกระทั่งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่อง หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำไม่มีความผิดเลย เขาก็พยายามโยงให้เห็นว่าท่านผิด จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังตั้งข้อหาท่านไม่ได้ เพราะว่าท่านเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่เป็นผู้ผิด
เราซื้อของชิ้นหนึ่งมาจากท้องตลาด ถ้าหากว่าของชิ้นนั้นหนีภาษี ความผิดนั้นเป็นของผู้ผลิตหรือผู้ขาย ไม่ใช่ผู้ซื้อ ผู้ซื้อเป็นผู้เสียหาย แต่เขาก็พยายามบอกว่าท่านผิด แล้วก็ปล่อยทิ้งคาราคาซังไว้อย่างนั้น โดยไม่มีการดำเนินคดีเพราะว่าดำเนินคดีไม่ได้ แต่ว่าท่านเสียไปแล้ว ซึ่งลักษณะอย่างนี้ถ้าหากว่าเป็นฆราวาสมีหวังโดนฟ้องกลับไปนานแล้ว แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็เมตตา บอกว่าอย่าไปฟ้องเขาเลย ให้อภัยเขาเถอะ เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องกังวลว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้จะประสบความสุขความเจริญในภายหน้าหรือไม่ เพราะว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง
แม้กระทั่งเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ ประเทศอื่น ๆ มีประชากรไม่ถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนา ก็ประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติได้ อย่างประเทศมาเลเซีย สมัยมหาธีร์ โมฮัมหมัด เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติทั้ง ๆ ที่มีอิสลามแค่ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็บอกว่าถ้าศาสนาอื่นคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมให้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น
ดังนั้น...อาตมาจึงบอกว่า หากไม่ใช่แกล้งโง่และรับงานมาของบรรดาผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็มีส่วนช่วยพวกเขาในการทำลายพระพุทธศาสนาอย่างเลือดเย็นที่สุด โดยที่อ้างว่าถ้าสนับสนุนศาสนาพุทธเมื่อไร ศาสนาอื่นจะโดนเบียดเบียน ซึ่งเป็นเรื่องที่สักแต่ว่าจินตนาการและพูดขึ้นมาลอย ๆ เพราะศาสนาพุทธยังไม่เคยเบียดเบียนศาสนาอื่นเลย มีแต่โดนเบียดเบียนมาตลอด"
"ในบ้านเราเมืองเรา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ศาสนาพุทธก็อยู่ร่วมกับศาสนาอื่นอย่างสงบและให้เกียรติ มีแต่ศาสนาอื่นที่คอยเบียดเบียนเราตลอด เรื่องพวกนี้แค่เราดูประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปก็รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่เขาก็พูดออกมาหน้าด้าน ๆ ว่า ถ้าให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแล้วจะทำให้ศาสนาอื่นเดือดร้อน ดังนั้น...พรุ่งนี้ให้ไปทำหน้าที่ของเราเอง จะรับหรือไม่รับก็บอกไปให้ชัดเจน แต่ถ้าหากว่ามีช่องกาให้รับช่องเดียวโดยไม่มีช่องไม่รับ ก็แล้วแต่เราว่าจะทำอย่างไรกับบัตรนั้น
