PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙


เถรี
06-06-2016, 11:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นเรื่องแปลก...พระขุนแผนเกราะเพชรคนกลับไม่นิยมที่ฝังตะกรุดเนื้อนาก ทั้ง ๆ ที่ตะกรุดเนื้อนากนอกจากจะทำยากที่สุดแล้ว ยังเป็นโลหะถอนอาถรรพ์ได้ เพราะสมัยก่อนเทคนิคการผสมโลหะยังไม่ค่อยดี บรรดาพวกคนที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ก็สร้างตัวคาถาขึ้นมาบ้าง วิชาบ้าง ที่สามารถป้องกันอาวุธได้ แต่คราวนี้อาวุธที่ป้องกันได้นั้นมักจะทำจากโลหะชนิดเดียว เขาก็เลยต้องมีการทำโลหะผสมขึ้นมา โลหะผสมที่ทำขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้แก้เรื่องการป้องกันพวกนี้แหละ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ในเรื่องของนากก็เหมือนกัน ที่สมัยก่อนเขาเล่นแร่แปรธาตุกันขึ้นมาจนได้โลหะนาก ซึ่งมีส่วนผสมของเงิน ทองแดง ทองคำ ฯลฯ ถ้าใช้ถอนอาถรรพ์ต้องจัดอยู่ในส่วนของตรีโลหะ คือ ผสม ๓ อย่าง แล้วก็มีปัญจโลหะ ผสม ๕ อย่าง สัตตโลหะ ผสม ๗ อย่าง นวโลหะ ผสม ๙ อย่าง อย่างหอกที่ใช้แทงชาละวัน พญาจระเข้หนังเหนียว อาวุธอะไรก็ทำไม่ได้ ต้องเล่นถึงสัตตโลหะ อยากกันได้หลายอย่างดีนัก ก็ล่อเสีย ๗ อย่างไปเลย

นวโลหะเป็นผลพลอยได้ของการเล่นแร่แปรธาตุ เขาอยากจะทำทองคำ แต่ปรากฏว่าทองคำจริง ๆ เป็นสัตตโลหะ ผสม ๗ อย่างก็ได้ทองคำ ส่วนนวโลหะ ผสม ๙ อย่างได้เป็นนาก อันนี้อุตส่าห์ผสมทำตะกรุดนาก ม้วนยากม้วนเย็น กลับจองกันมาหน่อยเดียว ดู ๆ แล้วก็ขำ ของที่ทำยากและมีอานุภาพแปลกประหลาดกว่าเพื่อน กลับไม่มีใครใส่ใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก....อย่างไรเสียอาตมาก็ไปเชิญ "ขุนแผน" มาเรียบร้อยแล้ว"

เถรี
06-06-2016, 11:44
"ทองคำเป็นโลหะผสม แต่พอผสมแล้วธาตุกลับเป็นของเฉพาะตน ก็เลยกลายเป็นว่าส่วนผสมเดิมป่านนี้ยังไม่มีใครแยกออกได้ วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งมาบอกว่า สามารถแยกส่วนผสมของทองคำออกมาได้แล้ว อาตมาหัวเราะก๊ากเลย ส่วนที่เขาแยกออกมาก็คือโลหะผสมที่ทำให้ทองแข็งตัวขึ้นเพื่อทำเป็นทองรูปพรรณได้ แยกออกมาก็เหลือโลหะผสมกับเนื้อทองบริสุทธิ์แค่นั้นเอง ก็กลายเป็นทองคำ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ว่าแยกส่วนที่ผสมแล้วเป็นทองคำออกมาได้เสียเมื่อไร

ส่วนทองคำขาวเป็นโลหะแพลทตินั่ม ความแกร่งมีมากกว่า จุดหลอมเหลวสูงกว่า ก็เลยเรียกทองคำขาว แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ทองคำดำถึงเกี่ยวกัน ทองคำดำโบราณเรียกว่า สุวรรณขีด บางคนเรียกว่า เจ้าน้ำเงิน พวกเราที่ไม่รู้ว่าเจ้าน้ำเงินที่ผสมนวโลหะคืออะไร ก็คือ ทองคำดำ สมัยใหม่เขาเรียกว่า รูทีเนียม (Ruthenium) กระมัง ?

ต่อไปก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเสาะแสวงหาตามป่าตามเขา สั่งชาวต่างชาติทำให้เลย แพงหน่อย คือถ้าเขารู้ธาตุแน่ชัดแล้วก็ทำได้ ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดก็ทำไม่ได้ ทองคำดำนี่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า แร่โคตรเศรษฐี คุณสมบัติเหมือนทองคำทุกอย่าง แต่เป็นสีดำเท่านั้น ไม่ค่อยนิยมเพราะไม่ค่อยมี ร้อยวันพันปีจะเจอสักหน่อยหนึ่ง ตอนนั้นแม่ชีปทุมก็ถือว่าโชคดี น่าจะประมาณเทวดาเอามาให้ ก็เลยสร้างพระแร่โคตรเศรษฐีขึ้นมาชุดหนึ่ง"

เถรี
06-06-2016, 12:02
ถาม : ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยอาราธนาบารมีพระพุทธชินราชให้ฝนตก อยากทราบว่าท่านมีวิธีอาราธนาหลวงพ่อพุทธชินราชขอฝนให้ท่านสงเคราะห์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : วิธีอาราธนาที่หลวงพ่อท่านใช้ ก็คือ อาราธนาให้ถูกองค์ ไม่ใช่ว่าไปอาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชที่วัดใหญ่ พิษณุโลก และก็ไม่ใช่อาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชองค์อื่น ๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา แต่ว่าต้องเป็น องค์นั้น ของตอนนั้น ที่วัดบางนมโคเท่านั้น องค์อื่นก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น...อยากรู้วิธีก็ไม่ยากหรอก หาองค์นั้นให้เจอเท่านั้นแหละ...!

ถาม : แล้วปีนี้องค์ไหนละคะ ?
ตอบ : ก็นั่นน่ะสิ...! อาตมาย่องไปดูที่วัดบางนมโคหลายรอบแล้วแต่ไม่เจอ คาดว่าน่าจะโดนคนเอาไปชั่งกิโลขายหรือยกเอาไปอยู่วัดอื่นแล้ว

เถรี
06-06-2016, 12:13
ถาม : การถวายอาหารพระพุทธรูป พระภูมิเจ้าที่ เทพเจ้าอื่น ๆ รวมทั้งสัมภเวสี ด้วยอาหารที่ยังอยู่ในถุงพลาสติก ปิดปากถุงด้วยหนังยางรัดไว้ หรืออยู่ในกล่องที่ปิดอยู่ หรือน้ำขวดที่ไม่ได้เปิดฝาจีบ หรือฝาหมุน นมกล่องที่ไม่ได้เจาะหลอด หรือขนมห่อใบตองที่ไม่ได้แกะไม้กลัดออก รวมทั้งผลไม้ที่ไม่ได้ปอกเปลือก และไม่ได้ถวายภาชนะ จะทำให้การถวายอาหารเหล่านั้น มีผลไปถึงท่านที่เราตั้งใจถวาย เหมือนกันหรือแตกต่างจากการถวายอาหารด้วยการจัดอาหารออกวางลงบนภาชนะ เปิดขวด ใส่หลอด รินน้ำลงแก้ว ปอกเปลือกผลไม้ และตัดแต่งให้พร้อมรับประทาน อย่างที่คนเราทำกันเพื่อรับประทานกันครับ ?
ตอบ : ถ้าหากถวายพระหรือถวายเทวดาอย่างไรก็ได้ จัดให้ดูเรียบร้อยงดงามหน่อยก็พอ จะอยู่ในภาชนะปิดกี่ร้อยชั้นก็ไม่ว่า แต่ถ้าตั้งใจจะเลี้ยงผีหรือสัมภเวสี โปรดกรุณาแกะออกให้เรียบร้อยด้วย เพราะเขามีกฎบังคับอยู่ว่า ถ้าเป็นของมีเจ้าของจะไปแตะของเขาไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้ายังไม่ได้แสดงอาการให้อย่างแท้จริง ยังอยู่ในหีบในห่อหรือยังอยู่ในถุงในไถ้นี่ เขาหมดสิทธิ์ที่จะแตะต้องเลย

ถาม : และถ้าเอาอาหารให้สัมภเวสีโดยการปักธูปให้กิน สามารถเรียกให้มารับได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียกประจำ เพราะผู้ใหญ่เขากลัว ส่งธูปให้กำหนึ่งให้ไปเรียกมา คนจีนเขาไหว้กันทุกปี เขาเรียก "ไป้ห่อเฮียตี๋" ใครเคยบ้างล่ะ ? อาตมาลองดูแล้ว เขามาทีเป็นหลักพันเลย

เถรี
06-06-2016, 14:40
ถาม : มีคนรู้จักได้คลอดบุตรในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา แล้วตั้งชื่อลูกพยางค์เดียวว่า "พุทธ" ที่แปลว่าผู้รู้ ไม่มีอะไรต่อท้าย ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกสงสัยว่าจะเป็นการไม่สมควรหรือไม่ ที่ตั้งชื่อลูกออกมาพ้องกับพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : ก็ตั้งไปแล้วนี่ มาสงสัยอะไรเล่า ? ตั้งไปเถอะ ชื่อเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น เจอหน้าลูกก็ยกมือไหว้ทุกครั้ง แล้วนึกถึงพระก็ใช้ได้แล้ว ...(หัวเราะ)...

เถรี
06-06-2016, 15:01
ถาม : คำว่า "อิสสา" กับ "อรติ" คือสิ่งเดียวกันหรือไม่ ? มีลักษณะอย่างไร ? การเจริญมุทิตาสามารถกำจัดอารมณ์สองอย่างนี้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : อิสสา ภาษาไทยคือ อิจฉา ก็คือ ความริษยาในขณะที่เห็นคนอื่นเขาดีแล้วทนไม่ได้ ส่วน อรติ ก็คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ ลักษณะเป็นปฏิฆะ คือ การกระทบที่เกิดจากพื้นฐานของโทสะ

เป็นคนละอย่างกันแต่มาจากตัวปฏิฆะ คือ พื้นฐานของโทสะเหมือนกัน การแผ่เมตตาหรือเจริญเมตตาเป็นปกติ ถ้าหากกำลังถึงก็สามารถที่จะระงับทั้งสองตัวนี้ลงได้

ถาม : ตอนนี้ที่เป็นหลัก ๆ คือ อารมณ์โทสะ โกรธ น้อยใจ กับอีกอย่างคือความเศร้าใจหดหู่ ตอนตื่นนอนตอนเช้าจะมีอาการเศร้าอยู่ในใจเสมอ หรือบางครั้งก็จะมีความโกรธขึ้นมาเฉย ๆ เป็นมาเป็นปี ๆ แล้วครับ มีความทุกข์มาก ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ภาวนาให้หลับไป ถ้าภาวนาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา อารมณ์ใจจะเคว้งอยู่นิดหนึ่ง พอนึกได้ก็จะภาวนาต่อ หรือถ้าอารมณ์ใจละเอียด ตื่นขึ้นมาแล้วคว้าอารมณ์ภาวนาต่อได้เลย ถ้าละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือรู้อยู่ตลอดว่าเราภาวนา ถ้าทำแบบนี้แก้ได้ทุกอารมณ์เลย ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น

ถาม : พยายามเจริญพรหมวิหาร ๔ แต่บางครั้งได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เหมือนกับว่าหมดกำลัง สู้ความโกรธหรือความอิจฉาไม่ได้ ในขณะนั้นต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็หนีก่อน ไปให้พ้นจากเหตุการณ์ตรงนั้นก่อน หลังจากนั้นค่อยไปซักซ้อมภาวนาแผ่เมตตาของเรา

การแผ่เมตตาก็ให้คนที่เรารักก่อน เพราะจิตใจไม่ต่อต้าน สามารถให้ได้ง่าย หลังจากนั้นก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไป แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดมาก ถ้าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าจริง ๆ ตั้งแต่แรก ก็หงายท้องอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะกำลังของเราไม่พอ

ถาม : ขณะที่เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วไม่มีกำลังพอจะสู้กับความโกรธ จึงเปลี่ยนไปใช้วรรณกสิณแทน หรืออย่างบางทีมีราคะก็ใช้อสุภะ กับกายคตาสติแทน ทำอย่างนี้จะเป็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ก้าวหน้าแน่นอน เพราะเรื่องของกรรมฐานถ้าจะใช้งานต้องทำให้ได้จริง ๆ ก่อน ถ้าทำไม่ได้จริงก็เท่ากับเราแค่รู้วิธีเท่านั้นว่าจะน็อกคู่ต่อสู้อย่างไร แต่การฝึกซ้อมตลอดจนกระทั่งกำลังไม่มี ก็มีแต่จะโดนคู่ต่อสู้น็อกไปตลอด

ถาม : สำหรับโทสะจริต ที่ให้ใช้พรหมวิหาร ๔ กับ วรรณกสิน ๔ กรรมฐานสองอย่างนี้สามารถกำจัดโทสะให้หายขาดได้หรือไม่ ? หรือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจะกำจัดโทสะให้หายหรือเบาบางลง ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าทำถูกก็กำจัดได้เลย ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แค่ชั่วคราว คำว่าทำถูกในที่นี้ก็คือต้องต่อด้วยวิปัสสนาญาณ ท้ายที่สุดก็ปล่อยวางลงได้จนหมด เพราะไม่ว่าเขาหรือเราก็ตายหมดเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นสภาพจิตของเราก็จะปลดออกจากตรงจุดนั้นมา ตัวโกรธก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แต่ระงับชั่วคราวเท่านั้น

เถรี
06-06-2016, 15:42
ถาม : ในขณะที่ตั้งใจเจริญพระกรรมฐาน จิตคิดว่าเราเป็นคนไม่มีศีล ทำผิดศีล ทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันเราตั้งใจรักษาศีล ๕ ไม่ได้ละเมิดเลยสักข้อเดียว จะห้ามเท่าไร ถึงขนาดบอกจิตตนเองว่าวันนี้ศีลบริสุทธิ์ จิตก็ไม่เชื่อ จิตคิดอย่างนี้จะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไร บอกไปเถอะว่ากูทำดีแล้ว เพราะลักษณะอย่างนั้นแสดงว่ากิเลสมารเขามาหลอกเรา อาตมาเคยโดนกลั่นแกล้งมาเยอะแล้ว ถึงขนาดรัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลาย กลายเป็นคนชั่วช้าสารเลวชนิดหาข้อดีไม่ได้เลย แต่อาตมานั่งอยู่หน้าพระประธาน มึงมีปัญญามึงบอกไปสิ กูจะนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้ากูไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เสียอย่าง มึงมีปัญญาก็พากูไปชั่วให้ได้สิ

เป็นวิธีที่หน้าด้านหน่อย แต่ถ้ากำลังยังสู้ไม่ได้ก็ต้องอาศัยลูกตื๊อแบบนั้น ก็คือเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ เรื่องของกายและวาจา เราก็ไม่ทำชั่ว เราไม่พูดชั่วอยู่แล้ว เหลือแต่ใจให้คิดไป เราชนะสองในสาม อย่างไรเสียก็ได้เข้ารอบชิงแน่..!

ถาม : ช่วงนี้ไม่ทราบเป็นมาอย่างไร รู้สึกกังวลใจเรื่องการรักษาศีลอย่างมาก ทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่าเป็นการละเมิดศีล ก็จะฟุ้งซ่านคิดว่าตนเองทำผิดศีลไปแล้ว อย่างผมเห็นว่าบ้านหลังนี้สวย อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เราไปถ่ายมาโดยไม่ได้ขอเจ้าของบ้าน จะถือว่าเป็นการผิดศีลข้อลักขโมยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แอบถ่ายแล้วได้บ้านหลังนั้นตกมาเป็นของเราไหม ? ถ้าได้มาก็เป็นการลักขโมย แต่เห็นว่าบ้านยังตั้งอยู่ที่เดิมนี่

ถาม : ถ้าไปถ่ายรูปคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกถ่าย ผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ไปถ่ายใต้กระโปรงของเขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก..!

เถรี
06-06-2016, 15:52
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้นำน้ำมันชาตรีไปสงเคราะห์รถยนต์โดยการเจิมที่ตัวรถได้ แต่ถ้าเรานำไปเจิมพระพุทธรูปที่ยังไม่ได้เข้าพิธีหรือวัตถุอื่น ๆ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาแนะนำให้แช่เลยดีกว่า แหม...ใช้คำว่าไปสงเคราะห์รถยนต์ ทำอย่างกับน้ำมันชาตรีเป็นช่างซ่อม...! จะเจิมอะไรก็เจิมไปเถอะ ถ้ามั่นใจในคุณพระก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่เหมือนกัน

ถาม : ถ้าเจิมที่พระพุทธรูปจะทำให้มีผลเหมือนพระพุทธรูปที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ยึดเกาะ จะเข้าพิธีหรือไม่เข้าพิธีก็แย่พอกัน

ถาม : น้ำมันชาตรี ผมนำไปผสมทั้งน้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ตั้งใจว่าจะกินวันละช้อน เผื่อไว้ไปมีเรื่องกับใครหรือถูกสิบล้อชนจะได้เป็นลูกเบาบ้าง แต่ไม่ไหวจริง ๆ ครับ กินไม่ได้ ถ้าผมจะนำไปผสมในกับข้าวหรืออาหารโดยการเททับหลังสุด อานุภาพจะเสียไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เสีย แต่ถ้ารังเกียจเสียตั้งแต่แรกก็คงกินไม่ได้อยู่ดี เอาไปใส่อะไรก็คงรู้สึกว่ารสชาติแย่พอกัน อาตมาไม่เห็นว่ากินยากตรงไหนเลย อร่อยเสียด้วยซ้ำไป

ถาม : ถ้าเปลี่ยนเป็นเจิมหัว เจิมหน้าผาก พอจะไหวไหมคะ ?
ตอบ : ปกติเขาก็เจิม นี่ทะลึ่งจะกิน ก็จะได้ความอ้วนมาโดยอัตโนมัติ

เถรี
06-06-2016, 16:05
ถาม : คุณแม่อ่านหนังสือไม่ได้ เมื่อไปบวชเนกขัมมะที่วัด ต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะต้องวางกำลังใจและปฏิบัติอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกคุณแม่ว่า "พุทโธ" คำเดียว ดีกว่าสวดมนต์ทั้งวัน ให้นั่งภาวนา "พุทโธ...พุทโธ" ไป

เถรี
06-06-2016, 16:15
ถาม : การที่พระสงฆ์สามเณรต้องออกไปนอกวัดด้วยกิจต่าง ๆ เช่น ไปทำธุระของท่านเองคนเดียว เมื่อถึงเวลาเพล ต้องมีการฉันอาหาร แต่ไม่มีญาติโยมมาถวาย มีแต่ร้านอาหารที่เปิดขายตามข้างทาง ในกรณีนี้ พระสงฆ์สามเณรสามารถสั่งอาหารจากโยมร้านอาหารมาถวายได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งน้อยไม่ได้ ถ้าสั่งมาก ๆ ก็ได้...! โดยปกติพระเข้าร้านอาหารกัน สั่งอาหารมาไม่ต้องประเคน พระก็ฉันได้ เพราะไม่ใช่ของโยม แต่เป็นของเรา ฟังเข้าใจกันไหม ? ก็คือ ข้าวของที่ต้องประเคน คือข้าวของที่เป็นของโยมเอามาถวายพระ การประเคนคือการแสดงออกว่าให้อย่างแท้จริงแล้ว แต่ของที่เราซื้อ ไม่ว่าจะซื้อจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารก็ตาม...นั่นเป็นของเรา เพราะเราแลกเปลี่ยนมาด้วยเงิน ไม่จำเป็นต้องประเคนก็เป็นของเรา

แสดงว่ามีเยอะเลย ประเภทเข้าร้านแล้วให้โยมประเคนให้ แบบนี้ไปต่างประเทศอดฉันแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าประเคนคืออะไร..!

