PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙


เถรี
01-05-2016, 19:13
ถาม : ห้ามใส่พระเครื่อง วัตถุมงคล เข้าสถานบริการทางเพศ หรือใส่มีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนวัตถุมงคลจะเสื่อม จริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : มีทั้งจริงและไม่จริง ที่จริงก็คือกติกาข้อห้ามของครูบาอาจารย์ที่สร้างวัตถุมงคลไว้เป็นเช่นนั้น ส่วนที่ไม่จริงก็คือครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่ถือสา เราก็ใช้ลุยไปเถอะ ท่านไม่ได้ว่าอะไรหรอก

ถาม : ใส่พระเครื่อง วัตถุมงคล ห้ามเป็นชู้ลูกเมียเขา ถ้าฝ่าฝืนวัตถุมงคลเสื่อม จริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่วัตถุมงคลเสื่อมหรอก ทำเมื่อไรตัวคนทำเสื่อมแน่ ๆ..!

เถรี
01-05-2016, 19:15
ถาม : ตามที่หลวงพ่อได้เคยกล่าวแนะนำสูตรยารักษาศีรษะล้าน ที่ใช้เปลือกต้นแค แช่กับน้ำซาวข้าวทิ้งไว้ ๓ คืน แล้วทาเพื่อให้ผมงอก ขอกราบเรียนถามว่า สูตรนี้จะใช้กับการปลูกขนคิ้ว สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะมีคิ้วได้ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : เข้าใจผิดไปไกล สูตรเปลือกแคแช่น้ำซาวข้าว เขาเอาไว้รักษาหมาขี้เรื้อนที่ขนร่วงหมด แล้วมีคนหัวล้านลองเอาไปใช้ดู

ในเรื่องของขนคิ้ว โบราณเขาใช้ดอกอัญชัน ขยี้ให้ช้ำ ๆ แล้วก็เขียนเอา แต่สมัยนี้ไปให้เขาสักคิ้วจะง่ายกว่ากระมัง ?

เถรี
01-05-2016, 19:18
ถาม : ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อขอความรู้เรื่องสาลิกาครับ ว่ามีมงคลในด้านไหน ?
ตอบ : เรื่องสาลิกาถ้าตอนเด็ก ๆ อาตมาก็ว่าอร่อยดีนะ กินมาเยอะแล้ว แต่ให้ระวังว่าบรรดาสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น้ำ ที่อยู่ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะมีพยาธิเยอะ ฉะนั้น...เวลาทำก็ทำให้สะอาดหน่อย ...(หัวเราะ)... นี่ไปไกลแล้ว

สาลิกาที่ว่าหมายถึงวิชาการอย่างหนึ่ง ที่เขามีการสร้างวัตถุเป็นรูปนกตัวเล็ก ๆ หรือทำเป็นรอยสัก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะดีทางด้านการเจรจา ก็แปลว่าจะดีทางด้านเมตตามหานิยม แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าตำราพวกนี้ท่านโยนทิ้งหมด

ท่านบอกว่าถ้าใช้สังคหวัตถุ ๔ ตามแบบของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าทำเสน่ห์เสียอีก ก็คือ ทาน รู้จักแบ่งปันให้กับคนอื่น ปิยวาจา พูดดีพูดไพเราะเป็นปกติ อัตถจริยา ทำประโยชน์ให้แก่เขา สมานัตตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาชอบอะไรเราก็ทำอย่างนั้นให้เขา เขาไม่ชอบอะไรก็อย่าทำสิ่งนั้น ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนวิธีทำเสน่ห์ไว้สองพันกว่าปีแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครทำ ส่วนใหญ่ก็ไปสนใจสาลิกา รักยม กุมารทอง

ถาม : ของพวกนี้ได้ผลจริงไหมครับ ?
ตอบ : จริงบ้างไม่จริงบ้าง ถ้าเจอของท่านที่รู้จริง สร้างแล้วก็มีผลจริง สมัยนี้ส่วนใหญ่สร้างเพื่อการค้า จึงไม่ค่อยจะจริง

เถรี
01-05-2016, 19:19
ถาม : ถ้าผมโมทนาบุญของพระรัตนตรัยทุก ๆ พระองค์ โดยที่ผมไม่รู้ว่าท่านทำบุญอะไรมาบ้าง แต่รู้สึกปลื้มใจบุญที่ท่านทำมาจนได้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เลยอยากทราบว่าผมจะได้อานิสงส์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ว่าท่านทำอะไรมาบ้างก็ไม่ได้ ปัตตานุโมทนามัย ก็คือ รู้เห็นว่าผู้อื่นได้กระทำในส่วนบุญกุศลที่เราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็เลยยินดีและโมทนาในส่วนของความดีนั้น ๆ ถ้าคุณไม่รู้แล้วจะไปโมทนาอีท่าไหน ? หลับหูหลับตาเหวี่ยงมั่ว ๆ ไป เผื่อจะถูกหรืออย่างไร ?

เถรี
01-05-2016, 19:29
ถาม : ต่อจากคำถามอาทิตย์ก่อน ที่ผมถามเกี่ยวกับสมัยผมอายุ ๑๕ ปี แล้วทำสมาธิจนได้ฌาน แล้วรู้สึกสุขมาก ๆ เหมือนที่พระท่านกล่าวว่า กิเลสคือไฟ ถ้าดับได้จะสุขมาก
ตอบ : โปรดทราบว่า ถ้าดับไฟจะไม่สุก อาตมาทำกับข้าวมาตั้งแต่เด็ก ยืนยันได้ว่าดับไฟแล้วไม่สุก...!

ถาม : ตอนนั้นผมคิดว่าผมเป็นพระอรหันต์ รอวันตายอย่างเดียว แต่มารู้ทีหลังว่าเป็นอุปกิเลส และตอนนี้ผมอายุ ๑๙ แล้วเวลาทำสมาธิหรือคิดเรื่องงาน บางครั้งผมก็รู้ว่า อารมณ์ปรามาสพระจะเกิด ผมก็ช่างมันและสักแต่ว่ารู้ แล้วทำให้ผมเชื่อสิ่งที่หลวงพ่อบอกว่า เวลาที่เราจะเข้าถึงความดี กิเลสมันจะชวนให้เราฟุ้งซ่าน และคิดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องที่ดี ผมเลยอยากทราบ วิธีพิจารณาสังขาร หรือภาษาไทยแปลว่าความคิด จะพิจารณาอย่างไรว่ามันไม่ใช่เรา จะพิจารณาอย่างไรหรือครับ ?

ตอบ : ความคิดเขาไม่ได้ให้พิจารณา เขาให้หยุดคิด ถ้าเราหยุดการคิดหรือหยุดการปรุงแต่งได้ก็จะไม่สร้างทุกข์ให้เกิดกับตัวเอง ถ้าหยุดการคิดหรือการปรุงแต่งไม่ได้ ก็เท่ากับสร้างทุกข์ให้ตัวเองอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น...แยกแยะเสียใหม่และทำให้ถูก

ไม่ใช่ความคิดเกิดขึ้นแล้วก็ไปพิจารณา ไปจ้องดูเหมือนที่บางสายท่านบอกว่า "คิดหนอ...คิดหนอ" ถ้าอย่างนั้นก็ดูต่อเถอะ คนกำลังฟุ้งซ่านอยู่จะไปเห็นธรรมอะไร นอกจากเรื่องที่ตัวเองกำลังฟุ้งซ่านเท่านั้น

เถรี
01-05-2016, 19:33
ถาม : ถึงผมจะรู้ดีว่า สมาธิจากฌานสมาบัตินั้น สุขกว่ากามสุขจนเทียบไม่ได้เลย แต่ผมอายุ ๑๙ ก็อยากมีแฟนเป็นธรรมดา อยากทราบว่า นักรบอย่างขุนแผน ท่านก็มีเมียมาก หรือบุคคลที่ทรงโลกีย์อภิญญา ท่านทำกำลังใจทรงฌานนึกจะเข้าฌานนั้น ออกจากฌานนี้เข้าฌานนั่น ในเมื่อท่านยังมีภรรยาอยู่อย่างไรหรือครับ ? หลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับ ผมจะเอาไปฝึก
ตอบ : ท่านก็อยู่อย่างสามีภรรยานั่นแหละ ใครเขาจะโง่ไปเข้าฌานตลอดเวลา เข้าฌานตลอดเวลาก็บ่มิไก๊เท่านั้น...!

เถรี
01-05-2016, 19:34
ถาม : ผมรู้สึกว่าชาติก่อนผมคงทำบุญมาดี เนื่องจากได้เข้าฌานสมาบัติในตอนอายุยังน้อย แล้วทำให้ผมหายสงสัยเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม สวรรค์ นรก และเรื่องอื่น ๆ แล้วผมสงสัยว่า ทำไมผมถึงเกิดไม่ทันหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือหลวงปู่ปานก็ดี ?
ตอบ : ก็เพราะเกิดช้า ถ้าเกิดเร็วก็ต้องทันอยู่แล้ว...!

เถรี
01-05-2016, 19:36
ถาม : บุคคลที่อยู่ต่างประเทศ แล้วเขาอยากจะบนพระหรือเทวดา เขาควรจะทำอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : อยากจะบนก็บน ยังจะต้องทำอะไรอีก ?

เถรี
01-05-2016, 19:39
ถาม : คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ที่เวลาภาวนาจนเป็นฌานแล้ว จะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้โดยไม่ต้องอ่าน อยากทราบว่าจะภาวนาอย่างไรให้เป็นฌานครับ ?
ตอบ : ภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออก

ถาม : ตามที่ผมเข้าใจ คือท่องคาถาแล้วควบกับกำหนดรู้ลมหายใจไปเรื่อย ๆ จนเป็นฌาน หรือว่าต้องเข้าฌานสมาธิจากฌานใดฌานหนึ่งก่อน แล้วออกจากฌานนั้นแล้วท่องคาถา ?
ตอบ : ใช้ได้ทั้งสองอย่าง จะภาวนาจนเป็นฌานก่อนก็ได้ หรือเข้าฌานก่อนค่อยภาวนาก็ได้

ถาม : มีผลเสมอกันไหมครับ ?
ตอบ : เข้าฌานก่อนแล้วภาวนารู้สึกว่าจะสะดวกกว่า แต่จะไปเสียเวลาตรงที่ว่า ทำอย่างไรจะเข้าฌานได้นี่แหละ..!

เถรี
01-05-2016, 19:42
ถาม : อยากทราบวิธีนอนไม่ถึง ๕ ชั่วโมง แล้วเวลาตื่นขึ้นมาสดชื่นไม่รู้สึกเหนื่อย ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : นอนกลางแจ้ง ทุกวันนี้ที่ส่วนใหญ่พวกเราตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกง่วง รู้สึกเพลีย เพราะไปนอนอยู่ในห้องปรับอากาศ ซึ่งออกซิเจนมีน้อยมาก ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ตื่นขึ้นมาบางคนก็มึนงง บางคนก็ง่วงเหงาหาวนอน อยากจะนอนต่ออย่างเดียว เพราะฉะนั้น...อยากจะนอนให้เต็มอิ่มให้ไปนอนกลางแจ้ง แต่อย่าไปนอนกลางถนน...!

เถรี
02-05-2016, 14:19
ถาม : เจตสิกคืออารมณ์ ที่จิตไปรับรู้ใช่ไหมครับ ? และพระอรหันต์ท่านดับอกุศลเจตสิกไปหมดแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เจตสิกคืออารมณ์ใจที่ไปรับรู้เรื่องอื่น ๆ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการทำงานของใจ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าระดับสูง ๆ ขึ้นไป การทำงานของใจของท่านจะประกอบไปด้วยการปรุงแต่งของใจที่น้อยมาก

คำว่าการปรุงแต่งที่น้อยมาก คือ ไม่ได้ปรุงแต่งไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง แต่ว่าปรุงไปเพื่อเป็นไปตามเหตุเฉพาะหน้าเท่านั้น อย่างที่พิจารณาดูแล้วว่า ถ้าทำเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นได้ท่านก็ทำ ถ้าหากว่าทำไปไม่มีประโยชน์ก็ไม่ทำ ฉะนั้น...จะเรียกว่าการปรุงแต่งของท่านก็ไม่ใช่หรอก เป็นการพิจารณาเรื่องที่ควรหรือไม่ควรที่เหมาะกับเฉพาะหน้ามากกว่า

เถรี
02-05-2016, 14:20
ถาม : ถ้าพระอุปัชฌาย์ติดอาบัติปาราชิกไม่ใช่สังฆาทิเสส ซึ่งขาดจากความเป็นพระแล้ว ไปทำการบวชสามเณรให้โยม แล้วโยมนั้นจะสำเร็จเป็นสามเณรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าต้องอาบัติปาราชิกก็แปลว่าไม่ใช่พระ ไม่ใช่พระก็เป็นโยม โยมจะบวชเณรบวชพระได้ไหม ?

เถรี
02-05-2016, 14:25
ถาม : สมมติว่า หลวงพี่แดงนำน้ำอ้อยที่เหลือจากฉันเพลที่โยมถวายสังฆทาน มาไว้ในตู้เย็นของวัดจำนวนสี่ขวดเพื่อไว้ฉันเป็นส่วนตัว แล้วหลวงพี่เขียวไปหยิบน้ำอ้อยในตู้เย็นนั้นมาฉันหนึ่งขวด เพราะคิดว่าเป็นของจากการถวายสังฆทาน ใครจะฉันก็ได้โดยหลวงพี่แดงไม่รู้ ต่อมาหลวงพี่แดงมาเห็นว่าน้ำอ้อยหายไปหนึ่งขวด แล้วโวยวายไม่พอใจที่มีคนอื่นมาหยิบน้ำอ้อยของตนไป กรณีนี้หลวงพี่เขียวจะติดอาบัติปาราชิกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ลงนรกทั้งคู่..! อันดับแรกคือห่วงกิน เข้าใจคำว่าห่วงกินไหม ? กำลังใจยังไปห่วงกับเรื่องกิน ถึงขนาดต้องตุนเอาไว้ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของพระ อันดับสอง ผิดพระวินัย ในพระวินัยท่านบอกว่า อันโตวุฏฐะ คือห้ามหุงต้มอาหารเอง อันโตปักกะ ห้ามเก็บอาหารไว้เอง สามปักกะ ห้ามเก็บอาหารไว้ในที่อยู่ของตน เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงหรอกว่าโดนอาบัติหรือเปล่า ไปนรกทั้งคู่นั่นแหละ..!

เถรี
02-05-2016, 14:34
ถาม : การทำกรรมฐานโดยการเอาสติจี้ ตามรู้คลุกเคล้าเป็นหนึ่งเดียวติดแนบกับกองลมไปตลอดสาย กับการเอาสติตามดูรู้กองลมอยู่ห่าง ๆ เหมือนยืนดูสายน้ำอยู่ตลอดสาย มีผลต่อการปฏิบัติต่างกันอย่างไร ? และแบบไหนเข้าฌานได้เร็วกว่า ?
ตอบ : ถ้ากังวลมากก็เข้าฌานไม่ได้สักอย่างหนึ่ง การดูลมหายใจเข้าออกให้ปล่อยลมหายใจตามปกติ จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น อย่างไรก็แล้วแต่ เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ไปเฉย ๆ ไม่ใช่ตามดูตามรู้เพราะอยากจะเข้าฌาน ถ้าตามดูตามรู้เพราะอยากจะเข้าฌานยังเป็นความฟุ้งซ่านอยู่ โอกาสที่จะทรงฌานก็ไม่มี

เถรี
02-05-2016, 14:36
ถาม : เคยฝันหรือกำลังจะหลับ เห็นภาพเหตุการณ์ และตัวเองกำลังรู้สึก กำลังคิดอะไร แต่ตอนนั้นเหมือนเหตุการณ์สั้น ๆ ไม่สำคัญ จนวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์เสี้ยวนั้นจริง ๆ และเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งการเกิดเหตุการณ์จริงไม่ติดใจ แต่การที่ไปรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกำลังนึกคิดได้แบบนั้น เขาเรียกอะไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฝัน ตัวเองก็บอกว่าฝัน ดันถามว่าเรียกว่าอะไร...! การที่ฝันแล้วรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณอย่างอ่อน โบราณเรียกว่า เทพสังหรณ์

เถรี
02-05-2016, 14:42
ถาม : ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการคัดเลือกเพศบุตร โดยการคัดตัวอ่อนที่ได้จากการผสมในจานทดลอง แล้วคัดตัวอ่อนที่มีเพศที่ต้องการ จึงนำไปใส่ในมดลูกของเพศหญิง ส่วนตัวอ่อนที่ไม่ต้องการก็จะทิ้งไป การทำอย่างนี้ถือว่าเป็นกรรมปาณาติบาตหรือไม่ครับ ?
ตอบ : รับรองได้ว่าคนถามไม่เคยทำ เขาไม่ได้คัดเลือกเพศของตัวอ่อน แต่เขาคัดเลือกเชื้อที่สามารถทำให้เกิดเพศนั้น ๆ ได้ อย่างเช่น โครโมโซม X โครโมโซม Y ที่จะทำให้เกิดเพศทารก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขาก็คัดเลือกเฉพาะโครโมโซมที่ทำให้เกิดเพศชายขึ้นมา ยังไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตน ถ้าคุณใช้คำว่าตัวอ่อนก็เท่ากับฆ่าสัตว์นะสิ...!

เถรี
02-05-2016, 14:52
ถาม : เวลาผมทำกรรมฐานผมชอบลืมตาแล้วภาวนาครับ แล้ววันหนึ่งผมหลับตาภาวนาไปสักพักหนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมา ผมสังเกตเห็นเหมือนมีเส้นกรอบสีขาวถัดออกไปเป็นสีดำทึบ ล้อมร่างกายไว้เหมือนเป็นเส้นเขต แบบนี้เรียกว่าอะไรครับผม หรือว่าผมคิดไปเองครับผม ?
ตอบ : คิดไปเองดีไหม ? ฝรั่งเรียกว่าออร่า คนจีนเรียกว่าพลังปราณ คนไทยเรียกอะไรดี ? เรียกว่ารัศมีบุญแล้วกัน มีทุกคนจะมากจะน้อยเท่านั้น สิ่งมีชีวิตทุกประเภทล้วนมีพลังปราณ หรือพลังชีวิตนั้น ๆ แผ่ออกไป เว้นไว้แต่ว่ารู้ได้หรือรู้ไม่ได้เท่านั้น

ถาม : สร้างให้เพิ่มหรือลดลงได้ไหมครับ ?
ตอบ : สร้างให้เพิ่มได้ แต่ไม่ต้องไปลด ถึงเวลาก็ลดเอง ใกล้ตายเมื่อไรก็ลดเหลือนิดเดียว

ถาม : สร้างเพิ่มได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ทำสมาธิ

เถรี
02-05-2016, 14:56
ถาม : ผมได้ภาวนาคาถาท่านปู่ที่ว่า "สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ" ก่อนไปสอบ ๑ วัน ผลคือข้อสอบปรนัย ผมสามารถรู้ว่ากาตรงไหนคือคำตอบ แต่พอมาเป็นข้อสอบอัตนัย ผมมองไปบนกระดาษเป็นตัวหนังสือขึ้นมาแต่ผมอ่านไม่ออก ผมควรจะทำอย่างไรครับ ? หรือผมควรกลับไปภาวนาให้มากขึ้นครับผม ?
ตอบ : ไปเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ ใหม่ จะได้อ่านออก...! การใช้คาถาสหัสสเนตโต หรือที่เรียกว่าคาถาท่านปู่พระอินทร์ เขาเอาความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าให้ตอบอย่างไรแล้วให้เขียนไปตามนั้น ไม่ใช่ไปดูตัวหนังสือที่เกิดขึ้น

เถรี
02-05-2016, 15:00
ถาม : เวลาไปทำบุญใหญ่ รู้สึกอุปสรรคมากมายผิดปกติ มีตั้งแต่กวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเกือบจะเกิดอุบัติเหตุติดกันหลายครั้ง เรื่องแบบนี้คิดไปเอง หรือมีอุปสรรคจริงครับ ?
ตอบ : ถามว่าคิดไปเองหรือเปล่า ทำไมโง่ขนาดนั้นวะ ? เรื่องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ดันคิดว่าคิดไปเอง ถ้าสิบล้อทับ ก็คงคิดว่าเราคิดไปเอง เราก็คงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?