ศาสนาอิสลามตีสองหน้ากับเรามาโดยตลอด ด้านหนึ่งก็บอกว่าศาสนาพุทธดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เป็นมิตรอย่างนั้นเป็นมิตรอย่างนี้ แต่ในด้านปฏิบัติแล้วก็เบียดเบียนเรามาตลอด เหยียบได้เหยียบ กระทืบได้กระทืบ แม้กระทั่งในยุคที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ปฏิวัติ ก็ส่งหนังสือบอกทางด้านจุฬาราชมนตรีว่า ขอให้ใจเย็นได้ ไม่มีทางที่ศาสนาพุทธจะได้เป็นศาสนาประจำชาติอย่างเด็ดขาด แต่พอต่อหน้าสื่อมวลชนโดนสอบถามเรื่องนี้ ก็ตอบว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดี ควรจะได้รับการสนับสนุนเป็นศาสนาประจำชาติ ต้องบอกว่าพลิกลิ้นตลบตะแลงหลอกลวงพวกเรามาโดยตลอด และยังคงหลอกลวงไปเรื่อย ๆ โดยให้บรรดานักวิชาการที่แสดงตัวว่าเป็นนักวิชาการน้ำดี กล่าวถึงแต่ศาสนาพุทธในด้านที่ดี แต่ขณะเดียวกันในแนวปฏิบัติคือแอบให้สัญญาณให้อิสลามิกชนเบียดเบียนพวกเราในทุกรูปแบบ"
"เพราะฉะนั้น...ถ้าหากเราไม่รู้เท่าทัน เราก็ยังคงให้อภัยและยินดีอยู่ร่วมกับเขา คืออยู่ในลักษณะของม้าอารี เด็กรุ่นหลังไม่เคยฟังนิทานเรื่องม้าอารี เขาบอกว่า ม้าเขามีคอกอยู่ แล้วคืนนั้นฝนตก วัวก็เข้ามาขออาศัยอยู่ด้วย ม้าก็บอกว่าอยู่ด้วยไม่ได้หรอกเพราะว่าคอกแคบ อยู่ได้แค่ตัวเดียว วัวก็บอกว่าขอแค่ยื่นหัวเข้าไปหลบฝนก็พอ ม้าก็ใจดี อนุญาตให้ยื่นหัวเข้ามาหลบฝนได้ พอผ่านไปพักหนึ่งวัวก็บอกว่า ตัวเขาเปียกฝนอยู่ ขอเข้าไปหลบฝนสักครึ่งหนึ่งเถอะ ม้าก็ใจดีให้เบียดเข้ามาครึ่งหนึ่ง ท้ายสุดวัวก็เบียดเข้าไปทั้งตัว ม้าก็อยู่ไม่ได้ ต้องออกไปตากฝนแทน
ตอนนี้ฐานะของศาสนาพุทธ พุทธศาสนิกชนของเราก็อยู่ในลักษณะของม้าอารี ควรหรือยังที่พวกเราจะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของพวกเราคืนมา เรื่องพวกนี้บางทีไม่จำเป็นต้องให้พระพูดถึง พวกเราก็ควรที่จะรู้สึกกันได้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามได้รับการออกเป็นกฎหมาย ได้รับงบประมาณสนับสนุนทุกอย่าง ในขณะที่ศาสนาพุทธโดนกีดกันทุกวิถีทาง ในเมื่อเขาไม่ต้องการอยู่ร่วมกับเรา แล้วเราจะไปอยู่ร่วมกับเขาทำไม ?"
"ถ้าอยากจะดูตัวอย่าง ต้องดูตัวอย่างประเทศพม่า ประเทศพม่าพระเป็นฝ่ายนำ ทุกวันนี้อิสลามไม่มีโอกาสได้เติบโต แม้กระทั่งประเทศที่เจริญแล้วอย่างประเทศญี่ปุ่นก็ระบุไว้ชัดเจน คุณจะนับถืออิสลามก็ได้ แต่ห้ามแต่งตัวแบบอิสลาม ห้ามทำพิธีของอิสลาม ห้ามสร้างศาสนสถานของอิสลาม ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้รับความยุติธรรม คุณก็ไปอยู่ประเทศอื่น นี่คือกฎหมายที่ชัดเจนของญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้รับผลกระทบจากศาสนาอิสลามเลย แต่บ้านเราโดนเบียดเบียนมาโดยตลอด แล้วพวกเราก็ยังใจดีกับเขามาโดยตลอดเหมือนกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้ประเทศไทยกลัวผีขึ้นสมอง ทางด้านรัฐบาลก็กลัวผีประชาธิปไตยจะหลอก ทางด้านชาวบ้านก็กลัวผีเผด็จการจะหลอก เลยกลัวผีกันทั้งประเทศ..!
การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ใช่ว่าคนร่างไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไร แต่ตั้งใจทำให้มีปัญหา เพราะถ้าประชามติผ่าน จะสืบทอดเจตนารมณ์ไปประมาณ ๒๐ ปี ถ้าประชามติไม่ผ่าน รัฐบาลก็อยู่ยาวไปเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าคนร่างอัจฉริยะมาก แต่ของทุกอย่างในดีก็มีร้าย ในร้ายก็มีดี
ถ้าเคยฟังนิทานเรื่องหนึ่ง ครอบครัวชาวนาต่างประเทศเลี้ยงม้าไว้ตัวหนึ่ง ปรากฏว่าม้านั้นหนีเข้าป่าหายไป ใคร ๆ ก็บอกว่าแกโชคร้ายมาก อีกไม่กี่เดือนต่อมา ม้าตัวนั้นกลับมาพร้อมกับลูกม้าตัวหนึ่ง ที่หนีเข้าป่าหายไป ก็เพราะไปหาตัวผู้จึงได้ลูกกลับมา คนเขาก็ว่าทำไมโชคดีอย่างนี้ ปรากฏว่าลูกชายเห็นลูกม้าใหม่เลยจับมาฝึก ลูกม้าไม่ยอมให้ใส่บังเหียน พอลูกชายชาวนาขึ้นขี่ก็โดนสลัดตกลงมาขาหัก ใคร ๆ ก็บอกว่าทำไมแกโชคร้ายอย่างนี้
อีกไม่กี่วันต่อมามีการเกณฑ์ทหารไปรบ ชายคนนี้ขาหักเลยไม่ต้องไปรบ ใคร ๆ ก็บอกทำไมแกโชคดีอย่างนี้ ฉะนั้น...รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขาตั้งฉายาว่าอะไรก็ตาม อาตมาขอตั้งว่า "ฉบับตกม้าขาหัก" ก็แล้วกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในยุคสมัยเรามีดหมอขนาดไม่เกิน ๕ นิ้วพกดีที่สุด ใหญ่กว่านี้ก็กลายเป็นอาวุธไปแล้ว สมัยโบราณเขาใช้งานจริง ในเมื่อใช้งานจริงก็นิยมมีดหมอเล่มใหญ่ ๆ ตั้งแต่ ๑๑ นิ้ว ๑๒ นิ้ว ๑๖ นิ้ว บางรายก็ยาวเป็นแขนเลย
มีดหมอต้องหมั่นเช็ดหมั่นถูด้วย อาตมาพกมีดหมอ (ดาบฟ้าฟื้น พ.ศ. ๒๕๒๐) หลวงพ่อวัดท่าซุงมาหลายสิบปี ยังใหม่เอี่ยมเงาวับ บางคนพกไม่กี่ปี สนิมขึ้นเสียจนดึงไม่ออก รักจะใช้มีดใช้ปืนต้องขยันเช็ดถูหน่อย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมถวายกองทุนค่ารักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร ต้องบอกว่าวัดท่าขนุนของเรา พวกกองทุนต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาจริง ๆ ก็เพื่อส่วนรวมทั้งนั้น แต่วัดอื่น ๆ ไม่มี อย่างพระครูหน่อยไปเรียนปริญญาเอก พอเอาเอกสารไปให้ทางด้านผู้อำนวยการหลักสูตรเซ็นรับรองว่ารับทุนไปเรียนจริง ๆ ผู้อำนวยการหลักสูตรเอาไปอวดทั่วมหาวิทยาลัยเลย บอกว่าเป็นนักเรียนทุนปริญญาเอกคนแรก ความจริงเป็นคนแรกของคณะเขา เพราะอาตมาส่งเรียนที่คณะอื่นมาเยอะแล้ว แต่คณะพระพุทธศาสนาเพิ่งจะมีนักเรียนทุนปริญญาเอกคนแรก ที่ไปเรียนส่วนใหญ่ใช้ทุนส่วนตัว ประเภทเจ้าอาวาสส่งลูกวัดเรียน ส่งเรียนทั้งแม่ชีและเด็กวัดด้วยเขายังหาไม่เจอ