เถรี
06-06-2016, 20:36
ถาม : ผมไปบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในวัดนั้นจะมีห้องสำหรับเก็บของสังฆทานที่ญาติโยมนำมาถวาย เช่น เครื่องดื่ม ตอนที่บวชเข้ามา หลวงพี่ที่ท่านทำหน้าที่ดูแลพระซึ่งมีอาวุโสรองจากเจ้าอาวาส ได้บอกว่า สิ่งใดที่พระเณรจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถไปหยิบจากห้องสังฆทานได้เลย ในส่วนที่ผมเป็นเณร ถ้าผมไปหยิบตามคำที่ท่านได้บอกไว้ ผมจะผิดศีลผิดวินัยไหมครับ ?
ตอบ : สามเณรไม่มีอาบัติปาราชิก แต่ถ้าตั้งใจขโมยก็ศีลขาด แต่สามเณรดีตรงที่ว่าสามารถต่อศีล ก็คือรับศีลใหม่ได้ พูดแบบนี้เดี๋ยวขโมยกันใหญ่เลย...!

แต่ถ้าตั้งใจจะบวชเป็นพระต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าสิ่งใดไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าไปแตะต้อง เพราะถ้าเป็นพระเกิดมีเถยยจิตคิดต้องการขึ้นมา เจ้าของไม่ได้ให้ หยิบออกจากฐานก็เป็นอันขาดจากความเป็นพระไปเลย ฉะนั้น...ระมัดระวังไว้ตั้งแต่แรกจะปลอดภัยกว่า

เถรี
06-06-2016, 21:52
ถาม : ยันต์ครูและยันต์องค์พระ ที่อยู่ด้านหลังเหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์ของทางวัด ยันต์ทั้งสองนี้มีอานุภาพด้านไหนบ้างครับ ?
ตอบ : แพง...! อานุภาพนี้เด่นชัดที่สุดของวัดท่าขนุน ไม่มีราคาถูกเลย ยันต์องค์พระก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ ใครจะไปบรรยายหมด อรรถกถาจารย์บอกว่าพระพุทธเจ้าสององค์มานั่งถามตอบกันถึงความดีความสามารถของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ถามตอบกันเป็นร้อยปี ยังตอบไม่หมดเลย

เถรี
06-06-2016, 22:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๙ มิถุนายน นาคโกนหัวเสร็จก็บวชเณรก่อน เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ในหลวง เพราะว่าในหลวงครองราชย์ครบ ๗๐ ปีวันที่ ๙ มิถุนายนพอดี หลังจากนั้นวันที่ ๑๕ ค่อยบวชพระ เอาอานิสงส์บวชเณรถวายในหลวงก่อน เราเองก็ได้อานิสงส์ไปด้วย

วันที่ ๑๕ บวชพระ กะว่าฉันเช้าเสร็จ เข้าห้องน้ำห้องท่าแล้ว ก็ว่ายาวไปยัน ๑๑ โมง ฉันเพลเสร็จพักเสียหน่อย แล้วก็น่าจะเริ่มประมาณเที่ยง คิดว่าไม่เกิน ๓ ทุ่มน่าจะจบ นั่งกันตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้ายัน ๓ ทุ่มนี่สาหัสเหมือนกัน เพราะกะว่าชุดหนึ่งประมาณ ๒๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งได้ ๓ ชุด ๓๐ ชุดก็ ๑๐ ชั่วโมง คราวนี้มี ๓๔ ชุด ก็อีกชั่วโมงกว่า ก็เท่ากับ ๑๑ ชั่วโมงกว่า ตีเสียว่า ๑๒ ชั่วโมง รวมเวลาเพลรวมอะไรด้วย ก็น่าจะประมาณ ๑๕ ชั่วโมง คาดว่า ๓ ทุ่มน่าจะเสร็จ"

เถรี
07-06-2016, 15:50
ถาม : คาถาหัวใจหมี ใช้ด้านไหนได้บ้างครับ ?
ตอบ : หลวงพี่สมาน ตอนนี้ท่านสึกไปแล้ว ท่านได้คาถาหัวใจหมีมาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส แล้วท่านก็ไปตีผึ้ง ปรากฏว่าเพื่อนโดนผึ้งต่อยจนหัวหูปูดหมดเลย ท่านบอกเพื่อนว่า "มึงปีนขึ้นไป เดี๋ยวกูท่องคาถาอยู่โคนต้นนี่เอง...! คนปีนก็เลยซวย

ความจริงคาถาหัวใจหมีเขาใช้ทางอยู่ยงคงกระพัน ลักษณะเหมือนกับลูกเบา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า เวลาหมีตกใจจะทิ้งตัวลงพื้นเลย และหมีก็ไม่เคยเป็นอันตรายจากการตกจากที่สูง

เถรี
07-06-2016, 15:52
ถาม : การเรียกภูตในตำราวิชาทางไสยศาสตร์นี้ ภูตในส่วนนี้คืออะไร ? แล้วการเรียกภูตนี้มีอันตรายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตอบแบบง่าย ๆ ภูตก็คือผีตายโหง ส่วนอันตรายนั้น ถ้าเขาอยู่ของเขาดี ๆ แล้วเราไปกวนเขา ถ้าเอาไม่อยู่ก็ตัวใครตัวมัน...!

เถรี
07-06-2016, 15:54
ถาม : ในการนำมีดหมอมาเข้าพิธี เช่น พิธีมีดหมอเพชราวุธที่ผ่านมา ถ้าบุคคลหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า แล้วอีกบุคคลหนึ่งเป็นคนทุศีล ของที่นำมาเข้าพิธีจากสองบุคคลนี้ จะมีอานุภาพต่างกันตามความบริสุทธิ์ของจิตไหมครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพเท่ากัน ของเข้าพิธีไม่ได้เกี่ยวกับตัวคน แต่ตอนเอาไปใช้กำลังใจ ของใครเข้มข้นและศรัทธามากกว่าก็มีอานุภาพมากกว่า

เถรี
07-06-2016, 16:01
ถาม : วัตถุมงคลซึ่ง
๑. สำเร็จจากชนวนมวลสารของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เช่น พระผงอุณาโลมพิมพ์ทรงจิตรลดา พระผงนางพญา สก. เป็นต้น
๒. ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ได้รับการอธิษฐานจิตปลุกเสก จากพระเถราจารย์หลายท่าน เช่น พระกริ่งนเรศวรวังจันทน์ พิธีจักรพรรดิ เป็นต้น จะสามารถกล่าวได้ไหมครับ ว่าวัตถุมงคลนั้นเป็นวัตถุมงคลที่รวมกระแสญาณบารมีของครูบาอาจารย์ท่านทั้ง ๒ ข้อดังกล่าวข้างต้น ?
ตอบ : ถ้าเป็นผงก็ไม่แน่นัก เพราะผงบางทีก็เอามาจากว่านบ้าง เกสรดอกไม้บ้าง ดินในที่สำคัญบ้าง ยังไม่ได้ผ่านพิธีอะไร จะไปเรียกว่ามีกระแสญาณตามที่ว่ามาก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นการพุทธาภิเษกโดยพระเกจิต่าง ๆ อย่างน้อยก็มีกำลังที่ท่านตั้งใจจะบรรจุลงไปให้

ดังนั้น...ในส่วนของพระผงที่รวมมาจากของสำคัญต่าง ๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าพิธีก็ถือว่าไม่มีอะไร จะได้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นผงสำคัญที่ได้มาจากการเข้าพิธีไปแล้วก็เป็นอันว่าจบกันตั้งแต่ยกแรก

เถรี
07-06-2016, 16:10
ถาม : ลูกมีโอกาสใกล้ชิดครูบาอาจารย์และท่านเมตตาแก่คนที่ไปกราบท่าน พร้อมกับแจกของที่ระลึก ใจลูกอยากจะได้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ เมื่อพอได้อยู่ตรงหน้าหลวงปู่แล้ว พร้อมกับคนอื่นที่พากันแย่งชิง (กราบขอเมตตาหลวงพ่อ แย่งชิงอย่างหนักหน่วงเจ้าค่ะ) ของที่ระลึกจากหลวงปู่ ลูกก็มีอาการไม่ปกติเจ้าค่ะ

ในขณะที่ลูกนั่งตรงหน้าหลวงปู่ ลูกอยากจะถามเรื่องการภาวนา แต่ปากไม่ยอมอ้า พร้อมกับเห็นใจตัวเองมันนิ่ง เห็นแต่ข้างใน ไม่เห็นกาย นิ่งจ้องหลวงปู่อยู่อย่างนั้น เห็นอาการเข้าสมาธิ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วมันว้าบ กราบขออภัย ไม่ทราบจะใช้ถ้อยคำใดแสดงอาการ มีแสงพุ่งเข้าไปในช่องอก แต่ลูกไม่ได้นั่งหลับตาแน่นอนเจ้าค่ะ ลูกจ้องหลวงปู่ตาแป๋วเลย หลวงปู่ก็มองแล้วมองอีก ลูกก็ยิ้มหวานให้หลวงปู่ คนภายนอกจะเป็นอย่างไร ข้ามหัวห้ามหู มือไม้มาโดนลูกอย่างไร ลูกก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ เห็นภาพหลวงปู่องค์เดียวตรงหน้า

ลูกตกใจกับสิ่งที่ลูกเป็น เพราะใจลูกมันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นร่างที่ไม่ใช่ร่างกายในปัจจุบัน มันรู้ตัวนะเจ้าคะ ไม่มีอารมณ์มึนงง เห็นอย่างชัด มันใส ขาว เรือง รูปร่างมันดีเกินกว่าปกติที่เป็น (คล้ายแปลงร่างก็ได้เจ้าค่ะ) แล้วเข้าไปพิจารณาอารมณ์ดูหลวงปู่ ดูอากัปกิริยา ดูอาการ พร้อมกับเปรียบเทียบอารมณ์ของผู้คนที่มารายล้อมหลวงปู่ แล้วคิดว่า ใจท่านทำไมทำได้ขนาดนี้ อดทนได้ขนาดนี้ นิ่งเย็นขนาดนี้ ทำอย่างไรหนอถึงจะทำได้แบบนี้ ต้องทำให้ได้แบบนี้ ตัวอย่างต้องทำแบบนี้ เราจะไปทางนี้ (ลูกต้องบ้าแน่ ได้มองตัวเองแบบประหลาดใจแท้) ลูกเหมือนมี ๒ คนในร่างเดียว คนหนึ่งบอกว่าให้ลุกไปเสีย (แต่เห็นเป็นคนใส่ชุดสวยยืนบอกให้ลุก ยืนบ่นว่าลูกกำลังปรามาสพระ) อีกคนหนึ่ง จับจ้องหลวงปู่อยู่เช่นนั้น หลวงปู่ก็พอทราบ มีลูกคนเดียวที่ท่านไม่ได้ถามว่าจะรับของที่ระลึกของท่านไหม สุดท้ายลูกสะกดจิตตัวเองลุกออกตรงนั้นได้ ด้วยอารมณ์อิ่มใจในความเมตตาของหลวงปู่

ลูกกำลังจะเป็นบ้าหรือไม่เจ้าคะ ทำไมลูกเพี้ยนไปได้แบบนี้ ? ตัวที่แปลงร่างได้ เป็นลูก หรือเป็นผีมาสิงลูกหรือไม่เจ้าคะ ?

ตอบ : ได้ตบปากตัวเองหรือยัง ? แล้วได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝาไหม ? ถ้ายังไม่ได้ตบปากตัวเอง และยังไม่ได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝา ก็แสดงว่ายังไม่บ้า สองตัวที่อยู่ข้างนอกเป็นเทวดานางฟ้าที่เขามาดูแลเรา ส่วนที่อยู่ข้างในคือตัวเราเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับสภาพจิตที่เข้าถึง

เถรี
07-06-2016, 16:13
ถาม : ประโยคที่ว่า ธรรมะเป็นของเย็น และรีบร้อนไม่ได้ ขอหลวงพ่อเมตตาอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ ?
ตอบ : เราทุกคนเร่าร้อนด้วยไฟรัก โลภ โกรธ หลง ต้องดับด้วยธรรมะที่เป็นของเย็นเท่านั้น ส่วนการที่จะรีบร้อนทำเป็นความอยากจนเกินไป เอาตัณหานำหน้า ทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน สมาธิเลยไม่ทรงตัว จึงต้องใจเย็น ๆ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง

เถรี
07-06-2016, 16:18
ถาม : ในสมัยพุทธกาล พระนางปฏาจาราเถรี เมื่อประสบความทุกข์ขนาดนั้น ท่านสามารถทำใจได้เช่นไรครับ ?
ตอบ : ท่านเห็นชัด ๆ แล้วว่า สามีก็ตาย ลูกก็ตาย พี่ก็ตาย พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า น้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเสียใจเพราะญาติพี่น้องตายในแต่ละชาติที่ผ่านมา รวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ ท่านก็เลยได้สติ พอได้สติก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน

คนที่เห็นทุกข์ขนาดนั้นคงไม่มีใครคิดว่าโลกนี้ดี และก็คงไม่มีใครคิดว่าร่างกายนี้ดี ในเมื่อไม่เห็นความดีในร่างกายของตนเอง ก็แปลว่าไม่เห็นความดีในร่างกายของคนอื่น และไม่เห็นความดีในโลกนี้ ในเมื่อสภาพจิตปลดลงได้ วางลงได้ ก็เป็นอันว่าหลุดพ้นไป

เถรี
07-06-2016, 16:27
ถาม : สมัยที่พระอาจารย์เจอคู่บุพเพสันนิวาสแล้วต้องตัดเขาไป ช่วงนั้นท่านวางกำลังใจแบบไหนครับ ?
ตอบ : วางกำลังใจว่า เรื่องของมึง...! เรื่องเหล่านี้น่าเสียดายว่านักปฏิบัติมากต่อมากด้วยกัน ที่ไปเสียท่าเสียทางจนกระทั่งกลายเป็นครอบครัวขึ้นมา แล้วทำให้ปฏิบัติธรรมได้ยากขึ้น

อาตมาเองก็ไม่ได้เก่งกาจกว่าญาติโยมทั้งหลายเลย เพียงแต่นิสัยเฉพาะตัวก็คือ ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา แล้วดันไปรู้ว่าตัวเองจะต้องบวช ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขา รับผิดชอบชีวิตของเขา ก็แปลว่าไม่สามารถที่จะบวชได้ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องอดใจไว้ว่า...อย่าไปยุ่งกับเขา...เท่านั้นเอง

เถรี
07-06-2016, 16:32
ถาม : การปฏิบัติบารมีอย่างกลาง ๗ เดือน ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ทำไมไปเอา ๗ ปี ? ก็ทำในศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน เอา ๗ วันสิ...!

จริง ๆ แล้วเขาถามผิด เรื่องของ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เป็นเรื่องของการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานิสงส์ของมหาสติปัฏฐานสูตรก็คือ ผู้ใดตั้งใจปฏิบัติ อย่างช้า ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็ว ๗ วัน แล้วก็มี ๖ วัน ๕ วัน ๔ วัน ๓ วัน ๒ วัน ๑ วันเหมือนกัน ก็จะสามารถเข้าถึงมรรคผลซึ่งหวังได้แค่สองอย่าง ก็คือ พระอนาคามีและพระอรหันต์ ก็แปลว่า ถ้าใครทุ่มเทให้กับมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างแย่ที่สุด ๗ ปี ต้องได้เป็นพระอนาคามี แต่กลัวว่าจะทำผิด กลายเป็น ๗ ชาติก็ยังไม่ได้อะไร...!

เถรี
07-06-2016, 16:40
ถาม : กำลังฝึกกรรมฐานและคิดว่าอารมณ์จะเข้าฌานสี่ แต่ไม่สามารถตัดร่างกายได้เพราะกลัวตาย กราบขอคำชี้แนะด้วยค่ะ ?
ตอบ : ถ้ายังกลัวตายอยู่ ฌานหนึ่งก็ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปหวังฌานสี่ เพราะถ้ายังกลัวอยู่แสดงว่าจิตไม่รวมตัว ถ้าสภาพจิตรวมตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป มีแต่ความอาจหาญ ความตายอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น แสดงว่าเข้าใจผิดว่าที่ตัวเองแหย่ ๆ อยู่นั้นกำลังเป็นฌานสี่ ...(หัวเราะ)...