เถรี
02-05-2016, 15:06
ถาม : อาชีวัฏฐมกศีล มีปรากฏในพระไตรปิฎกไหมคะ ?
ตอบ : อาชีวัฏฐมกศีล ก็คือศีลอันมีสัมมาอาชีพเป็นข้อที่แปด ท่านบอกไว้ว่า เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ และ มิจฉาอาชีวะ คือให้หาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ (สัมมาอาชีวะ)

เถรี
02-05-2016, 15:06
ถาม : เวลาอาราธนาพระเครื่องและวัตถุมงคลสายวัดท่าซุง เราสามารถอาราธนาบารมีพระรัตนตรัย โดยมโนภาพและตั้งจิตนึกเป็นภาพพระพุทธรูป ภาพพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ดอกมะลิแก้วร่วงจากแย้มพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าแทนพระธรรม และภาพหน้าหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษี และพระอริยสงฆ์องค์อื่น ๆ แทนคำพูดได้หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : คิดถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาออกชื่อทีละท่านสองท่าน

เถรี
02-05-2016, 19:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของศีล ถ้าต้องการรายละเอียดให้ไปดูในวิสุทธิมรรค ในหมวดของสีลนิเทส ท่านจะบอกรายละเอียดไว้เยอะมาก อาชีวัฏฐมกศีลในสีลนิเทสมีอยู่ ส่วนใหญ่รายละเอียดเหล่านั้นเกินความจำเป็นสำหรับพวกเรา

บางคนตั้งคำถาม แล้วก็สรุปเองเสร็จสรรพ แล้วจะถามทำไม ? อย่างประเภทเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราคิดไปเองหรือเปล่า ? ถ้าคิดเองให้เกิดขึ้นได้ ก็คิดให้เรารวยเสียก็หมดเรื่อง..!"

เถรี
02-05-2016, 20:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการพิจารณาของผู้ปฏิบัติธรรมมีอยู่ข้อหนึ่งว่า วันคืนล่วงไป ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ ? เป็นการเตือนตัวเองไม่ให้ประมาท เพราะวันเวลาที่ล่วงไป ท่านใช้คำว่า วันเวลาย่อมกัดกินสรรพสัตว์เป็นปกติ ก็คือ เราก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา

ถ้าถามว่าเราทำอะไรกันอยู่ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น หรือตั้งหน้าตั้งตาเล่นไลน์อยู่ ? ทำไมเราเล่นไลน์นิดเดียวถึงสี่ทุ่มห้าทุ่มเที่ยงคืนตีหนึ่งได้ ทีตอนปฏิบัติธรรมทำไมรู้สึกว่านานเป็นปี ฉะนั้น...ใครบอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม อาตมาเถียงตายเลย

สมัยก่อนเวลาอาตมาปฏิบัติธรรมก็ลดเวลานอนตัวเองลง เพื่อให้ตัวเองได้ปฏิบัติธรรมได้มากขึ้น ส่วนพวกเราลดเวลานอนตัวเองด้วยการเข้าเฟซฯ เข้าไลน์กัน เวลาที่เหลือก็แทบจะไม่มีเอาไว้ปฏิบัติธรรม ฉะนั้น...โอกาสที่จะก้าวหน้าจึงมีน้อยมาก"

เถรี
02-05-2016, 20:28
"ตอนนี้คนไทยอ่านหนังสือเยอะมาก เพราะอ่านจากไลน์ อ่านจากเฟซบุ๊ก แต่เป็นการอ่านที่ไร้คุณภาพสิ้นดี เพราะมีแต่ภาษาอุบาทว์เต็มไปหมด ต่อไปเด็กรุ่นหลังก็จะคิดว่าภาษาไทยต้องเขียนแบบนี้จึงจะถูก ถ้าถึงตอนนั้นก็คงจะอนาถมาก เป็นคนไทยแล้วตกภาษาไทย ต้องไปลาหมาแก่ ๆ แล้วเกิดใหม่เถอะ...!

เด็กรุ่นนี้รู้จักเอกรรถประโยค อเนกรรถประโยค สังกรประโยค กันหรือเปล่า ? ผู้ใหญ่ก็ยังไม่รู้หรอกกระมัง ? เข้าเฟซบุ๊กมากไป เข้าไลน์มากไป ย่อมเกิดผลร้ายเช่นนี้แล"

เถรี
03-05-2016, 14:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการถ่ายรูปพลังชีวิตหรือพลังออร่า เกิดจากการพัฒนารูปถ่ายแบบเกอเลี่ยน ซึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองก็ไม่ได้คิดที่จะถ่ายรูปอย่างนั้น แต่ใบไม้ตกลงไปพอดี พอรูปถ่ายออกมาจึงเห็นว่ามีพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกไปรอบด้าน ก็เลยทำการทดลองกับสิ่งอื่น ๆ โดยเฉพาะวัตถุที่มาจากพืช สัตว์ หรือคนที่มีชีวิต ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีพลังงานที่แผ่ออกไปเป็นรูปร่างลักษณะนั้น ๆ อยู่

ขนาดคนที่โดนตัดนิ้วมือไปใหม่ ๆ เวลาไปถ่ายรูปแบบนั้น นิ้วมือนั้นยังปรากฏอยู่อีกระยะหนึ่ง เพราะพลังงานยังคงส่งออกไป จนกระทั่งตัวเรารู้สึกว่าไม่มีนิ้วมืออีกแล้ว พลังงานตรงนั้นจึงจะหายไป ถามว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ? ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง แต่การอ่านค่า การแปลผล ต้องมีความชำนาญจริง ๆ อย่างสมัยนี้ที่บอกว่าออร่าสีอะไร มีลักษณะของกำลังใจแบบไหน จะว่าไปแล้วก็คือเจโตปริยญาณ ในการดูสีของจิต เพียงแต่ว่าถ้าคนไม่ชำนาญก็จะอ่านค่าผิดได้"

เถรี
03-05-2016, 14:34
ถาม : พลังงานกับกายละเอียดคนละอย่างหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พลังงานส่วนพลังงาน กายละเอียดส่วนกายละเอียด พลังงานเกิดจากอำนาจของสมาธิจิต ส่วนกายละเอียดเป็นกายใน ถ้าหากสมาธิจิตสูงเท่าไร กายละเอียดก็จะมีแสงสว่างมากเท่านั้น

ถาม : ถ้าสีดำไม่ได้แปลว่าไม่ดีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ในส่วนของทิพจักขุญาณ ถ้าออกไปในแนวสีดำหรือสีเทาแปลว่า สภาพจิตตอนนั้นกลัดกลุ้มกังวลมาก

ถาม : เคยเห็นของท่านที่เป็นพระศรีอาริย์ รูปเป็นลักษณะของสีดำ ๆ ?
ตอบ : อาจจะคนละพระศรีอาริย์กัน สงสารแต่พระศรีอาริยเมตไตรย ลงมาเกิดเยอะเหลือเกิน ปัจจุบันนี้ท่านที่หลงว่าตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ท่านนั้นท่านนี้ โดยเฉพาะนิยตโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้ในภัทรกัปนี้และภัทรกัปหน้า ถึงขนาดรวมกันแล้วเกิน ๑๐ ท่าน อาตมาเองก็ขำ ๆ เหมือนกัน คนเราเวลาหลงผิดก็หลงไปไกลมาก มีท่านหนึ่งบอกว่าตัวเองเป็นโตไทยพราหมณ์ อาตมาบอกว่าตูเองยังเห็นโตไทยพราหมณ์อยู่ในอเวจีอยู่เลย ทำไมมาเกิดเร็วแท้ ?

โตไทยพราหมณ์เป็นคนไทยนะ แสดงว่าคนไทยมีนิสัยเลี้ยวลงต่ำเป็นปกติใช่ไหม ? โตไทยพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์คนไทยชื่อนายโต คนโบราณไม่มีนามสกุล จะใช้ฉายาบอกลักษณะ บอกตระกูล บอกว่าเป็นลูกหลานใคร

เถรี
03-05-2016, 15:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ เป็นส่วนของวิชชามัยฤทธิ์ แต่อย่าให้เทคโนโลยีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ให้เป็นเครื่องหนุนเสริมความสะดวกสบายให้แก่เราก็พอ ต้องมีสติอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์"

เถรี
03-05-2016, 16:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานซืน (๒๗ เมษายน ๒๕๕๙) อาตมาไปประชุมสังฆาธิการระดับเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเลขานุการของภาค ๑๔ ก็คือ ๔ จังหวัด ทั้งหมดก็ ๘๐๐ กว่ารูป ปรากฏว่าไปเจอหลวงพ่อพระครูสุมนสุนทรกิจ วัดทะเลบก เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาสมัยเรียน ปบส. ก็คือ ประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ท่านไม่ได้เรียนต่อ ท่านน้ำหนักตัวมาก ไปไหนลำบาก ๑๒๐ กว่ากิโลกรัม

ท่านบอกว่าเพิ่งตายมา หมดลมไป ๓ ชั่วโมงกว่า เลยถามท่านว่า แล้วหลวงพ่อเลิกกลัวตายแล้วใช่ไหม ? ท่านบอกว่าเลิกเลย เพราะว่าไปเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ งาม ๆ ทั้งนั้น ทำให้มั่นใจว่าผลบุญที่ทำมานั้นได้ผลจริง ๆ ท่านบอกว่าไปเจอคน ไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชาย เขาก็แต่งตัวสวยงาม หน้าตาผ่องใสกันหมด เสียอย่างเดียวที่ผู้ชายมีไม่กี่คน แสดงว่าผู้หญิงทำบุญเยอะกว่า

ท่านบอกว่าพื้นที่เดินไปก็ไม่ใช่ไม่ดิน ไม่ใช่หญ้าอย่างของเรา เป็นแก้วเป็นทองหมด ขนาดต้นไม้ใบหญ้าก็เป็นแก้วเป็นทองวิบ ๆ วับ ๆ ก็ถามว่าแล้ววิมานหลวงพ่อล่ะ ? โอ๊ย...หลังเบ้อเริ่มเลย...!"

เถรี
03-05-2016, 16:19
"หลวงพ่อพระครูฯ ท่านได้มรดกเป็นที่ดิน ๖๐ ไร่ แล้วท่านก็เลยขายเอาเงินมาสร้างวัด ท่านไม่มีลูกไม่มีหลาน ท่านก็เลยขายเอาเงินมาสร้างวัด ตัวท่านเองก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พอไปเห็นอย่างนั้นเข้า ท่านก็เลยมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ถึงตายก็ไม่กลัวแล้ว ท่านบอกว่าข้าวปลาอาหารอะไรที่เคยทำบุญไป พอไปถึงเจอหมดทุกอย่าง แต่ไม่ต้องกิน แค่คิดว่าเราจะกินก็อิ่มเอง ท่านบอกว่าญาติโยมมาถามก็ไม่กล้าเล่าให้เขาฟัง เพราะกลัวจะโดนข้อหาอวดอุตริมนุสธรรม แต่ถ้าเพื่อนพระด้วยกันเขาไม่ถือว่าเป็นการอวด ท่านก็เล่าให้ฟังได้

ปีนี้ท่านอายุ ๖๘ แต่น้ำหนักเลยอายุไปเท่าตัว สงสัยว่าเป็นพวกไขมันอุดตัน ตายไป ๓ ชั่วโมง ฟังท่านเล่าแล้วหน้าตาท่านมีความสุขมากเลย เออ...คนจะตายแล้วหน้าตามีความสุขนี่หายากนะ ท่านว่ามั่นใจแล้ว คนที่รู้ว่าตายแล้วไปดีก็เลิกกลัวตาย ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ยังกลัวตายต่อไป"

เถรี
03-05-2016, 16:20
"ตรงจุดนี้ทำให้เห็นว่าในเรื่องของบุญ คือ ทาน ศีล ภาวนา นั้น ทำไปแล้วมีผลจริง ท่านบอกว่าก่อนนั้นก็เชื่อ แต่เป็นการเชื่อตามที่พ่อแม่บอกมา ตามที่ครูบาอาจารย์บอกมา บวชมาก็พยายามที่จะรักษาศีล ภาวนา ก็ประเภทไม่ได้ดีไม่ได้เด่นอะไร ก็เลยคิดว่าในเมื่อทำทางด้านนี้แล้วเอาดียาก เมื่อได้มรดกมา ๖๐ ไร่ จึงขายเอามาสร้างวัดหมดเลย

ขำตอนที่ท่านบอกว่าวิมานท่านหลังเบ้อเริ่มเลย ลืมแซวท่านไปว่า อ้วนอย่างนี้จะทำความสะอาดไหวหรือ ? ก็เล่นสร้างวัดทั้งวัด วิมานจะไม่หลังใหญ่ได้อย่างไร วิมานของอาตมานี่ถ้าพวกเราขึ้นไปคงมีที่เผื่อเพียบเลย เพราะสร้างมาเยอะเหลือเกิน ใครจะไปอาศัยก็ได้นะ คิดค่าเช่าไม่แพง...!"

เถรี
03-05-2016, 19:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้เรื่องของการปรุงแต่งตัดต่อทางโซเชียลมีเดียรู้สึกว่าจะเก่งกันมาก แล้วเรามักจะไปเชื่อกันทันทีที่เห็น การปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่งก็คล้าย ๆ กับโซเชียลมีเดียในปัจจุบันนี้ ก็คือ พอเกิดทิพจักขุญาณ รู้เห็นขึ้นมาก็เชื่อเลย ซึ่งโอกาสจะโดนหลอกล่อให้หลงทางมีสูงมาก แต่โดยกิเลสหรือโดยจิตใต้สำนึกก็มักจะเชื่อเพราะเห็นเอง โดยที่ไม่ได้ระแวงว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นการปรุงแต่งขึ้นมา"

เถรี
03-05-2016, 19:31
ถาม : เทวดาร่างกายตัวเป็น ๆ เนื้อเหมือนมนุษย์เรา จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาเจอมาเยอะแล้ว เพียงแต่คนอื่นเห็นด้วยหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าอยากรู้ว่าเทวดาตัวเป็น ๆ เป็นอย่างไร ไปถามนาวาอากาศโทหญิงอริศรา กิติธีระกุล นั่งคุยได้เป็นวันเลย

ถาม : แสดงว่า ไม่ได้เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม...(ไม่ชัด) ?
ตอบ : คุณเข้าใจคำว่ากฎแห่งกรรมผิดไปแล้ว กฎแห่งกรรมก็คือทำอย่างไรได้อย่างนั้น ถ้าไม่มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมาก่อน เขาก็ไม่มายุ่งกับเรา ในเมื่อเขาเปิดโอกาสให้ยุ่ง ก็ต้องยุ่งหน่อย

สำหรับพวกเขาแล้ว การที่ปรากฏตัวขึ้นมาง่ายเสียกว่าพวกเรากินขนมเสียอีก อาตมาเคยจับตัวเขา เป็นเนื้อ ๆ เหมือนกับเราเลย อุ่น ๆ ด้วย ต้องบอกว่าขี้สงสัยก็เลยลองจับดู อีกทีก็โดนท้าให้จับ "ถ้าสงสัยก็จับดูได้นะ" แล้วอย่าไปเอามาตรฐานว่าเทวดาไม่กะพริบตานะ เพราะเขารู้ความคิดของเรา ถ้าไปจ้องดูว่าเขากะพริบตาหรือเปล่า เขาก็กะพริบล้อเราเสียอย่างนั้น

เถรี
03-05-2016, 19:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาให้เทพื้นคอนกรีตไปอีก ๑,๐๐๐ กว่าตารางเมตร บริเวณรอบ ๆ หอจ่ายน้ำประปา เพื่อที่จะเอาไว้เป็นลานจอดรถ เพราะว่าลานจอดรถเดิมบริเวณเมรุหายไป สร้างเมรุใหม่พื้นที่จอดรถไม่มี"

เถรี
04-05-2016, 14:29
ถาม : หนูเห็นคนที่บวชพระ สงสัยว่าฉายาพระต้องลงท้ายด้วยเสียงสระโอหมดเลยหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ จะลงอิ ลงอา ลงอะไรก็ได้ ให้ตรงกับบาลีที่สามารถสวดกรรมวาจาได้ แต่คราวนี้ส่วนใหญ่แล้วเขาถนัดสวดตรงลงโอ ก็เลยต้องลงโอให้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคู่สวดตาย

เถรี
04-05-2016, 14:31
ถาม : หนูจะไปเที่ยวที่นี่ ไม่ทราบว่าใช่รอยพระพุทธบาทจริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อย่าไปใส่ใจว่าใช่รอยพระพุทธบาทจริงหรือไม่จริง รอยพระพุทธบาทมีไว้เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหากเราไม่ระลึกถึง ต่อให้เป็นของจริงก็เท่ากับเป็นของปลอม ของจะจริงจะปลอมอะไร ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธานุสติเหมือนกัน

เถรี
04-05-2016, 14:37
ถาม : เวลาที่เราทำสมาธิ เรารู้สึกหายใจเร็วมาก ?
ตอบ : ลักษณะหายใจเร็วมาก เป็นลักษณะของการจะถอดกายในออกไป เป็นการเร่งระบบของร่างกาย ถึงเวลาก็จะโดนเหวี่ยงให้หลุดออกไป แต่ว่าบางคนก็กลัว ลมหายใจเร็ว หัวใจเต้นแรง กลัวจะตายก็เลยเลิกทำ

เถรี
04-05-2016, 14:42
ถาม : ตอนนี้หนูรู้สึกว่ามีไฟสว่างตลอดค่ะ คิดว่าจะทำอย่างไรให้เป็นทิพจักขุญาณ เหมือนมีไฟอยู่ข้างในค่ะ ?
ตอบ : ทำอย่างไรบ้าง ? ก็รักษาเอาไว้ ถึงเวลาถ้ากำลังถึงก็จะรู้นั่นเห็นนี่เอง แต่ขอยืนยันว่ามีโทษมากกว่าประโยชน์ ถ้าวางกำลังใจไม่เป็น จะไปหลงว่าตัวเองเก่งกว่าชาวบ้านเขา

ถาม : ทำไมเพิ่งเป็น ?
ตอบ : เคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น รักษาเอาไว้ให้อยู่ก็แล้วกัน

เถรี
04-05-2016, 15:18
ถาม : เวลาขึ้นไปข้างบน ถามอะไรพระไว้ ท่านตอบมา พอลงมาจำอะไรไม่ได้เลย ?
ตอบ : ปกติลงมาต้องจำได้ ให้รีบบันทึกเอาไว้ หรือไม่ก็ถามเรื่องเดียว ที่จำไม่ได้คงจะสับสนในชีวิต ถามมากเกินไป

เถรี
04-05-2016, 15:22
ถาม : เวลาเดินจงกรม ให้จับอาการเคลื่อนไหวหรือจับลมหายใจ ?
ตอบ : เขาให้จับอาการเคลื่อนไหว ถ้าเดินจงกรมแล้วจับลมหายใจ ไม่ใช่ทำจนคล่องตัวจริง ๆ ทำไม่ได้หรอก เพราะพอลมหายใจทรงตัวแล้วจะเดินไม่ออก เพราะฉะนั้น...จับการเคลื่อนไหวของร่างกายก็พอ

เถรี
04-05-2016, 15:23
ถาม : ในปัจจุบันนี้มีเณรที่เป็นพระอรหันต์บ้างไหมคะ ?
ตอบ : สมัยนี้ยังไม่มี สมัยพุทธกาลมีบานเบิก

ถาม : ต้องเรียกว่าเณรหมดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บวชอายุไม่ถึงพระเขาก็เรียกว่าเณร แล้วจะหมดอย่างไร ? ถึงจะได้บวชตอน ๗ ขวบ แต่พอเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านเรียกมหาเถระ

เถรี
04-05-2016, 15:28
ถาม : เวลาไปป่าไปเขา ถ้าดื่มน้ำในถ้ำในเขา เราต้องเสกต้องขอก่อนไหมคะ ?
ตอบ : โบราณเขาก็ขอก่อน เป็นพระก็แผ่เมตตา แล้วก็กรองน้ำเอา ขนาดจะถ่ายหนักถ่ายเบา ก็ยังต้องขออภัยเจ้าที่เจ้าทางเขาเลย คนโบราณเขากำลังใจละเอียดกว่าเรา พวกเราไปถึงก็ว่าให้มั่วไปหมด