ส่วนกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร ล่าสุดอาตมากะว่าจะจ่ายให้ท่านอาจารย์พระมหาทรงกลดไปรักษาตัว ความจริงการรักษา ตัวยาส่วนมากจะฟรี ยกเว้นยานอกบัญชีซึ่งเป็นของแพง ต้องจ่ายเอง อีกส่วนที่จ่ายเองคือค่าห้องพิเศษ คืนละ ๔๐๐ บาท ก็ตั้งใจจะจ่ายให้ท่าน แต่ปรากฏว่าท่านบอกว่าท่านมีเงิน ขอจ่ายเอง เลยไม่ได้เบิกกองทุน
กองทุนรักษาพยาบาลหลายท่านตั้งเอาไว้ และลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยตั้งกองทุนเอาไว้ นานจนลืม แต่หลายท่านก็เพิ่มทุนสม่ำเสมอทุกเดือน หลายท่านหนักกว่านั้นอีก เพิ่มทุนจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือนและวันนั้นของทุกเดือน ต้องบอกว่าสัจจบารมีเข้มข้นมาก พอถึงวันต้องโอนเงินเข้าบัญชีเท่ากันทุก ๆ เดือน ลักษณะอย่างนั้นอาตมาจะทำบัญชีอย่างสบายใจมาก ถ้าไม่มีแปลว่าอาตมาลืมลงให้เอง เนื่องจากเขาโอนเข้ามาเท่ากันทุกเดือนอยู่แล้ว
คำพูดและการกระทำบางอย่างก็ต้องบอกว่า แสดงออกซึ่งบารมีของคนทำ วัดได้เลยว่ามีความตั้งใจแน่วแน่แค่ไหน มีสัจจบารมีเข้มข้นแค่ไหน ปกติแล้วทำบุญเดือนละครั้งสม่ำเสมอก็หายากแล้ว แต่ว่าหลายรายยังทำตรงวันเดิมทุกครั้ง เป็นเรื่องที่ต้องอนุโมทนา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นคนค่อนข้างจะคลั่งในเรื่องเครื่องรางมากกว่าพระ อาจเป็นเพราะในเรื่องของพระในความรู้สึกก็คือ นิมนต์พระท่านมาเสกก็ได้แล้ว ในเรื่องเครื่องรางของขลังทำยากกว่า เพราะต้องเสกให้มีอานุภาพเท่ากับพระ เป็นอะไรที่ทำยากกว่าหลายเท่า จะสังเกตว่าอาตมาเล่นแต่เครื่องราง ไม่ค่อยเล่นพระหรอก"
"อาตมาได้พระของขวัญปากน้ำรุ่นหนึ่งมาจากคุณยาย แขวนอาบน้ำเลยเหลือครึ่งองค์ พระโดนน้ำละลาย องค์นั้นหลวงพี่สามารถขอแลกไป ท่านบอกครึ่งองค์ก็เอา ขอให้แท้ไว้ก่อน หลวงพี่สามารถเอาพระหูยานลพบุรีมาแลก อาตมาบอกว่า "หูยานแพงมากเลยนะพี่" ท่านบอกว่า "แต่กูไม่มีวัดปากน้ำว่ะ" ยอมรับพี่แกเลยว่าศรัทธาจริง
คุณลองนึกถึงหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยดูสิ เสือของท่านสมัยนั้นราคา ๖ บาท เจ้าประคุณเถอะ เป็นพระราชหัตเลขาในของหลวงรัชกาลที่ ๕ เลยนะ ในพระราชนิพนธ์บอกว่า เป็นรูปเสือแกะหยาบ ๆ พอดูออกว่าเป็นเสือเท่านั้น ฝีมือก็ชาวบ้าน ๆ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไปก็แย่งชิงอยากได้