อารมณ์ปฐมฌานมีแต่ความสุขสดชื่นเบิกบาน จิตใจไม่หวั่นไหวต่อ รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟใหญ่สี่กองโดนอำนาจฌานกดดับลงชั่วคราวแล้ว คำว่ากลัวตายแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะมัวแต่สุขกับอารมณ์ใจตรงหน้า จึงบอกว่าถ้ากลัวตายอยู่ฌานหนึ่งยังไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าจะฌานสี่แล้วกลัวตาย

เถรี
07-06-2016, 18:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานอุปสมบทหมู่ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าใครเป็นญาติเป็นโยมจะไปโกนหัวนาค ให้ไปเช้าวันที่ ๙ ถ้าไปช้าก็จะไม่ทันเพราะอาตมาไม่รอ โกนหัวนาคเสร็จจะบวชเณรไปก่อนเลย เพื่อถวายพระราชกุศลแด่บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองราชย์ ๗๐ ปี ประมาณ ๗ วัน แล้วพอวันที่ ๑๕ ก็บวชพระต่ออีก ๗ วัน สรุปว่าบวชครั้งนี้ได้กำไร ๒ ต่อ ได้ทั้งอานิสงส์ในการบวชพระ และอานิสงส์ในการบวชเณร"

เถรี
07-06-2016, 19:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ลูกศิษย์ของท่านแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท

ประเภทที่ ๑ เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่
ประเภทที่ ๒ เป็นลูกศิษย์รุ่นกลาง
ประเภทที่ ๓ เป็นลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว

ท่านบอกว่า ลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของท่าน ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ลูกศิษย์รุ่นกลาง อย่างน้อยต้องทำมโนมยิทธิหรือทรงฌานสมาบัติได้ ส่วนลูกศิษย์รุ่นจิ๋ว อย่างน้อยต้องรักษาศีล ๕ ได้

อาตมาเองก็อยากจะแบ่งลูกศิษย์ตัวเองเป็น ๓ รุ่นเหมือนกัน รุ่นที่ ๑ เรียกว่า รุ่นเป็นง่อย...! คือ ไม่คิดจะช่วยตัวเองอะไรเลย นอกจากโดดเกาะอย่างเดียว เกาะเฉย ๆ ก็ไม่ว่า รัดคออีกต่างหาก...! อาจารย์ไม่ตายก็บุญโขแล้ว พยายามจะถีบจะผลักให้เดินอย่างไร ก็ไม่สนใจทั้งนั้น กูจะเกาะอย่างเดียว แถมยังมีการไปต่อว่าอีกว่าพระอาจารย์ใจร้ายใจดำ ไม่ยอมให้เกาะ

ประเภทที่ ๒ กึ่งเป็นง่อย...! ก็คือ ช่วยงานอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เป็นภาระมากนัก ก็ถือว่าพอใช้ได้อยู่ ส่วนประเภทที่ ๓ มาช่วยงาน แต่ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ประเภทยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง มีน้ำใจแต่ไร้ฝีมือ ยิ่งช่วยยิ่งมีปัญหา กับประเภทช่วยแบ่งเบาภาระงานได้จริง ประเภทที่ ๓ นี่มักโดนประเภทที่ ๑ และประเภทที่ ๒ มาอิจฉาอยู่เสมอ หาว่าทำไมรุ่นนี้ถึงใกล้ชิดได้ ทำไมเขาใกล้ไม่ได้ ฟังแล้วเครียด...!

การที่จะทำตัวเป็นภาระให้กับครูบาอาจารย์นั้น ในความรู้สึกของเขารู้สึกว่าดีเหลือเกิน โดยที่ไม่ได้รู้ว่าการที่แบกภาระนั้นหนักแค่ไหน จนกว่าจะเป็นครูบาอาจารย์เองนั่นแหละ"

เถรี
07-06-2016, 19:09
"เมื่ออาทิตย์ก่อนน้องพลอย (ลูกสาวคุณชวง) ตอนนี้เป็นรองประธานนักเรียนอยู่ บอกว่าเพื่อนมาปรึกษาว่าจะหนีออกจากบ้าน คราวนี้นอกจากในฐานะเพื่อนแล้วยังในฐานะรองประธานนักเรียน ที่ทำหน้าที่แทนประธานทุกอย่าง เพราะประธานงอมืองอเท้า ไม่ทำอะไรเลย จึงต้องพยายามเกลี้ยกล่อมจนเพื่อนเปลี่ยนใจ ไม่หนีออกจากบ้าน แล้วน้องพลอยก็หงายผลึ่ง...! สลบเหมือด บอกว่า หมดแรงเลยค่ะหลวงพ่อ

อาตมาก็เลยบอกว่า "หนูแบกภาระคนแค่คนเดียว อาศัยกำลังตัวเองไปพลิกเปลี่ยนกำลังใจของคน ยังรู้สึกหมดแรงขนาดนี้ แล้วหลวงพ่อแบกคนตั้งครึ่งค่อนประเทศ รสชาติเป็นอย่างไร ? แล้วในหลวงแบกคนทั้งประเทศ รสชาติเป็นอย่างไร ? มีทางเดียว...หนูต้องไปทำสมาธิให้เข้มแข็งกว่านี้ จะได้แบกภาระได้มากขึ้น" เพราะฉะนั้น...บรรดาท่านที่เป็นง่อยและกึ่งเป็นง่อยทั้งหลาย กรุณาเดินเองได้แล้ว หาไม่...ตอนนี้ไม่ใช่ถีบส่งเฉย ๆ แต่จะถีบลงเหวไปเลย...!"

เถรี
07-06-2016, 19:12
...(ทิดเต้ยยิ้ม)... "ไม่ต้องยิ้ม...เอ็งด้วย ช่วยงานไม่ได้ไม่พอ หาภาระมาเพิ่มให้ตูตลอด...! แค่สำรวมกาย วาจา ใจของตัวเอง ตรวจดูว่ามีความชั่วอยู่ในใจหรือเปล่า ? ถ้ามีก็ไล่ออกไป ไล่ออกไปได้แล้วก็ระวังอย่าให้เข้ามาอีก ความดีมีอยู่ในใจหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา เมื่อมีแล้วก็รักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แค่นั้นเอง แต่ทำไม่ได้สักที เจอหน้ากี่ครั้งก็เหมือนเดิม

นอกจากไม่เป็นภาระแก่ครูบาอาจารย์ ก็ยังเป็นการส่งเสริม เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ครูบาอาจารย์อีกด้วย ว่าเรารักดีใฝ่ดี ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้สมกับเป็นคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วเปล่าเลย กระโดดเกาะอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอาเลย ประเภทนี้ต้องไปเจอคุณมงคล คุณมงคลบอกไว้ตั้งแต่สมัยบ้านอนุสาวรีย์แล้ว บอกว่า “หลวงพี่...ถ้าประเภทนี้นะ ผมปล่อยแม่ง...ตายห่....หมดเลย...!” สมควรปล่อยสักทีนะ...!"

เถรี
07-06-2016, 19:18
"ถ้ายืนหยัดด้วยตัวเองได้ ก็ผ่อนคลายภาระครูบาอาจารย์ไปตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว ไม่ต้องถึงกับมาช่วยงานก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือครูบาอาจารย์แล้ว ก็คือช่วยทำตนไม่ให้เป็นภาระ

แต่บางคนช่วยงานไม่ได้ไม่ว่า ยังพยายามทำตนเป็นภาระอีกต่างหาก แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่ากำลังใจของพระก็คือสงเคราะห์เฉพาะหน้า นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ถือว่าแล้วกันไป แต่ดันมีการโวยวายน้อยอกน้อยใจว่าทำไมถึงสนใจแต่คนโน้น ทำไมไม่สนใจคนนี้ ตัวเองอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปีแล้ว เรียกร้องจะเอาเท่ากับเด็กอายุ ๑๐ กว่าปี ตูจะบ้า...! ต้องเรียกว่าเติบโตเพราะกินข้าว แก่เฒ่าเพราะอยู่นาน หาความดีอะไรไม่ได้เลย

ว่าอย่างไรนาทาม ? ถ้ามีคุณป้าคุณยายมาเรียกร้องให้หลวงพ่อสนใจมากเท่ากับสนใจหนูนี่จะน่ารักมากไหม ? น่าเหวี่ยงใช่ไหม ?"

เถรี
08-06-2016, 15:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่ญาติโยมมาน้อยส่วนหนึ่งละลายไปเพราะลม ไม่ใช่ฝนนะ แค่ลมเท่านั้น ทิดดอยบอกว่าฝนตกแน่ แต่อาตมาบอกว่าไม่ตก นั่งเถียงกันอยู่สองคน เชื่อเถอะ...อาตมาชนะตลอด..!

การที่เราใช้ความเป็นทิพย์ จะมีตัวอุปาทานทำให้เฝือ ทำให้ผิด ก็คือ ลักษณะอย่างที่ทิดดอยว่า "ตกแน่" ตกแน่ตัวนี้ไม่ใช่ความเป็นทิพย์ที่แท้จริง แต่เกิดจากการไปยึดของเก่าว่า ลมลักษณะอย่างนี้ฝนจะต้องมา การยึดของเก่าเขาเรียกว่า อุปาทาน คนที่ฝึกมโนมยิทธิที่ไปเกาะอุปาทาน โอกาสผิดมีตั้งแต่เริ่มคิด จะไปยึดของเก่าไม่ได้เลย ต้องเชื่อกำลังใจแรกอย่างเดียว

กำลังใจตอนนั้นบอกว่าอะไร ให้เชื่อตามนั้น แต่พวกเราก็มักจะมีความดี เพราะมีประสบการณ์เก่าเยอะ ก็คือไปยึดอุปาทานเก่า ๆ ในเมื่อเราไปยึดของเก่า "ฮื้อ..ไม่ใช่กระมัง ?" "เอ๊ะ..น่าจะเป็นอย่างนี้นะ" เจ๊งเลย แล้วไปพิสูจน์ดูเถอะ อารมณ์ใจที่บอกครั้งแรกถูกทุกทีแหละ"

เถรี
08-06-2016, 15:32
"มีญาติโยมถามว่า ทำไมอาตมาไม่สอนมโนมยิทธิ ? มโนมยิทธิเป็นกรรมฐานที่ช่วยให้เข้าพระนิพพานได้ง่ายที่สุด แต่ทำให้คนหลงยึดติดได้มากที่สุดเช่นกัน ตัวหลงยึดติดส่วนใหญ่ก็คือ เพราะว่าเราเห็น เราจึงเชื่อ แล้วใครบอกก็ไม่ฟังด้วย เพราะว่าเห็นมาด้วยตัวเอง

อาตมาเคยเปรียบเทียบมาหลายทีแล้วว่า เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย จะโดนเขากระทืบตายเพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่..! เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นไม่ใช่เรื่องจริง เป็นหนังที่เขากำลังแสดงกัน ลักษณะการทดสอบมโนมยิทธิก็แบบนั้น เรายิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร การทดสอบก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น การใช้มโนมยิทธิจึงต้องระวังจนตัวลีบ เหมือนกับเดินอยู่บนเชือกที่ข้ามเหว พลาดเมื่อไรก็ลงเหวทันที"

เถรี
08-06-2016, 15:45
"รุ่นของอาตมา หลังจากเจริญกรรมฐานรอบค่ำที่ตึกธัมมวิโมกข์เสร็จ ก็มานั่งวิเคราะห์อารมณ์ใจกัน ขนาดนั่งวิเคราะห์วิจัยกันอยู่ทุกวันก็ยังพลาด กลายเป็นทาสให้เขาใช้งานอยู่ถึงสามปี ถึงเวลาแล้วคนอื่นเขาชมก็ก้นกระดก พอเขาบอกว่า "ทำไมรู้ชัดเจนอย่างนี้ ?" "แหม...แจ่มใสเหลือเกิน" "พูดอะไรก็ถูกไปหมด" ปลื้มใจ...ตัวพองเบ้อเร่อ คงพอ ๆ กับอึ่งอ่างตัวที่โดนวัวเหยียบตาย...! กว่าจะรู้ว่าตายตอนนั้น พระนิพพานที่เราหวังก็คงไม่ต้องหวังเลย มัวแต่เป็นขี้ข้าไปดูให้ชาวบ้านเขา

ฉะนั้น...ใครฝึกมโนมยิทธิโปรดทราบว่า ปัจจุบันที่ทำ ๆ กันอยู่ ส่วนใหญ่แล้วผิดทั้งนั้น มโนมยิทธิหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้เรารู้เพื่อละ รู้แล้วจะได้เข็ด เกิดมากี่ชาติก็ยังทุกข์อยู่ ควรที่จะพอกันทีหรือยัง ? ไม่ใช่ไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดจะกลัว กลับไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ คนที่กำลังว่ายน้ำอยู่ แทนที่จะตะกายขึ้นฝั่ง ดันไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ..!

โดยเฉพาะที่โดนกระทืบมาแล้วก็คือ ไปบอกเมียชาวบ้านว่า ในอดีตเคยเป็นเมียตัวเอง แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอดีต อะไรเป็นปัจจุบัน สมน้ำหน้ามัน...! "

เถรี
08-06-2016, 15:56
"ขนาดอาตมานั่งวิเคราะห์วิจัยกันอยู่ทุกวันกับพระพี่พระน้อง ยังโดนเขาหลอกอยู่ตั้งสามปี วิจัยกันอยู่ทุกวันแต่วิจัยไม่ถึง เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นดีแล้ว ก็เลยไม่ได้ยกมาเป็นบทเรียน

ถ้าถามวิจัยกันขนาดไหน ? ก็แค่เดินบิณฑบาต มาถึงหน้าวัดโยมก็ดักใส่กันเยอะ มีสาวสวยคนหนึ่งใส่น้ำหอมฟุ้งมาเชียว อาตมาได้กลิ่นปุ๊บกลั้นใจปั๊บเลย รู้ว่าสู้ไม่ได้ ตั้งใจดูปรากฏว่าพระพี่พระน้องทั้ง ๑๑ รูปที่เข้าแถวอยู่ด้วยกันกลั้นใจทุกคนเลย...!

ไปหอฉัน เทข้าวลงส่วนกลาง ล้างบาตรเช็ดเรียบร้อย นั่งรอสายอื่นเขามาก็นั่งวิจัยกัน ว่าที่เราทำเป็นตัวปัญญาหรือเปล่า หรือเราหนีปัญหา ? สรุปว่าเป็นตัวปัญญาแท้ ๆ เลย รู้ว่าสู้ไม่ไหว ก็ต้องหนี โดยเฉพาะหลวงตาวัชรชัยบ่น "ไอ้ห่...Chanel No.5 ของโปรดกูเลย"

ส่วนพวกเราไม่ค่อยจะวิเคราะห์วิจัยอะไรกัน ส่วนใหญ่ก็เปะปะมั่วไปเรื่อย ได้ผลขึ้นมาก็เริงร่าหน้าบาน แบบทิดน็อต พอเวลาไม่ได้ผลก็ "พระไม่เห็นช่วยผมเลย" มารดามันคิดแบบนี้คงจะได้ผลอยู่หรอก...!"

เถรี
08-06-2016, 16:01
"ไม่รู้จักใช้ธัมมวิจยะ ก็คือ พยายามศึกษา สืบสาวไปให้ถึงต้นตอ ว่ากำลังใจของเราที่ดีแบบนี้เกิดจากอะไร พอถึงเวลาผิดพลาดขึ้นมา กำลังใจตกต่ำ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เกิดจากสาเหตุอะไร

ในเมื่อเราไม่เคยวิเคราะห์หาสาเหตุ ก็แปลว่า ไม่มี ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา ก็คือ ขาดสัปปุริสสธรรม ๗ ในเรื่องของการรู้เหตุรู้ผล ในเมื่อไม่รู้เหตุก็แก้ไขไม่ได้ จึงหกล้มหกลุกไปเรื่อย เพราะฉะนั้น...หัดใช้สมองบ้าง เก็บไว้คั่นใบหูมานานแล้ว...!"

เถรี
08-06-2016, 19:52
ถาม : วัตถุมงคลที่เป็นมหาเสน่ห์นี่เรียกตีนด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในราศีตีนก็โดน...! โบราณเขาบอกว่า "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ" ถ้าใช้วัตถุมงคลหรือคาถาสายเสน่ห์จริง ๆ ต้องทำให้ได้ผล ถามว่าทำให้ได้ผลขนาดไหน ? ตัวอย่างสมัยก่อนก็ท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เสกน้ำมันทาให้แมว ทาให้หนู แล้วก็จับใส่กรงเดียวกัน ก็เห็นนัวเนียอยู่ด้วยกัน ไม่เห็นหนูจะหนีแมวหรือแมวจะกินหนู หรือไม่ก็อย่างหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ทำสีผึ้งเสร็จทาให้ไก่เพื่อทดสอบดู ไก่เดินตามทั้งวันเลย ต้องให้ได้ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็หนีตีนไม่พ้น เพราะคนหมั่นไส้มี ทำอย่างไรจะให้คนที่หมั่นไส้เปลี่ยนเป็นควักกระเป๋าไปซื้อขนมให้เรากิน ?

ถาม : ไม่ใช่สังคหวัตถุ ๔ หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ใช้กำลังสมาธิล้วน ๆ เรื่องของคาถาเป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ ถ้ากำลังใจทำถึง ใครอยู่ในบริเวณนั้นก็เสร็จเราหมด สมัยก่อนที่เขาศึกษากันนักหนา เพราะว่าบรรดาว่าที่พ่อตาส่วนใหญ่โคตรดุเลย บางบ้านนี่ถือลูกซองเฝ้าลูกสาวอยู่ ไปถึงริมรั้วพนมมือ "โอมศรีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามคือพระแมน แขนกูงามคือพระนารายณ์..." ท่องไม่ทันจบ ลูกปืนมาแล้ว...! วิ่งกันตีนพลิก จำไว้ว่าคาถามหาเสน่ห์อย่าใช้บทยาว ...(หัวเราะ)... ยาวเกินไปภาวนาไม่ทันลูกปืน

ถาม : อย่างอันนี้ (ปรอทสำเร็จ) เป็นขั้นป้องกันตัวหรือมหาเสน่ห์ครับ ?
ตอบ : เอาเป็นอันว่าเริ่มต้นแล้วกัน

ถาม : ขั้นแรกคือ ?
ตอบ : ก็คือมหาเสน่ห์

ถาม : เราสามารถเลือกได้ใช่ไหมครับว่าเป็นเสน่ห์กับเพศตรงข้ามเท่านั้น ?
ตอบ : ดูท่าจะเลือกไม่ได้...! บอกแล้วว่าถ้าทำได้ หมูหมากาไก่ก็โดนหมด..!

เถรี
08-06-2016, 19:54
ถาม : ผมขึ้นรถเมล์โดนขยำแก้มก้นครับ ?
ตอบ : นึกว่าให้ทานเขาเถอะ...! ถ้าประเภทเห็นดีเห็นงามด้วยก็แกล้งปิดป้องแต่พองาม..!

ถาม : แล้วอย่างนี้ต้องคิดว่า ตัวเราไม่ใช่ของเรา เพราะเป็นกรรมเก่าของเราใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ...! ป้องกันได้ก็ไม่ป้องกัน โง่ตายห่..!

ถาม : ผมง้างมือกำหมัด จะหันไปข้างหลัง พอหันไปดูเห็นหุ่นเขาแล้ว ผมก็เลยลงป้ายหน้าเลย..?
ตอบ : ถ้าเห็นว่าหล่อหน่อยก็ไปด้วยกัน...! อย่าว่าแต่คุณเลย สมัยก่อนอาตมาขึ้นรถเมล์ก็โดน แต่เป็นพวกสาว ๆ เด็กนักเรียนวัยรุ่น ดูหน้าก็รู้ว่าเพิ่งจะมัธยมต้น อะไรจะรีบขยันหาผู้ชายขนาดนั้น บังเอิญอาตมาตายด้าน ก็เลยไม่ไปเออออห่อหมกกับเขาด้วย

น่าเห็นใจเหมือนกันนะ อาตมามีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เกิดราศีตีนเหมือนกัน ไปด้วยกัน พวกจิ๊กโก๋จ้องกระทืบเขาอยู่คนเดียว ขนาดเดินอยู่ด้วยกันเขาก็โดนคนเดียว แสดงว่าเกิดราศีตีนจริง ๆ เรียกตีนได้ดีมาก..!