เถรี
04-05-2016, 18:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานซืนมีโยมส่งข้อความส่วนตัวมาขอความเป็นธรรม บอกว่าขอให้ลบชื่อออกจากระบบ พอสมัครใหม่ก็โดนลบอีก อาตมาก็ยังงง ๆ ว่า เอ็งมาขอความเป็นธรรมอะไรจากอาตมาวะ ? ถ้าโดยระบบการทำงานของอาตมาเองก็คือ ถ้ามอบหมายความไว้วางใจให้ใครทำหน้าที่แล้ว ก็แล้วแต่เขาตัดสินใจเลย จะทำให้บริษัทเจ๊ง หรือว่าทำให้บริษัทรุ่ง ก็แล้วแต่เขาจะบริหาร

แต่เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า โยมขาดโอกาสในการพิจารณาตัวเอง ฟังรู้เรื่องไหมตรงนี้ ? คือถ้าโดยส่วนตัวของอาตมาแล้ว จะดูว่าทำไมเราถึงโดนลบออกไป ไม่ใช่ไปหาว่าเขาทำไม่ดีกับเราอย่างนั้น เขาทำไม่ดีกับเราอย่างนี้ มาพร้อมกับข้อมูล ๓-๔ หน้ากระดาษว่าเขาไม่ดีอย่างไร แทนที่จะไปค้นหาว่าคนอื่นไม่ดีอย่างไร ทำไมเราไม่ค้นหาว่าเราไม่ดีอย่างไร ถึงโดนลบชื่อออก

ความละเอียดนี่เป็นสิ่งที่เราต้องการ แต่ต้องเป็นความละเอียดในการพิจารณาความผิดของตัวเอง ในลักษณะ "อัตตนา โจทยัตตานัง" ไม่ใช่ว่าเราถูกทุกอย่าง คนอื่นผิดหมด ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเสียโอกาสไปมากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ก็คือจะไม่มีวันแก้ไขปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้นได้เลย

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากใครเจอในลักษณะนี้ โปรดมองกลับไปอีกข้างหนึ่ง อย่ามองออก ให้มองเข้า อาตมาเคยพิจารณาตัวเองเวลาโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่า ดูตั้งแต่ต้นยันปลาย ปลายยันต้น ถ้างานนี้หาผิดไม่ได้จริง ๆ ท้ายสุดก็ต้อง "มึงผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว เพราะว่าถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนหรอก" หาให้ได้อย่างนี้แล้วเราจะปรับปรุงตัวเองได้ แต่ถ้าหาไม่ได้ เราจะปรับปรุงตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะกลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด

เถรี
04-05-2016, 18:48
"ดูไปดูมาแล้วเดี๋ยวเขาจะหาว่าแขวะรัฐบาล ก็ลักษณะเดียวกับ คสช. อุตส่าห์โยงแผนที่สารพัด คนโน้นทำอย่างนั้น คนนั้นทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างโน้น สรุปแล้วทั้งหมดก็คือรวมหัวกันโค่นล้มรัฐบาล แล้วทำไมไม่ดูว่าชาวบ้านลำบากอย่างไร ? เดือดร้อนอย่างไร ? ทำไมชาวบ้านหาเงินไม่ได้ ? ทำไมชาวบ้านทำนาไม่ได้ ? ทำไมชาวบ้านขายผลผลิตไม่ได้ ? ถ้ารู้จักโยงอย่างนี้ก็จะแก้ไขได้ทุกอย่าง

จริง ๆ แล้วรัฐบาลไม่ต้องเหนื่อยมากหรอก ทำตามพระราชดำริของในหลวง ทุกอย่างที่ในหลวงทำก็เพื่อความอยู่สุขของประชาชน ในเมื่อทุกอย่างทำเพื่อความอยู่สุขของประชาชน เราก็แค่รับเอาโครงการพระราชดำริมาทำเองก็จบแล้ว แต่เชื่อเถอะ...ถ้าหากว่ารัฐบาลเอาไปทำ โครงการดี ๆ ก็อาจจะเละหมด ตอนนี้ไม่ได้สงสารในหลวงอย่างเดียว สงสารประเทศไทยด้วย

รู้จักมองว่าคนอื่นผิดอย่างไร มีความสามารถในการขุดคุ้ยเชื่อมโยงเรื่องราวบุคคลอื่นถึงขนาดนั้นแล้ว ทำไมจึงไม่เปลี่ยนมาดูว่าตัวเองทำอะไรที่ไม่ดีบ้าง จะได้ปรับปรุงแก้ไข ถ้ารัฐธรรมนูญดีจริง ชาวบ้านเขาต้องรับอยู่แล้ว ที่เขาต่อต้านแสดงว่ายังไม่ดีจริง"

เถรี
04-05-2016, 18:50
"บางทีฟังโยมเล่าให้ฟังเสร็จ อาตมาก็นั่งหลับ ขี้เกียจรับเข้ามาใส่หู รกเปล่า ๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนอย่างกับเราเป็นคนดูข้างเวที คนดูข้างเวทีจะเห็นว่า ทำไมมวยชกไม่ได้เรื่องเลย ควรจะชกอย่างนั้น ควรจะเตะอย่างนี้ แต่เชียร์ให้ตายคนอยู่บนเวทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เพราะว่ากำลังหน้ามืด

ตอนนี้คาดว่ารัฐบาลคงลืมไปแล้วว่าตัวเองเข้ามาเพื่อทำอะไร เห็นว่าจะเข้ามาปราบโกง แก้ไขคอรัปชั่น ป้องกันเผด็จการรัฐสภา ตอนนี้ใครไม่รับธรรมนูญก็ไม่ว่า กูจะใช้ ม.๔๔ หนักกว่าเผด็จการรัฐสภาอีก..!

ตอนนี้ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างช่วยกันลุ้นสุดชีวิต เพื่อให้ในหลวงอยู่ต่อได้ ถ้าในหลวงอยู่ต่อไม่ได้ คราวนี้ยุ่งตายชักเลย แต่ก็ดีนะ...จะได้ถึงยุค "หนึ่งนารีขี่ม้าขาว" จริง ๆ เสียที ที่ผ่านมานั่นตัวปลอม ตัวจริงยังไม่มา บางอย่างรู้แล้วพูดไม่ได้ก็อึดอัดใจเหมือนกัน พูดมากเกินกฎของกรรมก็โดนอัดอีก"

เถรี
05-05-2016, 14:55
พระอาจารย์กล่าวว่า “มาถึงตอนนี้อาตมาไม่เป็นศัตรูกับใครแล้ว ในเมื่อไม่เป็นศัตรูกับใครก็ไม่มีอะไรให้ต้องระวัง”

เถรี
05-05-2016, 14:55
พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็ก ๆ มีพลังงานล้นเกินเพราะว่ายังปรุงแต่งมากไม่เป็น ในเมื่อปรุงแต่งมากไม่เป็น ได้กินอย่างใจ ได้เล่นอย่างใจก็พอแล้ว ส่วนผู้ใหญ่เรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่จะเอาหมด เลยใช้พลังงานไปเยอะ เดี๋ยวก็จะดูหนัง เดี๋ยวก็จะฟังเพลง”

เถรี
05-05-2016, 14:58
พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ว่า “ถ้ารู้ว่าภูมิต้านทานน้อยก็พยายามทำให้มากขึ้น ...(หัวเราะ)... ต้องระวังไว้ก่อนตั้งแต่แรก ไม่ใช่มาตั้งท่าเอาตอนเจอแล้ว ตั้งท่าตอนเจอแล้วส่วนใหญ่จะหงายท้องเสียก่อน พูดง่าย ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ใส่ให้เต็มที่ไว้ก่อน”

ถาม : พอตั้งใจจะทำจริง ๆ ตัวไหนจะเจอตัวนั้นแหละครับ ?
ตอบ : เขาอยากลองว่าแน่แค่ไหน ไม่ต้องห่วง...เรื่องพวกนี้มารเขาเก่ง ต้องการตัดตัวไหนตัวนั้นมาลองเลย เขาอยากรู้ว่าแน่จริงหรือเปล่า ตั้งใจจะละความโกรธก็มีแต่เรื่องให้โกรธทั้งวัน ตั้งใจจะละความโลภเดี๋ยวก็โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็อยากได้ ตั้งใจจะละราคะ แหม...มาแต่ละคนนี่ถูกใจล้วน ๆ เลย สมัยก่อนที่อาตมายังไม่รู้วิธีก็หนักใจ มาตอนหลังที่รู้วิธีแล้ว พอตอนเช้าก็เข้าสมาธิให้เต็มที่แล้วก็อาศัยกำลังคุมไว้ ไม่หลุดเสียอย่างไม่เป็นไรหรอก

เถรี
05-05-2016, 15:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้วันแรงงานก็เลยใช้แรงงานแต่เช้า เพราะเมื่อเช้าอาตมาขนน้ำ ๑ คันรถไปส่งที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดนครปฐม เพราะว่าเจ้าอาวาสใหม่มาปฏิบัติธรรมรวมกันที่นั่น ตอนอยู่บนรถไม่เห็นว่ามาก แต่พอตอนขนลง เจ้าประคุณเอ๋ย...ทำไมถึงได้เยอะขนาดนั้น กว่าจะขนเข้าที่ได้ หมดแรงแทบตายเลย

เจ้าอาวาสใหม่รุ่นนี้มีเกือบครึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อาตมาสอนไป ทั้งระดับประกาศนียบัตรและปริญญา ก็นับว่าแต่ละคนก้าวหน้าในทางโลกเป็นอย่างดี และมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ได้รับการปลูกฝังไปจากตอนช่วงที่สอนอยู่ว่า ไม่ให้ทิ้งในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เพราะว่าถ้าทิ้งเมื่อไรกำลังใจของเราจะไม่สามารถสู้อุปสรรคหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในระหว่างทำหน้าที่ได้ เพราะฉะนั้น...ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะกระโดดเข้าหาการปฏิบัติธรรมด้วยความยินดี ไม่เหมือนกันท่านที่ไม่ได้อบรมมา ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด อู้ให้มากที่สุด"

เถรี
05-05-2016, 15:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างขุนแผนเกราะเพชร ต้องบอกว่ารวมทั้งสายลุยและเมตตาเข้าด้วยกัน ...(หัวเราะ)... พระขุนแผนบ้านกร่างหรือขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล โดยเฉพาะขุนแผนบ้านกร่าง เป็นพระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชให้สร้างเพื่อให้ทหารในกองทัพติดตัวไปรบกับพม่า ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมคนที่ขุดกรุเจอถึงให้ชื่อว่าพระขุนแผน อาจจะเป็นเพราะว่าบ้านกร่างอยู่ศรีประจันต์ก็ได้

แต่จะว่าไปนางศรีประจันต์ก็ไม่ใช่แม่ขุนแผน แม่ขุนแผนคือท่านย่าทองประศรี แต่เนื่องจากว่าพระชุดนั้นมีทั้งแบบคู่และแบบเดี่ยว เขาก็เลยมี “พลายคู่” “พลายเดี่ยว” ซึ่งบรรดาตระกูลพลายก็เริ่มตั้งแต่ขุนแผนที่ชื่อว่าพลายแก้ว ลงไปลูก ๆ ก็พลายงาม พลายบัว พลายยง พลายเพชร คาดว่าบรรดาเซียนพระเขาคงมีเหตุผลที่ดีที่ตั้งชื่อพระว่าขุนแผน

พอมากรุวัดใหญ่ชัยมงคล สร้างบรรจุพระเจดีย์ที่สร้างเพื่อฉลองชัยชนะที่มีต่อกองทัพพม่า มีเวลาทำมากกว่า ก็เลยกลายเป็นขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรุบ้านกร่างหรือว่ากรุวัดใหญ่ชัยมงคลก็ราคาแพงสาหัสพอกันในปัจจุบัน"

เถรี
05-05-2016, 15:11
"แล้วขุนแผนอีกสำนักหนึ่งที่ดังระเบิดเถิดเทิงด้วยความสามารถเฉพาะตนเลย ก็คือ ขุนแผนพรายกุมาร ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ซึ่งท่านศึกษาวิชาการทำพระมาจากหลวงปู่ของท่านเอง หลวงปู่ของหลวงปู่นี่ถ้าเป็นรุ่นเราก็น่าจะเป็นปู่ทวด ก็คือหลวงปู่สังข์ วัดละหารไร่ หลวงปู่สังข์ขลังขนาดไหนไม่รู้ คนเขาร่ำลือกันว่าหลวงปู่สังข์บ้วนน้ำลายลงพื้นนี่พื้นแตกเลย..! ท่านขลังได้ขนาดนั้น ตำราก็ตกสืบมาถึงรุ่นหลวงปู่ทิม ก็ถือว่าได้รับการใช้งานและเกิดผลสูงสุด

ฉะนั้น...ขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ทิมถึงได้ดังมาก ราคาปัจจุบันแพงจับไม่ติด ก็คือถ้าไม่ได้เลขหกหลักขึ้นไปอย่าหวังเลยว่าจะได้เห็น ก็เลยมีคนไปเล่นประคำผงพรายกุมาร ก็คือ ถ้าได้ประคำมาเส้นหนึ่งก็แกะแบ่งกันคนละเม็ด ซึ่งหลวงปู่ทิมท่านก็ยืนยันว่าของท่านเม็ดเดียวพอแล้ว แล้วก็ไปเล่นลูกอมผงพรายกุมาร ซึ่งลูกอมก็เหลือจากพิมพ์พระ พอถึงเวลาเหลือเศษก็เอามาปั้นกลม ๆ ก็คือเนื้อเดียวกับขุนแผนพรายกุมาร เพียงแต่ว่าขุนแผนมีหลายพิมพ์ที่ฝังตะกรุด พิมพ์ที่ฝังตะกรุดมากที่สุดคือ ๙ ดอก"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24274&stc=1&d=1462435595

ราคาปัจจุบัน ที่วัดละหารไร่ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๙

เถรี
05-05-2016, 15:13
"คราวนี้ในส่วนของการสร้างพระขุนแผน ถ้าจะบอกว่าเกี่ยวข้องกับขุนแผนจริง ๆ ก็น่าจะเป็นของวัดท่าขนุนนี่แหละ เพราะว่าตำราอื่นเขาเรียกขุนแผนเพราะว่าเป็นพิมพ์ ๕ เหลี่ยม แต่ของวัดท่าขนุนต้องบอกว่า โดยสายเลือดอาตมาก็เป็นลูกหลานเมืองสุพรรณฯ ที่เป็นบ้านเกิดของท่านย่าทองประศรี โดยที่อยู่ปัจจุบันก็ไปอยู่กาญจนบุรีที่ขุนแผนท่านเป็นเจ้าเมือง สรุปแล้วถึงได้บอกว่าถ้าสร้างขึ้นมากลัวของเก่าอยู่แค่ ๒ สำนักเท่านั้น คือขุนแผนเข้ากรุที่เป็นวัดใหญ่ชัยมงคลหรือบ้านกร่าง และอีกสำนักหนึ่งคือหลวงปู่ทิม

อาตมาได้ไปอัญเชิญขุนแผนตัวจริงไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าวันพุทธาภิเษกขอให้มาช่วยด้วย ยังไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน แต่งานนี้ก็เน้นส่วนผสม ผงชนวนต่าง ๆ โดยเฉพาะผงยานัตถุ์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่อาตมาเก็บใส่ไว้เป็นแกลลอน แล้วเอาไปเข้าพิธีพร ๓๐ ประการที่วัดท่าซุงมาแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือผงกระเบื้องหลังคาโบสถ์วัดบางนมโค ซึ่งสร้างตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปาน เป็นที่พุทธาภิเษกวัตถุมงคลของหลวงปู่ปานด้วย ท่านเจ้าอาวาสเขารื้อ พอดีหลวงพี่ติงลี่ไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น ไปช่วยเขาบูรณะสร้างโน่นซ่อมนี่ ก็เลยขอกระเบื้องมาทำเป็นผงชนวนไว้ ให้อาตมามาขวดใหญ่ ถ้าว่าใหญ่แค่ไหนก็ประมาณขวดโอวัลติน"

เถรี
05-05-2016, 15:17
"มีคนถามว่าคนจองกันเยอะแยะขนาดนั้น ทำไมยังมีพระเหลือ ? อาตมาบอกว่าตั้งใจทำให้เหลือ เพราะว่าก่อน ๆ นี้สร้างวัตถุมงคลยอดก็คือ ๓,๐๐๐ องค์ ขุนแผนเกราะเพชรนี่พิมพ์เล็ก ๓๐,๐๐๐ องค์ แต่ดูท่าว่าจะเหลือน้อย เพราะว่าจองไปเกินครึ่ง อาตมาแนะนำก็คือจองพิมพ์เล็กไว้ ไม่ต้องไปสนใจกับตะกรุด เพราะถ้าท่านสงเคราะห์ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ จองตะกรุดไปก็แพงเปล่า ๆ

ตะกรุดนั้นลงคาถาหัวใจขุนแผน คือ สุนะโมโล ไว้ มาจากตัวคาถาปลุกที่ว่า เอหิมะมะ สุนะโมโล นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ ก็คือการเรียกหัวใจขุนแผนพร้อมกับธาตุ ๔

การเสกวัตถุมงคลถ้าเรียกธาตุ ๔ อาการ ๓๒ ได้ก็จะขลังกว่าปกติ ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาจะเรียกธาตุ ตั้งธาตุ หนุนธาตุกันไม่เป็น ยิ่งอาการ ๓๒ ยิ่งไม่ค่อยมีใครอยากจะเสกเพราะว่าคาถายาวมาก ความจริงคาถายาวทำให้สมาธิดี แต่คนก็มักจะไม่ชอบเพราะคาถายาว

แบบเดียวกับหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง สร้างตะกรุดมหาโสฬสต้องเสก ๓ ปี เหตุที่ต้องเสก ๓ ปีเพราะว่าต้องเสกด้วยโองการมหาทมื่น ๑๐,๐๐๐ จบ ถ้าถามว่าโองการมหาทมื่นเป็นคาถายาวขนาดไหน ? ก็ประมาณ ๑ หน้ากระดาษเอ ๔ ฉะนั้น...ถ้าใครมีตะกรุดมหาโสฬสของวัดสะพานสูง ตั้งแต่หลวงปู่วาสน์ขึ้นไปถึงหลวงปู่ทองสุข หลวงปู่กลิ่น หลวงปู่เอี่ยม ก็เก็บเอาไว้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ขลังทั้งนั้น

หลวงปู่วาสน์ก็เพิ่งจะมรณภาพไป อายุ ๑๐๐ ปีพอดี รุ่นต่อไปก็คงจะมีแต่ตะกรุด หาความขลังยาก เพราะว่าขี้เกียจเสก วัตถุมงคลเสก ๓ ปีนี่บังคับเลยว่าต้องขลัง อาตมายังเคยเอาไปออกในเว็บวัดท่าขนุนไปหนึ่งดอก"

เถรี
05-05-2016, 15:29
"ที่อาตมาตั้งใจทำพิพิธภัณฑ์ส่วนหนึ่งเป็นเครื่องรางของขลัง ก็เพราะว่าเครื่องรางของขลังเป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณ เหตุที่เป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณเพราะคนโบราณถือว่าพระต้องอยู่วัด ถึงสร้างเป็นพระเครื่องขึ้นมา พอออกศึกสงครามเสร็จก็นิมนต์พระกลับไปคืนวัด ที่จะติดตัวอยู่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องรางของขลังนี่แหละ จะเป็นตะกรุด เป็นลูกอม เป็นพิสมร เป็นมีดหมออะไรก็ตาม จนกลายเป็นของที่อยู่กับบ้าน เอาไว้คุ้มครองป้องกันตัวเองและครอบครัว

แต่ละอย่างก็จะมีเคล็ดในการสร้าง มีอุปเท่ห์ในการใช้ต่าง ๆ กันไป ถ้าคนเข้าไม่ถึงก็ขลังไม่พอ หรือขลังไม่เต็มที่ ถ้าหากว่าใครเข้าถึงก็ขลังกว่าปกติ โดยเฉพาะว่าถ้าเป็นสายหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุง การสร้างเครื่องรางของขลังยากกว่าสร้างพระ เพราะสายเรานิมนต์พระได้ แต่ว่าเรื่องของเครื่องรางของขลังเท่าที่เจอ ๆ มา ๒-๓ ครั้ง อย่างการเสกลูกแก้วนี่นั่งรอกันอานเลย เพราะท่านบอกว่าต้องเสกแก้วให้เป็นพระ ถ้าหากรูปพระอย่างไรก็เป็นพระอยู่แล้ว ก็เบาแรงไปครึ่งหนึ่ง