ปกติราคา ๑ บาท หน้าที่หายาก ๆ ก็ขึ้นถึง ๖ บาท คิดดูว่าสมัยโน้น ๖ บาท สมัยนี้ ๖๐,๐๐๐ บาทจะได้ไหม ? สมัยก่อนหลวงตาบัวท่านเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านหลวงตามีเงินตั้ง ๒ ชั่ง ก็คือ ๑๖๐ บาท ถามว่าเก็บอย่างไรครับ ? ท่านบอกว่าพ่อเอาใส่กระบอกไม้ไผ่ไว้ เป็นเหรียญเงินใหญ่ ๆ มีเงินตั้ง ๒ ชั่งเป็นมหาเศรษฐีเลย ท่านบอกว่าควายตัวละบาทเดียว มีเงินซื้อควายได้ตั้ง ๑๖๐ ตัว จะไม่รวยได้อย่างไร ? นั่นนะเงินติดบ้าน แล้วจะไม่ให้ท่านเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างไร"
"พระของท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี สร้าง ๘๔,๐๐๐ องค์ เทลงแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วมานั่งรอที่วัด ปรากฏว่าหายไป ๒ องค์ ทำอย่างไรก็เรียกไม่กลับ ตามไปดู เขาบอกว่าเจ้าที่ขอไว้ เทใส่หัวตูตั้งเยอะขนาดนี้ เลยขอไว้ ๒ องค์"
ถาม : ท่านทำไว้เยอะนะ ตั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ ?
ตอบ : ท่านทำแจกทหารออกสงคราม แค่นี้จะไปพออะไร ถ้าไม่ใช่ลูกหลานทหารจะไปเอาที่ไหน ?
พระอาจารย์กล่าวกับนายเต้ยว่า "จะบวชก็บวชสิวะ อย่าคิดมาก เราตัดสินใจเด็ดขาดเสียอย่าง ประเภทต่อให้ภูเขาไฟ กระทะน้ำมันขวางหน้าก็ลุยไปเลย เขาเรียกว่าตัดสินใจไม่เด็ดขาด ก็เลยไปพะวงนั่นพะวงนี่ คนไหนที่ถ้าตั้งใจทำแล้วจะได้ผลเร็ว มักจะโดนขวางสุดชีวิต เหมือนอย่างกับว่าทำไมยากอย่างนี้วะ ? จะเอาให้เราท้อให้ได้ ต้องบ้าลุยไปเรื่อย ๆ จะไปเสียเวลาสนใจอะไรกับสิ่งรอบข้าง
วันก่อนเจอท่านอาจารย์บรรจบ เรื่องงานพุทธศาสนาท่านชักจะท้อ ๆ แล้ว อาตมาบอกว่าท้อไม่ได้นะท่านอาจารย์ อาตมาทำมาจนป่านนี้ยังไม่เคยท้อเลย
เรื่องของพระพุทธศาสนาต้องประกาศให้ดัง ๆ ชัด ๆ เหมือนอย่างพระที่วัดท่าขนุน ท่านขึ้นเทศน์วันพระ ประกาศว่า "ขออานิสงส์ที่ข้าพเจ้าได้แสดงธรรมสงเคราะห์แก่ญาติโยมพุทธบริษัทในครั้งนี้ จงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุถึงซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลด้วยเทอญ" เออ...มึงบ้าพอ...! "โมทนา...สาธุ แต่กูไม่ไปกับมึงหรอก..!"
ถาม : ระหว่างสวรรค์ชั้นยามากับพรหมโลก มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : สวรรค์ชั้นยามาเหมือนคนกำลังตะเกียกตะกายทำงาน ส่วนพรหมโลกรับเงินเดือนไปแล้วกำลังใช้เงินเดือนนั้น ต่างกันมากไหม ? ระดับของพรหมคือเสวยความสุขตามระดับของตนที่ได้แล้ว ส่วนชั้นยามาคือพยายามทำเพื่อให้ได้อย่างเขา
ถาม : สอบถามเรื่องเหล็กไหลครับ
ตอบ : เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุอย่างหนึ่ง ที่พัฒนาตนเองขึ้นมาจนมีวิญญาณแล้ว สามารถเคลื่อนที่ได้ สามารถกินได้ ไปได้ มาได้ แต่ไม่มีสภาพจิตคือตัวรู้ที่เข้าไปควบคุมเท่านั้น
ถาม : คล้าย ๆ มักกะลีผล ?