เถรี
11-06-2016, 11:27
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานวันพฤหัสบดี ปกติแล้วจะต้องไปทำหนังสือเดินทางเพื่อไปอังกฤษ ปรากฏว่าหนังสือรายชื่อผู้ได้รับอนุมัติให้เดินทางของสำนักพุทธฯ ออกไม่ทัน อาตมาก็เลยไปวัดท่าซุงแทน ไปกราบเรียนหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า บวชพระถวายท่าน ๑๐๐ รูป แล้วก็ไปเชิญ "ท่านขุนแผน" มาปลุกเสกพระวันเป่ายันต์เกราะเพชร กราบขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมช่วยสงเคราะห์ในงานพุทธาภิเษกและเป่ายันต์เกราะเพชร รู้สึกว่าเป็นงานใหญ่เหมือนกัน จึงต้องจัดเครื่องบูชาชุดใหญ่ถวายท่าน"

เถรี
11-06-2016, 11:34
ถาม : พระที่วัดนั้นฉันข้าวเย็น ?
ตอบ : อย่าไปสนใจเขาสิวะ...! เรารู้ว่าศีลพระเป็นอย่างไร พระธรรมวินัยเป็นอย่างไร ก็ทำของเราไป แล้วเขาก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่าของเราไปเองแหละ ถ้าอยากจะเป็นพวกเดียวกับเขาก็ไปกินข้าวเย็นกับเขาก็หมดเรื่อง...!

เดี๋ยวนี้จะหาวัดที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนพระให้ละอายชั่วกลัวบาปก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้สอนบางทีท่านเองก็ปากเปียกปากแฉะ แต่พวกนั้นดันไม่ฟัง แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นลูกท่านหลานเธอ คนที่ให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากวัด บางทีท่านก็ไม่กล้าด่าไม่กล้าไล่เหมือนกัน บอกพวกนั้นว่าไปบวชวัดท่าขนุนดูสิ แล้วจะซาบซึ้งในอนาคต...!

เถรี
11-06-2016, 12:00
ถาม : เรื่องศีลข้อสามครับ ถ้าคนที่เขามีคู่ครอง ไม่ว่าจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน หรือประกาศตัวว่ามีแฟนแล้ว ถ้าเราไปยุ่งกับเขาอันนี้ศีลขาดแน่ ที่สงสัยก็คือ คนที่เขาประกาศตัวว่าเขาโสดอยู่ แต่ก็มีคนคุยด้วย ถ้าเราไปยุ่งกับเขา (มีเพศสัมพันธ์) ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของทางโลก เราเอาเรื่องของทางธรรมสิ เรื่องของทางธรรมพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า บุคคลนั้นมีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง จนกระทั่งมีญาติปกครอง มีคนจองแล้วด้วยพวงมาลัยก็คือมีคนหมั้น มีคนให้ผ้าก็คือลักษณะที่ว่าซื้อตัวไป ท้ายสุดก็มีธรรมปกครอง ซวยฉิบหา...ไม่รอดสักราย เพราะฉะนั้น...ความประพฤติในปัจจุบันเป็นมาตรฐานไม่ได้ พูดง่าย ๆ คือไปยุ่งเมื่อไรก็ซวยเมื่อนั้นแหละ

เถรี
11-06-2016, 12:11
ถาม : ฉายาต้องให้พระอุปัชฌาย์ตั้งให้ ?
ตอบ : ให้ท่านตั้ง คนอื่นตั้งให้ถือว่าผิดมารยาท ฉายาเป็นหน้าที่อุปัชฌาย์ ขึ้นว่า ตาวะเทวะ ฉายา เมตัพพา อุตุปปะมาณัง อาจิกขิตัพพัง ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น เป็นหน้าที่พระอุปัชฌาย์บอก ทิวะสะภาโค อาจิกขิตัพโพ ให้บอกส่วนของวัน ส่วนของวันสมัยนี้ไม่ต้องบอกแล้ว เพราะว่าเป็นนาฬิกาแน่นอน สมัยนั้นต้องบอกว่าเป็นช่วงเช้า ช่วงสาย ช่วงเพล ช่วงเที่ยง ช่วงบ่าย ช่วงค่ำ สังคีตี อาจิกขิตัพพา ต้องบอกการรวมองค์ในการบวช ประกอบไปด้วยพระอุปัชฌาย์ พระคู่สวด พระอันดับเท่าไร

ความจริงบาลีเขาบอกรายละเอียดไว้ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ศึกษา แปลไม่ออกอีกต่างหาก ก็ไปกันใหญ่เลย

เถรี
11-06-2016, 12:20
ถาม : พระอุปัชฌาย์ที่วัด ท่านรู้จักหลวงพ่อด้วยครับ พอบอกว่าเป็นลูกศิษย์วัดท่าขนุน ท่านก็ว่า อ๋อ...ท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม พระอาจารย์เล็ก ?
ตอบ : ท่านที่เรียนหนังสืออย่างหลวงพ่อเจ้าอาวาสของคุณ ที่ไม่รู้จักพระอาจารย์เล็กไม่มีหรอก ตูทำชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเลย

ตอนที่รับปริญญาตรี เขาหาตัวอาตมากันให้ควั่ก เขาสงสัยว่า อาตมาสอบอย่างไรได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของประเทศ ? ก็คือเกียรตินิยมอันดับหนึ่งคะแนนสูงสุดของประเทศ และทำอย่างไรทั้งห้องได้เกียรตินิยมหมดเลย ? ก็คือได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ๙ รูป ที่เหลือได้เกียรตินิยมอันดับ ๒ เขาไล่ตามตัวเพื่อสัมภาษณ์ ก็เลยกลายเป็นคนดังไปโดยปริยาย

ท้ายที่สุด มจร.ก็ไม่ยอมปล่อย ล็อกคอให้เป็นอาจารย์ไปเลย ปัจจุบันเวลาที่เขานั่งเถียงกันเรื่องอาจารย์ปล่อยเกรด “ถ้าคุณทำให้ยากเขาก็ไม่มาเรียน” อีกฝ่ายหนึ่งก็ “ถ้าหากว่าทำให้ง่ายผู้ที่จบออกไปก็ไม่มีคุณภาพ” เถียงกันอยู่อย่างนั้น ท้ายที่สุดก็มีคนสรุปว่า “ปล่อย ๆ ไปเถอะ ถ้ามีคนอย่างพระครูเล็กสักรุ่นละรูปสองรูปรวม ๆ กัน ก็เยอะไปเอง” สรุปว่าตูไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่โดนเขายกตัวอย่างทะเลาะกันในวงประชุมไปด้วย

เถรี
11-06-2016, 12:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทางคณะสงฆ์เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรพระพุทธศาสนา (ป.พศ.) ฆราวาสก็เรียนได้ถ้าจบธรรมศึกษาชั้นเอก เรียนปีเดียวก็ได้วุฒิ ม. ๖ แม่ชีที่วัดจึงแห่กันไปเรียน แล้วพระที่ท่านตอนสมัยวัยรุ่นเกเรอยู่ เรียนไม่จบ ม. ๖ ก็มีโอกาสไปเรียนต่อให้จบ จะได้ต่อปริญญาตรีได้

ส่วนใหญ่แล้วกว่าจะรู้ว่าการศึกษาสำคัญก็ต้องอายุช่วง ๓๐-๔๐ ปีแล้วทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นช่วงวัยรุ่นก็มักจะเกเร ไม่ค่อยจะสนใจเรียนกัน"

เถรี
11-06-2016, 13:35
ถาม : เพื่อนบวชแล้วมีปัญหากับกรรมการวัดครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าจะตั้งกรรมการวัด ต้องตั้งพระให้เยอะกว่าไว้ก่อน ตั้งฆราวาสเยอะกว่าเมื่อไรจะคานเสียงไม่ได้สักที แล้วคุณก็เห็นว่าที่วัดท่าขนุนของผม ตั้งกรรมการเอาไว้แค่รับรู้รับทราบเท่านั้น แล้วไม่ใช้งานอะไรทั้งนั้นแหละ ขืนไปใช้งานเขาก็ยุ่งอีก เขาจะค่อย ๆ มีอำนาจขึ้นมา พระก็ทำอะไรไม่ถนัด จนกระทั่งทุกวันนี้กรรมการวัดท่าขนุนเท่ากับตกงานดี ๆ นี่เอง แม้กระทั่งแจกซองผมยังไม่ให้แจกเลย

เถรี
11-06-2016, 17:14
ถาม : การเจริญเมตตา ?
ตอบ : ต้องเจริญเมตตาให้แก่คนที่เรารักก่อน พอทำได้คล่องตัวแล้วก็ให้กับคนที่เรารักรอง ๆ ลงไป แล้วให้แก่ไม่รักไม่เกลียด พอคล่องตัวแล้ว ก็ให้คนที่เราเกลียดน้อย หลังจากนั้นถึงให้คนที่เกลียดมากได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอยู่ ๆ ไปให้คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าเลยก็เด้งกลับ

มีหลายคนที่บอกว่าไม่โกรธ ๆ แต่กูไม่พูดกับมึง..! นั่นยังโกรธอยู่เต็ม ๆ เลย ผูกโกรธด้วย แต่คิดว่าตัวเองวางได้แล้ว เพราะฉะนั้น...ต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น

ถาม : แผ่เมตตาแล้วมีผลย้อนกลับที่ดี ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วการแผ่เมตตาจะอยู่ลักษณะให้ผลดีโดยส่วนเดียว ผลที่กลับมาไม่ดีเกิดจาก ๒ อย่าง อันดับแรกก็คือเมตตาของเราไม่บริสุทธิ์จริง ประการที่สองก็คือผลกระทบมาจากเรื่องอื่น บังเอิญเราไปทำเรื่องเมตตาพอดี เราก็เลยคิดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้

ถาม : ขณะที่แผ่ไปยังศัตรูได้ แสดงว่ากำลังใจดีมากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเห็นตามความเป็นจริงว่าไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร ทุกอย่างล้วนเป็นสมมติทั้งสิ้น มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายังทำไปถึงระดับนี้ไม่ได้ก็ยังแผ่ให้ศัตรูไม่สำเร็จหรอก ถ้าไม่เห็นว่ามีใครเป็นศัตรู กำลังใจระดับนั้นแล้วก็เอาเถอะ จะแผ่ให้ใครสักเท่าไรก็ได้

ถาม : การแผ่เมตตาให้กับคนทั่วไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราผ่านตรงนี้ได้แล้ว ?
ตอบ : ทำให้เป็นปกติของเราจนกระทั่งไม่มีความหนักใจแล้ว มั่นใจว่าได้แล้ว ทำไปแล้วเป็นเหมือนหน้าที่ซึ่งต้องทำ พอถึงเวลาก็นึกว่า เอ...ยังไม่ได้ทำนี่ ? แล้วก็จัดการทำต่อไป ถ้าหากว่าถึงระดับนี้ขึ้นมา สำหรับคนทั่วไปก็ถือว่าเราผ่านได้แล้ว เพราะว่าสามารถให้เขาเป็นปกติได้ทุกวัน

ถาม : ระดับที่เราแผ่เมตตาได้ แสดงว่าศีลเราทรงตัว ?
ตอบ : ถ้าแผ่เมตตาศีลก็ทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องของการแผ่เมตตาเป็นส่วนของธรรม ถ้าจะให้ศีลและธรรมสมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมกันก็หายาก ตอนแรกก็ต้องเอาศีลก่อน พอกำลังของศีลทรงตัวก็ทำได้เอง

เถรี
11-06-2016, 19:04
ถาม : การที่จิตฟุ้งซ่าน นอกจากอานาปานสติแล้ว ยังมีกรรมฐานกองอื่นที่แก้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีเลย ถ้าไม่เอาอานาปานสติก็หยุดความฟุ้งซ่านไม่ไหวหรอก อานาปานสติเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง ยิ่งมีความฟุ้งซ่านยิ่งจำเป็นจะต้องหยุดด้วยอานาปานสติ บางคนบอกว่าผมไม่เห็นต้องใช้อานาปานสติเลย แค่คิดก็หยุดได้แล้ว อันนั้นแสดงว่าข้ามขั้นไปจนเป็นฌานแล้วแต่ตัวเองไม่รู้

ถาม : บางท่านก็บอกว่า อารมณ์นี้ละเอียดเกินไป อย่างนี้เป็นความเห็นที่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของเขา กำลังใจของเขายังไม่ถึงตรงจุดนั้น ก็จะรู้สึกว่าละเอียดเกินไป หนักเกินกำลังของตน แปลว่ากำลังใจต่ำมาก

ถาม : ....(ไม่ชัด).....อย่างนี้จะเรียกว่าช่วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าช่วยได้ก็ช่วยได้ แต่ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุมอยู่ สติก็ไม่มั่นคง ไปกำหนดทีเดียวหมดก็พลาดจนได้

ถาม : ขนาดเดินอยู่ก็พลาดจนได้ ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุม ?
ตอบ : ใช่...คุณเดินอยู่ก็คิดไปหลายร้อยเรื่องแล้ว บางทียังไม่รู้ตัวเลย

ถาม : แสดงว่าขณะกำหนดสติ ก็จำเป็นต้องมีอานาปานสติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วจำเป็นต้องมีเลย เพราะว่าสติจะรู้ตัวก็ต้องมีตัวควบคุม ก็คืออานาปานสติ

ถาม : ถ้าเจริญพุทธานุสติแทน ก็เป็นการเจริญสติได้เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะเจริญสติแบบไหน ถ้าไม่เอาอานาปานสติไปคุม ก็ได้แค่พื้นฐานขั้นต้น ซึ่งไม่มั่นคง พอกระทบก็พัง จำเป็นต้องแทรกอานาปานสติเข้าไป โบราณเขาถึงให้ภาวนาอานาปานสติโดยใช้คำว่า "พุทโธ" เท่ากับทำสองอย่างควบกัน

เถรี
11-06-2016, 19:08
ถาม : การเจริญสติ ต้องใช้อานาปานสติ พุทธานุสติ ?
ตอบ : คำว่า อนุสติ ก็คือตามคิดถึง ในเมื่อตามคิดถึงก็ไม่ต้องการความมั่นคงมาก เราแค่คิดถึงเฉย ๆ ก็ได้ แต่ถ้าต้องการความมั่นคงมาก จำเป็นต้องมีอานาปานสติคุม คือสติที่ตามไปในลมหายใจเข้าออก เพื่อสร้างสมาธิให้เข้มข้นให้เป็นอัปปนาสมาธิให้ได้

ถาม : ระดับไหนที่เป็นสัมมาสติ ?
ตอบ : สัมมาสติต้องโน่นเลย ทรงฌานเป็นอัปปนาสมาธิไปเลย เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาก็มักจะว่า สัมมาสติก็คือสติที่ไปใน กาย เวทนา จิต ธรรม ลักษณะอย่างนั้นต้องพระอรหันต์ เพราะว่าต้องกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าสติไม่ถึงระดับพระอรหันต์ เรื่องรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ตลอดเวลาโดยไม่ไปปรุงแต่งก็ยาก มองไม่เห็นทางเลย

แต่ถ้าเราตีความคำว่า สัมมา แปลว่าถูกต้อง แล้วก็คือถูกต้องอย่างแท้จริง ก็ต้องเป็นระดับนั้นแหละ เพราะถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์ก็ยังไม่ถูกต้องอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น...เรื่องนี้สำหรับพวกเราก็ยกไว้เหนือเศียรเหนือเกล้าเถอะ ทำถึงเมื่อไรก็รู้เอง ...(หัวเราะ)...

เถรี
11-06-2016, 19:27
มีผู้นำทองคำธรรมชาติมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศไทยเราส่วนหนึ่งที่ชื่อสุวรรณภูมิ เกิดจากเพราะมีทองมาก ถ้าวาระบุญคนยังไม่พร้อม ของขึ้นมาก็เป็นของผู้มีอำนาจไม่กี่คน เพราะทองธรรมชาติส่วนใหญ่ต้องเป็นของส่วนรวม

แหล่งโบราณที่เราพบกันอยู่เป็นประจำ ๆ ก็ทองบางสะพานที่ประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็เหมืองทองโต๊ะโมะที่นราธิวาส แต่ว่าปัจจุบันนี้เขาก็เจอกันเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเพชรบูรณ์ แพร่ ฯลฯ"

เถรี
12-06-2016, 15:01
ถาม : จะไปร่อนทองที่บางสะพาน ควรจะจุดธูปไหมครับ ?
ตอบ : ควรจะทำเลย ถ้ามีเครื่องบวงสรวงได้ยิ่งดี ไม่ต้องมากหรอก ส่วนใหญ่สมัยก่อนเขาก็ใช้แค่มาลัยพวงเล็ก ๆ กุ้งพล่า ปลายำ ฯลฯ มีเหล้าเสียหน่อยหนึ่ง แต่เหล้าไม่ควรมี ถ้ามีแล้วครั้งต่อไปไม่มีจะลำบาก

เถรี
12-06-2016, 15:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาทิตย์ก่อนเมื่อวันที่ ๓๑ มีโยมถวายล็อตเตอรี่มาปึกเบ้อเริ่ม ก็เลยส่งให้โยมไป บอกว่าไปตรวจให้หน่อย โยมเขาตรวจเสร็จสรรพเรียบร้อยก็โยนลงถังขยะ บอกว่าไม่ถูกเลย ที่ไหนได้...เป็นงวดวันที่ ๑

นึกแล้วก็ขำดี คนตรวจก็พาซื่อ ถึงเวลาเข้า Google ไปหาหวย ไม่ได้ดูว่าเป็นวันที่ ๑๖ ตรวจเสร็จสรรพเรียบร้อย เห็นว่าไม่ถูกก็โยนทิ้งไป ปรากฏว่าวันที่ ๑ อยู่ ๆ ในโทรศัพท์มือถือมีหวยขึ้นมา "อ้าว...หวยเพิ่งออกวันนี้ แล้วที่ตรวจไปเมื่อวานวันอะไรวะ ?" เจอคนไม่เล่นหวยทั้งคู่ ลูกศิษย์ก็ไม่เล่น อาจารย์ก็ไม่เล่น ก็เลยออกมาท่านั้นแหละ

เวลาเดินผ่านแผงขายหวย คนขายก็มักจะชวนซื้อ บอกว่าอาตมาเป็นพระ...ซื้อไม่ได้ เขาก็บอกว่า "พระมาซื้อของผมประจำเลย" อาตมาก็เลยบอกว่า "แต่วัดของอาตมาซื้อไม่ได้ ถ้าซื้อเมื่อไรเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัดเลย" เขาก็เลยถามว่าวัดไหน ? บอกว่า "อย่ารู้เลย...เพราะว่าถ้าขืนรู้เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าเจ้าอาวาสมาเอง"

เถรี
12-06-2016, 15:11
ถาม : พระเล่นหวยผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : จัดเป็นอเนสนา การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ชอบ ฝืนทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม ถือว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ คำว่า อเนสนา แปลว่าหาเลี้ยงชีพในทางไม่ชอบ แล้วหาเลี้ยงแบบไหนถึงจะถูกต้อง ?