โบราณส่วนใหญ่แล้วเวลาสร้างวัตถุมงคลมักจะไม่ทับรอยครูบาอาจารย์ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุง ขอให้ท่านสร้างพระขี่สัตว์พาหนะท่านยังบอกว่าไม่ทำ เพราะว่าจะเป็นวัดรอยหลวงปู่ปาน ความจริงก็คือถ้าหากว่าทำเหมือน ๆ กัน พอนาน ๆ ไปของเก่าใกล้เคียงกัน คนรุ่นหลังจะแยกแยะไม่ออก"

เถรี
05-05-2016, 15:33
"ส่วนเครื่องรางของขลังนั้น ถ้าแบ่งจริง ๆ จะแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือส่วนของเครื่องราง ก็คือของที่สร้างขึ้นมาตามหลักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นตะกรุด เป็นลูกอม เป็นชานหมาก เป็นเบี้ยแก้ หมากทุยอะไรก็ตาม ส่วนในเรื่องของขลังมักเป็นไปตามธรรมชาติ เช่น บรรดาคดต่าง ๆ บรรดาเขี้ยว เขา งา ของสัตว์ที่ถือว่ามีเดชมีอำนาจกว่าปกติ แล้วยิ่งได้ครูบาอาจารย์มาลงอักขระเข้าพิธีก็ยิ่งขลังกันไปใหญ่

ในส่วนของเครื่องรางของขลัง ก็มีส่วนที่ทำถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะที่เขาเรียกว่าเครื่องคาดราชศาสตรา ส่วนใหญ่ก็ทำเป็นโลหะ ๓ ชนิด ที่เรียกว่า ๓ กษัตริย์ ก็คือ ทองคำ นาก แล้วก็เงิน เครื่องคาดราชศาสตราที่โด่งดังที่สุด ก็คือ ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราช แต่ว่าตะกรุดที่ทำในลักษณะนี้ที่เห็นมา ที่สวยที่สุดกลับเป็นของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ของหลวงปู่ดู่เป็นตะกรุดไม้ไผ่ แต่ไม่ว่าจะเส้นยันต์หรือว่าอักขระของท่านชัดเจน สวยมาก ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ไม่ต้องเอาเป็นเครื่องรางของขลังก็เป็นงานศิลปะในตัวอยู่แล้ว

ตะกรุดมหาจักรพรรดิตราธิราชที่ดัง ๆ ก็สายวัดประดู่โรงธรรม ถามว่าสายประดู่โรงธรรมสืบสายมาอย่างไร ? ก็มาทางด้านหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ หลวงปู่อั้น วัดพระญาติ หลวงปู่สี หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อีกสายหนึ่งก็มาทางสายแม่กลองของหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ตำราเดียวกัน คาถาเดียวกัน ส่วนของหลวงปู่เทียมนั้นถือว่าเป็นรุ่นหลัง ของหลวงปู่เทียมส่วนใหญ่ทำเป็นตะกรุดมหาระงับตามสายแม่กลอง ตะกรุดมหาจักรพรรดิทำยาก ต้องตั้งราชวัตรฉัตรธงนิมนต์พระ ๑๐๘ รูปเจริญพุทธมนต์ แล้วนั่งลงอยู่ในนั้นแหละจนกว่าจะเสร็จ ก็แปลว่าแต่ละท่านทำได้ไม่กี่ดอกหรอก"

เถรี
05-05-2016, 15:37
ถาม : ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมนี่ดีอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้ดีอย่างไรหรอก อาศัยแรงผีช่วย แต่ว่าผีมาถึงหลวงปู่ทิมก็ไม่เป็นผีแล้วล่ะ ...(หัวเราะ)... แค่ดูคาถาปลุกของท่านก็รู้แล้ว “สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ จงอยู่ใต้พุทธบารมี” ไม่ได้มีไสยศาสตร์สักคำเลย

ถาม : แล้วกุมารหลวงพ่อเต๋ ?
ตอบ : หลวงพ่อเต๋นี่รุ่นก่อนนะ ทันกัน แต่ว่าหลวงปู่ทิมอายุยืน หลวงพ่อเต๋มรณภาพไปก่อน หลวงพ่อเต๋นี่ต้องกุมารทอง กุมารทองประเทศไทยดังก็เพราะหลวงพ่อเต๋นี่แหละ หลวงพ่อเต๋ท่านฉายา คงฺคสุวณฺโณ คนเลยแปลง่าย ๆ ว่าคงทอง มาตอนหลังมีคนใช้นามสกุลคงทองตามกันเยอะเลย

เถรี
06-05-2016, 15:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงสุนทรภู่ก็บอกไว้ชัดนะว่า เสียงปี่พระอภัยทำให้ "อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร" ได้ยินเมื่อไรก็เสร็จหมด ก็แสดงว่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่จะใช้เสียงดนตรีทำให้บุคคลคล้อยตามความต้องการของตนเองได้ แต่ของพระอภัยมณี ถ้าคิดตามก็หลับ...ลืมรบไปเลย"

เถรี
06-05-2016, 15:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าพูดถึงหน้าร้อนแล้วคนไปเดินห้างมาก แล้วก็เดินกันเป็นวัน ในส่วนที่กล่าวถึงก็คือ เดินห้างได้เป็นวัน แล้วก็อ้างว่าไม่มีเวลาให้ลูก น่าตายไหม ? เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวยังดูแลให้ดีได้ เลี้ยงลูกกลับดูแลให้ดีไม่ได้

สาเหตุที่บ่นอย่างนี้เพราะว่าหมาที่วัดคลอดลูกมา ๑๑ ตัว กินนมจนแม่หมาเหลือแต่ซี่โครง เอาอะไรไปให้แม่หมาก็กินทั้งนั้น แล้วก็ยังหิวอยู่ สรุปว่ายังไม่เห็นแม่หมาคาบลูกไปทิ้งถังขยะแล้วบอกว่า “แม่จำเป็น” เลยสักตัวหนึ่ง เชื่อเถอะ...เดี๋ยวกลับไปก็แทบไม่เหลือ

นโยบายที่วัดก็คือ เลี้ยงลูกหมาให้สวยเข้าไว้ เดี๋ยวก็มีคนช่วยเอาไปเลี้ยงเอง พระก็แกล้งทำเป็นหวง ๆ ไว้หน่อย พอพระอาจารย์ไม่อยู่วัดลูกหมาก็หายหมด ทุกวันนี้เฉพาะค่าหมอค่ายาหมาเดือนหนึ่งเป็นหมื่น ไม่ค่อยจะพอด้วย

อาตมากำลังวางแผนทำหมันแมวของแม่ชี เพราะว่าแมวจะเป็น ๑๐๐ ตัวอยู่แล้ว ที่น่าเบื่อที่สุดก็คือชอบมาฉี่ในหอฉัน ให้แม่ชีเขาจัดการทำกรงใหญ่ใส่รวมกันเอาไว้ ไม่รู้ว่าแหกกรงออกมาได้อย่างไร ? คาดว่าตาข่ายต้องใหญ่ หัวแมวจึงลอดได้ สัตว์นี่แปลกมาก ถ้าหัวไปได้ ตัวก็จะไปได้ ก็คือตาข่ายเราเห็นว่าเป็นสี่เหลี่ยม ๆ ไม่น่าออกได้ เขาก็ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเอาหัวออกได้ พอหัวออกได้แล้วตัวจะตามมาได้สบายเลย ยิ่งงูนี่ยิ่งใช่เลย ถ้าหัวงูออกได้ตัวไปได้แน่นอน

ระยะนี้งูไม่ได้อยู่เย็นเป็นสุขเลย เพราะอากาศร้อน กลางคืนก็เลยเพ่นพ่านไปหมด ที่น่าหวาดเสียวคืองูกะปะ เพราะว่างูกะปะเวลากัดแล้วกว่าจะตายก็ทรมานกันนาน โดนงูจงอางหรืองูเห่ากัดเสียยังดีกว่า แล้วเจ้ากะปะตัวนี้ก็จะหาที่เหมาะ ๆ ไปนอนแต่ละที่ครึ่งวันค่อนวัน ไปดูกี่ทีก็อยู่ตรงนั้นแหละ พออากาศเริ่มร้อนแล้วถึงย้ายที่"

เถรี
06-05-2016, 19:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านอาจารย์วิสุทธิ์ไปบุกรังญาติ "ลุงนวล" ลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค (โฆสิตาราม) ขนวัตถุมงคลมาเพียบเลย ปรากฏว่าอาตมาได้รับแบ่งปันมาหนึ่งในเจ็ด ไม่ใช่ได้มาหนึ่งในสองหรือครึ่งหนึ่งนะ ได้มาแค่หนึ่งในเจ็ด แสดงว่าท่านขนมาเต็มที่"

เถรี
06-05-2016, 19:13
ถาม : ที่บ้านมีหนังสือของหลวงพ่อเกษม วัดสามแยก พวกคำสอนแปลก ๆ จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ชั่งกิโลขาย หรือไม่ก็จำเริญด้วยไฟ..!

เถรี
09-05-2016, 07:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเดือนที่แล้ว สมเด็จวัดบางขุนพรหมไปออกในราคา ๑๐๐ บาท ตูเห็นแล้วตูก็อึ้งเหมือนกัน อาตมาไม่ได้ดูว่าเขาถวายอะไรมา เจ้าตัวเล็กก็ดูของไม่เป็น ถ่ายรูปแล้วก็ลงอาตมาชี้ให้ดูทีหลังว่า องค์นี้ในตลาดไม่ต่ำกว่าล้าน ออกแค่ ๑๐๐ บาท..!"

เถรี
09-05-2016, 07:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปเป็นเวลา ๔๕ วัน มีการอบรมกรรมฐานให้เจ้าอาวาสใหม่ในคณะสงฆ์หนกลาง อาตมาจะเอาน้ำดื่มไปเลี้ยงพระ ฉะนั้น...ญาติโยมที่ทำบุญเรื่องน้ำดื่มมา ขอให้รู้ว่าเป็นมหาสังฆทานเลย ไม่ได้เลี้ยงพระระดับทั่วไปนะ เลี้ยงพระระดับเจ้าอาวาสทั้งนั้นเลย

ถ้าสำหรับเจ้าอาวาสใหม่ ปกติอาตมาจะเป็นรองประธานวิปัสสนาจารย์ เป็นรองที่ใจดีมาก ใครยื่นใบลามาก็เซ็นให้หมด ปีนี้เขาเลยไม่ให้เป็นรอง ให้เป็นที่ปรึกษา มีหน้าที่จ่ายเงินกับเลี้ยงพระ ปกติเจ้าอาวาสมักจะมีงานมาก คราวนี้ไปปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง ๔๕ วัน แล้วมีงานวัดมีอะไร บางรายก็งานศพอดีตเจ้าอาวาส บางรายก็งานประจำปี ด้วยความที่ถ้าไม่มีเจ้าอาวาส งานก็จัดไม่ได้ แล้วตัวเองเพิ่งจะเป็นเจ้าอาวาส ถ้าไม่จัดงานแบบนี้ชาวบ้านก็ไม่คบอีก อาตมาก็เลยเซ็นให้ไป น่าจะเซ็นง่ายไปหน่อย ปีนี้เลยไม่มีอำนาจในการเซ็น มีอำนาจในการจ่ายเงินอย่างเดียว..!"

เถรี
09-05-2016, 07:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "การให้ของดีที่สุดเป็นอธิบดีทาน บางตำราเรียกสามีทาน ถึงเวลาเราได้ก็จะได้ของที่ดีที่สุด ถ้าให้ของดีที่เรากินเราใช้ เขาเรียกสหายทาน หรือสขีทาน ถ้าหากว่าให้ของที่เรากินแล้ว ใช้แล้ว ก็คือเหลือจากของเรา เรียกว่าทาสทาน ถึงเวลาทานให้ผลก็ได้ของที่เขาใช้แล้วเหมือนกัน หรือบางทีก็ใช้ของดีไม่ได้ อย่างอานันทเศรษฐี ถึงเวลานุ่งผ้าใหม่ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นใช้ก่อนครั้งหนึ่ง ตัวเองถึงจะนุ่งได้ ไม่อย่างนั้นจะคัน บุญน้อยไปนิดหนึ่ง

อาตมาเองน่าจะทำทาสทานไว้เยอะ เพราะสมัยรับราชการชุดที่เกลียดที่สุดคือชุดปกติขาวเต็มยศ ร้อนตับแตกเลย ไม่ค่อยยอมใส่กับใครหรอก ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในบัตรเชิญระบุว่าให้แต่งปกติขาวอกแข็ง อาตมาไม่ไปเลย ยอมเสียโอกาสไม่ต้องเข้าเฝ้า"

เถรี
09-05-2016, 07:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอสมัยก่อนก็คือมีดอีโต้นั่นแหละ เขาถือเคล็ดคำว่า "โต้" ก็คือต่อต้าน รักษาบรรดาโรคต่าง ๆ ที่หมอรักษาไม่ได้ แม้กระทั่งมีดหมอหลวงปู่ปาน ก็เป็นมีดอีโต้"

เถรี
09-05-2016, 14:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อาตมาไปฝังเข็ม ฝังอาทิตย์ละครั้ง หมอเขาให้นั่งหันหลังให้ แล้วก็ปักเข็มที่ต้นคอ เล่มที่ ๑ เล่มที่ ๒ เล่มที่ ๓ พอเขาปักเข็มเล่มที่ ๔ เกิดความรู้สึกเหมือนกับลมตีขึ้น จึงบอกหมอว่าเหมือนกับจะเป็นลม หมอเขาก็หยุด สักพักหนึ่งเขาก็ดึงตัวให้เอนนอนลงบนเตียงแทน แล้วหมอก็บอกว่า เคยฝังเข็มให้กับพระวัดเส้าหลิน แค่เข็มสองเข็มก็ร่วงทั้งยืนแล้ว หลวงพ่อโดนไป ๔ เข็มยังอุตส่าห์นั่งอยู่ได้อีก สรุปว่านี่ตูประหลาดกว่าชาวบ้านเขาใช่ไหม ? ก็คือมีสติรู้ตัวอยู่ก็เลยบอกหมอว่ารู้สึกว่าจะเป็นลม หมอก็เลยดึงให้นอน

พอมาอาทิตย์ที่ ๒ ฝังไป ๑๑ เข็ม เพิ่งจะรู้สึก สงสัยเหมือนกันว่าการรักษาจะได้ผลหรือไม่ ? เวลาฝังเข็มจุดที่เลือดลมอุดตัน จะทำให้เลือดลมวิ่งผ่านได้ การที่ลมผ่านได้กระทันหันก็คือเป็นลม เพราะลมมากเกินกว่าที่มีอยู่ แต่ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาโดนไป ๓๑ เข็ม พักสัก ๒ นาทีก็ลุกเดินได้ ไม่ต้องพักนาน หมอฝังเข็มไปก็หัวเราะไป บอกว่าไม่เคยพบไม่เคยเห็น

หมอเขามีเครื่องมือเครื่องไม้ครบ พอบอกว่ามีอาการเหมือนกับเป็นลม ก็เอาเครื่องมาวัดความดัน วัดชีพจรมาวัดให้ ปรากฏว่าความดัน ๑๐๓ กับ ๖๐ ชีพจร ๕๓ ครั้ง หมอก็เลยถอดออกแล้วใช้มือจับชีพจรแทน ก็ได้ ๕๓ ครั้ง หมอบอกว่าความดันต่ำเกิน อาตมาบอกกับหมอว่าไม่ใช่ต่ำเกิน ตั้งใจให้อยู่แค่นี้ เพราะว่าเวลาเราทรงสมาธิ ระดับของชีพจรหรือการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต ฯลฯ ของแต่ละระดับสมาธิจะไม่เท่ากัน ถ้าต่ำกว่านี้เราจะทำงานไม่ได้ แต่สูงมากกว่านี้ โอกาสที่จะฟุ้งซ่านไปกับกิเลสก็มาก ก็เลยต้องล็อกไว้ระดับนี้ แต่ว่าหมอเขาจับชีพจรได้แม่นมาก เพราะตรงกับเครื่องเลย

เคยไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลภูมิพล หมอเขาตรวจเสร็จก็บอกว่า หัวใจเต้นอ่อน ก็ต้องอธิบายให้หมอฟังว่า คนปฏิบัติสมาธิจะเป็นลักษณะอย่างนี้ หมอบอกว่าถ้าไม่ได้รับคำอธิบายก่อน จะเจอน้ำเกลือ ๒ ขวด...!"

เถรี
09-05-2016, 14:59
"ที่ไม่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หมอให้ฉันวิตามินรวมวันละเม็ด อาตมาบอกว่าฉันไปเม็ดเดียวก็เสียงแหบไปเป็นอาทิตย์แล้ว แกก็ยังไม่เชื่อ เลยฉันไป ๑ เม็ด ตั้งแต่วันนั้นมาจนวันนี้เสียงยังไม่กลับคืนมาเท่าไร ถ้าขืนไปฉันวันละเม็ดอย่างที่เขาว่าคงจะพ่นไฟได้ หมอเห็นความดันต่ำ หัวใจเต้นช้า คิดว่าร่างกายไม่แข็งแรง แสดงว่ายังไม่เห็นตอนอาตมาแบกของ..!

การรักษาโรคของหมอทุกรูปแบบ รวมทั้งการฝังเข็มด้วย ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของคนไข้ ไม่ใช่คิดว่าได้ยาดีแล้วเราจะทำอย่างไรก็ได้ ได้หมอดีแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะบางอย่างเป็นการซ้ำเติมตัวเอง หมอต้องเดือดร้อนรักษา โดยเฉพาะเรื่องการกินการอยู่หรือการออกกำลังกาย การกินการอยู่ต้องระมัดระวัง การออกกำลังกายต้องมี ไม่เช่นนั้นถึงเวลาร่างกายไม่แข็งแรงหมอก็ต้องช่วยกันตายเลย

หมอเป็นคนจีนไต้หวันพูดไทยได้ไม่ชัด เขาบอกว่าหลวงพ่อมัวแต่ช่วยคนอื่นอยู่ จนไม่เหลือแรงไว้ช่วยตัวเอง ปกติแกไม่รับรักษาพระ ไม่รับรักษานักการเมือง ถือว่าเป็นกรณีพิเศษที่แกยอมรักษาให้ หมอบอกว่าช่วยคนอื่นมากเกินไปตัวเองก็เดือดร้อนแบบนี้ ก็แสดงว่าหมอเขาก็เข้าใจเรื่องของการที่ไปยุ่งกับกรรมชาวบ้านเขา ความจริงไม่ใช่อาตมาไม่มีแรงไปสู้ เพียงแต่ไม่คิดจะสู้ต่างหาก เรื่องกฎของกรรมนี่จะไปสู้อะไรได้ แต่นั่งมองว่าเขาจะทำอะไรเราบ้าง ยอมรับแต่โดยดีว่าเราเป็นหนี้ แล้วก็จ่าย ๆ ไปเสีย"

เถรี
09-05-2016, 15:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงประมาณอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา พระนิสิตปริญญาตรี การจัดการเชิงพุทธปี ๒ ของห้องเรียน มจร.วัดป่าเลไลยก์ ปกติอาตมาก็ต้องไปสอนถึงวัดป่าเลไลยก์ เขาบอกว่าอยากเห็นว่าอาจารย์ทำอะไรบ้าง ขอไปเรียนที่วัดสักวันหนึ่ง อาตมาก็บรรยายแล้วก็ฉายสไลด์ให้เขาดูว่าทำอะไรไปบ้าง เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาสงเคราะห์ พอบรรยายจบ เขาตั้งคำถามว่า “หลวงพ่อเอาเงินจากไหนมาทำครับ ?” เขาเห็นว่าจ่ายเสียขนาดนั้น

ทุนการศึกษาปีนี้ ๙ โรงเรียน แล้วก็มีทุนอุดมศึกษาคือระดับปริญญาตรีทุนละ ๓๐,๐๐๐ บาทอีก ๙ ทุน เพราะว่าปีนี้จบเพิ่มอีกหนึ่งราย อีกรายหนึ่งที่ไม่จบเพราะว่าทำงานไปเรียนไป ขาดเรียนมากก็เลยไม่จบ ทางด้านอาจารย์ที่ปรึกษาถามมาว่าจะให้ทุนอีกไหม ? อาตมาบอกว่าให้อีกปีหนึ่ง แล้วขอดูผลการเรียน ไม่อย่างนั้นปีนี้จะเหลือแค่ ๘ ทุน เพราะว่าพวกที่เรียนปริญญาตรี ๕ ปี โดยเฉพาะคณะครุศาสตร์ ปีนี้เริ่มจบ จึงเหลือน้อยลง แต่ว่าปรากฏว่ามีรายนี้ที่ไม่จบ จึงต้องให้เพิ่มไปเป็นปริญญาตรี ๙ ทุน ก็ ๒๗๐,๐๐๐ บาท

ถ้าหากว่าเป็นทุนระดับมัธยม อาตมาให้ทุนละ ๓,๐๐๐ บาท เฉพาะของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาก็ ๒๔ ทุนตายตัวอยู่แล้ว แล้วยังมีโรงเรียนบ้านดินโส โรงเรียนบ้านเหมืองสองท่อ แล้วก็โรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทน ส่วนของระดับประถมศึกษาทุนละ ๒,๐๐๐ บาท ก็ตกโรงเรียนละ ๔๐,๐๐๐ บาท จะขยายทุนไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยปีละ ๑ โรงเรียน จนกว่าจะครบ ๓๒ โรงเรียนของทองผาภูมิ ไม่รู้ว่าอาตมาจะอยู่ถึงหรือเปล่า ?