ตอบ : มักกะลีผลเป็นผลไม้ แต่เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุ มักกะลีผลต้องอยู่กับที่ ยกเว้นแต่ว่าเราไปเด็ดเขาถึงตามเรามา แต่เหล็กไหลไปเองได้
ถาม : มีจิตไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่ามีแค่วิญญาณคือมีความรู้สึกลักษณะเหมือนพืชกินสัตว์ แต่ไม่มีจิตคือไม่มีตัวรู้ ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
โบราณเขาบอกว่า "เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามทำบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดตั้งวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา" ทุกวันนี้เรื่องของเหล็กไหลก็ยังหลอกลวงคนที่โลภมากอยู่เป็นปกติ ถึงเวลาก็มาบอกรู้แหล่งว่าอยู่ตรงโน้นอยู่ตรงนี้ จะนำทางไปให้ ขอค่านำทางสามหมื่นห้าหมื่น ถึงเวลาไปก็ไม่เจออะไร หรือไปถึงก็ทำเป็นลืมทางไปแล้ว ไปไม่ถูก แต่รับเงินจากเราไปแล้ว
ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็เอาโลหะอื่นมาหลอกลวงกัน เพราะว่ามีวัสดุบางอย่างลักษณะเหมือนดินเหนียวหรือดินน้ำมัน แต่ผสมเศษโลหะเอาไว้ พอถึงเวลาเอาแม่เหล็กดูด ก็ยืดเข้าไปหาแม่เหล็กได้ อีกประเภทหนึ่งคือมีเหล็กไหลจริง แล้วเอาของปลอมมาให้เรา โดยเอาไปทาบกับของจริง ๓ วัน ๗ วัน จะมีอานุภาพเหมือนเหล็กไหลชั่วคราว ทดสอบอย่างไรก็มีอานุภาพของเหล็กไหล แต่หลังจากมาอยู่กับเราไม่กี่วันอานุภาพหมด ซวยอีก ฉะนั้น...จะคิดเรื่องนี้ก็คิดได้ แต่ต้องเตรียมเงินไว้เยอะ ๆ ด้วย เท่าไรก็ไม่พอหรอก
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสียงสวดพระคาถาเงินล้านวัดท่าซุง ส่วนใหญ่แล้วคนไปเข้าใจว่าเป็นเสียงหลวงพ่อฤๅษี ความจริงเป็นเสียงพระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร ถ้าไม่รู้จักก็คือหลวงพ่อโอนั่นแหละ ที่แน่ ๆ คือสวดแค่ ๙ จบเท่านั้น เขาบันทึกไว้แล้วอัดทับซ้ำ ๆ จนเป็น ๑๐๘ จบ"
ถาม : ขอถามต่อเรื่องปรอทกรอค่ะ ว่าทำไมเขามีแต่วิญญาน ไม่มีจิต แต่เขากลับจำเราได้ ส่งความรู้สึกว่าเขามองทักทายเราด้วยความดีใจได้ ?
ตอบ : เวลาคลุกคลีตีโมงไปนาน ๆ หมาแมวยังจำเราได้เลย คนเราแต่ละคนมีพลังงานที่ส่งออกมา ความดีความชั่วเป็นอย่างไรก็เหมือนกับความร้อนความเย็น ทำไมต้นไม้กินคนที่เคลื่อนไหวได้ ถึงเวลาเราเอาไฟไปลนก็หลบ ก็ลักษณะเดียวกันเพราะว่าเขามีวิญญาณสัมผัสได้
:4672615:เก็บตกเดือนสิงหาคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.