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบิณฑบาต ปิณฑิยา โลปโภชนัง นิสสายะปัพพัชชา ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิต ได้แก่ การบิณฑบาต ตัตถะ เต ยาวะชีวัง อุสสาโห กะระณีโย ขอให้อุตสาหะกระทำกรณียกิจอันนี้ให้เป็นปกติไว้ อะติเรกะลาโภ ของเหลือ คือลาภมากเหลือเฟือนอกจากบิณฑบาต อนุญาตให้ได้ ก็มี สังฆะภัตตัง อุเทสะภัตตัง นิมันตะนัง สะลากะภัตตัง ฯลฯ

สังฆะภัต คืออาหารของสงฆ์ อุเทสะภัต คือของที่เขาเจาะจง อาหารที่เจาะจง นิมันตะนัง อาหารในที่นิมนต์ สะลากะภัต สลากภัตที่เขาจับสลากว่าใครควรจะได้ ปักขิกัง อุโปสะถิกัง ปาฏิปะทิกัง อาหารที่เขาถวายตามปักษ์ก็คือ ๑๕ วันครั้งหนึ่ง อาหารที่เขาถวายในวันอุโบสถ ก็คือวันที่พระลงปาฏิโมกข์ ทั้งหลายเหล่านี้สามารถรับได้ เกินจากนั้นหมดสิทธิ์ เพราะฉะนั้น...อะไรที่เกินจากบิณฑบาต ถือว่าเป็นการหาเลี้ยงชีพในทางไม่ชอบ

เถรี
12-06-2016, 15:17
ถาม : ในพระวินัยเขาบอกว่า การให้ไม้ไผ่ ให้ใบไม้ ให้ดอกไม้ เป็นอเนสนา ?
ตอบ : ก็เท่ากับเอาของไปให้ญาติโยมเขา ก็เหมือนกับไปประจบเขาด้วยการเอาข้าวเอาของอะไรไปให้ สมัยนี้มีนะ...เยอะด้วย ถึงเวลาตรุษจีนปีใหม่มีของขวัญให้โยมพวกบรรดาขาใหญ่ประจำวัด

พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า กุละทูสะโก อยู่ในลักษณะของการประทุษร้ายตระกูล ก็คือทำให้ตระกูลของพระพุทธเจ้าคือหมู่สงฆ์เสื่อมเสีย

เถรี
12-06-2016, 16:32
ถาม : คนธรรพ์เป็นพวกไหนครับ ?
ตอบ :เทวดาชั้นต่ำ ส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่ตีนเขาพระสุเมรุ มักจะมายุ่งกับชาวบ้านเขาอยู่เรื่อย บางทีเกิดชอบลูกสาวชาวบ้านก็อุ้มไปเฉยเลย

ถาม : เป็นเทวดายุ่งกับมนุษย์ได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ก็จะยุ่งเสียอย่าง เจ้าพวกนี้ถ้ามักกะลีผลออกลูก ก็ไปไล่ตีไล่ชิงกัน ส่วนใหญ่แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นมนุษย์ที่ได้อภิญญาโลกีย์ อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นเทวดาชั้นต่ำ เกิดกิเลสอยากได้มักกะลีผลเหมือน ๆ กัน ก็เลยกลายเป็นคู่ศึก ตีกันเองไปโดยปริยาย

เถรี
13-06-2016, 19:12
ถาม : กรณีที่มีการปฏิสนธิแบบไม่ธรรมชาติ คือเกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบเด็กหลอดแก้ว ทันทีที่ปฏิสนธิ ดวงจิตก็เข้ามาจับได้เหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ก็แสดงว่าคนที่เขาไปทำเด็กหลอดแก้ว ก็มีโอกาสที่จะทำปาณาติบาตไปได้โดยไม่ตั้งใจเหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การปฏิสนธิมีเร็วมีช้า สภาพการปฏิสนธิตามแบบวิทยาศาสตร์ เป็นแค่เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่เท่านั้น ส่วนสภาพจิตที่เข้าไปจับนั้นช้าเร็วต่างกัน ถ้าเราไม่รู้รายละเอียดตรงนี้ แล้วถึงเวลาอาจจะประเภทฆ่าทิ้ง คัดทิ้ง ก็มีสิทธิ์ที่จะปาณาติบาตได้ ยกเว้นเรามั่นใจว่าไอ้นี่ยังไม่ลงมาหรอก ก็เขี่ยทิ้งไปได้เลย

เถรี
13-06-2016, 20:25
ถาม : เป็นได้หรือคะ ? หนูเห็นตัวเองข้างใน กับตัวข้างนอกมันแยกกัน ตัวข้างนอกเหมือนไม่ยอมรับรู้ในความเป็นจริง ก็เลยมีพฤติกรรมขัดแย้งค่ะ ขัดแย้งในตัวเอง พอภาวนาเข้ามาก ๆ แล้วก็เห็นว่าหนูพยายามปิดบังตัวเองไม่ให้ไปรู้ในสิ่งที่หนูตั้งใจไว้ค่ะ ?
ตอบ : แล้วทำไมโง่ขนาดนั้น ?

ถาม : เหมือนอะไรหลาย ๆ อย่าง พยายามให้หนูยอมรับว่าหนูปรารถนาภพชาติค่ะ แต่หนูรู้สึกว่าทุกข์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่หนูจะอยากได้ อดทนได้ ทำได้ จะพิสูจน์ตัวเองได้ดีขนาดนั้นเลย ?
ตอบ : การที่ได้รู้เห็นอะไรตามความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ไม่รู้ว่ากี่ชาติกี่ภพเราจะรู้เห็นได้ ในเมื่อสามารถรู้เห็นได้แล้ว กลับพยายามไม่คิดที่จะรู้เห็น ถือว่าทำอะไรไม่ฉลาด

ถาม : หนูรู้สึกหมดความรู้สึกที่จะไปรับรู้เรื่องคนอื่น ทั้ง ๆ ที่หนูมีตัวสาระแนเยอะมากค่ะ ?
ตอบ : เรื่องของคนอื่นไม่ต้องไปใส่ใจ ดูแต่ตัวเราเอง ดูเฉพาะความดีความชั่วของเรา ถ้ามีความชั่วอยู่ก็ไล่ออกไป แล้วระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าไม่มีความดีก็สร้างขึ้นมา ถ้ามีแล้วก็ทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ถาม : เอาแค่รู้เฉย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : รับรู้แล้วอย่าคิด แก้ไขไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า

เถรี
13-06-2016, 22:34
ถาม : ตั้งแต่เขาไปปฏิบัติธรรมมา จะมีลักษณะอาการร้องไห้ บางคนบอกว่าปีติ บอกคนบอกว่ามีองค์มีเจ้า ?
ตอบ : ไม่มีอะไรให้ทุกข์ใจ แค่ปล่อยให้ร้องไปทีเดียวให้เต็มที่ก็จบ เพียงแต่เวลาเขาร้องขึ้นมาอย่าไปขวางก็พอ

ถาม : ไม่มีอันตรายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร อารมณ์ของการปฏิบัติเหมือนกับสิ่งที่คุ้นเคยกลับมา ทำให้เกิดปีติน้ำตาไหล คราวนี้ถ้าเรามัวแต่ไปอายคน มัวไปห้ามอยู่ก็ไม่ผ่านสักที ต้องปล่อยให้เต็มที่ทีเดียวถึงจะจบ

เถรี
13-06-2016, 22:50
ยายหนู...ถ้าจะร้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย อย่าไปห้าม ถ้าหากว่าเราไม่ปล่อยให้เต็มที่ ก้าวผ่านไม่ได้ สมาธิถึงจุดนั้นเมื่อไรเราก็จะเป็นอีก ไม่ว่าจะได้ยินเรื่องคนอื่นทำความดี ได้เห็นคนอื่นทำความดี หรือตัวเองทำความดี ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราปล่อยจนข้ามไปทีเดียวเลย ร้องให้ข้ามวันข้ามคืนไปเลย ก็จะเลิกไปเอง

หลวงพ่อเองร้องตั้งแต่เช้าจนบ่ายสามโมง เช็ดหน้าจนหมดกระดาษทิชชู่ไปเป็นกล่อง แต่ถ้าเรามัวแต่ไปกลัวอายคน แล้วไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาพอกำลังใจถึงตรงจุดนั้นก็จะเป็นอีก ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ปีติ

ถ้าถามว่าปีติทำไมมีอาการแปลก ๆ อย่างนี้ ? ในอรรถกถาท่านเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนกับพ่อแม่ ถึงเวลาก็สั่งลูกว่า "อยู่บ้านนะลูก แม่จะไปตลาด" แล้วก็หายไปเป็นวัน ตอนเย็นกลับมา ลูกเห็นแม่ก็ดีอกดีใจกระโดดโลดเต้น พ่อมาแล้ว แม่มาแล้ว บางทีก็ร้องไห้โฮเลย

กำลังใจของเราก็เหมือนกัน เคยอยู่กับความสงบมาก่อน พอมาฟุ้งซ่านอาจจะหลายปี หรืออาจจะหลายชาติ เวลากลับไปสู่ความสงบเหมือนเดิม ก็เหมือนกับเด็กที่โดนพ่อแม่ทิ้งมานาน ถึงเวลาเจอพ่อแม่ก็นั่งร้องไห้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ บางคนก็ดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนอย่างกับผีเข้าเจ้าสิง แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นอาการแสดงออกธรรมดา

เด็กบางคนเจอหน้าพ่อแม่ก็กระโดดโลดเต้นปีนยันหัวเลย ก็คือแบบนั้น เรื่องพวกนี้ต้องปล่อยให้ปีติไปจนหมดกำลังไปเอง แล้วจะก้าวขึ้นไปสู่สมาธิขั้นสูงกว่า ถึงเวลานั้นกำลังใจเราจะสงบแนบแน่นกว่านั้นอีกเยอะ ตอนนี้ไม่ต้องไปกังวลหรอก ถึงเวลาสมาธิทรงตัว อยากเป็นก็ปล่อยให้เป็น ปิดประตูห้องร้องไห้ให้สะใจ ถึงเวลาก็จะก้าวข้ามไปได้เอง

เถรี
14-06-2016, 12:20
ถาม : ถ้ามีคนสาปแช่งเรา การที่เราต้องรับผลกรรมจากการสาปแช่งเรา เป็นเพราะ ?
ตอบ : อันนั้นเขาไม่เรียกว่ากรรมของเรา การสาปแช่งจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้ที่ทำนั้น มีกำลังความดีสูง หรือกำลังสมาธิสูง ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไป ปล่อยให้เขาแช่งให้เหนื่อยตายห่...ไปเลย ดูสิว่าจะทำแล้วจะมีผลไหม ?

ที่มีผลเพราะว่าเราไปเก็บมาคิด เก็บมากังวลใจ กลายเป็นตัวเราแช่งตัวเราเอง ที่ภาษาบาลีว่า มโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราไปคิดเองว่า เขาว่าเราว่าต้องให้เป็นอย่างนั้น ต้องให้เป็นอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ท้ายสุดกลายเป็นตัวเราทำร้ายตัวเราเอง เพราะฉะนั้น...เรื่องของคำสาปแช่งต่าง ๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปเก็บมาคิด ตั้งใจภาวนานึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้าไว้

ถาม : แม้เราไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ทำให้เขาต้องขุ่นเศร้าหมองใจ ?
ตอบ : เกิดมามีใครไม่กระทบกระทั่งกับคนอื่นบ้าง อยู่เฉย ๆ เขายังอิจฉาว่าเราสวยกว่า...จบเลย ดูอย่างอาจารย์โอ๋ อยู่เฉย ๆ คนก็อิจฉา เพราะสวยเกินหน้าเกินตาเขา เกิดมาจะไม่กระทบกระทั่งกับใครเลย เป็นไปได้ที่ไหน

เถรี
14-06-2016, 12:37
ถาม : ไม่กล้าถามค่ะ ?
ตอบ : ไม่กล้าถามก็กลับไปนั่งที่เดิม เกิดมาไม่กล้าถามจะไปทำอะไรกิน...!

ถาม : ถวายสังฆทานไปแล้ว มีวิญญาณมาตามค่ะ ?
ตอบ : คนเรามีคนตามรักษาเป็นปกติ แล้วอีกอย่างหนึ่ง บรรดาผี บรรดาเทวดาต่าง ๆ มีอยู่รอบตัวของเรา มีโอกาสเห็นเขาถือว่าโชคดีแล้ว

ถาม : เขาจะทำอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามว่าตั้งแต่เห็นมา เขาทำอะไรเราหรือยัง ? แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปทุกวัน ๆ ส่วนใหญ่พวกเรากลัวจนเกินเหตุ ถ้าเห็นอย่างอาตมาก็คงจะช็อกตายไปแล้ว เหมือนอย่างกับคนเห็นมากจนเลิกกลัวไปเอง

เอาเป็นว่า ถ้าเราสามารถทำใจได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัย แล้วยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ต่อให้โคตรผีก็ทำอะไรไม่ได้...! เรื่องของผีเรื่องของเทวดา เขามีกฎของภพภูมิคอยขวางอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาจะมากลั่นมาแกล้ง มาทำอะไรเราได้ง่าย ๆ ใครอยากซวยก็ลองทำดูเถอะ

หรือไม่ก็หัดสวดภาวนาคาถาภาณยักษ์ไปเรื่อย ๆ ตัวไหนอยากลองดีให้มาลอง ดูว่าเจ้านายท่านจะเฉ่งไหม ? เพราะคาถาภาณยักษ์เป็นคาถาที่ท้าวเวสสุวรรณท่านมอบให้กับพระ ถ้าหากว่าใครสวดคาถานี้แล้วผีหรือเทวดายังกลั่นแกล้ง ท่านถือว่าตั้งใจขบถต่อท้าวมหาราช เท่ากับหาเรื่องซวย..!

วัดท่าขนุนเขาสวดกันทุกวันแหละ ขึ้นด้วย นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง ฯลฯ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถามเขาสิ ตัวเองเจอแต่มาถามคนไม่เจอ ถ้าหากว่าพูดตรง ๆ ไม่รู้เรื่องก็ส่งไลน์ไปถาม...!

เถรี
14-06-2016, 12:47
ถาม : ที่ทำงาน ลูกน้องไม่ค่อยเชื่อฟัง ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างที่หนึ่งสั่งแล้วไม่ฟัง ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ถ้าหากว่ามีอำนาจอะไรอยู่ในมือก็เฉ่งให้ขี้เยี่ยวราดไปเลย หลังจากนั้นที่เหลือจะเชื่อหมด อย่างที่สองก็คือ ทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี ลูกน้องว่าอะไรก็รับ "เจ้าค่ะ"ิ ...จบ

ถาม : กลัวว่าถ้าทำอะไรไปแล้วเขาจะแค้น ?
ตอบ : แล้วไปกลัวอะไรกับเขาแค้น ทีเขาทำเราเขาไม่กลัวเราแค้น คนเราในโลกปกติแล้วไม่กลัวคนดี กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า ฉะนั้น...ปากไม่แหลม เขี้ยวไม่คม คิดไปรับราชการก็ต้องเดือดร้อนเอง

ถาม :ใช้มาตรการเด็ดขาด ?
ตอบ :ไม่ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดหรอก ทำให้เขารู้ว่าเราเป็นเจ้านายที่แหย่ไม่ได้ก็พอ

ถาม : แต่ก็ควรอุเบกขาบ้าง ?
ตอบ : อุเบกขาบ้าง อย่าเอาแต่เมตตา ก็บอกแล้วว่าคนเราไม่กลัวคนดี กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า มัวแต่ไปแผ่เมตตาอยู่ได้ ต้องรังสีอำมหิตบ้าง เดินเข้าไปทีหนึ่งแล้วทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเข้าไปแดนประหารอย่างนั้นแหละ หลังจากนั้นก็จะเลิกซ่ากับเราไปเอง ตกลงจะมีใครจะเอาไปใช้บ้างไหม ? อุเบกขาไม่ได้แปลว่าปล่อยวาง ตรงนี้ต้องแปลว่าข้าเลิกเมตตาไปแล้ว กลับไปที่นั่งเถอะ แนะนำไปก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว

เรื่องของทางโลกกับทางธรรมความจริงไปด้วยกันได้ แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่ใช่ถึงเวลาก็จะเอาแต่เมตตา ๆ หลวงพ่อวัดเจดีย์หลวงท่านยังบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณ ก็จะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง เพราะฉะนั้น...หัดใช้อุเบกขาเสียบ้าง เวลาทำดีมีรางวัล ถ้าทำไม่ดีก็ต้องลงโทษ ไม่ใช่อะไร ๆ ก็ทน แล้วเจ้านายก็ประสาทกินเสียเอง คนเป็นลูกน้องก็ไม่ใช่อะไร ๆ ก็เอาแต่จะทน หัดอาละวาดใส่เจ้านายเสียบ้าง..!

เถรี
14-06-2016, 12:56
อาตมาสมัยรับราชการอยู่ อาละวาดใส่เจ้านายประจำ แต่ได้ ๒ ขั้นทุกปี จนกระทั่งถึงปีที่ ๔ เขาเอาระเบียบมากาง บอกว่าได้ไม่เกิน ๓ ปีติดกัน ปีนี้ต้องเว้น ก็บอกกับเจ้านายไปว่า ถ้าระเบียบว่าไว้อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าผมไม่ได้แล้วคนอื่นได้...เป็นเรื่อง...! ก็ทั้งหน่วยงานไม่มีใครทำงานได้เกินกว่าเรา ในเมื่อความสามารถตูขนาดนี้ แล้วคนอื่นได้แต่ตูไม่ได้ ก็เป็นเรื่อง..!