ส่วนพระเณรของวัดท่าขนุนที่เรียน มีรายจ่ายประมาณเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วเดือนไหนค่าเทอมออกก็ราว ๆ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ให้เขาไปเรียนเองข้างนอกก็คงไม่ไหว อาตมาจึงส่งเรียนทุกรูปที่อยากเรียน"

เถรี
09-05-2016, 15:31
"ปีนี้มิติเด็กวัดท่าขนุน จบปริญญาตรีก็ให้ต่อปริญญาโทไปเลย ทั้งหมู่บ้านของเขาเพิ่งมีจบปริญญาตรีคนนี้คนเดียว กลับไปคุณสมบัติก็ท่วมชาวบ้านแล้ว เห็นมีโอกาสจึงให้เรียนต่อปริญญาโทไปเลย โดยเฉพาะเขาเรียนปริญญาตรีของสุโขทัยธรรมาธิราช อ่านหนังสือเองแล้วไปสอบ ไม่มีอาจารย์อธิบายให้ฟัง ก็เลยเรียนถึง ๖ ปี เรียนตั้งแต่อาตมาเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย มาจบหลังอาตมาจบปริญญาเอก ๑ ปี อาตมาอยากจะให้ยืมสมองไปใช้เหมือนกัน เสียดายที่ถอดให้ไม่ได้...!

บอกกับนักศึกษาว่า งานคณะสงฆ์ของเรามีจุดบกพร่องตรงที่ว่า ทำความดีแล้วไม่มีใครช่วยโฆษณา แต่ว่าพอทำไม่ดีจะโดนทันที สิ่งหนึ่งที่ขอเอาไว้ก็คือ ถ้าไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืองานเป็นสาธารณะ ที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับคณะสงฆ์ ก็อย่าทำให้คณะสงฆ์ต้องพังเพราะมือของพวกท่านเอง ก็คือถ้าไม่สามารถที่จะทำให้ศาสนาเจริญได้ ก็อย่าทำให้ศาสนาพังเพราะเราเลย

อาจารย์ท่านให้เอกสารมาด้วย กำหนดหัวข้อให้สรุปการบรรยายเป็นข้อ ๆ ถึงเวลาก็ส่ง ความจริงการเรียนนอกสถานที่ก็ดี แต่ว่าจากวัดป่าเลไลยก์ไปถึงทองผาภูมิ เดินทางตั้ง ๓ ชั่วโมง ช่วงนี้เป็นช่วงภาคฤดูร้อนของพระเณร อาตมาโดนบรรยายวันละ ๖ ชั่วโมง วันก่อนไม่ได้ไปงานศพของโยมที่คุ้นเคยกัน เพราะว่าชั่วโมงสุดท้ายเลิก ๖ โมงครึ่ง จากวัดไร่ขิงวิ่งกลับไปวัดท่าขนุนอย่างไรก็ไม่ทันฟังสวด โยมก็มักจะบ่นว่างานศพก็ไม่ได้ไป ถ้าว่างวันไหนก็ไปวันนั้นแหละ เขาสวดตั้ง ๕ วัน ๗ วัน

เมื่อวานซืนก็ไปประชุมที่วัดตะคร้ำเอน อำเภอท่ามะกา จน ๕ โมงกว่า วิ่งกลับไปทันฟังสวดพอดี ไม่ได้เข้าวัดหรอก ไปงานศพเขาก่อน เสร็จแล้วค่อยไปสรงน้ำผลัดผ้า ยังโชคดีว่าชุดของพระไปได้ทุกงาน แปลว่าเวลาที่จะเปลี่ยนชุดยังไม่มีเลย..!"

เถรี
09-05-2016, 15:56
มีเด็กถามเรื่องสัตว์วิเศษ "พวกสัตว์เขาจำพวกที่เกิดมาแล้วมีของดีคู่ตัวมา ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนสัตว์บางประเภทเขาต้องเอามาทำเป็นยาหรืออาหาร ถึงจะมีสรรพคุณพิเศษกว่าอย่างอื่นเขา ถ้าอยากจะรู้ว่าสัตว์อะไรเป็นสัตว์วิเศษนี่ต้องศึกษากันอีกเยอะ

จะว่าไปแล้วพวกสัตว์เขาก็มีอำนาจจิตนะ อย่างงูเวลาเลื้อยเข้าหาเหยื่อ บางทีเหยื่อแข็งทื่อไปไหนไม่ได้เลย เอาเป็นอันว่าถ้าเสือเดินเข้ามาหา ถ้าเราวิ่งหนีได้ก็คือไปเลย ถ้าไม่ได้ก็คือยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น นี่คืออำนาจของสัตว์ ต้องบอกว่าอำนาจจิตเขาเหนือกว่า กดเหยื่ออยู่เลย"

เถรี
09-05-2016, 16:01
ถาม : ในเรื่องเพชรพระอุมา เชื่อความรู้เกี่ยวกับป่าได้มากน้อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ถ้าความรู้เกี่ยวกับป่าก็เชื่อได้ทั้งหมดนั่นแหละ เป็นของจริงที่ครูเขาไปเจอมาเอง แม้กระทั่งที่ไปเอาพริกขี้หนูมาตำแล้วพอกแก้พิษตะขาบ ตำรายาของอินเดียเขาบอกว่า ให้เอาพริกขี้หนูมาตำ ละลายน้ำ แล้วก็กรอกให้คนที่โดนงูกัด ส่วนกากให้เอาไปพอกที่แผล รับรองว่าหายทุกราย อาตมาว่าไม่หายก็คงตายเพราะพริกขี้หนูนั่นแหละ เผ็ดเสียขนาดนั้น..!

เถรี
11-05-2016, 12:18
มีโยมพาคนที่พิการทางสมองมาทำสังฆทาน "เก่งมาก...ยังใช้งานได้ มีหลายคนที่เหมือนอย่างกับหุ่นยนต์ ต้องสั่งถึงจะทำ นี่เขายังรู้จักคิดรู้จักทำเอง

จำไว้ว่าโทษของสุราและยาเสพติดนั้นข้ามชาติข้ามภพในลักษณะอย่างนี้แหละ เกิดใหม่ก็กลายเป็นคนไม่เต็มเหมือนอย่างที่เห็น ตอนนี้บังคับเอาเหล้ากรอกปากก็ไม่กินแล้ว เรื่องที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือทุกชาติทุกภาษาก็มีเหล้า ถามหน่อยซิ มีชาติไหนที่ไม่มีเหล้าบ้าง ? แม้กระทั่งประเทศอิสลามซึ่งกฎหมายเขาห้ามกินเหล้า แต่ที่สุไหงโกลกคนทางฝั่งมาเลเซียข้ามด่านมากินเหล้าที่สุไหงโกลก เมาได้ที่แล้วค่อยกลับบ้าน แต่ละชาติแต่ละภาษาก็มีเหล้าที่มีชื่อเสียงของตัวเอง สรุปแล้วเรื่องผิดศีลนี่ไปทั่วโลกเลย"

เถรี
11-05-2016, 12:20
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่พาครอบครัวมาทำสังฆทาน “อ้าว...แล้วพ่อไม่ได้มาหรือ ? (นั่งรอข้างล่างครับ ขึ้นบันไดไม่ไหวแล้ว) อุ้มขึ้นมาเลย ขอแนะนำ อาตมาเองสมัยดูแลหลวงปู่มหาอำพัน อุ้มท่านจาก ๘๐ กว่ากิโลกรัมจนเหลือแค่ ๔๔ กิโลกรัม”

เถรี
11-05-2016, 12:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ได้ยินว่าทางด้าน สปช. จะปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เหมือนอย่างกับเคาะกะลาให้หมาดีใจ ขออภัยถ้าท่านคิดว่าตัวเองเป็นหมา อาตมาแค่เปรียบเทียบตามสำนวนโบราณเท่านั้น

เขาบอกว่าปัจจุบันนี้เปรียญธรรม ๙ ประโยคเขาเทียบให้แค่ปริญญาตรีเท่านั้น ถ้าเรียนไม่ตกเลยต้องเรียนใช้เวลาถึง ๘ ปี ก็เลยจะมีการเทียบให้ว่าเปรียญธรรม ๖ ประโยคเทียบเท่าปริญญาตรี เปรียญ ๗ หรือ ๘ ประโยคเทียบเท่าปริญญาโท แล้วเปรียญธรรม ๙ ประโยคเทียบเท่าปริญญาเอก

อาตมาอยากจะเตือนท่านที่กำลังจะเด้งรับว่า เขาแค่เคาะกะลาให้หมาดีใจ เพราะว่าประโยคเปรียญธรรมต่าง ๆ นั้นเรียนแต่บาลีอย่างเดียว ไม่มีความรู้พื้นฐานอื่นเลย ซึ่งส กอ. อย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้ผ่านอยู่แล้ว ซึ่งแปลว่าถ้าใครอยากได้ก็ต้องไปเรียนวิชาพื้นฐานอย่างน้อย ๖ วิชา แล้วถ้าเป็นปริญญาโทหรือปริญญาเอก ก็อาจจะต้องเรียนวิธีการทำวิจัยเพิ่มเติม และอาจจะต้องทำวิจัยเกี่ยวกับภาษาบาลี ซึ่งจำนวนผู้ที่สอบบาลีได้มีมากมายมหาศาลทั่วประเทศ ถ้าไปเทียบวุฒิพร้อม ๆ กันก็หาหัวข้อวิทยานิพนธ์ไม่ได้หรอก

ของบางอย่างเขาพูดให้ฟังดูดี แต่ไม่ได้ง่ายในการที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามที่พูด ฉะนั้น...อย่าได้หลงไปดีใจ "

เถรี
11-05-2016, 12:22
"ที่อาตมาต้องการคือ แค่ให้การเรียนบาลีเป็นการเรียนแบบเก็บหน่วยกิต ถ้าหากว่าเก็บหน่วยกิตได้เท่านั้นเท่านี้ก็ให้ผ่านประโยคนั้นไป เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว การเรียนบาลีปัจจุบันนี้เรียนเพื่อรู้มีมาก แต่เรียนเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญมีน้อย ดังนั้น...ถ้าเรียนแบบเก็บหน่วยกิตก็สำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไปที่ต้องการรู้ว่าบาลีแปลว่าอย่างไร เอาประเภทแค่แปลออกงู ๆ ปลา ๆ ก็ยังดี แต่ถ้าจะเอาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ก็เอาท่านที่เรียนยาวไปยันประโยค ๙ เลย เสร็จแล้วก็ศึกษาบาลีชั้นสูงเพิ่มเติมให้รู้ที่มา รู้สูตรในการสมาส ในการสนธิต่าง ๆ"

เถรี
11-05-2016, 13:01
ถาม : สวดพระคาถาเงินล้านแล้วมือร้อน มีอยู่วันหนึ่งนั่งแล้วใจสบายก็เลยภาวนาสักหน่อย ทีนี้เกิดอาการร้อนก็เลยปล่อยไปเรื่อย จนความร้อนเกิดเป็นคลื่นขึ้นมาถึงหัว แล้วก็ลงมาที่มือ ?
ตอบ : สังเกตดูว่าหลังจากนั้นแล้ว สิ่งที่เราภาวนาทำให้เกิดผลแล้วหรือไม่ แล้วถ้าหากว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง แปลว่าคาถาน่าจะได้ผล ต่อไปให้สังเกตดูว่าพอเกิดอาการอย่างนั้นขึ้นแล้ว มีลาภผลอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ถาม : พอกลับมาก็เลยเปิดคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีก็ร้อนเหมือนกัน ก็ไม่คิดว่าเปิดคำสอนก็จะเกิดอาการร้อนเหมือนกัน ?
ตอบ : แสดงว่าเกิดจากกำลังของสมาธิ

ถาม : หลังจากนี้แล้ว ต้องทำอะไรต่อไปคะ ?
ตอบ : มีหน้าที่ภาวนาไป อย่าไปสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถ้าสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น สมาธิจะไม่ทรงตัว บางคนก็กลัวจนไม่ทำต่อ ซึ่งทำให้เสียประโยชน์ของตนเอง ทำไปเรื่อย ๆ จะเป็นจะตายก็ช่างมัน

ถาม : ถ้าอย่างนั้นควรภาวนาต่อ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ถ้ามัวไปใส่ใจก็เสียผลในการปฏิบัติ

เถรี
11-05-2016, 13:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพวกเรานั่งในห้องนี้แล้วรู้สึกว่าสบาย ก็แปลว่าตอนนี้ทุกห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ เต็ม เคยดูรูปที่เขาส่งมา ห้างในเมืองจีน โดยเฉพาะที่ขายเฟอร์นิเจอร์ มีคนนอนแน่นไปหมด นอนแบบไม่เกรงใจคนขายเลย ไม่ว่าจะเตียง โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ เขายึดไปนอนหมด

ตรงจุดนี้ที่กล่าวถึง ไม่ได้เปรียบให้ดูว่าคนไทยเรามีระเบียบวินัยมากกว่า แต่อยากจะบอกว่า คนเราจำนวนมากเวลาเดินซื้อของในห้างมักจะลืมวันลืมเวลา เพราะว่าทางห้างเขาตั้งใจทำให้ไม่มีเวลา เนื่องจากว่าจะกี่โมงกี่ยามก็สว่างเท่ากันหมด และส่วนนี้แหละที่บุคคลเป็นจำนวนมากควรจะเอามาพิจารณาว่า ที่ตัวเองบอกว่าไม่มีเวลาให้ลูกนั้นจริงไหม ? เดินห้างได้เป็นวัน ๆ แต่ไม่มีเวลาให้ลูก ก็แปลว่าเวลาสำหรับลูกมีเหลือเฟือ แต่ไม่รู้จักแบ่งเวลาเอง

สำหรับลูกหรือเด็ก ๆ แล้ว เราจะอ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้ ต่อให้ไม่มีขนาดไหนก็ต้องหามา เพราะว่าไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังต้องการเวลาจากคนอื่น โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่กำลังใจยังไม่มั่นคงพอ ต้องการให้คนอื่นสนใจ ต้องการให้เป็นที่ยอมรับ ก็เลยกลายเป็นว่าเด็กวัยรุ่นส่วนหนึ่งไปทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ ในสายตาผู้ใหญ่ แต่เขาได้การยอมรับจากเพื่อนฝูง ทำแล้วเพื่อน ๆ เห็นว่าเขาเป็นฮีโร่ เขาก็เลยไปแว้น ไปพ่นสีใส่กำแพง ไปยกพวกตีกัน จะว่าไปแล้วก็เริ่มมาจากในบ้านทั้งนั้น ก็คือเริ่มจากการที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก

ที่อนาถกว่านั้นอีกก็คือ บางบ้านเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ดูแลหมาแมวจนลืมลูก ไม่ได้พูดเล่นนะ มีจริง ๆ ถึงเวลาต้องพาหมาไปฉีดวัคซีน ถึงเวลาต้องให้ยา แต่ลืมไปว่าลูกที่อยู่ที่บ้านต้องการความสนใจมากกว่าหมาเยอะ ถ้าคิดผิดก็คิดใหม่ได้ ถ้าทำผิดก็ทำใหม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด แต่สำคัญที่ว่าผิดแล้วรู้จักแก้ไขไหม ?"

เถรี
11-05-2016, 13:33
"สองวันมานี้อาตมาเห็นเขาทำผัง โยงเรื่องที่คนสารพัดกลุ่มทำว่าเป็นการวางแผนร่วมกันเพื่อต่อต้านรัฐบาล อาตมาเห็นแล้วเซ็งมาก เรียกว่าทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ควรจะไปโยงเรื่องว่า ทำไมเศรษฐกิจไม่ดี ? ทำไมชาวบ้านไม่มีน้ำทำนา ? ทำไมชาวบ้านไม่มีเงินใช้ ? แล้วก็หาทางแก้ไขต้นเหตุนั้นเสีย ถ้าทำอย่างนั้นได้ ปัญหาการเมืองจะหมดไปจากประเทศไทยเลย ดันไปโยงเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง จะให้คนมีความเห็นอย่างเดียวกันทั้งประเทศนั้นเป็นไปไม่ได้

ถ้ารัฐธรรมนูญของคุณดีจริง ทำไมต้องกลัวด้วยว่าจะไม่ผ่านประชามติ ? ของดีต้องขายได้ในทุกที่สิ ไม่ใช่บังคับซื้อ อาตมาเห็นแล้วมาคิด ๆ ว่านี่ถ้าหากอาตมาเป็นนายกฯ น่าจะบริหารได้ดีกว่า..!"

เถรี
11-05-2016, 13:41
"อีกส่วนหนึ่งที่อาตมาฟังแล้วยังคิดว่า ตกลงเขาใช้หัวแม่เท้าคิดแทนสมองกันหรืออย่างไร ? ถึงไม่ผ่านประชามติก็จะใช้ ม.๔๔ แล้วจะทำประชามติให้เปลืองงบประมาณไปตั้งหลายพันล้านทำไม ? ก็ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็เอา ม.๔๔ ไปเลยก็หมดเรื่อง มาล้างผลาญเงินทองบ้านเมืองทั้ง ๆ ที่ไม่มีเงินไปทำไม ?

ใช้ ม.๔๔ เล่นงานพวกเผาป่าหรือทำลายป่าไม้ไปสิ เดี๋ยวประเทศไทยเราก็เขียวชอุ่มขึ้นมา ฟ้าฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลไปเอง เขาไม่ยอมปรับตามความต้องการของประชาชน จะให้ประชาชนปรับตามเขาอย่างเดียว เพราะฉะนั้น...ไม่มีประโยชน์ อาตมาพูดไปต่อให้สมเหตุสมผลขนาดไหนก็ตาม เขาจะว่าไอ้นี่เสื้อแดงแน่นอน

ปัจจุบันนี้บ้านเราเมืองเรามีมือที่มองไม่เห็นใหญ่กว่าที่เราคิด ต้องการจะสร้างความแตกแยกให้มากที่สุด เพื่อที่จะปกครองบ้านเราให้ได้ง่ายที่สุด เพราะฉะนั้น...เหตุการณ์ที่ไม่ควรจะมีถึงได้มีขึ้นมา แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนกลายเป็นแนวร่วมไปทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา กลายเป็นช่วยกันทำให้ประเทศไทยแตกแยกหนักยิ่งขึ้น เสียดายว่าสมัยนี้ปิดหูปิดตาชาวบ้านไม่ได้แล้ว คือส่วนใหญ่แล้วไม่ได้วิจารณ์เพราะหวังดีปรารถนาดี แต่วิจารณ์ไปตามอารมณ์ ในเมื่อวิจารณ์ไปตามอารมณ์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในความหวังดีปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ทำให้สถานการณ์ร้อนระอุยิ่งขึ้น"

เถรี
11-05-2016, 13:42
"ปัจจุบันนี้ที่รัฐบาล คสช.เสื่อมความน่าเชื่อถือลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าทุกอย่างที่ว่าเขาเอาไว้แล้วตัวเองมาทำเสียเอง และทำหนักกว่าด้วย กลายเป็น "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" ก่อนหน้านี้ว่ารัฐบาลเก่าเป็นเผด็จการรัฐสภา ปัจจุบันนี้เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดเผด็จการรัฐสภา เป็นเรื่องอะไรที่ตลกมาก แต่หัวเราะไม่ออก

พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินไป อย่าหวังว่ารัฐบาลจะช่วยก็พอแล้ว ถ้าหวังว่ารัฐบาลจะช่วยไม่รู้ชาติหน้าบ่าย ๆ จะได้ช่วยหรือเปล่า ? เพราะมีแต่ช่วยซ้ำให้หนักขึ้น อย่างช่วงนี้ร้อนและแล้งจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องที่อยู่ลักษณะเร่งด่วนและต้องแก้ไขให้ได้ แต่อีก ๒ เดือนผ่านไป เรื่องนี้จะถูกลืม แล้วก็กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนใหม่ ก็คือน้ำท่วมจะช่วยอย่างไร ? พอถึงเวลาอีก ๒ เดือนถัดจากนั้น น้ำท่วมก็โดนลืม บ้านเราทำอะไรฉาบฉวยตามกระแสเท่านั้น ไม่ได้มีการแก้ไขอะไรให้ยั่งยืนเลย เอาเถอะ...พอแค่นี้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนเรียกไปปรับทัศนคติจริง ๆ..!"

เถรี
11-05-2016, 13:43
ถาม : จับภาพพระกับกสิณควบกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าฝึกใหม่ต้องจับภาพกสิณให้ชัดเจนเต็มที่ก่อน แล้วค่อยอธิษฐานภาพพระขึ้นมา

เถรี
12-05-2016, 15:14
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์ได้คะ ?
ตอบ : หยุดคิด ส่วนใหญ่แล้วคนเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ ไม่อยากได้นั่น ไม่อยากได้นี่ ทำอย่างไรจะตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสแล้วจะไม่คิด เพราะว่าการคิดทำให้เราชอบหรือไม่ชอบ ถ้าชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ เล่นงานเราทั้งคู่

ทำอย่างไรเราจะหยุดได้ทันทีที่สัมผัส ก็คือตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส แล้วหยุดไว้แค่นั้น ตอนนี้ได้แค่หยุด หลังจากนั้นพอพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างเป็นโทษแก่เราแล้ว ทันทีที่อายตนะสัมผัส สภาพจิตจะตัดออกไปเลย จะไม่มีการปรุงแต่งต่อ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ให้โทษแก่เราไม่ได้ ในเมื่อให้โทษแก่เราไม่ได้ ความทุกข์ก็ไม่เกิด จึงเหลือแต่ความสุข

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะหยุดคิดได้ ?
ตอบ : สมาธิ ถ้าทำสมาธิ สติจะแหลมคมขึ้น สติแหลมคมขึ้น ก็รู้เท่าทันในทันทีที่จะคิดแล้ว ถ้าหากว่าคิดในด้านดีจะเป็นอย่างนี้ คิดในด้านไม่ดีจะเป็นอย่างนี้ ส่วนนี้เป็นตัวปัญญาที่เข้ามาเสริม ในเมื่อเห็นแล้วก็คือทิ้งในด้านที่ไม่ดี คิดในด้านที่ดี หรือถ้ากำลังใจปล่อยวางจริง ๆ ดีหรือไม่ดีก็ไม่เอา เพราะปล่อยทิ้งไปเลย ไม่คิด

ดังนั้น...คำตอบอยู่ที่สมาธิเสียส่วนใหญ่ พอมาตอนหลังปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษก็ไม่ไปแตะต้องอีก เหมือนกับคนตกลงไปในส้วม ขึ้นมาอาบน้ำสะอาดแล้ว แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่อย่างดี ไม่มีใครอยากลงไปในส้วมอีก จะเห็นทุกอย่างเป็นทุกข์เป็นโทษในลักษณะอย่างนั้น ก็คือไม่ไปแตะไปต้องอีก พยายามหน่อย...ไม่ยากหรอก พวกเราส่วนใหญ่มีพื้นฐานอยู่แล้ว

เถรี
12-05-2016, 15:20
ถาม : ถ้าเราสร้างพระและอุทิศส่วนกุศลให้ คนตายจะได้รับไหมคะ ?
ตอบ : ทำบุญอะไรก็อุทิศได้ทั้งนั้น แต่เขาจะรับได้หรือไม่ได้รับ ขึ้นอยู่กับภพภูมิที่เขาอยู่

ถาม : ถ้าเราทำพินัยกรรมไว้ ให้เขาสร้างพระไว้ให้เรา ?
ตอบ : ทิ้งเงินไว้ให้เขาด้วย ถ้าไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ ปล่อยให้พวกเขาสร้างกันเอง เราก็ต้องโมทนาจึงจะได้รับบุญ

เถรี
12-05-2016, 15:27
ถาม : (โยมทำบุญแล้วขอพรให้สำเร็จในพระโพธิญาณ)
ตอบ : ปฏิบัติให้ได้ ไม่ใช่ถวายทานแล้วจะได้ ทานเป็นพื้นฐานขั้นต่ำสุด ยังมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ทานเป็นแค่ปัจจัยส่วนหนึ่งเท่านั้น

เถรี
12-05-2016, 16:12
ถาม : ทำบุญด้วยโทสะ ควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ก็ลดลงหน่อย ถ้าหากว่าตั้งสติไม่ทัน ไปเกาะอารมณ์ตอนนั้น ตายก็เป็นอสูร..!

ถาม : ถ้าเราทำแล้วปรับกำลังใจให้ผ่องใส ?
ตอบ : ก็บอกว่าก่อนตาย ฉะนั้น...ก่อนตายห้ามคิดถึงตอนนั้น ความจริงอสูรก็เป็นเทวดาพวกหนึ่ง แต่เป็นเทวดาชั้นต่ำ ทำบุญผสมกับโทสะ ลักษณะที่มีเรื่องให้โกรธในขณะที่ทำบุญนั่นแหละ

ถาม : ถ้าหลายคนสำนึกได้ ?
ตอบ : เขาห้ามคิดตอนก่อนตาย เพราะส่วนใหญ่ก่อนตายถ้าคิดแบบไหนก็ไปตามนั้น

เถรี
12-05-2016, 17:04
ถาม : มีคนรู้จักเมายาบ้า แล้วตกลงมาตาย เขาจะไปไหน ?
ตอบ : ไม่ได้ไปไหน ถ้ายังไม่หมดอายุขัย มีวัยรุ่นคนหนึ่งติดยาบ้า ตำรวจไล่จับ แกอยู่แฟลตดินแดงชั้น ๔ พุ่งหลาวลงมาข้างล่าง กะว่าจะหนีตำรวจอย่างเดียว ไม่ได้นึกเลยว่าสูงแค่ไหน สรุปก็คือตายคาที่ ด้วยความที่เมาจนเคย แม้กระทั่งตายแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองตาย ไม่รู้ว่าจะสงสารดีหรือเปล่า ?

ถาม : ถ้าเขามีจิตนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุงบ้าง เขาจะได้ไปดีไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก รอเวลาหมดอายุก็ไปเอง

ถาม : ถ้ายังไม่หมดอายุขัยแล้วเราทำบุญไปให้ ?
ตอบ : ถ้าเขามีสติโมทนาได้ก็สบาย โมทนาแล้วก็มีความสุขเหมือนกับเทวดา รออย่างเดียวว่าหมดอายุก็ไปตามบุญของตน

เถรี
12-05-2016, 18:45
ถาม : ไปปากีสถานเอาวัตถุมงคลไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : วัตถุมงคลชิ้นสองชิ้นได้ แต่พระเนื้อผงอย่าเอาไป บางทีเขากลัวว่าเป็นยาเสพติดขึ้นรูป

ถาม : พวกงาช้างละครับ ?
ตอบ : ไปต่างประเทศอย่าเสี่ยงเป็นอันขาด เพราะว่างาช้างเดี๋ยวนี้ผิดกฎหมายไปเกือบทั่วโลกแล้ว มีดหมอปากกายังต้องเอาออกเลย ปกติอาตมาพกติดตัวตลอด มีดหมอปากกางาช้างนิดเดียวเท่านั้น แต่ในเมื่อโลกเขารังเกียจก็ต้องเอาออก

ถาม : เคยพกตะกรุดเมรุ่นห้าไปเข้าคูเวต บอกว่าเป็นเครื่องรางของศาสนาพุทธ ก็เอาเข้าได้ ?
ตอบ : ถ้าเป็นรูปพระอาจจะไม่ผ่าน แต่ตะกรุดยังพอได้อยู่

ถาม : ยาละครับ ?
ตอบ : ยาเอาเข้าไปได้ แต่ให้โหลดไปใต้ท้องเครื่อง อาตมาจะติดคุกเนปาลหัวโตก็เพราะยาซองเดียว ผ่านทีไรก็ร้อง เขาปลดของจนหมดตัวก็ร้อง ที่ตลกที่สุดก็คือวัตถุมงคลเขาเอาถาดมาให้ใส่ ยกผ่านไปยกผ่านมาไม่ร้องสักแอะ ท้ายสุดล้วงไปล้วงมาเหลือยาอยู่เม็ดหนึ่งในซอง เลยส่งให้เขาดู เขาเอาไปรูดผ่านร้องเลย เขาบอกอันนี้แหละ ก็เลยนั่งหัวเราะกันอยู่ตรงนั้นทั้งเขาและเรา ปลดตูซะหมดตัวเลย ที่แท้ดังเพราะไอ้นี่เอง ดังเพราะซองใส่ยาซองเดียว ตูจะบ้า..!

เลยเก็บซองเอาไว้เป็นที่ระลึกจนทุกวันนี้ ไอ้ซองยาบ้า ๆ เกือบจะทำให้ตูต้องแก้ผ้าแล้ว หยิบอะไรออกมาเดินผ่านก็ดังทุกที ยาอมของมหาโรจน์เขาแบ่งมาให้ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบิน ไม่ใช่ของอาตมาด้วย ท่านถามว่า หลวงพ่อเอายาอมไหม ? เออ...ก็ได้ ที่ไหนได้...จะพาตูติดคุกเสียแล้ว

เถรี
12-05-2016, 19:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานบวชถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาทำเป็น ๒ ขยัก ขยักแรกคือบวชเณรถวายในหลวงก่อน ตอนแรกให้เข้าวัดวันที่ ๙ แล้วบวชวันที่ ๑๕ เลยตัดสินใจว่า เข้าวัดวันที่ ๙ ก็บวชเณรถวายในหลวงไปเลย แล้ววันที่ ๑๕ ค่อยมาบวชพระถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือบวชเณรถวายในหลวงไป ๗ วัน บวชเณรแค่พักเดียวก็เสร็จ แต่บวชพระจะช้า บวชพระชุดหนึ่งประมาณ ๒๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งได้แค่ ๓ ชุด ตอนนี้ได้ ๒๐ กว่าชุดแล้ว ก็คงบวชกันเช้ายันค่ำ

อยู่ ๆ ทางราชการอยากจะจัดงานถวายในหลวง ในวโรกาสครองราชย์ครบ ๗๐ ปี แล้วก็แจ้งด่วนมาทางพระว่า ช่วยจัดโครงการถวายในหลวงให้ด้วย ยังโชคดีที่อาตมานัดนาคเข้าวัดวันที่ ๙ เพราะเป็นวันที่พระองค์ท่านครองราชย์ครบ ๗๐ ปีพอดี เลยตัดสินใจให้เข้าวัดก่อนเที่ยง ไปถึงโกนหัว โกนเสร็จก็บวชเณรเลย อาจจะต้องมีการนำกล่าวขานนาคสักหน่อย แต่ก็จำเป็น...เพราะว่าไปถึงยังไม่มีเวลาซักซ้อมเลย ไม่อย่างนั้นต้องซ้อมขานนาคก่อน ๗ วัน"

เถรี
12-05-2016, 19:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านฉายาถาวโร แต่ท่านใช้นามปากกาว่าฤๅษีลิงดำ แล้วหลวงปู่บุดดาก็ฉายาถาวโร เพราะเกิดวันเสาร์เหมือนกัน เขาก็เลยเรียกหลวงปู่บุดดาว่าฤๅษีลิงขาว คนก็เลยมั่วกันอยู่พักหนึ่ง

ก่อนหน้านี้บรรดาลูกศิษย์สร้างสำนักสงฆ์ถวายหลวงปู่บุดดาที่สรรคบุรี ชื่ออาศรมฤๅษีลิงขาว ใครไปวัดท่าซุงรุ่นแรก ๆ สมัยสร้างโบสถ์จะรู้จักดี ตอนหลังก็ย้ายวัด หลวงปู่เย็นเอาไปไว้ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข แล้วหลวงปู่เย็นท่านก็ไปสร้างวัดเองใหม่"

เถรี
13-05-2016, 17:04
ถาม : เวลาเราสวดภาวนา เราต้องพยายามคิดว่า เราจะไม่หวังอะไรหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตอนแรกหวังก็คือหวัง แต่ถ้าว่าสวดภาวนาไปเรื่อย ๆ สมาธิเริ่มทรงตัว เรื่องนั้นจะลืมไป จะจดจ่ออยู่กับงานเฉพาะหน้าเท่านั้น

ถาม : ไม่ค่อยรู้ความหมายของบทสวดมนต์ ก็เลยไม่ค่อยอยากสวดมนต์ ?
ตอบ : กิเลสกลัวเราจะไปจากมัน เลยทำให้เราไม่อยากจะทำ ปกติสวดมนต์ก็คือสวดมนต์ ถ้าอยากรู้ความหมายไปศึกษาเวลาอื่น ไม่ใช่ศึกษาตอนสวดมนต์

ถาม : ก็คือสวดเราไม่ต้องแปลหรือคะ ?
ตอบ : ว่ายาวไปเลย สวดมนต์สร้างสมาธิให้เกิดก่อน หลังจากสวดมนต์เสร็จค่อยไปแปลเอาความหมาย

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราแปล เรียกว่าเป็นวิปัสสนาหรือเปล่า ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ...! ถ้าเป็นวิธีการปฏิบัติทั่ว ๆ ไป ก็เป็นสมถกรรมฐานล้วน ๆ แต่ถ้ากล่าวถึงวิปัสสนา เราพิจารณาตามแล้วเห็นจริงตามนั้นจึงเป็นวิปัสสนา ถ้ายังไม่เห็นจริงตามนั้นก็ยังเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นแหละ

ถาม : ก็แสดงว่าวิปัสสนามีบุญมากกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราทำเพื่ออะไร โดยปกติขอให้เริ่มลงมือทำเท่านั้น ก็เป็นส่วนของบุญกุศลอยู่แล้ว แต่สำคัญตรงสุดท้ายในส่วนของวิปัสสนาทำให้เราหลุดพ้นจากกองกิเลสได้ ถ้าวิปัสสนาจะมีบุญมากกว่า ก็ตอนหลุดพ้นจากกองกิเลสได้ แต่ถ้าลงมือทำก็ราคาเท่ากัน

เถรี
13-05-2016, 18:02
ถาม : (ปรามาสพระ)
ตอบ : การปรามาสพระมีเป็นปกติ บุคคลที่เริ่มปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา มารเขาจะรู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาใช้วิธีหลอกให้เราปรามาสพระ ถ้าหากว่าเราปรามาสพระ เราก็ไม่สามารถเข้าถึงมรรคผล ก็จะหลุดพ้นจากมือเขาไม่ได้ ฉะนั้นก็มีวิธีเดียวคือ อยากจะปรามาสก็ปรามาสไป เราก็กราบขอขมาพระไปเรื่อย ๆ

สิ่งที่เขาหวังผลก็คือทำให้เราวุ่นวายใจ ไม่เป็นอันปฏิบัติอย่างหนึ่ง และทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเพราะมาปฏิบัติก็เลยเกิดอารมณ์อย่างนี้ แล้วเลิกปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้น...ไม่ต้องไปใส่ใจ ตั้งหน้าตั้งตาขอขมาไป มีปัญญาจะปรามาสอย่างไรก็ปรามาสไป พอเขาเห็นเราไม่หวั่นไหว ขอขมาเป็นปกติก็เลิกของเขาไปเอง

เถรี
13-05-2016, 18:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฉายา "สุธมฺมปญฺโญ" ให้ ท่านบอกว่าเป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก ก็ยังงง ๆ ว่าดีตรงไหน อะไร ๆ ก็ต้องพึ่งท่านตลอด พอมาเจอระยะหลัง ๆ ถึงรู้ว่า อ๋อ...เราหาทางไปของเราได้เอง ถ้าไม่อับจนจริง ๆ ไม่ยุ่งกับครูบาอาจารย์หรอก"

เถรี
13-05-2016, 18:30
ถาม : เจ้านายใหม่เขาไม่ชอบสไตล์การจัดการของหนูค่ะ เขารับคนเพิ่มในแผนกเดียวกันค่ะ หนูก็หมดทางโตแล้ว หนูเลยไม่อยากทำงานแล้ว เพราะไม่ก้าวหน้า ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เอางานเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาคิดผิด

ถาม : แต่เขาก็เอาคนที่เคยทำงานด้วยมา ?
ตอบ : เรื่องของเขา ยกเว้นว่าเขาจะไล่เราออกตรง ๆ

ถาม : ไม่ต้องไปบอกเจ้านายว่าอย่า...
ตอบ : ถ้าพูดได้ก็พูด ถ้าพูดไม่ได้ก็ทำงานพิสูจน์ตัวเองไป

เถรี
13-05-2016, 18:33
ถาม : การให้ที่ตัดความโลภ คือให้ไปเยอะ ๆ ?
ตอบ : ให้อย่างเดียวลดยาก ต้องเห็นประโยชน์ในการให้ เราให้ด้วยความเชื่อมั่นว่าการให้เป็นการสละออก เพื่อตัดความโลภ ทำให้เราหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้ นี่คือส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือการที่เราใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งของทั้งหลายทั้งปวงจะมีประโยชน์แก่เราเฉพาะแค่โลกนี้เท่านั้น ถ้าหากเราสละออกให้ผู้อื่นเป็นบุญกุศลของเรา มีประโยชน์แม้ในโลกหน้า เราก็จะสละออกได้ง่ายขึ้น

ในเมื่อเราเห็นในลักษณะนั้น ความอยากมีอยากได้ก็ลดลง จากที่ไม่เคยให้ได้ก็เริ่มให้ จากที่ให้ได้ก็ให้ง่ายขึ้น จากที่ให้ง่ายมีเท่าไรก็ให้หมด

เถรี
13-05-2016, 18:35
ถาม : ชีวิตมีแต่วิบากกรรม ?
ตอบ : มีทุกคนนั่นแหละ การจะแก้วิบากกรรมที่ดีที่สุดคือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าหากว่าปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา วิบากกรรมให้ผลไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล เจริญสมาธิ ใช้ปัญญาพิจารณาวิปัสสนาญาณว่าเกิดมากี่ชาติก็มีแต่วิบากแบบนี้ แล้วยังจะเกิดอีกไหม ? ถ้าใจบอกว่าไม่เกิดแล้ว ก็เกาะนิพพานไว้เป็นหลัก ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วสบาย ๆ มีวิบากกรรมหรือเจ้ากรรมนายเวรทั้งนั้น จะไปยากอะไร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

เถรี
13-05-2016, 19:01
ถาม : พวกกระเป๋าที่เป็นของเลี่ยงภาษี ถ้าเป็นพระทำแบบนั้น ถือว่าขโมยไหมครับ ?
ตอบ : เลี่ยงภาษีเขาก็ปรับอาบัติปาราชิกเหมือนกัน ไม่ต้องขโมยหรอก เขาระบุไว้ชัด ๆ เลย ที่เขาซ่อนแก้วมณีไว้ ตั้งใจเลี่ยงภาษีโดนปาราชิกไปเลย

ถาม : สมมติซื้อของแจ้งราคาไปเท่านี้ แต่ว่าร้านลดให้ ไม่ได้มีจิตคิดเอาแต่แรกแล้ว พอกลับมาเราต้องแจ้งโยมและคืนเงินไปไหม ?
ตอบ : โดยปกติแล้วควรทำอะไรที่ตรงไปตรงมา เพราะมันเสี่ยงมาก

เถรี
13-05-2016, 19:41
ถาม : ที่ผมเคยถามท่านคราวก่อนเรื่องน้องสาว ท่านตอบผมว่า ถ้าเขาไม่ตายด้วยอาการนี้ก็ด้วยอาการอื่น ก็แปลว่าเขาหมดอายุขัยหรือครับ ?
ตอบ : วาระกรรมมาถึงตอนนั้น เขาเรียกว่าอุปฆาตกรรมมาตัดรอน แต่คราวนี้เป็นอุปฆาตกรรมที่ค่อนข้างจะหนัก

ถาม : แสดงว่าจริง ๆ แล้วอายุขัยยังไม่หมดอายุหรือครับ ?
ตอบ : ยัง

ถาม : แล้วอุปฆาตกรรมเกี่ยวข้องอะไรกับการถูกทำร้ายด้วยครับ ?
ตอบ : ทุกอย่างที่ตายก่อนอายุเกิดจากกรรมเก่าที่เคยฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ใหญ่มาทั้งนั้น

ถาม : คนที่มาทำคุณไสยใส่น้องสาวผม เขายังไม่เคยคุยกับน้องสาวผมเลยด้วยซ้ำ ?
ตอบ : แล้วจำเป็นต้องคุยกันด้วยหรือ ?