เจ้านายท่านบอกว่า “มึงรู้ไหม ? กูเกลียดขี้หน้ามึงฉิบหา..เลย..!” อาตมาก็บอกว่า “ผมก็ไม่ได้รักท่านเท่าไรหรอกครับ” ถึงบอกว่าถ้าจะอยู่ในวงการต้องปากแหลมเขี้ยวคมพอ แต่เพื่อนเขาเบื่อ เพราะจะเป็นตำบลกระสุนตกแล้วเขาอยู่ข้างเคียง ก็ซวยไปด้วย เพื่อนบอกว่า "อะไร ๆ มึงก็เก่ง...กูไม่เถียงหรอก แต่มึงรู้แล้วทำไมต้องพูดด้วยวะ ?" รู้แล้วไม่พูดนี่บางทีทำส่วนรวมเสียหายเยอะ ก็จำเป็นต้องพูด ให้เขารู้ว่าเรารู้ทัน เพราะฉะนั้น...เอาเสียหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับผลกระทบไปด้วย

ถ้าเป็นลูกน้องก็จงเป็นลูกน้องที่เจ้านายเกรงใจ จะเป็นเจ้านายก็ให้เป็นเจ้านายที่ลูกน้องกลัว แล้วชีวิตนี้จะง่ายขึ้นอีกเยอะ เขาจะว่าเราจู้จี้ขี้บ่นอย่างไรก็ว่าไป แต่ถึงเวลางานต้องเสร็จ ถ้างานไม่เสร็จเอ็งก็เสร็จ ไม่ใช่พอลูกน้องว่าเราจู้จี้ขี้บ่นแล้วเราก็เอามาคิดเสีย ๓ วัน ๓ คืน ลูกน้องพูดเสร็จสะบัดตูดไป แล้วเขาก็ไม่ได้คิดสักนิดเดียว เราก็มานั่งหน้าเหี่ยวหัวหงอกเอง

ถ้าอยู่บริษัทเอกชนก็แค่บอกว่า ถ้าทำอย่างนี้อีก อย่าคิดเลยว่าสิ้นปีจะได้โบนัส เดี๋ยวเขาก็ไปคิดหัวหงอกกันเองแหละ ถ้ารับราชการก็บอกกับเขาว่า ถ้ามีฝีมือแค่นี้ ปีนี้ก็เอาไปครึ่งขั้นก็แล้วกัน แต่ถ้ายังรักษาฝีมือในระดับนี้ ต่อไปครึ่งขั้นก็อาจจะไม่ได้ด้วย

จริง ๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องสงครามประสาทนี่สนุก แต่คิดดูก็เป็นเวรเป็นกรรมเหมือนกัน ถ้ารักที่จะทำก็เก็บเอาเรื่องศีลธรรมใส่กระเป๋าสักพัก กลับบ้านแล้วค่อยมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมกันใหม่ อยู่ที่ทำงานให้งับหัวทุกคนที่ยื่นเข้ามาใกล้..!

เถรี
14-06-2016, 19:08
ถาม : ทำไมถึงเรียกคนที่ผ่านการบวชมาแล้วว่าทิดคะ ?
ตอบ : “ทิด” มาจากคำว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้ได้รับการศึกษาแล้ว แต่คราวนี้คนไทยเราอ่าน ฑิต ว่า ทิด ก็เลยเรียกสั้น ๆ ว่าทิดมาตลอด

เถรี
14-06-2016, 19:10
มีโยมมาขอให้บังสุกุลเพื่อสะเดาะเคราะห์ พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้ากลัวก็เร่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ เคราะห์ที่ไหนจะตามทัน”

เถรี
14-06-2016, 19:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครใช้สบู่สมุนไพรเปลือกมังคุดระวังคนใช้จะดำไม่รู้ตัว สบู่สมุนไพรเปลือกมังคุดใช้แล้วผิวอาจจะดีขึ้น แต่จะคล้ำไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นสารแทนนินไปจับผิว แต่ก็แปลก...เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ ก็เห็นอากงใช้น้ำชาล้างตัว แกใช้ผ้าประเจียด ก็คือ ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำชาเช็ดตัว ไม่เห็นจะอาบน้ำสักเท่าไรเลย ใบชามีแทนนินเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นว่าแกจะดำ เป็นคนแก่ที่ผิวผ่องเลย แต่ทำไมแทนนินของมังคุดถึงได้จับผิวก็ไม่รู้ ?

เห็นคนแก่ ๆ สมัยก่อนเขาใช้อย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยที่จะอาบน้ำอาบท่าหรอก ไม่รู้ว่าเมืองจีนหาน้ำยากหรืออย่างไร อย่างดีก็แค่ล้างหน้าเช็ดตัวเท่านั้นเอง ถ้าอาบน้ำก็ต้องน้ำอุ่นค่อนข้างร้อนเลย ฉะนั้น...ต้องลองล้างหน้าด้วยชาดูบ้าง ถ้าไปเจอชาอู่หลงก้านอ่อนขีดละ ๒๔๐ บาท เอามาล้างหน้านี่ก็คงไม่ไหวหรอก"

เถรี
14-06-2016, 19:17
ถาม : ขอวิธีฝึกเจโตปริยญาณ เพื่ออ่านใจคนครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจเขา ดูของเราเอาไว้ การไปรู้ใจคนอื่นประโยชน์มีน้อย ต้องดูใจของเราว่ามีความดีความชั่วอยู่หรือเปล่า ถ้ามีความชั่วอยู่ก็ไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าไม่มีความดีก็ทำให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ถ้าเราตามกำลังใจตัวเองทัน ก็จะรู้ใจคนอื่นที่อยู่ในระดับเท่ากันได้ ฉะนั้น...ของพวกนี้เป็นของแถม ถ้าหากว่าทำได้ ถึงเวลาก็จะแถมมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึก ซื้อรถไม่มีล้อแล้วจะไปขับได้อย่างไร ? ซื้อรถเขาก็ต้องแถมล้อมาด้วย

เถรี
14-06-2016, 19:20
มีโยมพาลูกมาขอพรให้สอบได้ พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการสอบ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว สอบเสร็จอาตมาก็รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ ไม่เคยต้องลุ้นเลย มีอยู่อย่างเดียวก็คือลุ้นว่าจะได้ที่ ๑ หรือเปล่า ? ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราต้องลุ้นกันขนาดนั้น

ถ้าตราบใดที่เรายังไปตั้งความหวังอยู่กับสิ่งภายนอก เท่ากับขาดความมั่นใจในตัวเอง คนขาดความมั่นใจในตัวเอง ไปทำเรื่องอะไรก็ไม่มีความมั่นใจหรอก ถ้าหากว่าเราทำโดยไม่มีความมั่นใจ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยาก เพราะต้องรอลุ้นไปทุกเรื่อง พยายามไปปรับเปลี่ยนตัวเองและวิธีการใหม่

ช่วงอายุวัยรุ่นเป็นช่วงที่เขาสนใจเพศตรงข้ามกัน ถ้าเรามาเร่งตัวเองตอนนี้ก็แซงเพื่อนไปเองแหละ”

เถรี
15-06-2016, 15:23
พระอาจารย์กล่าวกับแม่ของเด็กว่า "โตขึ้นต้องสอนลูกให้เข้าสังคมบ้างนะ โหวงเฮ้งเขาซื่อเกิน จะโดนเพื่อนหลอกได้ง่าย

คนตรงบางทีก็เท่ากับโง่ ตรงไปตรงมาเลี้ยวไม่เป็น เป็นคนซื่อคนตรง เป็นคนดี แต่ว่าในโลกยุคนี้อยู่ไม่ได้ โลกยุคคนกินคนอยู่ไม่ได้หรอก ขนาดเรื่องในวัดธรรมกายจัดการง่าย ๆ เขายังไม่จัดการเลย เขาพยายามทำให้เรื่องใหญ่เข้าไว้เพื่อตั้งใจทำลายพระพุทธศาสนา"

เถรี
15-06-2016, 15:33
"ตามที่ฟังพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านบอกว่าเรื่องแบบนี้เขาไม่รับทราบข้อหา เราก็ดำเนินคดีได้ แล้วทำไมไม่ทำ ? ขณะเดียวกันธรรมกายก็บอกว่าเขาไม่ได้ไปไหน ถ้าจะแจ้งข้อหา เขาอยู่ในวัดก็เข้าไปแจ้งก็จบ แต่เขาไม่ทำ กลับทำเรื่องให้ใหญ่

ถ้าเราดูสถานการณ์ปัจจุบันก็คือในหลวงของเราแย่แล้ว ประชาชนขาดที่พึ่ง เหลือแต่สถาบันศาสนา ถ้าเขากระทุ้งพังอีกหนึ่งสถาบัน ก็เป็นอันว่าประเทศเราล่มสลายแน่นอน ก็เลยพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นแผนการที่โหดมาก

เรื่องของธรรมกายทำผิดก็คือผิด ก็ว่ากันไปตามผิดตามถูก แต่กลายเป็นดึงไปโยงเรื่องโน้น ดึงไปโยงเรื่องนี้ โดยเฉพาะดึงไปโยงกับหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ในเรื่องการปกครองคณะสงฆ์ ถ้าเรื่องเกิดขึ้นในวัดต้องแจ้งเจ้าคณะตำบล ถ้าเจ้าคณะตำบลเห็นว่าเหลือบ่ากว่าแรงก็แจ้งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาคไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะใหญ่ เป็นไปตามลำดับ ถ้าโดดข้ามลำดับแล้วเขาจะทำงานกันอย่างไร ? แต่เขาโดดไปทีเดียวที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเลย

ถามว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำจะไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย เพราะว่าผิดขั้นตอน ท่านที่รู้ขั้นตอนอยู่ ท่านก็ไม่ทำอยู่แล้ว ก็ไปโยงเรื่องว่าท่านปัดเรื่องเพราะเป็นพวกเดียวกัน ถ้าหากจะโยงเรื่องว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่ดูแลพระภิกษุใหม่อยู่ ๕ ปี พ้นจาก ๕ ปี ได้นิสัยมุตตกะ ไม่อยู่ในการปกครองของพระอุปัชฌาย์อาจารย์แล้ว แล้วท่านธัมมชโยไม่ใช่แค่ ๕ ปี แต่ ๕๐ ปีแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่เกรงใจว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ยังอยู่ ท่านจะไม่เห็นหัวเลยก็ยังไหว คราวนี้คนที่ทำไม่ใช่ไม่รู้เรื่อง ถึงได้บอกว่าเขาแกล้งโง่ พยายามที่จะโยงเรื่องเพื่อก่อประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุด โดยที่ไม่ได้สนใจว่าพระพุทธศาสนาจะบอบช้ำขนาดไหน คนประเภทนี้ต้องบอกว่าชั่วถึงขนาด...!"

เถรี
15-06-2016, 15:35
"เท่าที่ผ่านมาเขาก็ส่งทหารเป็นหมวดไปคุมวัดท่าขนุนอยู่แล้ว พูดซ้ำแบบนี้อีกเดี๋ยวส่งมาอีกเป็นกองร้อย แต่เขาก็น่ารักนะ เขาบอกว่า "สารภาพตามตรงเลยนะครับ ผมมาจาก คสช." อาตมาเลยคิดอยู่ในใจว่า "ถ้าเอ็งไม่สารภาพ ข้าจะให้ไปนอนกลางป่า ดีที่สารภาพก็เลยมีศาลาให้นอน" สรุปแล้วเขาต้องอยู่อย่างน้อย ๒ ปี"

ถาม : เป็นบุญของเขานะคะ ?
ตอบ : อาจจะเป็นกรรมของเขาก็ได้ ...(หัวเราะ)...

เถรี
15-06-2016, 15:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดของอาตมาเล็กกว่าวัดท่าซุงหลายเท่า แต่ละเดือนเฉพาะเรื่องการส่งพระเรียน อาตมาจ่ายแสนกว่าบาท เดือนไหนค่าเทอมออกก็ประมาณ ๘ แสนกว่าบาท นี่แค่เรื่องเรียนเรื่องเดียวนะ เรื่องการก่อสร้างอีก เดือนหนึ่งหลายล้าน ฉะนั้น...ถ้าโยมสงสัยว่าเงินไปไหนหมด ก็ควรที่จะต้องสงสัยว่าเงินมาจากไหนมากกว่า"

เถรี
15-06-2016, 15:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของสังฆทาน หลวงพ่อท่านบอกว่า บางทีคนเขาหอบหิ้วจากบ้านมาลำบาก ด้วยจำนวนเงินเดียวกันไม่สามารถที่จะซื้อของแบบนั้นมาได้ แต่หลายคนก็อยากที่จะถวายให้เต็มกำลังใจของตัวเอง อาตมาก็เลยจัดเตรียมไว้ให้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้โยม"

เถรี
15-06-2016, 15:56
ถาม : ปฏิบัติไม่ได้เลยค่ะ ไม่รู้จะแก้อย่างไร ?
ตอบ : ปฏิบัติเหมือนเดิม เพียงแต่อย่าอยาก เราไปทำเพราะอยากที่จะให้เหมือนเดิม ตัวอยากเป็นตัวฟุ้งซ่าน

ถาม : ก็พยายามค่ะ ?
ตอบ : อยู่แค่นี้ อยู่แค่ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นเลย อยู่กับลมหายใจแค่นี้ คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรให้ดึงกลับมาตรงนี้ ตอนนี้กำลังเรายังน้อยกว่า เพราะว่าเราไปปล่อยทิ้งไปเสียนาน คนที่ไหลตามน้ำไปไกล กว่าจะว่ายน้ำกลับมาให้ได้เท่าเดิมก็ยาก ฉะนั้น...ตอนนี้อยู่แค่นี้เท่านั้น อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นเลย คิดเรื่องอื่นเมื่อไรให้รีบดึงกลับมาตรงนี้ พอกำลังมีมากขึ้น ต่อไปเราจะทำทุกอย่างได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นเราจะได้บทเรียนว่าอย่าไปทิ้งอีก

เถรี
15-06-2016, 16:05
ถาม : นั่งปฏิบัติแล้วสะอึก เป็นชั่วโมงเลยค่ะ ?
ตอบ : แสดงว่าถ้าโยมตั้งใจทำแล้วจะได้ผลดี เขาก็เลยมาขวาง โบราณเรียกว่าขันธมาร คือร่างกายมาขวาง เราต้องตัดใจให้ได้ ตอนที่เราสมาทานกรรมฐานว่าเรามอบกายถวายชีวิต ถ้าแค่สะอึกนิดหน่อยแล้วเราไปกลัวตาย เลิกปฏิบัติ หรือไปหงุดหงิด ก็แปลว่าไม่ได้มอบกายถวายชีวิตจริง ๆ

ถาม : แก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปแก้ ให้ตั้งใจว่าตายเป็นตาย...ฉันจะปฏิบัติ เราจะทำของเราไปเรื่อย ๆ อยากสะอึกก็สะอึกไป ถ้าเขาเจอคนประเภทนี้เดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง เขาตั้งใจทำให้เราหวั่นไหว จิตใจว้าวุ่นไม่เป็นอันปฏิบัติ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติได้ผลเร็วจะโดนขวางทุกคน

ถาม : ก่อนนี้ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : ก่อนนี้เรายังไม่เอาจริง ตอนนี้พอจะเอาจริงเขาก็ต้องขวาง

เถรี
15-06-2016, 16:58
พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปปากีสถานว่า "บ้านเขาแห้งแล้งสุด ๆ บ้านเขามีให้กิน ๓ มื้อก็ดีตายแล้ว นั่งรถคันไหนก็มีตำรวจหรือทหารหน้าตาเหี้ยม ๆ ถืออาวุธสงครามมาคุม ยามโรงแรมยังเล่นอาร์ก้าเลย

วันนั้นเหลือเชื่อจริง ๆ นั่งรถ ๑๔ ชั่วโมง แล้วหินถล่ม หิมะถล่มตลอดทาง ตอนจะเข้าอุโมงค์ แล้วหินถล่มตึง ๆ ๆ ลงมา ยังดีที่เราตัดสินใจวิ่งฝ่าไป ถ้ารอให้ลงมาจนหมดก่อนคงจะข้ามได้ยาก

ไปที่นั่นแล้วติดใจ อาจเป็นเพราะบ้านเขามัวแต่รบราฆ่าฟันกันอยู่ ธรรมชาติยังสวยมาก ๆ ต้องบอกว่าอยู่บ้านเขาหายใจโล่งปอด กลับบ้านเราหายใจไม่ออกไป ๒ วัน อากาศบ้านเขาเมืองเขาดีจริง ๆ

ชุดของเราเป็นชุดมหัศจรรย์ ไปที่ไหนก็ไปได้หมด ลองนึกดูว่ารถวิ่งขนาดนั้นไม่เสียเลย รถคันอื่นไปเสียอยู่เรื่อย เราวิ่งไป ๘ วัน ๙ วัน แต่ละวันวิ่งทั้งวัน รถไม่เสียเลย ต้องบอกว่าอะไรจะสงเคราะห์กันปานนั้น โดยเฉพาะหิมะหน้าร้อน ประทับใจสุด ๆ บางทีกลับมาเขียนว่ามีท่านนั้นสงเคราะห์ ท่านนี้สงเคราะห์ พวกเราไปดันไปกวนท่านอีก เล่นเอาท่านมาต่อว่า ...(หัวเราะ)..."

เถรี
15-06-2016, 21:18
"เสียดายรูปที่เมืองชีลาส ถ่ายไปตลอดทาง ๘๐๐ กว่ารูป เผลอไปลบทิ้ง กู้คืนมาได้แค่ ๔๐๐ กว่ารูป หายไปเกินครึ่ง ชีลาสเป็นเมืองที่พวกแขกซุนหนี่ ค่อนข้างจะเข้มงวดและไม่ชอบคนแปลกหน้า เขาห้ามถ่ายรูป อาตมาก็แอบถ่ายไปเรื่อย แล้วเขาก็มักจะมีการประท้วงปิดถนน"

ถาม : ไปปากีสถานรอดมาได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกันว่าเรารอดมาได้อย่างไร ยังบอกกับทางคณะทัวร์ว่าใครอยากดูหิมะ ต้องจ้างอาจารย์เล็กนั่งไปด้วย อาตมาถามว่าอยากเห็นอะไร ในคณะบอกอยากเห็นหิมะหน้าร้อน ได้....จัดให้ พวกยังพูดเล่น ๆ ว่าจะเอาน้ำหวานไปด้วย...ดันลืม ไม่อย่างนั้นจะได้กินน้ำแข็งไสกัน

เถรี
15-06-2016, 21:22
ปากีสถานเป็นประเทศเดียวในโลก ที่เปิดให้เรียนวิชานิวเคลียร์ฟิสิกส์ในระดับปริญญาเอก สอนให้ผลิตระเบิดนิวเคลียร์..! เขาบอกว่าเทคนิคพวกนี้ไม่ใช่ของอเมริกา แล้วมาเที่ยวห้ามชาวบ้าน เขาหมั่นไส้เลยเปิดสอนเป็นหลักสูตรทั่วไป ใครมีปัญญาก็สมัครไปเรียน

ถาม : ที่นั่นเป็นอิสลามหรือครับ ?
ตอบ : ๒๕๐ กว่าล้านคนอิสลามล้วน ๆ แต่มีซุนหนี่ มีชีอะห์ มีอิสไมลี่ย์ ขนาดอยู่เมืองหลวงเขาแท้ ๆ เจ้าหน้าที่สนามบินมาถามอาตมาว่า ท่านแต่งตัวแบบนี้ถือศาสนาอะไร ? เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งพระ คิดดูว่าขนาดปากทางของประเทศยังไม่รู้จักพระ แล้วที่อื่น ๆ ในประเทศเขาจะรู้จักพระได้อย่างไร ?