ถาม : ไม่ได้มีความขัดแย้ง ไม่ได้มีความเกลียดชังกัน ?
ตอบ : คุณเคยเห็นมือปืนยิงกบาลคนโดยไม่มีความเกลียดชังความขัดแย้งไหมเล่า ? เรื่องของกรรมอย่าไปคิด คิดแล้วบ้าเปล่า ๆ

ถาม : แค่ปีก่อนแฟนของคนนั้นเคยมาชอบน้องสาวผม ผู้หญิงคนนั้นเขาก็เลยทำน้องสาวผมตาย ?
ตอบ : เอาเป็นว่าอาตมาเกือบจะตาย ไม่ได้มานั่งตรงนี้ เพราะว่าไม่ยอมตอบสนองความต้องการของผู้หญิงคนเดียว คุณคิดว่าเหตุผลแค่นี้พอจะฆ่ากันไหมเล่า ?

ถาม : เป็นผม ผมไม่ทำแน่ครับ
ตอบ : เขาไม่ใช่คุณนะสิ ถ้าคนอื่นคิดอย่างพวกเราโลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ

เถรี
13-05-2016, 19:43
ถาม : ฌาน ๔ เข้ายากไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้วิธีก็ไม่นาน ถ้าไม่รู้วิธีก็นานหน่อย

ถาม : วิธีอะไรครับ ?
ตอบ : วิธีทำ ไปเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อวัดท่าซุง เปิดบทที่ ๗ หน้า ๔๐ ไปอ่านดู วิธีอยู่ในนั้นทั้งหมด

เถรี
13-05-2016, 20:28
ถาม : ผมพกเกศาของครูบาอาจารย์เพื่อเป็นอนุสติ แต่มีบางคนบอกว่าไม่เหมาะสม ?
ตอบ : คุณจะเชื่อเขาหรือจะเชื่อผมล่ะ ?

เถรี
13-05-2016, 20:29
ถาม : บางครั้งความคิดตัวเองเหมือนแยกออกมาแล้วนั่งเถียงกัน ?
ตอบ : ก็เลิกเถียง ภาวนาแทน

ถาม : เวลาทำอะไรเพลิน ๆ แล้วมีอาการตัวสั่น ตัวโยกโคลง ?
ตอบ : ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวก็จะไม่เป็นอีก

เถรี
13-05-2016, 20:30
ถาม : ท่านสอนว่าบุคคลผู้มีศีลจะมีแต่ความเจริญโดยฝ่ายเดียว ไม่มีตกต่ำ แต่ผมเห็นว่าในสังคมนี้คนมีศีลกลับถูกรังแก หรือไม่ได้ดี ท่านยังยืนยันคำเดิมไหมครับ ?
ตอบ : ยืนยัน ไม่ไปดูตอนเขาตายล่ะ ดันไปดูตอนเขาเป็น

ถาม : ต้องไปดูหลังความตายอย่างเดียวหรือครับ ? หรือว่าตอนมีชีวิตอยู่ก็เห็นผลแล้ว
ตอบ : รักษาศีลจริงหรือเปล่าล่ะ ตัวตายดีกว่าศีลขาดไหม ?

เถรี
13-05-2016, 20:30
ถาม : หลาย ๆ อย่างที่คนอื่นเขาได้กันง่าย ๆ แต่ผมกลับได้มาอย่างยากลำบาก หลายครั้งต้องใช้กำลังแบบเอาชีวิตเข้าแลก มีวิธีที่จะทำให้กรรมตรงนี้เบาลงไหมครับ ?
ตอบ : แค่เลิกปรารถนาพุทธภูมิย้อนหลังไปเท่านั้นเอง อยากดังแล้วดันกลัวลำบาก ทำแต่งานง่าย ๆ แล้วจะดังได้อย่างไรวะ ทำงานยากยังเสือกกลัวลำบากอีก...!

เถรี
14-05-2016, 17:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อพระครูสุมนสุนทรกิจ เจ้าอาวาสวัดทะเลบก เจ้าคณะตำบลกระตีบ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ท่านตายไป ๓ ชั่วโมงแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ บอกว่าไปเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ มา ก็เลยไม่กลัวที่จะต้องตายแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านบอก ก็คือมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่ใช่มากกว่าครึ่ง ๆ นะ แต่มากกว่าในระดับ ๘ ใน ๑๐ เลย

อาตมาเรียนท่านไปว่า ผู้หญิงชอบทำบุญมากกว่า แต่คราวนี้อีกส่วนหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริงเลย คือในส่วนของการสร้างบุญ กำลังใจของผู้ชายเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดกว่า ไม่ทำก็คือไม่ทำ ถ้าทำก็เป็นบุญใหญ่ไปเลย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงไม่ใช่ของแปลกที่ว่าถ้าขึ้นไปอยู่ที่สวรรค์ ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าเทวดามีนางฟ้าเป็นบริวารหลักร้อย

แต่ต้องบอกว่านางฟ้าที่เป็นบริวารนั้นทำบุญเล็กน้อยเกินไป ถ้าเคยสร้างในส่วนของวิหารทานจะมีวิมานเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปอาศัยเขาอยู่ และนอกจากมีวิมานของตัวเองแล้วก็ยังมีบริวารอีกด้วย แต่ส่วนที่แปลกก็คือบริวารก็เป็นผู้หญิงอีก สรุปว่าต่อไปผู้หญิงควรทำบุญใหญ่ ๆ ไว้หน่อยนะ โดยเฉพาะในส่วนของวิหารทาน จะได้มีวิมานเป็นของตัวเอง

หลวงพ่อท่านเล่าว่า เวลาเดินก็ไม่ใช่พื้นดินพื้นหญ้าอย่างของเรา เป็นเงินเป็นแก้ววิบวับไปหมด ต้นไม้ใบหญ้าก็วิบวับเป็นประกาย ข้าวปลาอาหารที่เคยทำบุญไปก็อยู่ครบถ้วน เพียงแต่ว่าไม่ต้องกิน แค่คิดจะกินก็อิ่มเลย"

เถรี
14-05-2016, 17:24
ถาม : มีคนทักว่ามีวิญญาณผู้หญิงกับเด็กตาม ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ทำบุญทำกุศลแล้วอุทิศให้เขาไปก็เท่านั้นเอง ทำมากกว่านั้นเดี๋ยวต้องไปเสียเงินสะเดาะเคราะห์ให้ยุ่งไปหมด ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจิตอ่อน ฟังใครมาแล้วมักจะเชื่อ แล้วก็เป็นเรื่องแปลก มักจะเชื่อในเรื่องแบบนี้แหละ ทีพระท่านเทศน์เท่าไรก็ไม่ยักเชื่อ

เถรี
14-05-2016, 19:10
ถาม : หนูเล่าเรื่องพระที่ท่านมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยให้ครูฟัง ครูเขาถามว่าที่ตายไม่เน่าเปื่อยเกิดจากอะไร ?
ตอบ : คนตายแล้วไม่เน่ามีหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ บริเวณที่ศพอยู่มีแร่ธาตุบางอย่างที่รักษาสภาพศพเอาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย ประเภทที่ ๒ คนผู้ตายกินว่านยาบางอย่างเข้าไป ตายแล้วก็ไม่เน่าเปื่อย ประเภทที่ ๓ ก็คือใช้คาถาอาคมเสกอาหารกินทุกวันตายก็ไม่เน่าเปื่อย ประเภทสุดท้ายก็คือบุคคลที่ตั้งใจอธิษฐานร่างทิ้งเอาไว้เป็นตัวแทนให้ลูกศิษย์ได้กราบไหว้บูชา ถ้าทำถึงระดับนั้นได้อธิษฐานทิ้งเอาไว้ก็ไม่เน่าเปื่อยเหมือนกัน

ต่อไปให้ถามครูนะไม่ใช่ให้ครูถาม เพราะครูมีหน้าที่ตอบ จำได้หมดไหมที่ว่าไป ...(หัวเราะ)... เดี๋ยวไปรอเขาถอดเป็นตัวหนังสือแล้วค่อยไปอ่านซ้ำ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : หนูไม่เคยได้ยินเรื่องทำมัมมี่หรือ ? เขาทำทิ้งไว้เป็นร้อยเป็นพัน นั่นแหละฝีมือนักวิทยาศาสตร์ แถมยังเป็นนักวิทยาศาสตร์โบราณด้วย

ถาม : บุคคลที่ตั้งใจอธิษฐานให้ร่างไม่เน่าเปื่อยนี่ต้องเป็นพระอรหันต์ ?
ตอบ : ไม่ใช่ แต่ต้องเป็นผู้ชำนาญในกสิณ ๑๐

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เยอะแยะไป เพียงแต่เขาไม่หาเรื่องทิ้งไว้เพราะลำบากคนข้างหลัง คนที่ทำได้ระดับนั้นเขามีสติรู้อยู่ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

ถาม : มัมมี่ที่เขาทำต้องเอาอวัยวะภายในออกมาก่อน ?
ตอบ : ใช่ เพราะว่าวิทยาศาสตร์เขายังไม่สามารถรักษาอวัยวะภายในได้ แต่ในเรื่องของจิตศาสตร์หรือว่าไสยศาสตร์เขาทำได้ อย่าคิดว่าวิทยาศาสตร์เก่งสิ วิทยาศาสตร์ตามหลังอยู่ไม่รู้ตั้งไกลเท่าไร

เถรี
14-05-2016, 20:12
ถาม : ฝึกให้ลูกเขานั่งสมาธิวันละ ๑๐ นาที ?
ตอบ : ควรจะเอาสักชั่วโมง ๑๐ นาทีนี่ไม่พอกินแล้ว เอาเป็นว่าเช้า กลางวัน เย็นก็ได้ ช่วงละ ๒๐ นาที ไปทำเถอะ เด็กโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาที่วัดท่าซุง เขาสอบคะแนน PAT ได้สูงสุดเลยนะ ก็ไม่เห็นใช้อะไรมากมายนอกจากนั่งภาวนา อยู่ที่ว่าของเราเองมั่นใจแค่ไหนต่างหาก

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าไม่อ่านหนังสือเลยถึงเวลาคำตอบมาเราจะขาดความมั่นใจ แต่ถ้าเราอ่านหนังสือไว้ถึงเวลาเราจะนึกไว้ว่าเราเคยอ่านมาแล้ว ฉะนั้น...คนที่ไม่อ่านหนังสือเลยตกมาเยอะแล้ว เพราะขาดความมั่นใจว่าใช่หรือไม่ใช่ อยากเก่งต้องขยัน เคยได้ยินเขาพูดไหม อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน แต่สงสัยว่าน้องพลอยกับแม็กซีมคงไม่ต้องเสียเวลาไปเขย่ง เพราะไม่อยากสูงไปกว่านั้นแล้วละ ตั้ง ๑๙๐ เซ็นติเมตร

เถรี
14-05-2016, 21:20
ถาม : ผมเป็นคนพูดเร็ว พูดไม่ชัด ทีนี้ถ้าผมประยุกต์การฝึกกสิณลมมาช่วยในการพูดให้ดีขึ้น ช้าลงจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ฝึกอานาปานสติดีที่สุด เพราะว่าเราจะได้มีสติระลึกรู้อยู่ สำหรับเรื่องของการพูดจะมีการเน้นหนัก เบา แล้วก็หยุด เพื่อให้จังหวะคนคิด เรื่องเทคนิคพวกนี้นักพูดเขามีอยู่แล้ว แต่ต้องอาศัยสติ เพราะถ้าขาดสติก็จะขาดตรงจุดนี้ไป ฉะนั้นถ้าต้องการให้ตรงจุดจริง ๆ ฝึกลมหายใจเข้าออกดีที่สุด

ถาม : สาเหตุเป็นเพราะว่าบางทีผมจะไม่ค่อยอ้าปากกว้างเพราะขี้เกียจ ใจนึกไปแล้วพูดแบบปากอ้านิดเดียว เลยพูดไม่ชัด ทีนี้จะใช้กสิณลมที่ผมฝึกก็ต้องควบอานาปานสติ อย่างที่พระอาจารย์สอนไม่ว่าฝึกอะไรต้องมีลมหายใจควบ ทีนี้ถ้าจะจับลมในท้อง ข้างในขึ้นมาเป็นคำพูด จะพูดได้ดีขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : หัด...! เดี๋ยวก็รู้ แต่จริง ๆ แล้วก็น่าเหวี่ยง คือรู้ปัญหาทุกอย่างแต่ไม่แก้ รู้กระทั่งว่าตัวเองพูดไม่ชัดเพราะอะไร แต่ก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย คนรู้ปัญหาก็ต้องแก้สิวะ..!

เถรี
14-05-2016, 21:23
ถาม : ขอถามเรื่องการฝึกสัจจบารมีครับ วิธีการฝึกผมคิดว่าสัจจบารมี คือ เวลาเราจะทำอะไร เราก็ต้องคิดก่อนว่าจะทำอะไร เพราะอะไร ทำได้ไหม แล้วเราก็ซอยให้สั้นที่สุด แล้วทำตามนั้น ไม่เปลี่ยนใจ ไม่ต้องลังเล อย่างนี้ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : สรุปคือกลับไปหาลมหายใจเข้าออกใหม่ ทุกบารมีถ้าขาดสติไปไม่รอดหรอก เพราะฉะนั้น...ไม่ว่าจะฝึกบารมีไหนก็ตาม ต้องมีสติก่อน

ถาม : ถ้าทรงอานาปานสตินี่คือผมพยายามทรงให้ได้ตลอดเวลา ทีนี้จะมาเพิ่มเติมตรงสัจจบารมี คือให้คิดไว้ว่าจะทำอะไร แล้วก็ทำตามนั้น ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงจะยิ่งดีขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสติดีจะคิดได้ไว คือสติมีความแหลมคม แล้วก็จะตัดสินใจได้โดยมีความผิดพลาดน้อยมาก เพราะฉะนั้น...ถ้าเราต้องการที่จะรักษาในตัวสัจจะ ถ้ามีสติอยู่ อย่างไรก็รักษาได้ ขาดสติเมื่อไรก็อาจจะพลาดอีก

เถรี
14-05-2016, 21:26
ถาม : ขอสอบถามเรื่องคาถาพระร่วง เราจะใช้ฝึกในการภาวนาได้ไหมครับ ? โดยที่เราไม่ได้ต้องการผล ?
ตอบ : เรื่องของคาถาเป็น “มโนมยา” คือสำเร็จด้วยใจ ถ้าทำไปถึงระดับนั้นแล้ว คุณต้องการหรือไม่ต้องการก็เป็น

ถาม : เราท่องเพื่อเอาคาถานั้นมาใช้ หรือถ้าเราทำต้นเหตุ ผลก็จะมาเอง ประมาณนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เรื่องของคาถาทุกอย่างต้องควบกับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าคาถาจะมีผลด้วยอำนาจของสมาธิ สมาธิจะเกิดได้ก็คือลมหายใจเข้าออกของเราทรงตัว

ถาม : ทีนี้พอพระอาจารย์พูดอย่างนี้ ผมยิ่งสงสัยมากว่า แต่ละคาถาจะมีเนื้อหาไม่เหมือนกัน การที่เรามีสมาธิกับเนื้อหานั้นก็จะมีผลตามคาถานั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใจเราคิดว่าเขาให้ผลแบบไหน เท่ากับเราตั้งโปรแกรมว่าต้องการเป้าหมายตรงนี้ เวลากำลังพอก็จะไปตรงนั้นเอง ถึงได้บอกว่าคาถาเป็น “มโนมยา” คือสำเร็จด้วยใจ

เถรี
14-05-2016, 21:28
ถาม : ปกติวิธีอธิษฐานใช้ผลของกสิณต่าง ๆ ผมไม่รู้ว่าทำอย่างไร แต่ถ้าเราเอาสมาธิที่เบา ที่ประกอบด้วยปัญญา เราไม่ต้องตั้งจิตว่าฉันจะเดิน ลมจงมาหอบเท้าฉัน แต่ฉันเคลื่อนลม สมาธินึกถึงลมเคลื่อนลงมาตามร่างกาย จะเป็นการใช้ผลอย่างหนึ่งหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ทันกิน ถ้าคนที่เขาคล่องจริง ๆ แค่คิดจะไปก็ไปแล้ว คนดูจะเห็นว่าหายจากตรงนี้ไปเลย แต่จะไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่ง ในความรู้สึกของเขาจะคิดว่าเราหายตัวไป แต่ความจริงเราลอยไปด้วยความเร็วสูง

ถาม : ทีนี้ผมสงสัยมากว่าตัวเองเกิดอุปาทานหรือเปล่า คือผมรู้ตัวว่าไม่ได้อิทธิฤทธิ์อะไรเลย ของหยาบก็มองทะลุไม่ได้ว่าข้างในมีอะไร แต่ว่าพอเราทรงสมาธิระหว่างวัน รู้ว่าเราไปในที่สัปปายะอะไรได้หลาย ๆ อย่าง จะเป็นไปได้ไหมครับ คือของหยาบยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำของละเอียดได้ ?
ตอบ : ชาตินี้ทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าชาติก่อนไม่เคยทำมา อาจจะมีต้นทุนเก่าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มาชอบของประเภทนี้หรอก

เถรี
14-05-2016, 21:35
ถาม : ผมถามแบบเบา ๆ บ้าง เราเคยอยู่บริษัทหนึ่งแล้วออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง แล้วดึงลูกค้าเก่ามา ?
ตอบ : ฟังดูเริ่มร้ายขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว..!

ถาม : เราดึงมาแต่ไม่ได้ใช้วิธีใส่ร้ายบริษัทเก่า เราดึงแค่ว่าเรารู้จักกัน ใช้วิธีให้สินค้าหรือบริการที่ดีกว่าเดิม แบบนี้ผิดศีลหรือว่าบาปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิดศีลแต่ผิดมารยาท ถ้าถามว่าควรหรือไม่ ? ก็ถือว่าไม่สมควรที่จะไปทำอย่างนั้น แต่ถ้าถามว่าผิดศีลไหม ? ยังไม่ผิด มารยาทในการค้าไม่ควรที่จะไปทำตัวเป็นคู่แข่งกับบริษัทเก่า แล้วแถมยังไปดึงคนเขามาอีก ถ้ามีความสามารถจริงก็ไปหาลูกค้าใหม่ หรือไม่เดี๋ยวลูกค้าเก่าก็แวะเวียนมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาที่จะไปดึง

ถาม : ผมคิดว่า ถ้าเราให้สิ่งที่ดีกว่าและเราอยากให้จริง ๆ ให้มากกว่าที่เดิม ถ้าเราปล่อยให้ลูกค้ารับเอาแต่ของที่เดิม ก็เท่ากับเราปิดโอกาสที่จะให้เขาได้ใช้ของดีสิครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมเราไม่ทำให้เขาตั้งแต่บริษัทเก่า ? จะได้หมดเรื่องหมดราว ไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องศีลเรื่องธรรม

เถรี
14-05-2016, 21:41
ถาม : แล้วกรณีเดิม ถ้าเราดึงลูกค้าเก่ามา ทำให้เจ้านายเก่าไม่พอใจ จองเวร การที่เจ้านายมีปฏิฆะ แบบนี้จะผิดศีลหรือเป็นกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าสิ่งที่เราทำอาจจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย พูดง่าย ๆ คือแรงกรรมยังไม่เพียงพอที่จะสนองเรา เหมือนอย่างกับกุญแจไขรหัส ถ้าเพิ่มรหัสตัวสุดท้ายเข้าไปพอดีก็ซวยไป แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงขั้นนั้นก็ถือว่าเสมอตัว

ถาม : ไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : สิ่งที่เราทำเป็นกรรมเล็กน้อย แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเพิ่มฟางเส้นเดียวลงไปแล้วอูฐจะหลังไม่หัก ? อาจจะเป็นจังหวะที่เขารออยู่แค่นั้นนิดเดียว ให้เราลงมือทำแล้วจะได้ใส่ให้เต็ม ๆ เลย..!