เวลาไปเดินในเมืองหลวงเก่าราวัลปินดี มีแต่คนขอถ่ายเซลฟี่ด้วยทุก ๆ นาที เขาสงสัยก็มาถาม บางคนก็พอรู้ว่าเป็นพระ แต่ก็บอกว่าเพิ่งเคยเห็น ที่แน่ ๆ อาตมาก็เกือบจะโดนต้อนเข้าไปห้องผู้หญิงเพื่อค้นตัวแล้ว คนที่นั่นเขาไว้หนวดไว้เคราทุกคน ส่วนอาตมาหน้าเกลี้ยง ๆ แถมจีวรพระยังเหมือนกระโปรงด้วย เขาก็นึกว่าเป็นผู้หญิง

อาตมาบอกแล้วว่าที่ไหนไม่อันตรายก็ไม่อยากไป ไม่สนุก ถ้าอันตรายเยอะ ๆ ถึงจะสนุก..!

เถรี
16-06-2016, 22:31
พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ที่ออกไปเป็นเจ้าอาวาสว่า "กรรมฐานนั้นทิ้งไม่ได้ แต่คุณดันบ้า ไปทุ่มทางเดียว ทุ่มข้างนอก แต่ทิ้งข้างในก็เจ๊งสิครับ โบราณท่านบอกว่า บวชทั้งนอกบวชทั้งในนั้นดียิ่ง บวชแต่ในนอกทิ้งท่านไม่ห้าม บวชแต่นอกในงดก็หมดงาม ไม่บวชเลยเลวทรามอย่างแน่นอน

การสร้างศาลา สร้างวิหาร เป็นกุศล แต่เป็นแค่กามาวจรกุศล ไปเกินกว่านั้นไม่ได้ คุณเคยอ่านนอกเหตุเหนือผลของหลวงปู่ดูลย์หรือเปล่า ? ที่โยมบอกว่า หลวงปู่สร้างโบสถ์สร้างศาลาสร้างวิหาร ได้บุญเยอะเหลือเกิน หลวงปู่ท่านบอกว่า ถ้าจะเอาบุญ ใครจะมาเอาบุญอย่างนี้ ? คนที่ไม่รู้จะเข้าใจท่านผิดไปเลย ก็คือบุญอยู่ในระดับทานเท่านั้น ต่อให้เป็นวิหารทานก็แค่ทาน ยังไม่ถึงศีลเลย อย่าไปพูดถึงภาวนา

ฉะนั้น...ในเรื่องของการก่อสร้าง พวกเราทำแค่พอเป็นเหตุเป็นปัจจัยสร้างความเจริญก้าวหน้า เพื่อไม่ให้คนตราหน้าว่าเป็นพระแล้วอยู่เฉย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุ่มเทไปทั้งชีวิต จนกระทั่งลืมการปฏิบัติของตัวเอง"

ถาม : แต่หลวงพ่อสร้างเยอะแยะเลย ?
ตอบ : นั่นทำเพื่อความเจริญทางศาสนา ทำเพื่อคนอื่นทั้งนั้น ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย

เถรี
20-06-2016, 18:44
ถาม : ผ้าม่านฉากหลังพระสมเด็จองค์ปฐมเป็นสีแดง สวยเด่นมาก ?
ตอบ : สีทองจะต้องส่งด้วยสีแดง ในขณะเดียวกันสีแดงก็จะขับสีทอง โบราณเขาถึงได้บอกว่าปิดทองจะต้องร่องชาด ชาดคือสีแดง เพราะสองสีนี้ส่งกันเองในตัว สีแดงขับเน้นสีทอง สีทองก็ช่วยส่งสีแดง

เถรี
20-06-2016, 20:05
พระอาจารย์พูดถึงวัตถุมงคลของหลวงปู่ทองทิพย์ในกระทู้สร้างพระทองคำ "ของแพงแต่ถ้ามีคนรู้จักเขาก็กวาดเหี้ยนเลย คนที่เขารู้จักของ เขารู้ว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่ทองทิพย์ในท้องตลาดราคาแพงมาก ไปลงไว้ในเว็บองค์ละหมื่นบาท คนที่ไม่รู้จักก็นึกว่าแพง นั่งมองกันอยู่ พอคนที่รู้จักมาถึงก็กวาดเรียบ"

เถรี
20-06-2016, 21:41
ถาม : ตอนนี้มีสภาลูกหนี้ จะมีชาวไร่ชาวนาที่เดือดร้อนจากการมีหนี้ จะทำการบวงสรวงพระสยามเทวาธิราชในวันที่ ๙ ที่จะถึง จะเข้าไปบวงสรวงในวัดพระแก้ว จะขอให้ท่านช่วยบ้าง จะมีอะไรเป็นอุปสรรคไหมคะ ?
ตอบ : ต้องขออนุญาตเขาก่อนกระมัง ? เพราะถ้าไม่ขออนุญาตอาจเป็นปัญหา สถานที่สำคัญขนาดนั้นอยู่ ๆ เราจะได้ตั้งโน่นตั้งนี่ได้อย่างไร ต้องรีบติดต่อขออนุญาตก่อน

ถาม : เข้าไปติดต่อจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากเขาอนุญาตก็ได้

เถรี
20-06-2016, 22:59
ถาม : มีพระปฏิบัติรูปหนึ่งทักว่าของหนูจะหายค่ะ หนูควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปล่อยนก นกอะไรก็ได้สักตัวสองตัว จะแก้กรรมเรื่องของหายได้

เถรี
21-06-2016, 15:31
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทำไมความรู้สึกนี้ถึงเกิดขึ้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เกิดขึ้นอย่างไร นึกออกไหม ?

ถาม : ไม่แน่ใจค่ะ เกิดจากการทำสมาธิ หรือเกิดจากความคิดเรา ?
ตอบ : ถ้าเกิดจากการทำสมาธิ แสดงว่าเราวางกำลังใจผิด บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน เหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ฉะนั้น...ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อถึงเวลาเราจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ไม่ใช่ไม่อยากทำอะไรเลย หากแต่เวลาเราเหลือน้อยจึงต้องทำทุกอย่างอย่างเต็มสติกำลังของเรา อยู่ก็ให้คนเขาเกรงใจ ไปก็ให้คนเขาคิดถึง

ถาม : คนที่มีความเครียด สามารถทำจิตใจ....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เกี่ยวกัน ความเครียดเป็นสภาพของร่างกาย การปฏิบัติเป็นสภาพของจิตใจ คนละส่วนกัน ถ้าหากจิตใจผ่อนคลาย ร่างกายก็หายเครียดไปเอง

ถาม : เวลาที่เกิดความเศร้า...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรก็ตาม ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา ไม่อย่างนั้นแล้วก็มีแต่พาให้ฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ยินดีอยากมีอยากได้ ก็จะไปห่วงหาอาลัย หรือไม่ก็โกรธเกลียดไปเลย

เถรี
21-06-2016, 19:10
ถาม : ตอนสวดพระคาถาเงินล้าน พอสมาธิสูงแล้วจะสวดพระคาถาไม่ได้ครับ ?
ตอบ : ภาวนาไปตามปกติ แล้วค่อยเข้าสมาธิทีหลัง ถ้าเข้าสมาธิเต็มที่สวดได้ก็เก่งแล้ว ให้เราภาวนาไปตามปกติ พอจบตามที่ต้องการแล้วค่อยเข้าสมาธิระดับสูงต่อไป

เถรี
21-06-2016, 19:54
ถาม : ขออนุญาตนั่งขัดสมาธิถามได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าขัดสมาธิก็ไม่ต้องถาม ขัดสมาธิคุยกับพระเขาถือว่าปรามาสพระรัตนตรัย

เถรี
21-06-2016, 20:01
ถาม : ในเฟซบุ๊กมีคำสอนที่พระอาจารย์โพสต์ ทีนี้...?
ตอบ : โปรดเข้าใจว่าอาตมาไม่มีเฟสบุ๊ก ไม่มีไลน์ ฉะนั้น...ใครใช้เฟสบุ๊กชื่ออาตมาก็ให้รู้ว่าโกหกตั้งแต่แรกแล้ว ในชีวิตนี้อาตมามีแค่โทรศัพท์เก่า ๆ ราคา ๗๙๐ บาท อยู่ ๑ เครื่อง แล้วอีเมล์ที่เอาไว้ให้ลูกศิษย์ส่งการบ้านเท่านั้น

เถรี
21-06-2016, 20:19
ถาม : ผมขออนุญาตถามเกี่ยวกับเรื่องการภาวนาครับ ?
ตอบ : ชอบอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นไปได้ก็คือ ตลอด ๒๔ ชั่วโมงอย่าทิ้งการภาวนา แต่ส่วนใหญ่พวกเราทำครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงแล้วก็ทิ้ง เหลืออีก ๒๐ กว่าชั่วโมง ก็เลยไม่พอรับประทานสักที

ถาม : ระหว่างกรรมฐาน ๔๐ กองกับมโนมยิทธิ ผมควรจะฝึกอะไร ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก เพราะสร้างสติและทำให้เกิดกำลังในการต่อต้านกิเลส สำหรับมโนมยิทธิ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง จะหลงทางได้ง่ายที่สุด

ให้เข้าใจไว้ว่ามโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นกรรมฐานที่ช่วยให้เราตัดกิเลสได้ง่ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ยึดติดได้ง่ายที่สุด หลงผิดได้ง่ายที่สุด

เป้าหมายที่แท้จริงของมโนมยิทธิ คือ รู้พระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง จดจำเอาอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสข้างบน แล้วมาปฏิบัติต่อข้างล่าง พอซักซ้อมจดจำอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสไว้บ่อย ๆ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ท้ายสุดก็จะหมดสภาพไปเอง แต่เท่าที่เจอมาร้อยละ ๙๙.๙๙ ก็คือ พอรู้แล้วแทนที่จะละ กลับรู้แล้วไปยึด คนโน้นเป็นอย่างโน้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะละเพื่อการหลุดพ้นก็กลายเป็นเกาะ จึงทำให้ไปไหนไม่ได้ แล้วอาจจะเพี้ยนไปเรื่อย เพราะถึงเวลาโดนทดสอบ ตัวเองเกิดความมั่นใจว่าในเมื่อเราเห็นก็ต้องใช่ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่มาทดสอบนั้นอาจจะไม่ใช่ก็ได้

ดังนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง มโนมยิทธิจะเสี่ยงมากกับการหลงทาง แต่ถ้ามีความเข้าใจอย่างแท้จริง มโนมยิทธิก็ช่วยให้หมดกิเลสได้ง่ายที่สุด

ถาม : ที่อาจารย์บอกว่าทดสอบ นี่หมายถึงใครทดสอบ ?
ตอบ : ใครก็ช่างหัวมันเถอะ...! เขาทดสอบคุณกระจายเลย ทุกเรื่องที่ผ่านมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เขาทดสอบเราทั้งนั้น แล้วเราก็โง่พอที่ไปยึดติดทั้งนั้นเหมือนกัน..!

เถรี
21-06-2016, 20:29
ถาม : เคยอ่านในเฟสบุ๊กว่าถ้าจะเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ต้องได้พระกรรมฐาน ๔๐ กอง ?
ตอบ : ใครเป็นคนบอกวะ ?

ถาม : อยู่ในเฟซบุ๊กครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่อาตมาแน่ กรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็พอที่จะเป็นพระอรหันต์เข้าพระนิพพานไปแล้ว ตะเกียกตะกายทำ ๔๐ กองไปทำซากอะไร...! ไปนึกถึงพวกมัคคทายกโง่ ๆ ของวัดบางนมโค แนะนำกับญาติโยมว่าจะถวายสังฆทาน ต้องมีปิ่นโตกี่เถา ต้องมีกับข้าวกี่อย่าง หลวงพ่อปานด่าจมดินเลยว่า "โคตรแม่มึงคงจะหาคนถวายได้สักกี่คนหรอก..!" พอกับพวกลูกศิษย์โง่ ๆ ไปเขียนว่า ถ้าเป็นลูกศิษย์สายวัดท่าขนุนต้องได้กรรมฐาน ๔๐ ควายยังฉลาดกว่าเยอะเลย...! กรรมฐานกองเดียวก็ไปพระนิพพานได้แล้ว ไปทำอะไรเยอะแยะตั้ง ๔๐ กอง ถ้าไม่ใช่หน้าที่ต้องไปสอนเขา

เถรี
21-06-2016, 20:33
ถาม : ผมเคยอ่านเจอว่า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าครอบตัว จะป้องกันอุบัติเหตุหรือรังสีได้ ?
ตอบ : ควรจะภาวนานึกถึงภาพพระครอบตัวเราไว้เป็นปกติ เพราะว่าชีวิตประจำวันของเรา ไม่รู้ว่าวันไหนจะเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ถ้าหากว่าเราทำจนเป็นปกติ มอบกายถวายชีวิตให้กับพระท่าน อันตรายอื่น ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้

ถาม : แล้วกรรมเก่าละครับ ?
ตอบ : บุญฤทธิ์แพ้กรรมวิบากอยู่เรื่องเดียว ถ้าหากวิบากกรรมเข้ามาก็ช่วยไม่ได้ ขนาดพระโมคคัลลานะสุดยอดอภิญญายังไม่รอดเลย แล้วคุณจะเก่งกว่าไหม ?

เถรี
21-06-2016, 20:34
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ยกถังสังฆทานมาถวายว่า "เอาพระพุทธรูปมาด้วย ถวายสังฆทานอย่าขาดพระ เพราะถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด"

เถรี
21-06-2016, 20:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี หรือที่กำลังเกิดกับอาตมาในปัจจุบันก็ดี จะมีลูกศิษย์ประเภทหนึ่งที่แสนรู้ ถึงเวลาก็จะเอาคำพูดของท่าน หรือคำพูดอาตมาไปขยายความจนเกินจริง

เรื่องที่พระท่านพูด จะพอเหมาะพอสมกับเหตุการณ์ตอนนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่รู้ให้รู้ด้วยใจ อย่าเสือกทะลึ่งไปอวดดีว่ากูรู้มากกว่าคนอื่นเขา แล้วไปขยายความ เพราะบางเรื่องจะพาให้คนอื่นเดือดร้อนอีกมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อวดดีกันทั้งนั้น คิดว่ากูรู้และเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด แล้วพยายามที่จะไปขยายความ นอกจากจะเกิดโทษแก่ตัวเองแล้ว อาจจะเกิดโทษแก่ผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ศรัทธา แทนที่จะดึงเขาให้ศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา กลายเป็นผลักเขาให้ห่างไกลจนหมดโอกาสไปเลยก็มี เพราะไปต่อปีกต่อหางจนกลายเป็นเรื่องวิลิศมาหราที่คนทั่วไปยอมรับไม่ได้

ฉะนั้น...ใครที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ ขอให้เลิกความประพฤตินี้เสีย ถ้าเป็นไปได้ก็กราบขอขมาพระรัตนตรัยให้หนัก ๆ เพราะสิ่งท่านทำก่อให้เกิดโทษทั้งแก่ตัวเองและคนอื่น

เรื่องพวกนี้จริง ๆ ถ้าเป็นคนมีปัญญารู้จักยั้งคิด ก็จะไม่ไปต่อเติมเสริมแต่งในสิ่งที่ครูบาอาจารย์กล่าวเอาไว้ให้มากเกินเหตุ อย่างที่เมื่อครู่บอกว่า ถ้าหากเป็นลูกศิษย์ของอาตมาจะต้องได้กรรมฐาน ๔๐ ถามว่าโคตรแม่...เอาความคิดนี้มาจากไหน...! ถ้าเราไม่ได้มีหน้าที่ไปสอนคนอื่นเขา ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ครบ รู้จริงเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะใช้งานแล้ว หวังว่าคงไม่ต้องตักเตือนกันอีก เพราะถึงเวลาอาตมาก็อุเบกขา อยากจะลงก็ปล่อยให้ลงไป...!

สิ่งที่พระพูด ส่วนใหญ่แล้ว คือ เหมาะสมกับเวลาและสถานที่นั้น ๆ ตลอดจนตัวบุคคล บางทีสิ่งที่ท่านพูดเหมาะกับคนหนึ่ง แต่ก็อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง เหมือนกับให้อาหารรสที่ถูกปากของเรา เรากินแล้วชอบใจ แต่ถ้าเราไปเที่ยวยัดเยียดให้คนอื่น เขาอาจจะไม่กินก็ได้ เราชอบแกงเผ็ด ชอบผัดกระเพราไข่ดาว แล้วคนอื่นชอบต้มจืด ไปยัดเยียดให้เขากินอาหารแบบเรา ลองคิดดูว่าเขาจะกินไหม ?"

เถรี
21-06-2016, 20:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมเจ้าอาวาสใหม่ ๔๕ วันที่ผ่านมา ก็ไม่ทราบว่าคนอื่นจะได้ประโยชน์เท่าไร แต่พระครูหน่อย เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่า อดีตเลขานุการของอาตมา ตอนนี้ต้องบอกว่ากำลังรื่นเริงบันเทิงใจมาก เพราะกรรมฐานที่สาบสูญไปในตอนที่กำลังก่อสร้าง ตอนนี้ได้คืนมาหมด มีความเข้าใจอะไรดีขึ้นมาก แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็อาจจะหายอีก..!

เรื่องของการปฏิบัติ อาตมาถึงย้ำว่าต้องทำให้ต่อเนื่องตามกัน ไม่ใช่ไปเว้นช่วงให้กิเลสกินเราได้"

เถรี
22-06-2016, 21:19
ถาม : ปกติเราใช้บุญฤทธิ์ ใช้บุญอธิษฐานเอา ก็ได้อยู่แล้ว แล้วที่ไปเรียนวิชาต่าง ๆ กับครูบาอาจารย์ เพื่ออะไรคะ เป็นการฝึกกำลังใจหรือเปล่า ?
ตอบ : มีบารมีของครูบาอาจารย์ท่านช่วยสงเคราะห์ด้วย

ถาม : แต่อย่างไร ก็ต้องใช้บุญด้วยอยู่ดี ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อันดับแรกเลยก็คือสมาธิ อย่างอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น

เถรี
22-06-2016, 21:34
พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปปากีสถานว่า "งวดนี้เราไปต้องเรียกว่าไปฝืนธรรมชาติเขาหลายอย่าง โดยเฉพาะหิมะหน้าร้อน เพื่อประสบการณ์เมื่ออยากเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็เลยต้องรับกรรมไปนิด ๆ หน่อย ๆ

ปกติหน้าร้อนจะไปเอาหิมะที่ไหนมา ป้าจี๋เป็นคนเรียกร้องเองว่าจะดูหิมะ ...(หัวเราะ)... อาตมาได้ยินเสียงอยู่คนเดียว

อาตมาเองได้แผลมาเพราะว่าไปฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง เจ้าของที่เขาก็บอกแล้วว่าไม่เหมาะไม่ควร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน บรรดาเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นจะหาเทวดานางฟ้าก็ยาก แล้วที่น่าสงสารก็คือเวลาอุทิศส่วนกุศล ส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้ามา ไม่กล้ารับ ซ้ำยังแตกตื่นกันว่าทำไมตรงนี้อยู่ ๆ สว่างมาก แต่ตรงที่ธารน้ำแข็งนั่นเจ้าที่เป็นพญานาค คราวนี้เมื่อไปฉี่ ถ้าไม่ยอมเจ็บตัวสักหน่อย เขากระดิกตัวหน่อยเดียวหินถล่มลงมามีหวังได้โดนฝังอยู่ตรงนั้นหมด ก็เลยต้องยอมเจ็บตัว"

ถาม : เขาห้ามแล้วหรือครับ ?
ตอบ : เขาบอกแล้ว แต่อาตมาอั้นไม่อยู่เอง เพราะหนาวมาก ในเมื่อเขาบอกแล้วก็เลยต้องยอมเจ็บตัวหน่อย หัวเข่าถลอกเลย เดิน ๆ อยู่เหยียบชายจีวรตัวเองล้มเฉยเลย ล้มหนังถลอกไปหน่อย คืนเขาไป ค่าฉี่ไม่แพง

ถาม : พญานาคไม่เป็นสัมมาทิฐิหรือครับ ?
ตอบ : ถึงเป็นตูก็ผิด ...(หัวเราะ)... แหม...จะไปสัมมาทิฐิมิจฉาทิฐิอะไร เราเองดันไม่มีมารยาท ไปที่เขาดันไปทำสกปรก แต่ตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว เพราะอั้นไม่ไหวแล้ว

เถรี
23-06-2016, 19:47
ไปปากีสถานนี่อาตมาโดนขอถ่ายรูปประมาณนาทีละหน คนนี้เพิ่งจะถ่ายเสร็จคนโน้นก็ขอถ่ายต่อไปเรื่อย เขาไม่เคยเห็นพระกันจริง ๆ อนาถมาก ๆ ขนาดอิสลามาบัดที่เป็นเมืองหลวง เจ้าหน้าที่สนามบินยังถามว่าแต่งตัวลักษณะนี้นับถือศาสนาอะไร ?

คนของเขาพอได้ยินว่าเราไปเมืองคุนจีรับมา ตกใจกันทุกคนเลย เพราะนอกจากหนทางจะไกลประมาณเชียงราย-สุไหงโกลกแล้ว ยังมีหินถล่ม หิมะถล่มไปตลอดทาง เขาได้ยินแล้วตกใจว่าทำไมบ้าไปกันได้ ?

แต่ที่น่าประทับใจก็คือ เรื่องความเป็นมิตรแล้วก็น้ำใจของเขา หินถล่มลงมาขวางหน้ารถเรา มีคนวิ่งมาช่วยยกออกให้ ไม่ต้องขอให้ช่วยเลย เขาเองเอารถเก๋งหลบไว้ในอุโมงค์ คืออุโมงค์ทำไว้กันหินถล่ม รถของเราวิ่งไม่ทันถึงอุโมงค์หินถล่มครืน ๆ ลงมาก่อน ถ้าหากว่าลงไปยกหินออกแล้วเข้าอุโมงค์ไม่ทันก็อาจจะโดนอีก มีลูกหลงลงตรงป้ามอยพอดีลูกหนึ่ง ประมาณกำปั้น เสียงดังตึงเลย แต่บางก้อนที่ข้างถนนลงมาใหญ่กว่าโต๊ะอีก ถ้าขนาดนั้นโดนรถก็เละ...!

เถรี
23-06-2016, 20:15
ต้องบอกว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจมาก ๆ เราไปดูว่าหน้าตาเขาโหดเหี้ยมดุดัน แต่ความจริงเป็นธรรมเนียมของเขาที่ต้องไว้หนวดไว้เครา ถามคาชาน (มัคคุเทศก์) ว่า อิสลามทุกคนต้องไว้หนวดหรือเปล่า ? เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกันหรอก ในข้อบัญญัติของศาสนาไม่มี แต่ที่ไว้กันนั่นพวกเขาทำตามนบีมูฮัมหมัด มูฮัมหมัดมัวแต่รบราฆ่าฟันทำสงครามอยู่ แม้กระทั่งหนวดเคราก็ไม่มีเวลาโกน พวกนี้เห็นเท่ก็เลยไว้ตาม มูฮัมหมัดถนัดมือขวา เขาก็ใช้มือขวาเป็นมือมงคล เขาก็ทำตามไปเรื่อย

บางอย่างที่เกินขึ้นมา เขายืนยันว่าไม่มีบัญญัติอยู่ในศาสนา แต่เอาแน่กับคาชานไม่ได้หรอก ถามทีไรก็ขึ้นต้นด้วย “I’m not sure.” ไม่เคยมั่นใจสักอย่างแล้วเราจะได้ข้อมูลที่แท้จริงไหมนี่ ? มีได้แน่ ๆ อยู่อย่างเดียวก็คือ “นาน” “ปาจาตี” กับ “โรตี” ต่างกันอย่างไร ? อันนี้คาชานบอกเสร็จแล้วว่า “I’m sure.” ทำกินมาทั้งชีวิตถ้าไม่ “ชัวร์” ก็สมควรตาย...!

ถาม : ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : จาปาตีกับโรตีต่างกันที่ทอดในกระทะกับทอดนอกกระทะ ส่วนนานเป็นแป้งหมัก กินอยู่ตั้งหลายวันกว่าจะรู้ว่าต่างกันอย่างไร

แต่ถ้าไปดูวิธีกินข้าวโพดปิ้งบ้านเขานี่อนาถมาก เขาปิ้งอย่างบ้านเราไม่เป็นจริง ๆ นะ เขาใช้คั่วทรายเอา คนกินก็ต้องคอยเป่าทรายออก พวกเราส่วนใหญ่พอได้ยินว่าอาหารทำจากเนื้อแพะเนื้อแกะก็ยี้ไว้ก่อน...ใช่ไหม ? ขอบอกว่าถ้าไปปากีสถานนั่นเป็นของที่ต้องสั่งเลย เขาทำได้อร่อยมาก อาจจะเป็นเพราะเขาชำนาญ กินกันมาทุกยุคทุกสมัยเลยทำได้อร่อย อาตมาฉันจนกลับมากลิ่นตัวยังเป็นแพะอยู่ตั้งครึ่งเดือน..!

เถรี
23-06-2016, 20:49
"ตอนไปปากีสถานไปเยี่ยมคนชราคนหนึ่ง อายุร้อยกว่าปี ปรากฏว่าพ่อเขาแก่กว่านั้นอีก พ่อเขาตายแล้ว ตายตอน ๑๑๐ ปี ส่วนลูกชายอายุ ๑๐๓-๑๐๔ ปี ถามลูกของลูกซึ่งก็น่าจะเป็นหลานนั่นแหละ ถามว่าคุณจะอยู่ได้ขนาดนี้ไหม ? เขาบอกว่าเขาสูบบุหรี่มาสิบกว่าปี ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ถึง"

ถาม : เขายังช่วยเหลือตัวเอง เดินได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยังได้อยู่ ไปไหนมาไหนเป็นปกติ ดูแล้วแข็งแรง แต่ว่าอากาศหนาวแกก็เลยนั่งอยู่บนเตียง คนแก่ไฟธาตุน้อยก็ไม่อยากไปไหนหรอก อากาศหนาวจึงนอนห่มผ้าบนเตียง พอแขกไปใครมาก็ดีใจที่มีคนมาเยี่ยม แต่ว่าต้องถามเขาก่อนว่าเต็มใจต้อนรับแขกหรือเปล่า ? เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ น่ารักมาก อยู่กับธรรมชาติ ปลูกข้าวปลูกผลไม้ เลี้ยงจามรี เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ

เถรี
23-06-2016, 21:56
ถาม : การที่เราเสียสละที่นั่งบนรถประจำทางให้ผู้อื่นจัดเป็นทานไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพราะว่าใจเราต้องประกอบไปด้วยเมตตากรุณา ฉะนั้น...ถ้าดูในเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา จัดอยู่ในส่วนของภาวนา สูงกว่าทานเยอะมาก

ที่ประเทศจีน อาตมาเห็นกับตาเลย ผู้ชายขึ้นมาถึงก็ด่า ๆๆ จนผู้หญิงต้องลุกให้ผู้ชายนั่ง ประเทศเขานี่ผู้ชายเป็นเทวดา เพราะนโยบายลูกคนเดียว แล้วคนจีนนิยมแต่ลูกชาย ก็เลยทำให้ผู้ชายส่วนหนึ่งหาคู่ไม่ได้ กำลังนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนามกับประเทศไทย อาตมาเตือนโยมหลายคนไปว่า อย่าไปคิดว่าไปเมืองจีนแล้วสบาย เพราะคนจีนให้ความสำคัญแต่ลูกชาย เกิดมาพ่อแม่เอาใจ ปู่ย่าเอาใจ ตายายเอาใจ กลายเป็นเทวดาน้อยอยู่ในเรือน เราไปก็เป็นทาสเขาเท่านั้นเอง..!

เถรี
28-06-2016, 19:56
ถาม : ถ้าเรากำลังเครียด มีความกังวลใจฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ภาวนาไม่ได้ ควรทำอย่างไรได้บ้าง ?
ตอบ : ดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ว่าจะเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลายทิ้งไม่ได้เลย

ถาม : ถ้าเราไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า ความรู้สึกแบบนั้น เราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : สวดมนต์ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ถ้าหากว่าเป็นไปได้ก็นั่งภาวนาด้วย

เถรี
28-06-2016, 20:12
ถาม : ระหว่างเราอุทิศบุญไปให้ กับเราแผ่เมตตา เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันมากมายมหาศาล การแผ่เมตตาเหมือนอย่างกับคนร้อนแล้วเราเอาร่มให้เขา แต่ท้องเขาหิว แต่การอุทิศส่วนกุศลเหมือนกับเราเอาอาหารให้เขา เขาอาจจะต้องทนร้อนแต่ท้องอิ่ม

ถาม : ถ้าเราไม่ได้สวดมนต์หรือนั่งสมาธิ อุทิศบุญไปเลยอย่างเดียว จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต่อให้ไม่ทำเลยก็อุทิศได้เพราะบุญที่เราทำมาในอดีตก็มี ให้ตั้งใจไปเลยว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะอุทิศให้กับใครก็อุทิศไป

ถาม : เวลาที่เราสวดมนต์ให้คนอื่น เราต้องนึกว่าสวดมนต์ถวายให้กับเทวดาประจำตัวของเขาหรือเปล่า เขาจึงจะได้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถ้าหากว่ามีความสามารถ ตอนสวดมนต์ก็นึกถึงหน้าเขาไว้ด้วยก็ได้โดยตรงไปเลย ถ้าหากว่าไม่ได้อย่างนั้น ถึงเวลาสวดมนต์เสร็จก็โทรบอกเขาหน่อย ให้เขาโมทนาด้วย

เถรี
28-06-2016, 20:17
ถาม : สังโยชน์ข้อสักกายทิฐิ ก็คือ ติดในขันธ์ ๕ หรือครับ ?
ตอบ : ติดตัวกู ขันธ์ ๕ ส่วนใหญ่นั้นหมายถึงร่างกายนี้ที่เป็นรูป แต่สักกายทิฐินั้น ก็คือ มานะในจิตใจเราว่าตัวกูเป็นของกู ไม่ยอมลงให้กับใคร

เถรี
28-06-2016, 20:23
ถาม : อย่างนี้การที่เราปรารถนาช่วยผู้อื่น ถือว่าเป็นมานะ ?
ตอบ : คนละเรื่องกัน ความปรารถนาของเราเป็นอธิษฐานบารมี ในเมื่อเป็นอธิษฐานบารมี ถ้าไม่ถึงเป้าหมายก็ไม่เลิก แสดงออกถึงความมั่นคง เป็นสัจจะในกำลังใจของเราด้วย

เถรี
28-06-2016, 20:30
ถาม : การที่เราขับรถไปแทรกรถคันหน้าถือเป็นบาปไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่า “รู้ไหมว่าเราทำแล้วเขาจะโกรธ ?” ถ้ารู้ว่าเราทำแล้วเขาจะโกรธก็บาป เพราะว่าตั้งใจสร้างความชั่วให้เกิดขึ้นในใจของเขา

เถรี
28-06-2016, 20:34
ถาม : เวลาเราเดินผ่านพระพิฆเนศ คนส่วนใหญ่จะขอพร ถ้าเราสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ท่านนั้น และโมทนาบุญของท่าน ถือว่าเป็นการไม่เหมาะสมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราทำ พระพุทธเจ้าสอนให้ระลึกถึงความดีของเทวดา ท่านมีคุณความดีอะไรให้เราปฏิบัติตามนั้น เพื่อที่เราจะได้เป็นเทวดาด้วย ท่านเป็นเทวดาอยู่แล้ว เราโมทนาในความดีของท่าน ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ถ้าท่านโมทนาได้ก็แปลว่า ต่อไปเรามีอะไรไปขอให้ท่านช่วยก็ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เพราะว่าเท่ากับเราเคยสร้างปัจจัยอันเป็นเหตุให้เกื้อกูลอนุเคราะห์สงเคราะห์กันมา

เถรี
28-06-2016, 20:36
ถาม : การทรงวิปัสสนาญาณอานิสงส์จะส่งเราไปได้แค่ไหนครับ ?
ตอบ : ก็ดูว่าทำได้แค่ไหน ถ้าหากได้นิดหนึ่ง รู้ตัวว่าจะต้องตายก็อาจจะหล่นแปะอยู่แค่ดาวดึงส์

ไม่ได้อยู่ที่ว่าทรงวิปัสสนา แต่อยู่ที่ว่าทรงได้แค่ไหน ถ้าไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างไร้สาระ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเช่นนี้ไม่มีสำหรับเราอีก ก็ไปไกลกว่าที่คิด

เถรี
28-06-2016, 20:37
ถาม : คนที่จะเดินทางไกล จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราไปสุคติ ?
ตอบ : ไม่มีใครเขามั่นใจหรอก ถ้ามั่นใจแปลว่าประมาทมาก พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เราทำความดีบ่อย ๆ เพื่อให้สภาพจิตเคยชินกับด้านดีไว้ ถึงเวลาตายจิตจะได้เกาะด้านดีมากกว่า

เถรี
28-06-2016, 20:44
ถาม : เรื่องนีลกสิณครับ ระหว่างสีเขียวกับสีดำนี่แยกเป็นคนละกองหรือครับ ?
ตอบ : กองเดียวกัน ที่บอกว่าคนละสีเราไปเข้าใจผิด บาลีเขาว่า “นีละ” บางคนแปลตรง ๆ ว่านิลก็คือดำ บางคนบอกว่าสีเขียว บางคนบอกว่า เป็นสีน้ำเงินเหมือนดอกอัญชัน คำเดียวกันใช้แทนกันได้ ถ้าว่าโดยรวมก็คือว่าอยู่ในจำพวกของสีเข้มเหมือนกัน ก็ลองดูว่าเขียวเข้มจะเห็นเป็นดำไหม ? น้ำเงินเข้มเราจะเห็นเป็นดำไหม ? ท้ายสุดก็ลงที่เดียวกัน

เถรี
28-06-2016, 20:53
ถาม : เราจะอธิษฐานให้ได้ของเก่าคืนมาได้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไป ถ้าหากว่าทำถึงเมื่อไรก็คืนมาเอง ทำไม่ถึง ทำไม่พอก็ตะเกียกตะกายต่อไป เหมือนอย่างกับของอยู่ในที่สูง ต่อเท้าขึ้นไปบ้าง ขึ้นเก้าอี้บ้าง ขึ้นบันไดบ้าง กว่าจะถึง

เถรี
28-06-2016, 21:03
ถาม : ความรู้ทางธรรมะสามารถที่จะหอบข้ามชาติไปได้ จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นเรื่องมรรคผลก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้นเบื้องกลาง นี่ข้ามชาติยาก ยกเว้นอย่างเดียวว่าเราไปทำใหม่จะได้สะดวกกว่า ง่ายกว่าคนที่ไม่เคยทำ

เรื่องของมรรคผลที่สามารถข้ามชาติข้ามภพได้ เพราะเป็นการฟอกย้อมจิตของตนเองจนสะอาด ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วในระดับหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงสามารถที่จะข้ามชาติข้ามภพไปได้ ส่วนเรื่องของศีล สมาธิเบื้องต้นเบื้องกลางนั้น กำลังยังไม่เพียงพอที่จะแปรเปลี่ยนสภาพจิตได้ขนาดนั้น ก็เลยสิ้นสุดลงแค่แต่ละชาติ เพียงแต่ว่าเหตุปัจจัยที่เคยทำอยู่ทำให้เกิดความคุ้นชิน ถึงเวลาปฏิบัติใหม่ก็จะได้ง่ายขึ้น

เถรี
28-06-2016, 21:26
ถาม : ฝึกสมาธิแล้ว รู้สึกว่าจิตมีความอยาก ความอยากนี้ปิดกั้นหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยากอยู่ตลอดเวลาก็ปิดกั้น แต่ถ้าหากว่าไม่อยากเราจะทำไปทำไม ? ฉะนั้น...ถึงได้บอกว่าตอนที่เราปฏิบัติอยู่ให้ลืมความอยากนั้นเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป หลังจากปฏิบัติแล้วจะอยากเท่าไรก็อยากไปเถอะ

ถาม : นั่งสมาธิแล้วจิตบอกว่า "เราอยาก" ?
ตอบ : คำว่าอยากจริง ๆ ก็คือเราไปคิดต้องการโน่นนี่นั่นไปเรื่อย แล้วคราวนี้ความคิดของเราถ้าไม่ไปในอดีตก็ไปในอนาคต ฉะนั้น...วิธีที่ดีที่สุดต้องหยุดอยู่กับปัจจุบัน ก็คือ ลมหายใจเข้าออก ก็จะไม่ไป รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ไปอยากอะไรอีก

ถาม : ต้องฝึกอะไรคะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก ทิ้งไม่ได้เด็ดขาดเลยไม่ว่าจะฝึกอะไร

เถรี
28-06-2016, 21:28
:4672615:เก็บตกเดือนมิถุนายน ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