ถาม : ปฏิฆะแบบนี้ถือว่าเป็นกรรมแล้วหรือครับ เราไม่ได้ไปทำอะไรเขา แต่เขาไม่พอใจเอง ?
ตอบ : เขาเรียกว่า กตัตตากรรม กรรมที่ทำโดยไม่เจตนา เราไม่ได้หวังผลให้เป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แม้แต่แค่คิดก็จัดเป็นมโนกรรมแล้ว

เถรี
14-05-2016, 21:44
ถาม : อย่างนี้การที่เราจะเจริญทางโลกกับทางธรรมไปพร้อม ๆ กันแบบสุด ๆ เลย ไม่ต้องประนีประนอมจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำตัวอย่างนั้นก็แปลว่าขาดหลักธรรมเป็นอย่างยิ่ง ไปศึกษาในสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ให้ชัดเจนด้วย ที่ท่านบอกว่าต้องรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้บุคคล รู้ชุมชน ถ้าเราไม่เอาเหตุไม่เอาผล ก็ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย

ถาม : หมายถึงว่าถ้ามีคน ๆ หนึ่งต้องการสร้างธุรกิจใหญ่โตแบบที่ไม่ได้มีมาก่อน และต้องการจะลดทุกข์ เห็นอริยสัจ ๔ ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำไปคู่กันเป็นไปได้ไหมครับ หรือขัดกันครับ ?
ตอบ : ถ้าต้องการหลุดพ้นจริง ๆ ต้องเป็นอนาคาริกะ คือ ผู้ไม่ครองเรือนเท่านั้น บรรดาอาคาริกะคือผู้ครองเรือน ท่านบอกว่าหนทางนั้นแคบ อย่างเช่นเราต้องการจะตั้งหน้าตั้งตาจะนั่งภาวนา แต่เมียที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ยินดีด้วย ก็ทะเลาะกันบ้านแตก

ฉะนั้น...โอกาสที่จะหลุดพ้นจริง ๆ ตามที่ต้องการ ส่วนใหญ่คือต้องสละทิ้งไปเลย ไม่ได้ขัดกับทางโลกหรอก แต่ว่าที่จะทำได้พอดีจริง ๆ นั้นยาก แค่คุณตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ๘ ก็เดือดร้อนแล้ว เพราะเข้ากับชาวบ้านเขาไม่ได้ ถึงเวลาเขาชวนกินข้าวเย็นก็ไปไม่ได้แล้ว

เถรี
14-05-2016, 21:48
ถาม : ทีนี้ในเรื่องอริยสัจ ๔ ถ้าหากจะมาพิจารณาตรงนี้กับการภาวนา การที่เราจะเห็นกายในกาย จิตในจิตเกี่ยวกับ... ?
ตอบ : อย่าเพิ่งสับสนกับชีวิต กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม นั่นเป็นส่วนของมหาสติ อริยสัจ ๔ ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เอาเป็นว่าถ้าคุณภาวนาอยู่ ถ้าเห็นว่าแม้แต่การหายใจยังเหนื่อย ยังลำบาก เป็นทุกข์ ก็เป็นอันว่าจบแล้ว

ถาม : ถ้าเห็นว่าตรงข้ามละครับ เห็นว่าเราโชคดีจังเลยที่มีขันธ์ ๕ ได้มาปฏิบัติธรรม ?
ตอบ : นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง คือ เป็นการสร้างกำลังใจเพื่อหนุนเสริมในการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติไม่ใช่ว่าแค่เราโชคดี แต่การปฏิบัติเราต้องหวังผลเพื่อหลุดพ้นด้วย การที่จะหลุดพ้นได้ ถ้าไม่เห็นทุกข์อย่างชัดเจนก็จะไม่เกิดความเบื่อหน่าย ในเมื่อไม่เกิดความเบื่อหน่ายที่เป็นต้นเหตุของการหลุดพ้น ก็อย่าไปหวังเลยว่าจะหลุดพ้นได้

ถาม : ถ้าเราตั้งเป้าว่าเรามีกิจอันหนึ่ง ถ้าไม่มีกิจอันนี้เราจะตั้งเป้าไปพระนิพพานโดยตรง แต่กิจอันนี้เราต้องสะสมบุญปฏิบัติธรรมให้เยอะ ๆ เพื่อสะสมบารมีถูกไหมครับ ?
ตอบ : ถูก...แต่คราวนี้การปฏิบัติธรรมเราต้องให้มีส่วนของทาน ส่วนของศีล ส่วนของภาวนา ซึ่งอานิสงส์ก็มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น...ท้ายที่สุดก็ไปลงในส่วนของภาวนา ก็คือจะต้องภาวนาแล้วพิจารณาอยู่ดี

เถรี
14-05-2016, 21:53
ถาม : ทีนี้เวลาที่พระอาจารย์เริ่มสอนกสิณมา ถ้าตอนที่เราทำ เรารู้สึกกำลังใจเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ อย่างนี้ถือว่าได้ผลไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นกำลังใจของเรา เกิดปีติในธรรมขึ้นมา ก็อยากปฏิบัติไม่รู้เบื่อไม่รู้หน่าย แต่ถ้ารักษาไว้ในระดับนั้นไม่ได้ เกิดกำลังตกขึ้นมาก็จะหายไปอีก

เถรี
14-05-2016, 21:54
ถาม : เห็นรูปเพื่อนไปไหว้เทพเจ้าทางด้านปัญญา เทพเจ้ามั่งคั่ง ที่ฮ่องกง อยากถามว่าเทพเจ้าด้านต่าง ๆ นั้นมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : มี

ถาม : แต่ละประเทศมี แต่ว่าแยกกันหรือองค์เดียวกัน ?
ตอบ : องค์เดียวกัน แต่เรียกไปคนละอย่างกัน

เถรี
15-05-2016, 21:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันอังคารนี้อาตมานัดผู้ออกแบบไปดูเรื่องการสร้างพิพิธภัณฑ์ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง จะแบ่งเป็นส่วนของเครื่องรางของขลังส่วนหนึ่ง และพวกงานฝีมืออีกส่วนหนึ่ง และอยากจะได้นิทรรศการเกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น วันสำคัญ พุทธประวัติ ไว้เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เด็ก ๆ เข้าไปจะได้ความรู้ด้วย

ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดจะทำ ก็เลยไปใส่หน้าต่างจนรอบชั้นสองของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ทำให้ช่างออกแบบยาก เพราะคุมแสงได้ยาก พื้นที่ ๑,๖๐๐ ตารางเมตร บอกเขาว่ายกให้ทั้งชั้นเลย

พวกเครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องถม บางชิ้นราคาเกือบล้าน เข็มขัดถักมือเส้นหนึ่งราคาหลายแสนบาท ช่างฝีมือส่วนใหญ่ก็ไปหมดแล้ว รุ่นเก่า ๆ สายตาไม่ไหวแล้ว ฝีมือมีแต่สายตาไม่ไหว รุ่นหลัง ๆ ก็ยังฝีมือไม่ถึง"

เถรี
15-05-2016, 22:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติถังประปาตามแบบของการประปาส่วนภูมิภาค ขนาด ๑๒๐ คิวบิกเมตรเขาใช้กันทั้งอำเภอ แต่นี่ของเราใช้ในวัดเดียว พอดีรองผู้ว่าการประปาฯ ท่านไปทำบุญ เลยถามท่านว่าขอแบบได้ไหม ? ทางวัดอยากจะทำหอจ่ายน้ำประปาแบบนี้ ท่านบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ พอรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละ เจ้าหน้าที่จากการประปาส่วนภูมิภาค เขต ๓ ที่บ้านโป่ง โทรมาหาที่วัด แจ้งว่าเจ้านายบอกว่าหลวงพ่ออยากได้แบบ ให้ไปรับได้เลย นอกจากแบบแล้วยังคำนวณวัสดุมาให้เสร็จสรรพ ไม่อย่างนั้นอาตมาคงจะหมดค่าเขียนแบบไปอีกเป็นแสน

ประปาอำเภอทุกอำเภอทั้งประเทศจะใช้แบบนี้ ตอนแรกอาตมาว่าจะสร้าง ๒ ใบ กะว่าจะให้อยู่หน้าวัดอีกใบหนึ่ง เอาไว้หลังองค์พระใหญ่ ปรากฏว่าโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงด่า ท่านว่าน้ำแรงขนาดนี้ยังจะเอาตั้งสองใบ อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะแรงขนาดไหน พอสร้างเสร็จแล้วไปลองเปิดดู ถึงได้รู้ว่าน้ำอัดแรงมาก แรงขนาดปิดเร็ว ๆ แล้วหัวก๊อกหลุดกระเด็นเลย ต้องค่อย ๆ ปิดช้า ๆ ไม่อย่างนั้นหัวก๊อกจะทนแรงดันน้ำไม่ได้

เถรี
18-05-2016, 11:14
ถาม : ตอนที่หลับอยู่หลังห้อง ได้ยินว่าหัวใจจะเต้นเบาเมื่อมีสมาธิ ถ้าโดนกิเลสจะเต้นแรง ทำไมเป็นอย่างนั้นคะ ?
ตอบ : แรงไปกิเลสจะเล่นงานเอา เพราะว่าสมาธิหลุดออกมา ไม่มีกำลังพอจะไปต่อต้านกิเลสแล้ว ถ้าหากว่าชีพจรเต้นแรง ก็แปลว่าสมาธิกดไม่อยู่แล้ว

เถรี
18-05-2016, 11:15
ถาม : เวลาที่เราตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป ใจหนึ่งก็รู้สึกเฉย ๆ นิ่ง ๆ ส่วนอีกใจหนึ่งก็ว่า ทำไมไม่ทุกข์ร้อน ต้องรู้สึกทุกข์ร้อนสิ จึงจะหลาบจำ ไม่ไปทำอย่างนั้นอีก... ที่ถูกคือ ต้องนิ่ง ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) มี Self-consciousness จิตสำนึกที่คุยกับตัวเอง หากว่าเป็นภาษาเราเขาเรียกว่าเป็นตัวมโนธรรม มโนธรรมเหมือนอย่างกับเทวดา ส่วนสภาพจิตที่ย้อมด้วยกิเลสก็คือ Devil ก็ย่อมทะเลาะกันเป็นปกติ

ถาม : แล้วที่นิ่ง ๆ ไม่ไปสนใจ นี่ถูกไหมคะ ?
ตอบ : จะว่านิ่ง ๆ ก็ใช่ แต่ไม่ควรนิ่งเฉย ๆ ควรจะเก็บไว้เป็นบทเรียนในครั้งหน้า ที่นิ่ง ๆ นั้น อยู่ในลักษณะของการให้อภัยตัวเอง ประเภทไม่กล้าซ้ำเติมตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะเจ็บ

เถรี
18-05-2016, 11:16
ถาม : เมื่อครู่หลับแล้วฟังเรื่องผิดไป ตอนหลับยังได้ยินอยู่ต่อเนื่อง แต่ก่อนจะหลับกลับไม่ค่อยรู้ตัว อย่างนี้เรียกว่า สติพร่องไหมคะ?
ตอบ : ถ้าฝึกฝนมากพอ ก่อนจะหลับก็รู้ว่ากำลังจะหลับ หลับแล้วก็รู้ว่าหลับ

ถาม : เคยนอนพักแล้วไม่ตัดหลับ จะรู้สึกว่านอนหลับ แต่ได้ยินและทำอะไรได้เหมือนตื่นอยู่ ?
ตอบ : เหลืออีกนิดเดียวก็หลับแล้ว แต่เป็นการหลับแบบมีสติควบคุมอยู่ ก็เลยเหมือนกับตื่นอยู่ตลอดเวลา เวลาจะตื่นยังต้องถามตัวเองว่า สมควรจะตื่นหรือยัง ? ถ้าสมควรจะตื่น สติก็จะขยายกว้างออกไป จนกระทั่งร่างกายตื่นขึ้นมาเอง

เถรี
19-05-2016, 11:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน เป็นวันเทศบาล เทศบาลตำบลท่าขนุน โดยท่านนายกเทศมนตรีประเทศ บุญยงค์ นิมนต์พระวัดท่าขนุน มีอาตมาเป็นหัวแถวไปเจริญพุทธมนต์และทำบุญ ปรากฏว่าเขาจัดโต๊ะหมู่ แล้วก็มีโต๊ะเล็กสำหรับกราบ อาตมาบอกให้เอาโต๊ะสำหรับกราบออก มีหลายคนตีหน้างง ๆ ว่าทำไมต้องเอาออกด้วย ?

ไทยเรานิยมกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ มีองค์ ๕ คือ ๑ ศีรษะ ๒ ศอก ๒ เข่า ต้องสัมผัสพื้น ถ้าไปกราบบนโต๊ะก็จะได้ไม่ครบองค์ เพราะฉะนั้น...จำไว้แม่น ๆ ว่า ถ้างานไหนมีโต๊ะกราบให้เอาออกเสีย ถ้าจะให้ดูดีหน่อยก็เอาพรมปูพื้นแทน ประธานจะได้กราบตรงนั้น แต่ถ้าประธานคนไหนถามหาโต๊ะกราบ ถ้าโง่ขนาดนั้นก็ทิ้งไว้ให้เขาก็แล้วกัน...!

การกราบเบญจางคประดิษฐ์ สองมือต้องลงพร้อมกัน อาตมาเห็นที่นี่ยังลงทีละข้าง การที่เรากราบแล้วลงทีละข้างเกิดจากหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านเป็นโปลิโอ ขาสองข้างยาวไม่เท่ากัน ท่านกราบพร้อมกันไม่ได้ ต้องลงทีละข้าง ลูกศิษย์เห็นก็ดันคิดว่าเท่ แล้วไปเลียนแบบและสอนตาม ๆ กันไป พวกเราไม่ได้เป็นโปลิโอ กราบลงไปพร้อม ๆ กันได้เลย

บางอย่างครูบาอาจารย์ทำ ลูกศิษย์ก็ทำตาม แต่ไม่ได้ดูเหตุผลว่าทำไมท่านทำอย่างนั้น โบราณเขาเรียกว่า “เถรส่องบาตร” สมัยโบราณบาตรเป็นดินเผา ถ้าหากว่ามีรอยร้าวถึงสองนิ้ว หรือแตกจนนิ้วมือลอดได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงอนุญาตให้เปลี่ยนได้ ทีนี้บาตรของหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเป็นรอยร้าว ถึงเวลาฉันเสร็จ ล้างเสร็จ ท่านก็ส่องดูว่าถึงสองนิ้วหรือยัง ท่านจะได้เปลี่ยน ลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็ยกบาตรส่องบ้าง เห็นว่าเท่ดีก็ส่องตาม ๆ กัน ไม่รู้หรอกว่าอาจารย์ส่องเพราะอะไร ถึงได้บอกว่าทำแบบเถรส่องบาตร คือทำตามไปโดยไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย"

เถรี
19-05-2016, 11:12
"อาตมาไปสร้างวัดหนองบัวที่พม่า ไปเจอโยมแถวนั้นต้มยำเห็ดใส่ข้าว ใส่มากจนเป็นข้าวต้มเห็ด ทั้ง ๆ ที่อาตมารู้แต่แกล้งถามว่าใส่มาทำไม ? ไอ้นั่นก็ฉลาดมาก บอกว่าอร่อยดี

ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเห็ดชนิดไหนกินได้หรือกินไม่ได้ เวลาต้มให้ใส่ข้าวสุกลงไปด้วย ถ้าข้าวเปลี่ยนเป็นสีดำ แปลว่าเห็ดมีพิษ...กินไม่ได้ พอผู้ใหญ่ใส่ไป ลูกหลานก็ใส่ตามไปเรื่อย จนไม่รู้ว่าเขาใส่เพราะอะไร ก็เลยใส่มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ใส่หยิบมือเดียวก็พอ เมื่อใส่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยกลายเป็นข้าวต้มเห็ด พออาตมาแกล้งถามเลยตอบว่าอร่อยดี ถ้าตูไม่รู้ก็คงต้องอร่อยตามเขาแน่เลย

ผักบางอย่างเขาใส่ผักบุ้งมาด้วยก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือผักบุ้งเป็นยาถอนพิษโดยตรง ถ้าอาหารอะไรที่ไม่แน่ใจว่ามีพิษหรือไม่ เขาจะใส่ผักบุ้งลงไปด้วย พูดง่าย ๆ ว่ากินรวมกันไปก็ถอนพิษได้พอดี แต่คนใส่ก็ไม่รู้เรื่องหรอก เขารู้แต่ว่าถ้าทำอย่างนี้ควรใส่ผักบุ้ง เขาก็ใส่ตาม ๆ กันมาเรื่อย"

เถรี
19-05-2016, 11:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "บทสวดอุทิศส่วนกุศล ‘อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา อาจะริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา’ หลายวัดโดดไป ‘สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ’ ไม่มี ‘ปิยา มะมัง’ เพราะอาจารย์ลืม สวดข้ามไป พอข้ามไปจนเกิดความเคยชิน ก็ข้ามไปเรื่อย ลูกศิษย์ก็สวดตามไปเรื่อย จนปัจจุบันนี้หลายวัดก็ไม่มี ‘ปิยา มะมัง’ ว่าตามไปด้วย ตัวนี้แหละที่เขาเรียกว่าอาจริยวาท ก็คือถือตามคำอาจารย์เป็นใหญ่

ในสมัยสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓ คณะสงฆ์แตกออกเป็น ๑๘ นิกาย ๑๘ นิกายที่แตกออกไป ส่วนใหญ่ก็ถืออาจริยวาท ก็คืออาจารย์สอนมาอย่างนั้น ในเมื่ออาจารย์สอนมาแล้วมีส่วนต่างจากคนอื่นเขา ก็ไม่ได้ดูว่าส่วนต่างเข้ากันได้หรือไม่ ต่างก็ยึดของอาจารย์เป็นใหญ่ ไม่เอาของคนอื่น ถึงเวลาถ่ายทอดสืบ ๆ กันต่อไปก็เลยกลายเป็นนิกายใหม่ จึงทำให้คณะสงฆ์ในสมัยนั้นแตกกันวุ่นวายมาก"

เถรี
19-05-2016, 11:16
"ส่วนปัจจุบันบ้านเรามีมหานิกาย ธรรมยุติกนิกาย อนัมนิกาย จีนนิกาย นี่ชัด ๆ เลย ส่วนสันติอโศกนิกายนี่เขาไม่ถือว่าเป็นพระ ต่อไปก็จะมีพุทธอิสระนิกาย...! เพราะแกบอกแล้วว่าพร้อมที่จะออกจากคณะสงฆ์ ตอนนี้โดนสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ก็คือ ประกาศไม่ร่วมกิน ไม่ร่วมนอน ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย ใช้สำหรับบุคคลที่ว่ายากสอนยาก ส่วนท่านเองก็บอกว่าท่านไม่ง้อ ท่านสามารถที่จะออกจากนิกายของคณะสงฆ์ไทยได้ทันที

ส่วนนิกายต่อไปที่มีแวว ก็คือ ธรรมกายนิกาย เพราะว่าธรรมกายเขาใหญ่โตจนไม่ต้องง้อคณะสงฆ์ไทยก็อยู่ได้ ถ้าไปบีบคั้นมาก ๆ เขาแยกนิกายได้เลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านเราเมืองเรา ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะแทนที่จะร่วมแรงร่วมใจกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวทำให้คณะสงฆ์มีความเจริญ ช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา ก็แตกแยกกลายเป็นหลายนิกาย

จีนนิกายกับอนัมนิกายตำหนิเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาเองมาในรูปแบบอย่างนั้นเป็นพันปีแล้ว เวลามาในบ้านเราเมืองเรา ถึงจะเป็นลูกหลานไทยแต่ถึงเวลาบวชก็ต้องปฏิบัติตามแบบของเขา มีแต่ในส่วนใหม่ ๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาจะแยกนิกายเท่านั้นแหละที่น่าตำหนิ บางคนก็ "คนอื่นผิดทั้งหมดกูถูกคนเดียว ต่อให้กูเล่นการเมืองกูก็ถูก" ในลักษณะอย่างนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก"

เถรี
19-05-2016, 11:17
:4672615:เก็บตกเดือนพฤษภาคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